Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1163-1168

 ตอนที่ 1163 สุดยอดอมนุษย์

โดย

Ink Stone_Fantasy

แอชเชสพบว่าตัวเองไม่สามารถเร็วไปกว่านี้ได้


ถ้าเร็วขึ้นอีกหน่อย เธอก็จะสามารถปัดหอกที่ปาใส่แม็กกี้ได้


ถ้าเร็วขึ้นอีกหน่อย เธอก็จะสามารถไล่ผู้พิฆาตเวทมนตร์ได้ก่อนที่เอเลน่าจะโดนฟัน


ถ้าเร็วขึ้นอีกหน่อย เธอก็จะสามารถป้องกันหอกที่ปีศาจคุ้มคลั่งปามาได้ทุกเล่ม


พลังเวทมนตร์กำลังไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเธออย่างบ้าคลั่ง ทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกทุกๆ ส่วนของเธอแข็งแกร่งขึ้น แต่ขณะเดียวกันมันก็เผาไหม้เส้นประสาทของเธอด้วย ทว่าความเจ็บปวดไม่ได้ทำให้ความมุ่งมั่นของเธอลดลงเลย ในทางกลับกัน มันกลับทำให้สมาธิของเธอยิ่งแน่วแน่ขึ้น


ถ้าเร็วขึ้นอีกหน่อยล่ะก็!


แอชเชสเข้าไปอยู่ในดินแดนแห่งใหม่เหมือนตอนที่เธอได้ประมือกับผู้พิฆาตเวทมนตร์ครั้งแรก แต่ครั้งนี้เหมือนเธอจะก้าวไปได้ไกลกว่าครั้งนั้น เธอสามารถมองเห็นทุกๆ รายละเอียดบนสนามรบได้อย่างชัดเจน อย่างเช่นรอยแตกที่อยู่บนหอกกระดูกที่ปาออกมา แอ่งน้ำที่อยู่ใต้เท้าของปีศาจ หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างแผ่วเบาของแม็กกี้ เลือดสดๆ ที่ไหลออกมาจากตัวของโซอี้


เธอสัมผัสได้ถึงพลังเวทมนตร์จากภายนอกกำลังไหลทะลักเข้ามาในร่างกายไม่หยุด อีกทั้งยังรวมตัวอยู่ในอวัยวะทุกๆ ส่วนในร่างกาย บางทีนี่อาจจะเป็นการยกระดับอย่างที่อกาธาเคยบอกเอาไว้ เธอครุ่นคิด บางทีตัวเองอาจจะก้าวไปถึงขั้นนั้นแล้วก็ได้ พลังเวทมนตร์ที่จับตัวกันไม่เพียงแต่จะมองพลังที่แข็งแกร่งให้กับเธอ แต่มันยังทำให้การรับรู้ของเธอมีความเฉียบคมมากขึ้นด้วย ทำให้เธอสามารถรับมือกับปีศาจระดับสูงสองตัวได้โดยที่ไม่เสียเปรียบ


แต่มันก็ได้เพียงเท่านี้


“เคร้ง!”


ดาบยักษ์ของเธอปะทะเข้ากับแขนของผู้พิฆาตเวทมนตร์พร้อมกับมีประกายไฟแลบออกมา


“อะไรกัน นี่คือความเร็วที่เร็วที่สุดของเจ้าเหรอ?” ยังไม่ทันที่แอชเชสจะดึงดาบกลับ อุรูคได้กระโดดกลับไปด้านหลังพร้อมกับแสยะยิ้มดูถูกออกมา “ถ้าทำได้แค่นี้ล่ะก็ ช้าเร็วเพื่อนของเจ้าก็จะต้องตายอยู่ที่นี่ หรือว่าเจ้าจงใจทอดทิ้งพวกนาง?”


แอชเชสทำเป็นไม่ได้ยิน เธอหมุนตัวไปฟันหอกกระดูกที่ปามาทางตนจนหัก


“อย่าไปฟังมัน ไอสัตว์ประหลาดชั่วนี่มันคิดจะยั่วโมโหเจ้าเพื่อให้เจ้าขาดสติ!” โซอี้หอบหายใจพร้อมบรรจุกระสุนที่เหลือเข้าไปในรังเพลิง กระสุนที่อยู่ในมือเธอเหลืออยู่แค่ไม่กี่นัด “ถ้าหุนหันพลันแล่นไล่ตามไป อย่างนั้นเจ้าจะแพ้จริงๆ เอาได้”


“ข้ารู้แล้ว” แอชเชสพยักหน้าอย่างใจเย็น


เจตนาของอีกฝ่ายนั้นชัดเจนอย่างมาก มันมักจะหาช่องโหว่แล้วลอบโจมตีเพื่อนๆ ของเธอ ส่วนปีศาจที่ยืนอยู่กระจัดกระจายก็จะตามเข้ามาคุ้มครองหรือไม่ก็ช่วยโจมตีอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะเผชิญหน้ากับกระสุนของปืนลูกซอง พวกปีศาจคุ้มคลั่งก็บุกเข้ามาก็ไม่ได้มีทีท่าลังเลแม้แต่น้อย ขอเพียงเธอไขว้เขวนิดเดียว อีกฝ่ายก็อาจจะฉีกทำลายแนวป้องกันของพวกเธอได้


ปีศาจร้อยกว่าตัวที่มันแอบซ่อนเอาไว้น่าจะเป็นปีศาจที่มีฝีมือที่สุดในกองทัพที่ประจำอยู่ในทาคิลาแล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะแม่มดอาญาสิทธิ์ 8 คนนี้ก็มีประสบการณ์การต่อสู้ที่โชกโชนเหมือนกัน พวกนางคงไม่มีทางรอดมาถึงตอนนี้ได้


แต่ว่ามีจุดหนึ่งที่ผู้พิฆาตเวทมนตร์พูดถูก


นี่คือความเร็วที่เร็วที่สุดของเธอแล้ว


สู้กันมาถึงตอนนี้ กลามเนื้อทุกๆ ส่วนของเธอเหมือนกับเผาไหม้อยู่ นี่คือสัญญาณของการถูกพลังเวทมนตร์กลืนกิน สำหรับอมนุษย์ที่เคยฝึกฝนตัวเองอยู่ตลอดเวลาอย่างแอชเชสแล้ว เธอเพิ่งจะเคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก ถ้าตอนนี้เธอหยุดสู้ จากนั้นหมุนตัวฝ่าวงล้อมของศัตรูออกไปและพักฟื้นร่างกาย เมื่อไรที่ร่างกายของเธอปรับตัวเข้าระดับความแข็งแกร่งของพลังเวทมนตร์อันใหม่ได้ ตอนนั้นเธอน่าจะยกระดับขึ้นไปได้อีกขั้น


แต่แบบนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้


เพราะเธอไม่สามารถช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้ อย่างมากเธอก็ทำได้เพียงปกป้องตัวเองเท่านั้น


การจะเปลี่ยนสถานการณ์ในตอนนี้ อาศัยเพียงความเร็วอย่างเดียวนั้นไม่สามารถทำได้


ถ้าเปลี่ยนเป็นอควาเรียสก็คงทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้เหมือนกันล่ะมั้ง?


‘เจ้าคืออมนุษย์ คือผู้ที่มีพลังแฝงอย่างที่ยากจะจินตนาการได้มาแต่กำเนิด แต่ถ้าอยากจะก้าวข้ามประตูบานนั้นไปให้ได้จริงๆ เจ้าก็จำเป็นต้องมีเป้าหมายที่แน่ชัดและจิตใจที่มุ่งมั่น’ คำพูดของฟิลลิสดังก้องอยู่ในหูของเธอ ‘สุดยอดอมนุษย์ในยุคสมัยสมาพันธ์นั้นล้วนแต่ยกระดับในระหว่างที่ต่อสู้ทั้งสิ้น ส่วนคนที่ไม่สามารถก้าวข้ามมันมาได้ก็จะตายด้วยน้ำมือปีศาจทั้งหมด ข้าหวังว่าเจ้าจะกลายเป็นอย่างแรก’


เมื่อมาถึงตอนนี้จริงๆ แอชเชสถึงได้พบว่าอุปสรรคที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่นั้นแตกต่างกับสิ่งที่อีกฝ่ายเคยพูดมาอย่างสิ้นเชิง


สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอคือทางเลือกสองทาง ทางหนึ่งคือหนีเอาตัวรอดแล้วไปเจอกับทิลลี อีกทางหนึ่งคือก้าวต่อไปข้างหน้า แล้วก้าวเข้าไปยังดินแดนแห่งใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครก้าวเข้าไปมาก่อน


แต่ค่าตอบแทนคือเธอต้องเผาไหม้ตัวเอง


‘ถ้าพวกเราปรารถนาจะใช้พลังเวทมนตร์ทำเป้าหมายอะไรบางอย่างให้กลายเป็นจริง มันก็นำพวกเราไปยังทิศทางนั้น’ เสียงฟังดูวุ่นวายและห่างไกลออกไป คล้ายกับว่ามันดังมาจากบนฟ้า — เหมือนเสียงกระซิบ แล้วก็เหมือนเสียงฟ้าร้องที่ดังมาจากที่ไกลๆ


‘สิ่งที่เจ้าต้องการคืออะไรกันแน่?’


“เฮ้ย ทางนี้…..ยิงได้!”


“ตู้ม..!”


จู่ๆ เสียงระเบิดที่เงียบไปเป็นเวลานานก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงที่ดังตามขึ้นมาคือเสียงร้องโหยหวนของปีศาจ!


แอชเชสมองตามเสียงไป ก่อนจะพบไลต์นิ่งฝ่าวงล้อมเข้ามาจากด้านหลัง!


ศัตรูที่ถูกเมซี่ดึงความสนใจถูกกระสุนระเบิดยิงใส่เข้าอย่างจัง ปีศาจคุ้มคลั่งที่ถูกยิงใส่ตัวแรกตัวขาดหายไปครึ่งหนึ่ง ส่วนปีศาจอีกสองตัวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ถูกเศษสะเก็ดระเบิดแทงทะลุร่างกาย พวกมันเสียความสามารถในการต่อสู้ไปในพริบตา


“อ๊าซๆๆๆ….!” จากนั้นอสูรสยองขนาดยักษ์ตัวหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในป่า ก่อนจะพุ่งเข้าชน ขย้ำและเหยียบปีศาจที่กำลังเล็งหอกไปที่ไลต์นิ่ง


ด้วยการทำงานร่วมกันของทั้งสองคน วงล้อมของปีศาจตกอยู่ในความวุ่นวายทันที แค่พริบตาปีศาจคุ้มคลั่ง 20 กว่าตัวก็เหลืออยู่แค่ 5 – 6 ตัว


“อดทนไว้ พวกเรามาช่วยแล้ว!”


“เจ้าแมลงวันน่ารำคาญ” ผู้พิฆาตเวทมนตร์ขมวดคิ้วขึ้นมา มันผละจากแอชเชส ก่อนจะบินเข้าไปหาไลต์นิ่งกับเมซี่


ส่วนปีศาจระดับสูงอีกตัวหนึ่งก็โยนต้นไม้ยักษ์เข้ามาใส่แอชเชส


นอกจากนี้มันยังปาหอกกระดูกออกไปอีกสองเล่ม เล่มหนึ่งพุ่งเข้าไปโซอี้ที่ฝืนพยุงร่างกายที่เหนื่อยล้าให้ยืนอยู่ ส่วนหอกอีกเล่มหนึ่งก็พุ่งตรงไปหาแอนเดรียที่นอนอยู่บนพื้น


สถานการณ์แบบนี้อีกแล้ว


ถ้าอยู่ตรงนี้ ไลต์นิ่งก็จะได้รับอันตราย ถ้าเข้าไปสกัดผู้พิฆาตเวทมนตร์ ทุกคนก็จะได้รับอันตราย


ในเมื่อความเร็วที่เร็วกว่านี้ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ อย่างนั้นสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ได้ก็แต่พลังที่อยู่เหนือความเร็ว


ในวินาทีที่เห็นไลต์นิ่งกับเมซี่กลับมา แอชเชสก็ได้ทำการตัดสินใจออกมาแล้ว


บางทีเธออาจจะตัดสินใจแบบนี้มานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทุกคืนวันที่ได้อยู่กับแม่มดคนอื่นๆ ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ หรือค่ำคืนนั้นที่ได้พูดคุยกับฟิลลิส หรือว่าตอนที่ทิลลีบอกว่า ‘ถ้าเทียบกับผู้แก้แค้นแล้ว ข้าชอบเจ้าในตอนนี้มากกว่า’ ความคิดนี้มันก็อยู่ในหัวของเธอแล้ว


“ขอโทษด้วยนะ ทิลลี”


แอชเชสพูดเสียงเบา ก่อนจะก้าวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง


‘สิ่งที่เจ้าต้องการคืออะไรกันแน่?’


