Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1149-1154
ตอนที่ 1149 ผู้ท้ายทายที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในตอนที่พระอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยตกไปทางด้านหลังเทือกเขา ทั่วทั้งพื้นที่ราบถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดง
สีแดงที่ว่านี้ไม่เหมือนกับละอองชีวิต มันดูบริสุทธิ์และชัดเจน
ในเวลาแบบนี้อุรูคมักจะชอบอยู่บนที่สูงเพื่อดื่มด่ำกับระยะห่างระหว่างตัวเองกับท้องฟ้า
ถึงแม้มันจะบินขึ้นไปได้สูงกว่านี้ แต่พลังเวทมนตร์จะไปทำลายความเงียบ แล้วก็ทำให้มันยิ่งรู้สึกว่าไม่มีทางที่จะไปถึงบนจุดสูงสุดของท้องฟ้าได้
แต่ถ้าหากมันนั่งอยู่เฉยๆ เมฆสีทองและท้องฟ้าสีม่วงแดงจะทำให้มันรู้สึกเหมือนอยู่ห่างไกลจากท้องฟ้าแค่เพียงก้าวเดียว
ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
ส่วนใหญ่ด้านบนมักจะมีละอองชีวิตปกคลุมอยู่ตลอด ถึงแม้การอยู่ในนั้นจะทำให้อุรูครู้สึกสบาย แต่มันก็เหมือนเป็นผ้าบางๆ ที่กั้นระหว่างมันกับท้องฟ้าเอาไว้
มันน่าจะเป็นส่วนน้อยในบรรดาเหล่าปีศาจที่ไม่ชอบอยู่ในหอคอยแห่งการให้กำเนิด
แต่อุรูคไม่ได้คิดว่าตัวเองแปลกประหลาด
มันแค่มีความกระหายที่จะได้โอบกอดแหล่งกำเนิดของพลังเวทมนตร์มากกว่าปีศาจตัวอื่นเท่านั้น
ถูกต้อง แหล่งกำเนิดนั้นมาจากบนท้องฟ้า
มนุษย์เรียกมันว่าพระจันทร์สีแดง ซึ่งก็ถือว่าคล้ายทีเดียว
ว่ากันว่าหากได้รับการสืบทอดทั้งหมดแล้ว เผ่าพันธุ์จะได้รับการยกระดับในขั้นสูงสุดได้ ระหว่างพื้นดินและท้องฟ้าจะมีทางเปิดขึ้นมาเพื่อรับพวกมันขึ้นไปบนสวรรค์
ที่นั่นน่าจะกว้างกว่าโลกใบนี้
บางทีอาจจะเป็นที่อยู่ของพระเจ้า
เมื่อถึงตอนนั้นพวกมันจะแข็งแกร่งกว่าตอนนี้เป็นร้อยเท่า ร่างกายจะเป็นอมตะจากพลังเวทมนตร์ที่เพิ่มขึ้น
แต่อุรูคไม่ได้เชื่อเรื่องนี้ไปซะทีเดียว
มันเคยพยายามที่ใช้กำลังของตัวเองในการบินขึ้นไปให้สูงที่สุด
แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีละอองชีวิต มันพบว่าหลังจากที่มันบินขึ้นไปจนสูงถึงระดับหนึ่งก็จะมีอุปสรรคต่างๆ นาๆ ปรากฏขึ้นมา — อย่างเช่นอุณหภูมิลดลง เกราะจับตัวเป็นน้ำแข็ง เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หายใจลำบาก ถ้าหากใช้พลังเวทมนตร์มาช่วย ถังสำหรับช่วยหายใจที่อยู่ด้านหลังก็จะถูกใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว
มีครั้งหนึ่งที่มันเกือบต้องตายเพราะการที่พยายามบินขึ้นไปให้สูงที่สุด
แต่ก็เป็นเพราะการทดลองครั้งนั้นที่ยิ่งเพิ่มความปรารถนาที่มีต่อท้องฟ้าให้กับมัน
เพราะว่าบนท้องฟ้าที่ม่วงดำ มันมองเห็นอะไรบางอย่างอยู่บนนั้น เพียงแต่มันยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
ถ้าจะอธิบายให้ได้ มันน่าจะเป็นเหมือนเกล็ดปลาที่ส่องแสงวาบขึ้นมา
นี่หมายความว่าสิ่งที่เล่าลือต่อๆ กันมาไม่ใช่ว่าจะไม่มีมูล
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนั้นมันเหมือนจะได้ยินเสียงเรียกเบาๆ ด้วย
มันเหมือนเป็นเสียงกระซิบ แล้วก็เป็นเหมือนเสียงบ่นพึมพำที่ดังสะท้อนไปมาอยู่ในหัว
อุรูครู้ว่านั่นคือสัญญาณว่าโลกแห่งจิตสำนึกกำลังเข้าใกล้มัน
เสียดายที่ยังไม่สามารถขึ้นไปถึงดินแดนที่อยู่สูงขึ้นไปได้
คนที่สามารถเปิดประตูของทั้งสองโลกได้จะถูกเรียกว่าราชา
ในตอนที่มันกำลังหลับตาเพื่อรับรู้ถึงความอบอุ่นและสายลมที่พัดเข้ามา ด้านหลังมันพลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
“ท่านอุรูค ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วขอรับ”
คนที่รายงานมันก็คือองครักษ์ระดับต้น
“ดีมาก” อุรูคตอบโดยไม่หันหน้ามา “หลังจากนี้แค่จับตาดูต่อไปเรื่อยๆ ก็พอ”
“ขอรับ” องครักษ์ไม่ได้จากไปทันทีที่รับคำ หากแต่พูดอย่างลังเลต่อว่า “แต่ว่าแมลงพวกนั้นมันจะทำตามแผนของพวกเราจริงๆ เหรอขอรับ? พวกมันน่าจะเข้าใจพลังของท่านแล้ว…เพื่อจะวางกับดัก พวกเราสูญเสียไปไม่น้อย หากท่านสกายลอร์ดรู้เข้า…”
“อืม ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล แต่ข้าคิดว่ามันคุ้มที่จะทำ” อุรูคลืมตาขึ้นพร้อมกับมองไปทางทิศใต้ ตอนนี้เมื่อยืนอยู่บน ‘ฮอร์น’ มันพอจะมองเห็นรางเหล็กสีดำนั่นได้ลางๆ หลังผ่านการหยั่งเชิงมาหกเดือน ร่างระดับต้นจำนวนไม่น้อยต้องตายอยู่ในแนวรบของพวกมนุษย์ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหยุดยั้งการบุกของพวกมนุษย์ได้ รางเหล็กนั่นค่อยๆ ยืดยาวออกอย่างช้าๆ แต่กลับมีความแข็งแกร่งเหมือนกับรากไม้
เท่าที่มันจำได้ นี่เป็นครั้งแรกที่มนุษย์สามารถปะทะกับพวกมันได้แบบซึ่งๆ หน้าอย่างไม่เสียเปรียบโดยไม่ต้องพึ่งพากำแพง
ถึงแม้วิธีแบบนี้มันจะดูโง่จนน่าหัวเราะ ถ้าเข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่มีละอองชีวิตปกคลุมอยู่ มันมีวิธีอยู่นับร้อยวิธีที่จะทำให้อีกฝ่ายต้องเสียหายอย่างหนัก แต่มันกลับเป็นเรื่องยากที่จะเล่นงานมนุษย์บนที่ราบอันกว้างใหญ่แห่งนี้ จำนวนทหารที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้นคือหนึ่งในเหตุผลสำคัญ แต่ต่อให้ท่านราชาจะรวบรวมกำลังพลมาให้มันมากกว่านี้ การจะเล่นงานพวกมนุษย์ที่ปักหลักอยู่บนที่ราบลุ่มก็ยังทำให้มันต้องเสียหายไม่น้อยเหมือนกัน
ดังนั้นมันจึงจำเป็นต้องกำจัดกองทัพของมนุษย์ที่ค่อยๆ คืบเข้ามาใกล้
“เจ้าคิดว่าการต่อสู้ช่วงนี้เป็นยังไง? มีความรู้สึกว่ายากที่จะคืบรุกไปข้างหน้าไหม?”
องครักษ์นิ่งเงียบไปเล็กน้อย “นั่นเป็นเพราะว่าเรากำลังสู้แบบหลังชนฝาขอรับ”
“ไม่ เป็นเพราะศัตรูที่ทำให้เราต้องสู้แบบหลังชนฝา” อุรูคพูดแก้ “พวกเราสร้างหอสังเกตการณ์และพยายามที่จะขยายพื้นที่ปกคลุมของละอองชีวิตออกไปให้กว้างขึ้น แต่มันกลับไม่ได้ผลเหมือนเมื่อ 400 ปีก่อน นั่นเป็นเพราะว่ามนุษย์ในตอนนี้มีวิธีการโจมตีที่ไกลกว่า ‘ทูมสโตน’ ไม่ว่าเจ้าจะมองศัตรูเป็นแมลงหรือไม่ เจ้าก็จำเป็นต้องยอมรับในจุดนี้ บวกกับเรื่องที่การเคลื่อนไหวของพวกเราล้วนแต่ถูกแม่มดจับตามองเอาไว้อยู่ พวกเราถึงได้รู้สึกเหมือนขยับไปไหนไม่ได้”
มันชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือขวาไปทางรางเหล็กสีดำพร้อมกับค่อยๆ กำหมัดแน่น “ถ้าพวกเราไม่ตั้งหอคอยแห่งการให้กำเนิดขึ้นมาก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในตอนนี้ได้ ด้วยเหตุนี้พวกเราต้องฉวยโอกาสบดขยี้ดวงตาของพวกมันตอนที่พวกมันยังไม่รู้ตัว แล้วก็หักแขนขาของพวกมันทิ้ง ทำให้พวกมันไม่มีโอกาสที่จะฟื้นกลับมาอีก ต่อให้ต้องเสีย ‘ฮอร์น’ ไปสองแห่งก็ไม่เป็นไร!”
