Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1187-1193

 ตอนที่ 1187 สิ่งที่เรียกว่าการสืบทอด

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เทคโนโลยีเหรอ…” โรแลนด์ขมวดคิ้วขึ้นมา เขาเคยเห็นภาพในความทรงจำของปีศาจว่าเผ่าพันธุ์ของพวกมันทำการยกระดับด้วยการรวมร่างเข้ากับหินเวทมนตร์ที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าเพื่อกำหนดพรสวรรค์และความสามารถของตัวเอง ถ้าสำเร็จก็รอด ถ้าไม่สำเร็จก็ตาย นี่ดูแล้วไม่ได้ต่างจากความสามารถของแม่มดเท่าไรเลย ทั้งคู่ต่างต้องอาศัยโชคชะตา เผลอๆ พวกปีศาจอาจจะน่ารันทดกว่าด้วยซ้ำ


แต่เทคโนโลยีนั้นไม่เหมือนกัน…ขอเพียงเข้าใจกฎเกณฑ์ของมันก็จะสามารถขยายขนาดของมันได้อย่างรวดเร็ว แล้วก็ยังสามารถพัฒนาไปในทิศทางที่ต้องการได้ นี่ถือว่าเป็นข่าวร้ายสำหรับมนุษย์เลยทีเดียว


“เจ้ามั่นใจเหรอ?” ในฐานะที่เป็นคนที่มีความคิดใกล้เคียงกับโรแลนด์ อันนาเองก็สังเกตได้ถึงจุดนี้เช่นเดียวกัน


“อันนี้ก็ต้องรอให้ขนเอาซากศพมันกลับมาทำการวิจัยเพิ่มเติมก่อนเพคะ เพียงแต่ว่า…” เธอมองไปทางเซลีน


อีกฝ่ายผงกหนวดหลัก ก่อนจะพาทุกคนไปยังหน้าก้อนหินยักษ์สีดำที่เต็มไปด้วยรอยแตก ‘นี่คือส่วนหนึ่งปีศาจโครงกระดูกยักษ์ เมื่อดูจากผลชันสูตรในตอนนี้แล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิต’


“เอ่อ…ถ้ามีชีวิตมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” โรแลนด์ลูบคางตัวเอง เพราะในรายงานของหลังการรบได้มีการระบุเอาไว้ว่าตอนที่ปีศาจโครงกระดูกถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงใส่ มันได้ส่งเสียงร้องโหยหวนไปทั่วทั้งสนามรบ “เจ้าสิ่งนี้มันเป็นเกราะของปีศาจอัปลักษณ์ใช่หรือเปล่า”


‘ไม่ใช่เพคะ ฝ่าบาท’ น้ำเสียงของเซลีนฟังดูแปลกๆ ‘หม่อมฉันหมายความว่า…เจ้าก้อนหินนี้มันคือสิ่งมีชีวิตเพคะ’


“อะไรนะ?”


ทุกคนตกตะลึง ก่อนจะพากันเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว


“เดี๋ยวๆ เจ้าบอกว่ามันมีชีวิต?”


“หรือว่าก้อนหินนี่ก็เป็นปีศาจชนิดหนึ่งเหมือนกัน?”


“ข้าไม่ค่อย…เข้าใจ อธิบายให้ละเอียดหน่อยได้ไหม?”


ภายในโถงมีเสียงสอบดังขึ้นมาไม่ขาดสาย


‘พูดง่ายๆ ก็คือพวกมันมีระบบที่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวง่ายๆ ของตัวเองได้โดยอิสระ’ เซลีนใช้หนวดม้วนเอาค้อนเหล็กขึ้นมา ก่อนจะเคาะลงไปบนรอยแตกของก้อนหิน เมื่อเสียง ‘เป๊ง’ ดังขึ้น ก้อนหินก็สั่นขึ้นมาเล็กน้อย โรแลนด์มองเห็นตรงด้านในของรอยแตกมีอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนเส้นประสาทกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ส่วนการสั่นนี้ก็สั่นอยู่ประมาณครึ่งนาทีก่อนจะหยุดลง เห็นได้ชัดว่านั่นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะค้อน


“จากสถานการณ์ในสนามรบเราจะเห็นได้ว่าตรงด้านล่างท้องของปีศาจโครงกระดูกยังมีร่างที่เป็นเนื้อเยื่อขนาดใหญ่ห้อยอยู่ ก่อนหน้านี้พวกเราคิดมาตลอดว่ามันต่างหากที่เป็นร่างที่แท้จริงของปีศาจอัปลักษณ์ แต่ผลจากการชันสูตรได้พิสูจน์ให้เห็นว่าทั้งสองนั้นไม่ได้สิ่งเดียวกัน” อกาธาพูดต่อ “หลังจากค้นพบในจุดนี้ หม่อมฉันกับเซลีนตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าในเมื่อปีศาจโครงกระดูกสามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง แล้วทำไมถึงยังต้องมีปีศาจอัปลักษณ์อยู่ใต้ท้องมันอีก? จนกระทั่งหม่อมฉันได้เห็นวิธีการเปลี่ยนสภาพของผู้พิฆาตเวทมนตร์ หม่อมฉันจึงได้คิดขึ้นมาได้ว่ามันคล้ายอะไรบางอย่างมาก”


อันนาคิดขึ้นมาได้เป็นคนแรก “ร่างเปลือกเหรอ?”


‘ถูกต้องเพคะ’ เซลีนพูด ‘ไม่ว่าจะเป็นร่างต้นแบบหรือว่าหนอนกลืนกิน พวกมันก็มีจุดเด่นอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือในตอนที่ไม่มีผู้ควบคุม พวกมันก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตอยู่’ เธอเอี้ยวตัวหันไปมองโรแลนด์ ‘ฝ่าบาทเพคะ พระองค์ยังทรงจำคำพูดของคาบราดาบีได้ไหมเพคะ ที่มันบอกว่า ‘หรือว่าพวกเจ้าชิงเอาชิ้นส่วนสืบทอดมาได้และเผ่าพันธุ์ได้รับการยกระดับ?’


“หลังจากนั้นยังมีอีกประโยค” โรแลนด์พยักหน้า เขาจำเหตุการณ์ในตอนนั้นได้อย่างชัดเจน เพราะพอได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องยกระดับ เขาก็เกือบจะหลุดพูดคำว่า ‘ข้านี่แหละคือ Tal’darim’ ออกมา “อาวุธพวกนี้ก็ใช้สิ่งที่อยู่ในเศษชิ้นส่วนสร้างออกมาเหรอ?…มันน่าจะหมายความแบบนี้ล่ะมั้ง”


ทิลลีเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ “ตอนนี้ดูเหมือนที่คาบราดาบีคิดเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะว่าพวกมันก็ได้รับวิธีการสร้างร่างเปลือกมาจากเศษชิ้นส่วนเหรอ? พูดอีกอย่างก็คือไม่ว่าจะไม่เป็นปีศาจแมงมุมหรือว่าปีศาจโครงกระดูกยักษ์ ความจริงแล้วมันก็เป็นร่างรวมของปีศาจสองชนิด หนึ่งคือร่างเปลือก อีกอันหนึ่งคือคนควบคุม?”


‘มีความเป็นไปได้สูง เพราะว่าทั้งสองมีอะไรคล้ายๆ กันหลายอย่าง อย่างเช่นร่างเปลือกมีอายุที่ยาวนานอย่างมาก เมื่ออยู่ในสภาพจำศีลจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นเวลายาวนาน ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บอย่างมาก แต่มันก็ไม่ตายง่ายๆ’


“แต่พวกอารยธรรมใต้ดินมันใช้เครื่องถ่ายโอนวิญญาณในการควบคุมร่างเปลือกไม่ใช่เหรอ? แต่วิธีของปีศาจเหมือนจะไม่ได้เป็นแบบนั้น…”


“บางที…อาจเป็นเพราะยังไม่ได้รับวิธีการสร้างแกนเวทมนตร์อย่างสมบูรณ์แบบมา พวกมันถึงไม่สามารถเปลี่ยนร่างเปลือกได้เหมือนอย่างอารยธรรมใต้ดิน” อกาธาตอบ “หรือไม่ก็นี่อาจจะเป็นวิธีการใช้ที่เหมาะสมกับเผ่าพันธุ์มันมากกว่า ก็เหมือนกับตอนที่สมาพันธ์ขาดแคลนร่างเปลือก พวกเขาก็เลยคิดค้นวิธีเปลี่ยนร่างทหารอาญาสิทธิ์ขึ้นมา ในอีกแง่หนึ่งทหารอาญาสิทธิ์ก็คือร่างเปลือกอย่างหนึ่ง”


“เดี๋ยวๆ ข้าว่ามันไม่ใช่นะ?” ไนติงเกลทำสีหน้าสับสน “ถึงแม้ข้าจะไม่ค่อยเข้าใจทฤษฎีของพวกเจ้า แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่ข้ามั่นใจได้ นั่นก็คือมนุษย์ไม่เคยได้รับชิ้นส่วนสืบทอดอะไรนั่น อาวุธที่กองทัพที่หนึ่งใช้ก็มาจากความคิดของฝ่าบาททั้งหมด การเปลี่ยนร่างทหารอาญาสิทธิ์ก็เป็นผลจากการวิจัยของสมาพันธ์ แต่สุดท้ายพวกเราก็ยังรู้วิธีใช้แกนเวทมนตร์ แล้วก็รับเอามรดกต่างๆ ของอารยธรรมใต้ดินมาไม่ใช่เหรอ?”


“ความจริงแล้วนี่คือส่วนสำคัญของปัญหา” อกาธาพูดอย่างจริงจัง “ข้าเดาว่าวิธีการได้รับการสืบทอดนั้นอาจจะไม่ได้มีแค่มรดกของพระเจ้าแค่ทางเดียว นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงได้เรียกมันว่าเทคโนโลยี แทนที่จะเป็นความสามารถ”


โรแลนด์พลันรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที ความรู้สึกที่ยากจะบรรยายได้มันไหลทะลักเข้ามาในหัว “เจ้าหมายถึง…การเรียนรู้?”


“ใช่เพคะ” แม่มดน้ำแข็งถอนหายใจออกมา “ผ่านการถ่ายทอดกับการเรียนรู้ ถึงแม้จะไม่ได้กลืนกินมรดกของพระเจ้า หรือก็คือชิ้นส่วนสืบทอด แต่พวกเราก็ยังได้รับทุกสิ่งที่อย่างที่อารยธรรมสะสมมา หม่อมฉันคิดว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นการสืบทอดที่แท้จริง”


ภายในโถงตกอยู่ในความเงียบ


ผ่านไปครู่หนึ่ง คำพูดของเซลีนได้ดังขึ้นมาในหัวของทุกคนอีกครั้ง ‘การที่ปีศาจมันสามารถสร้างอาวุธใหม่ขึ้นมาได้เยอะมากมายขนาดนี้ในช่วงเวลา 400 ปีที่ผ่านมา บางทีประโยชน์ของมรดกของพระเจ้าอาจจะเป็นในเรื่องของการช่วยร่นระยะเวลาในการเรียนรู้ลง เผลอๆ อาจจะทำให้เรียนรู้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ และการวิวัฒนาการที่อารยธรรมได้รับจากตรงนี้ก็คือ ‘การยกระดับ’ ที่พวกมันพูดถึง’


ในที่สุดโรแลนด์ก็รู้แล้วว่าความรู้สึกที่มันรบกวนจิตใจเขามันก็อะไร บางทีคาบราดาบีอาจจะพูดไม่ผิด มนุษย์นั้นได้รับการถ่ายทอดจริงๆ แต่ไม่ใช่จากมรดกของอารยธรรมใดอารยธรรมหนึ่ง หากแต่เป็นการสอนผ่านการพูดปากเปล่าที่โบราณที่สุด เขาซึ่งเป็นคนที่ข้ามยุคสมัยมาได้เชื่อมต่อสองโลกนี้เข้าด้วยกันไปด้วยไม่รู้ตัว


“ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ อย่างนั้นไม่เท่ากับว่ามรดกของพระเจ้ากำลังบันทึกเรื่องราวทุกอย่างของพวกเราอยู่ตลอดเวลาหรอกเหรอ?” เวนดี้พูดพร้อมมองไปทางห้องลับที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโถง ที่นั่นคือสถานที่ที่ใช้เก็บมรดกของพระเจ้า


“ไม่มีใครรู้คำตอบในเรื่องนี้หรอก นอกเสียจากพวกเราจะได้รับชิ้นส่วนสืบทอดมา” อกาธาส่ายหัว “แต่ถ้าปีศาจมันรู้เทคโนโลยีร่างเปลือกจริงๆ หลังจากนี้พวกเราก็อาจจะต้องเจอกับความท้าทายที่ไม่เคยเจอมาก่อน” เธอหันไปมองโรแลนด์ด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ขอประทานอภัยด้วยเพคะ ฝ่าบาท….เกรงว่าประสบการณ์การสู้รบมาเป็นเวลาหลายร้อยปีของสมาพันธ์จะไม่สามารถช่วยเหลือพระองค์ได้แล้วเพคะ”


“ไม่เป็นไร สำหรับปีศาจแล้ว สงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สามก็เป็นประสบการณ์ใหม่หมดเหมือนกัน” โรแลนด์พูดปลอบ ถึงแม้เบื้องหน้าจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่เขาก็ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกคน ไม่ว่ายังไงก็ห้ามถอยเด็ดขาด “นอกจากนี้ถ้าการยกระดับมันจำกัดอยู่แค่เรื่องเทคโนโลยีล่ะก็ อย่างนั้นก็หมายความว่าพวกเราก็สามารถเรียนรู้สิ่งที่ต้องการจากอีกฝ่ายหรืออารยธรรมที่สูญเสียชิ้นส่วนสืบทอดเหล่านั้นได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”


‘พระองค์ตรัสถูกต้องแล้วเพคะ’ เซลีนเองก็คิดเหมือนกัน ‘ซึ่งนี่ก็คือหนึ่งในหน้าที่ของสมาชิกสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับเพคะ’


………………………………………………………………………….