ข้าอยากจะปกป้องพวกนาง


พริบตานั้นเอง เธอ ‘มองเห็น’ ทะเลแห่งพลังเวทมนตร์ที่ไหลเวียนอย่างบ้าคลั่ง พลังที่แฝงอยู่ในนั้นยากที่จะใช้คำพูดมาบรรยายได้ แต่ในกระแสพลังเวทมนตร์ที่ไหลเวียนอยู่นั้น มันเหมือนมีเสียงกระซิบและดวงตาที่คอยจ้องมองจำนวนนับไม่ถ้วนแอบแฝงอยู่


แอชเชสปลดเปลื้องทุกอย่างและรับมันเข้ามาทั้งหมด


…..


จู่ๆ อุรูคที่บินไปได้ครึ่งทางก็รู้สึกตกใจขึ้นมา


มันรีบหันหน้ากลับไป ก่อนจะเห็นอมนุษย์คนนั้นชูดาบยักษ์ของเธอขึ้นไปบนท้องฟ้า ส่วนบนคมดาบก็มีแสงสีทองแลบแปลบๆ ไปมาอยู่


พริบตาที่มองเห็นแสงสีทองนั้น มันก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเคลื่อนที่ได้ช้าลง เหมือนว่ามันตกลงไปในโคลนตมอย่างไรอย่างนั้น


ไม่ใช่แค่มัน


การไหลเวียนของอากาศที่อยู่รอบๆ ก็หนืดขึ้นมา


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อุรูคเจอสถานการณ์แบบนี้ แต่การเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นในเวลานี้กลับทำให้อุรูครู้สึกยากที่จะเชื่อได้


เป็นไปได้ยังไง?


นั่นไม่ใช่พลังที่หินเวทมนตร์ปล่อยออกมา หากแต่เป็นพลังที่มาจากตัวของนาง!


มันรีบเงยหน้าขึ้นไป โดยหวังว่าตัวเองจะคิดผิด แต่สายฟ้าสีทองที่แลบแปลบๆ อยู่บนท้องฟ้าก็ได้ทำลายความหวังสุดท้ายของมันลง เมื่อดูจากระดับความรุนแรงของพลังเวทมนตร์ที่รวมตัวกันแล้ว เผลอๆ พลังของการโจมตีครั้งนี้อาจจะเหนือกว่าแม่มดผมแดงคนนั้นเสียอีก


เรื่องที่จะหลบนั้นไม่มีทางเป็นไปได้


ถ้ากันเอาไว้ไม่ได้ มันก็ต้องตาย


เมื่อคิดถึงตรงนี้อุรูคก็รีบดึงเอาพลังทั้งหมดออกมาแล้วกางสนามพลัง!


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง อีกฝ่ายก็เหวี่ยงดาบยักษ์ลงมา


สายฟ้าเจิดจ้าผ่าลงมาจากบนท้องฟ้า ก่อนจะส่องสว่างไปทั่วทั้งพื้นดิน


…..


ท่ามกลางความเงียบสงัด มิสต์ลืมตาขึ้นมา


เธอลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินหลบผู้คนที่ยืนนิ่งมายังข้างหน้าต่าง


โลกใบนี้ยังไม่ตื่น ทุกสรรพยังคงอยู่ในสภาพที่เวลาได้หยุดเดินลง ไม่ว่าจะเป็นแชมเปญที่ไหลออกมาจากขวด หรือว่าเม็ดฝนที่ตกโปรยปรายอยู่นอกหน้าต่าง พวกมันลอยค้างอยู่กลางอากาศเหมือนกับภาพวาดที่อยู่ในงานเลี้ยง


ในสถานที่ที่เวลาอยู่นิ่ง ตามหลักแล้วไม่น่าจะมีเสียงดังขึ้นมาได้


แต่ในค่ำคืนที่มืดมิดนี้กลับมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นมา


เธอผลักหน้าต่างออกไป ก่อนจะทอดสายตาเหม่อมองออกไปยังขอบฟ้าอย่างเงียบๆ


…..


ในตอนที่สายตาของไลต์นิ่งฟื้นตัวจากอาการพร่ามัว เธอก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าที่โล่งที่เมื่อครู่นี้กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดกลายสภาพเป็นดินที่ไหม้เกรียม ต้นไม้ที่อยู่รอบๆ ถูกเผาจนกลายเป็นตอไม้สีดำ ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นไหม้แสบจมูก


เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น?


เธอจำได้แต่ว่าปีศาจคุ้มคลั่งตัวหนึ่งที่หลบอยู่หลังต้นไม้กำลังพุ่งเข้ามาหาเธอ ส่วนเธอก็ทุ่มสมาธิทั้งหมดอยู่ที่ตัวผู้พิฆาตเวทมนตร์ กว่าจะรู้ตัวมันก็สายไปเสียแล้ว ในช่วงเวลาคับขันเธอได้แต่ต้องโยนปืนยิงระเบิดใส่อีกฝ่าย โดยหวังว่าจะหยุดการโจมตีของศัตรูได้ จากนั้นลำแสงสีทองก็ปกคลุมตัวเธอไว้ทันที


แต่ตอนนี้บนที่โล่งที่อยู่ตรงหน้าเหลือปีศาจระดับสูงอยู่แค่สองตัวเท่านั้น ส่วนปีศาจตัวอื่นๆ หายไปจนหมด


หัวอันใหญ่โตของปีศาจระดับสูงที่กลายร่างมาจากเจ้าแห่งนรกฟุบลงไปอยู่บนพื้น ทั่วทั้งร่างกายของมันเหมือนถูกไฟเผาอย่างไรอย่างนั้น ผิวหนังหยาบๆ ของมันปริแตกออก ลมหายใจดูรวยริน


ส่วนผู้พิฆาตเวทมนตร์นั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่านั้น ร่างกายครึ่งหนึ่งของมันหายไป แสงสำดำกำลังขยับไปมาอยู่ตรงบาดแผล มันยืนอยู่กลับที่ไม่ขยับไปไหน แต่ไม่รู้ว่าทำไม ไลต์นิ่งกลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา


ใช่แล้ว…แอชเชส!


เธอรีบมองไปตรงกลางที่โล่ง จากนั้นจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา


แอชเชสยังคงยืนถือดาบคอยคุ้มครองทุกคนอยู่


“เจ้าไม่เป็นไรใช่….” ไลต์นิ่งบินเข้าไปหาแอชเชส แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ เสียงตะคอกต่ำๆ ของอีกฝ่ายก็ดังแทรกขึ้นมา


“รีบพาทุกคนหนีออกไปจากที่นี่ ยิ่งไกลยิ่งดี!”


“เอ๋?”


“ฟังข้านะ ที่นี่ข้าจัดการเอง เจ้ารีบไปจากที่นี่ซะ ก่อนที่ข้าจะควบคุมพลังของตัวเองไม่ได้!”


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร น้ำเสียงของแอชเชสฟังดูแข็งกร้าวจนเธอไม่อาจโต้แย้งได้ ทำให้ไลต์นิ่งกลืนคำถามที่เธออยากจะถามกลับลงไป อย่างนี้นี่เอง พวกเธออยู่ที่นี่ก็มีแต่ถ่วงอีกฝ่ายเอาไว้ ไลต์นิ่งมองดูดวงตาสีสองที่เหมือนกำลังลุกไหม้ของแอชเชส อย่างน้อยในตอนนี้เธอก็เหมือนจะเข้าใจแล้วว่าสายฟ้าที่ผ่าลงมาจากบนฟ้ามันคืออะไร


ไลต์นิ่งบอกให้เมซี่แปลงร่างเป็นอสูรสยองพร้อมกับเอาทุกคนวางไว้บนหลังของเมซี่ ถึงแม้เธอจะไม่สามารถบินโดยแบกคนเยอะขนาดนี้ได้ แต่ถ้าแค่วิ่งก็ไม่มีปัญหา


หลังจากนั้นไม่นาน หลังสองคนก็หนีออกมาจากที่โล่งแล้วตรงเข้าไปในป่า


หลังวิ่งออกมาได้หลายร้อยเมตร เมซี่จึงอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “ทำไมแอชเชสถึงใช้พลังของรูนอาญาสิทธิ์ได้ล่ะ พวกเราไม่ได้พกรูนอาญาสิทธิ์มาด้วยนี่นา…”


“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่มีอยู่เรื่องที่มั่นใจได้” ไลต์นิ่งชะงักไปเล็กน้อยพร้อมกับกำหมัดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “นางกลายเป็นสุดยอดอมนุษย์แล้ว!”


………………………………………………………………..


ตอนที่ 1164 ชะตาชีวิตที่ไม่ได้เลือก

โดย

Ink Stone_Fantasy

หมู่เมฆบนท้องฟ้ายังไม่จางหายไป หากแต่ยิ่งรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนมากกว่าเดิม สายฟ้าแลบแปลบๆ พร้อมส่งเสียงร้องครืนๆ ออกมาตลอดเวลา


กระทั่งไลต์นิ่งกับเมซี่พาผู้บาดเจ็บออกไปแล้ว แอชเชสถึงได้กระอักเลือดออกมา ร่างกายของเธอทรุดลงไป หากไม่เป็นเพราะมีดาบเล่มใหญ่ค่อยค้ำเอาไว้อยู่ เกรงว่าแม้แต่จะยืนก็ยังทำได้ลำบาก


การโจมตีเมื่อครู่นี้เผาผลาญพลังเวทมนตร์ที่เธอมีจนเกือบหมด ถึงแม้พลังเวทมนตร์จะยังคงหลั่งไหลเข้ามาในร่างกายเธอไม่หยุด แต่เธอไม่อาจควบคุมมันได้ เหมือนกับว่าทุกๆ ส่วนในร่างกายเธอกำลังถูกเผาไหม้อย่างรุนแรง ผลข้างเคียงจากการใช้พลังเวทมนตร์ไปจนหมดกับความเจ็บปวดที่เกิดจากการกลืนกินทับซ้อนกันจนกลายเป็นความทรมานที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้


เธอไม่รู้ว่าตัวเองจะทนไปได้นานแค่ไหน แต่สิ่งเดียวที่มั่นใจได้ก็คือเธอจะล้มลงที่นี่ไม่ได้


ไม่อย่างนั้นทุกสิ่งที่ทำมาก่อนหน้านี้จะไร้ความหมาย


สายฟ้าแห่งความพิโรธที่ผ่าลงมาจากบนฟ้าทำให้ผู้พิฆาตเวทมนตร์บาดเจ็บสาหัส


ร่างกายครึ่งหนึ่งของมันที่ฝังหินโบยบินเอาไว้ถูกสายฟ้าสีทองผ่าจนหายไป นอกจากการเคลื่อนไหวจะถูกจำกัดแล้ว ความแข็งแกร่งของมันก็ควรจะลดลงอย่างมากด้วย


ทว่าแอชเชสกลับไม่ได้รู้สึกถึงจุดนี้เลย


ร่างกายของมันยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความอันตราย ประสาทการรับรู้ที่เฉียบคมอย่างมากกำลังบอกเธอว่าศัตรูที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ยังคงมีความสามารถที่จะต่อสู้ต่อไปอยู่


นี่จึงเป็นเหตุผลที่เธอให้พวกไลต์นิ่งรีบหนีออกไปจากที่ี่นี่


ความจริงแล้วพลังเวทมนตร์ที่กำลังไหลเวียนผสมปนเปกันอย่างบ้าคลั่งอยู่รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้ไม่ใช่ของเธอแค่คนเดียว หากแต่มีพลังเวทมนตร์ส่วนหนึ่งที่หลั่งไหลออกมาจากตัวผู้พิฆาตเวทมนตร์ด้วย


ลุกขึ้นมา ต้องรีบลงมือก่อนศัตรู!


แอชเชสกัดฟันยืนขึ้นมาพร้อมกับก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว


และในเวลาเดียวกัน ปีศาจระดับสูงที่ทั่วทั้งร่างกายถูกเผาไหม้ก็กำลังพยายามลุกขึ้นมาเหมือนกัน


บ้าเอ้ย มันยังไม่ตาย!


ตอนที่โจมตีก่อนหน้านี้ แอชเชสเอาพลังส่วนใหญ่เล็งไปที่ผู้พิฆาตเวทมนตร์ แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่าพลังเวทมนตร์ที่รุนแรงจนทำให้ปีศาจคุ้มคลั่งสลายกลายเป็นผุยผงได้จะไม่สามารถทำให้ปีศาจระดับสูงตายได้ ถ้ารู้อย่างนี้เธอยิงสายฟ้าเพิ่มไปที่มันซะก็ดี


แต่สิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจเล็กน้อยก็คือปีศาจระดับสูงไม่ได้หนี แล้วก็ไม่ได้พยายามที่จะเข้ามาโจมตีเธอ เธอเห็นมันพยายามลากร่างกายที่เสียหายอย่างหนักของมันไปอยู่ตรงหน้าอุรูค


มัน….กำลังทำอะไร หรือว่ามันคิดจะปกป้องผู้พิฆาตเวทมนตร์?


