Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1155-1156

 ตอนที่ 1155 ศึกทาคิลา (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังสัญญาณเตือนดังขึ้น แนวหน้าก็เข้าสู่สถานะเตรียมพร้อมขั้นสูงสุดเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน


“เร็ว เร็ว! ทิ้งเครื่องมือในมือ ไปหาหลุมหลบภัยที่อยู่ใกล้ที่สุด!” ทหารที่รับผิดชอบเรื่องการอพยพคนงานทยอยพาคนงานออกไปจากพื้นที่ก่อสร้าง “อย่าเบียดกัน อย่าชะเง้อมอง! จำเอาไว้ ไม่ว่าข้างนอกจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามออกไปจากหลุมหลบภัยโดยพลการเด็ดขาด!”


“หลุมหลบภัยหมายเลข 6 เต็มแล้ว!”


“หมายเลข 7 ยัดไม่เข้าแล้ว!”


“เดินไปข้างหลัง ไปหลุมหลบภัยต่อไป อย่าไปยืนอออยู่ตรงทางเดิน รีบเดินเร็ว!”


เรื่องแบบนี้ไม่ได้เพิ่งจะเกิดเป็นครั้งแรก ถึงแม้ทหารจะส่งเสียงตะโกนอยู่ตลอดเวลา บรรยากาศดูแล้วตึงเครียดอย่างมาก แต่การอพยพกลับไม่มีการเสียระเบียบแม้แต่น้อย


คนงานเกือบสองพันชีวิตกระจายตัวเหมือนดั่งสายน้ำ พวกเขาพากันเดินไปตามเส้นทางอพยพแล้วเข้าไปอยู่ในหลุมหลบภัยใต้ดิน หลุมหลบภัยที่ลีฟสร้างขึ้นมาเหล่านี้ตั้งอยู่ด้านหลังของแนวป้องกัน ด้านบนมีแผ่นเหล็กปูเอาไว้อยู่ ไม่เพียงแต่จะสามารถใช้เดินไปเดินมาได้ แต่มันยังใช้ป้องกันหอกของปีศาจและลูกกระสุนปืนได้ด้วย ขอเพียงการป้องกันด้านนอกยังมีอยู่ การหลบอยู่ในนี้ก็มีความปลอดภัยแน่นอน


หลังคนงานอพยพหมดแล้ว ไม่นานพื้นที่ก่อสร้างที่เดิมเป็นสีแดงจากแสงอาทิตย์ยามเย็นก็ถูกความมืดกลืนกิน


“คนงานอพยพเรียบร้อย ระบบไฟปกติ กองทัพที่หนึ่งเข้าสู่แนวรบ” ซิลเวียกวาดตามองไปรอบๆ อย่างรวดเร็วพร้อมกับรายงานสถานการณ์ของแต่ละหน่วยออกมา ในเวลานี้ห้องสังเกตการณ์ที่ตั้งอยู่ด้านบนของหน่วยบัญชาการเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่ยุ่งที่สุดในแนวหน้า โทรศัพท์สิบกว่าเครื่องที่ตั้งอยู่บนโต๊ะยาวสลับกันดังขึ้นมาไม่หยุด เจ้าหน้าที่ของทีมที่ปรึกษานั่งล้อมรอบโต๊ะยาวพร้อมกับรับโทรศัพท์กันมือเป็นระวิง ก่อนจะแจ้งข้อมูลเหล่านั้นให้ซิลเวียทราบ


ส่วนอีกด้านหนึ่งก็มีเจ้าหน้าที่ของทีมที่ปรึกษาอีกหลายคนกำลังสรุปข้อมูลพร้อมกับทำสัญลักษณ์แสดงเอาไว้บนถาดทรายหรือไม่ก็แผนที่เพื่อให้ทีมบัญชาการได้ใช้วางแผนการรบ


เรียกได้ว่าตอนนี้ซิลเวียคือ ‘ดวงตา’ ของกองทัพ ตอนนี้ในห้องสังเกตการณ์ซึ่งมีเธอเป็นหัวใจสำคัญคือศูนย์กลางข่าวสารของทั้งกองทัพ ของเพียงเธอนั่งประจำที่ ประสิทธิภาพการทำงานของกองทัพที่หนึ่งก็จะเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่า


“ได้…ได้ ข้าเข้าใจแล้ว คุณหนูซิลเวีย แวนนาจากกองพันปืนใหญ่อยากให้ท่านช่วยบอกทิศทางและพิกัดของศัตรูขอรับ”


“แบล็คริเวอร์หมายเลข 1 กับหมายเลข 2 ก็เหมือนกันขอรับ!”