ตอนที่ 1188 ผลสรุปจากการรบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในการประชุมอีกสองสามวันหลังจากนั้น กองเสนาธิการทหารใหญ่ได้ทำการทวนและสรุปผลของปฏิบัติการคบเพลิงจากภาพย้อนกลับของแอ็กเซียและผลจากการค้นซากเมืองทาคิลา ในทุกๆ วันจะมีรายงานไปวางเอาไว้บนโต๊ะทำงานของโรแลนด์จนกองสูงเกือบครึ่งตัวคน


รายละเอียดที่เยอะขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น


อย่างเช่นพวกเขาค้นพบว่าหินอาญาสิทธิ์ขนาดยักษ์ที่ปรากฏขึ้นที่ศึกนอร์ธบาวด์และศึกตัดสินเมืองทาคิลาล้วนแต่มาจากเหมืองหินอาญาสิทธิ์ใต้เมืองทาคิลา ด้านล่างเหมืองทีมนักสืบได้พบส่วนของแร่หินอาญาสิทธิ์ที่หายไป เสาหินอาญาสิทธิ์ขนาดกลางสองเสาถูกตัดออกไปครึ่งหนึ่ง ผิวหน้าตัดของมันราบเรียบอย่างมาก คล้ายกับว่าถูกอาวุธมีคมตัดไปอย่างไรอย่างนั้น


ถึงแม้บริเวณใกล้ๆ หินอาญาสิทธิ์จะไม่สามารถใช้พลังฉายภาพย้อนกลับได้ แต่เมื่อดูจากสถานการณ์โดยรวมแล้วก็ยังพอจะรู้ได้ว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับปีศาจโครงกระดูกยักษ์แน่นอน ความจริงแล้วปีศาจโครงกระดูกยักษ์ไม่เพียงแต่จะเป็นเครื่องมือในการขนส่งอย่างหนึ่งเท่านั้น หากแต่มันยังเป็นเหมือนเสาโอเบลิสขนาดเล็กที่ปล่อยหมอกแดงได้ด้วย ซึ่งดินบริเวณรอบๆ ซากเมืองทาคิลาที่ถูกกัดกร่อนคือสิ่งยืนยันในข้อนี้ เมื่อเทียบกับเสาโอเบลิสที่สามารถปล่อยหมอกแดงปกคลุมไปได้หลายร้อยกิโลเมตรแล้ว ขอบเขตการปกคลุมของหมอกแดงที่ปล่อยออกมาจากปีศาจโครงกระดูกนั้นกว้างเพียงแค่ 100 – 200 เมตรเท่านั้น อีกทั้งมันยังจำเป็นต้องมีเส้นส่งหมอกแดงมาเลี้ยงตัวมันเพื่อปล่อยหมอกแดงออกมาอีกทีด้วย


ในฐานะที่เป็น ‘หอสังเกตการณ์’ ที่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ มันจึงมีความสำคัญทางกลยุทธ์อย่างมาก ทางทีมที่ปรึกษาได้ให้ข้อสรุปออกมาว่าเมื่อเทียบกับปีศาจแมงมุมแล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่ปีศาจร่างเปลือกขนาดใหญ่นี้จะมีจำนวนอยู่แค่ไม่กี่ตัว ไม่อย่างนั้นพวกปีศาจคงเอามันมาใช้แทนที่หอสังเกตการณ์และยึดครองทั้งที่ราบลุ่มบริบูรณ์ก่อนที่มนุษย์จะตั้งตัวได้ทันแล้ว


นอกจากนี้ อุโมงค์ที่ตั้งอยู่ด้านหลังเมืองทาคิลาส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอุโมงค์ที่ปีศาจแมงมุมขุดขึ้นมา ถึงแม้ความสามารถในการขุดของพวกมันจะไม่สามารถเทียบกับหนอนกลืนกินได้ แต่เมื่อเทียบกับปีศาจคุ้มคลั่งแล้วก็ถือว่าดีกว่ามาก อุโมงค์เหล่านี้กระจายตัวออกมาจากเหมืองแร่หินอาญาสิทธิ์ ระดับความลึกของมันมากพอที่จะป้องกันความสามารถประเภทสอดแนมได้ บวกกับการที่พวกมันมีเวลาเตรียมตัวที่มากพอ ทำให้เป็นเรื่องจากที่จะสังเกตเห็นอุโมงค์เหล่านี้


เนื่องจากเซลีนและอกาธาต่างมองว่าปีศาจโครงกระดูกและปีศาจแมงมุมนั้นเป็นปีศาจประเภทเดียวกัน ด้วยเหตุนี้โรแลนด์จึงตั้งชื่อให้มันใหม่ว่า ‘อสูรยักษ์’ เพื่อที่จะแยกอสูรที่เป็นร่างเปลือกกับอสูรประเภทอื่น แล้วหลังจากนี้ค่อยเติมชื่อประเภทเข้าไปด้านหลัง ก็จะทำให้สามารถตั้งชื่อปีศาจประเภทเดียวกันที่ยังไม่ค้นพบได้อย่างรวดเร็ว


ตอนนี้ปีศาจร่างเปลือกสองชนิดนี้ถูกแบ่งออกเป็น ‘อสูรยักษ์ป้อมปราการ’ กับ ‘อสูรยักษ์แมงมุม’ โดยอสูรยักษ์แมงมุมจะถูกแบ่งออกเป็นประเภทขว้างเข็มหินกับขว้างปีศาจออกมา ชื่อที่ถูกต้องไม่เพียงแต่จะมีประโยชน์ต่อการซ้อมทำสงครามและออกคำสั่ง แต่มันยังทำให้ง่ายต่อการทำสถิติและจดบันทึกหลังสงครามด้วย


นอกจากการวิเคราะห์สถานการณ์บนสนามอย่างละเอียดแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่โรแลนด์ให้ความสำคัญก็คือข้อบกพร่องและจุดที่ต้องทำการแก้ไขที่ทางกองเสนาธิการทหารใหญ่ทำการเรียบเรียงออกมา


ในนั้นมีรายงานที่เอดิธส์เป็นคนเขียนออกมาด้วยตัวเอง แล้วก็เป็นปัญหาสำคัญอันดับแรกในบรรดาปัญหาจำนวนมาก นั้นก็คือเรื่องความสามารถในการสอดแนม


ถ้าตัดเรื่องการสอดแนมบนท้องฟ้าไป ในประวัติศาสตร์การรบของมนุษย์ที่ผ่านมา การทำศึกในอุโมงค์ใต้ดินซึ่งมีข้อจำกัดในเรื่องเครื่องมือการขุดและค่อนข้างเสียเวลานั้นถือเป็นเพียงแค่ลูกไม้ในการรบอย่างหนึ่งเท่านั้น มันไม่สามารถนำมาใช้เป็นวิธีการรบอย่างจริงจังได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหนอนกลืนกินกับอสูรยักษ์แมงมุมแล้ว แนวคิดนี้ดูจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ลูกไม้อีกต่อไป ขอเพียงรวบรวมร่างเปลือกได้มากพอ ศัตรูก็จะมีโอกาสที่จะขุดอุโมงค์ใต้ดินที่มีขนาดใหญ่พอที่จะให้กองทัพเดินผ่านได้ ด้วยเหตุนี้พื้นที่ใต้ดินจึงกลายเป็นพื้นที่อันตรายที่จำเป็นต้องทำการป้องกันด้วย


การจะพึ่งพาซิลเวียเพียงคนเดียวนั้นไม่เพียงแต่จะดูแลไม่ทั่วถึง แต่มันยังไม่คุ้มค่าอย่างมากด้วย เวลาที่ดวงตาแห่งเวทมนตร์ต้องมองทะลุสิ่งกีดความ การใช้พลังเวทมนตร์จะเพิ่งขึ้นอย่างมาก ด้วยพลังเวทมนตร์ทั้งหมดที่ซิลเวียมีอยู่ในตอนนี้ทำให้เธอมองดูเป้าหมายบนพื้นดินที่อยู่ห่างออกไปมากกว่า 10 กิโลเมตรได้ทั้งวัน แต่ถ้าให้เธอสำรวจดูใต้ดินล่ะก็ พื้นที่ที่เธอสำรวจได้ก็จะมีขนาดแค่ 1- 2 สนามฟุตบอลแล้วก็ลึกแค่ 3 – 4 เมตรเท่านั้น


ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากแม่มดอมนุษย์แล้ว พลังของแม่มดทุกคนต่างก็มีเกณฑ์การใช้พลังอยู่ ในตอนที่เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งเกินเกณฑ์ไป การใช้พลังเวทมนตร์จะเพิ่มขึ้นเป็นแบบยกกำลัง ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ถ้าใช้พลังไปกับเรื่องไม่เร่งด่วนจะถือเป็นการสิ้นเปลืองพลังเวทมนตร์อย่างหนึ่ง


งานเฝ้าระวังนี้จำเป็นต้องให้กองทัพที่หนึ่งเป็นคนรับผิดชอบ


โรแลนด์จำได้ลางๆ ว่าในประวัติศาสตร์เคยมีการใช้เครื่องฟังใต้ดินมาป้องกันฝ่ายตรงข้ามขุดอุโมงค์เข้ามาลอบโจมตี หลักการทำงานของมันคล้ายๆ กับหูฟังทางการแพทย์ โดยเสียงจะวิ่งผ่านดินได้เร็วกว่าอากาศ ทำให้สามารถใช้ยินเสียงอีกฝ่ายขุดอุโมงค์ได้อย่างชัดเจน


เพียงแต่วิธีนี้จะใช้ได้แค่กับอุโมงค์ที่ขุดอยู่ใกล้ๆ ฐานเท่านั้น พวกกับดักที่วางเอาไว้นานแล้วอย่างที่ทาคิลานั้นไม่สามารถใช้วิธีนี้มาแก้ปัญหาได้


เขาครุ่นคิดดูแล้วก่อนจะคิดหาวิธีที่น่าจะใช้ได้วิธีหนึ่งออกมา….นั่นก็คือการเจาะสำรวจดิน


นี่เป็นวิธีการตรวจสอบระดับความลึกที่วิศวโยธาใช้กันอย่างแพร่หลาย ในฐานะที่เขาเคยทำงานในสายวิทยาศาสตร์และวิศวะมา เขาเคยได้ยินเพื่อนร่วมงานที่เป็นวิศวโยธาพูดถึงมันอยู่บ่อยๆ พูดง่ายๆ ก็คือเป็นการใช้เหล็กเส้นตอกลงไปใต้ดิน แล้วก็ใช้ระยะของเหล็กที่ตอกลงไปใต้ดินในการวิเคราะห์ดูความอ่อนแข็งของชั้นดิน ปกติจุดที่ทำทดสอบจะมีการปักเสาไม้ห่างกันหลายเมตร ขอเพียงมีอุปกรณ์ที่ใช้ตรวจสอบ แค่คนไม่กี่คนก็สามารถตรวจสอบดูพื้นที่ได้เป็นบริเวณกว้างแล้ว ในตอนที่จู่ๆ ตัวเลขระยะของเหล็กเส้นที่จมลงไปใต้ดินเพิ่มขึ้นมา นั่นก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ด้านล่างจะมีโพรงอยู่


หากเอาวิธีการฟังเสียงและทดสอบความลึกมาใช้ด้วยกัน มันก็จะสามารถใช้เฝ้าระวังการโจมตีจากใต้ดินโดยไม่ต้องพึ่งพาแม่มดได้


ส่วนการสอดแนมทางอากาศนั้น ถ้าไม่อยากจะพึ่งพาเมซี่กับไลต์นิ่ง หนทางเดียวก็คือต้องพึ่งอัศวินอากาศเท่านั้น


ซึ่งอัศวินอากาศจะพร้อมปฏิบัติหน้าที่นี้เมื่อไรก็คงต้องฝากความหวังเอาไว้ที่ทิลลีแล้ว


นอกจากนี้ในรายงานยังมีข้อสรุปทำนองว่า ‘พึ่งพาแนวรบมากเกินไป’ ‘ขาดความสามารถในการสนับสนุนที่รวดเร็ว’ ซึ่งข้อสรุปเหล่านี้ทำให้โรแลนด์รับรู้ได้ถึงการพัฒนาของทีมที่ปรึกษา แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เขารู้สึกจนปัญญาด้วย ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ถึงปัญหาเหล่านี้ แต่เนื่องจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์มีข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนประชากร มันจึงยากจะทำให้เขาแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ


สุดท้ายในรายงานจำนวนมากมีความเป็นอันหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกสนใจ มันเป็นรายงานจากทหารระดับล่างของกองทัพ คนที่ส่งมาคือทหารที่ทำหน้าที่ขนส่ง ในรายงานบอกว่าในการต่อสู้ที่หนักหน่วง ปืนกลแม็กซิมนั้นไม่ค่อยเสถียรเท่าไร หลังจบศึกแล้วมีทหารของหน่วยปืนกลหลายนายบ่นออกมา พวกเขาบอกว่าเวลาที่ต้องใช้ในการเปลี่ยนลำกล้องปืนนั้นนานกว่าเวลาที่ใช้ในการยิงปืนเสียอีก ซึ่งนี่ได้สร้างภาระให้กับทีมขนส่งไม่น้อย หากเป็นไปได้ พวกเขาอยากจะให้ทำการปรับเปลี่ยนมันให้ดีขึ้น


นี่เป็นครั้งแรกที่โรแลนด์ได้รับรู้ความรู้สึกของทหารจากแนวหน้าหลังจากที่จัดตั้งระบบรับฟังความคิดเห็นขึ้นมา ในฐานะที่เป็นผู้ที่ใช้อาวุธนั้นโดยตรง พวกเขาย่อมต้องเป็นคนรู้เรื่องข้อดีข้อเสียของอาวุธดีที่สุด


