Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1194-1196

 ตอนที่ 1194 คำขอเพียงหนึ่งเดียว

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังกินอาหารเย็นเสร็จ โรแลนด์ก็ได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากปากทิลลี


“เพราะ…ความรู้สึกเหรอ?” ในตอนที่อีกฝ่ายพูดถึงเหตุผลที่เปลี่ยนความคิด เขาพลันรู้สึกงุนงงขึ้นมา


“ทำไม ไม่ได้เหรอ?” ทิลลีพูดกอดอก


“เปล่า กฎในโรงเรียนอัศวินอากาศเจ้าเป็นคนตั้ง เจ้าว่ายังไงก็ต้องว่ายังไง” โรแลนด์รีบโบกมือพูดปฏิเสธ “ข้าเพียงแค่สงสัย ความรู้สึก…นี่มันแสดงให้เห็นถึงอะไร?”


“ความสามารถไง ท่านนี่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการบินจริงๆ ด้วย” ทิลลียักไหล่ “สำหรับคนทั่วไปแล้ว การฝึกซ้อมก็เป็นแค่เพียงการทำภารกิจให้สำเร็จด้วยการปฏิบัติความสิ่งที่เขียนอยู่ในคู่มือเท่านั้น นอกจากควบคุมการเคลื่อนไหวแล้ว มันก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย ต่อให้ขึ้นไปบนฟ้ามันก็เหมือนกัน แต่บางคนกลับคิดถึงภาพการเคลื่อนไหวทุกๆ การเคลื่อนไหวได้ ในตอนที่ร่างกายเขายังไม่ทันจะได้เคลื่อนออกมา แต่ภายในหัวเขากลับเห็นภาพผลของการเคลื่อนไหวแล้ว”


“เอ่อ…มันสุดยอดขนาดนั้นเลยเหรอ?” มุมปากของโรแลนด์กระตุกขึ้นมา เขาไม่ปฏิเสธว่าตัวเองไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการบินเลย ถ้าไม่เป็นเพราะมีทิลลีคอยช่วยเหลือ แผนการอัศวินอากาศคงไม่มีทางเป็นจริงได้ การจะสร้างเครื่องบินที่ดีขึ้นมาจากแบบแปลนที่เอามาจากโลกแห่งความฝันเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ได้ต่างอะไรกับเรื่องเพ้อฝันเลย ไม่ว่าจะเป็นการทดลองสร้าง ปรับปรุง กำหนดรูปร่างสุดท้าย การฝึกซ้อน ทุกอย่างล้วนแต่มีทิลลีเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งหมด หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา การจะเอาแปลนเหล่านั้นมาทำให้กลายเป็นเครื่องบินจริงๆ แล้วเอาเครื่องบินเหล่านั้นไปใช้ในการรบจริงๆ อีกที เกรงว่าขั้นตอนเหล่านี้คงต้องใช้เวลาหลายสิบปี เพียงแต่สุดท้ายแล้วเครื่องบินมันก็เป็นเครื่องจักรเครื่องหนึ่ง การจะควบคุมเครื่องบินมันก็ควรจะฝึกซ้อมซ้ำๆ ตามที่เขียนเอาไว้ในคู่มือไม่ใช่เหรอ?


“เพราะว่าข้าเองก็เป็นแบบนี้” ทิลลีทำสีหน้าเสียใจออกมา “ท่านคิดไม่ออก แสดงว่าท่านไม่มีความสามารถด้านนี้ ท่านพี่ ถ้าท่านอยู่ในโรงเรียนอัศวินอากาศ ท่านคงจะต้องอยู่ในกลุ่มที่ต้องถูกเขี่ยทิ้งแน่”


“แค่กๆ…” โรแลนด์เกือบสำลักน้ำลายตัวเอง ส่วนด้านหลังเขาก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ของไนติงเกลดังขึ้นมา


“ท่านกำลังคิดว่าแต่ฝึกซ้อมก็จะสามารถควบคุมเครื่องบินได้ใช่ไหม?” ทิลลีเหมือนจะมองเห็นความคิดของเขา “จริงอยู่ที่คนบางส่วนจะสามารถเชื่อมโยงการเคลื่อนไหวเข้ากับความรู้สึกได้หลังจากที่ฝึกซ้อมมานับร้อยนับพันครั้ง แต่อย่าลืมว่าแท้ที่จริงแล้วนี่ก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่จะด้อยกว่าพวกแรกหน่อยเท่านั้น แต่ก็มีคนอีกมากที่ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่สามารถก้าวมาถึงขั้นนี้ได้ แค่บินขึ้นมาได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายแล้ว ท่านคิดว่าใครจะมีโอกาสรอดในสงครามมากกว่ากันล่ะ?”


โรแลนด์พูดไม่ออกไปทันที


คำตอบนั้นย่อมต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างแน่นอน เสียเวลาในการฝึกซ้อมเหมือนกัน แต่คนเหล่านี้มักจะก้าวไปอยู่ในระดับที่สูงกว่า แถมยังเก็บสะสมประสบการณ์ในการทำสงครามได้อย่างรวดเร็ว ส่วนคนที่ความสามารถธรรมดานั้นแม้แต่จะปกป้องตัวเองก็ยังทำได้ลำบาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะก้าวหน้าขึ้นเลย


“แต่เพียงแค่คำพูดมันก็ระบุอะไรไม่ได้เหมือนกันนี่นา?” เขานิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะพูดออกมา “เขาอาจจะบังเอิญพูดมันออกมาก็ได้”


“ดังนั้นถึงต้องให้บินดูไง” ทิลลีพูดอย่างไม่สนใจ


“…อย่างนั้นอีกสองคนล่ะ?”


