Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1147-1148
ตอนที่ 1147 ภาพที่ถูกฝังเอาไว้ใต้ทะเลทราย
โดย
Ink Stone_Fantasy
เช้าวันถัด ในตอนที่โรแลนด์เดินออกมาจากห้องนอนแล้วเข้ามาในโถงของปราสาท แม่มดทาคิลาที่ถูกตัดการเชื่อมต่อกับโลกแห่งความฝันพากันทำความเคารพโรแลนด์ตามแบบฉบับของสมาพันธ์
“อรุณสวัสดิ์เพคะ ฝ่าบาท ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงดูแลพวกหม่อมฉันเพคะ”
“เมื่อคืนเรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดของหม่อมฉันในช่วงหลายร้อยปีมานี้เลยเพคะ”
“หม่อมฉันจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยการเชื่อมต่อกับโลกแห่งความฝันครั้งต่อไปเพคะ”
“….เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นเหรอเพคะ?” กระทั่งแม่มดทาคิลาที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขและพึงพอใจออกจากปราสาทไปแล้ว อันนาจึงถามเขาขึ้นมาอย่างสงสัย
“งานเลี้ยงสุดหรูน่ะสิ” โรแลนด์พูดยิ้มๆ ภายใต้ความร่วมมือของโดโด้กับดาเนน อาหารบนโต๊ะเกือบครึ่งแทบจะถูกกวาดไปจนหมด โชคดีที่งานเลี้ยงแบบนี้ไม่มานั่งสนใจว่าแขกจะกินไปเท่าไร ต่อให้หยิบไปโยนทิ้งก็จะมีอาหารเติมเข้ามาใหม่ทันที ถ้าเป็นร้านบุฟเฟต์ธรรมดาทั่วไป เกรงว่าคงต้องพนักงานจับตามองแน่
“ฟังจน…หม่อมฉันรู้สึกหิวเลยเพคะ” ท้องของอันนามีเสียงโครกครากดังขึ้นมา “เมื่อไรหม่อมฉันจะได้ยินของพวกนั้นบ้างล่ะเพคะ?”
เมื่อเห็นดวงตาสีน้ำเงินที่เต็มไปด้วยความหวังของอีกฝ่าย โรแลนด์จึงยื่นมือไปลูบหัวของเธอ “อีกไม่กี่ปีเจ้าต้องได้กินแน่”
หลักๆ แล้วรสชาติอันล้ำเลิศของอาหารจะสะท้อนออกมาจากตัววัตถุดิบ ที่คนในยุคสมัยปัจจุบันสามารถลิ้มรสอาหารที่มาจากทั่วทุกมุมก็เป็นเพราะมีระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย ถ้าอยากจะทำให้เมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้กินอาหารทะเลสดๆ ที่ส่งมาจากท่าเรือเคลียวอเทอร์ อย่างน้อยก็ต้องทำให้ความเร็วในการเดินเรือในแม่น้ำเพิ่มขึ้นอีก 2 – 3 เท่า
แต่แน่นอน ต่อให้ในระยะเวลาสั้นๆ เทคโนโลยีจะยังไม่ทันสมัยพอที่จะตอบสนองความต้องการได้ แค่ขอเพียงกำจัดปีศาจออกไปจากที่ราบลุ่มบริบูรณ์ได้ เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะพาอันนานั่งซีกัลป์เพื่อไปฮันนีมูนและลิ้มรสอาหารตามที่ต่างๆ ในอาณาจักรเกรย์คาสเซิลได้
รายการอาหารเช้ายังคงเป็นขนมปังไข่ไก่ กับเครื่องดื่มยุ่งเหยิงอีกหนึ่งแก้วเหมือนอย่างทุกที สำหรับโรแลนด์ที่ได้ลิ้มรสอาหารต่างๆ นาๆ ในโลกแห่งความฝันมา อาหารเช้าเหล่านี้ย่อมไม่ค่อยน่ากินเท่าไร แต่เมื่อคิดถึงว่าหลังจากนี้แม่มดทาคิลาเหล่านั้นยังต้องกินข้าวต้มเละๆ เพื่อบำรุงร่างกาย เขาจึงกินอาหารทุกอย่างบนจานจนหมดเกลี้ยง