ความจริงในตอนที่สถานีหมายเลขหนึ่งถูกลอบโจมตี เขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าลำกล้องปืนที่เสียมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่ว่าเนื่องจากชิ้นส่วนเหล่านี้สามารถเอากลับมาเข้าเตาหลอมแล้วขึ้นรูปใหม่ได้ ในตอนนั้นเขาจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก แต่ตอนนี้เมื่อมาคิดดูแล้ว ที่จำนวนลำกล้องปืนที่เสียมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น มันน่าจะเป็นเพราะคนยิงขาดประสบการณ์กับความกดดันจากทางฝั่งศัตรูที่เพิ่มมากขึ้น การทำศึกในเวลากลางคืนนั้นยิ่งทำให้ทหารวิตกกังล บวกกับยากที่จะมองเห็นผลจากการยิง จึงทำให้พวกเขาแทบจะกดไกปืนค้างเอาไว้ตลอด ส่วนลำกล้องปืนที่ใช้อากาศในการระบายความร้อนก็มีอายุการใช้งานสั้นกว่าลำกล้องปืนที่ใช้น้ำในการระบายความร้อน ในการทำศึกก่อนหน้านี้ปืนยังพอจะระบายความร้อนได้ทันอยู่ แต่เมื่อระยะเวลาในการยิงนานขึ้น การระบายความร้อนของปืนจึงเริ่มจะตามไม่ทัน


นี่ทำให้โรแลนด์เริ่มฉุกคิดขึ้นมา ตอนแรกที่เลือกใช้ลำกล้องปืนที่ระบายความร้อนด้วยอากาศก็เพราะเขาอยากจะให้มันใช้งานได้ในหลายๆ สถานการณ์ ถ้าออกแบบมันเหมือนอย่างปืนกลแม็กซิม มันจะไม่เหมาะกับแนวคิด ‘ครอบจักรวาล’ ซักเท่าไร แต่ผลการใช้งานออกที่ออกมากลับไม่ได้ดีเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ ถึงแม้การผลิตกระสุนส่องวิถีกับประสบการณ์รบในเวลากลางคืนที่เพิ่มมากขึ้นจะพอช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง แต่ทหารที่ศัตรูส่งเข้ามาทางตะวันตกนั้นเป็นเพียงแค่หยิบมือเดียวของพวกมันเท่านั้น ถ้าทัพหลักของพวกมันบุกเข้ามาจริงๆ เกรงว่าพวกเขาคงต้องตายเพราะปืนกลหนักถูกใช้งานจนพังแน่


โชคดีที่รายงานนี้ทำให้เขารู้ถึงความผิดพลาดของตัวเอง


วิธีการแก้ไขปัญหาก็คือแยกทั้งสองอย่างออกจากกัน ปืนกลหนักที่เอาไว้ใช้รับมือกับพวกศัตรูโดยเฉพาะจะทำการเปลี่ยนลำกล้องปืนให้มีขนาดยาวกว่าเดิมและมีการติดตั้งแผ่นระบายความร้อนเอาไว้ด้วย ส่วนปืนกลเบาที่จะให้ทหารถือบุกเข้าไปหรือติดตั้งเอาไว้บนรถก็จะเอาปืนกลแม็กซิมมาออกแบบใหม่ให้มีน้ำหนักเบากว่าเดิม เพื่อให้มันใช้ทำศึกหลังจากนี้ได้


………………………………………………………………..


ตอนที่ 1189 โปรเจคเรเดียชั่น

โดย

Ink Stone_Fantasy

นอกจากการสรุปผลการรบแล้ว กองบัญชาการเสนาธิการทหารใหญ่ยังวางแผนการเบื้องต้นในการทำสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สามที่กำลังจะมาถึงด้วย


ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่รู้แน่ชัดถึงแผนการโจมตีของศัตรู แต่มีจุดหนึ่งที่สามารถมั่นใจได้ก็คือไม่ว่าปีศาจจะบุกมาจากทางไหน ทาคิลาก็คือสิ่งที่ไม่อาจทิ้งไปได้ ในฐานะที่เป็นหมุดที่ปักอยู่บนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ มันไม่เพียงแต่จะสามารถหยุดการขยายฐานที่มั่นของปีศาจได้ แต่มันยังเป็นฐานให้เมืองกองทัพของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้ใช้ในการขยายดินแดนด้วย ขอเพียงทาคิลายังอยู่ในมือมนุษย์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกรย์คาสเซิลก็จะไม่ถูกหมอกแดงปกคลุม


ด้วยเหตุนี้การสร้างเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกทิ้งร้างเป็นเวลาหลายร้อยปีให้กลายเป็นป้อมปืนใหญ่ในแนวหน้าจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก


ถ้าหากทัพหลักของปีศาจยังคงบุกมาจากที่ราบลุ่มบริบูรณ์ อย่างนั้นสิ่งที่กองทัพที่หนึ่งต้องทำก็คือเสริมความแข็งแกร่งให้กับการป้องกันของรางเหล็กเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ปีศาจมาสกัดเส้นทางขนส่งเสบียงและอาวุธของกองทัพที่หนึ่ง ขณะเดียวกันก็เพื่อจะได้เปิดฉากโจมตีใส่หอสังเกตการณ์ของพวกมัน กลยุทธ์ทั้งหมดส่วนใหญ่เหมือนกับปฏิบัติการคบเพลิง ถึงแม้จะมีแรงกดดันมหาศาล แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง ขอเพียงยื้อเอาไว้ได้ ช้าเร็วมนุษย์ก็ต้องได้รับชัยชนะแน่นอน


แต่ปัญหานั้นอยู่นี่วูล์ฟฮาร์ทกับอีเทอร์นอลวินเทอร์ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ


ถ้าเกิดศัตรูบุกเข้ามาในอาณาจักรจากทางสันหลังของทวีป การทำศึกก็จะกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก วูล์ฟฮาร์ทนั้นมีเนินเขาอยู่เต็มไปหมด ส่วนอีเทอร์นอลวินเทอร์ก็ไม่มีแม่น้ำ บวกกับตรงกลางมีอาณาจักรดอว์นกับเทือกเขาสองแห่งคั่นกลางเอาไว้อยู่ การจะปูรางเหล็กไปถึงทางด้านเหนือของทวีปในระยะเวลาสั้นๆ จึงไม่มีทางเป็นไปได้ เพียงแค่เทคโนโลยีในการทำอุโมงค์กับสะพานข้ามเทือกเขาซึ่งเป็นแนวป้องกันธรรมชาติไปก็เป็นปัญหาที่ยากจะแก้ไขได้แล้ว


ขณะเดียวกันกองทัพที่หนึ่งก็ไม่มีทางที่จะไปฝากความหวังให้ขุนนางในพื้นที่มาช่วยเหลือเรื่องการขนส่งได้ หลังจากแผนการเกณฑ์ประชากรเริ่มใช้ พวกเขาจะต้องเกลียดเมืองเนเวอร์วินเทอร์แน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่เรื่องที่จะช่วยเหลือเลย เผลอๆ อาจจะโดนพวกเขาเล่นงานลับหลังด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้งานส่วนนี้ทางกองทัพจึงต้องเป็นคนจัดการเอง


เมื่อดูแบบนี้แล้ว วิธีการขนส่งเพียงหนึ่งเดียวที่พอจะพึ่งได้ก็เหลือแค่การขนส่งทางทะเลเท่านั้น แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าเมืองท่าต่างๆ ล้วนแต่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของทวีปกันหมด ทำให้เป็นปัญหาต่อการสร้างแนวป้องกัน หากถูกปีศาจตีกระหนาบเข้ามา แม้แต่ทางหนีก็จะไม่มี ถ้าสามารถต้านทานไว้ได้มันก็ดี แต่ถ้ากันเอาไว้ไม่อยู่ เกรงว่ามันจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างมาก


นอกจากนี้นอกจากจะต้องคอยสู้กับปีศาจแล้ว กองทัพที่หนึ่งยังต้องคอยปกป้องและอพยพชาวเมืองด้วย เมื่อเทียบกับที่ราบลุ่มบริบูรณ์ที่กว้างใหญ่และไม่มีผู้คนแล้ว การทำศึกอยู่ในอาณาจักรอื่นนั้นมีความไม่แน่นอนอยู่มากมาย และก็ด้วยเหตุนี้ ในแผนของกองบัญชาการเสนาธิการทหารใหญ่จึงไม่ได้มีการวางแผนเกี่ยวกับทางด้านทิศเหนือเอาไว้เลย พวกเขาเพียงแต่พูดถึงความเป็นไปได้นี้ไว้ ในตอนที่ประชุมก่อนหน้านี้ โรแลนด์ก็สังเกตเห็นว่าขอบตาของเอดิธส์นั้นคล้ำนิดหน่อย


หลังจากที่ถูกตกหลุมพรางของอุรูคเมื่อครั้งที่แล้ว ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือเหมือนจะหมกมุ่นอยู่กับชัยชนะมากขึ้นกว่าเดิม


โรแลนด์วางรายงานลงพร้อมกับถอนใจออกมาเบาๆ


สำหรับเขาแล้ว เขาย่อมต้องอยากให้ปีศาจบุกเข้ามาทางที่ราบลุ่มบริบูรณ์มากกว่า แต่ก่อนที่ไลต์นิ่งกับทีมสอดแนมของทาคิลาจะนำเอาข่าวกลับมาแจ้ง นี่จึงไม่ใช่ปัญหาที่จะเอาความต้องการของเขามาวิเคราะห์ได้ แทนที่จะมานั่งคิดว่าศัตรูจะทำยังไง สู้ใช้วิธีของตัวเองมาเพิ่มโอกาสในการเอาชนะดีกว่า


เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาจึงยืนขึ้นมา


“ฝ่าบาท?” ไนติงเกลที่คาบปลาแห้งอยู่ถามขึ้นมา


“ไปห้องวิจัยใหม่กับข้าหน่อย” โรแลนด์ค่อยๆ พูด “ไปดูหน่อยสิว่าโปรเจคเรเดียชั่นไปถึงไหนแล้ว”


…..


เมืองเนเวอร์วินเทอร์ ห้องวิจัยเนินทิศเหนือ


“ท่านอันนา…”


ลูเซียเพิ่งจะเอ่ยปากออกมาก็ถูกอันนาพูดตัดบท “ข้าบอกแล้วไงว่าอย่าเรียกข้าว่าท่าน”


“พอคิดว่าเจ้าเป็นราชินีแล้ว มันก็อดเรียกออกมาไม่ได้” เธอแลบลิ้นออกมาอย่างเขินๆ ก่อนจะวางก้อนโลหะในมือลง “วัตถุดิบที่เจ้าต้องการ ข้าเตรียมเอาไว้ให้แล้ว ถ้าไม่มีอะไรแล้วล่ะก็…”


“ถึงข้าจะเป็นราชินี แต่เจ้าก็เป็นเพื่อนร่วมงานของข้านะ” อันนาพูดยิ้มๆ แล้วเดินเข้ามา “เจ้าจะไปห้องทดลองใหม่เหรอ?”


ลูเซียพยักหน้า “อื้อ ได้เวลาแล้ว”


“อย่างนั้นไปเถอะ ระวังตัวด้วยนะ” อันนาเดินมาส่งเธอที่ประตูสวน “ถ้าใช้พลังเวทมนตร์หมดแล้วไม่มีอะไรทำก็มาอยู่เป็นเพื่อนข้าแล้วกัน”


“ได้เลย!” ลูเซียโบกมือก่อนจะหมุนตัววิ่งไปลงเขาไป


ตารางงานของเธอถือได้ว่าเป็นคนที่มีความหลากหลายมากที่สุดในสโมสรแม่มด ปกติเธอจะต้องวิ่งไปกลับระหว่างห้องทดลองเคมี เขตเตาหลอม แล้วก็สวนทางด้านหลังเนินเขาทิศเหนือ เรียกได้ว่าเธอไม่มีที่ทำงานที่เป็นของตัวเองเลย ในบรรดาสถานที่เหล่านี้ ที่ๆ เธอไปบ่อยมากที่สุดก็คือส่วนหลังเนินทิศเหนือ เธอต้องผสมโลหะผสมคุณภาพสูงออกมาตามความต้องการของอันนา จากนั้นก็ดูอีกฝ่ายตัดก้อนโลหะออกมาเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ กระบวนการมักจะทำให้เธอเกิดความรู้สึกพึงพอใจอย่างที่ยากจะบรรยายได้ขึ้นมา


น่าจะเป็นเพราะเธอสัมผัสได้ว่าโลกที่กำลังสวยงามขึ้นทุกวันนี้นั้นมีความพยายามของเธออยู่ในนั้น


เพราะตอนแรกที่เธอมายังเมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็เพื่อที่จะรักษาอาการป่วยของน้องสาวเท่านั้น แต่สุดท้ายคิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะกลายเป็นที่ให้พวกเธอสองพี่น้องได้อยู่อาศัย แถมยังใช้ชีวิตเหมือนกับได้กลับมายังบ้านของตัวเองอีก ความจริงตอนแรกลูเซียนั้นรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย เหมือนกับว่าเธอคอยเอาเปรียบทุกคนอยู่อย่างไรอย่างนั้น แต่ตอนนี้เธอเองก็ได้กลายเป็นหนึ่งในคนที่ทำความดีความชอบให้กับเมืองเนเวอร์วินเทอร์ เธอคอยช่วยเหลือฝ่าบาทอันนากับเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุในการสร้างเมืองแห่งนี้ขึ้นมา ความรู้สึกไม่สบายใจค่อยๆ กลายเป็นความรู้สึกพึงพอใจและความภาคภูมิใจ


ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้อยู่กับอันนาบ่อยขึ้น ลูเซียก็ยิ่งเกือบความรู้สึกเลื่อมใส เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแม่มดคนหนึ่งจะสามารถสร้างประโยชน์ได้มากมายขนาดนี้ เพียงแค่พลังของตัวเองก็สามารถเปลี่ยนแปลงเมืองทั้งเมืองให้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ ทั้งความรู้ ความสามารถและความตั้งใจในการทำงานของอีกฝ่ายทำให้เธอรู้สึกนับถือเป็นอย่างยิ่ง ถ้าบอกว่าไนติงเกลคือคนที่เธอเชื่อใจมากที่สุด อย่างนั้นฝ่าบาทอันนาก็คือคนที่เธออยากจะเป็นมากที่สุด


และตอนนี้เธอก็เหมือนจะมองเห็นโอกาสแบบนั้นแล้ว


หลังจากที่ฝ่าบาททรงสร้างห้องทดลองแห่งใหม่ขึ้นมาตรงชายฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำแดง เธอก็มีที่ทำงานที่เป็นของตัวเอง ได้ยินฝ่าบาทตรัสว่างานที่เธอทำนี้เกี่ยวพันถึงชะตาชีวิตของมนุษย์ชาติ ถ้าการทดลองเป็นไปอย่างราบรื่น ทุกอย่างที่เธอทำก็อาจจะกลายเป็นไพ่ตายที่สำคัญที่สุดในสงครามแห่งโชคชะตา


เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฝีเท้าของลูเซียก็ก้าวเร็วขึ้นกว่าเดิม


หลังข้ามสะพานแล้วเดินเลียบถนนคอนกรีตไปอีกหลายร้อยเมตร กำแพงสูงใหญ่แถวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของเธอ ที่นี่นั้นไม่เหมือนกับโรงงานที่มีคนเดินผ่านไปผ่านมาเหล่านั้น เพราะที่นี่ตั้งอยู่ระหว่างเขตอุตสาหกรรมกับที่นา ดังนั้นจึงแทบจะไม่มีเสียงของเครื่องจักรเลย ต้นไม้สองข้างทางทอดเงาลงมา ถึงแม้จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่บนต้นไม้ก็ยังมีใบไม้เขียวชอุ่มอยู่ เสียงนกที่ดังขึ้นมาเป็นบางครั้งบางคราวไม่เพียงแต่จะไม่หนวกหู แต่มันกลับแสดงให้เห็นถึงความเงียบและความสงบของที่แห่งนี้


เมื่อดูจากสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ที่นี่ดูเหมือนเขตที่อยู่อาศัยมากกว่าจะเป็นห้องทดลองอะไรทำนองนั้น


แต่ทหารยามที่ติดอาวุธหนักที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าประตูใหญ่ก็แสดงให้เห็นว่าที่นี่ไม่ใช่สวนธรรมดาๆ


ในตอนที่ลูเซียเดินไปถึงประตูสวน ทหารก็ยกมือขึ้นมาวันทยหัตถ์ก่อนจะหมุนตัวไปเปิดประตูให้


แต่นี่เป็นเพียงแค่ด่านแรกเท่านั้น


การป้องกันด้านในมีความเข้มงวดมากกว่านี้เสียอีก กำแพงแต่ละชั้นแบ่งส่วนแห่งนี้ออกเป็นหลายส่วน ในนั้นมีคนเพียงไม่กี่คนที่เข้าไปได้ คนอื่นๆ จะเข้าออกต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อทำการตรวจสอบ แล้วก็มีทหารคอยเดินตามตลอด


ซึ่งลูเซียย่อมต้องเป็นหนึ่งในไม่กี่คนนั้น


เธอยิ้มทักทายให้กับทหารที่เปิดประตูให้ หลังเดินผ่านด่านเข้ามาหลายชั้น ในที่สุดเธอก็มาถึงอาคารอิฐที่ทาสีขาวทั้งหลัง


ตัวอาคารดูเหมือนที่อยู่อาศัยทั่วๆ ไป บนกำแแพงมีไม้เลื้อยอยู่ไม่น้อย ความแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวก็คือแผ่นป้ายสีทองที่ติดอยู่ข้างประตู บนแผ่นป้ายมีตัวหนังสือใหญ่ๆ แกะสลักเอาไว้ว่า


‘ศูนย์วิจัยฟิสิกส์พลังงานสูงแห่งเมืองเนเวอร์วินเทอร์’


………………………………………………………………………….


ตอนที่ 1190 งานที่ไม่ธรรมดา

โดย

Ink Stone_Fantasy

ลูเซียไม่เข้าใจว่าฟิสิกส์พลังงานสูงมันหมายความว่าอย่างไร แล้วก็ไม่เข้าใจว่างานที่ตัวเองทำมันเกี่ยวข้องกับฟิสิกส์อย่างไร แต่เธอสังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่ฝ่าบาททรงเห็นแผ่นป้ายนี้ พระองค์จะทรงหยุดมองดูมันอยู่นาน เหมือนกับว่ามันมีพลังพิเศษอะไรบางอย่าง


นี่ทำให้ลูเซียยิ่งอยากจะเข้าไปทำงานใหม่เร็วๆ


ถึงแม้สิ่งที่เธอทำจะไม่ได้ต่างอะไรกับที่เธอทำในเขตเตาหลอมนัก แต่ทุกครั้งที่นึกถึงสีหน้าของฝ่าบาทขึ้นมา เธอมักจะรู้สึกว่าบางทีตัวเองอาจจะกำลังทำเรื่องที่สุดยอดอะไรบางอย่างอยู่จริงๆ ก็ได้


“เฮ้ เจ้ามาแล้วเหรอ” เมื่อเข้ามาในห้อง อาซีม่าที่นั่งหลับตาพิงเก้าอี้อยู่ก็โบกมือทักทายเธอ


“สะ สวัสดี” ลูเซียรีบพูดตอบ


“แดดกำลังอุ่นสบายเลย ไม่รู้หลับไปตอนไหน” อาซีม่าบิดขี้เกียจ “เริ่มงานกันเลยไหม?”


“อื้อ รบกวนเจ้าด้วยนะ”


อาซีม่าโบกมือ “รบกวนอะไรกันเล่า ข้าเป็นผู้ช่วยของเจ้า มีอะไรให้ทำเจ้าก็สั่งมาได้เลย ไม่ใช่เพิ่งจะเจอหน้ากันซักหน่อย ทำเป็นคนอื่นไปได้ อีกอย่าง…”


อาซีม่าพูดงึมงำออกมาเบาๆ แต่คำพูดของเธอก็ยังถูกสายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมาเข้าหูลูเซีย “แค่นั่งอยู่ตรงนี้ก็ได้เงินเดือนสองเหรียญทอง ยังจะมีอะไรให้บ่นอีกล่ะ”


ลูเซียเอามือขึ้นมาปิดปาก ความจริงตอนแรกเธอค่อนข้างกลัวอีกฝ่าย เพราะว่าเธอเคยได้ยินเวนดี้เล่าเรื่องการทะเลาะกันในมนตร์แห่งสลีปปิ้งให้ฟัง และคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีก็คือแม่มดผมแดงรูปร่างสูงใหญ่คนนี้ การที่เธอได้เป็นหัวหน้ากลุ่ม ก็แสดงว่าเธอต้องมีอะไรที่เหนือกว่าคนอื่น และเมื่อดูจากบุคลิกท่าทางของเธอแล้ว เธอก็ดูมีความเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มจริงๆ ด้วยเหตุนี้ในตอนที่ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงให้อาซีม่ามาเป็นผู้ช่วยเธอ เธอรู้สึกค่อนข้างอึดอัด เธอมักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะที่จะเป็นผู้รับผิดชอบศูนย์วิจัยแห่งนี้


แต่ว่าหลังจากได้อยู่กับอาซีม่ามาเป็นเวลาหลายเดือน ลูเซียถึงได้พบว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เธอคิด ถึงแม้บางครั้งเธอจะบ่นทิลลี แล้วก็บ่นไปถึงฝ่าบาท แต่เธอก็ให้ความร่วมมือในการทำงานอย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังไวต่อเรื่องเงินเดือนอย่างมากด้วย ลูเซียมักจะได้ยินคำบ่นประมาณว่า ‘ข้าเลี้ยงตัวเองได้’ ‘ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็นเอง’ ‘เจ้ารอข้าก่อนเถอะไนติงเกล’ ดูแล้วไม่ได้เย็นชาเหมือนอย่างที่เธอแสดงออกมาเลย ลูเซียคิดว่าเธอเป็นที่น่าสนใจอย่างมากคนหนึ่งทีเดียว


“อย่างนั้นก็ ช่วยหน่อยนะ” ลูเซียเปิดดูเสื้อผ้า ก่อนจะเอาชุดป้องกันสีขาวยื่นให้อาซีม่า


ขั้นแรกของการทำงานคือการตัดขาดร่างกายออกจากโลกภายนอก ไม่ใช่แค่การสัมผัสเท่านั้น แม้แต่การหายใจก็ต้องผ่านแผ่นกรองที่ทำขึ้นมาเป็นเฉพาะ นี่คือสิ่งที่ฝ่าบาททรงย้ำอยู่บ่อยๆ วัตถุที่ถูกสกัดออกมาจนมีความบริสุทธ์นั้นมีความเป็นพิษที่สูงมาก ปริมาณเพียงเล็กน้อยอาจจะทำให้ตายได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาด ทั้งสองคนจึงต้องผลัดกันตรวจดูชุดของอีกฝ่าย โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ตัวเองมองไม่เห็น


หลังสวมชุดป้องกันเสร็จ อาซีม่าก็ชูนิ้วโป้งให้เธอ


หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในสวนที่เปิดโล่ง


ก้อนหินสีเท่าวางเรียงรายอยู่บนพื้นอย่างเป็นระเบียบจนกินพื้นที่เกือบครึ่งของสวน มันดูแล้วไม่ได้ต่างจากอิฐที่ถูกเผาออกมาจากเขตเตาหลอมเท่าไรเลย จะต่างกันก็เพียงแค่สีที่เข้มกว่าเท่านั้น


แต่ในตอนที่ถือมันเอาไว้ในมือ ลูเซียรับรู้ได้ถึงความต่างกันของมันกับก้อนอิฐทันที ก้อนหินทุกก้อนนั้นมีน้ำหนักที่หนักมาก เหมือนว่ามันไม่ใช่หิน หากแต่เป็นโลหะอย่างไรอย่างนั้น


ลูเซียหยิบมันขึ้นมาก้อนหนึ่งก่อนจะทำให้พลังเวทมนตร์ปกคลุมไปบนมัน เนื่องจากมันถูกวางตากแดดเอาไว้นาน ก้อนหินจึงร้อนนิดหน่อย แต่ว่านี่ไม่ได้ส่งผลต่อการใช้พลังเวทมนตร์ของเธอ ด้วยพลังเวทมนตร์ของเธอ ก้อนหินค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีสันต่างๆ ในนั้นมีอยู่สองสามสีที่ส่องประกายอย่างมาก เหมือนว่ามันเปล่งแสงออกมาจากตัวมันอย่างไรอย่างนั้น ส่วน ‘สี’ ที่ฝ่าบาทตรงต้องการนั้นเป็นสีที่ีมีอยู่น้อยที่สุด คล้ายกับหยดหมึกที่เผลอทำหยดลงไปบนภาพวาดโดยไม่ได้ตั้งใจ


แต่เมื่อเทียบกับก้อนหินที่ขนออกจากในเมืองทิศเหนือ นี่ถือว่าเป็นปริมาณที่เยอะอย่างมากแล้ว


ภายใต้การควบคุมของเธอ สีบนก้อนหินค่อยๆ ขยับก่อนจะรวมตัวกันใหม่ จนกระทั่งมันเป็นแบ่งออกเป็นสี่ส่วนหลักๆ ส่วนที่ใหญ่ที่สุดนั้นเป็นส่วนที่มีสีผสมปนเปกัน ส่วนนี้โยนทิ้งถังขยะได้ ทุกวันทางทาคิลาจะส่งคนมาเก็บมันไป เธอไม่จำเป็นต้องจัดการมันด้วยตัวเอง ส่วนอีกสามส่วนที่เหลือนั้นมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ โลหะสีเงินขาวที่เล็กที่สุดนั้นคือวัตถุมีพิษที่ฝ่าบาททรงตรัสเอาไว้ มันมีขนาดเล็กเท่าเม็ดเกลือ


ลูเซียเก็บมันลงไปในโหลแก้วอย่างระมัดระวัง ก่อนจะแยกมันไปวางไว้อีกด้านหนึ่ง


ส่วนโลหะอีกสองส่วนนั้นมีขนาดใหญ่กว่า ก้อนหนึ่งมีขนาดประมาณลูกแอปริคอท อีกก้อนหนึ่งมีขนาดประมาณครึ่งเล็บมือ เมื่อดูจากภายนอกมันก็เป็นสีเทาขาวเหมือนกัน มีเพียงพลังเวทมนตร์เท่านั้นถึงจะแยกมันออกมาได้ ทั้งสองส่วนนี้จัดการค่อนข้างง่าย ก้อนใหญ่โยนใส่ตะกร้าแล้วให้อันนาตัดเป็นแผ่นๆ เพื่อเอาไว้ใช้ในอาวุธชนิดใหม่ที่เธอกำลังทดสอบอยู่ ส่วนก้อนที่เล็กลงมานั้นถูกเก็บเอาไว้ในกล่องตะกั่ว โดยทุกๆ 5 กิโลกรัมจะทำการเปลี่ยนกล่องครั้งหนึ่ง


ถ้าไม่มีงานอื่น เธอใช้เวลาสองสามวันก็สามารถแยกเอาโลหะออกมาได้ 5 กิโลกรัมแล้ว แต่ฝ่าบาทเคยตรัสเอาไว้ว่าก้อนหินเหล่านี้ล้วนแต่เป็นก้อนหินที่ขุดออกมาจากโบราณสถานของเผ่ากัมมันตรังสีและผ่านการสลัดมาก่อน แต่การจะเปลี่ยนพวกมันเป็นแร่หลังจากนี้นั้นจะไม่สะดวกแบบนี้แล้ว