“พวกเขาเลือกที่จะลองบินเหมือนกัน”


“โอ้?” โรแลนด์กะพริบตาอย่างประหลาดใจ สำหรับยุคสมัยนี้แล้ว การโดนไล่ออกจากโรงเรียนอัศวินอากาศนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นโรงเรียนที่เจ้าหญิงเป็นผู้ดูแลด้วยแล้ว มันหมายความว่าเขาจะมีประวัติด่างพร้อยติดตัวเขาไปตลอดชีวิต หลังจากนี้ถ้าจะไปสมัครงานอื่นก็จะทำได้บาก อีกอย่างถ้าทำงานอยู่ในโรงเรียนต่อก็จะได้เงินเดือนที่ไม่น้อย ขณะเดียวกันยังเป็นงานที่มีความมั่นคงด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังจะได้รับสวัสดิการพิเศษบางอย่างจากทางโรงเรียน อย่างเช่นการซื้อบ้าน การรักษาพยาบาล เมื่อเทียบอย่างแรกกับอย่างหลังแล้วเรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างมาก “ถือว่ามีความกล้าทีเดียวเลยนะ…ถ้าไล่ออกไปแบบนี้ เจ้าไม่เสียดายบ้างเหรอ?”


เพราะตอนนี้เมืองเนเวอร์วินเทอร์มีนักบินฝึกหัดอยู่ไม่ถึง 200 คน นักบินทุกคนจึงเรียกได้ว่ามีค่าอย่างมาก


“โรงเรียนอัศวินอากาศไม่ต้องการคนที่ไม่มีความสามารถ การที่มีแค่ความกล้ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการวิ่งเข้าไปหาความตายเมื่อต้องเจอกับปีศาจ การที่ให้พวกเขาออกไปซะก่อนกลับจะเป็นทางเลือกที่ดีมากกว่า” ทิลลีพูดเสียงเบา


เมื่อพูดถึงตรงนี้ บรรยากาศภายในห้องทำงานพลันดูเคร่งเครียดขึ้นมา ในขณะที่โรแลนด์เตรียมจะรินชาเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ อีกฝ่ายพลันชิงพูดเปลี่ยนประเด็นขึ้นมาว่า “เออใช่ ที่ข้ามาหาท่านก็เพราะอยากจะถามเรื่องก่อนหน้านี้ เครื่องบินใหม่ของข้ามีความคืบหน้าบ้างไหม?”


เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย เธอมาหาเขาที่ห้องทำงานไม่ใช่เพื่อพูดคุยเรื่องงานเท่านั้น โรแลนด์รู้สึกตกใจขึ้นมา “ข้าคิดว่าเรื่องนี้เราต้องค่อยๆ คุยกันนะ…การสร้างกองทัพอัศวินอากาศนั้นต้องอาศัยเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเจ้าอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็จะสร้างความเสียหายให้กับปีศาจได้มากกว่า….”


ทิลลีไม่ได้ตอบ หากแต่ใช้สายตาในการบอกท่าทีของเธอ


โรแลนด์แอบถอนใจ


เครื่องบินใหม่ที่เธอว่านั้นไม่ได้หมายถึงยูนิคอร์น หากแต่เป็นอาวุธบินได้ที่ทรงพลังและเหมาะสำหรับการรบมากกว่า หลังแอชเชสเสียสละตัวเองไปแล้ว ทิลลีก็ร้องไห้อยู่ในอ้อมอกเขาอย่างเจ็บปวดเหมือนเด็กน้อยที่อ่อนแออยู่เป็นเวลานาน แต่นั้นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เป็นด้านที่อ่อนแอของอีกฝ่าย หลังจากที่เธอตื่นขึ้นมา ประโยคแรกที่เธอมาพูดกับเขาก็คือ ‘ข้าต้องการเครื่องบินที่ฆ่าปีศาจได้’


เธออยากจะแก้แค้นปีศาจ


ถึงแม้ตอนนั้นโรแลนด์จะพยายามหาข้ออ้างมาบอกปัดไป แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดเลย


“เจ้าจะทำแบบนี้จริงๆ เหรอ?”


“ตอนที่ซุ่มโจมตีอุรูคไม่เห็นท่านคิดเยอะขนาดนี้เลย”


“นั่นมันเป็นการขนส่ง มันไม่เหมือนกับการต่อสู้แบบซึ่งๆ หน้าเลย”


“ความจริงแล้วมันไม่ได้มีอะไรต่างกันมาก ทั้งคู่ต่างก็เป็นการเอาความสามารถของข้าไปใช้ในที่ๆ จำเป็น” ทิลลีส่ายหัว “เป็นเพราะข้าเห็นด้วยกับความคิดนี้ ข้าถึงได้กล่อมให้แอชเชสไปแนวหน้า ท่านเองก็รู้ดี ถ้าอยากจะยึดเอาท้องฟ้ากลับมาจากปีศาจ อาศัยแค่อัศวินอากาศนั้นยังไม่แน่ว่าเราจะเอาชนะได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนวนหรือว่าความแข็งแกร่ง เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็ล้วนแต่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ มีเพียงข้าเท่านั้นที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ตรงนี้ได้!”


“แต่ว่าโรงเรียน….”


“ข้าย่อมต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่ ก่อนที่สงครามจะมาถึง ขอเพียงข้าฝึกครูฝึกที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาซักกลุ่มหนึ่ง พวกเขาก็จะทำให้กองทัพอัศวินขยายใหญ่ไปได้เรื่อยๆ และรับหน้าที่นี้ต่อจากข้า” ทิลลีนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะจ้องมาที่โรแลนด์แล้วพูดช้าๆ ว่า “ข้ารู้ว่าข้าค่อนข้างเอาแต่ใจไปหน่อย แต่ว่านี่เป็นคำขอเพียงหนึ่งเดียวของข้า ท่านพี่”


โรแลนด์สบตากับเธอ ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ข้าเข้าใจแล้ว”


สองมือที่กำแน่นของทิลลีคลายออก “ขอบคุณ”


“เออใช่ สีของตัวเครื่องบิน เจ้าต้องการสีอะไรเป็นพิเศษไหม?” ในขณะที่เธอกำลังจะเดินออกมา โรแลนด์พลันถามขึ้นมา


ทิลลีหยุดฝีเท้าอย่างสงสัย “ไม่ อันนี้…”


“ในเมื่อไม่ได้คิดเอาไว้ อย่างนั้นสีแดงเป็นยังไง?”