หลังกินอาหารเช้าเสร็จ อันนาก็บอกลาเขาและเดินทางไปยังห้องวิจัยตรงเนินเขาทิศเหนือ ไม่ว่าจะอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์หรือว่าแนวหน้าในสนามรบ น้อยนักที่เธอจะมีเวลาว่าง ความจริงแล้วแม่มดส่วนใหญ่ในสโมสรแม่มดต่างก็ยุ่งเหมือนอย่างเธอ เมื่อกลับมายืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องทำงาน เขาก็มองเห็นคนที่คุ้นหน้าเดินผ่านสวนไปอยู่ตลอดเวลา แม่มดได้หลอมรวมเข้ากับเมืองแห่งนี้และกำลังสร้างอนาคตที่พวกเธอต้องการรวมกับคนธรรมดา
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ไนติงเกลพลันผลักประตูเดินเข้ามา
“มีจดหมายส่งมาจากทหารที่ประจำการอยู่ที่ท่าเรือเรฟเวลรี่เพคะ” เธอเอาซองจดหมายหนาๆ ห่อหนึ่งวางลงบนโต๊ะ “หม่อมฉันเห็นฌอนถือซองจดหมายนี่ตอนที่อยู่ชั้นล่าง หม่อมฉันก็เลยถือมันมาด้วยเพคะ”
“หนักขนาดนี้เลยเหรอ?” โรแลนด์หยิบมีดตัดซองจดหมายขึ้นมา
“น่าจะส่งมาทางทะเลเพคะ” ไนติงเกลเดินไปด้านหลังเขา ก่อนจะหยิบเอาปลาแห้งอบน้ำผึ้งห่อหนึ่งออกมาจากในลิ้นชัก “หม่อมฉันตรวจสอบดูแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติเพคะ”
โรแลนด์เปิดซองกระดาษออกพร้อมเทของที่อยู่ข้างในออกมา นอกจากจดหมายกับภาพสเก็ตปึกหนึ่งแล้ว ยังมี ‘ก้อนหิน’ ที่ถูกห่อเอาไว้อย่างดีอีก 3 – 4 ก้อนด้วย เมื่อดูจากภายนอกแล้ว มันดูคล้ายๆ กับหินตัวอย่างที่ริคส์ให้เขามา
เขาอ่านเนื้อหาในจดหมายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมา รายงานของกองทัพที่หนึ่งนั้นทำให้เขาตกใจอย่างมาก โบราณสถานที่ว่านั้นไม่ได้มีอยู่ในถ้ำใต้ทะเลเพียงแห่งเดียวแค่นั้น หากแต่กระจายอยู่ทั่วทั้งแหลม
หลังได้รับคำสั่งจากเขา ทหารที่ประจำอยู่ที่ท่าเรือเรฟเวลรี่ก็ปฏิบัติตามคำสั่งทันที พวกเขาฝังระเบิดเอาไว้ตรงด้านบนของถ้ำใต้ทะเลที่ซิมบาดี้ระบุตำแหน่งให้ เพดานถ้ำทั้งหมดถูกระเบิดจนเปิดออก แมงป่องยักษ์หุ้มเกราะที่โกรธเกรี้ยวปีนขึ้นมาด้านบน แต่เมื่อขึ้นมาอยู่บนทะเลทรายที่ไม่มีอะไรมาคอยเป็นเกราะกำบัง มันก็ต้องถูกหน่วยปืนกลกับปืนครกกระหน่ำยิงเข้าใส่ หลังเดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าวมันก็ถูกยิงจนพรุนกลายเป็นรังผึ้ง
ผลลัพธ์อันนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร สิ่งที่เหนือความคาดหมายจริงๆ คืองานสำรวจหลังจากนั้น
จากการสำรวจของทีมวิศวกรเผยให้เห็นว่าการระเบิดนั้นทำให้พื้นที่รอบๆ เกิดการยุบตัวลงไปในระดับความลึกที่ต่างกันกินระยะทางกว่าหลายร้อยเมตร ซึ่งรุนแรงเกินกว่าจะเป็นผลจากการระเบิดได้ เมื่อดูจากภาพวาดที่แนบมาด้วยแล้ว เขาดูมองเห็นพื้นทรายขนาดใหญ่ยุบตัวกลายเป็นหลุมลงไป