หลังแยกส่วนประกอบของก้อนหินเสร็จแล้วก้อนหนึ่ง ลูเซียก็ลุกขึ้นมากางแขนแล้วหันไปหาอาซีม่า


นี่คือกฎที่ฝ่าบาททรงตั้งขึ้นมาเหมือนกัน ทุกๆ ครั้งหลังแยกส่วนประกอบเสร็จ เธอต้องทำการตรวจสอบดูว่าบนชุดไม่มีรอยรั่วกับสารตกค้าง อาซีม่าสามารถใช้พลังในการค้นหาสารตกค้างจุดเล็กๆ ที่คนปกติมองไม่เห็นได้อย่างง่ายดาย กระทั่งทำการยืนยันแล้วว่าบนตัวเธอไม่มีสารตกค้าง พวกเธอจึงทำการแยกสารประกอบของก้อนหินก้อนต่อไป


หลังผ่านไปประมาณสองชั่วโมง ลูเซียรู้สึกว่าพลังเวทมนตร์ของตัวเองใกล้จะหมดแล้ว


“วันนี้พอเท่านี้ก่อนแล้วกัน” อาซีม่าน่าจะมองเห็นอาการเหนื่อยล้าของอีกฝ่าย เธอจึงเดินเข้ามาประคองลูเซียเอาไว้ “คืนนี้ยังต้องเรียนอีก ถ้าใช้พลังจนหมด เจ้าคงต้องถูกหามกลับไปแน่”


“อื้อ” ลูเซียพยักหน้า “เจ้า..พูดถูก”


นอกจากเรื่องพลังเวทมนตร์ที่ถูกใช้ไปจนเกือบหมดแล้ว ชุดป้องกันที่ไม่มีที่ระบายลมก็ทำให้เธอเหงื่อแตกไปทั้งตัว ถ้าไม่สามารถรวบรวมสมาธิไป ถึงจะทำงานต่อไปมันก็ไม่มีประโยชน์


หลังชะล้างอย่างง่ายๆ แล้ว ทั้งสองคนก็กลับเข้ามาในห้อง จากนั้นจึงถอดชุดพร้อมถอนหายใจออกมา ตอนนี้เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว ลมที่พัดเข้ามาจากทางหน้าต่างแฝงเอาไว้ด้วยไอเย็นนิดหน่อย ไม้เลื้อยที่อยู่ด้านนอกส่งเสียงซ่าๆ ตามแรงลมที่พัดมา ลูเซียรู้สึกเหมือนตัวเองกลับมามีชีวิตอีกครั้ง


ทันใดนั้นเอง ด้านหลังเธอพลันมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา “เหนื่อยหน่อยนะ”


เธอหันหน้ามองไปทางประตูทางเข้า ก่อนจะเห็นฝ่าบาทโรแลนด์กับไนติงเกลเดินเข้ามาในสวน นอกจากนี้ในมือของไนติงเกลยังมีเครื่องดื่มยุ่งเหยิงสีน้ำเงินอีกสองขวดด้วย


“นี่มัน…” อาซีม่างุนงง


“ของขวัญจากข้า อย่าไปบอกใครล่ะ” โรแลนด์ผายมือ


“ขะ…ขอบพระทัยเพคะ” เธอรับเอาขวดเครื่องดื่มมาจากไนติงเกลด้วยสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย


ส่วนลูเซียนั้นรีบเปิดขวดเครื่องดื่มออกทันที


ในตอนที่เครื่องดื่มที่รสชาติสดชื่นไหลลงไปในลำคอ เธอก็ลืม ‘เรื่องที่สุดยอด’ ที่เธอเพิ่งจะทำมาทิ้งไปทันที


กระทั่งทั้งสองคนดื่มเครื่องดื่มจนหมด โรแลนด์จึงถามเข้าประเด็นว่า “การแยกสารเป็นยังไงบ้าง?”


“หม่อมฉันเก็บมันไว้ที่นี่ตามที่พระองค์ทรงบอกเพคะ” ลูเซียเดินไปด้านในห้อง ก่อนจะเปิดประตูตู้ตะกั่วออก กล่องตะกั่วหลายสิบกล่องที่วางอย่างเป็นระเบียบปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน”


………………………………………………………………….


ตอนที่ 1191 ธาตุที่หายาก

โดย

Ink Stone_Fantasy

โรแลนด์หยิบเอากล่องตะกั่วกล่องหนึ่งมาเปิดออก ก่อนจะหยิบเอาโลหะสีเงินขาวที่อยู่ข้างในมาไว้ในมือเพื่อรับรู้ถึงน้ำหนักของมัน ในตอนที่ยังไม่ได้ถูกกระตุ้น มันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเหล็กบริสุทธิ์เลย ขอเพียงไม่เอามันใส่เข้าปาก มันก็แทบจะไม่มีอันตรายอะไรเลย ถ้าไม่เป็นเพราะเขามีความรู้เกี่ยวกับมันมากพอ เพียงแค่ดูจากภายนอกเขาก็คงไม่มีทางคิดถึงเหมือนกันว่าในวัตถุชิ้นเล็กๆ แบบนี้จะมีพลังที่น่าตกตะลึงแฝงเอาไว้อยู่


และก็เป็นเพราะมัน มนุษย์ถึงได้สัมผัสกับประตูแห่งการเปลี่ยนแปลงพลังเป็นครั้งแรก


เมื่อเทียบกับดินปืนเคมีทั้งหมดก่อนหน้านี้แล้ว มันเรียกได้ว่าเป็นการก้าวขึ้นไปบนบันไดขั้นใหม่


โรแลนด์ประเมินดูจำนวนกล่องตะกั่วคร่าว ดูแล้วน่าจะประมาณ 50 กล่อง โดยในแต่ละกล่องจะเก็บวัตถุน้ำหนัก 1 กิโลกรัมเอาไว้ หรือก็คือยูเรเนียม 235 ทั้งหมด 50 กิโลกรัม ความบริสุทธ์ของมันเรียกได้ว่า 100%


และตู้ตะกั่วแบบนี้ ภายในห้องไม่ได้มีแค่ตู้เดียว


ถ้าเอาพวกมันมากองไว้ด้วยกัน….


ศูนย์วิจัยแห่งนี้ก็คงจะปล่อยพลังงานสูงได้จริงๆ ล่ะมั้ง


“เจ้าพวกนี้ต้องทำยังไงถึงจะกลายเป็น ‘แสงพระอาทิตย์’ อย่างที่พระองค์ตรัสไว้ก่อนหน้านี้ล่ะเพคะ?” ไนติงเกลถามอย่างสงสัย “เอาไปทำเป็นอาวุธชนิดพิเศษหรือว่าตัวจุดระเบิดหรือเพคะ? ทำไมหม่อมฉันถึงรู้สึกว่าพวกมันไม่ติดไฟ”


“อยากรู้เหรอ?” โรแลนด์ยิ้มออกมา “มันง่ายกว่าที่เจ้าคิดไว้มาก เราแค่เอาก้อนโลหะที่อยู่ในกล่องมากองไว้ด้วยกัน พวกมันก็จะปล่อยแสงและความร้อนออกมาเอง แค่ยูเรเนียมในตู้นี้ตู้เดียวก็เพียงพอที่จะระเบิดเมืองเนเวอร์วินเทอร์ให้ราบเป็นหน้ากลองแล้ว ดังนั้นหน้าที่ของลูเซียยังมีความสำคัญอย่างมาก ถ้าเกิดมือสั่นเพียงเล็กน้อย…”


ทุกคนเงียบไปทันที


ลูเซียเอามือปิดปาก ในดวงตาเผยให้เห็นสายตาที่หวาดกลัว


“….ไม่จริงน่า” ผ่านไปครู่หนึ่งอาซีม่าถึงได้พูดขึ้นมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “พระองค์ทรงหมายความว่าถ้าเกิดไม่ระวัง พวกหม่อมฉันอาจจะทำลายเมืองนี้ทั้งเมืองเหรอเพคะ?”


ไนติงเกลหายตัวเข้ามาแย่งกล่องตะกั่วไปจากมือโรแลนด์แล้วเอาไปวางไว้ในตู้ ก่อนจะคว้ามือเขาแล้วดึงออกไปด้านนอก


“เฮ้ย…เดี๋ยวๆๆ เจ้าจะทำอะไร?”


“ยังต้องถามอีกเหรอเพคะ!” ไนติงเกลพูดอย่างร้อนใจ “ก็พาพระองค์ออกจากเมืองน่ะสิเพคะ แล้วก็ให้คนมาขนเอาของพวกนี้ออกไป! ลูเซีย ไปบอกเวนดี้ให้นางติดต่อสำนักบริหาร!”


“ข้า…ข้าจะไปหาเจ้าหญิงทิลลี” อาซีม่ากัดฟัด “มีแต่พระองค์เท่านั้นถึงจะสั่งการมนตร์แห่งสลีปปิ้งได้”


“เดี๋ยวก่อน….ข้าแค่ล้อเล่น…”


ภายในห้องเงียบเป็นป่าช้าทันที โรแลนด์ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะทำให้ทุกคนใจเย็นลงได้


“พระองค์ทรงแน่ใจนะเพคะว่าแค่ล้อเล่น?” ไนติงเกลพูดอย่างไม่สบอารมณ์


“แค่กๆ ก็ใช่นะสิ…ที่ข้าพูดน่ะมันเป็นแค่ทฤษฎี” เขารีบพูดเสริมต่อว่า “แต่ความจริงแล้วการจะกระตุ้นมันจริงๆ นั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายขนาดนั้นหรอก ถึงแม้ข้าจะพยายามเต็มที่ก็ยังไม่แน่ว่าจะทำได้สำเร็จ”


ลูเซียถอนหายใจออกมา “ฝ่าบาท…พระองค์ทรงทำหม่อมฉันตกใจจนเข่าอ่อนเลยเพคะ”


“นี่มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะเพคะ” ไนติงเกลถลึงตาใส่เขา “ถ้าเวนดี้กับบุ๊คได้ยินเข้าล่ะก็ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องล้อเล่นหรือไม่….”


“พวกนางก็คงจะบอกให้ข้าย้ายศูนย์วิจับออกไปยังนอกเมืองเนเวอร์วินเทอร์ใช่ไหมล่ะ?” โรแลนด์พูดอย่างจนปัญญา


“พระองค์ทรงรู้ก็ดีแล้วเพคะ หรือไม่ก็ย้ายพระองค์ไปยังที่ปลอดภัยก็ได้เพคะ”


“เอาล่ะ ถือซะว่าข้าไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน…” เขากระแอมเล็กน้อย “ขอเพียงพวกเจ้าไม่พูด เวนดี้กับบุ๊คก็ไม่มีทางรู้เรื่องนี้”


“แต่อาจจะมีนกบางตัวได้ยินเข้า” ไนติงเกลเหลือบมองไปทางหน้าทาง


“รีบจับมันมา เครื่องดื่มยุ่งเหยิง 1 ขวด” โรแลนด์พูดอย่างไม่ลังเล


“ตกลงเพคะ” เธอหายตัวไปต่อหน้าทั้งสามคน


เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของลูเซียกับอาซีม่า โรแลนด์จึงยักไหล่แล้วพูดว่า “เอ่อ…ไม่ต้องสนใจหรอก นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการล้อเล่นเหมือนกัน”


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ไนติงเกลก็กลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง “ไม่พบเป้าหมายน่าสงสัย แต่เรื่องค่าตอบแทน…”


“ยังคงมีผล”


สีหน้าเธอดูผ่อนคลายขึ้นมา ก่อนจะฮัมเพลงเบาๆ พร้อมเอาปลาแห้งใส่เข้าไปในปาก


“ฝ่าบาทเพคะ” อาซีม่าลังเลอยู่ครู่ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าสงสัยว่า “ที่พระองค์ตรัสก่อนหน้านี้มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นทั้งหมดใช่ไหมเพคะ? เพราะว่าตอนที่ทรงตั้งกฎขึ้นมา พระองค์ทรงเน้นย้ำให้ระวังเรื่องน้ำหนัก ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและการวัดผิดพลาด พระองค์ยังทรงกำหนดให้กล่องตะกั่วแต่ละใบหนัก 4 กิโลกรัม เวลาชั่งน้ำหนักให้ชั่งตัวกล่องเข้าไปด้วย แบบนี้ก็จะทำให้มั่นใจว่าโลหะที่อยู่ในกล่องนั้นมีน้ำหนักเท่ากัน” เธอชะงักไปเล็กน้อย “แล้วก็ พระองค์ตรัสว่าถ้าเกิดในศูนย์วิจัยเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่ก็มีคนบุกเข้ามา สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือแจ้งยามให้มาล็อกศูนย์วิจัยเอาไว้ จากนั้นก็รีบกลับไปรายงานที่ปราสาท ไม่ใช่เข้ามาตรวจสอบดูด้านใน นี่ก็หมายความว่า…มันมีอันตรายอยู่จริงๆ ใช่ไหมเพคะ?”