“มันต่างกันยังไงเหรอ?”


“ปกติตัวเอกที่ปกครองท้องฟ้ามักจะใช้สีแดง” โรแลนด์พูดเบาๆ


“อย่างนั้นเหรอ?” ทิลลียิ้มมุมปากขึ้นมา “อย่างนั้นก็เอาสีแดง…อย่างที่ท่านว่าแล้วกัน”


หลังประตูปิดลง ไนติงเกลพลันพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าสับสน “องค์หญิงทรง…เอาจริงเหรอเพคะ”


โรแลนด์นวดขมับอย่างปวดหัว “เพราะแบบนี้แหละถึงได้ยุ่งยาก” ในตอนที่ทิลลีพูดว่า ‘คำขอเพียงหนึ่งเดียว’ ขึ้นมา เขาก็รับรู้ได้ถึงความหวังและความหมกมุ่นของอีกฝ่าย คนที่จะช่วยให้เธอสมหวังในการแก้แค้นได้ นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก ถ้าหากเขาปฏิเสธไป มันอาจจะทำให้ความหวังนี้กลายเป็นความสิ้นหวังได้ เขาแอบรู้สึกว่าหากเป็นเช่นนั้น ตัวเองอาจจะเสียอีกฝ่ายไป


“นางเปลี่ยนไปแล้วเพคะ” ไนติงเกลทอดถอนใจออกมา “แต่หม่อมฉันเข้าใจนางนะเพคะ ถ้าคนที่เกิดเรื่องเป็นพระองค์….” เธอชะงักไปครู่ใหญ่ ก่อนจะส่ายหัวออกมาอย่างยอมแพ้ “ไม่ได้ แม้แต่จะคิดหม่อมฉันยังไม่กล้าคิดเลยเพคะ”


โรแลนด์นิ่งเงียบไป…ในหัวเขาพลันคิดถึงคำพูดประโยคหนึ่งขึ้นมา สงครามนั้นเปลี่ยนแปลงผู้คนและเรื่องราวมากมาย แต่สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนก็คือตัวสงคราม


ถ้าไม่อยากให้เรื่องน่าเศร้าแบบนี้เกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ก็มีแต่ต้องรีบจบสงครามแห่งโชคชะตานี้โดยเร็ว


………………………………………………………………………..


ตอนที่ 1195 เรื่องที่อยากทำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

กู๊ดไม่รู้ว่าตัวเองกลับมาถึงเขตที่อยู่อาศัยชั่วคราวได้อย่างไร


ตอนที่เดินมาถึงหน้าประตูบ้านก็เป็นเวลาเกือบค่ำแล้ว ผู้คนที่ทำงานกันมาทั้งวันต่างทยอยกันกลับมาถึงที่อยู่อาศัย รอบๆ มีควันและเสียงตะโกนลอยไปมา กลิ่นหอมของข้าวต้มกับกลิ่นเหงื่อผสมปนเปกัน แสดงให้เห็นถึงความวุ่นวายของที่นี่ ถึงแม้ทุกวันจะมีงานให้ทำไม่หมดไม่สิ้น แต่สีหน้าทุกคนยังคงเต็มไปด้วยความสดใส ดูแล้วไม่เหมือนเป็นที่อยู่ของผู้อพยมเลย


ส่วนสิ่งที่ทำให้พวกเขามีชีวิตชีวาก็คือความหวัง ขอเพียงทำงานวันนึง พวกเขาก็จะอิ่มท้องไปได้หลายวัน ถ้าทำงานสิบวันครึ่งเดือน พวกเขาก็จะมีไข่ไก่กับเนื้ออยู่ในชามข้าว ดังนั้นทุกคนจึงมีความหวัง ถ้าหากพวกเขาทำงานไปเป็นปี ชีวิตพวกเขาจะเปลี่ยนไปยังไง? ถึงแม้เขตที่อยู่จะดูสกปรกและวุ่นวาย แต่มันกลับไม่ได้ดูหม่นหมองเหมือนสลัมทั่วๆ ไปเลย


ทุกสิ่งที่นี่เต็มไปด้วยสีสันสดใส


ยกเว้นก็เพียงกู๊ดเท่านั้น


ยิ่งเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเพื่อนบ้าน เขาก็ยิ่งรู้สึกมึนงง ภายในใจเหมือนมีเสียงหนึ่งคอยพูดอยู่ตลอดเวลา ‘ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป เจ้าโง่ เจ้าทำลายทุกอย่างที่ได้มาอย่างยากลำบาก!’


ใช้แล้ว ถ้าเขาไม่ตะโกนออกไป แล้วก็ยอมก้มหน้ารับโทษไป เขาก็ยังเป็นสมาชิกอยู่ในโรงเรียนอัศวินอากาศอยู่ ต่อให้ไม่ได้กลายเป็นนักบิน แต่มันก็ถือเป็นงานที่ดีมาก อย่างน้อยก็ดีกว่าการกลายเป็นผู้อพยพไปเรื่อยๆ


เห็นๆ อยู่ว่าตอนนั้นเขาตอบโดยไม่มีความลังเลเลย แต่หลังจากที่องค์หญิงทรงตอบตกลง ความกล้านั้นก็หดหายไปเหมือนกับสายน้ำทันที สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความรู้สึกผิดและความกลัว


ถ้าล้มเหลวล่ะ เขาก็จะไม่เหลืออะไรเลย


กู๊ดเปิดประตูเดินเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าเลื่อนลอย


เสียงที่สดใสเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “กู๊ด เจ้ากลับมาแล้วเหรอ รีบมาดูเร็วว่าข้าทำอะไร!”


เรเชลวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างดีใจ ก่อนจะผลักเขาให้เดินไปที่โต๊ะ จากนั้นก็เปิดฝาครอบจานขึ้นมา “แท่นแท้น แพนเค้กไข่ เป็นยังไง?”


ไข่ไก่กับแพนเค้กข้าวสาลีที่อยู่ตรงกลางจานประกบกันเป็นสองชั้น แทนที่จะบอกว่ามันเป็นแพนเค้กไข่ มันดูแล้วเหมือนไข่ดาวที่วางอยู่บนแป้งแพนเค้กมากกว่า แต่ว่านี่ก็ไม่ถือว่าล้มเหลว ไข่ขาวบางๆ รอบข้างเป็นรอยไหม้สีน้ำตาล ไข่แดงที่สีส้มนูนขึ้นมาเล็กน้อย แถมยังดูนุ่มลื่น เนยที่อยู่ตรงกลางระหว่างไข่ดาวและแพนเค้กละลายไหลเยิ้มออกมาบนจาน กลิ่นหอมอันเย้ายวนลอยขึ้นมาเตะจมูก


เห็นได้ชัดว่าเรเชลใช้เวลาทำอาหารเย็นไปไม่น้อย


กู๊ดตกตะลึง “เจ้าซื้อไข่ไก่มาเหรอ?” ถึงแม้ราคาข้าวของในเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะไม่สูง แต่สำหรับพวกเขาแล้ว มันก็ยังไม่ถือว่าเป็นกับข้าวที่พวกเขาจะกินได้บ่อยๆ


“อื้อ” เรเชลยื่นส้อมไม้มาให้เขา “วันนี้ข้าออกไปตลาดกับลุงบักกี้มา สบายใจได้ เงินเก็บที่ข้าเอาออกมายังมีเหลืออยู่ ไม่ง่ายเลยกว่าเจ้าจะได้พักซักวัน นานๆ กินซักครั้งมันไม่เป็นอะไรหรอก อีกอย่างถ้าเจ้ากลายเป็นอัศวินได้ล่ะก็ เงินเก็บเราก็จะเพิ่มขึ้น ข้าคิดเอาไว้แล้วน่า!” พูดจบเธอก็ตบหน้าอกตัวเอง


กู๊ดรับเอาส้อมมาจากเธอด้วยสีหน้าอึกอัก “เจ้า…พูดถูก”


“ไม่ต้องพูดแล้ว ลองชิมฝีมือข้าดูซิ” เรเชลพูดอย่างรอคอย


เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เอาไข่ใก่ใส่เข้าไปในปากตัวเอง พริบตานั้นเอง ไข่แดงก็แตกทะลักออกมาผสมกับเนยหอมๆ จนเต็มไปทั้งปากของเขา


ขณะเดียวกันรสชาติอันแสนอร่อยนี้ก็ทำให้เขารู้สึกปวดใจ


ระหว่างทางที่หนีจากวูล์ฟฮาร์ทมายังดินแดนตะวันตกของเกรย์คาสเซิล ทั้งสองคนเรียกได้ว่ายากลำบากอย่างมาก อาหารแบบนี้แม้แต่จะคิดยังไม่กล้าคิดเลย แต่หลังจากที่มาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปราวกับปาฏิหาริย์ พวกเขาไม่เพียงแต่จะมีบ้านให้อยู่ แต่ยังใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้า เผลอๆ แม้แต่ ‘แพนเค้กไข่ไก่’ ที่เขากินอยู่นี้ เรเชลก็จะได้กินทุกวันด้วย —- ขอเพียงเขายังอยู่ในโรงเรียนต่อไป


จริงอยู่ที่เขาอยากจะบินขึ้นไปบนฟ้า แต่การเอาทุกอย่างมาวัดดวงกับมัน มันคุ้มจริงๆ เหรอ?


ก่อนหน้านี้้เขาไม่มีอะไรให้เสีย แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันแล้ว


ไหนบอกเอาไว้แล้วว่าจะดูแลเธอให้ดีไง


ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วทำไมถึงยังทำแบบนั้นเพราะความคิดส่วนตัวอีก?


แม้แต่ตอนที่ตอบรับจะไปแอบดูเครื่องบินกับฟินกิ้น นั่นก็เป็นเพราะคิดถึงแต่ตัวเอง


คนที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ แต่ตอนนี้กลับมากินอาหารที่อีกฝ่ายทำขึ้นมาด้วยใจ มันช่างน่ารังเกียจจริงๆ!


“เป็นยังไง น่าจะ…ใช้ได้ใช่ไหม? ข้าไม่ได้ทำอาหารมานานแล้ว ไม่รู้ว่าฝีมือถอยลงหรือเปล่า” เรเชลพูด “เฮ้ อร่อยหรือเปล่า เจ้าพูดอะไรหน่อยสิ…เดี๋ยวๆ เจ้าร้องไห้ทำให้เนี่ย? ฝีมือข้ามันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”


“เปล่า…” กู๊ดร้องไห้ไปพลางยัดของกินเข้าปากไปพลาง “อร่อย เจ้าทำได้อร่อยมาก ข้าเพียงแค่…เพียงแค่ กลั้นเอาไว้ไม่อยู่…”


เรเชลตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินมาหาเขาพร้อมเอามือลูบหัวเขาเบา “มีเรื่องอะไรเหรอ?”