ดี แอชเชสกำด้ามดาบเอาไว้แน่น


แบบนี้ข้าจะได้ส่งพวกเจ้าไปลงนรกพร้อมๆ กัน!


……


ในเสี้ยววินาทีที่สายฟ้าทะลุสนามพลังของมันลงมา อุรูคได้ยินเสียงที่ฟังดูคล้ายกับเสียงเรียกของวิญญาณ


ในพริบตานั้นเอง การเชื่อมต่ออันน่ามหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น


มันมองเห็นอะไรบางอย่างที่อยู่ลึกเข้าไปกว่านั้นผ่านทางลำแสงสีทองอันเจิดจ้า —- นั่นคือดินแดนที่มันเฝ้าปรารถนา แต่ก็ยังไม่เคยก้าวเข้าไปถึงเสียที


เพียงแค่พริบตา มันได้ก้าวผ่านธรณีประตูเข้าไปแล้วทิ้งความทรงจำของตัวเองเอาไว้ ซึ่งแต่เดิมเส้นแบ่งระหว่างสองเขตแดนนี้คือความแตกต่างระหว่างมันกับราชา


แต่ตอนนี้ ความแตกต่างนี้ไม่มีอยู่อีกแล้ว!


ตั้งแต่ตอนที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้องทาคิลาไปจนถึงการซุ่มโจมตีมนุษย์ มันต้องเสียค่าตอบแทนไปเยอะแยะมากมาย แม้กระทั่งขัดคำสั่งของสกายลอร์ด


แต่ว่าทั้งหมดมันก็คุ้มค่า!


เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่โลกแห่งจิตสำนึกมอบให้กับมัน อุรูคก็ส่งความคิดนี้ไปในหัวขององครักษ์ที่เป็นร่างระดับต้นทันที


‘นายท่าน ท่าน…ยกระดับแล้วหรือขอรับ?’ อีกฝ่ายรีบถามขึ้นมาอย่างดีใจทันที แต่จู่ๆ มันก็พูดอย่างเศร้าใจขึ้นมา ‘เสียดายที่ข้ากำลังจะกลับไปยังแแหล่งกำเนิดเวทมนตร์ ไม่สามารถติดตาม….ท่านได้อีก’


‘ไม่ ข้ายังไม่ได้ยกระดับ พูดให้ถูกคือข้าห่างจากการยกระดับอีกเพียงก้าวเดียว การโจมตีเมื่อกี้นี้ทำให้ข้าบาดเจ็บอย่างหนัก ด้วยสภาพข้าในตอนนี้ ข้าไม่สามารถใช้พลังของตัวเองในการยกระดับได้’


‘ข้า…ทำอะไรให้ท่านได้บ้าง?’


‘เสียสละตัวเจ้า’


ความคิดขององครักษ์ตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ‘แค่นั้นเหรอขอรับ? อย่างนั้นข้าจัดการเองขอรับ นายท่าน!’


ถึงแม้มันจะสามารถลองก้าวข้ามขีดจำกัดของหินเวทมนตร์ด้วยการเอาตัวเองหลอมรวมเข้ากับแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์เหมือนอย่างแม่มดอมนุษย์ แต่ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไรนั้นมันก็ไม่อาจรู้ได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย มันจึงอดทนรออีกหน่อย


การสื่อสารทางจิตสำนึกนั้นเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ในตอนที่ร่างระดับต้นพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายในการคลานขึ้นมา อมนุษย์คนนั้นก็ค่อยๆ ยืนขึ้นมาเหมือนกัน


ไม่….ตอนนี้เรียกนางว่าอมนุษย์ไม่ได้อีกแล้ว


ผ่านมา 400 กว่านี้ มนุษย์ได้ให้กำเนิดสุดยอดอมนุษย์ขึ้นมาอีกครั้ง


โชคดีที่การโจมตีก่อนหน้านี้ได้เผาผลาญพลังเวทมนตร์อีกฝ่ายไปเยอะมาก จึงยากที่จะฟื้นฟูตัวเองกลับมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ และนี่ก็เป็นโอกาสที่ดีของมัน!


ในที่สุดร่างระดับต้นก็คลานมาถึงหน้าอุรูค เพียงระยะทางสั้นๆ แค่นี้ก็ทำให้พลังชีวิตของมันอ่อนแรงจนเหมือนเปลวเทียนที่อยู่ท่ามกลางสายลมแล้ว แต่จิตสำนึกของมันกลับชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ


‘นายท่าน…เผ่าพันธุ์ของพวกเราจะหลุดพ้นจากกรงแห่งชีวิต เอาชนะสงครามแห่งโชคชะตา แล้วก็ได้เข้าไปเหยียบยังสรวงสวรรค์ที่ไม่เคยมีใครได้สัมผัสมาก่อนจริงๆ ใช่ไหมขอรับ?’


‘ต้องมีวันนั้นแน่นอน ข้าขอรับรอง’ อุรูคชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดชื่อมันออกมา ‘ทาทารอส’


ดวงตาของมันเป็นประกายขึ้นมา เหมือนกับเป็นแสงสุดท้ายก่อนที่จะดับลง ‘อย่างนั้น ได้โปรดพาวิญญาณของข้าไปกับท่านด้วยเถอะขอรับ’


องครักษ์ลุกขึ้นยืน พร้อมกับใช้แขนแทงเข้าไปในหัวของตัวเอง!


…..


แอชเชสตกตะลึง จากนั้นภายในใจของเธอพลันรู้สึกได้ถึงความอันตรายอย่างรุนแรง


ปีศาจระดับสูงส่งเสียงตะโกนกรีดร้องพร้อมควักเอาหินเวทมนตร์และก้อนเนื้อชิ้นใหญ่ออกมาจากหน้าผากของตน ก่อนจะเอามันยัดเข้าไปในร่างกายตรงส่วนที่ขาดหายไปของผู้พิฆาตเวทมนตร์


แสงสีดำที่ขยับไปมาอยู่ตรงปากแผลขยายใหญ่ขึ้นมาในพริบตา!


แอชเชสนึกถึงคำพูดของโรแลนด์ขึ้นมาทันที ปีศาจจำเป็นต้องใช้การหลอมรวมกับหินเวทมนตร์เพื่อยกระดับพลังของตัวเอง หรือว่าอุรูคคิดจะใช้วิธีนี้ในการทำพิธียกระดับให้ตัวเอง?


ไม่ว่าจะใช่แบบนั้นหรือไม่ เธอก็จำเป็นต้องกำจัดพวกมัน


แอชแชสกัดฟันฝืนทนต่อความเจ็บปวดที่เหมือนร่างกายถูกเผาไหม้แล้วเอาพลังเวทมนตร์ที่รวบรวมมาได้อย่างยากลำบากปล่อยไปที่ดาบ


สายฟ้าส่งเสียงคำรามตอบรับเจตจำนงของเธอ ในตอนที่พลังจับตัวกันจนถึงจุดสูงสุด เธอก็ฟันดาบที่สองเข้าใส่ศัตรู!


ถึงแม้พลังเวทมนตร์ที่ใส่เข้าไปในดาบจะไม่มากเท่าครั้งแรก แต่ความรุนแรงของมันกลับไม่ได้ต่างกันมากเท่าไรนัก สายฟ้าสีทองผ่าลงมาจากบนชั้นเมฆเหมือนแส้ที่หวดลงมายังตำแหน่งที่ปีศาจยืนอยู่


อุรูคส่งเสียงคำราม แสงสีดำที่ปกคลุมอยู่บนร่างกายกลายสภาพเป็นแขนที่ขาดหายไป ก่อนจะยื่นไปคว้าจับสายฟ้าเอาไว้!


การปะทะกันของทั้งสองทำให้เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว คลื่นอากาศพัดเอาเศษฝุ่นทรายฟุ้งกระจายขึ้นมาคั่นตรงกลางระหว่างทั้งสองคน


จนกระทั่งฝุ่นเริ่มจางหายไปแล้ว แอชเชสพลันรู้สึกตกใจขึ้นมา


ร่างกายของผู้พิฆาตเวทมนตร์ดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรเสียหายเลย แม้แต่ร่างกายครึ่งหนึ่งที่ขาดหายไปก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิม สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือแขนที่งอกออกมามีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ตรงหัวไหล่และข้อศอกมีหนามแหลมยาวๆ งอกออกมา ดูแล้วคล้ายกับแขนขาของปีศาจระดับสูงตัวนั้น


แต่กลิ่นอายปีศาจที่มันปล่อยออกมากลับแตกต่างจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิง


“ข้าต้องขอชมเชยเจ้าเลยจริงๆ เจ้าคืออัจฉริยะที่ยากจะหาได้ในหมู่แม่มด ไม่เพียงแต่จะก้าวข้ามคนที่เคยแข็งแกร่งที่สุดในหมู่มนุษย์ แต่เจ้ายังเปิดประตูของโลกแห่งจิตสำนึกได้ด้วย สำหรับเผ่าพันธุ์ที่มีชีวิตอยู่แค่ไม่กี่สิบปีแล้ว การที่มาถึงจุดนี้ได้เรียกว่าน่าเหลือเชื่ออย่างมาก” อุรูคยื่นกรงเล็บออกไปบดขยี้ร่างกายของพวกเดียวกันจนแหลกละเอียดอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงเอาถังหมอกแดงที่เปื้อนเลือดสีน้ำเงินใส่เข้าไปในร่างกายตน “แต่น่าเสียดาย อัจฉริยะนั้นไม่ได้มีเจ้าแค่คนเดียว โดยเฉพาะสำหรับพวกข้าที่มีชีวิตยืนยาวจนสามารถก้าวข้ามสงครามแห่งโชคชะตามาได้ นี่คือความแตกต่างที่มีมาแต่กำเนิด ถึงแม้มันจะไม่ยุติธรรมเท่าไร แตชะตาชีวิตมันก็เป็นสิ่งที่เราไม่อาจเลือกได้อยู่แล้ว”


“ชีวิตของเจ้าต้องจบลงเท่านี้แหละ” พอพูดจบ มันก็พุ่งเข้ามาหาแอชเชสทันที


……………………………………………………………………


ตอนที่ 1165 ใจกลางพายุ

โดย

Ink Stone_Fantasy

การปะทะกันของทั้งสองคนทำให้พื้นที่ตรงนั้นเดือดพล่านขึ้นมา


เมื่อเสียงดาบปะทะกันดังขึ้นมา สายฟ้าหลายสายก็ฟาดลงมาจากบนฟ้าจนต้นไม้ที่อยู่รอบๆ แหลกละเอียด แต่แสงสีดำที่ปกคลุมอยู่ด้านนอกร่างกายของผู้พิฆาตเวทมนตร์เป็นเหมือนเกราะที่ช่วยลดความรุนแรงจากการโจมตีของสายฟ้าสีทอง กระแสพลังเวทมนตร์อันรุนแรงทำให้ท้องฟ้ามีฝนเทลงมา ทั้งสองคนเหมือนยืนอยู่ใจกลางพายุ


ไม่ว่าจะเป็นแอชเชสหรือว่าอุรูค การเคลื่อนไหวของทั้งคู่ล้วนแต่ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองไปแล้ว คนธรรมดาแทบจะมองตามการเคลื่อนไหวของทั้งคู่ไม่ทัน แต่สำหรับทั้งสองคนแล้วเหมือนนี่เป็นเรื่องปกติ ทุกๆ การเคลื่อนไหวของทั้งคู่จะทำให้เกิดเป็นเส้นทางที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนท่ามกลางสายฝน ในตอนที่ทั้งคู่ปะทะกันจะทำให้เกิดคลื่นอากาศที่ระเบิดสายฝนจนกระจายออกมา เสียงปะทะดังขึ้นมาคล้ายเสียงฟ้าร้อง เหมือนว่านั่นไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับปีศาจเลย หากแต่เป็นคนยักษ์สองคนกำลังสู้กันมากกว่า


“แฮ่ก…แฮ่ก…” แอชเชสรู้สึกว่าเธอไม่อาจควบคุมพลังเวทมนตร์ในร่างกายได้อีกแล้ว พวกมันค่อยๆ กลืนกินเลือดเนื้อของเธอทีละน้อย ทำให้ร่างกายของเธอเสียหายอย่างหนัก หลังก้าวผ่านจุดที่เจ็บปวดที่สุดไป ความเจ็บปวดที่เกิดจากการกลืนกินกลับกลายเป็นความรู้สึกด้านชาเข้ามาแทนที่


แต่ว่านี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย การสูญเสียความเจ็บปวดไปหมายความว่าสติของเธอเริ่มเลื่อนลอย แล้วก็ทำให้ความสามารถในการควบคุมตัวเองของเธอลดน้อยลงอย่างมากด้วย


ความจริงแล้วเธอไม่มีแรงเหลือพอที่จะดึงสายฟ้าให้ลงมาโจมตีได้อย่างแม่นยำอีกแล้ว เธอได้แต่ต้องปล่อยให้พลังเวทมนตร์อันบ้าคลั่งไหลทะลักออกไปโดยไม่อาจควบคุมได้ การเผาผลาญพลังเวทมนตร์แบบนี้ยิ่งทำให้ร่างกายต้องแบกรับภาระหนักขึ้นจนเธอใกล้จะทนไม่ไหว


“อย่างนี้นี่เอง นี่คือผลจากการที่หลอมรวมกับเข้าแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์โดยตรงงั้นเหรอ?” ผู้พิฆาตเวทมนตร์ดูเหมือนจะเหนื่อยล้าอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน หลังมันหลบการโจมตีของแอชเชสได้แล้ว มันก็เช็ดน้ำเลือดบนใบหน้าของตัวเอง “ถึงแม้เจ้าจะได้รับพลังที่เหนือมนุษย์มา แต่เจ้ากลับกำลังถูกพลังนั้นกลืนกินอยู่ ข้าอยากจะรู้จริงๆ ว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เจ้าจะกลายสภาพเป็นแบบไหน? ถูกพลังเวทมนตร์เผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน หรือว่าสูญเสียความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดไปจนกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่อาจเรียกว่ามนุษย์ได้?”


