Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1157-1162
ตอนที่ 1157 ศึกทาคิลา (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในตอนที่เงาดำสองดวงเคลื่อนผ่านกลางสนามรบเข้ามาถึงระยะ 5 กิโลเมตร ภายในฐานที่มั่นของกองทัพที่หนึ่งได้ปล่อยบอลลูนสอดแนมขึ้นไปบนท้องฟ้าและหยุดยิงปืนใหญ่
ผู้พิฆาตเวทมนตร์เองก็สังเกตเห็นเหตุการณ์นี้เหมือนกัน เพียงแต่มันไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ถึงทำเช่นนี้ เจ้าวัตถุทรงกลมที่ลอยได้นั้นน่าจะเอาไว้ใช้สำหรับสอดแนมดูจากที่สูง แต่ในเวลากลางคืนแบบนี้ ขนาดของที่อยู่ตรงหน้ายังมองไม่เห็นเลย แล้วลอยขึ้นไปสูงขนาดนั้นจะมีประโยชน์อะไร
ดังนั้นมันจึงฉวยโอกาสตอนที่ฝนเพลิงหยุดยิง รีบสั่งการให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าให้เร็วขึ้น
หลังเงาดำเคลื่อนที่เลยระยะ 4 กิโลเมตรเข้ามา กองพันปืนใหญ่ก็ทำการเตรียมกระสุนสำหรับการยิงรอบใหม่เสร็จเรียบร้อย พร้อมกับตั้งปืนสำหรับยิงพลุไฟ
นับตั้งแต่การลอบโจมตีในเวลากลางคืนครั้งแรกนั้น เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็รีบสร้างปืนยิงพลุไฟแบบง่ายๆ ออกมาชุดหนึ่ง หลักการทำงานของมันไม่ได้ต่างอะไรจากปืนครกมากนัก เพียงมีการติดร่มเข้าไปที่ส่วนหางของกระสุน และตรงส่วนหัวของกระสุนก็เปลี่ยนเป็นผงที่ผสมขึ้นจากอลูมิเนียมและแมกนีเซียมที่สามารถเผาไหม้ได้เป็นเวลานาน ในตอนแรกสุดกระสุนพลุไฟกับกระสุนปืนครกสามารถใช้ปืนกระบอกเดียวกันยิงได้ แต่ในระหว่างที่ทำการทดสอบก็พบว่าระดับความสว่างและช่วงเวลาในการเผาใหม่ของกระสุนขนาดเล็กนั้นไม่ดีเหมือนอย่างที่คิดไว้ ด้วยเหตุนี้จึงมีการสร้างปืนยิงพลุไฟที่มีขนาดลำกล้องที่ใหญ่ขึ้นเป็นการเฉพาะ ถึงแม้มันจะไม่สามารถทำให้ทหารยิงได้แม่นยำเหมือนในเวลากลางวัน แต่ก็พอทำให้เห็นสถานการณ์บนสนามรบได้
แต่กองทัพที่หนึ่งไม่เคยใช้มันในการรบจริงมาก่อน และนี่ก็เป็นคำแนะนำของทีมที่ปรึกษา
ในตอนที่ศัตรูเคลื่อนที่มาถึงระยะ 3 กิโลเมตร ขวานเหล็กก็รีบออกคำสั่งยิงทันที
“รับทราบ!” หลังวางโทรศัพท์ลง แวนนาก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมาทันที “กระสุนพลุไฟ มุมยิงกว้างที่สุด ยิง!”
หลังเสียงยิงพลุไฟดังขึ้นมา ท้องฟ้ายามค่ำคืนก็มีแสงสว่างเจิดจ้าสว่างขึ้นมาทันที เปลวไฟสีเหลืองส้มขับไล่ความมืดออกไป ทำให้โครงร่างของพื้นดินปรากฏขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
จากนั้นพลุไฟจำนวนมากก็ถูกยิงขึ้นฟ้า ลุกไหม้ ตกลงมา…
ภายในระยะ 3 กิโลเมตรด้านหน้าแนวรบเหมือนมี ‘พระอาทิตย์ดวงเล็ก’ เรียงเป็นแถวยาว ถึงแม้มันจะไม่สามารถขับไล่ความมืดออกไปได้หมด แต่มันก็ทำให้แสงดาวและแสงจันทร์หายไปได้ชั่วขณะ
ส่วนเสาหินขนาดใหญ่ ปีศาจแมงมุมและปีศาจคุ้มคลั่งที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดก็ปรากฏกายขึ้นมา!
ต่อให้เป็นพื้นที่แค่เล็กๆ แต่มันก็เพียงพอที่จะให้ปืนใหญ่ใช้กำหนดเป้าหมายได้
หลังผ่านการทดสอบยิงครั้งแรก เสียงหวีดของกระสุนปืนใหญ่จำนวนมากก็พุ่งตรงไปยังด้านหลังของแท่งหินอาญาสิทธิ์ การยังครั้งนี้ไม่ใช่การยิงแบบเดาสุ่มเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว ส่วนปีศาจที่ถูกเปิดเผยตำแหน่งก็ดูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด พวกมันเหมือนไม่รู้ว่าควรจะบุกไปข้างหน้าต่อดี หรือว่าหนีไปจากพื้นที่ที่จู่ๆ ก็ถูกส่องสว่างขึ้นมานี้
พริบตานั้นเอง เสียงระเบิดดังกัมปนาทก็เข้าปกคลุมกองทัพของพวกปีศาจที่กำลังเคลื่อนเข้ามา
……
อุรูคมองไปยัง ‘ลูกบอลไฟ’ ที่ค่อยๆ ตกลงมาจากบนท้องฟ้า ในที่สุดสีหน้าที่เรียบเฉยของมันเปลี่ยนไปทันที
ตอนนี้มันรู้แล้วว่าวัตถุทรงกลมที่พวกมนุษย์ปล่อยขึ้นไปบนท้องฟ้ามันเอาไว้ทำอะไร
เมื่อหกเดือนก่อนพวกเขายังรับมือกับการลอบโจมตีในเวลากลางคืนไม่ได้ พวกเขาทำได้เพียงแค่ตั้งรับอยู่ในค่ายเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขากลับมีแผนที่จะรับมือการทำศึกในเวลากลางคืน แถมยังอดทนรอจนถึงตอนนี้ค่อยเอาออกมาใช้ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมันก็ไม่อาจมองว่ามนุษย์นั้นเป็นแมลงชั้นต่ำได้อีก
เผ่าพันธุ์มนุษย์…เรียกได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ของพวกมันแล้ว
จักรพรรดิจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้!
มันทำการตัดสินใจออกมาทันที
ในขณะเดียวกันอุรูคก็มั่นใจในความคิดของตัวเองว่าการกำจัดดวงตาและแขนขาของศัตรูต่างหากถึงจะเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นกองทัพของมนุษย์นี้อาจจะสร้างปัญหาให้กับแผนการบุกเบิกของเผ่าพันธุ์ได้
มันมองกลับลงไปที่ใต้เท้าตัวเองอีกครั้ง ท่ามกลางฝนเพลิงที่กระหน่ำโจมตีลงมา เสาหินอาญาสิทธิ์กับกองทัพที่เดินอยู่ข้างหลังเริ่มเกิดการแตกแถว จากที่มันคิดเอาไว้ตอนแรก เสาพวกนี้น่าจะเคลื่อนที่ไปได้ถึงระยะโจมตีของทูมสโตนได้ เมื่อถึงตอนนั้นค่อยโจมตีพร้อมกับปีศาจคุ้มคลั่งที่กระหนาบเข้ามาจากทั้งสองด้าน เช่นนี้ก็จะช่วยชดเชยความเสียเปรียบในเรื่องระยะยิงกลับมาได้
แต่ตอนนี้พื้นที่ที่ถูกส่องสว่างได้ตัดเส้นทางในบุกไปข้างหน้าของกองทัพ ถ้าฝืนบุกเข้าไปก็มีแต่จะตกเป็นเป้าของฝนเพลิง หลังไม่มีความมืดช่วยบดบัง จากพื้นที่จุดบอดกลายเป็นลานสังหารขนาดแคบๆ
ไปทำลายบอลไฟเหล่านั้น? ไม่…พวกมนุษย์ต้องมีของแบบนี้อยู่เยอะแน่ ยิ่งไปกว่านั้นในค่ายของมนุษย์ก็มีคนคอยจับตาดูมันอยู่…
อุรูคเร่งความเร็วทันที ก่อนจะบินพุ่งเข้าไปยังแนวรบของอีกฝ่าย!
หลังบินหลบหน้าไม้เพลิงที่กราดยิงออกมา มันก็พุ่งเข้าไปถึงอยู่ด้านหน้าบอลลูนที่ลอยอยู่กลางอากาศ ในขณะที่ทหารสังเกตการณ์กำลังกระโดดหนีออกมาจากตะกร้าบอลลูน มันก็คว้าคอของเขาเอาไว้
เมื่อเห็นสีหน้าที่หวาดกลัวถึงขีดสุดของมนุษย์ อุรูคก็แสยะยิ้มดุร้ายออกมา ก่อนจะฉีกทหารคนนั้นออกเป็นสองส่วน
จากนั้นมันก็โยนศพลงมา แล้วเงยหน้าส่งเสียงคำราม!
สิ่งที่ดังออกมาพร้อมกับเสียงตะโกนคือคำสั่งบุกโจมตี
พวกปีศาจร่างต้นที่รับรู้ได้ถึงเจตจำนงของมันต่างพากันส่งเสียงคำรามออกมาเหมือนกัน พวกมันกระโจนออกมาจากที่ซ่อน ก่อนจะวิ่งเข้ามาหาฐานที่มั่นของมนุษย์
พริบตานั้นเอง พื้นดินพลันเดือดพล่านขึ้นมา!
…..
ในที่สุดการสู้รบก็กลับมาอยู่ในจังหวะที่กองทัพที่หนึ่งคุ้นเคยมากที่สุด
ปีศาจจำนวนมากแห่ออกมาจากจุดบอด ทั่วทั้งพื้นที่ราบมีแต่ศัตรูอยู่เต็มไปหมด กระสุนฟลุไฟที่ถูกยิงขึ้นไปบนฟ้าอย่างต่อเนื่องส่องพื้นที่ระยะ 3 กิโลเมตรสุดท้ายนี้จนสว่างขึ้นมา ปืนครกกับปืนกลกระหน่ำยิงออกไปพร้อมๆ กับพื้นดินเหมือนกำลังถูกถลกหน้าดินขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
น่าจะเป็นเพราะทั้งสองฝ่ายต่างรู้ถึงความหมายของสงครามครั้งนี้ดี ทันทีที่ปะทะกันจึงไม่มีการออมมือให้กันอีก กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งที่ราบ!