“ให้พวกเขารอเดี๋ยว” ซิลเวียกวาดตามองดูแนวหน้าของสนามรบ การรุกคืบของ ‘เงาดำ’ ไม่เร็วนัก น่าจะช้ากว่าการเดินเท้าอยู่หน่อย ตอนนี้มันเพิ่งมาถึงระยะยิง 10 กิโลเมตรเท่านั้น ดูจากความเร็วอันนี้ เกรงว่าคงต้องใช้เวลาอีก 5 – 6 ชั่วโมงกว่ามาถึงหน้าแนวรบ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญในตอนนี้คือต้องรู้ให้ได้ว่าปีศาจมันต้องการจะทำอะไร — พวกมันคิดจะใช้จุดบอดของหินอาญาสิทธิ์วางแผนทำอะไรกันแน่?


เมื่อเวทมนตร์ไม่สามารถใช้ตรวจสอบได้ อย่างนั้นดวงตาก็คือวิธีในการตรวจสอบที่น่าเชื่อถือที่สุด


เธอหยิบเอารูนสดับขึ้นมา “ไลต์นิ่ง เมซี่ ได้ยินข้าไหม? ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ที่ไหน?”


“เพิ่งจะบินขึ้นมา เมซี่อยู่บนหัวข้า” เสียงของอีกฝ่ายดังตอบกลับมาจากในรูนสดับ ขณะเดียวกันก็มีเสียงสัญญาณเตือนดังแทรกเข้ามาด้วย “เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ปีศาจจะโจมตีพวกเราแล้วเหรอ?”


“ดูแล้วเหมือนจะใช่ แต่ศัตรูมันรบกวนการตรวจสอบของข้า ขอบเขตกว้างมาก ข้าเดาว่ามันต้องเป็นหินอาญาสิทธิ์ขนาดใหญ่เหมือนครั้งที่แล้วแน่”


“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปดูให้”


“พวกเราจัดการเองจิ๊บ!”


เมื่อเทียบกับบรรยากาศภายในห้องสังเกตการณ์ที่วุ่นวายอย่างมากแล้ว บรรยากาศของสนามรบในดวงตาของไลต์นิ่งกลับเป็นภาพอีกอย่างหนึ่ง


แสงไฟใต้เท้าค่อยๆ หดเล็กลงเหมือนค่อยๆ ถูกความมืดกลืนกินเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น ส่วนที่ราบที่ไกลออกไปก็กลายเป็นสีดำ ดูแล้วทั้งลึกและเงียบ


ที่ราบลุ่มเหมือนกำลังหลับใหลอยู่ ไม่มีเค้าลางของสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นเลย


ถ้าไม่เป็นเพราะซิลเวียบอกมา เธอก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าศัตรูจะบุกเข้ามาหาพวกเธอ


“เมซี่ เปิดใช้โหมดไนท์วิชั่น!”


“จิ๊บๆๆ!”


ปีกของนกพิราบขยายใหญ่ขึ้นและห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ จากนั้นหัวนกขนาดใหญ่ก็โผล่ออกมาจากขนนก ดวงตากลมๆ ของมันขยายใหญ่จนแทบจะเต็มเบ้าตา


“แปลงร่างเป็นนกฮูกเสร็จเรียบร้อย!”


“อย่างนั้นออกเดินทาง….”