หลังจากนั้นกองทัพที่หนึ่งก็ทำการระเบิดอีกหลายครั้ง แล้วก็รวบรวมคนงานให้มาขนเอาทรายและขุดหลุมลงไป สุดท้ายพวกเขาก็พบจุดสำรวจ ‘ซากอารยธรรมของมนุษย์ไม้ขีดไฟ’ อยู่รอบๆ ท่าเรือเรฟเวลรี่ทั้งหมด 16 จุด และถ้าลากเส้นเชื่อมพวกมันเข้าด้วยกัน พื้นที่ที่ครอบคลุมก็เพียงพอที่จะบรรจุท่าเรือลงไปได้ 7 – 8 แห่ง
เนื่องจากแรงงานคนมีจำกัด ในระยะเวลา 1 เดือนนี้ ชาวทะเลทรายจัดการเก็บกวาดหลุมไปได้แค่ 3 แห่งเท่านั้น แต่ผลที่ออกมากลับน่าตกใจอย่างมาก ด้านล่างพื้นทรายนั้นมีกำแพงแผ่นศิลาที่สูง 5 – 10 เมตรตั้งเรียงรายอยู่เต็มไปหมด และตรงพื้นที่ที่ไม่มีแผ่นศิลาทับเอาไว้อยู่ก็จะเป็นต้นหญ้างอกออกมา
หลังพลิกดูภาพวาดที่เหมือนจริงเหล่านั้นจนหมด โรแลนด์ก็ตกอยู่ในความเงียบทันที
อันดับแรกต้องยอมรับก่อนว่านี่เป็นข่าวดีอย่างมาก
ถ้าเอาแผ่นศิลามาใช้เป็นแหล่งทรัพยากรล่ะก็ ปริมาณยิ่งเยอะก็ยิ่งดี ตอนนี้สายการผลิตกระสุนส่องวิถีได้เตรียมพร้อมเอาไว้หมดแล้ว ถ้ามีข่าวนี้ การผลิตกระสุนก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น
ยิ่งไปกว่านั้นเพียโซอิเลคทริคซิลิไซด์ที่น่ามหัศจรรย์นี้ก็ไม่ได้มีวิธีใช้แค่วิธีเดียว เอาเท่าที่เขานึกออกตอนนี้ก็เอาไปใช้ทำเกจวัดความดัน ไฟแช็ค นาฬิกาควอตซ์ได้
แล้วก็ยังมีการสร้างลูกบาศก์เวทมนตร์ ถึงแม้ผลจากการสำรวจจะแสดงให้เห็นว่าจำนวนของเผ่ากัมมันตรังสีนั้นมีน้อยกว่ามนุษย์ไม้ขีดอย่างมาก แต่การจะรวบรวมลูกบาศก์เวทมนตร์นั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะว่าแค่ตัวอย่างที่ส่งกลับมาครั้งนี้ก็เพียงพอต่อความต้องการของเซลีนแล้ว
แต่ข้อมูลที่แอบซ่อนอยู่ในรายงานนี้กลับทำให้เขารู้สึกขนลุกขึ้นมา
เพียงแค่บริเวณรอบๆ ท่าเรือเรฟเวลรี่ก็มีการค้นพบ ‘แผ่นศิลา’ เป็นจำนวนเยอะขนาดนี้แล้ว แล้วด้านล่างแหลมเอนด์เลสทั้งหมดจะมีแผ่นหินอยู่จำนวนเท่าไร? ถ้ามองพวกมันเป็นซากร่างกายของมนุษย์ไม้ขีด จำนวนยิ่งมากก็ยิ่งหมายถึงความโหดร้ายในสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นโครงสร้างชั้นดินของปากหลุมทั้งสามแห่งก็เหมือนกัน นี่หมายความว่าพวกมันน่าจะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน
ภาพอันน่าเหลือเชื่อค่อยๆ ปรากฏขึ้นในหัวของโรแลนด์
บางทีการที่ดินแดนทางใต้สุดกลายเป็นทะเลทรายนั้นอาจจะไม่ได้เป็นเพราะขาดน้ำก็ได้ ซิลเวอร์สตรีมเองก็ไม่ได้เป็นแม่น้ำอยู่ใต้ดินตั้งแต่แรก ที่นั่นเคยเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไม่ได้ต่างที่อื่นๆ ในทวีปเลย