ขอเพียงคลานเข้ามาถึงระยะปาหอก ปีศาจคุ้มคลั่งก็จะกระหน่ำปาหอกกระดูกอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งแขนของพวกมันใช้งานไม่ได้ ต่อให้ขาทั้งสองข้างถูกยิงขาด ร่างกายถูกยิงจนเป็นรู พวกมันก็จะลากร่างกายของพวกมันไปข้างหน้า
ส่วนกองทัพที่หนึ่งก็ไม่ได้ถอยเหมือนกัน
หน่วยปืนกลกระหน่ำยิงออกไปเหมือนสายน้ำ ถึงแม้จะเจอกับเข็มหินที่ปีศาจแมงมุมยิงเข้ามา พวกเขาก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะถอยหนีแม้แต่หน่อย หลังจากทหารที่รับหน้าที่ยิงปืนกลถูกเข็มหินแทงจนเสียชีวิตก็จะมีทหารคนใหม่เข้ามารับหน้าที่ยิงต่อทันที สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาหยุดยิงได้นั้นมีแค่การเปลี่ยนลำกล้องปืนที่เสียทิ้งเท่านั้น
การสู้รบอันดุเดือดดำเนินตั้งแต่ตอนเที่ยงคืนไปจนถึงรุ่งสางของอีกวัน
ในตอนที่บนท้องฟ้ามีแสงสีเงินทอประกายขึ้นมา อสูรสยองจำนวนหลายสิบตัวก็เข้าสู่สนามรบ
ภายในแสงอาทิตย์ยามเช้า นี่คือโอกาสสุดท้ายของพวกปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย
ในตอนนี้ความกดดันจากทางภาคพื้นดินลดน้อยลงจากเดิมอย่างมากแล้ว ดังนั้นหน่วยปืนกลหลายๆ หน่วยจึงหันปากกระบอกปืนขึ้นและกระหน่ำยิงไปบนฟ้าร่วมกับหน่วยต่อต้านทางอากาศ
ผู้พิฆาตเวทมนตร์พุ่งเข้ามาในแนวรบของกองทัพที่หนึ่งอยู่หลายครั้งเพื่อจะหยุดการยิงของแนวป้องกันให้ได้ แต่มันก็ต้องถูกห่ากระสุนบีบให้ต้องถอยออกไป
ชัยชนะเริ่มเอนเอียงมาทางฝั่งมนุษย์ที่ละน้อย
กระทั่งถึงเวลากลางวัน ในที่สุดเสียงปืนก็หยุดลง
อกาธาเดินตามขวานเหล็กและคนอื่นๆ ออกมาจากฐานบัญชาการใต้ดินมาถึงด้านหน้าแนวรบ
ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นดินปืนที่แสบจมูก แต่เธอกลับรู้สึกว่ากลิ่นนี้มันน่าหลงใหลอย่างมาก
พื้นดินที่เมื่อวานนี้ยังมีหญ้าขึ้นเขียวชอุ่มกลายเป็นพื้นขรุขระที่เต็มไปด้วยหลุมกระสุนและซากศพที่นอนเกลื่อนกลาด
เลือดสดๆ ของศัตรูไหลเจิ่งนองเต็มพื้น ส่วนพุ่มไม้และใบหญ้าที่เปื้อนเลือดต้องแสงแดดส่องประกายสีน้ำเงินออกมา
ซากเมืองทาคิลาที่อยู่ไกลออกมายังคงมีปีศาจโครงกระดูกตัวใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ แต่อกาธารู้ว่าหลังจบศึกนี้แล้ว ปีศาจจะไม่สามารถหยุดมนุษย์ได้อีก พวกเขาจะแย่งชิงเอาเมืองศักดิ์สิทธิ์กลับมา
“พวกเรา…ชนะแล้ว!” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตะโกนประโยคนี้ออกมาเป็นคนแรก บางทีอาจจะเป็นทหารธรรมดาคนหนึ่งหรือไม่ก็แม่มด หรือไม่ก็แม่มดทาคิลา…แต่ว่านั่นไม่สำคัญ เพราะว่าหลังจากนั้นเสียงตะโกนโห่ร้องแสดงความยินดีก็ดังขึ้นสนั่นไปทั่วทั้งแนวรบ
นี่คือชัยชนะของเผ่าพันธุ์มนุษย์!
………………………………………………………………
ตอนที่ 1158 พ่ายแพ้
โดย
Ink Stone_Fantasy
การเฉลิมฉลองดำเนินไปได้เพียงครู่เดียว แนวรบก็เริ่มวุ่นวายขึ้นมาใหม่
ทั้งการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ สรุปผลการรบ ต่อรางรถไฟออกไป เก็บกวาดสนามรบ…เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ต้องรีบจัดการ
กองบัญชาการรู้ดีว่าชัยชนะในศึกครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าปฏิบัติการคบเพลิงได้จบลงแล้ว ถึงแม้จำนวนปีศาจที่เหลืออยู่ในตอนนี้จะไม่สามารถทำการลอบโจมตีได้เหมือนครั้งนี้อีก ส่วนเรื่องการยึดเอาทาคิลามาก็เรียกได้ว่าแทบจะเป็นที่แน่นอนแล้ว แต่ถ้ายังไม่เดินไปถึงก้าวสุดท้าย พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะประมาทแม้แต่นิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นผู้พิฆาตเวทมนตร์ก็ยังมีชีวิตอยู่ ถ้ายังกำจัดมันไม่ได้ก็ยังไม่ถือว่าบรรลุเป้าหมายในภารกิจครั้งนี้
จริงอยู่ที่มันคู่ควรแก่การเฉลิมฉลอง แต่ว่านั่นก็ต้องรอให้พวกเขาเอาธงของเกรย์คาสเซิลไปปักยังยอดของซากเมืองทาคิลาและกลับไปยังเมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้อย่างปลอดภัยเสียก่อน
หลังผ่านการหารืออีกครั้ง เจ้าหน้าที่ระดับสูงของแนวร่วมพันธมิตรก็เห็นพ้องต้องกันว่าหลังตัดปีศาจที่ตายอยู่ในศึกครั้งนี้ออกไป จำนวนปีศาจที่เหลืออยู่ในซากเมืองศักดิ์สิทธิ์น่าจะมีไม่ถึง 500 ตัว เมื่อดูจากจำนวนตรงนี้ก็หมายความว่าพวกมันไม่มีอันตรายใดๆ ต่อกองทัพที่หนึ่งอีก
เมื่อเทียบกับการรุกคืบไปข้างหน้าแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ทางกองบัญชาการกำลังครุ่นคิดน่าจะเป็นเรื่องการป้องกันผู้พิฆาตเวทมนตร์หนีไป สถานีหมายเลขสิบสามารถสร้างให้ช้าลงได้ เพื่อที่ศัตรูจะได้ไม่ถอดใจจนหนีไปเสียก่อน ขณะเดียวกันการซุ่มโจมตีก็ต้องรีบจัดการด้วย ถึงแม้จะไม่มีการสอดแนมของซิลเวีย แต่ตอนนี้กองทัพที่หนึ่งก็น่าจะไม่ถูกลอบโจมตีอีกแล้ว
เพื่อป้องกันไม่ให้มีอะไรผิดพลาด หลังพักผ่อนมาหนึ่งวัน กองทัพที่หนึ่งก็เปิดฉากยิงปืนใหญ่ใส่ปีศาจอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้พวกเขากลายเป็นฝ่ายบุก
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกระสุนปืนใหญ่ที่ถูกกระหน่ำยิงออกมา สิ่งเดียวที่อีกฝ่ายทำได้ก็คือถอยหนีกลับไปยังซากเมืองทาคิลา
ในระหว่างนี้เหลือเพียงแค่ผู้พิฆาตเวทมนตร์เท่านั้นที่ยังสร้างปัญหาให้กับแนวรับได้ แต่ในฐานะที่เป็นเป้าหมายที่ถูกจับตาอยู่ตลอดเวลา ทำให้แม้แต่จะเข้ามาใกล้แนวรบของกองทัพที่หนึ่งก็ยังทำได้ลำบาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะหยุดการบุกของกองทัพที่หนึ่งเลย
เมื่อการโจมตีประสบความล้มเหลวไปหลายครั้ง จำนวนการโจมตีของมันก็ลดลงเรื่อยๆ
สี่วันหลังทำศึกใหญ่ ในที่สุดรางเหล็กก็ปูไปถึงระยะยิง 10 กิโลเมตรแล้ว
หลังจัดตั้งแนวยิงปืนใหญ่เสร็จเรียบร้อย อกาธา ฟิลลิสและแม่มดอาญาสิทธิ์อีกร้อยกว่าคนก็ถูกขวานเหล็กเชิญให้มายืนต่อแถวอยู่ด้านหน้าปืนใหญ่ป้อม
เนื่องจากปืนใหญ่มีจำนวนไม่พอ แวนนาที่เป็นหัวหน้ากองพันปืนใหญ่จึงได้เอาเชือกสิบกว่าเส้นมาต่อเข้ากับเชือกสำหรับยิงปืนใหญ่ แบบนี้พวกนางก็จะสามารถยิงปืนใหญ่นัดแรกสู่ทาคิลาได้พร้อมๆ กัน
ผู้ตื่นรู้ที่เกิดจากเมืองทาคิลา ผู้แก้แค้นที่ต้องการจะแย่งเอาทาคิลากลับมา…และผู้ที่ต้องการสร้างเมืองศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาใหม่ แม่มดอาญาสิทธิ์ทุกคนต่างรู้ดีกว่านี่เป็นวินาทีประวัติศาสตร์ที่มีความหมายอย่างมาก ไม่ว่าพวกนางจะมีชีวิตรอดไปจนผ่านพ้นสงครามแห่งโชคชะตาไปได้หรือไม่ แต่เหตุการณ์ในวันนี้ก็จะถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์
“ข้าต้องขอโทษท่านด้วย” ฟิลลิสกำเชือกแน่นพร้อมพูดกับอกาธาเบาๆ “เมื่อ 400 ปีก่อน ข้าเคยแอบหัวเราะเยาะท่านลับหลัง เรื่องที่ท่านทำงานกับพวกคนธรรมดา”
“ตอนนั้นก็มีหลายคนคิดเหมือนอย่างเจ้าแหละ” แม่มดน้ำแข็งยิ้มออกมา “แล้วตอนนี้ล่ะ?”
“ตอนนี้เหรอ…” ฟิลลิสยิ้มมุมปากขึ้นมา “ความรู้สึกที่ได้สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับคนธรรมดามันก็ไม่เลวเหมือนกัน”
“เตรียมพร้อม…” ในเวลาเดียวกันนั้นเอง แวนนาก็ยกธงให้สัญญาณขึ้นมา “ยิงได้!”
ทุกคนกระตุกเชือกไปด้านหลังพร้อมกัน เสียงปืนใหญ่ดังกึงก้องไปทั่วท้องฟ้า กระสุนปืนใหญ่สิบกว่าลูกลอยข้ามที่ราบลุ่ม ก่อนจะตกลงในซากเมืองศักดิ์สิทธิ์
คลื่นกระแทกอันรุนแรงแผ่กระจายไปรอบๆ พร้อมกับเสียงระเบิด เศษซากเมืองที่มีอายุ 400 ปีแห่งนี้ถูกกวาดจนราบเป็นหน้ากลอง ขณะเดียวกันสิ่งที่ถูกคลื่นอากาศและเศษก้อนหินฉีกเป็นชิ้นๆ ยังมีปีศาจที่แอบซ่อนอยู่ในเมือง
….
“เริ่มแล้ว” ซิลเวียพูดเสียงเบาๆ
“อื้อ” แอนเดรียตอบอย่างไม่ร้อนใจ ถึงแม้จะมองไม่เห็นสถานการณ์ในเมืองทาคิลา แต่เธอก็ยังได้ยินเสียงระเบิดทึบๆ อย่างชัดเจน การสั่นสะเทือนบนพื้นดินในตอนนี้นั้นแตกต่างจากการการสั่นสะเทือนเวลาที่ยิงปืนใหญ่อย่างสิ้นเชิง ถึงแม้จะอยู่ห่างออกมา 7 – 8 กิโลเมตร เธอก็ยังรับรู้ถึงมันได้
มันอยากจะจินตนาการได้จริงๆ ว่าปีศาจที่ถูกปืนใหญ่ระดมยิงใส่มาตลอดทั้งคืนมันจะมีความรู้สึกอย่างไร
“นี่มันวันที่ 5 แล้วใช่หรือเปล่า?” แม็กกี้พูดงึมงำขึ้นมา “วันนี้ผู้พิฆาตเวทมนตร์มันจะมาไหม?”