ไลต์นิ่งใช้สองมือจับ ‘นกฮูกยักษ์’ ที่อยู่บนหัว ก่อนจะบินไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ


แต่ยังไม่ทันที่เธอจะเข้าไปใกล้ทาคิลา ในรูนสดับพลันมีเสียงตะโกนอย่างร้อนใจของซิลเวียดังขึ้นมา “ยกเลิกการสอดแนม พวกเจ้ารีบกลับมา! ผู้พิฆาตเวทมนตร์มีความเคลื่อนไหวแล้ว!”


ไลต์นิ่งรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันที แม้แต่แขนขาก็เหมือนจะรู้สึกแข็งไปด้วย หลังสะกดความรู้สึกหวาดกลัวภายในใจลงไปได้แล้ว เธอก็กัดฟันพูดออกไปว่า “ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่น่าจะมองเห็นข้าได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้น…ถ้าข้ากลับไปตอนนี้ พวกเราก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าปีศาจมันซ่อนอะไรเอาไว้ด้านหลังหินอาญาสิทธิ์ใช่ไหมล่ะ?”


“แต่ว่า….”


“วางใจได้ แค่หินโบยบินมันไล่ตามข้าไม่ทันหรอก ขอเพียงหลบการปิดกั้นเวทมนตร์ของมันได้ก็พอ”


ไลต์นิ่งกำหมัดแน่น ถึงแม้ในมือเธอจะมีเหงื่อซึมออกมา แต่เธอก็ไม่คิดจะหนีแบบนี้ไปตลอด ประสบการณ์บนสนามรบที่ผ่านมาครึ่งปีนี้ทำให้เธอรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนที่กล้าหาญอะไรเลย ไม่ใช่แค่แม่มดอาญาสิทธิ์เท่านั้น แม้แต่คนแก่ธรรมดาๆ ที่ขับรถไฟก็ยังกล้าหาญกว่าเธอด้วยซ้ำ


แต่เธอไม่ได้เผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้อยู่คนเดียว ข้างหลังเธอยังมีเมซี่ โลก้า โจน…แล้วก็เพื่อนๆ อีกหลายคนที่ค่อยสนับสนุนเธออยู่ ทำให้เธอกล้าเผชิญหน้ากับตัวเอง แล้วก็กล้าที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง


ตั้งแต่ตอนแรกที่ค่อยๆ ฟื้นฟูสภาพจิตใจจนกระทั่งสามารถสอดแนมปีศาจได้อีกครั้ง เธอต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ มาจนกระทั่งมาอยู่ตรงสถานที่ที่เธอล้มลงเมื่อครึ่งปีก่อนอีกครั้ง


ยังเหลืออุปสรรคอีกสองอย่างที่เธอก็ก้าวข้ามไปให้ได้


นั่นคือบินผ่านหน้าผู้พิฆาตเวทมนตร์ กับ….


เล่นงานมันคืน เพื่อแก้แค้นให้กับที่มันเคยทำเธอเอาไว้!


“เมซี่ คอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเอาไว้” ไลต์นิ่งเปิดคอเสื้อแล้วเอานกฮูกยัดเข้าไปในเสื้อ เหลือเพียงแค่หัวที่โผล่ออกมาด้านนอก จากนั้นเธอก็เข้าสู่การบินด้วยความเร็วเสียง ระยะทางเพียงแค่ 10 กิโลเมตร เธอสามารถบินด้วยโหมดความเร็วสูงได้!


“ซ่าา…ระวัง ศัตรู…ซ่า…มองเห็นเจ้าแล้ว…” น่าจะเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากการสอดประสานของพลังเวทมนตร์ของไลต์นิ่ง เสียงของซิลเวียจึงขาดๆ หายๆ


แต่ถึงแม้จะไม่มีเสียงซิลเวียคอยเตือน ไลต์นิ่งก็รู้ว่าร่องรอยของตัวเองถูกเปิดเผยแล้ว ขอเพียงปีศาจไม่ได้หูหนวก มันก็ต้องได้ยินเสียงระเบิดจากการบินทะลุกำแพงเสียงแน่


แต่การเคลื่อนไหวของเธอเร็วกว่าเสียง นี่ก็หมายความว่าในตอนที่ศัตรูได้ยินเสียงระเบิด เธอก็ได้บินผ่านหัวพวกมันไปแล้ว


หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ดวงตานกฮูกของเมซี่ก็พอเห็นเป้าหมาย


“สัตว์ประหลาดนั้นอยู่ทางด้านหน้าขวามือของเจ้าจิ๊บ!”