ในขณะที่พูด อุรูคแสยะยิ้มดุร้าย พลังเวทมนตร์ไหลทะลักออกมา ทำให้บรรยากาศรอบๆ สั่นสะเทือนขึ้นมา มันรู้ว่าภายในค่ายที่อยู่ตรงปลายสุดของรางเหล็กสีดำนั้นมีคนกำลังคอยจ้องมองมันอยู่ การที่มันปล่อยพลังเวทมนตร์ออกมาแบบนี้คงจะทำให้พวกนั้นแตกตื่นกันขึ้นมาแน่
“ข้าขอสัญญาว่าจะติดตามท่านไปตลอดขอรับ!” เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังที่ไหลทะลักออกมา องครักษ์ก็รีบก้มหัวลงไปทันที
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่อุรูคไม่ได้พูดออกมา
มันรับรู้ได้ว่าตัวเองใกล้ที่จะยกระดับขึ้นไปอีกขึ้นแล้ว
บางทีศึกครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาส
เพราะแต่ไหนแต่ไรมา การต่อสู้อย่างดุเดือดจนเลือดอาบนั้นเป็นวิธีในการยกระดับที่ได้ผลมากที่สุด ต่อให้กลายเป็นราชาแล้วก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธการท้าทายแบบนี้ได้
ถ้ามันสามารถก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปได้และยกระดับเป็นราชาคนใหม่ เช่นนั้นสกายลอร์ดก็จะไม่สามารถมาควบคุมมันได้อีก
ส่วนเรื่องที่ว่ามนุษย์จะเคลื่อนไหวหรือไม่นั้น อุรูคไม่ได้กังวลใจเลย
เขารู้จักความละโมภของมนุษย์ดี
ขอเพียงเหยื่อล่อมีจำนวนมากพอ พวกเขาจะต้องติดเบ็ดอย่างแน่นอน
ในที่สุดพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไป แสงสุดท้ายของวันค่อยๆ จางหายไป ท้องฟ้าถูกความมืดเข้าปกคลุม บนหัวเหลือเพียงแต่แสงดาวที่อ่อนแรง
ภาพๆ นี้เหมือนจะซ้อนทับกับภาพในตอนที่มันพุ่งขึ้นไปบนฟ้า
ในวันนี้มันแน่ใจในความปรารถนาของตัวเอง
และตอนนี้ มันก็กำลังค่อยๆ เข้าไปใกล้เป้าหมายอันนั้น
สิ่งที่มนุษย์กำลังคิดอยู่ในตอนนี้…เกรงว่าคงเหมือนกับตัวเองล่ะมั้ง?
ในศึกตัดสินชะตาชีวิตครั้งนี้ ผู้ชนะที่ยังยืนอยู่เป็นคนสุดท้ายถึงจะมีคุณสมบัติได้เข้าไปยังดินแดนที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน แล้วก็ได้สัมผัสกับแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์
มันเฝ้ารอคอยศึกที่กำลังจะมาถึง
………………………………………………………………..
ตอนที่ 1150 แผนซุ่มโจมตี (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ก็เหมือนอย่างที่ไนติงเกลว่าไว้ ที่คามิล่าดูเหนื่อยขนาดนี้นั้นเป็นเพราะความกังวลที่อยู่ในใจของเธอ
หลังผ่านไปแค่สองวัน เธอก็ฟื้นกลับมาเป็นเหมือนปกติ คล้ายกับว่าความสิ้นหวังและสับสนก่อนหน้านี้นั้นไม่เคยมีอยู่มาก่อน
นี่ทำให้โรแลนด์รู้สึกโล่งใจ
เพราะคามิล่านั้นมีความสำคัญสำหรับการทำศึกซุ่มยิงระยะไกลอย่างมาก
ถึงแม้ในสายตาของอีกฝ่ายที่มองดูเขาจะดูมีความระวังและห่างเหินมากกว่าตอนที่เพิ่งกลับมา แต่นี่กลับทำให้เขารู้สึกเป็นธรรมชาติมากขึ้น
เขารู้ว่าคามิล่ายังคงเป็นห่วงโจนอยู่ เพียงแต่ตอนนี้เธอพยายามสะกดความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจ
เพราะว่าเธอยังแบกภาระหน้าที่ที่สำคัญกว่านั้นเอาไว้บนบ่า
นอกจากทิลลี อันนาและไนติงเกลแล้ว เขาก็ไม่ได้บอกเรื่องที่โจนหายไปให้แม่มดคนอื่นรู้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งไลต์นิ่ง
โรแลนด์ได้ยินเรื่องของหน่วยสำรวจแห่งเนเวอร์วินเทอร์ของสาวน้อยมามาก แล้วก็รู้ด้วยว่าโจนเป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วย ตอนนี้ไลต์นิ่งกับเมซี่แทบจะกลายเป็นแนวเฝ้าระวังที่อยู่ด้านนอกที่สุดของกองทัพที่หนึ่ง ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา พวกเธอแทบจะไม่ได้ออกมาจากสนามรบเลย ความกดดันที่พวกเธอมีอยู่นั้นไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่ามีมากแค่ไหน บวกกับร่างกายของไลต์นิ่งที่ได้รับบาดเจ็บเพราะผู้พิฆาตเวทมนตร์ นี่จึงห้ามไม่ให้มีอะไรผิดพลาดอีกแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นข่าวที่สร้างความกังวลใจเย็นนี้ควรจะเก็บไว้เป็นความลับก่อนจะดีกว่า
ในช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น เขาก็วิ่งไปๆ มาๆ ระหว่างเมืองชายแดนที่สาม ลานทดสอบอาวุธกับห้องประชุมในปราสาทเพื่อทำการสรุปแผนการซุ่มโจมตี เนื่องจากเป้าหมายนั้นคือผู้พิฆาตเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งที่มีทั้งความคล่องตัวและความเร็วในการบินเหนือกว่าอสูรสยอง นี่จึงทำให้แผนการมีความยากมากขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก
แผนการรบที่เดิมคิดว่าใช้เวลา 2 – 3 วันก็จะกำหนดเสร็จเรียบร้อยกลับเจอปัญหาหลายๆ อย่างในการจำลองแผนการ โชคดีที่นี่เป็นแผนการที่เน้นเรื่องพลังของแนวร่วมพันธมิตร ด้วยความร่วมมือจากหลายๆ ฝ่าย สุดท้ายแผนการก็ดำเนินต่อไปได้
การประชุมแผนการรบหลังจากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์จัดขึ้นในโถงใต้ดินของเมืองชายแดนที่สาม
คนแรกที่พูดขึ้นมาคืออาลิเธีย
เธอควบคุมแกนเวทมนตร์ให้แสดงภาพมายาออกมาต่อหน้าทุกคน ลำแสงภาพที่ยาวหลายเมตรลอยอยู่กลางอากาศเหมือนกับหน้าต่าง อีกด้านหนึ่งของภาพมายาเผยให้เห็นภาพด้านหลังของซากเมืองทาคิลา
เนื่องจากภาพมายานั้นไม่ใช่หน้าต่างจริงๆ จึงไม่สามารถจะชะโงกหน้าเข้าไปดูด้านในได้ ดังนั้นทัศนวิสัยที่มองเห็นจึงค่อนข้างแคบ มุมมองหลังจากที่บีบหินเวทมนตร์หลากสีจนแตกก็ไม่สามารถปรับได้ ทำให้ยากต่อการสังเกตดูสถานการณ์รอบๆ ซากเมืองทาคิลา แต่ว่ามันส่องเข้าหาเส้นทางขนส่งหมอกแดงเพียงหนึ่งเดียวของพวกปีศาจพอดี นี่ทำให้การวางแผนซุ่มโจมตีเส้นทางขนส่งหมอกแดงมีความสะดวกมากขึ้น
‘ท่อส่งหมอกแดงเส้นนี้ตรงจากตะวันออกเฉียงเหนือไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เกือบทุกวันจะมีปีศาจกลุ่มหนึ่งเอาหมอกแดงมาส่งให้พวกปีศาจที่ประจำการณ์อยู่ในซากเหมือง ซึ่งเมื่อสิบเดือนก่อน หรือก็คือตอนที่โลก้าพบเห็นปีศาจครั้งแรกและแอชเชสเอาหินเวทมนตร์หลากสีเข้าไประบุตำแหน่ง ตอนนั้นปีศาจที่เอาหมอกแดงเข้ามาส่งนั้นมีอยู่สามกลุ่ม นี่ทำให้เรารู้ว่านับตั้งแต่ที่ปฏิบัติการณ์เพลิงเริ่มต้นขึ้น ทหารที่ตายไปและที่เหลืออยู่ของศัตรูมีจำนวนเท่าไร เนื่องจากมีเส้นทางส่งหมอกแดงอยู่เส้นเดียว ดังนั้นถ้าปีศาจระดับสูงคิดจะถอน มันก็ไม่มีทางออกไปห่างจากเส้นทางส่งหมอกแดงแน่’
“เส้นทางส่งหมอกแดงไม่สามารถทำปลอมขึ้นมาได้ใช่ไหม?” เวนดี้ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ
‘ขอเพียงปีศาจยังต้องใช้หมอกแดงในการดำรงชีวิต การวิเคราะห์อันนี้ก็ถือเป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด’ ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะเคยตอบคำถามประเภทนี้ไปหลายครั้งแล้ว แต่อาลิเธียก็ยังอธิบายอย่างอดทน ‘จริงอยู่ที่พวกมันเคยใช้แผนขนส่งหมอกแดงมากเป็นจำนวนมากเพื่อปิดบังการโจมตี หรือไม่ก็เคยแบกหมอกแดงมาเป็นจำนวนมากเพื่อใช้ในการโจมตีระยะไกล แต่ยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่พวกมันลดการใช้หมอกแดงลงเพื่อปกปิดการเคลื่อนไหวของกองทัพมาก่อน — เพราะว่านั่นเท่ากับเป็นการฆ่าตัวตาย’