“ใครจะรู้ได้ล่ะ” แอชเชสยักไหล่
“อยากกลับไปกินหม้อไฟกับเกี๊ยวซ่าที่เนเวอร์วินเทอร์จัง”
“โครกกกก”
เธอยังไม่ทันพูดจบ ท้องของใครบางคนในนั้นก็ร้องขึ้นมา
“แต่เนื้อย่างกระทะร้อนก็ไม่เลวเหมือน ถ้าได้ขนมปังไอศกรีมอีกซักที่ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่…อื้อ…”
แอชเชสเอาขนมปังยัดเข้าไปในปากของแม็กกี้ “ถ้ารู้สึกหิวก็กินนี่เข้าไปเยอะๆ ถึงแม้รสชาติจะไม่ได้ดีเท่าไร แต่อย่างน้อยก็ทำให้อิ่มได้”
“นอกจากนี้อย่าลืมซะล่ะ ตอนนี้พวกเรากำลังปฏิบัติภารกิจอยู่นะ” คามิล่า แดริลพูดเสริมขึ้นมา “เรื่องของกินอะไรนั่นเอาไว้กลับไปแล้วค่อยคิด แต่ตอนนี้ต้องมีสมาธิอยู่กับหน้าที่ของตัวเอง”
เจ้านี่ยังทำเป็นวางท่าอยู่ได้ เห็นๆ อยู่ว่าเมื่อกี้ตัวเองก็กลืนน้ำลายเหมือนกัน แอนเดรียแอบส่ายหัวเงียบๆ ก่อนจะทุ่มสมาธิกลับไปยังทาคิลา
ในขณะที่กองทัพที่หนึ่งเปลี่ยนจากฝ่ายรับมาเป็นฝ่ายรุก หน่วยจู่โจมพิเศษก็เดินทางออกจากค่าย แล้วอ้อมซากเมืองทาคิลามาซุ่มอยู่ในป่าทางด้านตะวันตกของเส้นทางขนส่งหมอกแดงตามที่ได้วางแผนกันเอาไว้ เนื่องจากไม่รู้ว่าผู้พิฆาตเวทมนตร์จะถอยหนีเมื่อไร พวกเธอจึงได้แต่ต้องอดทนเฝ้ารออยู่ตรงนี้
ถึงแม้การใช้ชีวิตอยู่ในป่าด้านนอกจะไม่ได้เป็นเรื่องยากลำบากอะไรสำหรับเหล่าแม่มด แต่เมื่อคิดถึงว่าบนท้องฟ้ายังคงมีอสูรสยองบินไปมาอยู่ ด้วยเหตุนี้พวกเธอจึงไม่สามารถก่อไฟย่างอาหารกินได้ แม้แต่เต็นท์หลบแดดหลบฝนก็ยังไม่มี ทุกคืนพวกเธอก็เอาผ้ามาห่อตัวแล้วนอนอยู่บนต้นไม้ ถ้าหิวก็ต้องกินขนมปังประทังชีวิต ชีวิตแบบนี้ย่อมต้องไม่ใช่เรื่องสบายแน่
ความจริงแล้วเมื่อครู่ตอนที่ได้ยินคำพูดของแม็กกี้ จู่ๆ เธอก็เกิดความรู้สึกคิดถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์ขึ้นมาอย่างมาก ตอนแรกที่ติดตามทิลลีจากเกาะสลีปปิ้งมายังเมืองเนเวอร์วินเทอร์ เธอยังคิดว่าที่นี่นั้นไม่ใช่เมืองที่ดีอะไร คำพูดที่บอกว่า ‘บ้านของแม่มด’ นั้นก็เป็นแค่คำคุยโวของผู้ปกครองเท่านั้น ถ้าทิลลีตัดสินใจออกจากเมืองเมื่อไร เธอก็จะตามเธอไปอย่างไม่ลังเล แต่ตอนนี้ถ้าถามคำถามนี้กับเธออีกครั้ง แอนเดรียกลับรู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมา…..
เตียงนุ่มๆ อาหารเลิศรสจำนวนมากมาย น้ำร้อนและน้ำเย็นที่ไหลได้เอง เครื่องทำความร้อนที่ทำให้สามารถเดินเท้าเปล่าได้ในหน้าหนาว ถึงแม้เธอจะเคยเป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลควินน์ แต่เธอก็ไม่เคยใช้ชีวิตสุขสบายขนาดนี้มาก่อน มันไม่ใช่ความหรูหราที่จะใช้แค่เงินซื้อมาได้ หากแต่เป็นความพิถีพิถันและความประณีตในทุกๆ รายละเอียด พอคิดถึงว่าต้องลาจากสิ่งเหล่านี้ เธอกลับพบว่าตัวเองรูัสึกยากที่จะตัดสินใจได้
โชคดีที่ทิลลีเข้ากับโรแลนด์ได้ดี ทำให้ตอนนี้เธอไม่ต้องไปคิดถึงปัญหาน่าปวดหัวเหล่านี้
เอาไว้กำจัดผู้พิฆาตเวทมนตร์ได้เมื่อไร เธอจะต้องขอให้โรแลนด์ตบรางวัลให้เธองามๆ แอนเดรียคิดในใจ
ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือเป้าหมายถูกปืนใหญ่กระหน่ำยิงตายอยู่ในเมืองทาคิลา ผลลัพธ์ที่ดีรองลงมาคือในตอนที่ผู้พิฆาตเวทมนตร์หลบหนี มันไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีทีมจู่โจมพิเศษคอยซุ่มโจมตีอยู่ แล้วก็ถูกกระสุนหินอาญาสิทธิ์ยิงตายกลางอากาศ ผลลัพธ์อันดับสุดท้ายคืออีกฝ่ายรู้อยู่แล้วว่าพวกเธอมีความสามารถในการโจมตีอย่างแม่นยำจากระยะไกล แล้วก็ใช้การบินซิกแซกไปมาในการหลบกระสุน หากเป็นแบบนั้นก็ได้แต่ต้องพึ่งซีกัลในการหยุดอีกฝ่ายแล้ว
แต่เธอแอบรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจว่าสองเหตุการณ์แรกมันจะเกิดขึ้น เพราะในศึกตอนกลางคืนเมื่อ 5 วันก่อน ผู้พิฆาตเวทมนตร์เคยบินเข้ามาใกล้แนวรบของกองทัพที่หนึ่ง แต่มันคอยบินซิกแซกอยู่ตลอดเวลา ทำให้เธอไม่มีโอกาสที่จะลงมือ นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือว่ามันกำลังจงใจป้องกันการยิงของเธออยู่?
“อ๊าซซซซซซซซซซ…………..”
ทันใดนั้นเอง เสียงกรีดร้องแปลกๆ พลันดังเข้ามาในหูของทุกคน
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” แอชเชสถาม
“กระสุนปืนใหญ่นัดหนึ่งยิงไปถูกปีศาจโครงกระดูก!” ซิลเวียอุทานตกใจ “ด้านหลังของมันโดนระเบิดจนเป็นรูขนาดใหญ่ พระเจ้า เจ้าสิ่งนั้นมัน…กำลังกรีดร้อง!”
“ที่แท้มันก็รู้สึกเจ็บได้ด้วยเหรอเนี่ย? ดูจากข้างนอกแล้วข้านึกว่ามันไม่มีชีวิตซะอีก”
“ตรงตำแหน่งที่ถูกยิงกำลังพ่นหมอกสีแดงออกมาอยู่ เหมือนกับ…เลือดเลย” ซิลเวียจ้องมองไปทางตะสันออกเฉียงเหนือ “ผู้พิฆาตเวทมนตร์เคลื่อนไหวแล้ว มันกำลังบินไปที่แนวรบของพวกเรา
“ขอให้มีคนกำจัดมันได้นะ” แอนเดรียผายมือพูด
“เดี๋ยวๆ…ผู้พิฆาตเวทมนตร์บินไปได้ครึ่งทางก็บินกลับแล้ว!” ซิลเวียที่สังเกตการณ์อยู่ขมวดคิ้วขึ้นมา “นี่มันอะไรกันเนี่ย? ปีศาจโครงกระดูกกำลังถอยไปข้างหลัง! มีปีศาจพยายามจะหยุดมันไว้ แต่ก็ถูกเหยียบจนเละ ในเมืองวุ่นวายอย่างมาก นี่พวกมัน…”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอจึงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจว่า “ปีศาจกำลังฆ่ากันเอง?”
แอนเดรียกับแอชเชสสบตากัน ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน นี่ก็คือเป็นสัญญาณของความพ่ายแพ้…หรือว่าในที่สุดศัตรูก็แบกรับความกดดันไม่ไหว แล้วก็สูญเสียขวัญและกำลังในการสู้ศึกไปหมดแล้ว?
จากนั้นคำพูดของซิลเวียก็ยิ่งตอกย้ำความคิดนี้
“ผู้พิฆาตเวทมนตร์หนีออกจากทาคิลาแล้ว!”
………………………………………………………………………..
ตอนที่ 1159 ซุ่มยิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“แอนเดรีย!” คามิล่าตะโกน
“ข้า ข้ารู้แล้ว…” แอนเดรียรีบจับปืน ก่อนจะหลับตาและโยนความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป ยังไม่รู้สึก ยังไม่รู้สึก ยังไม่รู้สึก…เธอท่องคำพูดนี้อยู่ในใจหลายรอบ จากนั้นจู่ๆ เธอก็ลืมตาขึ้นมา!
พริบตานั้นเอง มุมมองของเธอพลันบิดเบี้ยวขึ้นมา ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเหมือนมีภาพซ้อนจำนวนมากปรากฏขึ้นมา พวกมันยืดยาวออก ทับซ้อนกัน แล้วก็ขยายออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ นี่คือความรู้สึกของดวงตาเวทมนตร์ที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอ ทัศนวิสัยของเธอพลันเปิดกว้างขึ้นมา
นอกจากนี้สิ่งที่เชื่อมต่อเข้ามายังมีจิตสำนึกของซิลเวียด้วย
ในตอนที่ภาพซ้อนในดวงตาหยุดนิ่งลง ดวงตาของเธอก็มองทอดยาวออกไปหลายกิโลเมตรตามความคิดของอีกฝ่าย เจ้าปีศาจสวมเกราะสีดำที่หน้าตาดูคุ้นเคยตัวนั้นปรากฏตัวขึ้นในดวงตาของเธอ แต่สิ่งที่ดูสัมผัสได้ชัดเจนมากกว่านั้นก็คือพลังเวทมนตร์ที่ขยายตัวอย่างรุนแรงของผู้พิฆาตเวทมนตร์จนเหมือนจะจับต้องได้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะปีศาจโครงกระดูกถอยหนีเร็วเกินไปหรือว่าการสูญเสียทาคิลาทำให้มันปวดใจอย่างมาก ผู้พิฆาตเวทมนตร์ถึงได้บินออกมาคนเดียวโดยไม่มีปีศาจคุ้มกัน
“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?” แอชเชสถามเสียงเข้ม
“ผู้พิฆาตเวทมนตร์…ยังไม่เห็นพวกเรา!” แอนเดรียตอบอย่างตื่นเต้น “มันกำลังบินไปทางเส้นทางขนส่งหมอกแดง ถึงแม้ตำแหน่งจะค่อนไปทางตกวันออก แต่ก็ยังอยู่ในระยะยิง! บรรจุกระสุนเลย ไม่มีโอกาสที่ดีกว่านี้แล้ว!”
แอชเชสพยักหน้า ก่อนจะเอากระสุนหินอาญาสิทธิ์บรรจุเข้าไปในรังเพลิงแล้วดึงลูกเลื่อน
ระยะทางประมาณ 8 – 9 กิโลเมตร ลมพัดไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่มีปีศาจตัวอื่นรบกวน นี่คือสถานการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับการซุ่มยิง แอนเดรียเพ่งสมาธิไปบนเป้าหมาย ก่อนจะกลั้นหายใจและปล่อยพลังเวทมนตร์ออกมา
เส้นนำทางจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมาและตรงไปรวมกันอยู่ที่ตัวผู้พิฆาตเวทมนตร์ บางเส้นก็หมุนควงไปมา บางเส้นก็พุ่งขึ้นลง ยากจะจินตนาการได้ว่ากระสุนปืนจะสามารถลอยไปด้วยวิถีแปลกๆ แบบนี้ได้ แต่ไม่นานเส้นนำทางส่วนใหญ่ก็จางหายไป เหลือเพียงแค่เส้นนำทางสีเงินที่ส่องประกายเหลืออยู่เพียงเส้นเดียวเท่านั้น
เธอเจอเหรียญที่จะตั้งขึ้นเหรียญนั้นแล้ว
ขณะเดียวกัน พลังเวทมนตร์ในร่างกายก็ลดลงอย่างรวดเร็ว เธอไม่เหลือเวลาให้ลังเลแล้ว โอกาสมีแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น!