ภายใต้แสงจันทร์ ไลต์นิ่งมองเห็นแสงสีดำที่จู่ๆ ก็ขยายใหญ่ขึ้นมาทั้งๆ ที่ยังมองไม่เห็นผู้พิฆาตเวทมนตร์!


เห็นได้ชัดว่าความสามารถในการมองเห็นในที่มืดของปีศาจระดับสูงนั้นดีกว่าเมซี่ อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะมองเห็นเธอ แต่ยังพยายามจะบินเข้ามาใกล้เธอและกางพื้นที่ปิดกั้นพลังเวทมนตร์ออกมา


พริบตานั้นเอง ไลต์นิ่งได้เร่งความเร็วขึ้นไปถึงขีดสุด เธอเปลี่ยนจากบินแนวราบเป็นพุ่งลงมา!


มีอยู่ชั่วแวบหนึ่งที่ไลต์นิ่งรู้สึกเหมือนแสงสีดำที่เยือกเย็นนั้นกำลังจะคว้าจับข้อเท้าของเธอเอาไว้ได้ แต่ความรู้สึกที่ว่านั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว ในชั่วเวลาแค่อึดใจ เธอก็สลัดแสงสีดำทิ้งไปด้านหลัง หลังจากฝ่าผู้พิฆาตเวทมนตร์ออกมาได้ ตรงหน้าเธอก็ไม่มีอะไรจะมาหยุดเธอได้อีก เธอยืดตัวตรงแล้วมองไปด้านหลังกองทัพปีศาจ


ภายใต้แสงจันทร์สลัว ไลต์นิ่งมองเห็นหินอาญาสิทธิ์ขนาดใหญ่ที่ถูกเจียรจนกลายเป็นทรงกระบอกกำลังถูกกลิ้งไปข้างหน้าเหมือนหินกลมๆ ขนาดของมันใหญ่จนน่าตกใจ ความยาวอย่างน้อยๆ ก็ 20 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เมตร ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับหอนาฬิกาที่ล้มลงมา ด้านหลังเสาทุกแท่งตะมีปีศาจแมงมุมอยู่ 7 – 8 ตัว พวกมันกำลังค่อยๆ เดินมาอย่างช้าๆ และผลักหินอาญาสิทธิ์ให้ตรงมาหากองทัพที่หนึ่ง


แต่ที่ด้านหลังนั้นกลับมีปีศาจคุ้มคลั่งเดินตามมาอีกเป็นจำนวนมาก


……………………………………………………………………..


ตอนที่ 1156 ศึกทาคิลา (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังบินผ่านแนวทัพของปีศาจไป ไลต์นิ่งก็บินขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้ง ก่อนจะ…หยุดบิน


“ทำไมเหรอจิ๊บ?” เมซี่เงยหน้าขึ้นมาถาม


เธอไม่ได้ตอบอะไร หากแต่หมุนตัวกลับไปมองยังเมืองทาคิลา เมื่ออยู่บนฟ้าที่มืดมิด ระยะ 200 เมตรนั้นเป็นระยะที่ไกลที่สุดที่เธอจะมองเห็นได้ การจะมองหาผู้พิฆาตเวทมนตร์นั้นไม่ได้ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทรเลย


แต่เธอมองไม่เห็นก็ไม่เป็นไร


ไลต์นิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายมองเห็นเธอ


เมื่อมองมาจากทางทาคิลา ตอนนี้เธอหันหลังให้กับพระจันทร์พอดี ขอเพียงผู้พิฆาตเวทมนตร์เงยหน้าขึ้นมา มันก็ต้องมองเห็นเงาดำที่อยู่ท่ามกลางแสนจันทร์แน่


แต่มันไม่ได้ไล่ตามขึ้นมา


เหตุผลเดียวที่ทำให้มันไม่ไล่ตามขึ้นมาก็คือมันรู้แล้วว่าความเร็วของเธอไม่ใช่สิ่งที่มันจะไล่ตามทันได้


มันล้มเลิกความพยายามที่จะไล่ตามเธอ


ครั้งนี้เธอชนะ!