“ความจริงนี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายมาก” อกาธาพูดเสริม “ถ้าปีศาจมันมีวิธีที่ทำให้ไม่ต้องพึ่งพาหมอกแดงจริงๆ มันก็อาจจะอ้อมสถานีแนวหน้าแล้วก็บุกเข้ามาโจมตีพื้นที่ด้านในของเกรย์คาสเซิลได้เลย ไม่ว่าจะตัดเข้ามาทาป่าเร้นลับ หรือว่าบุกขึ้นไปยึดที่ราบสูงเฮอร์มีสก็ล้วนแต่เป็นปัญหาอย่างมากสำหรับพวกเรา และเสาหินโอเบลิสที่ต้องใช้สายแร่หินอาญาสิทธิ์ในการให้กำเนิดก็จะไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับพวกมันอีก”
เพื่อเห็นทุกคนไม่มีข้อสงสัยอะไรอีก อาลิเธียจึงพูดต่อไปว่า ‘ส่วนใหญ่หน่วยขนส่งหมอกแดงจะประกอบไปด้วยอสูรแห่งสงครามที่ทำการปรับแต่งมาแล้วกับปีศาจคุ้มคลั่งอีกเล็กน้อย ซึ่งนั่นไม่สามารถสร้างปัญหาใดๆ ให้กับหน่วยจู่โจมพิเศษและซีกัลได้ ดังนั้นหลักๆ ที่พวกเราต้องป้องกันก็คืออสูรสยองที่บินอยู่บนฟ้า’
‘ส่วนเรื่องสถานที่’ เธอชี้ไปทางเอดิธส์ ‘ข้าเห็นด้วยกับการวิเคราะห์คนธรรมดานางนี้มาก ต่อไปให้นางมาเป็นคนพูดต่อดีกว่า’
“นี่คือผลลัพธ์จากความพยายามของทีมที่ปรึกษาและทุกคน” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือยิ้มๆ “แน่นอนว่านี่ยังต้องใช้แผ่นที่ที่ไลต์นิ่งกับเมซี่ให้มาอยู่ เชิญทุกคนดูรายงานที่อยู่ในมือ ด้านตะวันออกของเส้นทางส่งหมอกแดงแทบจะกลายเป็นที่ราบ ต้นไม้แทบจะไม่มีเหลือ ไม่เหมาะที่จะให้หน่วยจู่โจมพิเศษใช้หลบซ่อนตัว แต่สำหรับซีกัลแล้ว มันกลับเป็นมุมมองที่ีอย่างมาก ส่วนทางด้านตะวันตกจะมีความซับซ้อนกว่ามาก ไม่เพียงแต่จะมีสภาพพื้นที่ขึ้นๆ ลงๆ แต่มันยังมีเนินเขาเล็กๆ ด้วย”
โรแลนด์เปิดดูรายงานที่วางอยู่บนโต๊ะ ในนั้นมีอยู่หน้าหนึ่งที่เป็นแผนที่แบบง่ายๆ เมื่อเทียบกับแผนที่ความคมชัดสูงที่โซโรย่าวาดขึ้นมาแล้ว แผนที่แผ่นนี้ถือว่าดูเรียบง่ายกว่ามาก น่าจะเป็นเพราะไลต์นิ่งใช้การบินด้วยความเร็วสูงพาเมซี่วนดูพื้นที่แล้ววาดแผนที่แบบคร่าวๆ ออกมา ถึงแม้มันจะไม่สามารถใช้ในการระบุพิกัดให้กับกองทัพหรือการยิงปืนใหญ่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้คนเข้าใจสถานการณ์ทางด้านหลังของทาคิลาแบบคร่าวๆ ได้
“ในแฟนธ่อมมองเห็นพื้นที่ตรงนี้เพียงแค่นิดเดียว ดังนั้นจำเป็นต้องใช้แผนที่เข้ามาช่วยด้วย ซึ่งสถานที่ที่เหมาะจะให้คุณหนูแอนเดรียได้ใช้ซุ่มยิงนั้นมีอยู่สามแห่ง ได้แก่ด้านบนยอดเขา พุ่มไม้ตรงตีนเขา แล้วก็เชิงเขาที่ยื่นขึ้นมา
“ตำแหน่งที่เหมาะกับการยิงที่สุดคือยอดเขา” โรแลนด์พูด
ถึงแม้ ‘ภูเขา’ ลูกนี้จะสูงไม่เกินร้อยเมตร เมื่อมองจากระยะไกลๆ แล้วเหมือนกับเป็นเนินดินสูงหนึ่ง แต่มันยังคงเป็นจุดที่สูงที่สุดในช่วงรัศมี 500 กิโลเมตร สำหรับมือสไนเปอร์แล้ว ไม่มีอะไรที่จะสำคัญไปกว่าทัศนวิสัยการมองเห็นอีก การยิงลงมาจากมุมสูงไม่เพียงแต่จะทำให้ได้ระยะยิงที่มากขึ้น แต่ยังทำให้ไล่ตามเป้าหมายที่บินเลียดพื้นได้ด้วย
“ถูกต้องเพคะ คุณหนูแอนเดรียก็พูดเช่นนี้เหมือนกัน” เอดิธส์พยักหน้า “แต่ว่าภูเขาลูกนี้อยู่ค่อนข้างห่างจากเส้นทางขนส่งหมอกแดง ถ้าทีมที่เข้าไปขัดขวางผู้พิฆาตเวทมนตร์เอาไว้คือซีกัล ระยะทางการเข้าไปสนับสนุนของหน่วยจู่โจมพิเศษก็จะไกลขึ้น เช่นเดียวกัน บนภูเขาที่ไม่มีที่กำบังก็อาจจะทำให้อสูรสยองพบเห็นได้ง่าย ถ้าเกิดอะไรขึ้น ซีกัลก็ยากจะมาช่วยได้ทัน สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือ…มันไม่อยู่ในขอบเขตการมองเห็นของแฟนธ่อมเพคะ”
โรแลนด์ครุ่นคิดความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดประโยคเมื่อกี้ “เจ้ากังวลว่าปีศาจ….?”
“พื้นที่สูงที่สามารถมองเห็นบริเวณทั้งหมดได้ ถ้าหม่อมฉันไปยืนอยู่ฝั่งนั้นหม่อมฉันก็คงต้องป้องกันจุดนี้เหมือนกันเพคะ ถึงแม้ไลต์นิ่งจะบอกว่าปีศาจเหมือนจะไม่ได้มีการเตรียมพร้อมใดๆ แต่นี่เป็นศึกที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ ดังนั้นเราจึงควรระวังเอาไว้ก่อนจะดีกว่า ก็เหมือนกับที่พระองค์ทรงติดตั้งรูนกรีดร้องเอาไว้ตรงริมฝั่งปลายแม่น้ำแดงที่ไม่จำเป็นต้องมีทหารไปเฝ้าก็สามารถใช้เฝ้าระวังพวกปีศาจได้เหมือนกัน ไพ่ตายของหน่วยจู่โจมพิเศษก็คือการเคลื่อนไหวอย่างเป็นความลับ ถ้าเกิดร่องรอยถูกเปิดเผยออกไป หลังจากนั้นก็จะไม่สามารถซุ่มโจมตีได้อีก”
‘หม่อมฉันขอทูลตามตรงเพคะ ในยุคสมัยสมาพันธ์ สิ่งที่ยากจะอธิบายให้คนธรรมดาเข้าใจก็คือพลังเวทมนตร์’ ทันใดนั้นเอง เสียงของอาลิเธียก็ดังเข้ามาในหัวของเขา เมื่อดูจากปฏิกิริยาของคนอื่นๆ แล้ว นี่เป็นคำพูดที่เธอพูดกับเขาเพียงแค่สองคนอย่างไม่ต้องสงสัย ‘วิธีในการครุ่นคิดถึงปัญหาของพวกเขาเหมือนกับใช้ชีวิตอยู่ในอีกโลกหนึ่ง พวกเขาแทบจะไม่เอาพลังเวทมนตร์มาเป็นส่วนหนึ่งในการครุ่นคิดเลย แต่คนธรรมดาคนนี้กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น…พระองค์ทรงมีลูกน้องที่น่าสนใจอย่างมากเพคะ’
‘นั่นเป็นเพราะว่าพวกเจ้าไม่เคยสอนพวกเขาอย่างจริงจัง แต่ไหนแต่ไรมา คนที่เป็นอัจฉริยะนั้นมีแค่ส่วนน้อย ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน การศึกษานั้นคือวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับอารยธรม’ โรแลนด์ตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่เป็นธรรมชาติ จากนั้นเขาก็มองไปทางเอดิธส์ “อย่างนั้นเจ้าเลือกจุดไหนมา?”
“พื้นที่พุ่มไม้ด้านล่างตีนเขาเพคะ” เธอตอบอย่างไม่ลังเล “ทัศนวิสัยแคบไปนิด แต่ก็เป็นจุดซ่อนตัวที่ดีอย่างมาก การโจมตีเป้าหมายบนฟ้าก็ไม่ได้มีอุปสรรคอะไร แล้วก็สามารถเข้าไปช่วยเหลือองค์หญิงทิลลีได้ทุกเมื่อ ตำแหน่งตรงเชิงเขานั้นอยู่ใกล้กว่า แล้วก็มีป่าให้หลบซ่อนตัวเหมือนกัน แต่มันแทบจะอยู่ติดกับซากเมืองทาคิลา ถ้าพวกศัตรูแตกพ่ายและพากันวิ่งหนี พวกนางก็จะถูกพบเห็นได้ง่าย โดยสรุปแล้ว ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนพื้นที่พุ่มไม้ตรงตีนเขาที่ตั้งอยู่ตรงกลางก็ไม่ใช่จุดที่ดีที่สุด……”
“แต่กลับเป็นจุดที่มีความสมดุลที่สุด?” โรแลนด์พูดต่อ
เอดิธส์ยิ้มพร้อมเอามือทาบอก “ถูกต้องเพคะ ทีมเคลื่อนที่สองทีมแยกซ้ายขวาไปคุมเส้นทางหนีของผู้พิฆาตเวทมนตร์เอาไว้ ขอเพียงมันไม่เห็นถึงการเคลื่อนไหวของพวกเรา ก็ให้คุณหนูแอนเดรียเป็นคนรับผิดชอบในการซุ่มโจมตี แล้วก็ให้แม่มดอาญาสิทธิ์ไปดักมันเอาไว้ และแผนการนี้ก็ต้องพึ่งพาอาวุธที่ฝ่าบาทอันนาทรงปรับปรุงขึ้นมาใหม่เพคะ”
…………………………………………………………………………………….