แอนเดรียกัดฟันแล้วเหนี่ยวไกปืน
เสียงระเบิดดังสนั่นจนแสบแก้วหู เธอรู้สึกว่าหัวไหล่เหมือนถูกอะไรหนักๆ กระแทกอย่างแรง ตัวเธอกระเด็นลอยไปด้านหลัง ส่วนแอชเชสที่อยู่ข้างๆ นั้นเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว เธอใช้มือข้างเดียวดึงข้อศอกของเธอเอาไว้
“ไม่อยากจะถูกเจ้ากอดเอาไว้แบบนี้เลย” มุมปากแอนเดรียกระตุกขึ้นมา แต่ร่างกายเธอกลับผ่อนคลายลง ในเวลานี้หัวไหล่เธอรู้สึกชา เหมือนกับว่ามันไร้ความรู้สึก ถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่เธอก็รู้ว่าภายใต้เสื้อผ้านั้นจะต้องบวมแดงแน่ๆ ถ้าไม่มีการรักษาของนาน่า เกรงว่าคงต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะฟื้นคืนกลับมาเป็นเหมือนเดิม
นี่คือผลกระทบจากลำกล้องที่มีขนาดใหญ่ ต่อให้ติดตัวดูดซับแรงกระแทกเข้าไปตั้งหลายอย่างแล้ว แต่แรงกระแทกที่เหลืออยู่ก็ยังรุนแรงอย่างมาก ในตอนที่ทำการทดสอบอาวุธเธอก็รู้แล้วว่าต่อให้ผลิตกระสุนหินอาญาสิทธิ์ออกมาเยอะแค่ไหน เธอก็ไม่มีทางที่จะยิงครั้งที่สองได้ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณพลังเวทมนตร์ ความแข็งแกร่งของร่างกายหรือว่าน้ำหนักที่เรืออาร์คเวทมนตร์สามารถบรรทุกได้ล้วนแต่จำกัดการใช้พลังของเธอเอาไว้
แต่ว่าการสังหารศัตรูในการยิงนัดเดียวคือความสามารถที่เธอภาคภูมิใจมากที่สุด
การสู้กับศัตรูจนเลือดท่วมตัวนั้นมีแต่พวกป่าเถื่อนเท่านั้นแหละที่จะทำกัน
อย่างเช่นเจ้าบื้อที่คอยประคองเธออยู่ในตอนนี้
“ถ้าไม่เห็นว่าซิลเวียกำลังเชื่อมต่อกับเจ้าอยู่ ข้าก็ไม่อยากจะสนใจเจ้าหรอก” แอชเชสกรอกตา “แล้วเป็นไง ผู้พิฆาตเวทมนตร์มัน…”
“รออีกเดี๋ยว” แอนเดรียทำมือเป็นสัญลักษณ์บอกให้เงียบก่อน “กระสุนกำลังเดินทางอยู่”
เส้นสีเงินที่อยู่ตรงหน้ากำลังหดสั้นลง ปลายทางของมันไม่ได้อยู่บนตัวผู้พิฆาตเวทมนตร์ หากแต่ตัดผ่านเส้นทางที่อีกฝ่ายกำลังจะบินผ่าน เมื่อมองดูจากหางตาของเธอจะเหมือนว่ากระสุนกับปีศาจนั้นกำลังแข่งกันวิ่งไปหาเป้าหมายหนึ่ง และสุดท้ายก็จะไปบรรจบกันที่จุดๆ หนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
ทันทีที่เหนี่ยวไกปืนออกไป ผลลัพธ์ก็ได้ถูกกำหนดออกมาแล้ว กระสุนหินอาญาสิทธิ์จะบินไปตามวิถีที่ได้กำหนดเอาไว้ ปัจจัยที่ไม่แน่นอนเพียงหนึ่งเดียวนั้นอยู่ที่ตัวเป้าหมาย ถ้าจู่ๆ ผู้พิฆาตเวทมนตร์เกิดเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน อย่างนั้นผลลัพธ์ทั้งหมดก็จะไม่เกิดขึ้น เวลาประมาณ 25 วินาทีจะว่ายาวก็ไม่ยาว จะว่าสั้นก็ไม่สั้น สิ่งเดียวที่เธอทำได้คือสวดภาวนาขอให้อีกฝ่ายบินไปแบบนี้เรื่อยๆ
กระแสลมที่พัดจากตะวันตกไปยังตะวันออกคอยดันกระสุนให้พุ่งเข้าไปหาปีศาจด้วยความเร็วสูง ในช่วงเวลาไม่กี่วินาทีสุดท้าย แอนเดรียกลั้นลมหายใจ แล้วก็พูดสิ่งที่ภาวนาอยู่ในใจออกมา
อย่าเปลี่ยนทาง อย่าเปลี่ยนทาง อย่าเปลี่ยนทาง…
ทันใดนั้นเอง ผู้พิฆาตเวทมนตร์จู่ๆ ก็หันหน้ามาสบตาเข้ากับเธอ!
แอนเดรียรู้สึกเหมือนเลือดที่อยู่ในร่างกายจับตัวแข็งขึ้นมาทันที
แต่วินาทีต่อว่า กระสุนที่ร่วงลงมาจากบนฟ้าก็ตกกระแทกลงไปบนหลังของมัน
แรงปะทะอันรุนแรงทำให้หินอาญาสิทธิ์แตกออกเป็นเสี่ยงๆ จากเงาดำๆ ก้อนหนึ่งก็กลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่สิ่งที่แหลกละเอียดยิ่งกว่าหินอาญาสิทธิ์ก็คือร่างกายของผู้พิฆาตเวทมนตร์
ถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง เธอก็ไม่มีทางจินตนาการออกได้ว่าก้อนหินที่มีขนาดกว้างสองนิ้วมือจะมีอานุภาพทำลายล้างที่รุนแรงถึงเพียงนี้ เกราะหนาๆ แตกกระจุยเหมือนผ้าขาดๆ กระสุนพุ่งทะลุเข้าไปในร่างกายของมันก่อนจะระเบิดหน้าอกมันจนกลายเป็นรูขนาดใหญ่ เลือดเนื้อและเครื่องในไหลทะลักออกมา
น่าจะเป็นเพราะรูที่หน้าอกนั้นมีขนาดใหญ่มากเกินไป หลังผู้พิฆาตเวทมนตร์ตีลังกาไปสองรอบ ร่างกายมันก็ขาดออกเป็นสองส่วน ก่อนจะร่วงไปบนพื้น
ในเวลานี้แอนเดรียถึงได้สติกลับมาจากอาการตกตะลึงเมื่อครู่ เธอกลืนน้ำลาย “เป้าหมาย…ตายแล้ว”
“พวกเราทำสำเร็จแล้วเหรอ?” แม็กกี้ถามอย่างดีใจ
“ใช่” ซิลเวียถอนหายใจออกมา “ถูกยิงขาดออกเป็นสองท่อน ต่อให้เป็นนาน่าก็ไม่มีทางช่วยมันได้”
“ทำดีมาก” แอชเชสตบไหล่แอนเดรีย จากนั้นก็หยิบเอารูนสดับออกมา “ไลต์นิ่ง เรียกซีกัลให้มาเจอกันได้แล้ว ภารกิจสำเร็จเรียบร้อย พวกเรากลับได้แล้ว”
“เข้าใจแล้ว” อีกด้านมีเสียงไลต์นิ่งดังตอบกลับมา
ปืนไรเฟิลถูกถอดออกมาเป็นชิ้นๆ อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ก็แค่รอให้อีกทีมกลับมาจากทางตะวันตก พวกเธอก็สามารถออกเดินทางได้แล้ว เมื่อคิดถึงว่าอีกเดี๋ยวจะได้ถอนกำลังกลับค่ายแล้ว สีหน้าทุกคนพลันดูผ่อนคลายขึ้นมาทันที
ยกเว้นแอนเดรียคนเดียวเท่านั้น
ทุกขั้นตอนเหมือนจะดำเนินไปอย่างที่ได้วางแผนเอาไว้ ยกเว้นก็แต่ที่ผู้พิฆาตเวทมนตร์มาหน้ามามองในตอนสุดท้าย
จนถึงตอนนี้เธอก็ยังรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นจนแผ่นหลังอยู่
หรือมันจะรู้ว่าเธอกำลังจ้องมองมันอยู่?
แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง? เธออยู่ห่างจากมันตั้ง 8 – 9 กิโลเมตร แถมยังมีป่าคั่นกลางอยู่อีก การที่มันจะหาพวกเธอให้เธอในสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้ต่างอะไรจากการงมเข็มในมหาสมุทรเลย ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีว่า ‘กำลังมองหา’ พวกเธอ หากแต่จู่ๆ ก็หันมาสบตากับพวกเธอ เหมือนว่ามันรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเธออยู่ตรงนี้
นอกจากนี้ซิลเวียก็น่าจะมองเห็นภาพเหตุการณ์นี้เหมือนแต่ แต่ทำไมเธอกลับดูเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรเลย? หรือเธอจะคิดว่านั่นเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ และไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไร
น่าจะเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง เพราะว่าตอนนี้ผู้พิฆาตเวทมนตร์ได้ตายไปแล้ว…ปีศาจที่ตายไปแล้ว ต่อให้ตอนนั้นมันทำอะไรไว้ มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปคิดถึงมันอีก
แอนเดรียนวดขมับตัวเอง แต่จู่ๆ นิ้วมือของเธอก็หยุดลง
เธอจำได้ว่าบนใบหน้าแอชเชสเคยได้รับบาดเจ็บจากตอนที่สู้กับผู้พิฆาตเวทมนตร์เพื่อปกป้องลีฟ
“เออใช่ พวกบาดแผลภายนอกอย่างนี้ เจ้าต้องใช้เวลานานเท่าไรถึงจะรักษาตัวเองให้หายเป็นปกติได้?” แอนเดรียมองไปทางแอชเชส
แอชเชสยักไหล่ “ประมาณ 1 – 2 ชั่วโมงมั้ง เจ้าถามทำไม?”
“พูดอีกอย่างก็คือถ้าแค่ 10 นาที เจ้าก็จะรู้สึกได้ใช่ไหมว่าบาดแผลมันดีขึ้น?” เธอจ้องมองดูใบหน้าของอีกฝ่ายก่อนจะถามต่อว่า “อย่างนั้นตอนนี้เจ้ารู้สึกว่ามันดีขึ้นบ้างไหม?”
อีกฝ่ายงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะเอามือไปลูบแก้มของตัวเองดู “แปลก…มันยังรู้สึกเจ็บๆ อยู่”
ซิลเวียเหมือนจะรู้ตัวเป็นคนแรก สีหน้าเธอเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะพยายามฝืนใช้พลังดวงตาเวทมนตร์ออกมาอีกครั้งทั้งๆ ที่ร่างกายก็เหนื่อยล้าจากการที่ใช้พลังเวทมนตร์ไปเป็นจำนวนมาก จากนั้นเธอก็มองไปทางด้านหลังทุกคนด้วยสีหน้าหวาดกลัว “ระ…ระวัง!”
แอชเชสรีบชักดาบแล้วหมุนตัวกลับไปด้วยความเร็วปานสายฟ้า ก่อนจะกระโดดขึ้นไปอย่างสุดแรงพร้อมกับดาบยักษ์ที่อยู่ในมือ!
ทุกคนได้ยินเสียง ‘ชิ้ง’ เบาๆ จากนั้นเงาดำสายหนึ่งก็เฉียดผ่านคมดาบไป ก่อนจะแทงทะลุร่างกายของแม็กกี้ แรงกระแทกนี้รุนแรงจนตัวแม็กกี้กระเด็นลอยออกไป
ยังไม่ทันที่แม่มดคนอื่นๆ จะได้วิ่งเข้าไปดูว่าแม็กกี้เป็นอย่างไรบ้าง ปีศาจร่างคนที่ทั้งตัวเป็นสีน้ำเงินคล้ำและมีรูปร่างสูงใหญ่ตัวหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าทุกคน
“เจอ…พวกเจ้าแล้ว”
ความรู้สึกหนาวเย็นที่เสียดแทงเข้าไปในกระดูกห่อหุ้มร่างกายแอนเดรียเอาไว้อีกครั้ง
เธอมองดูด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ ปีศาจที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ดูเยือกเย็นเหมือนกับน้ำในทะเลสาบ ตั้งแต่ตอนที่มันลงมือจนถึงตอนที่มันปรากฏตัว เธอสัมผัสถึงการกระเพื่อมของพลังเวทมนตร์ไม่ได้เลย
หัวใจเธอตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
……………………………………………………………….
ตอนที่ 1160 กับดัก
โดย
Ink Stone_Fantasy
“แม็กกี้!” แอชเชสตะโกนเสียงดัง ขณะเดียวกันก็กันทุกคนเอาไว้ด้านหลังตัวเอง
เสียงที่ตอบเธอกลับมาคือเสียงไอด้วยความเจ็บปวด
ถึงแม้จะฟังดูแล้วเหมือนสถานการณ์ของอีกฝ่ายจะย่ำแย่อย่างมาก แต่อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ยังมีชีวิตอยู่
“การตอบสนองของเจ้าเร็วมาก อมนุษย์” ปีศาจทำสีหน้าเสียดายที่มีแต่มนุษย์ที่จะทำได้ออกมา “ถ้าไม่เป็นเพราะเจ้าเข้ามาขวาง นางก็คงจะตายอย่างไม่เจ็บปวดไปแล้ว แต่เจ้าทำแบบนี้ มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากทำให้นางทุกข์ทรมานมากขึ้นเปล่าๆ”
บางทีการที่มันเลือกแม็กกี้เป็นเป้าหมายแรกอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เมื่อมองดูสายตาของอีกฝ่าย แอนเดรียก็รู้ได้ทันทีว่านี่อาจะเป็นการลงมือที่ผ่านการวางแผนมาเป็นอย่างดีแล้ว ถ้าพูดถึงเรื่องการต่อสู้ ประโยชน์ของแม็กกี้เรียกได้ว่ามีอยู่น้อยนิด แต่ในฐานะที่เป็นแม่มดเพียงคนเดียวที่พาทุกคนหนีออกไปได้ ทันทีที่กำจัดเธอทิ้งได้ ทางหนีของแม่มดคนอื่นๆ ก็เท่ากับถูกตัดทิ้งไปด้วย
เธอกัดริมฝีปากพร้อมกับแอบเหลือบมองไปด้านหลัง เธอเห็นกระดูกท่อนหนึ่งแทงลงไปบนไหล่ของแม็กกี้ เลือดสดๆ ไหลออกมาท่วมเสื้อผ้าของเธอจนแดงไปหมด กระดูกนั่นน่าจะแทงลึกไปถึงปอด ลมหายใจของแม็กกี้จึงดูแผ่วเบาอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากมีเลือดไหลออกมาอยู่ตลอดเวลา ถ้าแอชเชสไม่กระโดดขึ้นไปขวางเอาไว้ เกรงว่ากระดูกนั่นคงจะแทงไปถึงหัวใจของเธอแล้ว
แต่ตอนนี้ถึงแม้เธอจะยังไม่ตาย แต่เธอก็ไม่มีทางที่จะใช้พลังเรียกเรืออาร์คเวทมนตร์พาทุกคนหนีออกไปได้
แต่อีกฝ่ายรู้เรื่องพลังของแม็กกี้ได้ยังไง?