“ไม่ว่าข้าจะกลายเป็นอะไร นั่นมันก็เป็นเรื่องหลังจากที่ข้ากำจัดเจ้าได้แล้ว” แอชเชสสลัดน้ำฝนที่อยู่บนดาบทิ้งพร้อมกับพูดเสียงเข้ม


“อะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่าทำแบบนั้นได้? ความเชื่อกับความมุ่งมั่นเหรอ?” อูรูคยิ้มเยาะ “ช่างเป็นคำพูดที่พวกมนุษย์ชอบพูดกันเสียจริงๆ …แต่เสียดายที่ช่วงเวลาอันยาวนานได้พิสูจน์ให้ข้าได้เห็นแล้วว่าคำพูดเช่นนี้มันเป็นสิ่งไร้ค่า”


แอชเชสไม่ได้ตอบอะไร หากแต่ยกดาบพุ่งเข้าไปหามัน


หลังผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดมาชั่วระยะเวลาสั้นๆ เธอก็เริ่มจะเข้าในเรื่องความสามารถของเธอกับมันแล้ว หากสู้กันแบบนี้ต่อไป โอกาสที่เธอจะเอาชนะก็มีแต่จะริบหรี่ลงเรื่อยๆ น่าจะเป็นเพราะเริ่มคุ้นชินกับแขนใหม่แล้ว การเคลื่อนไหวของผู้พิฆาตเวทมนตร์จึงยิ่งมีความลื่นไหลมากขึ้น ทั้งพลังและเทคนิคต่างก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เท่านี้ มันเหมือนจะเคยชินกับจังหวะการต่อสู้ของเธอด้วย ตอนนี้การโจมตีตามปกติของเธอยากที่จะสร้างบาดแผลให้กับมันได้อีก การพัฒนาที่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุดนี้ทำให้เธอแอบรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย และนี่ก็ทำให้เธอได้รู้ว่าคนที่เป็นอัจฉริยะจริงๆ นั้นสามารถก้าวไปได้สูงแค่ไหน


ความหวังเดียวที่เธอจะฆ่าอีกฝ่ายได้ก็คือต้องรวบรวมพลังแห่งโชคชะตาให้ได้มากพอ แอชเชสไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองที่ไม่มีรูนแห่งโชคชะตา แต่กลับสามารถเรียกสายฟ้ามาได้ เธอรู้เพียงแต่ว่าพลังเวทมนตร์มันตอบสนองต่อเสียงเรียกของเธอ แล้วก็แปรสภาพกลายเป็นสายฟ้าสีทองตามที่ใจเธอต้องการ


แต่ถึงแม้สายฟ้าที่พุ่งลงมาจากโจมตีโดนเป้าหมาย แต่แสงสีดำที่อยู่บนตัวผู้พิฆาตเวทมนตร์ก็จะสลายพลังมันไปกว่าครึ่ง พลังที่เหลือก็ทำได้แค่เพิ่มบาดแผลให้มันไม่กี่แห่งเท่านั้น ถึงแม้การโจมตีหลายๆ ครั้งจะพอทำให้มันบาดเจ็บหนักได้ แต่เสียดายที่เธอทนจนถึงตอนนั้นไม่ไหว


ปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือการรวบรวมพลังแห่งโชคชะตานั้นต้องใช้เวลา ผู้พิฆาตเวทมนตร์ไม่มีทางที่จะปล่อยให้เธอทำสำเร็จแน่


เธอจำเป็นต้องสร้างโอกาส โอกาสที่ทำให้เธอรวบรวมพลังได้มากพอ


หลังจากนี้ต้องทำอย่างไรมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว


แอชเชสบุกเข้าไปหาอุรูค หลังจากที่ผลัดกันรุกผลักกันรับ เธอก็จงใจเปิดเผยช่องว่างด้วยการทำเป็นฟันไม่โดน อีกฝ่ายย่อมไม่มีทางปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือ มันใช้นิ้วมือทั้งหาแทงเข้าในอกของเธอ เธอหลบเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ถูกจุดสำคัญ ก่อนจะพุ่งเข้าไปชนกับผู้พิฆาตเวทมนตร์


กรงเล็บของมันแทงทะลุเข้าไปในหน้าอกข้างขวาของเธอจนจมไปถึงข้อศอกถึงได้หยุดลง


อุรูคหน้าเปลี่ยนสีทันที


แอชเชสสำลักเลือดออกมาคำหนึ่งพร้อมกับใช้สองมือล็อคอีกฝ่ายเอาไว้ จากนั้นจึงพูดเสียงเบาๆ ว่า “เสร็จข้าล่ะ”


ขณะเดียวกัน ก้อนเมฆที่อยู่บนหัวก็เริ่มหมุนขึ้นมา แค่พริบตาก็กลายเป็นเหมือนน้ำวนขนาดยักษ์!


…..


“เจ้าว่าอะไรนะ? แอชเชส…กลายเป็นสุดยอดอมนุษย์อย่างนั้นเหรอ?” เสียงตกใจของอกาธาดังออกมาจากรูนสดับ


หลังหนีมาทางตะวันตกได้หลายกิโลเมตร ในที่สุดไลต์นิ่งก็ติดต่อกองบัญชาการได้ หลังจากที่รายงานสถานการณ์ของแต่ละคนที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนให้อกาธาทราบ และรู้ว่าทางนั้นได้ส่งกองทัพที่หนึ่งออกมารับตัวแล้ว เธอถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้น อีกทั้งเธอยังเล่าเรื่องที่ถูกผู้พิฆาตเวทมนตร์ซุ่มโจมตีให้อีกฝ่ายได้ฟังแบบคร่าวๆ ด้วย


“นอกจากสุดยอดอมนุษย์แล้ว ข้าก็คิดไม่ออกเลยว่าจะมีใครที่ทำแบบนั้นได้” ไลต์นิ่งค่อยๆ บินขึ้นไปบนฟ้า พร้อมกับมองไปทางป่าที่อยู่ด้านหลัง ตรงนั้นมีเสียงคำรามและงูสีเหลืองทองเลื้อยลงมาจากบนฟ้าอยู่ตลอดเวลา ต่อให้เป็นรูนแห่งโชคชะตาก็ไม่มีทางที่จะใช้พลังได้นานขนาดนี้ได้


“การยกระดับระหว่างการต่อสู้กันคือความพิเศษเฉพาะตัวของแม่มดอมนุษย์ ถ้าเธอสามารถก้าวข้ามมันไปได้จริงๆ แค่ผู้พิฆาตเวทมนตร์ตัวเดียวนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับเธอหรอก การที่ให้พวกเจ้าหนีออกมาก่อนนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว ยังไงซะ…ทุกคนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”


สีหน้าของไลต์นิ่งดูเศร้าสร้อยไปทันที สมาชิกในทีมซุ่มโจมตีไม่ได้ว่าจะรอดกลับมาทุกคน เพียงแต่เธอไม่ได้บอกเรื่องนี้กับอีกฝ่าย หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เธอจึงเปลี่ยนประเด็นว่า “แล้วปีศาจล่ะ? พวกมันยกระดับระหว่างที่ต่อสู้ได้ไหม?”


ไม่รู้ว่าทำไม ไลต์นิ่งรู้สึกว่าความกลัวต่อผู้พิฆาตเวทมนตร์ก่อนที่เธอจะหนีออกมานั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวใจของเธอ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่จางหายไป ท่าทางของอุรูคที่ยืนอยู่เฉยๆ กับที่ แล้วก็แสงสีดำที่ขยับไปมาอยู่ตรงบาดแผลของมันทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความอันตราย


“สมาพันธ์ไม่มีบันทึกเรื่องนี้อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นจากภาพที่ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงเห็นในเศษเสี้ยวความทรงจำ พวกมันต้องใช้วิธีหลอมรวมเข้ากับหินเวทมนตร์ให้สำเร็จถึงจะสามารถเพิ่มพลังให้กับตัวเองได้” อกาธาตอบ “แต่ว่าการต่อสู้นั้นอาจจะเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับของพวกมันได้ ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ การหลอมรวมกับหินเวทมนตร์ของพวกมันนั้นคล้ายๆ กับที่แม่มดต้องผ่านวันบรรลุนิติภาวะ ซึ่งจะผ่านมันไปได้หรือไม่นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการแบกรับพลังเวทมนตร์ของร่างหาย สิ่งที่เรียกว่าการหลอมรวมล้มเหลว บางทีก็อาจจะเหมือนกับการกลืนกินของพลังเวทมนตร์ที่เหล่าแม่มดต้องเจอ เออใช่ แล้วเจ้าถามเรื่องนี้ทำไม?”


“เปล่า ไม่มีอะไร…” ไลต์นิ่งกัดริมฝีปาก “ข้าแค่รู้สึกกังวลนิดหน่อยเท่านั้น…”


ถ้าหากผู้พิฆาตเวทมนตร์จะพกหินเวทมนตร์คุณภาพสูงติดตัวไว้มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าจะมีคนที่สามารถยกระดับได้ในระหว่างที่ต่อสู้อย่างดุเดือดจริงๆ เหรอ? ตอนที่แม่มดผ่านวันบรรลุนิติภาวะ แทบจะทุกคนต้องนอนอยู่บนเตียงและรวบรวมสมาธิเพื่อรอรับช่วงเวลานั้น


“วางใจได้ สุดยอดอมนุษย์ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพลังในการต่อสู้ ถ้าผู้พิฆาตเวทมนตร์ไม่มีวิธีที่จะจัดการแอชเชสได้ ข้าเชื่อว่าไม่นานก็คงจะตัดสินแพ้ชนะได้แล้วล่ะ” อกาธาพูดปลอบ


“อื้อ ข้าก็…คิดแบบนั้นเหมือนกัน”


เธอพยักหน้า ในขณะที่เธอกำลังคิดจะลดระดับความสูงกลับไปหาเมซี่ จู่ๆ อีกด้านหนึ่งพลันมีเสียงระเบิดดังต่อเนื่องขึ้นมา ไลต์นิ่งหันหน้าไป ก่อนจะรู้สึกตกตะลึงไปทันที


เธอเห็นก้อนเมฆบนท้องฟ้ากำลังไหลไปรวมตัวตรงที่ๆ เธอหนีออกมาเหมือนกับน้ำทะเล แล้วก็ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ เหมือนหอคอยเมฆสีเทา มันค่อยๆ หมุนวนคล้ายเป็นอุโมงค์ที่เชื่อมระหว่างท้องฟ้าและพื้นดิน ภาพเหตุการณ์แบบนี้เธอเคยมาก่อนเมื่อครั้งที่เธออยู่บนทะเล ในขณะที่พายุกำลังมา ตรงขอบฟ้าจะมีน้ำวนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา ถ้าไม่รีบหาทางหนีออกไปหรือว่าเข้าไปอยู่ตรงใจกลางของน้ำวนล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นเรือลำไหนก็ต้องถูกคลื่นยักษ์ที่โถมเข้ามาฉีกเป็นชิ้นๆ


แต่ที่นี่คือ…พื้นดิน


“เกิดอะไรขึ้น…เหรอ?” เสียงในรูนสดับเหมือนถูกรบกวน “เมื่อกี้มัน…เสียงอะไรเหรอ?”


ไลต์นิ่งจิกเล็บเข้าไปในฝ่ามือโดยไม่รู้ตัว “ข้าไม่รู้ อีกนานไหมกว่ากำลังเสริมขององค์หญิงทิลลีจะมาถึง?”