โรแลนด์มองเธออย่างรู้สึกแปลกใจ “ความสามารถในการสังเกตเยี่ยมมาก ที่เจ้าว่ามาส่วนใหญ่ถูกต้อง นอกจากเรื่องพิษแล้ว น้ำหนักก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญ จุดประสงค์ที่ข้าให้วางเอาไว้แยกกันก็เพราะเหตุนี้” การที่เธอสามารถวิเคราะห์ออกมาได้แบบนี้นั้นถือว่าเธอมีความระมัดระวังทีเดียว และก็เป็นเพราะความละเอียดอันนี้ถึงได้ทำให้เธอตื่นรู้พลังในการค้นหาแหล่งกำเนิดล่ะมั้ง… “แต่ว่าแค่น้ำหนักเพียงอย่างเดียวนั้นทำอันตรายได้แค่ศูนย์วิจัยเท่านั้น ถ้าอยากจะทำให้มันกลายเป็นอาวุธที่ใช้จัดการกับปีศาจ มันจำเป็นต้องมีอีกสิ่งหนึ่งด้วย”


“เจ้าเม็ดเล็กๆ ที่วางเอาไว้ต่างหากนั่นน่ะเหรอเพคะ?” อาซีม่านึกขึ้นมาได้ทันที


“ไม่ใช่ซะทีเดียว แต่อย่างน้อยก็ทายถูกครึ่งหนึ่ง”


องค์ประกอบของยูเรเนียมธรรมชาตินั้นมีความซับซ้อนอย่างมาก นอกจากสารประกอบยูเรเนียมแล้ว มันยังมีธาตุที่ปล่อยรังสีได้อยู่อีกมากมายด้วย ส่วนใหญ่พวกมันจะเป็นผลผลิตขั้นทุติภูมิหลังจากการสลายตัว บางตัวก็สูญเสียความสามารถในการปล่อยรังสีไป กลายเป็นธาตุที่มีความสเถียร บางตัวก็ยังคงอยู่บนเส้นทางของการสลายตัวอันยาวนาน ถึงแม้ตอนที่เผ่ากัมมันตรังสีสร้างวิหารต้องสาปขึ้นมาพวกมันจะทำการสกัดขั้นต้นมาแล้ว แต่องค์ประกอบส่วนใหญ่ยังคงเหมือนๆ กันอยู่ ในจุดนี้จะเห็นได้จากผลลัพธ์ที่ลูเซียทำการสกัดออกมา


องค์ประกอบที่มีมากที่สุดในนั้นก็คือยูเรเนียม 238 ถึงแม้จะทำอาวุธไม่ได้ แต่ว่ามันกลับสามารถเอาไปใช้กับลูกบาศก์เวทมนตร์ได้ โดยประสิทธิภาพของมันแทบจะไม่ได้ต่างอะไรกับยูเรเนียม 235 เลย ด้วยเหตุนี้มันจึงถูกขนไปยังสวนหลังเนินทิศเหนือ


อันดับต่อมาคือยูเรเนียม 235 ที่เมื่อความบริสุทธ์มากกว่า 90% ก็สามารถมองเป็นอาวุธได้แล้ว ปริมาณในธรรมชาติของมันมีอยู่น้อยนิดเพียงแค่ 1% ของธาตุยูเรเนียม ดังนั้นถ้าปัญหาแรกของโปรเจคเรเดียชั่นก็คือการสกัด ซึ่งเป็นปัญหาที่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถข้ามมันไปได้


แต่มันไม่ใช่ธาตุที่หายากที่สุด การสลายตัวหลังจากนั้นจะทำให้เกิดธาตุต่างๆ ขึ้นมาอย่างเช่น ทอเรียม เรเดียม เรดอน โพโลเนียมซึ่งล้วนแต่เป็นธาตุที่หาได้ยากกว่ายูเรเนียม และธาตุที่โรแลนด์ต้องการก็คือโพโลเนียม 210 ซึ่งเป็นไอโซโทปชนิดหนึ่งที่อยู่แพร่หลายมากที่สุดในธาตุตระกูลโพโลเนียม


โรแลนด์ซึ่งได้รับการศึกษาภาคบังคับมาเป็นเวลา 9 ปีจากโลกที่แล้วนั้นเรียกได้ว่ารู้จักธาตุเรเดียมและโพโลเนียมเป็นอย่างดี มาดามคูรีที่ในหนังสือเรียนมักจะพูดถึงบ่อยๆ ก็คือถูกจารึกชื่อลงไปประวัติศาสตร์เพราะค้นพบพวกมันทั้งคู่ ถึงแม้ครึ่งชีวิตของโพโลเนียมจะมีแค่ร้อยกว่าวัน อีกครั้งปริมาณของมันยังมีน้อยนิดอย่างมาก จนทำให้การสกัดหลายๆ ครั้งของมาดามคูรีต้องประสบความล้มเหลว แต่เธอก็ยังแสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ของมันผ่านทางรังสีอันรุนแรงที่ถูกปล่อยออกมาจากสารละลายแร่


แต่ไม่ว่าจะเป็นเรเดียมหรือว่าโพโลเนียมก็ล้วนแต่ใช้ในการสร้างแหล่งกำเนิดนิวตรอนได้ ซึ่งนี่ก็เกี่ยวข้องถึงขั้นที่สองของโปรเจคเรเดียชั่น นั่นคือการจุดระเบิด


หลักการของอาวุธนิวเคลียร์รุ่นแรกนั้นง่ายมาก เรียกได้ว่าสามารถสรุปออกมาได้ในประโยคเดียว นั่นคือ ‘การแตกตัวของนิวไคลด์จะปล่อยพลังงานออกมา’ —- หลังจากที่ยูเรเนียม 235 ได้รับนิวตรอนเข้าไป มันก็จะถูกกระตุ้นให้กลายเป็นยูเรเนียม 236 ที่ไม่เสถียร จากนั้นก็จะแตกตัวกลายเป็นนิวไคลด์ที่เบากว่าเดิมกับนิวตรอนอิสระที่มากขึ้น ความแตกต่างของคุณภาพนี้จะเปลี่ยนเป็นพลังงาน


เห็นได้ชัดว่านิวตรอนที่ถูกปล่อยออกมาจะบินไปชนกับนิวไคลด์อื่นๆ แล้วก็จะหมุนวนไปแบบนี้เรื่อยๆ จนกลายปฏิกิริยาลูกโซ่ ขณะเดียวกันมันก็จะปล่อยพลังงานจำนวนมหาศาลที่เหมือนกับระเบิดออกมา


แต่ว่าเมื่อเราเอาอะตอมไปขยายดูแล้ว เราจะพบว่าช่องว่างระหว่างนิวเคลียสนั้นเป็นเหมือนกับหุบเหวลึก ก็เหมือนกับที่ในหนังสือเขียนเอาไว้ว่าถ้ามองอะตอมเป็นสนามฟุตบอลล่ะก็ อย่างนั้นนิวเคลียสก็จะเป็นเพียงมดตัวหนึ่งที่อยู่บนนั้น ถ้าโชคไม่ดี นิวตรอนก็จะบินออกนอกสนามไป ปฏิกิริยาก็จะหยุดลง ถ้าอยากจะให้มดทุกตัวถูกชนก็ต้องเพิ่มสนามฟุตบอลเอาไว้รอบๆ ให้มากพอ เพื่อทำให้นิวตรอนไม่ว่าจะบินไปทางไหนก็จะมีมดไปขวางอยู่ข้างหน้ามัน


เมื่ออยู่ในโลกขนาดเล็ก สิ่งที่เห็นได้ง่ายก็คือ ‘คุณภาพ’ กับ ‘รูปร่าง’


ความจริงแล้ว มวลวิกฤตินั้นไม่ใช่ตัวเลขที่ตายตัว ก็เหมือนกับสนามฟุตบอลที่เรียงต่อกันเป็นแถวยาวย่อมมีโอกาสที่นิวเคลียสจะถูกพุ่งชนน้อยกว่าสนามฟุตบอลที่เอามาซ้อนทับกัน ผลลัพธ์อย่างละเอียดนั้นจำเป็นต้องคำนวณตามรูปร่างของมัน โรแลนด์เคยได้ยินว่ามีคนคำนวณตัวเลขพลาดจนทำให้แพ้สงคราม แต่แน่นอนว่าเขาซึ่งเป็นผู้ที่มาจากอนาคตย่อมไม่จำเป็นต้องไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ ผลการทดลองจำนวนนับไม่ถ้วนได้บอกแล้วว่าในตอนที่วัตถุเป็นทรงกลม มันจะมีค่าวิกฤตน้อยที่สุด ซึ่งมวลวิกฤตของยูเรเนียม 235 นั้นอยู่ที่ 52 กิโลกรัม


ที่เขากำหนดน้ำหนักของธาตุยูเรเนียมในกล่องตะกั่วแต่ละใบอยู่ที่ 1 กิโลกรัมนั้นถือว่าระมัดระวังอย่างมากแล้ว


แต่ก็เป็นเพราะว่ามวลวิกฤตินั้นมีความไม่แน่นอน ถ้าหากสามารถลดพื้นที่ของสนามฟุตบอลได้ หรือไม่ก็เพิ่มนิวตรอนให้กับนิวไคลด์ได้มากพอ เช่นนั้นค่าวิกฤติของมันก็จะลดลงอย่างมาก โดยวิธีแรกนั้นคือหลักการของการระเบิดภายใน ถ้าหากติดตั้งตัวจุดระเบิดเอาไว้ที่รอบๆ ระเบิด วินาทีที่มันระเบิดขึ้นมาก็จะทำให้ปฏิกิริยาเคมีบีบตัวเข้าหากัน ทำให้ความหนาแน่นเพิ่มขึ้นจนเกินค่าวิกฤติ สำหรับเทคโนโลยีของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ในตอนนี้แล้ว การจะคำนวณมวลวิกฤติอะไรพวกนั้นถือเป็นเรื่องยากมากเกินไป ด้วยเหตุนี้โรแลนด์จึงมองไปที่วิธีที่สอง


นั่นคือการใช้ประโยชน์จากแหล่งกำเนิดนิวตรอนในการทำให้ปฏิกิริยาแตกตัวดำเนินไปเรื่อยๆ


…………………………………………………………………..


ตอนที่ 1192 ผู้ไล่ตามลม (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

เราสามารถมองตัวกำเนิดนิวตรอนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการแตกตัวได้ เมื่อมีมันคอยจ่ายนิวตรอน ถึงแม้จะเป็นยูเรเนียม 235 ที่มีมวลน้อยกว่ามวลวิกฤตก็สามารถแตกตัวต่อไปได้


ตามหลักแล้ว โพโลเนียมกับเรเดียมที่แยกออกมาจากแร่ยูเรเนียมล้วนแต่สามารถรวมตัวกับเบริลเลียมและกลายเป็นแหล่งกำเนิดนิวตรอนได้ ในจุดนี้ไม่ได้ปัญหาในเรื่องของเทคโนโลยีอะไร เขาก็แค่ใช้คุณสมบัติพิเศษของเบริลเลียมที่จะปล่อยนิวตรอนออกมาเป็นจำนวนมากหลังจากที่ถูกยิงอนุภาคแอลฟาใส่ ที่จริงแล้วขอเพียงเอาพวกมันมาอยู่ด้วยกันก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ทั้งสามธาตุนี้ล้วนแต่เป็นธาตุที่มีอยู่ในธรรมชาติ เมื่อเทียบกับธาตุสังเคราะห์ที่ต้องใช้เวลาและกระบวนการที่ซับซ้อนแล้ว มันถือว่ามีความเป็นไปได้ที่มากกว่า


ส่วนที่โรแลนด์เลือกโพโลเนียมแทนที่จะเป็นเรเดียมก็เพราะคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัย ถึงแม้โพโลเนียม 210 จะมีครึ่งชีวิตที่สั้น แต่ส่วนใหญ่มันจะให้รังสีแอลฟาและมีรังสีแกมมาที่ต่ำมาก พูดอีกอย่างก็คือขอเพียงไม่กินมันเข้าไป มันก็แทบจะปลอดภัยเหมือนกับยูเรเนียม แต่เรเดียมนั้นไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นแก็สเรดอนที่ปล่อยออกมาจากการสลายตัว หรือว่ารังสีแกมม่าที่ปล่อยออกมาจากตัวมันก็ล้วนแต่เป็นอันตรายที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เพื่อป้องกันไม่ใช่การทดลองเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน แหล่งกำเนิดนิวตรอนโพโลเนียม – เบริลเลียมจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด


นอกจากนี้ ธาตุเบริลเลียมยังมีคุณสมบัติเป็นตัวสะท้อนนิวตรอนด้วย ถ้าเอามันไปทำเป็นเปลือกนอกของระเบิดล่ะก็ มันก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของนิวตรอนได้ ถ้าเอาทั้งสองอย่างมาใช้ด้วยกัน พวกมันมีปริมาณยูเรเนียม 235 ที่มากพอ เช่นนั้นต่อให้เป็นโครงสร้างปืนแบบที่เรียบง่ายที่สุดก็ยังสามารถแสดงประสิทธิภาพของมันออกมาได้


อีกทั้งเบริลเลียมก็มีอยู่มากในมรกต แร่ที่มีลักษณะเด่นแบบนี้ทำให้อาซีม่าประหยัดแรงในการออกไปค้นพา แค่เขากระจายข่าวผ่านทางพ่อค้าไป แล้วรับซื้อจากมรกตจากสี่อาณาจักรใหญ่มาก็พอ


โรแลนด์รู้ดีว่าเทคโนโลยีของเมืองเนเวอร์วินเทอร์อยู่ในระดับไหน หลักการทำงานของอาวุธนิวเคลียร์นั้นฟังดูแล้วง่าย แต่การจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของมันทุกๆ 10% ล้วนแต่จำเป็นต้องใช้การคำนวณทางทฤษฎีและการทดลองในปริมาณที่มหาศาลมาก ถ้าสามารถปล่อยพลังงานออกมาได้ถึงระดับที่มีประสิทธิภาพสูง มันก็ไม่สามารถลดขนาดอาวุธให้เล็กลงได้ แล้วก็จะทำให้อาวุธกับยูเรเนียมที่เก็บสะสมมาได้อย่างยากลำบากต้องเสียไปเปล่าๆ หากไม่มีลูเซีย เกรงว่าแค่ปัญหาการสูญเสียแร่ไประหว่างที่ทำการสกัดก็เป็นเหมือนยอดเขาที่ไม่มีทางก้าวข้ามไปได้แล้ว


แต่ในทางเดียวกัน เมื่อไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องการสูญเสีย อาวุธนิวเคลียร์แบบมือถือก็ไม่ใช่แค่ความฝันอีกต่อไป ประตูแห่งเทคโนโลยีนั้นมีร้อยแปดพันเก้า แต่หลักการของมันกลับมีแค่หนึ่งเดียว ต่อให้มียูเรเนียมแค่ 1% ที่แตกตัว แต่อานุภาพของมันก็ยังรุนแรงพอที่จะพลิกสถานการณ์ได้


เมื่ออยู่ต่อหน้าสงครามที่ตัดสินชะตาชีวิตของมนุษย์ เขาจำเป็นต้องพยายามเต็มที่


ยิ่งไปกว่านั้นการขโมยไฟศักดิ์สิทธิ์ในยุคสมัยที่ป่าเถื่อนล้าหลัง และทำให้มนุษย์ได้เข้าใกล้พระอาทิตย์มากขึ้นแบบนี้มันก็เป็นความโรแมนติกอย่างหนึ่งเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?