ไลต์นิ่งสูดหายใจก่อนจะยื่นมือขวาออกมา ถึงแม้ปลายนิ้วของเธอจะยังสั่นริกๆ อยู่ แต่เธอก็พยายามรวบรวมความกล้าชูนิ้วกลางขึ้นมา


นี่คือสัญญาณมือที่เป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะที่ฝ่าบาทสอนเธอ!


จากนั้นก็หมุนตัวบินกลับมายังค่ายของกองทัพที่หนึ่ง ขณะเดียวกันแจ้งทุกสิ่งที่ตัวเองเห็นให้ซิลเวียได้ทราบ


“เสาหินอาญาสิทธิ์ทรงกระบอกขนาดใหญ่งั้นเหรอ…ข้ารู้แล้ว” ซิลเวียจดขนาดของเสาหินอาญาสิทธิ์อย่างคร่าวๆ แล้วส่งให้อกาธา การใช้ขนาดของหินอาญาสิทธิ์มาคำนวณรูปร่างของเงาดำและตำแหน่งที่ตั้งของเสาหินนั้นคืองานพื้นฐานสำหรับสมาชิกระดับสูงของสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับ ไม่นานตัวเลขข้อมูลต่างๆ ที่ถูกแก้ไขใหม่ก็ส่งกลับมายังห้องสังเกตการณ์


ถึงแม้มันอาจจะมีความคลาดเคลื่อนไปบ้าง แต่มันก็ยังดีกว่าการยิงออกไปมั่วๆ หลังจากซิลเวียใช้ดวงตาแห่งเวทมนตร์วิเคราะห์ดูตำแหน่งแล้ว เธอก็ยกหูโทรศัพท์โทรไปแจ้งยังกองพันปืนใหญ่


จากนั้นครู่หนึ่ง แนวยิงปืนใหญ่ก็มีเสียงดังกัมปนาทขึ้นมา!


ถึงแม้เปลวไฟที่พ่นออกมาจากปากกระบอกปืนจะเกิดขึ้นแวบเดียวแล้วก็หายไปเหมือนกับหิ่งห้อย แต่สำหรับที่ราบที่ตกอยู่ในความมืดมิดแล้ว มันยังคงดูสะดุดตาอย่างมาก


โดยเฉพาะหลังจากปืนใหญ่พากันกระหน่ำยิงใส่ปีศาจ แสงไฟที่พ่นออกมาจากปากกระบอกปืนใหญ่นั้นพอจะส่องให้เห็นเค้าโครงของแนวรบได้แบบลางๆ บางครั้งจะมีเปลวไฟที่พุ่งตามกระสุนปืนใหญ่ออกไป ดูแล้วคล้ายกับดาวตกที่พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้น


ส่วนอีกด้านหนึ่ง เสียงสะท้อนของระเบิดดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย ในที่สุดที่ราบลุ่มบริบูรณ์ที่กำลังหลับใหลก็ถูกปลุกขึ้นมา


“สวยจังเลยจิ๊บ…” เมซี่มองดูแนวยิงปืนใหญ่ที่สว่างวาบตาไม่กระพริบ


ไลต์นิ่งบินฝ่าสายลมไปข้างหน้าพร้อมกับกำหมัดขึ้นมา


ตอนนี้ ก็เหลืออุปสรรคอีกเพียงอย่างเดียวแล้ว ……


อุรูคบินอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับมองดูเสาหินที่พุ่งขึ้นมาต้นแล้วต้นเล่าตรงหน้าแนวทัพของมันด้วยสีหน้าเยือกเย็น นี่คือวิธีการโจมตีที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ ขอเพียงสิ่งที่ยิงออกมาตรงลงในกองทัพ มันก็จะคร่าชีวิตของร่างระดับต้นไปสิบกว่าตัว อีกทั้งพลังทำลายล้างของมันก็ไม่จำเป็นต้องสัมผัสถูกเป้าหมายด้วย ต่อให้ยืนห่างออกไปหลายสิบเมตร เศษเหล็กที่กระเด็นออกมาจากวัตถุที่ถูกยิงก็สามารถทะลุชุดเกราะและฉีกร่างกายออกเป็นชิ้นๆ ได้