“แม่มดอาญาสิทธิ์กำลังขนอาวุธขึ้นไปบนซีกัลป์ น่าจะอีกประมาณ 10 – 15 นาที”


15 นาทีเหรอ…“ข้าเข้าใจแล้ว” เธอนิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะจบการสนทนาไป


หลังบินกลับมาหาเมซี่ ไลต์นิ่งก็ค้นในตัวของผู้บาดเจ็บ


“เสียงฟ้าผ่าเมื่อกี้นี้ดังถี่จังเลยจิ๊บ แอชเชสนางจะไม่เป็นไรใช่ไหม…” เมซี่วิ่งไปพลางถามไปพลาง


“ไม่เป็นอะไรหรอก นางเป็นสุดยอดอมนุษย์ เจ้าแค่พาทุกคนไปส่งยังจุดรับตัวให้ได้อย่างปลอดภัยก็พอ ไม่ลืมใช่ไหมว่าอยู่ตรงไหน?”


“แน่นอนจิ๊บ แต่อ้อมซากเมืองทาคิลาไป แล้วก็เลี้ยวไปทางตะวันออกเฉียงใต้…เดี๋ยวๆ ทำไมถึงเป็น ‘เจ้า’ แต่ไม่ใช่ ‘พวกเรา’ ล่ะจิ๊บ!”


แต่เมซี่รออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา


…………………………………………………………


ตอนที่ 1166 ชัยชนะจะเป็นของใคร

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ครืนนนนนนนนน!”


สายฟ้าแลบแปลบๆ อยู่ตรงกลางหมู่เมฆที่ก่อตัวเป็นเหมือนน้ำวน ฝนเทกระหน่ำลงมาข้างล่างอย่างบ้าคลั่ง ภายในป่าเหมือนมีหมอกฝนคอยบดบังเอาไว้อยู่ ราชาปีศาจที่ยกระดับขึ้นมาใหม่กำลังยืนตัวติดกับสุดยอดอมนุษย์ ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับรูปปั้นแกะสลักที่น่าเกรงขาม


พลังเวทมนตร์ที่ไหลทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่งห่อหุ้มร่างกายแอชเชสเอาไว้ รอบๆ ร่างกายของเธอมีแสงสีทองปรากฏขึ้นมา


นี่คือเป้าหมายที่พลังแห่งโชคชะตาเล็งเอาไว้


เธอทำให้ตัวเองกลายเป็นดาบ


“นี่คือการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของเจ้างั้นเหรอ?” อุรูคคำถาม “คิดจะใช้วิธีนี้ตายไปพร้อมกันกับข้า ยังโง่เขลาเสียจริง!”


“ข้าไม่มีทาง…ปล่อยมือ” แอชเชสเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก ปอดครึ่งหนึ่งของเธอถูกแทงทะลุ แม้แต่จะหายใจก็ยังทำได้ลำบาก เลือดสดๆ ไหลเข้าไปในหลอดลม ในปากและจมูกของเธอเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด


5 นาที…เธอคอยบอกตัวเองไม่หยุด ขอแค่ 5 นาทีเท่านั้น


กำลังของอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ต่างจากเธอเท่าไร ขอเพียงเธอไม่ปล่อยมือ มันก็ไม่มีทางดิ้นหลุดจากการกอดรัดของเธอไปได้


“เจ้าคิดว่าข้าจะใช้กำลังในการตัดสินแพ้ชนะกับเจ้างั้นเหรอ?” สีหน้าอุรูคที่อยู่ท่ามกลางสายฝนยิ่งดูดุร้าย “ดูแล้วเหมือนเจ้าจะจับข้าเอาไว้ได้ แต่ความจริงแล้วเจ้ากำลังสร้างกรงขึ้นมาขังตัวเองต่างหาก!”


พอพูดจบ ลำแสงสีดำจำนวนหลายสิบเส้นก็พุ่งออกมาจากหน้าออกของมัน ก่อนจะแทงเข้าไปในร่างกายของแอชเชสเหมือนกับหนวด


เธอส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาทันที


เดิมเธอคิดว่าไม่มีความรู้สึกไหนที่จะเจ็บปวดมากกว่าการกลืนกินของเวทมนตร์แล้ว แต่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากลำแสงสีดำนั้นรุนแรงมากกว่าการเผาร่างกายตัวเองหลายเท่า! มันเหมือนกับมีเข็มเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังแทงเข้าไปในสมองของเธอ ถ้าไม่เป็นเพราะก่อนหน้านี้เธอพูดกับตัวเองซ้ำๆ ว่าจะไม่หมดสติลงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เกรงว่าในตอนนี้เธอคงจะหมดสติไปนานแล้ว


แต่ความเจ็บปวดที่ยากจะทนรับได้นั้นเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ลำแสงสีดำแทงเข้าไปในร่างกายของเธอ ก่อนจะค่อยๆ ขยายตัวออกไป ตำแหน่งที่แสงสีดำวิ่งผ่าน ผิวหนังส่วนนั้นก็จะปูดบวมขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังวิ่งอยู่ในร่างกายเธออย่างไรอย่างนั้น


แอชเชสกระอักเลือดออกมา “เจ้า…แค่กๆๆ…ทำอะไร?”


“ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ น่ะ แล้วก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเจ้ากับข้านั้นแตกต่างกันในเรื่องความเข้าใจที่มีต่อเวทมนตร์และเรื่องการควบคุมเวทมนตร์” อุรูคเขยิบหน้าเข้ามาใกล้หูแอชเชส


“ความจริงแล้วข้าควรจะขอบคุณเจ้า ถ้าไม่เป็นเพราะการต่อสู้ครั้งนี้ ข้าก็คงไม่ได้ยกระดับเร็วขนาดนี้ แล้วตอนนี้เจ้ายังเอาตัวเองมาส่งให้ข้าถึงตรงหน้าอีก ข้าอยากจะรู้จริงๆ ว่าหลังเอาชนะเจ้าแล้ว ข้าจะยกระดับไปได้แค่ไหนกัน!”


แอชเชสรู้ทันทีว่านี่คือการกลืนกินอีกรูปแบบหนึ่ง ตำแหน่งที่ถูกลำแสงสีดำเข้าปกคลุมนั้นสูญเสียความรู้สึกไปทั้งหมด เหมือนกับว่าอวัยวะส่วนนั้นไม่ได้เป็นของเธออีก เธอกัดริมฝีปากพร้อมกับพยายามเดินพลังเวทมนตร์ในร่างกาย โดยหวังว่าจะหยุดการกัดกินจากพลังเวทมนตร์ของอีกฝ่าย


“เจ้า…เลิกคิดที่จะควบคุมข้าเถอะ!”


และภายใต้การปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างพลังเวทมนตร์ของทั้งสอง สีหน้าของอุรูคก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จู่ๆ ร่างกายที่มันได้รับมาใหม่ก็ขยายตัวขึ้นมาจนกลายเป็นเหมือนก้อนเนื้อบวมๆ ที่น่าเกลียดน่ากลัว ดูแล้วเหมือนร่างกายครึ่งหนึ่งของเจ้าแห่งนรกกำลังหลอมรวมเข้ากับร่างกายของมัน


แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ การกัดกินก็หยุดชะงักไปแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ถึงแม้ความเร็วในการขยายตัวของแสงสีดำจะช้าลง แต่มันก็ยังคืบต่อไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ลำแสงสีดำส่วนหนึ่งได้เลื้อยขึ้นมาบนคอของแอชเชสแล้ว


“ช่างเป็นความอดทนที่น่าชมเชยจริงๆ” อุรูคแสยะยิ้มออกมา รูปร่างของมันในเวลานี้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง รูปร่างที่เปลี่ยนไปไม่เพียงจะทำให้ใบหน้าของราชาปีศาจดูบิดเบี้ยว แต่ยังทำให้รูปร่างของมันดูไม่เหมือนคนอีกแล้ว ไม่ว่าดูจากมุมไหนมันก็เหมือนสัตว์ประหลาดไม่มีผิด “แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?”


“ข้า…ไม่มีทาง…”


“ยอมแพ้งั้นเหรอ? ความพยายาม ความเชื่อ ความมุ่งมั่น…มันก็เป็นแค่คำพูดที่เอาไว้ปลอบใจตัวเองเท่านั้น บนเส้นทางแห่งการเอาชีวิตรอดนี้ จะมีใครที่ยอมแพ้ง่ายๆ กันล่ะ? แต่เสียดายที่สิ่งเหล่านี้มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ถ้าแค่พูดคำพูดเหล่านี้แล้วสามารถทำให้เผ่าพันธุ์อยู่รอดต่อไปแล้ว อย่างนั้นเราจะสู้รบกันไปทำไม!”


ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงโถมเข้าเล่นงานสมองของแอชเชสไม่หยุด เธออ้าปาก แต่กลับเปล่งเสียงออกมาไม่ได้


พายุหมุนที่อยู่บนหัวเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง ลำแสงสีทองสว่างแปลบๆ ขึ้นมา แต่เธอกลับรู้สึกว่าพลังนั้นค่อยๆ ห่างจากตัวเองออกไปไกลเรื่อยๆ


“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความอดทนต่อพลังเวทมนตร์ หรือว่าชีวิตที่ยืนยาวที่ต้องใช้ในการปรับตัวเข้ากับเวทมนตร์ พวกข้าก็ล้วนแต่เหนือกว่าพวกเจ้า ความแตกต่างตรงนี้ก็เหมือนนกกับแมลง ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร เจ้าก็ไม่สามารถชดเชยความต่างตรงนี้ได้! สงครามแห่งโชคชะตาสองครั้งได้พิสูจน์ให้เห็นในชุดนี้แล้ว!” อุรูคค่อยๆ ยกตัวเธอขึ้น เหมือนกำลังจะบอกเธอว่าถึงวาระสุดท้ายของเธอแล้ว “ดังนั้นเจ้าตายอยู่ที่นี่เถอะ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าเกิดมาในร่างมนุษย์ที่อ่อนแอ”


“อย่า…ดูถูก….มนุษย์นะ!”


จู่ๆ กลางสายฝนก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมา เสียงนี้ฟังดูคุ้นเคยอย่างมาก จนทำให้แอชเชสสามารถดึงสติกลับมาได้เล็กน้อย


เธอฝืนหันหน้าไปมอง ก่อนหน้าจะเห็นเงาคนที่พุ่งออกมาจากในป่าเหมือนกับสายฟ้า


ไลต์นิ่ง?


แอชเชสเห็นอีกฝ่ายพุ่งผ่านสายฝนมา เส้นทางที่เธอบินผ่านจะกลายเป็นทางหมอกยาวๆ จากนั้นเธอบินผ่านต้นไม้ที่ถูกเผาจะไหม้เป็นตอตะโกตรงเข้าไปหาอุรูค


แต่เธอเหมือนจะกอดอะไรบางอย่างเอาไว้อยู่


แอชเชสกะพริบตา


นั่นมัน…กระสุน RPG 3 ลูก?


“เจ้าแมลง เจ้าอยากตายอย่างนั้นเหรอ!” อุรูคกางสนามพลังปิดกั้นพลังเวทมนตร์ขึ้นมาทันที


ในขณะที่แสงสีดำกำลังจะสัมผัสกับไลต์นิ่ง ไลต์นิ่งพลันปล่อยมือออก ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางบินของตัวเอง


เธอกับระเบิดแยกออกจากกัน


ถึงแม้จะไม่มีแรงขับเคลื่อน แต่มันก็ยังมีแรงเฉื่อยอยู่ หลังหลุดออกจากอ้อมอกของไลต์นิ่ง กระสุนกางปีกที่หางออก ก่อนจะบินเข้าไปหาอุรูค


“เจ้า!” ราชาปีศาจถลึงตาแยกเขี้ยว ก่อนจะใช้พลังทั้งหมดกางบาเรียสีน้ำเงินขึ้นมา


หลังจากนั้นเปลวไฟสามดวงก็ระเบิดออกตรงด้านนอกของบาเรีย แต่นี่เป็นแค่บทนำของการทำลายล้างเท่านั้น พลังงานจากการเผาไหม้อย่างรุนแรงถูกกระสุนทรงกรวยทำให้กลายเป็นเหมือนไอพ่นที่สว่างเจิดจ้า ก่อนจะกระแทกเข้าใส่บาเรียจนแตกละเอียดเหมือนกระจก หลังทะลุผ่านการป้องกันนี้มาแล้ว เปลวเพลิงจากกระสุนที่วาดผ่านร่างกายที่เปลี่ยนไปของอุรูคเป็นเหมือนกับมีดร้อนๆ ที่ปาดลงไปบนเนย ทำให้ก้อนเนื้อที่อยู่ด้านหลังของมันระเบิดกลายเป็นเนื้อเละๆ


และหินเวทมนตร์ที่ได้รับมาจากปีศาจระดับสูงก็แตกละเอียดด้วยการโจมตีครั้งนี้


อุรูคเงยหน้ากรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด!