จนกระทั่งไฟแห่งสงครามได้ลามมาที่นี่
มนุษย์ไม้ขีดที่มีจำนวนมากมายมหาศาลถูกเผ่ากัมมันตรังสีสังหารจนหมด ซากศพวางกองเรียงรายไปทั่วทั้งดินแดน ภาพวาดบนผนังของวิหารต้องสาปสามารถยืนยันในเรื่องนี้ได้ สุดท้ายเผ่ากัมมันตรังสีก็คว้าชัยชนะและได้มรดกของพระเจ้าไปครอง
สิ่งสำคัญนั้นคือเมื่อสงครามแห่งโชคชะตาจบลง
ซากศพของสิ่งมีชีวิตที่มีซิลิคอนเป็นองค์ประกอบหลักของร่างกายไม่ได้เน่าเปื่อยอย่างรวดเร็วเหมือนอย่างสิ่งมีชีวิตที่คาร์บอนเป็นธาตุองค์ประกอบหลัก ร่างกายของพวกมันทับเป็นชั้นๆ อยู่บนพื้นหญ้า ความสูงบางทีอาจจะสูงกว่าตึกหลายชั้น แม่น้ำเองก็ถูกถมเอาไว้ ป่าไม้เองก็ถูกกดเอาไว้ พืชส่วนใหญ่ส่วนใหญ่ไม่มีพื้นที่ให้เจริญเติบโต มีเพียงเถาวัลย์ที่จะเลื้อยขึ้นมาจากรอยแตกเพื่อรับเอาแสงอาทิตย์ได้
ระบบนิเวศของดินแดนทางใต้สุดถูกทำลายลง
แต่ธรรมชาตินั้นเต็มไปด้วยความเมตตา
ไม่ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตหรือไม่มี สุดท้ายก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลก
หลังจากนั้นหลายร้อยปี ร่างกายที่อยู่ชั้นบนสุดค่อยๆ ถูกลมพัดจนผุกร่อนกลายเป็นเม็ดทรายแล้วก็ค่อยๆ ร่วงลงมา พวกมันปลิวไปตามลมจนถมรูต่างๆ จนเต็ม ในระหว่างนี้ เถาวัลย์ต่างๆ ที่งอกเลื้อยขึ้นมาค่อยๆ พากันตายลง มีเพียงที่ว่างที่ไม่ถูกซากศพของมนุษย์ไม้ขีดทับเอาไว้ถึงจะมีพืชงอกขึ้นมา จำนวนอันมหาศาลของมันคอยป้องกันลมและทรายไม่ให้รุกล้ำเข้ามา แล้วก็ทำให้กรวดกลายเป็นดินโคลนอีกครั้ง
หลักผ่านการเปลี่ยนแปลงไปร้อยปี หรืออาจจะเป็นพันปี
ซากศพจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านบนค่อยๆ ทับถมกันจนกลายเป็นทะเลทราย พวกมันคอยกั้นซากศพชั้นล่างไม่ให้สัมผัสกับลมทะเล แล้วก็ทำให้ชายฝั่งสูงขึ้นจากเดิมไปสิบกว่าเมตร ส่วนการไหลไปมาของเนินทรายที่อยู่ด้านบนก็ทำให้แรงกดที่พื้นที่ด้านล่างได้รับนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แผ่นศิลาส่องแสง แสงดับ ส่องแสง แสงดับ การสลับสับเปลี่ยนที่กินระยะเวลายาวนานแบบนี้ไม่สามารถทำให้เกิดความหลากหลายของพืชพรรณต่างๆ ได้ แต่มันกลับทำให้หญ้าบางชนิดที่มีช่วงอายุในการเจริญเติบโตที่ยาวนานมีชีวิตรอดมาจนถึงปัจจุบันได้ ส่วนพื้นที่ว่างเหล่านั้นก็กลายเป็นโอเอซิสบนซิลเวอร์สตรีมที่หล่อเลี้ยงชาวโมเกน
พูดอีกอย่างก็คือตอนนี้เมืองไอรอนแซนด์และท่าเรือเรฟเวลรี่ต่างก็สร้างอยู่บนกองซากศพที่กลายเป็นพื้นทราย
ภาพภาพนี้ทำให้โรแลนด์รู้สึกขนลุกขึ้นมา
เขาถึงขนาดหวังว่าตัวเองจะเดาผิด
ถ้าสงครามแห่งโชคชะตาไม่มีจุดสิ้นสุดจริงๆ อย่างนั้นบนโลกนี้จะต้องมีเครื่องสังเวยอีกมากน้อยเท่าไร?