ต่อให้เป็นมัน มันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะรับการโจมตีแบบนี้ได้


ในรายงานที่มันส่งให้สกายลอร์ด มันตั้งชื่ออาวุธชนิดนี้ว่า ‘ฝนเพลิง’


นอกจากนี้ยังมี ‘หน้าไม้เพลิง’ ที่สามารถยิงออกมาได้ต่อเนื่อง แล้วก็มี ‘กระบอกเพลิง’ ที่สามารถพกพาได้…วิวัฒนาการทั้งหมดของมนุษย์ในตอนนี้ล้วนแต่มาจากไฟ เมื่อเทียบกับ ‘การยกระดับจากการสืบทอด‘ อย่างที่ราชาคิดเอาไว้แล้ว มันเหมือนจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญมากกว่า — แม่มดนั้นเหนือกว่าในเรื่องของความหลากหลายทางด้านความสามารถ ถ้าหากในช่วงเวลาหลายร้อยปีมานี้มีผู้ตื่นรู้ที่เหมาะสมปรากฏตัวขึ้นมาซักคน บวกกับการศึกษาเกี่ยวกับไฟมาเป็นระยะเวลานานของมนุษย์ มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการยกระดับอย่างก้าวกระโดด


แต่ต่อให้มนุษย์เดินไปบนเส้นทางที่แตกต่างกับพวกมัน นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะสิ้นไร้หนทางในการตอบโต้ อย่างเช่นการใช้หินอาญาสิทธิ์มาแกะให้เป็นเหมือนเสาหินแบบนี้ก็ทำให้มันมีความแข็งมากพอที่จะต้านฝนเพลิงเอาไว้ได้ อุรูคมองเห็นอย่างชัดเจนว่าในการระเบิดอย่างรุนแรงหลายครั้ง ตัวเสาหินอาญาสิทธิ์ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์


สิ่งที่อันตรายจริงๆ นั้นก็คือฝนเพลิงที่สามารถลอยข้ามเสาหินแล้วไปตกในกลุ่ม ‘ทูมสโตน’ เมื่ออยู่ต่อหน้าฝนเพลิง เกราะที่แข็งแกร่งฟันแทงไม่เข้าของพวกมันก็ยังต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ


ที่น่าขำก็คือตัวจักรพรรดินั้นฝากความหวังไว้กับร่างซิมไบออนท์ที่ไม่มีทั้งความรู้สึกและความหวาดกลัวนี้สูงมาก เขาคิดว่ามันคือผลงานที่มีค่ามากที่สุดที่ได้มาจาก ‘ชิ้นส่วนสืบทอด’ มันไม่เพียงแต่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับการสนับสนุนแนวหน้า แต่มันยังทำให้เผ่าพันธุ์มีเครื่องมือในการทำสงครามที่มากขึ้นด้วย ทูมสโตนเพียงแค่ 100 ตัวก็สามารถกำจัดมนุษย์ หรือก็คือแมลงชั้นต่ำในสายของพวกมันให้สิ้นซากได้แล้ว


ดังนั้นราชาจึงส่งทูมสโตนมาให้มัน 100 ตัวพอดิบพอดี


แต่ในศึกที่ผ่านมาครึ่งปี มนุษย์ไม่เพียงแต่จะไม่ถูกทำลาย แต่กลายเป็นทางฝั่งทาคิลาที่กำลังจะพังพินาศแทน และในตอนนี้อุรูคก็เหลือทูมสโตนอยู่ไม่ถึง 40 ตัว