ขอเพียงมีความเป็นไปได้ เขาก็พร้อมที่จะลองดู


“ดีมาก ทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ” โรแลนด์ตบหัวลูเซียเบาๆ “เอาไว้ตู้ตะกั่วทั้งหมดเต็มเมื่อไร เราก็เริ่มการทดลองอย่างเป็นทางการได้”


“เพคะ ฝ่าบาท!” ลูเซียตอบอย่างกระตือรือร้น


……


ขณะเดียวกัน เมืองเนเวอร์วินเทอร์ โรงเรียนอัศวินอากาศ


ในพื้นที่อันกว้างใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของศูนย์วิจัยแห่งใหม่นี้อยู่ในความเงียบสงบ วันนี้คือวันหยุดพักผ่อนของนักเรียน หลายคนออกไปจากโรงเรียนเพื่อกลับไปอยู่กับครอบครัวแต่เช้าแล้ว แต่กู๊ดกลับเป็นข้อยกเว้น


“บินตามลม ดึงคันบังคับลง!”


“บินขวางลม หมุน!”


เขานั่งอยู่บนแท่นจำลองการบิน ด้านหนึ่งก็กำหนดทิศทางลมด้วยตัวเอง อีกด้านหนึ่งก็ทำการตอบสนองออกมาตามสิ่งที่เขียนเอาไว้ใน ‘คู่มือการบิน’ คันบังคับไม้ส่งเสียงครืดๆ ออกมาเหมือนกับกังหันไม้เก่าๆ ที่ไม่ได้รับการซ่อมแซม อุณหภูมิภายในห้องฝึกซ้อมค่อนข้างร้อนอบอ้าว หลังฝึกอยู่เป็นเวลานาน ด้านหลังเขาก็เปียกเหงื่อจนชุ่มไปหมด ใต้คางของเขามีเม็ดเหงื่อหยดลงมาตลอดเวลา


กระทั่งมือเขาเปียกจนเลื่อนแล้ว กู๊ดจึงหยุดการเคลื่อนไหว ก่อนจะนั่งพิงไปบนเก้าอี้พร้อมถอนหายใจออกมา


หลังผ่านการเรียนรู้มาครึ่งปี เขาก็ไม่ใช่มือใหม่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยคนนั้นอีก เขาไม่เพียงแต่จะท่องจำ ‘คู่มือการบิน’ ที่องค์หญิงเขียนขึ้นมาจนขึ้นใจ การควบคุมส่วนใหญ่ก็เรียกได้ว่าฝังอยู่ในหัวสมองทั้งหมด จากตอนที่ขึ้นมาอยู่บนแท่นจำลองครั้งแรกด้วยความเก้ๆ กังๆ จนตอนนี้ต่อให้หลับตาเขาก็ยังทำการควบคุมตามคำสั่งได้ ถ้าเขาออกคำสั่งให้ตัวเอง ขอเพียงแค่คิดอยู่ในหัว ร่างกายเขาก็จะตอบสนองออกมาทันทีโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย


แต่การทำแบบนี้จะทำให้ตัวเองบินได้จริงๆ เหรอ?


ไม่ว่าจะจินตนาการอย่างไร เขาก็ไม่สามารถนึกภาพตัวเองบินขึ้นไปบนฟ้าได้เลย ‘จับขนาดและทิศทางของลม รับรู้ถึงการสั่นสะเทือนและท่าทางของเครื่องบิน จากนั้นก็ทำการควบคุมเพื่อสอดประสานกับมัน’ — นี่คือสิ่งที่เขียนเอาไว้บนคู่มือ แต่เขาไม่รู้เลยว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นการดึงคันบังคับครึ่งหนึ่งหรือดึงลงมาจนสุด เครื่องจำลองการบินก็ไม่เคยทำให้เขารู้สึกอะไร ส่วน ‘หน้าปัด’ ที่ใช้หมุกวาดขึ้นมาก็ยิ่งคล้ายกับว่ากำลังหัวเราะเยาะความพยายามของเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น


ยิ่งฝึกจนชำนาญ กู๊ดกลับยิ่งรู้สึกทรมาน


ในขณะที่เขากำลังหงุดหงิดอยู่นั้น จู่ๆ ประตูห้องฝึกซ้อมพลันมีเสียงเปิดดังขึ้นมา


“เจ้าอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย…”


“เป็นไง ข้าเดาไม่ผิดใช่ไหมล่ะ?”


กู๊ดหันหน้ากลับมา ก่อนจะมองดูสองคนที่เดินเข้ามาในห้องอย่างแปลกใจ พวกเขาคือฟินกิ้นกับฮายส์ที่อยู่ในทีมเดียวกัน


“ทำไมพวกเจ้า…”


“ไม่ใช้วันหยุดออกไปหาความสุขใช่ไหม?” ฟินกิ้นผิวปากขึ้นมา “เพราะว่าความสุขมันอยู่ในโรงเรียนไงล่ะ”


“ว่าแต่เจ้านั่นแหละ ไม่มีครอบครัวก็ว่าไปอย่าง แต่ว่าเจ้ามีน้องสาวที่น่ารักอยู่อีกคนไม่ใช่เหรอ?” ฮายส์เดินเข้ามาล็อกคอของเขาไว้ “นางยังให้ข้ามาบอกเจ้าว่าอย่าเหนื่อยเกินไปนะ จุ๊ๆ…ดีจริงๆ เลย”


กู๊ดหน้าเปลี่ยนสีทันที “เดี๋ยวๆ พวกเจ้าไปบ้านข้ามาเหรอ?”


“ไม่งั้นพวกข้าจะไปหาเจ้าที่ไหนล่ะ” ฟินกิ้นเลิกคิ้วขึ้นมา “นางชื่อเรเชลใช่ไหม แนะนำให้พวกข้าหน่อยสิ”


“อย่าแม้แต่จะคิดเชียว” กู๊ดถลึงตาใส่


“เจ้ากลัวพวกข้าไม่ดีพอเหรอ” ฟินกิ้นพูดอย่างไม่ยอมแพ้ “อย่างน้อยข้าก็มีบ้านอยู่ในเขตแม่น้ำแดงนะ!”


กู๊ดนิ่งเงียบไปครู่ สุดท้ายจึงส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจแล้วพูดว่า “มันไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นน้องสาวของข้า…เรเชลนางมีปัญหา พวกเจ้าไม่อยากจะอยู่กับนางหรอก”


“อะไร? ข้าคิดว่านางดีมากเลยนะ” ฮายส์ถามอย่างไม่เข้าใจ


“ลองมาว่าสิ?” ฟินกิ้นเองก็ทำหน้าสงสัยเหมือนกัน


“อย่าถามเรื่องนี้เลย” กู๊ดพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “พูดเรื่องอื่นเถอะ — ความสุขที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้มันหมายความว่าไงกันแน่?”


ฟินกิ้นเองก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ เขาพูดเสียงเบาๆ พร้อมทำหน้าเหมือนมีลับลมคมใน “เจ้าอยากจะเห็นเครื่องบินจริงๆ ไหม?”


กู๊ดตกตะลึง “เจ้าว่าอะไรนะ?”


“เมื่อสองสามวันก่อนข้าปีนกำแพงแล้วไปเห็นเข้า” ฟินกิ้นยิ้มอย่างภูมิใจออกมา “ในโรงเก็บเครื่องบินตรงลานบินมีเครื่องบินลำใหม่ถูกขนเข้าไปตั้งหลายลำ ถึงแม้มันจะมีผ้าคลุมเอาไว้ แต่ดูจากขนาดแล้ว มันน่าจะพอๆ กับยูนิคอร์นขององค์หญิงทิลลีเลย ก็หมายความว่านั้นคือเครื่องบินที่เตรียมเอาไว้ให้พวกเรา!”


“หลายวันก่อน? แล้วทำไมตอนนั้นถึงไม่บอกข้า?”


“ข้ากลัวเจ้าจะตื่นเต้นมากเกินไปจนเผลอพูดออกไป” เขายักไหล่ “แต่วันนี้เป็นวันหยุด ในโรงเรียนแทบจะไม่มีใครอยู่ ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสดีที่จะแอบเข้าไปดูโฉมหน้าที่แท้จริงของเครื่องบิน!”


“เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ!” กู๊ดพูดเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “ถ้าไม่ได้รับอนุญาต พวกเราเข้าไปในลานบินโดยพลการไม่ได้!”


“ถึงอยากจะเข้า ทหารพวกนั้นก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าเข้าไปหรอก” ฟินกิ้นกรอกตา “เราจะไปเข้าไปทางอื่น แถมยังไม่ผ่านลานบินด้วย”


“แต่ว่า…”


“พวกเราแค่เข้าไปดูเท่านั้น” ฮายส์เองก็พูดช่วย “เจ้าน่าจะรู้สึกเหมือนกันใช่ไหม่ล่ะ ช่วงนี้องค์หญิงทิลลีทรงไม่ค่อยยิ้มเลย การฝึกซ้อมก็เข้มงวดขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่แน่อาจต้องรออีก 1 – 2 เดือนถึงจะได้จับมันจริงๆ เทียบกับแท่นไม้นี่แล้ว หรือว่าเจ้าไม่อยากเห็นว่าเครื่องบินที่พวกเราจะขับมันหน้าตาเป็นยังไง?”


“ถ้าเจ้าไม่ไป อย่างนั้นพวกเราไปก่อนก็แล้วกัน” ฟินกิ้นขมวดคิ้วขึ้นมา


กู๊ดลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ภายในหัวมีเสียงครืดๆ ของแท่งควบคุมไม้กับความรู้สึกสับสนที่ไม่ว่าจะฝึกฝนยังไงก็สัมผัสไม่ได้ถึงความก้าวหน้าปรากฏขึ้นมา สุดท้ายเขาจึงกัดฟันแล้วพยักหน้า “ข้าไปด้วย”


………………………………………………………………….


ตอนที่ 1193 ผู้ไล่ตามลม (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ก็เหมือนกับที่ฟินกิ้นบอกไว้ โรงเรียนขนาดใหญ่นั้นแทบไม่มีคนเลย ทั้งสามคนเดินผ่านอาคารต่างๆ มาจนสุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่หน้ากำแพงที่สูงใหญ่แห่งหนึ่ง


“นี่มัน…”


“กำแพงด้านตะวันตกของลานบิน” ฟินกิ้นยกเอาบันไดไม้ออกมาตรงหัวมุมก่อนจะพาดมันไปบนกำแพง “ตามข้ามา”


กู๊ดลังเลเล็กน้อย สุดท้ายจึงปีนตามหลังเขาขึ้นไป ในวินาทีที่ปีนพ้นกำแพงขึ้นไป เขาพลันส่งเสียงหอบหายใจออกมา พระอาทิตย์ที่คล้อยไปทางตะวันตกค่อยๆ เข้าใกล้ทะเลไปทีละน้อย ตรงกลางทะเลส่องประกายสีทองระยิบระยับออกมา ท้องฟ้าที่เปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นสีเหลืองเหมือนมีชั้นท้องฟ้าเพิ่มขึ้นมาอีกชั้น ชั้นเมฆที่อยู่ด้านบนทอดยาวไปตามเส้นขอบฟ้าเหมือนเป็นเนินที่ไหลลงในทะเล ส่วนลานบินที่ราบเรียบและเปิดโล่งที่อยู่ด้านล่างเท้าของเขานั้นคือจุดเริ่มต้นที่จะก้าวขึ้นไปบนท้องฟ้า


ลมทะเลพัดเข้ามาบนฝั่ง ก่อนจะพัดพาความกลัดกลุ้มที่สุมอยู่ในอกเขาออกไป เขาหลับตาลงพร้อมค่อยๆ กางแขนทั้งสองข้างออก ภายในหัวจินตนาการภาพของตัวเองกำลังกุมคันบังคับรอคอยคำสั่งขึ้นบิน


“สวยใช่ไหมล่ะ?” ฟินกิ้นพูดยิ้มๆ “ที่นี่เป็นที่ลับของข้าเลยนะ อย่างเดียวที่เราต้องระวังก็คืออย่าตกลงไป”


ฮายส์ปีนตามขึ้นมาบนกำแพงเป็นคนสุดท้าย “ฟู่วว ต่อไปเอาไงต่อ?”