ตอนที่ 1151 แผนซุ่มโจมตี (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
โรแลนด์ย่อมต้องรู้ว่าเอดิธส์หมายถึงอะไร
การผลิตกระสุนหินอาญาสิทธิ์นั้นเจอปัญหาทางด้านเทคนิคหลายอย่าง อย่างเช่นขนาดของกระสุน หรือเรื่องการใช้กระสุนร่วมกับปืน…เนื่องจากความแข็งของหินอาญาสิทธิ์นั้นขึ้นอยู่กับขนาดของมัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องพยายามผลิตมันให้มีขนาดที่ใหญ่มากที่สุด แต่หินอาญาสิทธิ์ที่มีขนาดใหญ่ก็จะทำให้ขอบเขตของสนามพลังปิดกั้นเวทมนตร์มีขนาดใหญ่ขึ้นตาม บวกกับน้ำหนักของปืนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก มันทำให้เกิดปัญหาในด้านการซุ่มโจมตี การขนส่งและการใช้งานได้
ในช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา อันนา อกาธา ลูเซียและแอนเดรียต่างทำการทดสอบร่วมกันเกือบร้อยครั้ง จนในที่สุดก็ได้ตัวเลขอย่างที่ต้องการออกมา
เพื่อที่จะทำให้กระสุนสามารถทนต่อการกระแทกในเวลาที่ยิงได้ หินอาญาสิทธิ์จึงถูกสกัดให้เป็นทรงกระบอกกว้าง 30 มิลลิเมตร ด้านนอกหุ้มด้วยแผ่นทองแดงอีกชั้นกลายเป็นกระสุนหุ้มเกราะปลายแหลม ด้วยเหตุนี้ขนาดของกระสุนที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อจัดการกับผู้พิฆาตเวทมนตร์โดยเฉพาะนี้จึงมีขนาดใหญ่ถึง 35 มิลลิเมตร เวลาที่ถืออยู่ในมือแล้วคล้ายกับกระสุนปืนใหญ่ขนาดย่อมๆ เลยก็ว่าได้
แล้วก็มีแต่ต้องทำให้มีขนาดใหญ่เท่านี้ถึงจะทำให้กระสุนหินอาญาสิทธิ์มีความแข็งพอที่จะรับแรงกระแทกจากการยิงได้โดยไม่แตก
ส่วน ‘หลุมดำทึบ’ ที่เกิดขึ้นจากหินอาญาสิทธิ์ก็มีขนาดเกือบ 1.5 เมตร นี่หมายความว่าขนาดของตัวปืนต้องยาวมากกว่า 2 เมตร เมื่อรวมกับลำกล้องปืนเข้าไปเรียกได้ว่านี่เป็นปืนที่มีขนาดใหญ่อย่างมาก ไม่มีทางที่จะขนไปทางเรืออาร์คเวทมนตร์เหมือนเวลาปกติได้เลย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องออกแบบให้มันถอดประกอบได้
ขณะเดียวกันขนาดลำกล้องปืนที่ใหญ่ขึ้นก็ทำให้ปืนมีแรงถีบที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก การจะใช้งานมันจึงไม่สามารถใช้แรงคนมารับแรงถีบได้เหมือนอย่างก่อนหน้านี้ มันจำเป็นต้องมีการติดตั้งขาตั้งที่ทำขึ้นมาเฉพาะถึงจะสามารถยิงได้
สุดท้ายสิ่งที่บรรยายมาด้านบนก็ทำให้ปืนกระบอกนี้มีรูปร่างที่แปลกประหลาดอย่างมาก คนยิงไม่สามารถเอื้อมมือไปจับก้านลูกเลื่อนได้ แล้วก็ไม่สามารถบรรจุกระสุนเข้ารังเพลิงด้วยแรงตัวเองได้ น้ำหนักของตัวปืนเวลาที่ประกอบเสร็จเรียบร้อยแล้วหนักเกือบจะเท่ากับผู้ใหญ่สองคน นอกจากนี้ต่อให้ใช้ muzzle brake กับตัวลดแรงกระแทกที่ท้ายปืน แต่แรงรีคอยล์ก็ยังรุนแรงจนอาจทำให้คนยิงได้รับบาดเจ็บอยู่ดี
โชคดีที่เขาคิดจะใช้อาวุธใหม่นี้เพียงแค่ครั้งเดียว ดังนั้นนี่จึงเป็นข้อเสียที่สามารถยอมรับได้
แต่ลำกล้องปืนขนาดใหญ่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีข้อดี
ข้อดีที่เห็นได้ชัดมากที่สุดก็คือระยะยิ่งที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ปกติระยะยิงของปืนจะหมายถึงระยะยิงที่หวังผลได้ ความจริงแล้วหากกระสุนเลยระยะยิงนี้ไปมันก็ยังมีพลังทำลายในการสร้างความเสียหายอยู่ แต่เนื่องจากกระสุนมันส่ายไปส่ายมา ทำให้ไม่สามารถกำหนดจุดตกได้ จนทำให้ไม่สามารถใช้งานได้จริงในการสู้รบ แต่สำหรับแอนเดรียแล้ว ระยะยิงที่ไกลที่สุดของปืนก็คือระยะยิงที่หวังผลได้ ขอเพียงมีโอกาสที่เหรียญจะตั้งขึ้น เธอก็สามารถยิงกระสุนให้ถูกเป้าหมายได้ นี่ทำให้อาวุธใหม่นี้สามารถยิงได้ไกลมากกว่า 10 กิโลเมตร
ตัวโรแลนด์เองก็ยิ่งเข้าใจแล้วว่าทำไมเอดิธส์ถึงเลือกพื้นที่พุ่มไม้เป็นจุดซุ่มยิง
เมื่อเทียบกับปืนไรเฟิลซุ่มยิงสำหรับต่อต้านปีศาจที่แค่ให้แอชเชสแบกให้ก็ยิงได้ก่อนหน้านี้ อาวุธที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นปืนใหญ่กระบอกนี้จำเป็นต้องทำการประกอบก่อนถึงจะใช้งานได้ ซึ่งทำให้กินเวลาอย่างมาก ถ้าหากไม่เลือกพื้นที่ที่มีที่ซ่อนที่มิดชิด ความเสี่ยงของแผนการก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“สุดท้ายก็คือเส้นทางสำหรับถอย” เอดิธส์ชี้ไปบนแผนที่พร้อมพูดต่อว่า “หลังเปิดฉากยิงใส่เมืองทาคิลาแล้ว กองทัพที่หนึ่งจะส่งทหารหน่วยหนึ่งเข้าไปทางปีกขวาประมาณ 5 – 6 กิโลเมตรเพื่อรอรับหน่วยจู่โจมพิเศษกลับมา ส่วนการซุ่มโจมตีจะเริ่มขึ้นเมื่อไร นั่นก็ขึ้นอยู่กับระดับการป้องกันของศัตรู และที่ว่ามาก็คือรายละเอียดคร่าวๆ ของแผนการนี้”
ไม่นานแผนที่ถกกันมาเกือบหนึ่งอาทิตย์ก็ได้รับการเห็นด้วยจากทุกคน หลังผ่านการคัดเลือก สมาชิกของทั้งสองหน่วยก็ถูกกำหนดตัวออกมา
หน่วยสไนเปอร์มี 5 คน ได้แก่ซิลเวีย แอนเดรีย คามิล่า แม็กกี้และแอชเชส สี่คนแรกนั้นเรียกได้ว่าเป็นคนที่จำเป็นต้องมีสำหรับการซุ่มยิง ส่วนคนที่จะเป็นคนคุ้มครองคนสุดท้ายก็มีแต่พลังของแอชเชสเท่านั้นที่มีความสมดุลมากที่สุด ส่วนคนที่จะช่วยเรื่องการสอดแนมก็คือไลต์นิ่ง เมื่อเทียบกับเมซี่แล้ว ความได้เปรียบขอเธอก็คือเธอสามารถขนส่งกระสุนหินอาญาสิทธิ์ได้ แค่ใช้เชือกห้อยลงมา หินอาญาสิทธิ์ก็ไม่สามารถส่งผลกระทบมาถึงเธอได้
ไม่อย่างนั้นทุกคนคงต้องเดินเท้าเข้าไปยังด้านหลังของศัตรู
ส่วนทีมซีกัลนั้นมีอยู่ 10 คน คนที่รับผิดชอบเรื่องการสอดแนมคือเมซี่ อีกสิบคนที่อยู่บนเครื่องบินนั้นมีทิลลี เวนดี้และแม่มดอาญาสิทธิ์อีก 8 คน คนนำทีมคือโซอี้ จำนวนสมาชิกของทีมนี้้น้อยกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ในตอนแรก นั่นเป็นเพราะว่าปืนลูกซอง ปืน RPG ต่อต้านปีศาจและชุดเกราะนั้นกินน้ำหนักในการบรรทุกส่วนใหญ่ไป ถึงแม้ฮัมมิ่งเบิร์ดจะช่วยลดน้ำหนักลงไปแล้วครึ่งหนึ่งก็ตาม
ส่วนการปะทะกันแบบซึ่งๆ หน้าของกองทัพที่หนึ่งกับปีศาจบนสนามรบก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก ค่อยๆ สู้ไปตามที่ได้ฝึกซ้อมมาก็พอ
ทรัพยากรทั้งหมดที่ต้องใช้ในแผนการนี้ถูกดึงเอาประสิทธิภาพออกมาใช้จนถึงจดที่สูงที่สุด แล้วก็ทำให้โรแลนด์รับรู้ได้ถึงปัญหาของการขนส่งที่ยังไม่สมบูรณ์ เมื่อไม่มีแม่น้ำกับรางเหล็ก จำนวนทหารที่กองทัพที่หนึ่งสามารถส่งออกไปได้ก็จะมีจำนวนจำกัดอย่างมาก ถ้าหากเขามีหน่วยหุ้มเกราะก็คงจะดีกว่านี้ จะได้วิ่งอ้อมไปด้านหลังเพื่อตัดเส้นทางการขนส่งหมอกแดงของศัตรู แล้วก็ตีกระหนาบหน้าหลังกับกองทัพหลัก หากเป็นแบบนั้นต่อให้ผู้พิฆาตเวทมนตร์คิดหนี สุดท้ายก็คงต้องตายอยู่บนทุ่งหญ้าเพราะมีหมอกแดงไม่พอใช้
หลังจบการประชุม เอดิธส์ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เธอมองมาทางโรแลนด์ด้วยท่าทางลังเล
“มีอะไรอีกหรือเปล่า?” โรแลนด์เลิกคิ้วถาม
“หลังสงครามเริ่มต้นขึ้น หม่อมฉันอยากจะให้พระองค์ไปหลบอยู่ในเมืองชายแดนที่สามเป็นการชั่วคราวเพคะ สำนักงานเมืองเองก็ด้วย” เธอชะงักไปเล็กน้อย “แล้วก็รวมไปถึงแม่มดที่อยู่ในเขตปราสาทด้วยเพคะ”
“นี่หมายความว่าไง?” ในที่สุดบารอฟที่นิ่งเงียบมาตลอดก็หาช่องในการแสดงความเห็นออกมาได้ “นี่เจ้าคิดจะสั่งการฝ่าบาทเหรอ!”
อันนาพูดด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าปีศาจอาจจะลอบโจมตีเมืองเนเวอร์วินเทอร์เหรอ?”
“ความเป็นไปได้มีไม่มาก แต่เราก็ไม่อาจมองข้ามได้เพคะ” หลังเอดิธส์พูดเปิดประเด็นไปแล้ว สีหน้าเธอกลับดูใจเย็นขึ้น “หมอกแดงนั้นคือข้อจำกัดของพวกปีศาจ แต่เราไม่อาจมองว่ามันเป็นขีดจำกัดของความสามารถของพวกมันได้ อย่างเช่นถังหมอกแดงที่พอให้ปีศาจ 3,000 ตัวใช้ทำสงครามก็เพียงพอที่จะทำให้ปีศาจ 1,000 ตัวใช้ในการเดินทางไกลได้เหมือนกัน ในเมื่อพวกมันเคยมาแล้วครั้งนึง อย่างนั้นก็อาจจะมีครั้งที่สองแน่นอน ถ้าครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ได้มาข่มขู่หรือมาเตือน หากแต่บุกเข้ามาในเขตปราสาทเลย…ถ้าปีศาจที่มาไม่ใช่ปีศาจคุ้มคลั่งธรรมดาๆ หากแต่เป็นปีศาจระดับสูงล่ะก็….”
ภายในห้องประชุมเงียบไปทันที
“ถึงแม้ต้องทิ้งทาคิลางั้นเหรอ?” อกาธาขมวดคิ้วพูดขึ้นมา
“ก็คงไม่ถึงกับทิ้งซะทีเดียว หากแต่พยายามชดเชยสิ่งที่พวกมันสูญเสียไปให้ได้มากที่สุดมากกว่า”
“ข้าเข้าใจแล้ว” โรแลนด์ยิ้มๆ “ก็ทำตามที่เจ้าว่ามาแล้วกัน บารอฟ ทางสำนักงานเมืองให้เจ้าเป็นคนจัดการ รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง?”