ถ้าตอนนั้นสกายลอร์ดไม่เชื่อจักรพรรดิในเรื่องนี้มากเกินไป ตอนนี้มันก็คงไม่เป็นแบบนี้


ถ้าหากร่างซิมไบออนท์เหล่านี้ถูกทำลายลงจนหมดระหว่างทาง มันก็คงได้แต่ต้องให้ร่างระดับต้นออกไปสู้กับศัตรูเท่านั้น


นั่นมันไม่ได้ต่างอะไรกับการเข้าไปตายเลย แรงปะทะที่เกิดจากการที่ฝนเพลิงยิงใส่เสาหินอาญาสิทธิ์นั้นไม่ใช่สิ่งที่ร่างต้นแบบจะทนรับได้เลย แม้แต่เท้าที่เป็นหินสีดำของทูมสโตนก็ยังอาจจะถูกกระแทกจนหักได้ แล้วนับประสาอะไรกับร่างกายที่เป็นเนื้อล่ะ?


แต่อุรูคไม่ได้สนใจ


เพราะการเสียสละเหล่านี้คือสิ่งที่คุ้มค่า


และมนุษย์….ก็จะต้องชดเชยให้กับการเสียสละของพวกมัน


…..


เวลา 22.00 น. ณ หน่วยบัญชาการใต้ดิน


การต่อสู้ดำเนินมาเป็นเวลาเกือบ 3 ชั่วโมงแล้ว ทุกๆ 5 นาที ขวานเหล็กจะได้ยินเสียงทึบๆ ของปืนใหญ่ที่ดังลงมาจากด้านบนหัวของเขาพร้อบกับเศษดินที่ร่วงตกลงมาด้วย


นอกจากนี้บนสนามรบก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นอีก เหมือนว่าปีศาจไม่ได้โจมตีอะไรกลับมาเลย ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้มีแต่กองทัพที่หนึ่งที่กระหน่ำยิงเข้าไป


นี่ดูแล้วแตกต่างจากการทำศึกที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง


เพื่อเป็นการประหยัดกระสุนและรักษาลำกล้องปืนเอาไว้ เขาจึงสั่งให้กองพันปืนใหญ่ยิงช้าลง อีกทั้งยังให้เน้นยิงไปที่ด้านหลังของเงาดำ แต่ปัญหาคือต่อให้พวกเขาสร้างความเสียหายให้กับปีศาจได้จริงๆ ทว่าพวกเขากลับไม่สามารถใช้ดวงตาแห่งเวทมนตร์ในการมองดูผลการยิงได้


สิ่งเดียวที่สามารถแน่ใจได้ในตอนนี้คือปืนใหญ่ 152 มม. ไม่สามารถทำลายเสาหินอาญาสิทธิ์ได้ ถึงแม้การกระหน่ำยิงเข้าไปจะทำให้เงาดำเคลื่อนที่ช้าลง แต่สุดท้ายมันก็กลับมาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าเดิม แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าปีศาจแมงมุมมันทำให้แท่งหินอาญาสิทธิ์ันี้กลิ้งผ่านหลุมกระสุนได้อย่างไร


“บ้าเอ้ย” ขวานเหล็กทุบโต๊ะด้วยความโมโห “ถ้าเป็นกลางวันล่ะก็ พวกมันไม่มีทางรอดมาถึงตอนนี้หรอก!”


ปัญหาที่สำคัญที่สุดที่กองทัพที่หนึ่งกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ก็คือไม่มีใครรู้ว่ากระสุนปืนใหญ่ไปตกอยู่ตรงไหน ถ้าอยากจะยิงปืนใหญ่ให้โดนเป้าหมาย ก็ต้องทดลองยิงออกไปเพื่อปรับจุดตกของกระสุน แต่เมื่อต้องเจอกับจุดบอดที่กว้างถึง 150 เมตร การยิงแต่ละครั้งจึงเหมือนเป็นการทดลองยิงที่ไม่ได้ข้อมูลอะไรกลับมาเลย