“ขอโทษนะ…ขออาจจะไม่ได้อยู่ในโรงเรียนต่อไปแล้ว…”


จากนั้นกู๊ดก็เล่าเรื่องที่ตัวเองทำออกมาทั้งหมด


“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง” เรเชลนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าแค่อยากจะถามเจ้าว่า เจ้า…ชอบบินใช่ไหม?”


“ข้า….” กู๊ดอ้าปากพร้อมกับสบตาอีกฝ่าย เขาพบว่าตัวเองไม่สามารถพูดคำพูดที่ทรยศต่อใจตัวเองออกมาได้ หลังนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เขาจึงพยักหน้าออกมา


“อย่างนั้นก็ดี” เรเชลพูดยิ้มๆ “ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้ามีเรื่องที่เจ้าอยากจะไปทำใช่ไหมล่ะ? แม้แต่เรื่องที่พาข้าออกมาจากที่นั่นก็ยังเป็นความคิดของข้า ไม่ว่าจะที่วูล์ฟฮาร์ทหรือว่าระหว่างทางที่หนีมา เจ้าก็ทุ่มเทเพื่อข้ามามากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นความจริงเรื่องพวกนี้มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าด้วย การที่เจ้าทำแบบนี้มันจะเป็นคนเห็นแก่ตัวได้อย่างไรล่ะ?”


“แต่ว่าข้า….”


“อย่างมากก็แค่ไปเริ่มต้นกันใหม่ใช่ไหมล่ะ?” เธอเอียงหัวเล็กน้อย “ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็รู้หนังสือด้วย ต่อให้ไม่…ไปทำเรื่อแบบนั้น ข้าก็ยังมีงานให้ทำอีกเยอะ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นยังไง เจ้าพยายามทำให้เต็มที่ก็พอ”


“แบบนี้…มันก็จะได้จริงๆ เหรอ?”


“ยังไงซะตอนนี้มานั่งเสียใจมันก็ไม่มีประโยชน์แล้ว สู้เลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วตั้งใจเผชิญหน้ากับมันดีกว่า แต่ว่าครั้งต่อไปถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก เจ้าก็ต้องคิดให้เยอะๆ อย่าทำอะไรวู่วามอีก”


กู๊ดเหม่อมองดูเธออยู่ครู่ “ข้ารู้สึกว่าบางครั้งเจ้ารู้อะไรเยอะกว่าข้าเสียอีก”


“อายุน้อยกว่ามันไม่ได้หมายความว่าต้องรู้อะไรน้อยกว่านี่ อีกอย่างก็เจ้านั่นแหละที่บอกให้ข้าเป็นน้อง” เรเชลพูดงึมงำ ก่อนจะยิ้มออกมา “ถ้าเจ้าถูกไล่ออกจากโรงเรียน เจ้าก็เรียกข้าว่าพี่แล้วกัน”


….


วันถัดมา ณ ลานบินของโรงเรียนอัศวินอากาศ


นักบินฝึกหัด 16 คนยืนต่อแถวหน้ากระดานอยู่ตรงปลายสุดของรันเวย์ ในฐานะที่เป็นผู้ผ่านเกณฑ์กลุ่มแรก พวกเขาจึงกลายเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้ลองบิน


เครื่องบินใหม่เอี่ยม 4 ลำค่อยๆ เคลื่่อนตัวออกมาจากโรงเก็บเครื่องบิน ก่อนจะมาจอดอยู่ตรงหน้าทุกคน


ในกลุ่มนักบินฝึกหัดมีเสียงพูดคุยดังขึ้นมา ทุกคนต่างบอกเครื่องบินที่สวยงามทั้ง 4 ลำนี้อย่างตื่นเต้นพร้อมกับกระซิบกระซาบกัน


ฟินกิ้นกับฮายส์นั้นยืนหน้าเคร่งเครียด


แต่กู๊ดกลับยืนหลับตา


เขากำลังยืนรับลมอันเย็นสบายที่พัดมาและพยายามที่จะจับความรู้สึกนั้นที่อยู่ในหัว การฝึกซ้อมซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน คำชี้แนะขของครูฝึก แล้วก็วินาทีที่เขาได้จับเครื่องบินจริงๆ ภาพต่างๆ ค่อยหลอมรวมเข้ามาในหัวของเขา


ในตอนที่ทิลลีปรากฏขึ้นตรงหน้า ทุกคนพลันคุกเข่าลงไปข้างหนึ่ง ฟินกิ้นต้องดึงกู๊ดให้คุกเข่าลงไปด้วย


“ถวายบังคมองค์หญิง!”


“ลุกขึ้นเถอะ” ทิลลีกวาดตามองทุกคนด้วยสีหน้าราบเรียบ “ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเจ้าได้เห็นเครื่องบินเหล่านี้ แต่มันก็ไม่ได้เป็นสิ่งแปลกหน้าสำหรับพวกเจ้า ไม่ว่าจะเป็นหนังสือหรือในการเรียนทฤษฎีก็ล้วนแต่อ้างอิงมาจากยูนิคอร์น แต่เครื่องบินที่อยู่ตรงหน้าพวกเจ้านี้คือยูนิคอร์นที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น แล้วก็มีความเสถียรมากขึ้น ขอเพียงทำทุกอย่างตามที่ฝึกซ้อมมา พวกเจ้าก็จะสามารถทำการบินขึ้นแบบง่ายๆ ได้ แต่เมื่อคำนึงถึงว่านี่เป็นการบินครั้งแรกของพวกเจ้า ดังนั้นข้าจะคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ ที่นั่งคนขับ แล้วก็คอยเตือนพวกเจ้าว่าต้องทำอะไรอย่างไร จากนั้นก็ให้คะแนนพวกเจ้าตามความสามารถที่แสดงออกมา — แต่แน่นอนว่าคนที่ทำให้ข้าไม่ต้องพูดอะไรออกมาได้ย่อมต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด”


เธอชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “แต่ว่าข้าก็คิดถึงความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีคนที่ทำผิดพลาด จนอาจจะตกลงมา ดังนั้นข้าจึงเชิญนาน่ามาร่วมในการทดสอบบินครั้งนี้ด้วย ตอนนี้นางก็อยู่ในลานบินนี่แหละ ขอเพียงยังไม่ตาย คนที่ล้มเหลวก็จะยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่นั้นจะหมายความว่าพวกเจ้าจะถูกตัดคะแนนออกไป หากในการฝึกซ้อมหลังจากนั้นยังไม่มีอะไรดีขึ้น คนเหล่านั้นก็จะถูกคัดออกจากทีม ดังนั้นข้าจึงอยากจะให้พวกเจ้าพยายามให้เต็มที่ นอกจากนี้ถ้าผิดพลาดจนทำให้เครื่องบินตกล่ะก็ คะแนนจะกลายเป็นศูนย์ทันที เพราะในโรงเรียนไม่มีเครื่องบินมาให้พวกเจ้าพังเล่นเยอะขนาดนั้น เข้าใจไหม?”


“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง!” ทั้ง 16 คนตอบพร้อมกัน


“อย่างนั้นก็เริ่มกันเลย คนแรกคือกู๊ด” ทิลลีขานชื่อ


กู๊ดสูดหายใจพร้อมกับก้าวไปข้างหน้า แล้วปีนขึ้นไปยังห้องขับเครื่องบิน


………………………………………………………….


ตอนที่ 1196 เหตุผลที่บิน

โดย

Ink Stone_Fantasy

นายทหารคนหนึ่งเอาคันโยกเสียบเข้าไปในหัวเครื่องบิน ก่อนจะออกแรงหมุนแล้วเปิดวาล์ว การสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงลามจากหัวเครื่องบินไปยังท้ายเครื่องบินทันที ภายใต้การสั่นสะเทือนนี้ เครื่องยนต์ส่งเสียงปังๆๆ ออกมา ส่วนใบพัดก็เริ่มหมุนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


ในตอนที่เสียงเครื่องยนต์ดังจนต่อเนื่อง กู๊ดก็ค่อยๆ ดันก้านคันเร่งตามที่บอกไว้ในคู่มือ เครื่องบินเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเหมือนมีอะไรมาลากออกไป


“ว้าว…” มีเสียงอุทานดังขึ้นมาในกลุ่มนักบินฝึกหัด


ได้จริงๆ ด้วย! กู๊ดเองก็ตื่นเต้นขึ้นมา มันเหมือนกับกำลังเคลื่อนไหวตามคำสั่งของตัวเอง ตัวเองกำลังขับเจ้าสิ่งนี้อยู่จริงๆ!


เขาหันมาเหลือบมองดูองค์หญิงที่นั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายด้านหลัง ผมสีเทาของอีกฝ่ายปลิวไสวไปตามแรงลม ในสายตาของเธอเหมือนกำลังยิ้มอยู่ องค์หญิง…กำลังชื่นชมเขาอย่างนั้นเหรอ? กู๊ดมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น ต่อไปก็แค่ทำตามคำชี้แนะของอีกฝ่ายแล้วบินขึ้นไปก็พอ!


แต่หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ด้านหลังเขายังคงไม่มีเสียงใดๆ ดังขึ้นมา


กู๊ดมองไปทางทิลลี แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับเป็นใบหน้าที่คล้ายว่าจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มอันนั้น ในตอนที่เครื่องบินวิ่งผ่านเส้นกึ่งกลางของรันเวย์ เขาพลันคิดถึงความจริงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ตัวเขาไม่มีทางที่จะได้รับคำชี้แนะอะไร


‘แต่เมื่อคิดถึงว่านี่เป็นการบินครั้งแรกของพวกเจ้า ดังนั้นข้าจะคอยชี้แนะอยู่ใกล้ๆ แล้วก็คอยเตือนพวกเจ้าว่าต้องทำอย่างไร’


คำพูดประโยคนี้ไม่ได้รวมถึงเขา องค์หญิงจะคอยดูแลแค่นักเรียนทั่วไปเท่านั้น หาใช้เขาซึ่งทำผิดกฎระเบียบไม่


เหมือนกับที่พระองค์ตรัสว่านักเรียนคนอื่นผิดพลาดก็ยังมีโอกาสอีกครั้ง แต่เขากลับมีโอกาสแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว


พริบตานั้นกู๊ดพลันรู้สึกมือเท้าเย็นขึ้นมาทันที ความผิดหวังและความเสียใจเมื่อวานนี้เอ่อล้นขึ้นมาในหัวใจอีกครั้ง


‘แต่แน่นอนว่าคนที่ทำให้ข้าไม่ต้องพูดอะไรออกมาได้ย่อมต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด’


เขาเหมือนจะเดาความคิดขององค์หญิงได้ ถ้าไม่สามารถอาศัยความสามารถของตัวเองบินขึ้นไป ถ้าไม่สามารถทำคะแนนได้ดีที่สุด เช่นนั้นโรงเรียนก็ไม่มีทางที่เก็บเขาเอาไว้ นี่คือค่าตอบแทนของการทำผิดกฎ มีแต่ต้องแสดงความสามารถของตัวเองออกมาเท่านั้น เขาถึงจะมีค่าให้อยู่ที่นี่ต่อไป


แต่ตัวเองจะทำให้เครื่องบินลำนี้บินขึ้นไปได้จริงๆ เหรอ?