“พ่ะ พ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาท”
ความจริงถึงอีกฝ่ายจะไม่พูดเช่นนี้ เขาก็คิดที่จะไปชม ‘การถ่ายทอดสด’ อยู่ในโถงของเมืองชายแดนที่สามอยู่แล้ว ถึงแม้จะมองเห็นแค่เพียงมุมหนึ่งของเมืองทาคิลา แต่มันก็เป็นโอกาสที่หาได้ยากเหมือนกัน
“ทุกคน ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” โรแลนด์ลุกขึ้นยืน เขารู้ว่าหลังจบการประชุมครั้งนี้ คนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องก็ต้องเดินทางไปยังแนวหน้าเพื่อทำสงครามชิงเอาพื้นที่สำหรับการอยู่รอดกลับมา….และนี่ก็ถึงเวลาในการพูดปลุกใจครั้งสุดท้ายแล้ว “ถูกต้อง ตอนนี้ชัยชนะอยู่ห่างจากพวกเราเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ถึงแม้คนที่รู้เรื่องสงครามครั้งนี้จะมีจำนวนเพียงแค่นิดเดียว ถึงแม้คนที่รู้ความหมายของมันจะมีจำนวนเพียงแค่หยิบมือเดียว แต่สุดท้ายวันหนึ่งมันก็จะถูกมนุษย์ชาติจดจำเอาไว้ตลอดไปแน่นอน! ก่อนที่สงครามแห่งโชคชะตาจะเริ่มต้นขึ้น เกรย์คาสเซิลจะชิงเป็นฝ่ายลงมือขับไล่ปีศาจออกไปจากที่ราบลุ่มบริบูรณ์ ไม่ว่าพวกปีศาจมันจะติดพันทำศึกอยู่กับอาณาจักรซีสกายหรือไม่ แต่ความยิ่งใหญ่ของชัยชนะในครั้งนี้ก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย! สิ่งเดียวที่น่าเสียใจก็คือ…ข้าไม่สามารถเดินทางไปกับพวกเจ้าได้”
ภายในโถงประชุมไร้ซึ่งเสียงพูดใดๆ แต่ในสายตาของทุกคนกลับส่องประกายออกมา
“เอาชนะปีศาจ ยึดทาคิลากลับมา —- ข้าจะรอฟังข่าวดีจากพวกเจ้า!” เขามองไปรอบๆ พร้อมพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“พ่ะย่ะค่ะ!” ทุกคนตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
……………………………………………………………..
ตอนที่ 1152 วิธีโน้มน้าว
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากนั้นสองวัน ซีกัลก็มาลงจอดยังลานบินที่สร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ ด้านข้างสถานีปลายทางในป่า
ในขณะที่เพิ่งลงมาจากเครื่องบิน ทิลลีก็มองเห็นแอชเชสที่มายืนรอเธออยู่ข้างลานบิน
ขอเพียงเครื่องบินต้องมาลงจอดที่นี่ เธอก็จะเห็นอีกฝ่ายมายืนรอเธออยู่เสมอ แม้จะแค่เจอหน้ากันเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม
บางครั้งเธอนึกสงสัยว่าแอชเชสได้ทำภารกิจที่โรแลนด์มอบหมายให้เสร็จเรียบร้อยดีหรือเปล่า
‘วางใจได้เพคะ เวลาที่หม่อมฉันไม่รู้ ลีฟจะเข้าสู่สภาพหัวใจแห่งป่า เมื่ออยู่ในสภาพนั้นจะไม่มีใครทำร้ายนางได้เพคะ ยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งก็เป็นนางนี่แหละที่บอกหม่อมฉันว่าพระองค์มาถึงแล้ว’ ส่วนคำตอบของอีกฝ่ายก็มักจะเป็นแบบนี้
“วันนี้จะอยู่นานเท่าไรเพคะ?” กระทั่งคนอื่นๆ แยกย้ายกันไปแล้ว แอชเชสถึงเอ่ยปากถามขึ้นมา
“ถึงพรุ่งนี้เช้า” ทิลลีมองดูสายตายิ้มแย้มอันคุ้นเคยของอีกฝ่าย แต่ในใจเธอกลับไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้เลย เพราะเธอยังแอบรู้สึกผิดอยู่ในใจที่เอ่ยปากบอกโรแลนด์ว่า ‘ข้าจะพูดกล่อมนางเอง’ โดยไม่ได้ปรึกษาแอชเชสก่อน “คนที่มาด้วยยังมีขวานเหล็กกับเอดิธส์ ปฏิบัติการณ์คบเพลิงมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ที่นี่น่าจะมีอีกหลายเรื่องให้จัดการ”
“คืนเดียว….งั้นเหรอ” แอชเชสเหมือนกำลังคิดคำนวณอยู่ในใจ “อย่างนั้นพวกเราก็ไปเดินเล่นรอบๆ ค่ายก่อนก็ได้ ผลไม้ทดลองที่ลีฟปลูกเอาไว้รสชาติไม่เลวเลยเพคะ แล้วเดี๋ยวพอตกกลางคืนหม่อมฉันค่อยก่อกองไฟแล้วย่างอะไรให้พระองค์กิน….”
ทันทีที่มีเวลา เธอก็มักจะเตรียมทุกอย่างเอาไว้เสร็จสรรพแบบนี้ เหมือนว่าเธอไม่อยากจะเสียเวลาไปแม้แต่วินาทีเดียว
“ครั้งนี้ไม่ได้ คืนนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ”
แอชเชสดูเศร้าสร้อยไปทันที ก่อนจะถอนใจออกมาว่า “ก็ได้เพคะ”
เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของแม่มดอมนุษย์ ทิลลีก็อดขำออกมาไม่ได้ ความรู้สึกไม่สบายใจในตอนแรกพลันหายไปไม่น้อย “แต่ว่าคนที่ต้องยุ่งนั้นไม่ใช่ข้า หากแต่เป็นเจ้าต่างหาก เพราะอีกสองสามวันหลังจากนี้ พวกเราจะต้องอยู่ด้วยกัน ดังนั้นเราจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
“หม่อมฉัน?”
“อื้อ เพื่อจะสกัดปีศาจเอาไว้ หน่วยจู่โจมพิเศษจึงต้องการเจ้าไปร่วมทีมด้วย ดังนั้นคืนนี้เจ้าต้องเก็บของให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เช้าออกเดินทางไปแนวหน้า — แน่นอนว่านั่งซีกัลไปนะ” เธอตอบยิ้มๆ “ส่วนเรื่องลีฟ โรแลนด์ได้เตรียมการเอาไว้แล้ว เดี๋ยวข้าจะไปพูดกับนางเอง”
“…..” ในที่สุดแอชเชสก็รู้ตัว “ทำไมพระองค์ไม่บอกหม่อมฉันตั้งแต่แรกล่ะเพคะ…”
ทิลลีเบือนหน้าหลบสายตาอีกฝ่าย “เรื่องที่จะเอาอะไรมาย่างกินกันคงจะไม่ทันแล้ว แต่ถ้าให้ไปชิมผลไม้น่าจะไม่มีปัญหา…เจ้าจะพาข้าไปไหม?”
แอชเชสรีบยื่นมือออกมาทันที “แน่นอนเพคะ”
…..
หลังกินอาหารเย็นและกลับมาถึงค่ายแล้ว ทิลลีก็เล่าเรื่องแผนการที่หน่วยเสนาธิการทหารใหญ่วางไว้ให้แอชเชสฟัง
ตอนที่พูดถึงทีมสกัดปีศาจระดับสูงนั้นยังดีหน่อย แอชเชสเหมือนจะรู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร แต่พอพูดถึงเรื่องที่ต้องเอาซีกัลไปใช้เป็นแผนสำรอง สีหน้าเธอก็ดูคร่ำเคร่งขึ้นมาทันที
“อย่าบอกนะเพคะว่าคนที่ขับซีกัล…คือพระองค์”
ทีลลีนิ่งเงียบไปเล็กน้อย จากนั้นจึงหันหน้าไปสบตาเธอ “ข้าคือคนที่เหมาะสมที่สุดแล้ว”
“แต่โรแลนด์รับปากหม่อมฉันแล้วว่าจะดูแลพระองค์ แล้วก็จะไม่ปล่อยให้พระองค์เข้าใกล้สนามรบ!” แอชเชสลุกขึ้นยืนอย่างโมโห “หม่อมฉันจะไปหาเขา”
“เขาไม่ได้เห็นด้วยกับข้า”
“อะไรนะเพคะ?”
“คนที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ไม่ใช่โรแลนด์” ทิลลีสูดหายใจ “หากแต่เป็นตัวข้า เจ้าคิดว่าเขาจะใช้วิธีอะไรมาหยุดข้าล่ะ? จับข้ามัดเอาไว้ในปราสาทเหรอ?”
“เอ่อ…”แอชเชสตกตะลึงไปทันที
“แน่นอนว่าถ้ามันต้องไปเสี่ยงตายจริงๆ เขาก็อาจจะทำแบบนั้นก็ได้ แต่ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกแล้วไงว่าซีกัลเป็นแค่แผนสำรองในตอนที่แอนเดรียไม่สามารถยิงสกัดปีศาจได้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ข้าต้องทำก็แค่ขับซีกัลไปดักอยู่ข้างหน้าปีศาจ แล้วก็ปล่อยแม่มดอาญาสิทธิ์ลงไปข้างล่างเท่านั้น”
“นี่ยังอันตรายไม่พออีกเหรอเพคะ? นั่นมันผู้พิฆาตเวทมนตร์นะเพคะ….”
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องพูดแบบนี้” ทิลลีพูดตัดบทอย่างจนปัญญา “เจ้าคิดว่าข้าจะต้องไปบินแข่งกับปีศาจ แล้วก็แซงขึ้นไปอยู่ข้างหน้ามัน จากนั้นก็ปล่อยแม่มดอาญาสิทธิ์ลงไปต่อหน้ามันอย่างนั้นใช่ไหม?”