“ไปที่นั่นน่ะสิ” เขาชี้ไปยังโรงเก็บเครื่องบินที่อยู่ไม่ไกล ครั้งแรกที่พวกเขาเห็นซีกัลก็เหมือนมันจะวิ่งออกมาจากข้างในนั้น ด้านหลังโรงเก็บเครื่องบินอยู่ห่างจากกำแพงประมาณ 2 เมตรเท่านั้น “แต่ว่าต้องเอาบันไดไปด้วย”


การเดินบนกำแพงแคบๆ นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับทั้งสามคน ในการฝึกซ้อมรักษาสมดุลของร่างกายพวกเขาต้องเดินอยู่บนสะพานไม้แคบๆ เป็นประจำอยู่แล้ว หลังเดินไปประมาณ 15 นาที พวกเขาก็เข้าใกล้ที่หมาย


โรงเก็บเครื่องบินเหล่านี้สูงกว่ากำแพงประมาณ 2 – 3 เมตร


“เครื่องบินคลุมผ้า เครื่องบินคลุมผ้า…เจอแล้ว!” จู่ๆ ฟินกิ้นก็หยุดฝีเท้า


กู๊ดมองตามสายตาของเขาไป หัวใจเขาเต้นเร็วขึ้น


เขาเห็นเครื่องบินปีกสองชั้น 4 ลำจอดอยู่ในโรงเก็บเครื่องบินอย่างเป็นระเบียบ แต่บนตัวพวกมันไม่มีผ้าคลุมเอาไว้ หากแต่จอดอย่างเปิดเผยอยู่ตรงหน้าทั้งสามคน ความมันวาวและตัวเครื่องที่เรียบรื่นของมันทำเอากู๊ดไม่สามารถละสายตาไปจากมันได้ แค่คิดว่าซักวันเขาจะมีโอกาสได้ขับเจ้าสิ่งที่น่าเหลือเชื่อนี้บินขึ้นไปบนฟ้า เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างมาก


ช่างหัวอัศวินสิ ท้องฟ้าต่างหากคือที่ๆ เขาควรจะไป!


ฟินกิ้นเอาบันไดพาดขึ้นไปบนหน้าต่าง ก่อนจะปัดมืออย่างภูมิใจ “แบบนี้พวกเราก็ไม่ได้เข้าไปในลานฝึกบิน แล้วก็ไม่ถือว่าฝ่าฝืนคำสั่งด้วย”


ถึงแม้จะรู้ว่าคำพูดนี้มันมีช่องโหว่อยู่ แต่กู๊ดก็ไม่อาจห้ามใจตัวเองเอาไว้ได้ เขาปีนบันไดตามอีกฝ่ายเข้าไปในโรงเก็บเครื่องบิน


สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือเมื่อครู่เขายังรู้สึกไม่สบายใจอยู่เลย แต่พอได้เห็นเครื่องบิน ภายในใจเขากลับรู้สึกสงบขึ้นมา


หลังลงมาบนพื้น เพื่อนทั้งสองคนของเขาก็รีบวิ่งไปยังเครื่องบินที่อยู่ใกล้ตัวเองที่สุด ส่วนเขานั้นเดินอยู่ด้านหลังสุด


“ว้าววว นี่มัน…สุดยอดจริงๆ” ฮายส์เอามือลูบเครื่องบิน “ดูเหมือนมันจะทำมาจากเหล็กนะเนี่ย”


“ใช่ แถมยังบางอีกด้วย เจ้าดูสิ…” ฟินกิ้นเอานิ้วกดลงไป ผิวนอกของเครื่องบินยุบตัวลงไปเล็กน้อย “ไม่รู้จริงๆ ว่ามันสร้างขึ้นมาได้ยังไง”


“เฮ้ย ระวังหน่อยนะ ถ้ามันเสียจะทำยังไง!”


“วางใจได้ มันยืดหยุ่นจะตาย”


“จริงเหรอ? อย่างนั้นข้าลองบ้าง…”


แต่กู๊ดกลับไม่ได้เดินวนรอบเครื่องบินแล้วส่งเสียงอุทานตกใจออกมาเหมือนทั้งสองคน เขาเดินเข้าไปใต้ปีกเครื่องบินก่อนจะปีนขึ้นไปบนตัวเครื่องคล้ายมีอะไรบางอย่างดึงดูดเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น ภายในใจเขาเหมือนมีเสียงเรียกกำลังเรียกให้เขาเดินเข้าไปยังส่วนหัวของเครื่องบิน


บนหน้าปก ‘คู่มือการบิน’ องค์หญิงทิลลีทรงนั่งอยู่ตรงนี้ พื้นดินและท้องทะเลกลายเป็นฉากหลังให้กับพระองค์


จากนั้นกู๊ดก็ข้ามเข้าไปยังที่นั่งคนขับก่อนจะนั่งลง


นี่แท้…โลกในมุมมองของอัศวินอากาศเป็นแบบนี้หรอกเหรอเนี่ย?


ปีกที่ตรงยาวกับคานค้ำทั้งสองด้านบนบังทัศนวิสัยเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่มันกลับทำให้เขาสายตาของเขาเพ่งมองไปข้างหน้า เก้าอี้ที่อยู่ด้านหลังมีหนังนุ่มๆ หุ้มเอาไว้ เขาถึงขนาดได้กลิ่นนมๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของหนังใหม่ แผงหน้าปัดก็ไม่ใช่ภาพวงกลมสองวงที่ถูกวาดอยู่บนแผ่นไม้อีก หากแต่เป็นเข็มวัดที่มีกระจกใสครอบปิดอยู่ คันบังคับและแป้นเหยียบทำขึ้นมาจากโลหะ โดยด้านบนของคันบังคับนั้นมียางหุ้มเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง สัมผัสหลังจากที่จับนั้นทั้งสบายแล้วก็ไม่ลื่นมือ


กู๊ดจับคันบังคับแล้วค่อยๆ ดึงลงมา ด้านหลังเขาพลันมีเสียงแคร่กดังขึ้นมา


ความรู้สึกนี่แตกต่างกับคันบังคับไม้บนแท่นฝึกซ้อมอย่างสิ้นเชิง เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดึงอะไรบางอย่างอยู่จริงๆ เส้นเหล็กให้การตอบสนองกลับมาที่เขาอย่างชัดเจน ยิ่งเมื่อเขาดึงคันบังคับลงมา คันบังคับก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ เหมือนว่ามันกำลังตอบรับความเคลื่อนไหวของเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น


“พระเจ้า เจ้ากำลังทำอะไรเนี่ย?” เสียงของฮายส์ดังแทรกความคิดเขาขึ้นมา


“เอ่อ…” กู๊ดปล่อยมือทันที “ข้าแค่…”


“อยากซ้อมดูสักหน่อยเหรอ?” ฟินกิ้นยิ้มๆ “ก่อนหน้านี้ใครนะที่บอกว่าข้าบ้า แล้วดูตอนนี้สิ ตรงดิ่งเข้ามามาที่ห้องนักบินไม่พูดไม่จา แล้วไหนบอกว่าแค่ดูเฉยๆ ไง?”


“ขอโทษ ข้าอดใจไม่ไหว…”


“วางใจได้” เขาพูดตัดบท “ในเมื่อตอนฝึกซ้อมก็ทำแบบนี้ ลองดูซักหน่อยมันก็ไม่เสียหรอก แต่ว่าลองเสร็จแล้วก็รีบออกมาสิ ให้ข้าลองมั่ง”


“เดี๋ยวก่อน” กู๊ดพูดเหมือนยังไม่อยากลุก “เมื่อกี้ข้าแค่ลองดึงคันบังคับดู เจ้าจะลองมานั่งข้างหลังดูไหม?”


“เดี๋ยว แล้วข้าล่ะ?” ฮายส์เองก็ปีนขึ้นไปบนปีกเครื่องบิน


ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น ประตูใหญ่ที่ปิดแน่นพลันมีเสียงดึงโซ่ดังขึ้นมา


กู๊ดหน้าถอดสีทันที!


ฮายส์เองก็มีสีหน้าลนลาน “ทะ ทำไมถึงมีคนมาได้ล่ะ?”


“พวกเราจะทำยังไงดี?”


มีเพียงฟินกิ้นเท่านั้นมีดูใจเย็น “หนีไม่ทันแล้ว หลบก่อนแล้วกัน!”


แต่ในโรงเก็บเครื่องบินโล่งๆ ไม่มีที่ไหนให้พวกเขาใช้หลบได้เลย ที่นั่งแคบๆ ก็ไม่พอที่จะยัดผู้ใหญ่สามคนเข้าไป ยังไม่ทันที่พวกเขาจะปีนลงมาจากเครื่องบิน คนที่อยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามาในโรงเก็บเครื่องบินแล้ว


“ใครน่ะ?”


“อย่าขยับ!”


เสียงแครกหลายเสียงดังขึ้นมา กู๊ดพบว่าตัวเองถูกกองทัพที่หนึ่งล้อมเอาไว้


ปากกระบอกปืนที่ขึ้นลำเรียบร้อยจ่ออยู่ตรงหน้า ทั้งสามคนไม่กล้าที่จะขัดขืน พวกเขาถูกกดลงไปที่พื้นทันที


“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” คนที่คุ้นเคยคนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา นั่นคือองค์หญิงทิลลี วิลเบิลดัน “มีผู้บุกรุกเหรอ?”


ยังไม่ทันทีทหารจะตอบ ฟินกิ้นชิงตะโกนขึ้นมาก่อน “องค์หญิง พวกกระหม่อมผิดไปแล้ว! พวกกระหม่อมเป็นนักเรียนรุ่นที่หนึ่ง พวกกระหม่อมเพียงแค่สงสัย ก็เลยอยากจะมาดูว่าเครื่องบินที่พวกกระหม่อมจะได้ขับหลังจากนี้หน้าตาเป็นยังไง พวกกระหม่อมก็เลยแอบเข้ามาที่นี่ ขอพระองค์ได้โปรดอภัยให้พวกกระหม่อมด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”


ที่แท้เจ้าก็รู้นี่นาว่าทำแบบนี้มันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง จบสิ้นแล้ว กู๊ดร้องอยู่ในใจ


กระทั่งสอบถามเสร็จเรียบร้อย องค์หญิงจึงพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ “ที่แท้แบบนี้นี่เอง ตามกฎแล้ว พวกเจ้าต้องถูกจับไปขังมากกว่า 15 วัน จากนั้นก็สูญเสียสิทธิ์ในการเป็นอัศวินอากาศ ส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากนี้จะไปทำงานอะไร นั่นก็แล้วแต่พวกเจ้าเป็นคนเลือก กลับไปรายงานหัวหน้าหน่วยได้แล้ว”


“พ่ะ พ่ะย่ะค่ะ..” ทั้งสองคนทำหน้าเศร้า


หัวใจกู๊ดพลันรู้สึกวูบขึ้นมาทันที ในขณะที่ทหารกำลังจะลากเขาออกมา เขาไม่รู้ไปเอาความกล้ามาจากไหน ก่อนจะเงยหน้าตะโกนขึ้นมาว่า “องค์หญิง ขอพระองค์ทรงเมตตาด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมเพียงแค่อยากจะกลายเป็นนักบิน เพื่อมันแล้วกระหม่อมยินดีที่จะทุ่มเททุกอย่าง! ยิ่งไปกว่านั้น…ยิ่งไปกว่านั้นกระหม่อมคิดว่าตัวเองเหมือนขาดความรู้สึกในการบินบางอย่างไป ถึงจะฝึกซ้อมหนักแค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นแม้แต่น้อย กระหม่อมก็เลยมาที่นี่ ที่กระหม่อมทำไปไม่ใช่เพราะอยากรู้อยากเห็นเพียงอย่างเดียวพ่ะย่ะค่ะ!”


“โอ้?” จู่ๆ ทิลลีพลันเลิกคิ้วขึ้นมา “เจ้าว่า…ความรู้สึกงั้นเหรอ?”


“ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่สามารถโยงการบังคับเข้ากับสิ่งที่เขียนอยู่ในคู่มือได้ เหมือนกับว่าทั้งๆ ที่บินอยู่ แต่กระหม่อมกลับไม่รู้สึกถึงลมอย่างไรอย่างนั้น…เอ่อ ไม่สิ น่าจะเป็น…” เขาครุ่นคิด “กระหม่อมไม่รู้จะอธิบายมันอย่างไร กระหม่อมเพียงแต่รู้สึกว่าไม่ว่าจะฝึกยังไงมันก็เหมือนไม่ใช่…”


“เหลวไหล เหตุผลอะไรของมันเนี่ย”


“เจ้านี่มันบ้าไปแล้วเหรอ?”


“รีบลากมันออกไป ก่อนเจ้าหญิงทิลลีจะทรงหงุดหงิดขึ้นมา”


เหล่าทหารพูดเสียงเบาๆ


กลายเป็นทิลลีที่เหลือบมองเขาเหมือนคิดอะไรอยู่ “เจ้าชื่อกู๊ดใช่ไหม? ข้าจำที่อีเกิลเฟซรายงานได้ว่าคะแนนของเจ้านั้นดีมาก ในการฝึกซ้อมจำลองการบินก็สามารถปรับตัวได้เป็นคนแรก แถมยังฝึกหนักอีกด้วย”


“กระหม่อม…”


ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปาก เธอพลันพูดตัดบทขึ้นมา “แล้วเป็นยังไง? ความรู้สึกที่ได้ขึ้นเครื่องบิน”


“อา?” กู๊ดงุนงง


“เมื่อกี้เจ้าบอกไม่ใช่เหรอว่าขาดความรู้สึกในการบินอะไรบางอย่างไป? แล้วตอนนี้ล่ะ? เจ้าคิดว่าตัวเองบินได้ไหม?”


เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกำหมัดทั้งสองข้าง “ทูลองค์หญิง…กระหม่อมคิดว่าได้พ่ะย่ะค่ะ”


“อย่างนั้นก็ลองดู” ทิลลีหมุนตัวกลับไปโดยไม่มองเขาอีก “ความจริงข้าคิดจะให้พวกเจ้าเริ่มฝึกบินจริงพรุ่งนี้ สำหรับคนอื่นๆ แล้ว ถ้าผิดพลาดก็ยังมีโอกาสให้แก้ตัว แต่เจ้าไม่มี ถ้าไม่สำเร็จ เจ้าจะถูกไล่ออกจากโรงเรียน แต่แน่นอน เจ้าจะเลือกรับโทษก็ได้ อันนี้มันก็แล้วแต่เจ้า”


“กระหม่อมจะบินพ่ะย่ะค่ะ” ครั้งนี้กู๊ดแทบจะตอบอย่างไม่ลังเล


“อย่างนั้นก็เอาตามนี้” ทิลลีชะงักไปเล็กน้อย “แล้วก็ อีกสองคนก็เอาตามนี้แล้วกัน”


…………………………………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)