ในเวลานี้รันเวน์เหลือระยะทางอีกแค่ 1 ใน 3 เท่านั้น ปลายทางของรันเวย์คือทุ่งหญ้า และที่ไกลออกไปคือกำแพงของลานบิน หากชนเข้าไปล่ะก็ เกรงว่าแม้แต่คุณหนูนาน่าก็คงจะช่วยไม่ได้


ไม่…ไม่ทันแล้ว


กู๊ดนึกอยากจะดันคันเร่งกลับเพื่อลดความเร็วลง เพราะนี่เหมือนจะเป็นเพียงวิธีเดียวที่รักษาชีวิตได้ เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องพุ่งชนกำแพง ในตอนที่ต้องเผชิญหน้ากำกำแพงสูงที่ไม่สามารถหลบได้ นี่แทบจะเป็นการตัดสินใจตามสัญชาตญาณของมนุษย์ทุกคน


แต่ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนมีมือข้างหนึ่งมาวางอยู่บนหัวของตน


‘เจ้า…ชอบบินไหม?’


เสียงของเรเชลดังขึ้นมาในหูเขา


บิน….


ใช่แล้ว ถ้าเป็นนกล่ะก็ มันก็ยังมีอีกทางหนึ่ง


นั่นก็คือบินข้ามกำแพงขึ้นไป


ถ้าตอนนี้หุบปีกลง เขาก็จะไม่เหลืออะไรเลย


เวลาเหมือนจะผ่านไปเพียงเสี้ยววินาที แล้วก็เหมือนจะผ่านไปนาน มือที่กำคันเร่งเอาไว้แน่นของกู๊ดขยับขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแค่มันไม่ได้ขยับถอยหลัง หากแต่ดันไปข้างหน้า


หัวเครื่องบินส่งเสียงคำรามออกมาทันที


กำแพงเหมือนจะพุ่งเข้ามาหาเขา!


กระทั่งถึงระยะ 10 กว่าเมตรสุดท้าย เขาถึงจะเชิดหัวเครื่องบินขึ้น ทันทีที่ตัวเครื่องขยับ รันเวย์พลันหายไปจากสายตาเขาทันที สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือพื้นหญ้าที่วิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว มีอยู่เสี้ยววินาทีที่เขารู้สึกเหมือนร่างกายตัวเองสูญเสียน้ำหนักไป เขารู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นนกนางแอ่น พื้นดินร่วงหล่นไปข้างล่าง ส่วนเขากำลังทะยานขึ้นไปบนฟ้า!


เร็วอีกหน่อย เร็วขึ้นอีกหน่อย! กู๊ดลืมตาโตทั้งสองข้างพร้อมกับจ้องมองดูกำแพงที่ขยับใกล้เขามาเรื่อยๆ ร่างกายเขาเตรียมตัวพร้อมที่จะพุ่งชน


แต่เหตุการณ์ที่ว่าก็ไม่เกิดขึ้น


เครื่องบินแทบจะบินเฉียดกำแพงไป ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนฟ้าสีน้ำเงิน ในตอนที่อุปสรรคที่อยู่ตรงหน้าหายไป ภาพที่ชั่วชีวิตที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของกู๊ด ทั้งโรงเรียน ชายฝั่ง แล้วก็เมืองเนเวอร์วินเทอร์ที่อยู่ไกลออกไปสะท้อนเข้ามาในดวงตาของเขา ลมที่พัดเข้ามาได้เติมเต็มช่องว่างสุดท้ายภายในใจเขา การฝึกซ้อมวันแล้ววันเล่าก็ได้แสดงผลของมันออกมาให้เห็นในเวลานี้


ความรู้สึกอิสระเช่นนี้ทำให้เขานึกอยากจะตะโกนออกมา


มนุษย์สามารถบินได้ มันช่างดีจริงๆ เลย


…..


หลังเครื่องบินลงมาจอดที่พื้น กู๊ดก็คุกเข่าลงไปต่อหน้าองค์หญิง


“ขอบพระทัยองค์หญิงที่ทรงมอบโอกาสครั้งนี้ให้กับกระหม่อม พระองค์ทำให้กระหม่อมได้เห็นภาพที่ก่อนหน้านี้ได้เห็นแค่เพียงในความฝันพ่ะย่ะค่ะ”


ในการทดสอบบินครึ่งชั่วโมง เขาได้แสดงท่ามาตรฐานตามที่เขียนเอาไว้ในคู่มือออกมาทั้งหมด ถึงแม้จะมีติดๆ ขัดๆ บ้าง แต่ก็ถือว่าทำได้สำเร็จ


ส่วนสุดท้ายจะได้คะแนนเท่าไร อันนั้นก็แล้วแต่ฟ้าจะลิขิต


ต่อให้เขาไม่สามารถทำได้ตามที่อีกฝ่ายต้องการ แต่อย่างน้อยมันก็ยังเป็นความทรงจำที่ยากจะลืมได้ นับจากนี้ขอเพียงหลับตาลง โลกใบนี้ก็จะกว้างใหญ่ขึ้น


“ทำไมเจ้าถึงมาเข้าโรงเรียนอัศวินอากาศ?”


เสียงของทิลลีดังขึ้นมาจากด้านบน


กู๊ดลังเลเล็กน้อย สุดท้ายถึงตอบออกมาตามจริง “ทูลองค์หญิง ตอนแรกกระหม่อมอยากจะได้เงินเดือนเยอะๆ ภายหลังนั้นอยากจะเหนือกว่าคนอื่นๆ แต่ตอนนี้….คือการบินพ่ะย่ะค่ะ”


“ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ชื่อเสียงหรือว่าการบิน ข้าให้เจ้าได้ทั้งหมด ขอแค่เข้าสังหารปีศาจได้มากพอ” องค์หญิงอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบและเยือกเย็น “ทำสงครามเพื่อเกรย์คาสเซิล ขับเครื่องบินออกไปกำจัดปีศาจทุกตัวที่โผล่หน้าออกมา ใช้เลือดของมันมาแลกทุกสิ่งทุกอย่าง นี่คือหน้าที่ของอัศวินอากาศ แล้วก็เป็นจุดประสงค์ของการตั้งโรงเรียนแห่งนี้ขึ้นมาด้วย ถ้าเจ้าทำได้ ก็กลับไปรายงานตัวกับอีเกิลเฟซซะ”


กู๊ดเงยหน้าขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “องค์หญิง พระองค์ทรงหมายความว่า….”