“เจ้าคือ ‘ดวงตา’ ของมนุษย์ใช่ไหม? ถ้าไม่เป็นเพราะเจ้า พวกข้าก็คงไม่ถูกฝนเพลิงเล่นงานจนเป็นแบบนี้” คำพูดต่อมาของผู้พิฆาตเวทมนตร์ได้ทำให้ความหวังสุดท้ายของเธอแตกสลายไปจนหมด อีกฝ่ายชี้ไปยังซิลเวีย ก่อนจะหันมาชี้ที่แอนเดรีย “ส่วนเจ้าน่าจะเป็นมือยิงคนนั้น ช่างเป็นพลังที่น่าหวาดกลัวจริงๆ ถ้าเป็นเมื่อ 400 ปีก่อนบางทีอาจจะไม่ได้น่ากลัวอะไร แต่ตอนนี้ไม่แน่อาจจะเป็นพลังที่รับมือได้ยากกว่าสุดยอดอมนุษย์เสียอีก โชคดีที่สุดท้ายแล้วพวกเจ้าก็มารวมกันอยู่ที่นี่”
พอพูดจบมันก็ยกมือขวาขึ้นมาทาบไว้ที่หน้าอก “ขออนุญาตให้ข้าได้แนะนำตัวเองก่อน ข้าคืออุรูค เป็นผู้บัญชาการในการทำศึกครั้งนี้ แล้วก็เป็นผู้ฝังศพของพวกเจ้าด้วย”
นี่คือแผนที่วางเอาไว้ล่วงหน้าเอาไว้นานแล้วอย่างแน่นอน
สีหน้าแอนเดรียยิ่งดูแย่ขึ้นมาทันที
มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไรกัน ที่พวกเธอคิดว่าคลื่นพลังเวทมนตร์ที่ไหลทะลักออกมานั้นคือผู้พิฆาตเวทมนตร์?
ใช่แล้ว…นับตั้งแต่ที่อีกฝ่ายมาเผาพื้นที่ด้านเหนือของป่าเร้นลับ หลังจากนั้นก็ลอบโจมตีลีฟ คลื่นพลังเวทมนตร์อันรุนแรงของมันก็ถูกทุกคนจดจำเอาไว้ในใจ
ความจริงแล้วสามารถย้อนกลับไปในนานกว่านั้นอีกหน่อย
ในตอนที่ไลต์นิ่งเจอกับผู้พิฆาตเวทมนตร์เป็นครั้งแรก เธอบอกว่าพลังเวทมนตร์ของมันรุนแรงจนเหมือนจะจับต้องได้ ในเมื่อพลังเวทมนตร์ของมันแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ อย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มันจะถูกดวงตาแห่งเวทมนตร์ของซิลเวียมองเห็นถึงแม้จะอยู่นอกระยะก็ตาม
และในการต่อสู้อันยาวนานหลังจากนั้น การกระทำของอีกฝ่ายก็ยิ่งตอกย้ำให้พวกเธอเชื่อเช่นนั้น มันเปิดเผยร่องรอยของตัวเองให้ซิลเวียได้เห็น แล้วก็ทำให้ทุกคนเชื่อว่านั่นคือตัวมัน
แต่ทั้งหมดนี่กลับเป็นสิ่งที่ผู้พิฆาตเวทมนตร์วางแผนสร้างมันขึ้นมา
มันเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อให้ทุกคนตกหลุมพราง
หรือว่ามันวางแผนเพื่อวันนี้เอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว?
แต่แบบนี้มันดูไม่สมเหตุสมผลเลย! ต่อให้ศัตรูรู้ถึงการมีอยู่ของซิลเวียและตัวเธอจากศึกที่นอร์ธบาวด์ แล้วก็ตัดสินใจที่จะกำจัดพวกเธอหลังจากนั้น แต่เพื่อวางกับดักอันนี้แล้ว เจ้าปีศาจระดับสูงที่ชื่ออุรูคนี้ถึงกับยอมทิ้งเมืองทาคิลา แล้วก็ส่งปีศาจนับพันๆ ตัวไปตายบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์เนี่ยนะ! ถ้าจะบอกว่ามันโหดเหี้ยมไม่สนใจชีวิตลูกน้องตัวเอง อย่างนั้นซากเมืองศักดิ์สิทธิ์ล่ะ? ถ้าไม่มีสายแร่หินอาญาสิทธิ์ พวกมันก็จะไม่สามารถตั้งเสาโอเบลิสได้ แล้วก็หมายความว่าในช่วงเวลา 400 ปีหลังจากนี้ปีศาจจะสูญเสียโอกาสในการยึดครองที่ราบลุ่มบริบูรณ์นี้ไป ถ้ามันยอมทิ้งโอกาสนี้เพียงเพื่อต้องการจะวางแผนฆ่าพวกเธอ แบบนั้นมันจะไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ!
พวกเธอคุ้มค่าที่จะให้ศัตรูทำเช่นนี้จริงๆ เหรอ?
แอนเดรียรู้สึกภายในหัวตัวเองเต็มไปด้วยความวุ่นวาย กลายเป็นซิลเวียที่ถามคำถามสำคัญออกมา
“…ทำไม? ทาคิลาน่าจะสำคัญกว่าพวกเราไม่ใช่เหรอ!”
ผู้พิฆาตเวทมนตร์ไม่ได้รีบลงมืออย่างที่คิดเอาไว้ หากแต่ส่ายหัวอย่างช้าๆ แล้วพูดว่า “ข้าบอกเจ้าไม่ได้”
“ก่อนตายอยากจะรู้คำตอบก็ไม่ได้เหรอ?”
“แต่พวกเจ้ายังไม่ตายนี่นา” น้ำเสียงของอุรูคแฝงเอาไว้ด้วยความเย้ยหยัน “ต่อให้ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ พวกเจ้าก็ยังไม่ยอมแพ้ไม่ใช่เหรอ?”
มันกำลังรออะไรอยู่
รอให้หินเวทมนตร์สำหรับขว้างฟื้นตัวเหรอ…
แต่แขนของมันก็ไม่ได้ลีบนี่นา
แต่ไม่ว่ายังไง นี่ก็คือโอกาส
แอนเดรียกลืนน้ำลาย เมื่อดูจากการปะทะครั้งที่แล้ว แอชเชสอย่างมากก็ทำได้เพียงแค่ยื้อเวลาเอาไว้เท่านั้น ส่วนพลังเวทมนตร์ของเธอก็เหลืออยู่ไม่เท่าไร ถึงพวกเธอร่วมมือกันก็ไม่สามารถทำให้โอกาสชนะเพิ่มขึ้นไปมากกว่า 50% ได้ ส่วนซิลเวีย คามิล่าและแม็กกี้นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย พวกนางมีแต่จะทำให้โอกาสในการชนะลดลงมากกว่าเดิม
คนเดียวที่จะกู้สถานการณ์ในตอนนี้ได้คือไลต์นิ่ง
ตอนนี้ไลต์นิ่งยังไม่ได้เปิดเผยตัวออกมา นั่นก็หมายความว่าเธอสังเกตเห็นถึงความผิดปกติแล้ว ถ้าเธอพาซีกัลมาช่วย พวกเธอก็อาจจะมีโอกาสพลิกสถานการณ์กลับมาชนะได้!
แทนที่จะฝืนลงมือสู้กับมัน สู้ถามคำถามเพื่อถ่วงเวลาดีกว่า!
เดิมในหัวของเธอก็มีคำถามหลายข้อที่อยากจะถามอยู่แล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ แอนเดรียก็มองไปทางผู้พิฆาตเวทมนตร์ ก่อนจะถามเสียงเบาๆ ว่า “ข้าไม่เข้าใจ…ต่อให้พวกเราถูกตัวปลอมดึงดูดเอาไว้ แต่พวกเราก็ไม่มีทางมองข้ามศัตรูที่อยู่แถวๆ นี้ แล้วก่อนที่จะยิงปืน พวกเราก็ตรวจสอบดูรอบๆ จนแน่ใจแล้ว ที่นี่อยู่ห่างจากทาคิลา 8 – 9 กิโลเมตร ไม่มีทางที่เจ้าจะมาถึงที่นี่ได้ในเวลาสั้นๆ เจ้าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันแน่?”
“ในช่วงเวลาครึ่งนี้ปี พวกข้าขุดอุโมงค์ใต้ดินเอาไว้เยอะแยะมากมาย แต่ว่าข้าไม่ได้ขุดเอาไว้ด้านหน้า หากแต่ขุดเอาไว้ด้านหลังทาคิลา” อุรูคตอบอย่างช้าๆ “ทางเข้าอุโมงค์ตั้งอยู่ในเขตเหมืองหินอาญาสิทธิ์ ซึ่งมันก็ยากต่อการที่จะถูกพบอยู่แล้ว อีกทั้งอุโมงค์พวกนี้มันก็ถูกขุดเอาไว้ลึกมาก การที่พวกเจ้าจะมองข้ามมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” มันเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า “มนุษย์คอยจับตาดูพื้นที่ตรงนี้เอาไว้ตลอดเวลาใช่ไหมล่ะ? ทุกๆ การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นบนพื้นดินล้วนแต่ถูกพวกเจ้าจับตาดูเอาไว้จนหมด และความปลอดภัยอันนี้ก็ทำให้พวกเจ้าเข้ามาตกหลุมพรางโดยไม่รู้ตัว”
แถวนี้มีอุโมงค์เหรอ? แอนเดรียสังหรณ์ใจไม่ดี “ต่อให้เจ้าหลบอยู่ใต้ดิน นั่นมันก็แค่แอบซ่อนตัวเองเท่านั้น แต่การที่จะหาพวกข้าในพื้นที่ที่กว้างขนาดนี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อีกทั้งหลายวันมานี้พวกข้าก็เปลี่ยนตำแหน่งอยู่หลายครั้ง แล้วเจ้ามองเห็นพวกข้าได้ยังไง?”
“ไม่ใช่ข้ามองเห็นพวกเจ้า แต่เป็นพวกเจ้าที่มองเห็นข้า”
‘ตอนที่เจ้ามองเห็นมัน มันก็จะมองเห็นเจ้า’ นี่คือความสามารถของปีศาจดวงตา หรือว่าปีศาจที่ตัวเองฆ่าไปจะเป็นแค่ปีศาจดวงตา? แต่ร่างกายของมันน่าจะใหญ่กว่าผู้พิฆาตเวทมนตร์สิ หรือว่าอุรูคจะใช้วิธีการบางอย่างทำให้ปีศาจที่บินได้ตัวนั้นมีความสามารถบางส่วนของปีศาจดวงตา?
แต่ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกแล้ว ตอนนี้เธอเข้าใจหมดแล้วว่าความรู้สึกไม่ปลอดภัยก่อนหน้านี้มันมาจากไหน
ในเมื่อมีอุโมงค์ลับอยู่ใต้ดิน แล้วจะมีผู้พิฆาตเวทมนตร์แอบอยู่แค่ตัวเดียวได้ยังไง?
ที่ศัตรูยังไม่ลงมือ นั่นเป็นเพราะว่ามันกำลังรอกองหนุนอยู่ มันคิดจะฆ่าพวกเธอทั้งหมดโดยไม่ปล่อยให้หนีรอดไปได้
ในเวลานั้นเอง กระสุนระเบิด RPG จำนวนหลายนัดพุ่งออกมาจากในป่าตรงไปหาอุรูค!