แสงสีดำที่ขยายตัวอยู่ในตัวแอชแชสหดสั้นลงทันที แอชเชสรู้สึกว่าความเจ็บปวดบนร่างกายหายไป สติของเธอกลับมาในหัวสมองเธออีกครั้ง


เธอปล่อยพลังแห่งโชคชะตาในรวบรวมมาอย่างไม่ลังเล


อีกฝ่ายเองก็รู้ถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายแล้ว มันส่งเสียงร้องออกมาโดยหวังจะสลัดแม่มดที่อยู่ตรงหน้าทิ้งไป แต่สองมือของแอชเชสนั้นล็อคตัวอุรูคไว้แน่น เธอย่อมไม่มีทางปล่อยให้มันได้มีโอกาสหลุดรอดไปได้


“เจ้าพูดถูก มนุษย์นั้นอ่อนแอ…แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ยังอยากจะเดินต่อไปบนเส้นทางนี้ ไม่ว่าข้างหน้าจะมีอุปสรรคอะไร พวกเราก็จะไม่ถอยหนี” เธอชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมา “เพราะว่ามีคนไปยืนอยู่ข้างหน้าคอยชี้นำทางให้พวกเราแล้ว”


สายฟ้าสีทองอันสว่างเจิดจ้าผ่าลงมาจากท้องฟ้า!


ท่ามกลางลำแสงที่สว่างจนเกือบจะเป็นสีขาว อุรูคถูกเผาไหม้จนระเหยกลายเป็นไอ ไม่เหลือเศษซากแม้แต่นิดเดียว


เสียงสะท้อนของสายฟ้าดังก้องทั่วทั้งที่ราบบริบูรณ์อยู่เป็นเวลานานกว่าจะหายไป


หลังพลังแห่งโชคชะตาดับลง บนที่โล่งที่ว่างเปล่าเหลือแอชเชสยืนอยู่เพียงคนเดียว


ไลต์นิ่งกัดฟัน ก่อนจะค่อยๆ คลานขึ้นมา ในตอนที่หัวของเธอพุ่งเข้าไปในสนามพลังของปีศาจ เธอก็เปลี่ยนทิศทางการบินออกไปด้านข้างทันที จนทำให้เธอถูกความเร็วสูงเหวี่ยงออกไปเหมือนกับก้อนหิน แต่ที่โชคดีคือศัตรูทุ่มสมาธิส่วนใหญ่อยู่ที่บาเรีย เธอจึงหลุดพ้นออกมาจากลำแสงสีดำ แล้วก็ใช้การสอดประสานพลังเวทมนตร์ได้ทันในเสี้ยววินาทีสุดท้าย


ผลก็คือแขนข้างหนึ่งของเธอหัก ด้านข้างของร่างกายถูกเสียดสีจนถลอกปอกเปิก


เธอเดินกะโผลกกะเผลกเข้ามาหาแอชเชส ก่อนจะฝืนยิ้มขึ้นมา “ในที่สุด…ก็ชนะแล้ว”


“อื้อ เป็นเพราะเจ้ามาพอดี บอกตามตรง ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกลับมา”


“นี่เรียกว่าสัมผัสที่หกของนักสำรวจที่ยอดเยี่ยมที่มักจะปรากฏตัวในเวลาที่สำคัญที่สุดไงล่ะ” พอพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ไลต์นิ่งก็ตกตะลึง เธอพบว่าร่างกายของอีกฝ่ายเหมือนมีอะไรแปลกๆ “เฮ้ เจ้า…เป็นอะไรเนี่ย?”


แอชเชสก้มหน้ามองดูมือที่ขาวซีดของตัวเอง “บางที…อาจจะเป็นค่าตอบแทนจากการที่เผาตัวเองล่ะมั้ง”


“เผาตัวเอง หมายความว่าไง?” ไลต์นิ่งงุนงง ร่างกายของสุดยอดอมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าค่อยๆ ดูเลือนราง ผมที่ยาวสลวยของเธอกลายเป็นจุดสีขาวพัดกระจายไปตามสายลม ราวกับว่าเธอไม่มีร่างกายจริงๆ อยู่อีก หากแต่เป็นภาพมายาที่เกิดขึ้นจากหิ่งห้อยจำนวนนับพันประกอบกันเป็นรูปร่างขึ้นมา


“ถ้าพวกเราปรารถนาจะใช้พลังเวทมนตร์ไปทำเป้าหมายบางอย่างให้กลายเป็นจริง มันก็จะนำพวกเราให้เดินไปทางนั้น น่าจะเป็นเพราะข้าฝืนขอพลังจากมันจนเกินขีดความสามารถในการแบกรับของข้าได้..” แอชเชสพูดเสียงอ่อนโยน “ที่แท้การถูกพลังเวทมนตร์หลอมรวมมันเป็นแบบนี้นี่เอง…แต่ถ้าไม่ได้เปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาด แบบนี้มันก็ไม่เลวเหมือนกัน”


“เจ้า เจ้ากำลังพูดอะไรเนี่ย” ไลต์นิ่งอยากจะคว้ามือของเธอไว้ แต่เธอกลับคว้าได้แค่เพียงฝุ่นที่ปลิวกระจาย “แอชเชสบอกข้า! ข้าต้องทำยังไง?”


“บอกทิลลีว่าข้าชอบนาง”


หมู่เมฆบนท้องฟ้าสลายตัว แสงอาทิตย์ส่องผ่านชั้นเมฆลงมายังพื้นโลกอีกครั้ง ท่ามกลางแดดอาทิตย์เหล่านี้ แอชเชสหลับตาทั้งสองข้างลง แล้วปล่อยให้ร่างกายตัวเองปลิดปลิวไปตามสายลม


ไลต์นิ่งถลาเข้าไปยังตำแหน่งที่ยืนอยู่โดยหวังจะกอดเธอเอาไว้ แต่สิ่งที่เหลืออยู่ตรงนั้นกลับมีแต่ความว่างเปล่า สาวน้อยหลั่งน้ำตาร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด


…..


มิสต์มองดูท้องฟ้ายามค่ำคืน เธอหลับตาลงพร้อมถอนใจออกมา


หลังนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายเธอจึงปิดหน้าต่างลงแล้วพูดพึมพำออกมาเบาๆ มันคล้ายว่าเธอกำลังถามคนอื่น แล้วก็เหมือนว่าเธอกำลังพูดกับตัวเอง


“เจ้ากำลังรออะไรอยู่กันแน่?”


“ไม่มีอะไรต้องลังเลอีกแล้วใช่ไหม?”


“ต้องเร็วขึ้นอีกหน่อย พวกเรา…ไม่มีเวลาแล้ว”


คำพูดสุดท้ายที่ฟังดูเหมือนเสียงถอนใจจับตัวแข็งอยู่ในช่วงเวลาที่หยุดนิ่ง


……………………………………………………………………


ตอนที่ 1167 โศกเศร้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อย่างนั้น…หรอกเหรอ? ข้าเข้าใจแล้ว” หลังฟังข่าวที่ส่งมาจากแนวหน้า โรแลนด์รู้สึกเหมือนหัวใจของตัวเองหล่นวูบไปทันที ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดเสียงเบาๆ ว่า “แล้วอาการบาดเจ็บของเจ้า ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”


หลังจากนั้นเขาก็เงียบไม่พูดอะไร


กว่าเขาจะพูดขึ้นมาอีกครั้งก็ผ่านไปหลายนาทีแล้ว “ไม่ นั่นไม่ใช่ความผิดของเจ้า ในเวลาแบบนี้จะมาพูดคำว่า ‘ถ้าหากว่า’ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ในเมื่อภัยตรงแนวหน้าถูกกำจัดไปแล้ว อย่างนั้นก็กลับมาพักผ่อนเถอะ”


หลังวางโทรศัพท์ไป โรแลนด์ก็นั่งพิงไปบนเก้าอี้พร้อมถอนหายใจออกมา


ไนติงเกลเหมือนจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง เธอไม่ได้หายตัวมาที่โต๊ะเหมือนอย่างทุกที หากแต่ค่อยๆ เดินเข้ามาหาเขา “ลีฟโทรมาเหรอเพคะ?”


“อื้อ” โรแลนด์หลับมา “สงครามจบแล้ว กองทัพที่หนึ่งยึดทาคิลามาได้โดยเสียหายไปนิดหน่อย อีกทั้งยังเจอฐานของหอคอยอะไรบางอย่างที่สร้างไปได้ครึ่งเดียวในเหมืองหินอาญาสิทธิ์ ถึงแม้แผนซุ่มโจมตีจะล้มแล้ว แต่ผู้พิฆาตเวทมนตร์ของอีกฝ่ายก็ถูกกำจัดไปเรียบร้อย คำสาปเองก็ไม่อยู่แล้ว เรียกได้ว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่ เพียงแต่ว่า…” เขาชะงักไปเล็กน้อย “แอชเชสกับเอเลน่าตายอยู่ในสนามรบ”


“เจ้าบื้อ…นั่นน่ะเหรอ?” ไนติงเกลตกตะลึง ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง


“ได้ยินไลต์นิ่งบอกว่าแอชเชสกลายเป็นสุดยอดอมนุษย์ แล้วก็ยอมตายไปพร้อมกับปีศาจ ตรงที่ๆ ทั้งสองฝ่ายสู้กันไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยนอกจากด้ามดาบหักๆ อันหนึ่ง


ในตอนที่เห็นหน่วยซุ่มโจมตีถูกศัตรูล้อมโจมตีผ่านจากแฟนธ่อม โรแลนด์ก็รู้แล้วว่าแผนการมีความผิดพลาด ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดูจากการวางกำลังของปีศาจ ดูแล้วเหมือนพวกมันจะเตรียมวางแผนที่จะจัดการกับแม่มดมาโดยเฉพาะ เสียดายที่ภาพที่ฉายจากแฟนธ่อมนั้นเห็นแค่เพียงมุมๆ หนึ่งของสนามรบเท่านั้น โดยเฉพาะหลังจากที่พวกแม่มดตัดสินใจถอยไปทางตะวันตก เขาก็มองอะไรไม่เห็นอีกเลย จนทำให้เวลาวันครึ่งหลังจากนั้นเขารู้สึกร้อนใจอย่างมาก


ความจริงในตอนนั้นโรแลนด์ก็แอบคิดถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว


แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เรียกได้ว่าดีกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ในตอนที่รู้ข่าวว่ามีคนเสียชีวิตไป เขากลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกโล่งใจเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้เลยแม้แต่น้อย


เพราะเขาเป็นคนอนุมัติแผนการซุ่มโจมตีนี้เอง


“ถึงแม้แอชเชสจะโอ้อวดแล้วก็โอหัง แต่อย่างน้อยนางก็จริงจังกับทุกๆ การติดสินใจของตัวเอง…” ไนติงเกลวางมือลงไปบนหลังมือของโรแลนด์ “เอเลน่าเองก็เหมือนกันเพคะ หม่อมฉันเชื่อว่าพวกนางคงเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้นานแล้ว พระองค์ไม่ต้องโทษตัวเองเพราะเรื่องนี้หรอกเพคะ”


โรแลนด์พยักหน้า จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมปีศาจถึงมองแผนการของเขาออกล่วงหน้า แล้วก็ให้ความสำคัญกับการกำจัดแม่มดมากกว่าเมืองศักดิ์สิทธิ์ทาคิลา ในฐานะที่เป็นผู้นำของแนวร่วมพันธมิตรกับเกรย์คาสเซิล เขาไม่สามารถที่จะแสดงสีหน้าท้อแท้ออกมาต่อหน้าทุกคนได้ ไม่ว่าจะเจอกับความยากลำบากหรือความทุกข์ทรมานก็ตาม


ถ้าแม้แต่เขายังตกอยู่ในสภาพแบบนั้น แล้วเขาจะไปปลอบคนที่เสียใจมากกว่าได้ยังไง?