“ก็ถ้าไม่ทำแบบนี้ แล้วยังจะทำยังไงได้อีกล่ะเพคะ…” แอชเชสขมวดคิ้ว “แม่มดอาญาสิทธิ์บินไม่ได้ ถ้าไม่ทำให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นเครื่องบินแล้วก็ล่อให้มันเข้ามาสู้ด้วย แผนสำรองนี้มันก็ไม่มีทางใช้ได้ผลเลย”
สิ่งสำคัญที่สุดในการล่อศัตรูก็คือแสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อทำให้ศัตรูคิดว่ามันสามารถจัดการได้ง่ายๆ เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ ผู้พิฆาตเวทมนตร์ก็มีแต่จะเร่งความเร็วบินหนีไป และการที่เอาตัวเองไปเป็นเหยื่อล่อมันก็มีความเสี่ยงอย่างมาก
“ยังดีที่เอดิธส์ไม่ได้คิดอะไรง่ายๆ เหมือนเจ้า” ทิลลีกรอกตาใส่ “ปีศาจไม่มีทางอยู่ห่างจากหมอกแดงได้ ดังนั้นพวกเราจึงไม่จำเป็นต้องรีบบินไปดักหน้าอีกฝ่าย แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเอาซีกัลไปเป็นเหยื่อล่อด้วย พวกเราแค่ไปจัดการทีมขนส่งหมอกแดงของพวกศัตรูเอาไว้ล่วงหน้าก็พอ ผู้พิฆาตเวทมนตร์ย่อมไม่มีทางปล่อยให้เส้นทางขนส่งหมอกแดงนี้ถูกทำลายแน่ เพราะแค่ถังหมอกแดงที่มันพกติดตัว มันไม่มีทางที่จะหนีออกไปจากที่ราบลุ่มได้ พูดอีกอย่างก็คือแม่มดอาญาสิทธิ์แค่ไปดักรอแล้วก็บีบให้อีกฝ่ายมาสู้กับพวกนาง ส่วนข้ากับเวนดี้ก็จะมีเวลาเหลือพอให้หลบออกไป”
แอชเชสคิดหาคำที่จะมาแย้งไม่ออก เธอลังเลอยู่ครู่ก่อนจะพูดออกมาว่า “แต่ถ้าเกิด….”
ทิลลีส่ายหัว “ข้าไม่ได้บอกว่าแผนการนี้มันจะปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ความเสี่ยงของมันอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ แล้วก็มีคนซื่อบื้อแบบเจ้านั่นแหละถึงจะทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ความจริงแล้วนี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ข้าตัดสินใจมาที่แนวหน้า — เพราะถ้าไม่ได้มาจับตาดูเจ้าด้วยตัวเอง ข้าก็ไม่มีทางที่จะวางใจได้เลย!”
“องค์หญิง…” แอชเชสตกตะลึง
“เรียกชื่อข้า!”
“ทิล…”
แต่ยังไม่ทันทีที่เธอจะพูดจบ ทิลลีคว้าคอเสื้อของเธอเอาไว้แล้วดึงลงมา จากนั้นทิลลีก็เขย่งปลายเท้าพร้อมกับจูบไปที่ริมฝีปากของเธอ
แอชเชสรู้สึกได้ถึงสัมผัสอันอบอุ่นทันที
เท่าที่เธอจำได้ นี่เป็นครั้งแรกที่องค์หญิงลำดับที่ห้าเป็นฝ่ายรุกเธอ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ทิลลีจึงผลักเธอออก ก่อนจะเบือนหน้าหนีเล็กน้อย
ภายใต้แสงเทียนที่วูบไหวไปมา แอชเชสมองเห็นแก้มอีกฝ่ายแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่ว่าจะอยู่ที่เกาะสลีปปิ้งหรือว่าเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ทุกครั้งข้าได้แต่นั่งอยู่เฉยๆ รอเจ้ากลับมา และครั้งนี้เจ้าก็อาจจะต้องไปหลายวัน บางทีอาจจะหลายเดือน —- สมัยตอนที่ยังอยู่เมืองหลวงเก่า ไม่ว่าจะไปที่ไหนพวกเราก็อยู่ด้วยกัน ทำไมเมื่อก่อนทำได้ แล้วทำไมตอนนี้ต้องมาคอยระมัดระวังตัวขนาดนี้ด้วยล่ะ? หรือว่าตอนที่ถูกศาสนจักรไล่ล่ามันไม่มีอันตรายเลยอย่างนั้นเหรอ?”
ทิลลีชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ามาสบตาแอชเชสอีกครั้ง “ข้าไม่อยากจะรอยู่คนเดียวอีกแล้ว”
แอชเชสมองเห็นความแน่วแน่จากดวงตาของเธอ
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ” แอชเชสถอนหายใจออกมา ถ้าพูดถึงความดื้อรั้นแล้ว คนในตระกูลวิมเบิลดันนี่เหมือนๆ กันหมดเลย “แต่ว่ามีเงื่อนไขข้อนึงนะเพคะ”
“ห้ามฝืน ถ้าเจอปีศาจให้คิดถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญใช่ไหม? โรแลนด์บอกข้าเอาไว้ก่อนหน้านี้…เจ้านี่จริงๆ เลย ข้าไม่ได้โง่นะ ข้ารู้นะว่าเวลาไหนควรทำอะไร…”
“หม่อมฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้เพคะ”
“เอ๋?” ทีลลีงุนงงเล็กน้อย
“เอาอีกครั้งนึงเพคะ นี่คือเงื่อนไขของหม่อมฉัน”
พอพูดจบ แอชเชสก็ดึงทิลลีที่กำลังงุนงงเข้ามากอดอยู่ในอ้อมอก ก่อนจะก้มหน้าลงไป
…………………………………………………….
ตอนที่ 1153 สัตว์ประหลาดที่แท้จริง
โดย
Ink Stone_Fantasy
วันถัดมา ณ สถานีหมายเลขเก้า
ในที่สุดเหล่าผู้บัญชาการและเสนาธิการของแนวร่วมพันธมิตรที่ไปประชุมที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์เป็นเวลาสัปดาห์กว่าก็กลับมายังฐานบัญชาการแนวหน้า
แต่ว่าตอนนี้ที่นี่ไม่ถือเป็นฐานบัญชาการที่แท้จริงแล้ว
อกาธาสังเกตเห็นว่าสัญลักษณ์รางรถไฟที่อยู่บนแผนที่นั้นถูกลากยาวจนห่างจากซากเมืองทาคิลาประมาณ 15 กิโลเมตร แถมในระยะรัศมี 5 กิโลเมตรรอบๆ รางรถไฟยังถูกระบายให้เป็นสีเขียวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ด้วย แต่ทางพื้นที่ด้านหน้าห่างจากซากเมืองออกมาประมาณ 3 กิโลเมตรกลับถูกระบายให้เป็นสีแดง นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุดในช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา
“ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว” เฟร์ราน ชิลต์เดินเข้ามาทำความเคารพทุกคน
สมาชิกคนอื่นๆ ของกองทัพและทีมที่ปรึกษาต่างพากันลุกขึ้นยืนทำความเคารพตามเฟร์ราน น่าจะเป็นเพราะเห็นเหล่าหัวหน้าคนสำคัญของกองทัพกลับมา สีหน้าของทุกคนจึงดูเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ความรู้สึกผ่อนคลายนี้ทำให้อกาธารู้สึกเบาใจ สหายร่วมรบยังยิ้มออกมาได้ อย่างน้อยก็หมายความว่า ‘พื้นที่อันตราย’ ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมานั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อปฏิบัติการคบเพลิง
“ทำได้ดีมาก ดูเหมือนหลายวันมานี้ทุกคนจะทำงานกันอย่างหนักเลยนะเนี่ย” ขวานเหล็กพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงเดินไปที่หน้าแผนที่พร้อมกับเคาะไปบนแผนที่ “เฟร์ราน เจ้ามารายงานสถานการณ์หน่อยซิ ตรงนี้ปีศาจได้กำลังเสริมมาช่วยเหรอ?”
“ไม่ใช่ขอรับ ท่านผบ.” เฟร์รานตอบ “ตรงนั้นเป็นร่องที่ศัตรูขุดขึ้นมาขอรับ”
“ร่อง?”
“คนที่สังเหตเห็นความเคลื่อนไหวของศัตรูเป็นคนแรกคือคุณหนูซิลเวีย นางสังเกตเห็นปีศาจส่วนหนึ่งมันปีนขึ้นมาจากพื้นดินที่ถูกหมอกแดงกัดกร่อน จากนั้นก็เริ่มขุดพื้นดินให้เป็นร่องเมื่อ 6 วันก่อนหน้านี้ จากนั้นคุณหนูไลต์นิ่งก็บินไปสอดแนมดู แล้วก็พบว่ามีปีศาจกำลังขุดดินอยู่ในร่อง พวกเราก็เลยทำสัญลักษณ์ตรงนั้นให้กลายเป็นพื้นที่อันตรายขอรับ”
ขวานเหล็ก เอดิธส์และอกาธาต่างสบตากัน “หลุมเพลาะ?”
“พวกเราก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน เพราะรูปที่ไลต์นิ่งวาดให้ดูคร่าวๆ ถึงแม้มันจะดูเหมือนทำขึ้นมาอย่างหยาบๆ แต่รูปร่างของมันก็ดูแล้วคล้ายคลึงกับหลุมเพลาะของกองทัพที่หนึ่งก่อนหน้านี้มาก ร่องแนวนอนแถวหน้ากับแถวหลังห่างกันบางแถวก็สิบเมตร บางแถวก็หลายสิบเมตร แถมยังมีร่องแนวตั้งอีกหลายแถวเชื่อมต่อระหว่างร่องแนวนอนพวกนั้นไว้ด้วย” เฟร์รานส่งภาพสเกตช์แบบคร่าวๆ แผ่นหนึ่งให้ทุกคนดู “สิ่งที่แตกต่างจากหลุมเพลาะก่อนหน้านี้ของพวกเรามากที่สุดก็คือร่องที่ปีศาจจะใช้สำหรับถอยนั้นมีเยอะกว่า ยิ่งไปกว่านั้นส่วนใหญ่ยังอยู่ในแนวเดียวกันด้วย ห่างกันอย่างมากก็ไม่เหิน 2 เมตร ทำให้หลุมเพลาะของพวกมันดูแล้วเป็นระเบียบมากกว่า”
“พวกมันกำลังเลียนแบบมนุษย์” อกาธาพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา
ถ้าหากตำนานก่อนที่จะเกิดสงครามแห่งโชคชะตาครั้งแรกเป็นเรื่องจริง อย่างนั้นก็หมายความหลังเวลาผ่านมาเกือบพันปี ปีศาจมันเริ่มเลียนแบบมนุษย์อีกครั้ง
“น่าสนใจ” เอดิธส์มองดูภาพสเกตช์อยู่ครู่ก่อนจะพูดออกมา “บางทีร่องแนวตั้งพวกนั้นอาจจะไม่ได้เอาไว้ถอย แต่เอาไว้โจมตีพวกเรา”
“อืม” ขวานเหล็กพูดเห็นด้วย “การหลบอยู่ในร่องมันช่วยลดโอกาสที่จะถูกสะเก็ดระเบิดโจมตีได้ แต่พวกมันไม่มีอาวุธที่จะใช้ต่อกรกับปืนใหญ่ป้อมได้ อาศัยแค่ร่องไม่กี่ร่องนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ มีแต่ต้องบุกเข้ามาในพื้นที่ของกองทัพที่หนึ่งเท่านั้นถึงจะมีหวังที่จะคว้าชัยชนะ”
“พวกมันก็เลยขุดร่องแนวตั้งให้อยู่ใกล้ๆ กันแบบนี้เหรอขอรับ?” เฟร์รานคิดตามทันอย่างรวดเร็ว “ถ้าขุดร่องให้อยู่ติดๆ กันแบบนี้ก็จะช่วยลดร่นระยะเวลาไปได้มาก”
“อย่างนั้นพวกเราควรทำยังไง?” อกาธาถาม
“ไม่ต้องทำอะไร” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือแค่นหัวเราะออกมาเล็กน้อย “เอาไว้พวกมันขุดมาถึงระยะยิงของปืนใหญ่เมื่อไรก็ค่อยให้แบล็คริเวอร์ยิงใส่มันก็พอ ถึงแม้จะสิ้นเปลืองไปหน่อย แต่ฝ่าบาททรงเตรียมกระสุนสำหรับศึกครั้งนี้เอาไว้มากพอ…ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าพวกมันยังจะขุดหลุมตรงหน้าพวกเราทั้งๆ ที่มีปืนใหญ่ยิงใส่ไปได้นานแค่ไหน”
ขวานเหล็กมองเฟร์ราน “การก่อสร้างรางรถไฟช่วงนี้มีปัญหาอะไรไหม?”