อีกฝ่ายบินหลบการลอบโจมตีครั้งนี้ได้อย่างง่ายดาย กระสุนระเบิดพุ่งทะลุเข้าไปในป่า ก่อนจะมีเสียงระเบิดตามขึ้นมาดังสนั่น
ยังไม่ทันที่คลื่นอากาศที่ร้อนผ่าวจะหายไป เสียงปืนจำนวนหลายนัดก็ดังตามขึ้นมา กระสุนปืนถูกสาดไปหาผู้พิฆาตเวทมนตร์
อุรูคถูกบีบให้ต้องบินสูงขึ้นไปจากเดิม ขณะเดียวกันบนร่างกายมันก็มีแสงสีน้ำเงินสว่างวาบขึ้นมา
“แม่มดอาญาสิทธิ์มาแล้ว!” ซิลเวียพูดอย่างดีใจ
“พวกเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม!” โซอี้พุ่งออกมาจากต้นไม้เป็นคนแรก ก่อนจะยืนคั่นกลางระหว่างศัตรูกับหน่วยจู่โจมพิเศษ จากนั้นแม่มดอาญาสิทธิ์อีก 7 คนก็ตามมา แล้วก็ยืนล้อมทุกคนเอาไว้
“รีบไปเร็ว พวกเราต้องหนีไปจากที่นี่…” แต่ภายในใจแอนเดรียตอนนี้รู้สึกตกใจถึงขีดสุด เธอรีบตะโกนบอกคนอื่นๆ โดยไม่ได้อธิบายอะไร
ทันใดนั้นเอง อุรูคก็ยกกำปั้นขึ้นมา
อีกด้านหนึ่งที่ไกลออกไปมีเสียง “ฟุบ” “ฟุบ” ดังทึบๆ ขึ้นมาสองครั้ง
ซิลเวียหน้าเปลี่ยนสีทันที ไม่มีใครรู้จักเสียงนี้ดีเท่าเธออีกแล้ว “ระวัง ปีศาจแมงมุม!”
เสาหินสีดำสองแท่งบินมาอยู่บนหัวของทุกคน จากนั้นก็มีเสียงระเบิดทึบๆ ดังขึ้นมา เข็มเล่มยาวจำนวนมากพุ่งโจมตีลงมาข้างล่าง
แอนเดรียรวบรวมพลังเวทมนตร์เฮือกสุดท้าย ก่อนจะรีบผลักอากาศที่อยู่ข้างหน้าขึ้นไปด้านบนด้วยความเร็วสูงสุด
แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลำแสงสีดำวาดผ่านมา ก่อนจะทำลายพลังเวทมนตร์ของเธอจนแตกละเอียด
ผู้พิฆาตเวทมนตร์ใช้สนามพลังปิดกั้นพลังเวทมนตร์!
เอเลน่าที่อยู่ใกล้เธอที่สุดกระโดดกอดเธอ ก่อนจะพุ่งเข้าหาต้นไม้ใหญ่ที่อยู่อีกด้าน
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาแค่ชั่วพริบตา
แอนเดรียรู้สึกเหมือนตัวเองบินขึ้นมา โลกทั้งใบหมุนเคว้ง กระทั่งในตอนที่เธอตกลงบนพื้นดินอีกครั้ง เธอถึงได้พบว่าขาทั้งสองข้างของเธอสูญเสียแล้วรู้สึกไปเสียแล้ว
……………………………………………………………………..
ตอนที่ 1161 ความหวังอันริบหรี่
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อย่าขยับ” เสียงของเอเลน่าที่อยู่ข้างๆ ดังขึ้นมา
จากนั้นก็มีเสียงฉึบๆ ดังขึ้นมา เข็มหินแท่งหนึ่งถูกหักออก ความรู้สึกชาหายไป สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความรู้สึกเจ็บปวดที่เสียดแทงเข้าไปถึงกระดูก
แอนเดรียกัดฟันแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองร้องออกมา เธอโงหัวขึ้นมามองดูตำแหน่งที่ทุกคนยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ก่อนจะพบว่าที่ตรงนั้นถูกเข็มยาวของปีศาจแมงมุมแทงจนเต็มไปหมด ถ้าไม่เป็นเพราะแม่มดอาญาสิทธิ์มาช่วยเธอไว้ เกรงว่าเธอคงจะถูกเข็มแทงตายอยู่ตรงนั้นไปแล้ว
แต่ถึงแม้จะมีร่างกายที่เทียบเท่าได้กับอมนุษย์ แต่การจะหลบการโจมตีที่กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างขนาดนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก ในตอนที่เธอถูกเอเลน่ากระโดดมาช่วยเอาไว้ เข็มหินเล่มหนึ่งได้แทงทะลุเข้ามาจากด้านข้างของต้นขาข้างหนึ่ง ก่อนจะทะลุไปยังหัวเข่าอีกข้างหนึ่งของเธอ หลังจากที่หักเอาเข็มหินออก ตรงรอยแผลมีสภาพเหวอะหวะ ผิวหนังและเนื้อเปิดลอกจนมองเห็นกระดูก เลือดสดๆ ไหลทะลักจนชุ่มกางเกง
เอเลน่าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเธอเท่าไร ตรงท้องของเธอก็ถูกเข็มหินแทงทะลุเหมือนกัน เธอต้องหักเข็มทิ้งครึ่งหนึ่งและใช้เข็มอีกครึ่งหนึ่งอุดรูแผลเอาไว้เพื่อจะทำให้เครื่องในไม่ไหลออกมา โชคดีที่ร่างกายของทหารอาญาสิทธิ์ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด นี่จึงทำให้เธอยังสามารถรวบรวมสมาธิเอาไว้ในระดับสูงสุดได้
ในช่วงเวลาแค่ไม่กี่วินาที แอนเดรียรู้สึกได้ว่าบนหน้าผากของตัวเองนั้นโชกไปด้วยเหงื่อ เธอล้วงเอายาแก้ปวดที่ลีฟทำให้ออกมากินอย่างยากลำบาก รสชาติที่ทั้งขมทั้งฝาดของมันช่วยดึงสติของเธอกลับมา
อีกด้านหนึ่ง แอชเชสกำลังสู้อยู่กับผู้พิฆาตเวทมนตร์
คนอื่นๆ นั้นหลบลูกหลงจากการต่อสู้โดยมีแม่มดอาญาสิทธิ์คอยคุ้มครองอยู่ แต่ทุกคนต่างก็มีสภาพย่ำแย่เหมือนกัน บนตัวมีบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ เต็มไปหมด ถ้าปีศาจแมงมุมยิงมาอีกครั้งหนึ่ง เกรงว่าสถานการณ์คงจะเลวร้ายมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน
ภายในป่ามีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าหลุมพรางที่อุรูคเตรียมการเอาไว้นั้นไม่มีทางที่จะมีปีศาจแมงมุมแค่สองตัวอย่างแน่นอน
ส่วนแม่มดอาญาสิทธิ์ก็ต้องคอยคุ้มครองคนบาดเจ็บ ทำให้ไม่สามารถออกไปสู้ได้อย่างเต็มที่
สำหรับพวกเธอแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ย่ำแย่อย่างมาก
แอนเดรียคว้าแขนเอเลน่าเอาไว้ ก่อนจะตะโกนเสียงแหบแห้งออกมา “ให้ทุกคนมารวมกันแล้วหนีไปทางตะวันตก ถ้าช้าจะไม่ทันการ!”
“ไปทางตะวันตก?” เอเลน่างุนงง “แต่จุดรับตัวของกองทัพที่หนึ่งอยู่ทางใต้นี่….”
“ตรงนั้นไปไม่ได้แล้ว ถ้าเรากลับไปทางเดิมก็มีแต่จะถูกพวกปีศาจมันเข้ามาล้อมเอาไว้ ป่าเร้นลับทางตะวันตกเป็นทางหนีเดียวของเรา” ในอุโมงค์ใต้ดินนอกจากจะมีปีศาจซุ่มโจมตี เกรงว่าคงจะมีการเตรียมถังหมอกแดงเอาไว้เป็นจำนวนมากด้วย ถ้าถูกปีศาจที่ไม่ต้องมาคอยกังวลเรื่องหมอกแดงรุมล้อม จุดจบพวกเธอจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ ถึงแม้การหนีไปทางตะวันตกจะยิ่งทำให้อยู่ห่างจากจุดรับตัวออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ แต่มันก็ทำให้พวกเธอหนีห่างจากพวกศัตรูได้เหมือนกัน แต่สิ่งสำคัญคือพวกเธอต้องอยู่รอดจนถึงตอนนั้นก่อน
ตอนนี้เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว ที่ผู้พิฆาตเวทมนตร์ไม่ยอมลงมือตั้งแต่แรกนั้นไม่ใช่ว่ามันกำลังรอให้กองหนุนแม่มดอาญาสิทธิ์มาช่วยพวกเธอเพียงอย่างเดียว หากแต่ปีศาจที่มันวางกำลังเอาไว้ก็ต้องใช้เวลาในการมารวมตัวเหมือนกัน อุโมงค์ที่พวกมันขุดเอาไว้น่าจะมีกระจัดกระจายไปทั่วทั้งพื้นที่ เพราะมีแต่วิธีนี้เท่านั้นพวกมันถึงจะเข้ามาใกล้พวกเธอได้ไม่ว่าพวกเธอจะซุ่มโจมตีอยู่ที่ไหน
และสัญญาณที่บอกให้ปีศาจลงมือก็น่าจะเป็นตอนที่ ‘ตัวปลอม’ บินออกมาจากทาคิลา
“ข้าเข้าใจแล้ว” เอเลน่าพยักหน้า พร้อมกับส่งสัญญาณเรียกเพื่อนๆ มารวมตัวกัน
ภายใต้การยิงคุ้มกันของปืนลูกซอง อุรูคจึงได้แต่ต้องเดินอยู่ด้านนอกและใช้พลังเวทมนตร์สร้างลมที่รุนแรงขึ้นมาทอนกำลังของพวกเธอ ถึงแม้บนร่างกายมันจะมีแสงสีน้ำเงินที่เกิดขึ้นจากการที่กระสุนไปกระแทกถูกบาเรียปรากฏขึ้นมาหลายครั้ง แต่มันก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่ากระสุนที่สาดกระจายออกไปของปืนลูกซองยากที่จะทำให้มันได้รับบาดเจ็บได้
ทุกคนมารวมตัวกัน ปีศาจคุ้มคลั่งเองก็ปรากฏตัวขึ้นในป่า
“ระวังหอก!” แอชเชสตะโกน ก่อนจะยกดาบยักษ์เข้าไปฟันหอกกระดูกที่ถูกปาเข้ามาจนหักไปท่อนๆ
แม่มดอาญาสิทธิ์ยกปืนยิงระเบิดยิงกลับไป ภายในพื้นที่ตกอยู่ในความวุ่นวายทันที
แต่แอนเดรียกลับรู้ว่าพวกเธอยังมีปัญหาที่อันตรายมากกว่านี้ที่ต้องแก้ไข
เธอหยิบเอารูนสดับมาจากแอชเชส ก่อนจะตะโกนบอกไลต์นิ่ง “ไปหาปีศาจแมงมุมสองตัวนั้น จากนั้นกำจัดพวกมันทิ้งซะ!”
“แต่ว่า…”
“มีแต่เจ้ากับเมซี่เท่านั้นที่ทำได้ รีบไปเร็ว แบบนั้นต่างหากถึงจะเป็นการช่วยเหลือพวกข้าได้มากที่สุด!”
การยิงแต่ละครั้งของปีศาจแมงมุมจะทิ้งช่วงห่างกันประมาณ 7 – 8 นาที ตอนนี้ผ่านไป 3 นาทีแล้ว ถ้าไม่สามารถกำจัดมันได้ก่อนการยิงครั้งต่อไป โอกาสที่พวกเธอจะลากร่างกายที่บาดเจ็บหลบฝนเข็มหินเหล่านั้นได้คงจะมีน้อยอย่างมาก
“แล้วก็ไปบอกให้ทิลลีหนีออกไปจากที่นี่!” แอชเชสตะโกนเสียงดังโดยไม่หันหน้ากลับมา
“ข้า…” ไลต์นิ่งลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกัดฟันตอบว่า “ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าอดทนไว้ก่อนนะ!
“แน่นอน” แอนเดรียฝืนยิ้มออกมา “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาจะมานั่งยอมแพ้…” เธอตะโกนบอกแม่มดอาญาสิทธิ์ “เอาปืนมาให้ข้ากระบอกนึง!”