อย่างเช่นทิลลี


นี่คือปัญหาที่ยากลำบากที่สุดสำหรับโรแลนด์ในตอนนี้


เมื่อฟังจากคำพูดของไลต์นิ่งที่ถ่ายทอดผ่านมาทางลีฟ ดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะลึกซึ้งมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก ถึงแม้ตอนนั้นทิลลีจะไม่ได้แสดงสีหน้าเศร้าเสียใจออกมา อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับเรื่องการขนส่งผู้บาดเจ็บเป็นอันดับแรก แต่เธอกลับไม่สามารถปิดบังสายตาที่เหม่อลอยและไร้ชีวิตชีวาเอาไว้ได้ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมสาวน้อยต้องแอบเอาคำสั่งเสียเหล่านั้นมาบอกเขา เกรงว่าเธอคงอยากจะให้เขาปลอบทิลลีล่ะมั้ง


แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่โรแลนด์ถนัดเลย


คงต้องว่ากันไปตามสถานการณ์ล่ะมั้ง เขาครุ่นคิด


ในบ่ายวันนี้ ซีกัลก็กลับมาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์


คนที่กลับมาเป็นกลุ่มแรกคือแม่มดไม่ได้รับบาดเจ็บ หรือไม่ก็บาดเจ็บแต่รักษาหายดีแล้ว ส่วนคนที่บาดเจ็บค่อนข้างหนักยังคงต้องพักรักษาตัวอยู่ที่ค่ายทหารอีกซักระยะ เพื่อรอให้นาน่ารักษาบาดแผลให้หายสนิท


โรแลนด์พาสมาชิกที่เหลือของสโมสรแม่มดมายังลานบินเพื่อต้อนรับพวกเธอ


อันนา อกาธา มอลลี่ ฟิลลิส…ทุกคนเดินลงมาจากเครื่องบิน ก่อนจะสวมกอดกับบุ๊ค ไนติงเกล ชารอนและคนอื่นๆ ส่วนเจ้าหน้าที่ที่เป็นคนธรรมดาในสโมสรแม่มดอย่างเบลล์ เกรย์แรบบิท เพิร์ลเองก็มาเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นแม่มดสายต่อสู้หรือสายสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นแม่มดยุคใหม่หรือว่าเป็นแม่มดผู้รอดชีวิตจากยุคสมัยสมาพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ตื่นรู้หรือว่าคนธรรมดา ในเวลานี้พวกเธอล้วนแต่ไม่มีอะไรแตกต่างกัน


คนสุดท้ายที่เดินลงมาคือทิลลี


โรแลนด์เดินเข้าไปหาเธอ “เอ่อ..”


“ข้าขอคุยกับท่านตามลำพังหน่อยได้ไหม ท่านพี่?” ทิลลีเงยหน้าขึ้นมา


….


หลังกลับมาถึงห้องทำงานในปราสาท โรแลนด์สั่งกำชับไนติงเกลสองสามคำ ก่อนจะเดินไปปิดประตูด้วยตัวเอง


“เอาล่ะ ถ้าเจ้ามีอะไรอยากจะพูด…” ในขณะที่กำลังหมุนตัวกลับไป เขาพลันรู้สึกตรงหน้าอกถูกรัดแน่นขึ้นมา


“อย่าเพิ่งขยับ ข้าขอล่ะ” ทิลลีกอดเขาไว้ เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย “ให้ข้าอยู่อย่างนี้แปบนึง แค่แปบนึงก็พอ…”


พอพูดถึงคำสุดท้าย เสียงในลำคอของเธอฟังดูเหมือนจะเป็นเสียงสะอื้นขึ้นมา นิ้วมือที่กอดอยู่ตรงด้านหลังเขาก็เริ่มกำแน่นขึ้นเรื่อยๆ คล้ายว่าเธออยากจะจิกมันลงไปในเนื้ออย่างไรอย่างนั้น


อย่างนี้นี่เอง


เธอก็เหมือนกับเขา ในฐานะที่เป็นผู้นำของมนตร์แห่งสลีปปิ้ง เธอไม่อาจแสดงความเศร้าเสียใจที่มากเกินไปออกมาต่อหน้าทุกคนได้ แต่ความรู้สึกยิ่งลึกซึ้ง เวลาที่ต้องพยายามสะกดอารมณ์มันก็ยิ่งเจ็บปวด การที่เธออดทนจนมาถึงตอนนี้ได้ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แล้ว


โรแลนด์ตบหลังเธอเบาๆ “ไม่ต้องกลั้นแล้ว ร้องออกมาเลย ที่นี่ไม่มีใครได้ยินหรอก….”


“ฮือ…ฮือ….”


ตอนนี้ทิลลีเหมือนจะพยายามสะกดกลั้นเอาไว้ แต่หลังจากนั้นเธอก็ยิ่งร้องดังขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายกลายเป็นเสียงร้องไห้คร่ำครวญแทบจะขาดใจอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ถึงแม้จะเป็นสมัยเด็กๆ ที่เธอถูกเจ้าชายลำดับที่สี่รังแก อีกฝ่ายก็ไม่เคยเศร้าเสียใจขนาดนี้มาก่อน เหมือนว่าเธอได้สูญเสียคนที่สำคัญที่สุดไปอย่างไรอย่างนั้น ในเสียงร้องไห้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด


จะมีหรือไม่มีคำพูดปลอบมันก็ไม่สำคัญแล้ว


สิ่งที่เขาทำได้ก็คืออยู่เป็นเพื่อนให้เธอได้ร้องไห้ระบายอารมณ์แบบนี้…


ในเวลาเดียวกัน ณ ค่ายทหารในแนวหน้าสนามรบ


ผ้าคลุมเต็นท์ถูกเปิดออก ซาวียกยาที่ต้มเสร็จแล้วเข้ามา


“ต้องกินยานี่อีกแล้วเหรอ?” แอนเดรียพูดงึมงำ ขาทั้งสองข้างของเธอถูกผ้าพันแผลพันเอาไว้แน่น บนใบหน้าก็มีแผ่นยาแปะเอาไว้เต็มไปหมด ถึงแม้มันจะไม่ได้มีผลต่อการรักษาอะไรนัก แต่อย่างน้อยความรู้สึกเย็นๆ ก็ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดไปได้บ้าง “ถ้าไม่มีน้ำตาลข้ากินไม่ลงหรอก”


“อย่างนั้น…เดี๋ยวข้าไปขอจากหน่วยพยาบาลมาให้ไหม?” ซาวีพูดอย่างลังเล


“หน่วยพยาบาลจะไปมีน้ำตาลได้ยังไงล่ะ ไม่ใช่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ซักหน่อย ช่างมันๆ ช่วยพยุงข้าหน่อย”


แอนเดรียลุกขึ้นมานั่งพร้อมรับถ้วยยาไป ก่อนจะดื่มยาขมๆ ลงไปจนหมด


“แค่กๆ นาน่ายังยุ่งอยู่เหรอ ข้าต้องรออีกนานเท่าไรถึงจะได้รักษา?”


“ข้าไปถามมาแล้ว น่าจะต้องรออีกประมาณ 3 – 4 วัน นางบอกว่าแม่มดอาญาสิทธิ์คนอื่นๆ บาดเจ็บหนักกว่าเจ้า แถมนางยังบอกอีกว่า…”


“บอกว่าอะไร?”


ซาวีพูดงึมงำ “นางบอกว่าแผลที่ขาของเจ้าดูเหมือนจะน่ากลัว แต่มันไม่อันตรายถึงชีวิต แค่ดื่มยาไปก็พอแล้ว”


แอนเดรียกรอกตาใส่ “ข้าไม่ใช่สัตว์ประหลาดกล้ามเนื้อนั่นซักหน่อย บาดเจ็บขนาดนี้จะไปหายเองได้ยังไง?”


อีกฝ่ายตาแดงขึ้นมาทันที


“เอาล่ะๆ” แอนเดรียกระแอม”คิดซะว่าข้าไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน”


“เปล่า…” ซาวีส่ายหัว “ข้าแค่รู้สึกว่าสีหน้าของเจ้าเมื่อกี้นี้เหมือนแอชเชสเลย ข้าก็เลย….”


“ข้าเหมือนนาง? เจ้าพูดอะไรของ…” เธอกำลังจะขมวดคิ้วขึ้นมา แต่ก็พยายามฝืนกดมันลงไป เหมือนว่าถ้าพูดแบบนี้มันจะหยาบคายไปหน่อย อื้ม…ภาพพจน์ขุนนาง ภาพพจน์ขุนนาง “ข้า…แค่เหนื่อยนิดหน่อยนะ เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ ครั้งหน้าอย่าลืมบอกไลต์นิ่งหรือไม่ก็เมซี่ก่อนนะ ให้พวกนางแวะเก็บรังผึ้งกลับมาระหว่างที่ลาดตระเวนด้วย อย่างน้อยมันก็ทำให้ข้าดื่มยานี่ได้ง่ายหน่อย”


“อื้อ เดี๋ยวข้าบอกพวกนางให้”


“ขอบคุณนะ”


หลังซาวีออกไป แอนเดรียกลับพบเธอไม่สามารถสงบอารมณ์ได้เลย


ก็รู้ว่าเป็นคนชอบอวดดี แถมยังกลายเป็นสุดยอดอมนุษย์อีก เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นราชินีสตาร์ฟอลหรือยังไง?


แล้วดูตอนนี้สิ กำจัดราชาปีศาจได้แล้ว แถมยังกลายเป็นวีรบุรุษที่ช่วยทุกคนไว้ ถ้าแค่นี้ก็ว่าไปอย่าง


เธอนอนลงไปบนเตียงอีกครั้ง ก่อนจะเอามือปิดหน้าตัวเองไว้


เจ้าบ้าเอ้ย เจ้าไม่เคยคิดบ้างหรือไง


แล้วแบบนี้ข้าจะก้าวข้ามเจ้าได้ยังไง


…………………………………………………………….


ตอนที่ 1168 เริ่มใหม่

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทิลลีร้องไห้อยู่เกือบชั่วโมงกว่าจะหยุดลง ในตอนที่โรแลนด์จะพาเธอไปยังโซฟา เขาถึงได้พบว่าเธอหลับไปแล้ว ในขณะที่ทั้งสองแยกจากกัน น้ำตาและน้ำมูกที่จับตัวเป็นก้อนอยู่ตรงแก้มกับเสื้อผ้าของเขาถูกดึงจนยืดยาวเป็นเส้น


ท่าทางที่อ่อนแอเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะที่จะให้แม่มดของมนตร์แห่งสลีปปิ้งได้เห็น โรแลนด์ครุ่นคิดเล็กน้อย สุดท้ายจึงเรียกอันนามา จากนั้นเขากับเธอก็ช่วยกันอุ้มทิลลีขึ้นไปยังห้องนอนใหญ่ที่ชั้นสามของปราสาท


หลังเช็ดคราบน้ำตาที่แก้มแล้ว ทิลลีก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเธอเหนื่อยล้าอย่างมาก เกรงว่าตั้งแต่ที่รู้ข่าวการเสียสละของแอชเชส เธอคงยังไม่ได้นอนเลย


“คืนนี้เจ้านอนเป็นเพื่อนนางแล้วกัน” โรแลนด์ถอนใจออกมา “เวลาแบบนี้ไม่ควรปล่อยให้นางอยู่คนเดียว ตอนนี้คนที่ดูแลนางได้ก็มีแต่เจ้านี่แหละ”


“วางพระทัยได้เพคะ หม่อมฉันเข้าใจความรู้สึกของนางดี หม่อมฉันรู้ว่าควรทำยังไงเพคะ” อันนาพยักหน้า “แล้วพระองค์ล่ะเพคะ?”


“ข้าจะไปนอนที่เมืองชายแดนที่สาม ยังไงซะช่วงสองสามวันนี้ก็ต้องอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว อยู่ที่นั่นนานขึ้นอีกซักหน่อยก็ไม่เป็นไร” โรแลนด์ตอบ “ยิ่งไปกว่านั้นข่าวชัยชนะครั้งนี้ข้าก็ควรจะรีบไปบอกพวกนางด้วย ข้าคิดว่าแม่มดเหล่านั้นคงจะเฝ้ารอวันนี้มานานแล้ว”


“อื้อ” อันนาเดินเข้ามาจูบที่แก้มของเขา “ถึงแม้จะไม่อยากให้พระองค์ไป แต่หม่อมฉันก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องสำคัญเพคะ…”


“ขอโทษด้วยนะ นานๆ ครั้งเจ้าจะกลับมาจากแนวหน้าแท้ๆ”


“อย่าพูดแบบนี้สิเพคะ ฝ่าบาทของหม่อมฉัน เรายังมีเวลาอีกเยอะเพคะ”


ในตอนที่โรแลนด์เดินไปถึงหน้าประตู อันนาก็เรียกเขาเอาไว้


“อ้อ อย่าลืมเรียกไนติงเกลไปด้วยนะเพคะ” เธอพูดอย่างจริงจัง “ในเมืองแห่งนี้ คนที่ห้ามเป็นอะไรมากที่สุดก็คือพระองค์นะเพคะ”


โรแลนด์มองดูดาวตาที่ใสกระจ่างของอีกฝ่าย ก่อนจะรับคำแล้วปิดประตูห้องลง


….


หลังเดินทางมาถึงเมืองชายแดนที่สามพร้อมกับเหล่าองครักษ์ พาซาร์ก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขา


‘ฝ่าบาท แนวหน้าส่งข่าวกลับมาหรือยังเพคะ? สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?’