“ศัตรูโจมตีกลับค่อนข้างบ่อย เพียงแค่ความเสียหายจากการโจมตีไม่ได้มากเท่าไรขอรับ” อีกฝ่ายรายงาน “ปีศาจคุ้มคลั่งแทบจะบุกเข้ามาใกล้พื้นที่ของเราไม่ได้เลย ดังนั้นพวกมันจึงไม่ค่อยส่งพวกปีศาจคุ้มคลั่งออกมาเท่าไร การลอบโจมตีส่วนใหญ่จึงเป็นอสูรสยองเสียเป็นส่วนมาก แต่เมื่อดูจากจำนวนของอสูรสยองที่มีแค่ 10 – 15 ตัวในการโจมตีแต่ละครั้ง ข้าคิดว่าอสูรสยองที่ยังบินได้ในเมืองทาคิลาคงมีเหลืออยู่ไม่เท่าไรแล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะมีปีศาจระดับสูงคอยคุ้มครองอยู่ พวกเราคงจะฆ่าอสูรสยองได้มากกว่านี้”
“ผู้พิฆาตเวทมนตร์ออกมาโจมตีด้วยเหรอ?” อกาธาขมวดคิ้ว
“แถมไม่ใช่ครั้งเดียวด้วย” เฟร์รานพยักหน้า “ทุกครั้งมันจะเป็นคนดึงดูดความสนใจจากหน่วยปืนกล จากนั้นอสูรสยองก็จะโจมตีตามลงมาติดๆ” เมื่อพูดถึงตรงนี้สีหน้าเฟร์รานก็ดูคร่ำเคร่งขึ้นมาทันที “ทุกครั้งที่เห็นมัน ข้ามักจะรู้สึกว่า….ตัวเองกำลังสู้อยู่กับสัตว์ประหลาดที่แท้จริงอยู่”
“หมายความว่าไง?” เอดิธส์ถามอย่างสงสัย
“มันมักจะบุกโจมตีเข้ามาจากตำแหน่งที่การป้องกันอ่อนแอมากที่สุด หลังลงมายืนบนพื้นก็จะทำให้คนที่มองดูมันเหม่อลอยไปทันทีหลายวินาทีทั้งๆ ที่ทหารเหล่านั้นพกหินอาญาสิทธิ์ติดตัวเอาไว้ด้วย” เฟร์รานค่อยๆ พูด “ถ้าไม่มีหินอาญาสิทธิ์คอยคุ้มครองอยู่ —- อย่างเช่นพวกคนงานที่หลบอยู่ในบังเกอร์แต่ก็ไม่สามารถควบคุมความอยากรู้อยากเห็นในใจตัวเองได้ก็จะตกอยู่ในสภาพหวาดกลัวจนถึงขีดสุด คนที่ยิ่งอยู่ใกล้มันก็จะยิ่งได้รับผลกระทบมาก และพวกอสูรสยองที่รออยู่บนท้องฟ้าก็จะฉวยช่องว่างตรงนี้พุ่งโจมตีลงมา ถึงแม้ซิลเวียร์จะแจ้งเตือนแนวหน้าก่อนการรบทุกครั้ง แต่การจะหยุดยั้งเป้าหมายที่พุ่งลงมาจากบนท้องฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยิ่งไปกว่านั้นถึงพวกเราจะยิงถูกมันไปครั้งสองครั้ง แต่ก็สร้างความเสียหายให้มันไม่ได้เท่าไรเลย ตอนนี้ผลงานที่ดีที่สุดของพวกเราคือยิงแขนปีศาจระดับสูงขาดไปข้างหนึ่งได้”
“ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีช่วงเวลาที่โชคร้ายเหมือนกันนะเนี่ย” เอดิธส์ยิ้มๆ ขึ้นมา
“แต่ปัญหาคือในตอนที่มันปรากฏตัวอีกครั้ง แขนข้างที่ขาดข้างนั้นกลับงอกขึ้นมาใหม่เหมือนเดิม เหมือนว่ามันไม่เคยถูกยิงอย่างไรอย่างนั้น” รอยยิ้มของเฟร์รานดูแห้งๆ ขึ้นมา “ถ้าเพียงแค่นี้ก็ว่าไปอย่าง เพราะพวกเราเองก็มีคุณหนูนาน่าอยู่ ไม่แน่พวกมันอาจจะมีวิธีการรักษาแบบพิเศษเหมือนกันก็ได้ แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร?” ขวานเหล็กถาม
“ทหารจากหลายๆ หน่วยได้มารายงานทีมที่ปรึกษา พวกเขารู้สึกว่าผู้พิฆาตเวทมนตร์เคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนยากจะไล่ตามได้ทัน เหมือนว่ามันค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับการสู้รบแบบนี้ได้อย่างไรอย่างนั้น เมื่อก่อนนี้แค่ปืนกลกระบอกเดียวก็สามารถปิดเส้นทางการเคลื่อนไหวของมัน แล้วก็บีบให้มันเปลี่ยนทิศทางได้แล้ว แต่ตอนนี้ต้องใช้ปืนกล 2 – 3 กระบอกถึงจะทำแบบนั้นได้ ถ้าไม่มีอาวุธที่ฝ่าบาททรงประดิษฐ์ขึ้นมากับหินอาญาสิทธิ์ล่ะก็ ข้าว่า…เผลอๆ แค่มันตัวเดียวก็อาจจะฆ่าพวกเราทั้งหมดได้”
“ในยุคสมัยทาคิลาพวกมันก็ทำแบบนี้” อกาธาพูดกัดฟัน “ยิ่งไปกว่านั้นขอเพียงไม่ตาย พวกมันก็จะแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม”
“ขอเพียง…ไม่ตาย?”
“ปีศาจระดับสูงจะพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองได้จากการต่อสู้ ยิ่งบาดเจ็บหนัก เวลาที่ฟื้นกลับมาใหม่อีกครั้งก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น — ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังเวทมนตร์หรือว่าฝีมือการต่อสู้ก็ล้วนแต่แข็งแกร่งขึ้นทั้งนั้น มีอมนุษย์หลายคนที่ต้องตายด้วยน้ำมือพวกมัน ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองไปได้ แต่กลับทำให้พวกมันแข็งแกร่งขึ้นด้วย” แม่มดน้ำแข็งหลับตา “แต่ไม่ใช่ปีศาจทุกตัวที่จะสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้หลังบาดเจ็บหนัก การที่มันสามารถฟื้นตัวได้ในระยะสั้นๆ แบบนี้ มีความเป็นไปได้ว่านั่นอาจจะเป็นพลังของตัวมันเอง!”
“เจ้าหมายความว่า…ปีศาจระดับสูงที่มีทั้งพลังคำสาปและพลังในการฟื้นฟูตัวเองงั้นเหรอ?” สีหน้าของขวานเหล็กคร่ำเคร่งขึ้นมาทันที
“มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นแบบนั้น” ในตอนที่อกาธาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ในดวงตาที่เยือกเย็นเหมือนน้ำแข็งของเธอเหลือเพียงแต่แววตาที่มุ่งมั่น “เฟร์รานพูดถูก มันคือสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง ถ้าให้มันหนีรอดไปได้ ต่อไปมันต้องสร้างปัญหาให้พวกเราอย่างมากแน่ — เราต้องกำจัดมันทิ้งที่นี่ ที่ซากเมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้!”