“เจ้าไหวเหรอ?” เอเลเน่าที่แบกเธอเอาไว้ข้างหลังขมวดคิ้วขึ้นมา “ถ้าไม่จับข้าเอาไว้แน่นๆ เจ้าจะกระเด็นตกลงไปนะ”
“วางใจได้ แค่มือเดียวก็พอแล้ว”
เธอรับเอาปืนยาวลูกเลื่อนมาจากแม่มดอาญาสิทธิ์ ก่อนจะใช้ฟันกัดคันชักลูกเลื่อนแล้วดึงมันไปข้างหลัง กระสุนถูกบรรจุเข้าไปในรังเพลิง จากนั้นเธอก็จับปืนพาดขึ้นไปบนไหล่ของเอเลน่าด้วยมือข้างเดียว ถึงเธอจะสูญเสียขาทั้งสองข้างไป ถึงพลังเวทมนตร์จะถูกใช้ไปจนหมด ถึงความเจ็บปวดจากบาดแผลและความมึนงงจากการใช้พลังเวทมนตร์มากเกินไปจะกำลังทรมานเธออยู่ แต่เธอยังคงเป็นมัจจุราชผู้ปลิดชีพศัตรูด้วยกระสุนนัดเดียว
คนป่าเถื่อนอย่างแอชเชสกำลังสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย
แล้วเธอจะมายอมแพ้ได้ยังไงล่ะ?
……
“ไลต์นิ่ง…พวกเราทำไงดีจิ๊บ?” เมซี่ถามขึ้นมาด้วยสีหน้าร้อนใจ
“อย่าเพิ่งลน ใจเย็นก่อน” ไลต์นิ่งมองไปทางปีศาจคุ้มคลั่งหลายสิบตัวที่กำลังวิ่งอยู่ในป่าและควันไฟจากการระเบิดที่ลอยขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะพยายามบอกให้ตัวเองใจเย็น เธอรู้ว่าแอนเดรียพูดถูก ความได้เปรียบเพียงหนึ่งเดียวของเธอนั้นอยู่ที่ความเร็ว ถ้าเกิดถูกผู้พิฆาตเวทมนตร์ทำลายความสามารถ หากอยากจะบินขึ้นมาใหม่ก็คงจะยากแล้ว
ยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็ยิ่งต้องใจเย็น! การวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อเลือกใช้วิธีในการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องที่สุดต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่นักสำรวจควรทำ! เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่พวกเธอไม่สามารถหนีออกมาได้ การกำจัดปีศาจแมงมุมทิ้งคือสิ่งที่มีประโยชน์มากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย และถ้าอยากจะกำจัดเจ้าสัตว์ประหลาดที่มีหินห่อหุ้มเอาไว้ทั้งตัว ก็จำเป็นต้องใช้ปืนยิงระเบิดที่ฝ่าบาททรงสร้างขึ้นมาใหม่ถึงจะทำได้
“เจ้าไปหาตำแหน่งของปีศาจแมงมุม ข้าจะไปหาซีกัลก่อน องค์หญิงทิลลีมีอาวุธที่ข้าต้องใช้อยู่!” ไลต์นิ่งรีบจัดแจงความคิดออกมาอย่างรวดเร็ว
“เข้าใจแล้วจิ๊บ!” เมซี่แปลงร่างเป็นเหยี่ยวเมอร์ลิน ก่อนจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
เธอเร่งความเร็วขึ้นไปจนถึงขีดสุด แค่พริบตาเธอก็มาถึงเครื่องบินที่บินวนอยู่รอบนอกจุดซุ่มโจมตี
“พวกนางล่ะ? ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?” พอเปิดประตูห้องโดยสาร เวนดี้ก็ถามขึ้นมาอย่างกังวล
“ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว ข้าต้องการอาวุธสำรอง!”
ไลต์นิ่งวิ่งเข้าไปในห้องโดยสาร ก่อนจะหยิบเอาเครื่องยิงและกระสุนระเบิดแบกเอาไว้ข้างหลัง ในเวลานั้นเอง ทิลลีถามขึ้นมาว่า “สถานการณ์ไม่ค่อยดีใช่ไหม?”
สาวน้อยลังเลเล็กน้อย สุดท้ายจึงพยักหน้าออกมา “อื้อ แอชเชสบอกให้พระองค์หนีไปจากที่นี่เพคะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ไลต์นิ่งกับเวนดี้ต่างตกตะลึง
“เพราะขืนข้าอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะเป็นภาระให้นางเปล่า…” น้ำเสียงของทิลลีฟังดูสั่นเครือเล็กน้อย เหมือนเธอพยายามข่มอะไรบางอย่างเอาไว้อยู่ “สัมปชัญญะบอกข้าว่าการหนีกลับไปที่ค่ายต่างหากถึงจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด”
“องค์หญิง…”
“แต่เจ้าอย่าลืมไปบอกนางนะว่าข้าจะกลับมาอย่างแน่นอน! อีกไม่นานซีกัลจะพากองหนุนมาช่วย บอกให้พวกนางอดทนจนกว่าข้าจะกลับมา!”
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง บนฟ้าก็มีเสียงร้องเรียกของเหยี่ยวเมอร์ลินดังขึ้นมา
“หม่อมฉันจะบอกแอชเชสให้เพคะ” ไลต์นิ่งมองดูทิลลี ก่อนจะกระโดดออกไปจากเครื่องบิน
น้ำหนักที่แบกอยู่บนหลังทำให้เธอไม่สามารถบินด้วยความสูงเหมือนอย่างปกติได้ ในตอนที่เธอตกลงไปจนถึงระดับความสูงประมาณ 10 กว่าเมตรจากพื้นดิน เธอถึงจะรักษาสมดุลของร่างกายได้ ถ้าในเวลานี้ผู้พิฆาตเวทมนตร์มาไล่จับเธออีกครั้ง เกรงว่าเธอคงหนีไม่รอดแน่
เชื่อใจเพื่อน เชื่อในความกล้าที่พวกนางมอบให้เธอ!
ไลต์นิ่งสูดหายใจ ก่อนบินไปยังตำแหน่งที่เมซี่บอก
หลังจากนั้น 30 วินาที ในที่สุดเธอก็มองเห็นเป้าหมาย มันคือปีศาจแมงมุมที่กำลังฟุบหมอบอยู่บนพื้น แล้วก็ค่อยๆ ขย้อนเอาผลึกหินสีดำออกมา ข้างกายมันมีหลุมขนาดใหญ่อยู่หลุมหนึ่ง เธอเหมือนจะมองเห็นรูสองสามรูอยู่ตรงก้มหลุม เหมือนว่ามันจะเชื่อมต่อเข้ากับที่อื่นเอาไว้
รอบๆ ปีศาจแมงมุมมีปีศาจคุ้มคลั่งคอยเฝ้าระวังอยู่สองตัว ไลต์นิ่งมองข้ามพวกมันไป ก่อนจะบิดเลียดยอดไม้ไปอยู่บนหัวเป้าหมาย เธอเล็งเป้าไปยังสัตว์ประหลาดที่กำลังเปิดเกราะของมันออกเพื่อยิงผลึกหินสีดำ ก่อนจะเหนี่ยวไกอย่างไม่ลังเล
สิ้นเสียง ‘ปัง’ เบาๆ กระสุนระเบิดก็พุ่งทะลุเข้าไปในร่างกายของปีศาจแมงมุม เปลวไฟที่หัวกระสุนพ่นออกมาสามารถระเบิดช่องท้องของมันได้ในพริบตา ร่างกายและเส้นเลือดของมันที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในหินสีดำถูกแรงระเบิดฉีกเป็นชิ้นๆ จนแหลกละเอียด!
ปีศาจแมงมุมล้มลงไปกับพื้นพร้อมส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด
……………………………………………………………………………………
ตอนที่ 1162 สิ้นหวัง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปีศาจคุ้มคลั่งที่คอยป้องกันอยู่ส่งเสียงคำรามออกมาอย่างโกรธแค้น มันคว้าหอกกระดูกขึ้นมา แขนของมันขยายตัวอย่างรวดเร็ว
หากเป็นไลต์นิ่งเมื่อก่อนนี้ เธอคงจะทิ้งของที่แบกอยู่ทิ้งทั้งหมด แล้วรีบบินหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่ในหัวของเธอเวลานี้กลับใจเย็นอย่างน่าประหลาด ปีศาจแมงมุมยังเหลืออีกตัวหนึ่ง ถ้าไม่มีอาวุธก็จะไม่สามารถหยุดอีกฝ่ายได้ ไม่ว่าจะทำยังไงก็ห้ามปล่อยมันไปเด็ดขาด! อย่างนั้นวิธีเดียวก็คือต้องหลบหอกพวกนั้นให้ได้
เธอจงใจบินไต่ขึ้นไปเป็นเส้นตรง จนกระทั่งบินผ่านยอดไม้และหายไปจากสายตาของศัตรูแล้ว เธอก็รีบเปลี่ยนทิศทางด้วยการเปลี่ยนไปบินในแนวราบแทนที่จะบินขึ้นด้านบน แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง หอกกระดูกสองเล่มก็พุ่งเข้ามา ก่อนจะเฉียดขาทั้งสองข้างของเธอไป
ไลต์นิ่งถอนหายใจออกมา ก่อนจะบินไปยังเป้าหมายต่อไปที่เมซี่บอกโดยไม่หันหน้ากลับมามองปีศาจคุ้มคลั่งสองตัวนั่น
แต่ในตอนที่เธอมองเห็นปีศาจแมงมุมตัวที่สอง หัวใจเธอก็ต้องหล่นวูบไปทันที
ผลึกหินที่อยู่บนหลังของอีกฝ่ายก่อตัวเป็นรูปร่างสมบูรณ์พร้อมกับถูกยกขึ้นสูง บนผลึกหินมีเส้นเลือดที่ส่องแสงสีน้ำเงินกระจายอยู่เต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่ามันพร้อมจะยิงแล้ว!
แต่เธอยังไม่ได้บรรจุกระสุนเข้าไปใหม่เลย
ไม่ทันแล้ว
“เมซี่! เข้าไปกวนมัน อย่าให้มันยิงเสาหินออกไป!”
“อ๊าซซซซ!”
เหนี่ยวเมอร์ลินที่บินวนอยู่ด้านบนพุ่งลงมาทันที ขณะเดียวกันร่างกายของเธอก็ขยายใหญ่ แค่พริบตาก็แปลงร่างกลายเป็นอสูรสยองที่รูปร่างใหญ่โตจนน่าตกใจ
ปีศาจคุ้มคลั่งที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านข้างปีศาจแมงมุมตกตะลึง เหมือนมันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ร่างกายอันใหญ่โตของเมซี่พุ่งชนด้านข้างของเป้าหมายอย่างแรง แรงปะทะของมันไม่ได้ด้อยไปกว่ากระสุนปืนใหญ่เลย! เศษหินเศษดินกระเด็นกระจุยกระจาย ปีศาจแมงมุมที่หมอบอยู่บนพื้นล้มตะแคงข้างจนเกือบหงายท้อง
ขณะเดียวกันนั้นเอง เสาหินที่อยู่บนหลังของมันก็ถูกยิงออกมาจนแทบจะเลียดไปกับพื้น ปีศาจคุ้มคลั่งที่ยังยืนไม่มั่นคงกลายเป็นเหยื่อสังเวยรายแรก เสาหินกวาดผ่านตำแหน่งที่พวกมันยืนอยู่จนแทบจะเหมือนหินโม่แป้ง ก่อนจะพุ่งเข้าไปในป่าเป็นระยะทางหลายสิบเมตรก่อนจะหยุดลง ตัวเสาหินไม่เพียงแต่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่มันยังกวาดต้นไม้ต่างๆ จนราบกลายเป็นรูปพัดด้วย
“สวยมาก!” ไลต์นิ่งลงมายืนบนพื้นพร้อมกับบรรจุกระสุนเข้าไปในปืน ปลดล็อกปืน เล็งเป้าไปยังปีศาจแมงมุม อีกฝ่ายตะกุยขาสั้นๆ ของมัน เหมือนว่ามันพยายามจะยืนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่เธอไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้ยืนขึ้นมาแน่นอน
กระสุนระเบิดพุ่งเข้าไปยังส่วนท้องของมันที่ไม่มีอะไรปกป้อง เปลวไฟกับคลื่นอากาศที่เกิดจากการระเบิดพวยพุ่งออกมาจากอีกด้านหนึ่งของตัวมัน ท้องของมันถูกฉีกทะลุจนกลายเป็นรูขนาดใหญ่
หลังแน่ใจว่าเป้าหมายตายแล้ว ไลต์นิ่งก็รีบดึงเมซี่ที่ฟื้นคืนร่างเดิมขึ้นมา “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ไม่เป็นอะไร! ข้าใช้ส่วนที่หนาที่สุดบนไหล่กระแทกมันไป!” เธอถลกแขนเสื้อขึ้นมา ก่อนจะแสร้งทำเป็นเหวี่ยงแขนเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ผลปรากฏว่าในตอนที่ยกแขนขึ้นมาสูงๆ เธอพลันทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความเจ็บปวด
“ดูเหมือนจะยังหนาไม่พอนะ…” ไลต์นิ่งลูบหัวของเธอ ก่อนจะพูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เอาไว้ข้าจะย่างของให้เจ้ากินเยอะๆ เลย เวลาชนใครเจ้าจะได้ไม่ต้องกลัว…แต่ว่าตอนนี้เจ้าต้องอดทนก่อนนะ”
“อื้อ!” เมซี่พยักหน้า
“อย่างนั้นไปกันเถอะ” ไลต์นิ่งย่อตัวลงไปพร้อมกับจับเมซี่ที่แปลงร่างเป็นนกพิราบขึ้นมาไว้บนหัว “พวกเราไปช่วยทุกคนก่อน ทีมนักสำรวจแห่งเนเวอร์วินเทอร์ ออกเดินทาง!”