“เจ้าผ่านแล้ว” ทิลลีเดินไปโดยไม่หันกลับมามอง


…..


กระทั่งถึงตอน 5 โมงเย็น การทดสอบบินรอบแรกจึงสิ้นสุดลง ในบรรดา 16 คนมี 2 คนที่ถูกคัดออก แต่โชคดีที่ไม่มีใครเสียชีวิต


ส่วนฟินกิ้นกับฮายส์ก็ผ่านการทดสอบตามกู๊ดมาติดๆ


กระทั่งทุกคนแยกย้ายกันแล้ว ทั้งสองคนจึงคว้าตัวกู๊ดไว้แล้วลากเขาไปข้างลานบิน “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ? องค์หญิงทิลลีทรงตรัสว่าแค่บินขึ้นไปได้สำเร็จก็ถือว่าผ่านแล้ว แล้วดูเจ้าซิ ตอนแรกลังเลไม่ยอมเร่งความเร็วจนเกือบชนกำแพงไม่พอ ตอนหลังยังบินออกไปนอกเขตโรงเรียน แล้วไปวนอยู่บนทะเลอีก เจ้าไปกลัวจะตกลงไปตายหรือไง?”


นั่นมันเป็นเรื่องสุดวิสัย กู๊ดกรอกตาใส่ “ก่อนที่จะขึ้นบินองค์หญิงทรงบอกให้ทุกคนพยายามเต็มที่ไม่ใช่เหรอไง? ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่าแค่ขึ้นบินกับลงจอดได้ก็ผ่านแล้ว ข้าก็คิดแต่ว่าบินโชว์หลายๆ ท่ายังไงมันก็ต้องได้คะแนนมากกว่าท่าเดียวนี่”


“ถือว่าเจ้าโชคดีไป” ฟินกิ้นส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ


“พวกเจ้าเองก็ไม่เลวนี่” เขาเบะปาก “ขนาดไม่มีคำชี้แนะจากองค์หญิงก็ยังบินขึ้นไปได้แบบนั้น”


“อะไร? อะไรคือไม่มีคำชี้แนะ องค์หญิงก็ทรงบอกเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้ดึงคันเร่งเมื่อไร?”


“ใช่ ถึงคำชี้แนะจะน้อยกว่าคนอื่นก็ตาม” ฮายส์พูดสำทับขึ้นมา “เพราะว่าพวกเราทำผิดกฎไง”


กู๊ดงุนงงขึ้นมา หรือว่ามีเขาแค่คนเดียวที่ได้รับคำชี้แนะเลยแม้แต่ประโยคเดียว?


ในขณะที่กำลังเดินกลับมาด้วยความกลุ้มใจและไม่เข้าใจ ทั้งสามคนก็กลับมาถึงเขตที่พัก


ขณะที่เพิ่งจะเดินเข้าประตูใหญ่ กู๊ดพลันเห็นอีเกิลเฟซที่กำลังยืนหญ้านิ่งอยู่ในลานเอนกประสงค์


ทั้งสามคนตัวสั่นขึ้นมาทันที จริงๆ แล้วนักบินฝึกหัดกลัวครูฝึกคนนี้มากกว่าองค์หญิงเสียอีก โดยเฉพาะดวงตาทั้งสองข้างของอีเกิลเฟซ เวลาที่ถูกจ้องนั้นเหมือนกับพวกเขาเป็นเหยื่อที่ไม่มีทางหนีรอดไปไหนเลย


“ทะ ท่านอีเกิลเฟซ…”


“พวกเจ้านี่จริงๆ เลย นานทีจะได้หยุดก็ยังมาหาเรื่องให้ข้าอีก” เขากวาดตามองทั้งสามคนด้วยสายตาเยือกเย็น “องค์หญิงทิลลีทรงเล่าให้ข้าฟังแล้ว พวกเจ้าโชคดีนะที่ยังไม่ได้เข้ากองทัพ อีกทั้งที่นี่ก็ไม่ใช่พื้นที่ของกองทัพที่หนึ่ง ไม่อย่างนั้นล่ะก็….”


“ท่านอีเกิลเฟซ พวกเราผิดไปแล้วขอรับ!” ทั้งสามคนรับพูดสำนึกผิดอย่างจริงใจ


“ในเมื่อองค์หญิงทรงจัดการแล้ว อย่างนั้นข้าก็จะไม่พูดอะไรอีก แต่ถ้าพวกเจ้าอยากจะเป็นอัศวินอากาศ หลังจากนี้ช้าเร็วก็ต้องเป็นหนึ่งในสมาชิกของกองทัพที่หนึ่งอยู่ดี” อีเกิลเฟซเก็บรอยยิ้มอันเยือกเย็น ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง “เพื่อจะให้พวกเจ้าได้หลาบจำ จะได้ไม่ทำผิดแบบนี้อีก หลังจากนี้หนึ่งเดือนพวกเจ้าต้องเป็นคนรับผิดชอบล้างห้องน้ำ เข้าใจไหม?”


“หา?” ฟินกิ้นกับฮายส์ทำหน้าแย่ออกมาทันที


มีเพียงกู๊ดที่ยกมือขึ้นมาทำวันยหัตถ์อย่างตื่นเต้น


“รับทราบขอรับ!”


…………………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)