…………………………………………………………………………
ตอนที่ 1154 ชะตาชีวิตที่วนกลับมา
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังแจกแจงแผนการรบที่ทางเมืองเนเวอร์วินเทอร์กำหนดมาให้ทุกคนทราบแล้ว อกาธา ขวานเหล็กและเอดิธส์ก็นั่งรถไฟมายังแนวหน้าของสนามรบ
เพื่อที่จะทำให้การโจมตีและการขนส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น รางเหล็กจึงถูกสร้างให้กลายเป็นทางแยก 4 ทาง ถึงแม้ปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นจะทำให้การก่อสร้างดำเนินไปช้ากว่าเดิม แต่คนในกองบัญชาการต่างก็รู้ดีว่าสถานีที่สิบซึ่งเป็นสถานีสุดท้ายในปฏิบัติการคบเพลิงอาจจะไม่ได้ปรากฏขึ้นในศึกครั้งนี้
ถ้าหากสถนานีรถไฟที่เป็นเหมือนป้อมปืนใหญ่สร้างเสร็จขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าปีศาจจะทำอะไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ ในจุดนี้ผู้บังคับบัญชาของอีกฝ่ายน่าจะรู้ดี แบล็คริเวอร์ที่สร้างขึ้นมาจากเหล็กกล้ายากที่จะถูกทำลายได้ ถึงแม้การขนส่งจะถูกตัดขาดไปสองสามวัน แต่มนุษย์ก็สามารถซ่อมมันขึ้นมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว นี่ทำให้แผนการตัดเส้นทางการขนส่งที่ปกติเคยใช้ไม่สามารถใช้ได้อีก ส่วนการที่จะฝ่าดงกระสุนเข้ามาโจมตีสถานีรถไฟที่มีการป้องกันอย่างเพียบพร้อมนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตาย โอกาสเพียงหนึ่งเดียวของปีศาจก็คือการหยุดยั้งการบุกของกองทัพที่หนึ่งให้ได้ก่อนที่สถานีหมายเลขสิบจะสร้างเสร็จ
พูดอีกอย่างก็คือศึกตัดสินนั้นไม่มีเวลาเริ่มต้นที่แน่ชัด — มันสามารถเริ่มได้ทุกเมื่อ
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองด้านของรางเหล็กจึงมีบังเกอร์ หลุมเพลาะตั้งเอาไว้พร้อม
นอกจากนี้อกาธายังสังเกตเห็นว่ารางเหล็กที่เดิมพุ่งตรงไปยังเมืองศักดิสิทธิ์นั้นเบี่ยงไปจากเส้นทางเดิมเล็กน้อย ทำให้ทิศทางการวิ่งของรถไฟขนานไปกับเมืองทาคิลา ฝ่าบาทตรัสว่านี่คือการจัดวาง ‘แนวการรบ’ ที่ทำให้รถไฟบรรทุกปืนใหญ่สามารถแสดงอานุภาพของมันออกมาได้มากที่สุด
และสิ่งที่ตั้งอยู่ตรงปลายสุดของรางเหล็กก็คือรถไฟหุ้มเกราะสีดำสองขบวน
พวกมันทำหน้าที่เป็นป้อมปืนเคลื่อนที่ ป้อมปืนกลที่สามารถหมุนได้ 4 กระบอกพร้อมที่จะยิงเข้าใส่ปีศาจที่พยายามจะบุกเข้ามาให้แนวรบทุกเมื่อ ส่วนปืนใหญ่ป้อม 152 มม.ที่ติดตั้งอยู่บนรถไฟจะส่องไปบนฟ้า และคอยกระหน่ำยิงใส่เมืองทาคิลา
อกาธาค่อยๆ ก้าวขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์ที่ตั้งอยู่กลางค่อยทหาร ภาพซากเมืองที่ถูกต้นไม้ต่างๆ ปกคลุมค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเธอ
ถึงแม้เธอจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเมืองศักดิ์สิทธิ์ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่ในตอนที่ได้มาเห็นซากเมืองจริงๆ เธอยังคงรู้สึกเจ็บปวดและเศร้าใจอย่างมากอยู่ดี
ถึงแม้จะผ่านมา 400 กว่า แต่เธอก็ยังพอมองเห็นภาพอดีตเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังเหล่านั้นได้
“เจ้าเกิดที่นั่นเหรอ?” เอดิธส์ถาม
อกาธาพยักหน้า ความทรงจำในอดีตเอ่อล้นเข้ามาในหัวเธออีกครั้ง
‘ยินดีด้วย นับแต่วันนี้ไป เจ้าคือหนึ่งในสมาชิกของสมาพันธ์แล้ว’
‘สมแล้วที่เป็นผู้ตื่นรู้ระดับสูงที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ สถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับขอต้อนรับเจ้า’
‘พี่อกาธา ท่านนี่สุดยอดจริงๆ!’
……
‘พวกเจ้ารู้ไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่! พวกนางเป็นนักรบที่เสียสละทุกอย่างเพื่อสมาพันธ์นะ ตอนนี้พวกนางแค่หลับไปเท่านั้น แต่พวกเจ้ากลับจะเอาพวกนางมาเป็นหนูทดลองเนี่ยนะ!’
‘โอกาสที่จะฟื้นกลับมาหลังจากที่หัวได้รับบาดเจ็บอย่างหนักมันต่ำแค่ไหนพวกเจ้าก็รู้ไม่ใช่เหรอ เมื่อเทียบกับการที่ต้องตายไปทั้งๆ แบบนี้ พวกนางจะต้องอยากเสียสละตัวเองให้กับการทดลองแน่’
‘ข้ารับไม่ได้’
‘นี่คือคำสั่งของท่านอควาเรียส ถ้ารับไม่ได้ อย่างนั้นเจ้าก็ออกไปซะ’
…..
‘นายท่าน กำแพงถูกทำลายแล้ว กองทัพพันธมิตรคงจะยื้อเอาไว้ไม่ได้นาน! พวกเรารีบไปกันเถอะ’
‘แต่น้องสาวข้ายังไม่กลับมา’
‘นางเป็นทหารรักษาการณ์ นางไม่สามารถทิ้งแนวป้องกันได้ ถ้าท่านตายที่นี่ อย่างนั้นจะยิ่งทำให้ความตั้งใจของนางต้องสูญเปล่านะ!’
…..
ตอนนี้ยังมีเวลา พวกเจ้ารีบหนีไปเถอะ!’
‘แต่ว่า…นายท่าน ถ้าออกจากทาคิลา แล้วพวกเราจะไปที่ไหน?’
‘อย่ายอมแพ้ พวกเรายังมีความหวังอยู่! ข้ามเขา ข้ามแม่น้ำ ไปยังแผ่นดินรกร้าง…ไปสร้างดินแดนของมนุษย์ขึ้นมาใหม่ที่นั่น!’
…..
‘ทำไมท่านถึงต้องดึงดันขนาดนี้? ตอนนี้ถ้าพวกเราหนีไป ไม่แน่พวกเราอาจจะมีชีวิตรอดก็ได้’
‘ถึงแม้ข้าจะไม่มีพลังเวทมนตร์ แต่ข้าก็รู้ว่าข้าต้องทำอะไร การปกป้องท่านคือหน้าที่ของข้า’
……
‘ฝ่าบาท นางตื่นแล้วเพคะ’
ภาพความทรงจำภาพแล้วภาพเล่าปรากฏขึ้นมาหัวของเธอ
ในสายตาของแม่มดส่วนใหญ่ในสมาพันธ์ เธอคือคนแปลกประหลาด ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะ แต่เธอกลับถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ท่าทีที่เธอมีต่อคนธรรมดา หลังจากนั้นก็ถูกขับไล่ออกมาจากสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับเพราะเรื่องแผนการทหารอาญาสิทธิ์ เธอจึงได้แต่ต้องมาทำวิจัยต่อในหอทดลองของตัวเองที่อยู่ในป่าเร้นลับ
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกรักและผูกพันที่เธอมีต่อทาคิลาก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย
เมืองที่ถูกมองว่าเป็นป้อมปราการด่านสุดท้ายของมนุษย์ สถานที่ที่ให้กำเนิดผู้กล้าจำนวนนับไม่ถ้วน แม่มดจำนวนหลายพันกับคนธรรมดาจำนวนหลายแสนคนต้องทยอยล้มลงในการต่อสู้กับปีศาจ น้องสาวเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น จนถึงตอนนี้ยังคงไม่รู้ว่าเธอนอนตายอยู่ตรงไหน
การที่หนีรอดออกมาได้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกหลุดพ้น หากแต่ยิ่งกลายเป็นภาระอันหนักอึ้งที่เธอต้องรับผิดชอบ
เพียงแค่หลับตา เธอจะได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือจากเพื่อนแม่มดจำนวนไม่ถ้วนดังขึ้นที่ข้างหูเธอ
เธอไม่ได้หนีเอาตัวรอด ทุกครั้งที่ฝันร้าย อกาธาจะบอกกับตัวเองซ้ำๆ ว่าเธอมีชีวิตรอดอยู่เพื่อแก้แค้น แล้วก็ต้องชิงเอาดินแดนที่เคยเป็นของมนุษย์แห่งนี้กลับมาให้ได้
เธอเชื่อว่าแม่มดอาญาสิทธิ์เหล่านั้นก็คิดแบบนี้เช่นเดียวกัน พวกเธอถึงได้ยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้ได้
ชีวิตของพวกเธอไม่ได้เป็นของตัวพวกเธอเท่านั้น
บนซากเมืองที่อยู่บนที่ราบ ปีศาจโครงกระดูกขนาดยักษ์สองตัวตั้งตระหง่านอยู่ นั่นคืออาวุธชนิดใหม่ของพวกปีศาจ แล้วก็เป็นตัวแทนของจุดกำเนิดของฝันร้ายด้วย
เธอมองไปทางขวานเหล็ก “ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้อง”
“ว่ามา” ขวานเหล็กพยักหน้า
“ถ้ากองทัพที่หนึ่งสามารถรุกคืบเข้าไปถึงระยะ 10 กิโลเมตรได้อย่างราบรื่น การยิงปืนใหญ่ใส่เมืองทาคิลารอบแรก ข้าอยากจะให้ข้ากับแม่มดอาญาสิทธิ์เป็นคนยิง”
มีเพียงสายฟ้าและเปลวเพลิงเท่านั้นถึงจะยุติฝันร้ายนี้ได้ เสียงคำรามของปืนใหญ่ต้องให้ซากเมืองศักดิ์สิทธิ์ราบเป็นหน้ากลองอย่างแน่นอน เศษซากเมืองที่เหลืออยู่จะกลายเป็นผุยผงพร้อมกับกระดูกของผองเพื่อนเธอที่ตายอยู่ในสนามรบและกลายเป็นส่วนหนึ่งของที่ราบลุ่มบริบูรณ์
แต่ทาคิลาจะฟื้นคืนกลับมาใหม่อีกครั้ง
…..
ในช่วงเย็นของอีกสามวันหลังจากนั้น ในตอนที่ทีมก่อสร้างกำลังต่อรางเหล็กไปจนห่างจากเมืองทาคิลาประมาณ 12 กิโลเมตร ซิลเวียก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของพวกปีศาจ
ปีศาจคุ้มคลั่งจำนวนมากปีนขึ้นมาจากพื้นดินใต้เท้าของปีศาจโครงกระดูกยักษ์ที่ถูกหมอกแดงกัดกร่อน ก่อนจะทยอยวิ่งลงไปในหลุมเพลาะ จากนั้น ‘เงาดำ’ ขนาดใหญ่สองดวงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้ากำแพงเมืองที่ผุพังพร้อมกับค่อยๆ เคลื่อนที่มาข้างหน้า
เธอรู้ทันทีว่านั้นคือหินอาญาสิทธิ์ขนาดใหญ่จำนวนสองก้อน คล้ายๆ กับเสาหินอาญาสิทธิ์ที่ปรากฏขึ้นตอนทำศึกนอร์ธบาวด์ ขนาดของมันเกรงว่าจะใหญ่ความสายแร่ขนาดเล็กที่พบในเหมืองเสียอีก ขนาดของเงาดำนั้นกินพื้นที่เกือบ 150 เมตร สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือมันบดบังการมองเห็นของดวงตาเวทมนตร์เอาไว้ทั้งหมด ทำให้เธอมองไม่เห็นสิ่งที่หลบซ่อนอยู่ด้านหลังเงามืดนั้นเลย
พื้นที่การสอดแนมที่สมบูรณ์แบบมีจุดบอดปรากฏขึ้นมาสองแห่ง
ไม่ว่าอีกฝ่ายคิดจะใช้ประโยชน์ของหินอาญาสิทธิ์ทำอะไร แต่การที่พวกมันส่งปีศาจคุ้มคลั่งออกมาเป็นพันตัวแบบนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการดาหน้ากันเข้ามาตายเลย
นี่ถือสัญญาณของสงครามอย่างไม่ต้องสงสัย
ซิลเวียรีบยกหูโทรศัพท์โทรไปจากศูนย์บัญชาการทันที
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ เสียงสัญญาณเตือนก็ดังไปทั่วทั้งค่าย!
…………………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น