…..
“ปัง!”
แอนเดรียเหนี่ยวไกยิงปีศาจที่โผล่หน้ามาตัวหนึ่งจนล้มลงไปกองกับพื้น
นี่ยิงไปนัดที่เท่าไรแล้ว?
เธอกับคันชักลูกเลื่อนด้วยความรู้สึกชาเพื่อบรรจุกระสุนเข้ารังเพลิง ในปากเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เธอไม่รู้ว่าเศษเล็กๆ ที่อยู่บนลิ้นของเธอมันคือสนิมของเหล็กหรือว่าเป็นฟันของตัวเองที่แตกออกมากันแน่
น่าจะยิงไปหลายสิบนัดแล้วมั้ง?
ต่อให้ยิงสิบนัดถูกหนึ่งนัด ก็เท่ากับว่าเธอยิงปีศาจตายไปแล้วสิบกว่าตัว แต่การโจมตีของศัตรูดูไม่ได้เบาลงเลย หากแต่ยิ่งดุดันมากขึ้นกว่าเดิม
ปีศาจคุ้มคลั่งที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยมองอยู่ในสายตา ตอนนี้กลับกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากลำบาก — เนื่องจากมีความได้เปรียบในเรื่องจำนวน ศัตรูจึงสามารถขยายแนวรบออกไปเพื่อตีกระหนาบเข้ามาโดยไม่ต้องกังวลอะไร ถ้าไม่เป็นเพราะมีความแตกต่างกันในเรื่องของอาวุธแล้วล่ะก็ พวกเธอคงจะไม่สามารถหยุดการโจมตีของศัตรูได้แน่
อีกทั้งการทำศึกในป่าก็ทำให้ประสิทธิภาพของปืนลดต่ำลง ปีศาจคุ้มคลั่งใช้ต้นไม้ในการหลบกระสุนปืนพร้อมกับคอยปาหอกกระดูกออกมา การโจมตีที่มาจากรอบทิศทางทำให้พวกเธอไม่สามารถป้องกันได้เลย ส่วนแม่มดอาญาสิทธิ์ที่ทั้งตัวมีแต่อาวุธปืนแต่ไม่มีโล่ป้องกันก็ได้แต่ต้องใช้ร่างกายและเทคนิคการต่อสู้ในการหลบหอกของอีกฝ่าย
แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือศัตรูไม่ได้มีปีศาจระดับสูงที่เป็นผู้พิฆาตเวทมนตร์เพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น พวกมันยังมีปีศาจระดับสูงที่ดูเหมือนจะแปลงร่างมาจากเจ้าแห่งนรกอยู่อีกตัวด้วย โดยมันยังคงมีรูปร่างเป็นสัตว์ประหลาดสี่ขาอยู่ ถึงแม้ความสามารถของมันจะไม่สามารถสู้อุรูคได้ แต่ร่างกายของมันกลับแข็งแกร่งอย่างมาก มันสามารถใช้ต้นไม้ใหญ่ๆ ปาออกมาแทนหอก ทุกครั้งที่มันลงมือจำเป็นต้องใช้แม่มดอาญาสิทธิ์ 3 – 4 ในการหยุดหอกต้นไม้พวกนั้นเอาไว้ ขณะเดียวกันมันยังสามารถเรียกกำแพงดินขึ้นมาเป็นเกราะกำบังให้พวกเดียวกันได้ด้วย หลังโจมตีเข้ามาสองสามครั้ง การป้องกันของเหล่าแม่มดก็เริ่มไม่ทั่วถึง ความเร็วในการถอยยิ่งช้าลงเรื่อยๆ
การบรรจุกระสุน เล็ง ยิงทุกๆ ครั้งเหมือนกลายเป็นการเคลื่อนไหวของเครื่องจักร ความเจ็บปวดของบาดแผลและความเหนื่อยล้าของร่างกายเล่นงานหัวสมองเธอ สติของแอนเดรียค่อยๆ เลือนลางลง
“แอนเดรีย ระวังทางขวา!” ซิลเวียที่ถูกคุ้มกันอยู่ตรงกลางตะโกนขึ้นมา
ปีศาจที่แห่เข้ามาดึงดูดความสนใจจากแม่มดอาญาสิทธิ์เอาไว้ ผู้พิฆาตเวทมนตร์สลัดดาบของแอชเชสแล้วรีบพุ่งเข้ามาดักข้างหน้าเอเลน่ากับแอนเดรียอย่างรวดเร็วราวกับวิญญาณ
แอนเดรียยกปืนขึ้นมา แต่อุรูคกลับใช้มือของมันฟันปืนจนขาดเป็นสองท่อน
จากนั้นก็เตรียมจะโจมตีเพื่อปลิดชีวิตเธอ
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งลง เธอมองเห็นลำแสงสีน้ำเงินที่ปล่อยออกมาจากฝ่ามือของมัน พลังเวทมนตร์ที่รวมตัวกันทำให้นิ้วมือทั้งห้าของมันกลายเป็นเหมือนดาบอันแหลมคม ขอเพียงฟันลงมา เธอก็จะตายอยู่ตรงนี้ทันที
มันจบลงแล้ว
ร่างกายเธอหดเกร็งขึ้นมาเพื่อรอรับความเจ็บปวด
แต่ความตายอย่างที่เธอคิดเอาไว้ก็ไม่ได้เกิดขึ้น
ในเสี้ยววินาทีสุดท้าย เอเลน่าหมุนตัวเข้ามารับการโจมตีอันนี้แทนเธอ
กรงเล็บของปีศาจฟันลงไปตรงหน้าอกของเธอจนเป็นแผลเหวอะ กระดูกซี่โครงและเครื่องในไหลทะลักออกมา ต่อให้เป็นร่างทหารอาญาสิทธิ์ก็ไม่มีทางที่จะสู้ต่อไปในสภาพแบบนี้ได้
เอเลน่าล้มลงไปกับพื้น
“ม่ายยยย!” โซอี้หันปืนมาด้วยความโกรธ เธอยิงปืนใส่อุรูคไปหลายนัด การโจมตีด้วยปืนลูกซองในระยะใกล้ขนาดนี้ ต่อให้เป็นผู้พิฆาตเวทมนตร์ก็ไม่มีทางหลบได้หมด ในที่สุดบาเรียที่อยู่บนร่างกายของมันก็แตกออก ร่างกายครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยรูกระสุน เลือดสดๆ ไหลออกมา
แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือศัตรูที่กระเด็นออกไปไกลหลายสิบเมตรกลับไม่ได้แสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาเลย มันแสยะยิ้มออกมา ก่อนจะเอามือแทงเข้าไปในร่างกายที่บาดเจ็บของตัวเอง พลังเวทมนตร์อันรุนแรงไหลทะลักออกมา ร่างกายของมันฟื้นฟูเข้ามาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“สัตว์ประหลาด…” ซิลเวียที่เห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความสิ้นหวัง
“ชิงเอาชีวิตคนอื่นมาให้ตัวเอง นี่คือความสามารถที่ข้าได้มาตอนที่ยกระดับ มาเรียกข้าว่าเป็นสัตว์ประหลาดมันจะเสียมารยาทเกินไปหน่อยหรือเปล่า” อุรูคถอยกลับมายืนอยู่ข้างปีศาจระดับสูงอีกตัว พร้อมกับเปลี่ยนถังหมอกแดงถังใหม่ที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ ก่อนจะพูดด้วยท่าทีใจเย็นว่า “บาดแผลทุกๆ แห่งบนร่างกายของพวกเจ้า พลังทุกส่วนที่หลั่งไหลออกมาล้วนแต่กลายเป็นสิ่งที่ล่อเลี้ยงข้า! สู้มาจนถึงตอนนี้ พวกเจ้าน่าจะรู้แล้วว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร ดิ้นรนต่อไปก็มีแต่จะทำให้ตัวเองเจ็บปวด ถ้าพวกเจ้ายอมแพ้ตอนนี้ล่ะก็ ข้าจะทำให้พวกเจ้าตายอย่างไม่ต้องทรมานเพื่อเป็นรางวัลให้กับความกล้าของพวกเจ้า!”
“ไอชาติชั่ว!” โซอี้ตะโกนด่าออกมา “ข้าไม่มีทางยอมก้มหัวให้กับปีศาจเด็ดขาด ต่อให้ต้องตายเป็นพันครั้งหมื่นครั้ง ข้าก็จะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ!”
แต่แอนเดรียกลับไม่ได้ยินคำพูดเหล่านี้…เสียงปืน เสียงคำราม เสียงกรีดร้อง เสียงตะโกนเตือน ทุกอย่างดูเหมือนจะห่างไกลเธอออกไปเรื่อยๆ เธอค่อยๆ คลานเข้าไปหาเอเลน่า ก่อนจะพลิกตัวอีกฝ่ายขึ้นมากอดไว้ในอ้อมอกพร้อมกับพูดพึมพำออกมาว่า “ทำไม…ต้องช่วยจ้า?”
“แค่ก…” เอเลน่าสำลักเลือดออกมา ก่อนจะยิ้มแล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “สู้จนตัวตายมันคือชะตาชีวิตของพวกข้า แต่ความแตกต่างมันอยู่ที่ว่าตายแล้วจะได้อะไรกลับคืนมาไหม ขีดจำกัดของพวกข้านั้นได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว แต่เจ้ายังมีพลังแฝงที่ไม่มีขีดจำกัดอยู่ ข้าควรจะทำยังไงเจ้าก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าเสียใจของแอนเดรีย แม่มดอาญาสิทธิ์จึงยื่นมือไปลูบแก้มของเธอเบาๆ “อย่าเศร้าไปเลย เพราะว่าข้าไม่เจ็บแม้แต่นิดเดียว จริงๆ นะ ไม่เจ็บเลย…ข้าแค่…รู้สึกง่วงนิดหน่อยเท่านั้น…”
เสียงพูดเบาลงเรื่อยๆ ลมหายใจของเอเลน่าหยุดลงเหมือนกับว่าเธอหลับไปจริงๆ
แอนเดรียบีบมือของเธอไว้แน่น ภาพในดวงตาพร่ามัว
ในเวลานี้การเคลื่อนไหวของเอเลน่าหยุดลงแล้ว แม่มดอาญาสิทธิ์อีกสองคนถูกผู้พิฆาตเวทมนตร์เล่นงานจนล้มลง ศัตรูที่ตีกระหนาบเข้ามาค่อยๆ ล้อมพวกเธอเอาไว้
มาได้แค่นี้…เหรอ?
ในที่สุดภาระที่ร่างกายแบกรับเอาไว้ก็มาถึงขีดจำกัด ความมึนงงอย่างรุนแรงทำให้เธอไม่สามารถนั่งอยู่บนพื้นได้อีก เธอโงนเงนก่อนจะนอนหงายลงไปกับพื้น
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร บนท้องฟ้ามีเมฆปกคลุมอยู่เต็มไปหมด ดูแล้วเหมือนฝนกำลังจะตก
และในชั้นเมฆที่ดูมืดครึ้มนั้น เธอเหมือนจะมองเห็นลำแสงสีสองสว่างวาบขึ้นมา
นั่นคือภาพสุดท้ายที่แอนเดรียเห็นก่อนจะหมดสติไป
………………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น