เมื่อดูจากหนวดเล็กๆ ที่โบกไปมาทั่วร่างกาย โรแลนด์ก็รู้ได้ทันทีว่าในเวลานี้เธอร้อนใจอย่างมาก


โรแลนด์ไม่ได้อ้อมค้อม เขาพูดออกไปตรงๆ ว่า “พวกเราได้รับชัยชนะ ปีศาจบนที่ราบลุ่มถูกกำจัดไปหมดแล้ว ผู้พิฆาตเวทมนตร์เองก็หนีไม่รอด ตอนนี้เมืองทาคิลาอยู่ในการควบคุมของกองทัพที่หนึ่งเรียบร้อยแล้ว”


หนวดของพาซาร์หยุดนิ่งไปทันที


เธอนิ่งเงียบไปหลายวินาที ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้นว่า ‘จริงเหรอเพคะ! ฝ่าบาท ขออภัยที่หม่อมฉันเสียมารยาทเพคะ…หม่อมฉันไม่ได้สงสัยพระองค์ เพียงแต่ว่าหม่อมฉันไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี ทรงเล่ารายละเอียดให้หม่อมฉันฟังหน่อยได้ไหมเพคะ?’


หลังผ่านร้อนผ่านหนาวมาเป็นเวลา 400 กว่าปี แทบจะไม่มีอะไรที่จะทำให้แม่มดระดับสูงเหล่านี้ตื่นเต้นได้มากขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่โรแลนด์ได้เห็นท่าทีแบบนี้จากพาซาร์ “ได้สิ แต่ว่า…”


‘ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันจะเอาข่าวนี้ไปแจ้งให้พี่น้องทุกคนทราบเดี๋ยวนี้แหละเพคะ!’ แต่เขายังไม่ทันพูดจบ พาซาร์ก็หายตัวไปในถ้ำแล้ว


โรแลนด์งุนงงเล็กน้อย สุดท้ายถึงได้แต่ส่ายหน้าออกมาอย่างจนปัญญา


ในตอนที่เขาก้าวเข้ามาในโถงใหญ่ใต้ดิน แม่มดอาญาสิทธิ์ที่เหลือทั้งหมด รวมไปถึงพาซาร์ อาลิเธียและเซลีนต่างก็มายืนเรียงเป็นแถวรอต้อนรับเขาด้วยสีหน้าเฝ้ารอคอย


นี่กลับทำให้โรแลนด์รู้สึกลำบากใจที่จะเล่าเรื่องราวทุกอย่างออกไปจนหมด


“ทำเท่าที่เราทำได้เพคะ” ไนติงเกลพูดเตือนเบาๆ “หรือไม่ก็เอาไว้บอกพวกพาซาร์เป็นการส่วนตัวทีหลังก็ได้เพคะ”


ก็คงต้องเป็นแบบนั้นล่ะนะ เขาพยักหน้าพร้อมกับเดินก้าวเข้าไป จากนั้นจึงเริ่มเล่าเรื่องการรบและผลการรบอย่างคร่าวๆ – ถึงแม้รายงานสรุปอย่างละเอียดจะยังไม่ออกมา อีกทั้งการบอกเล่าของลีฟก็ยังมีช่องโหว่อยู่หลายแห่ง แต่เรื่องตัวเลขอะไรเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับพวกนางเลย


สำหรับแม่มดผู้รอดชีวิตจากเมื่อ 400 กว่านี้เหล่านี้แล้ว ชัยชนะต่างหากถึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด


กระทั่งเขาพูดจบแล้ว เหล่าแม่มดจึงพากันโห่ร้องแสดงความดีใจออกมา


เสียงโห่ร้องดังอยู่เป็นเวลานาน แม่มดหลายคนน้ำตานองหน้า แต่ไม่ว่าจะร้องไห้หรือว่าหัวเราะ ความรู้สึกที่ทุกคนแสดงออกมาก็คือความรู้สึกเดียวกัน


ความสุขที่หลุดพ้นจากความทุกข์ใจมาเป็นเวลา 400 กว่าปี


‘ขอพระองค์ได้โปรดยกโทษให้หม่อมฉันที่เคยเสียมารยาทต่อพระองค์ด้วยเพคะ’ อาลิเธียเป็นฝ่ายเข้ามาหาเขา ก่อนจะลู่หนวดหลักลง ‘นับแต่วันนี้เป็นต้นไปจะไม่มีแนวรบพันธมิตรอีกต่อไป พระองค์คือผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียวของทาคิลา นี่เป็นเจตนารมณ์ของพวกหม่อมฉันเพคะ’


พาซาร์กับเซลีนไม่ได้พูดอะไร เห็นได้ชัดว่ายอมรับในสิ่งที่เธอพูด


นี่เท่ากับว่าพวกเธอยอมรับว่าหลังจากนี้ทาคิลาจะกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ของเกรย์คาสเซิล


หลังจากโรแลนด์พยักหน้ายอมรับ อาลิเธียจึงยกหนวดหลักขึ้นมาใหม่


‘นอกจากนี้ข้ามีอีกเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องบอกพวกเจ้า’ เขารวบรวมสมาธิ ก่อนจะเล่าเรื่องเอเลน่าให้ทั้งสามคนฟัง


‘อย่างนั้นเหรอเพคะ…ที่แท้ก็เป็นนาง’ พาซาร์ค่อยๆ พูดขึ้นมา


สิ่งที่ทำให้โรแลนด์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยก็คือพวกนางดูไม่ได้สะเทือนใจเท่าไรเลย


“พวกเจ้า…รู้เรื่องนี้แล้วเหรอ?” เขาอดถามขึ้นมาไม่ได้


‘เปล่าเพคะ พวกเราเพียงแค่เตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วเท่านั้นเพคะ’ อาลิเธียพูดตรงๆ ‘การที่ทีมซุ่มโจมตีถูกปีศาจล้อมเอาไว้ ถ้าเป็นยุคสมัยทาคิลา ส่วนใหญ่แล้วพวกนางไม่มีทางที่จะรอดกลับมาได้ การที่ทุกคนสามารถรอดกลับมาได้โดยแลกกับชีวิตเพียงเท่านี้นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากแล้วเพคะ’


‘บางทีพระองค์อาจจะไม่เข้าใจ แต่ความตายนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพวกหม่อมฉัน’ เซลีนพูดต่อ ‘เพราะว่าทุกคนต่างก็ยินดีเข้าร่วมพิธีถ่ายโอนวิญญาณและรวมร่างเข้ากับร่างต้นแบบ ซึ่งนี่มันก็เหมือนกับพวกเราได้ตายไปแล้วรอบหนึ่ง ยิ่งหลังจากที่ทุกคนได้เห็นความพ่ายแพ้ที่เหล่าพี่น้องพากันล้มตายไปในสนามรบจนเกือบหมดในสงครามแห่งโชคชะตา เรื่องแค่นี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเพคะ สิ่งเดียวที่พวกเรากลัวก็คือการตายอย่างไร้ค่าเพคะ’


‘เอเลน่าก็แค่ทำในสิ่งที่นักรบทาคิลาทุกคนพร้อมจะทำเพคะ’ อาลิเธียพูดต่อเป็นคนสุดท้าย ‘ดังนั้นพระองค์ไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้หรอกเพคะ’


นี่เรา…กลายเป็นฝ่ายถูกปลอบแทนงั้นเหรอ?


โรแลนด์รู้สึกทอดถอนใจ เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี


‘แต่มันไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะไม่เสียใจที่พี่น้องตายไปนะเพคะ เพียงแต่สงครามทำให้พวกเราเรียนรู้ที่จะสะกดอารมณ์ตรงนั้นเอาไว้เพคะ’ พาซาร์มองไปทางเหล่าพี่น้องแม่มดที่ยังคงแสดงความดีใจกันอยู่ ‘เดี๋ยวหม่อมฉันจะเป็นคนบอกเรื่องนี้กับพวกนางเองเพคะ แต่ว่าตอนนี้ หม่อมฉันว่าเราปล่อยให้พวกนางมีความสุขกับชัยชนะก่อนดีกว่าเพคะ’


…..


หลังจากนั้น 5 วัน


เมื่อกองทัพทยอยกับกลับมา ข่าวชัยชนะของกองทัพที่หนึ่งก็ค่อยๆ แพร่กระจายไปในเมืองเนเวอร์วินเทอร์


ถึงแม้มันจะไม่ได้สร้างความฮือฮาได้เหมือนกับการเอาชนะสัตว์อสูรหรือว่าดยุคไรอัน แล้วก็ไม่ได้ทำให้ประชาชนทั่วทั้งเมืองออกมาแสดงความยินดี แต่พวกชาวบ้านก็ค่อยๆ รับรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของศัตรูจากปากของครอบครัวทหารที่เข้าร่วมรบ ทั้งดุร้าย แข็งแกร่ง ไม่กลัวตาย นี่ไม่ใช่สิ่งที่สัตว์อสูรกับอัศวินของดยุคจะเทียบได้เลย บวกกับที่พวกเขาได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่อสูรสยองบุกโจมตีเมืองด้วยตาตัวเอง ภาพของศัตรูที่แข็งแกร่งที่เป็นเหมือนกับปีศาจจากขุมนรกจึงค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา


บางคนถึงขนาดบอกว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดแห่งการทำลายล้างในตำนาน ทั้งตัวสูงหลายร้อยเมตรแถมยังพ่นไฟได้ ทำให้นี่กลายเป็นประเด็นที่ชาวบ้านพากันพูดถึงมากที่สุด


แต่ถึงแม้จะเป็นศัตรูเช่นนี้ แต่พวกมันก็ยังพ่ายแพ้ให้กับกองทัพที่หนึ่ง แถมยังตัดสินแพ้ชนะกันในระยะหลายร้อยเมตรด้วย คำพูดแบบนี้ทำให้ประชาชนภายในเมืองรู้สึกฮึกเหิมอย่างมาก ถ้าแม้แต่ปีศาจจากนรกก็ยังไม่สามารถเอาชนะกองทัพของเกรย์คาสเซิลได้ แล้วยังจะมีใครสู้กับพวกเขาได้อีก


ในหนังสือพิมพ์ ‘เกรย์คาสเซิลรายสัปดาห์’ ก็ตีพิมพ์บันทึกของทหารในแนวหน้าและรายละเอียดของการทำสงครามทั้งหมด


ไม่นานนัก คำขวัญลงชื่อเข้าร่วมกองทัพที่หนึ่งเพื่อขยายเขตแดนให้ฝ่าบาทก็กระจายไปทั่วทั้งเมือง


แต่ภายในใจของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเนเวอร์วินเทอร์กลับรู้ดีว่าความท้าทายที่แท้จริงที่พวกเขากำลังจะเผชิญมันคืออะไร


สุสานสาธารณะทางตะวันตกของเมือง


นับแต่ป้ายหลุมศพแผ่นแรกถูกปักลงไปหลังสิ้นสุดเดือนแห่งปีศาจเมื่อห้าปีก่อน ที่รกร้างที่มีแต่ต้นหญ้าแห่งนี้ก็กลายเป็นสวนสุสานที่เขียวชอุ่ม


และวันนี้ ที่แห่งนี้ก็มีป้ายหลุมศพเพิ่มมาใหม่อีก 426 แผ่น


ส่วนใหญ่ด้านล่างของพวกมันยังคงว่างเปล่าอยู่ เพราะว่าขีดจำกัดในเรื่องการขนส่งจึงทำให้ไม่สามารถขนเอาร่างผู้เสียชีวิตทั้งหมดกลับมาได้ในทีเดียว แต่ไม่มีใครที่รู้สึกว่าผู้เสียสละถูกทอดทิ้ง บนป้ายหลุมศพนั้นมีการบันทึกชื่อและคุณความดีของพวกเขาเอาไว้


ป้ายหลุมศพของแอชเชสและเอเลน่าก็อยู่ในนี้เหมือนกัน


พวกมันเหมือนกับแผ่นป้ายอื่นๆ ดูแล้วไม่มีอะไรแตกต่าง สิ่งเดียวที่แตกต่างนั้นคือด้านหน้าป้านหลุมศพของแอชเชสมีด้ามดาบที่แตกหักปักอยู่ด้ามหนึ่ง


“ทำความเคารพ!” ขวานเหล็กตะโกนเสียงดัง ก่อนจะยกมือขึ้นมาทำวันทยาหัตถ์


เจ้าหน้าที่ระดับสูงต่างทำวันทยหัตถ์ตาม ถึงแม้ตำแหน่งหน้าที่ของพวกเขาจะสูงกว่าทหารส่วนมากก็ตาม


นี่คือการรำลึกถึง ขณะเดียวกันก็เป็นการย้ำเตือนด้วยว่า


สงครามแห่งโชคชะตาที่จะตัดสินชะตาชีวิตนั้นยังไม่สิ้นสุด


หลังพิธีศพเสร็จเรียบร้อย โรแลนด์ก็เรียกบารอฟเข้ามาทันที “เรียกเสนาบดีทุกคนมา ข้ามีภารกิจใหม่จะมอบหมายให้ทุกคนทำ”


สงครามนี้มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น


……………………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)