จากการตรวจสอบของซิลเวีย ผู้พิฆาตเวทมนตร์ยังไม่ได้บุกเข้ามาในค่าย หากแต่คอยบินวนอยู่ด้านบนเงาดำ เห็นได้ชัดว่ากำลังเฝ้าระวังไลต์นิ่ง ถึงแม้ความเร็วของไลต์นิ่งจะเร็วกว่าศัตรู แต่การบินด้วยความเร็วสูงจะทำให้สิ้นเปลืองพลังเวทมนตร์อย่างมาก ถ้าให้บินโฉบเข้าไปครั้งสองครั้งนั้นยังพอได้อยู่ แต่ถ้าให้คอยบินวนอยู่เหนือเงาดำเพื่อคอยดูจุดตกของกระสุนไปแล้วแล้วก็คอยหลบผู้พิฆาตเวทมนตร์ไปด้วย แบบนั้นความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นสูงอย่างมาก


แต่ถ้าไม่มีข้อมูลอะไรกลับมา นั่นก็หมายความว่าจะไม่สามารถยิงเพื่อปรับระยะได้


แบบนี้แผนที่จะให้การกระหน่ำยิงเพื่อกำจัดศัตรูอย่างรวดเร็วก็จะไม่สามารถเป็นจริงได้


สถานการณ์ในตอนนี้เหมือนกับกำลังวัดดวงอยู่ เขาสามารถเอากระสุนปืนใหญ่ทั้งหมดกระหน่ำยิงใส่เงาดำเพื่อทำให้มันหยุดเคลื่อนที่มาข้างหน้าได้ แต่ขอเพียงศัตรูเอาปีศาจแมงมุมถอยหนีไป กองทัพที่หนึ่งก็จะเหมือนเสียกระสุนไปฟรีๆ


นอกจากนี้พื้นที่ทั้งสองด้านของเงาดำก็มีปีศาจคุ้มคลั่งที่พร้อมจะพุ่งโจมตีเข้ามา เหมือนว่าพวกมันอยากจะใช้รูปแบบการโจมตีกระหนาบทั้งสองด้าน ถ้าเล็งปืนใหญ่ไปทางพวกมันก็จะสามารถกำจัดพวกมันได้ทันที แต่ปีศาจพวกนี้มีจำนวนน้อยนิดเดียว การจะเล็งยิงไปที่พวกมันโดยเฉพาะทำให้ขวานเหล็กรู้สึกค่อนข้างเสียดายกระสุน


“พวกศัตรูมันถึงได้เลือกที่จะบุกในตอนกลางคืนไง” เอดิธส์พูดอย่างใจเย็น “แค่นี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว ถ้าไม่มีซิลเวียล่ะก็ อย่าว่าเป็นเงาดำที่เป็นจุดบอดนั้นเลย แม้แต่ศัตรูอยู่ที่ไหนพวกเราก็คงจะไม่รู้ด้วยซ้ำ อีกอย่างปีศาจมันโดนยิงอยู่ฝ่ายเดียว มันยังไม่ร้อนใจอะไรเลย แล้วท่านจะไปร้อนใจทำไม”


“ข้าแค่ไม่อยากจะเปลืองกระสุนที่ได้มาอย่างยากลำบากเท่านั้น” ขวานเหล็กขมวดคิ้วพูด


“วางใจได้ พวกมันไม่มีทางดันไอแท่งหินนั่นไปได้ตลอดหรอก ข้าคิดว่าอีกฝ่ายก็น่าจะรู้ถึงจุดนี้ดี พวกมันน่าจะเริ่มโจมตีตอนที่เข้ามาถึงระยะยิงปืนครกแล้วนั่นแหละ” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือยิ้มมุมปาก “เสียดายที่ปีศาจไม่รู้ว่ากลางคืนไม่ได้มืดมิดแบบนี้ไปตลอด เอาไว้พวกมันเข้ามาถึงพื้นที่ยิงพลุไฟเมื่อไร นั่นแหละคือช่วงเวลาตัดสินแพ้ชนะ”


…………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)