ใต้ผืนแผ่นดิน ใต้ท้องทะเลลึก….
เกรงว่าคงจะไม่มีที่ไหนที่ไม่เปื้อนเลือด
……………………………………………………………………….
ตอนที่ 1148 หัวหน้าแม่บ้านที่กลับมา
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฝ่าบาท…” เสียงของไนติงเกลดึงตัวเขากลับออกมาจากความคิด “พระองค์ทรงเป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ?”
“เอ่อ ข้าทำไมเหรอ?” โรแลนด์กระแอมเล็กน้อย
“เหม่อมองแผนที่ สีหน้าดูไม่ค่อยดี ในนั้นมันมีข่าวอะไรไม่ดีเหรอเพคะ?”
“เปล่า บางทีข้าอาจจะคิดมากไปเอง” โรแลนด์ส่ายหัว ก่อนจะเดาการคาดเดาของตัวเองออกมาให้เธอฟัง “ถ้าโลกเป็นแบบนั้นจริงๆ แบบนั้นมันจะ
ปัญหาข้อหนึ่งที่ยากจะมองข้ามได้ก็คือสำหรับสิ่งมีชีวิตแล้ว ช่วงเวลาพันปีถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สั้นอย่างมาก
ตอนที่เผ่ากัมมันตรังสีกับมนุษย์ไม้ขีดกำลังทำสงครามแห่งความเป็นความตายกันอยู่ มนุษย์อยู่ที่ไหน? แล้วปีศาจอยู่ที่ไหน?
ถ้าสงครามแห่งโชคชะตาไม่มีที่สิ้นสุด อย่างนั้นอารยธรรมที่ชนะสงครามก่อนหน้านั้นล่ะ?
ไม่ว่าสงครามจะโหดร้ายทารุณขนาดไหน มันก็ต้องมีผู้ชนะอยู่
แต่ทำไมพวกมันถึงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนกัน?
เมื่อคิดถึงประเด็นนี้ โรแลนด์พลันรู้สึกว่าหนทางเบื้องหน้ามีความยากลำบากอย่างมาก
“อย่างนี้นี่เอง…” ไนติงเกลเหมือนมีอะไรอยากจะพูด “ต่อให้พระองค์ทรงเดาถูกทั้งหมด แต่หม่อมฉันคิดว่ามันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้ปัญหา”
โรแลนด์มองเธออย่างแปลกใจ “วิธีอะไร?”
“บอกไว้ก่อนนะเพคะ หม่อมฉันไม่ใช่อันนา ดังนั้นหม่อมฉันไม่อาจพูดมันออกมาเป็นข้อๆ ได้ นี่เป็นแค่ความคิดส่วนตัวของหม่อมฉันเท่านั้น พระองค์ห้ามหัวเราะ เข้าใจไหมเพคะ”
“ข้าจะไม่หัวเราะ”
ไนติงเกลเอาปลาแห้งใส่เข้าไปในปากตัวเองแผ่นหนึ่ง “ก่อนอื่นเราต้องยอมรับว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะเปลี่ยนแปลงได้ในช่วงหนึ่งหรือสองอายุคนใช่ไหมเพคะ? ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการกระจายข้อมูลออกไปจนกว่าจะถึงเวลา”
“อืม…มีเหตุผล” โรแลนด์พยักหน้า “จากนั้นล่ะ?”
“มีแค่นี้แหละเพคะ”
“หา?” เขางุนงงเล็กน้อย
“เพราะว่านั่นมันไม่เกี่ยวกับพวกเราแล้วนี่เพคะ” ไนติงเกลพูดต่อ “ชีวิตคนเราสั้นแค่นี้เอง แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้สำเร็จตอนที่มีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ทำไมต้องไปปวดหัวกับเรื่องหลังจากนี้ด้วยล่ะเพคะ ส่วนคนเหล่านั้นจะทำยังไง จะทำสำเร็จหรือไม่ นั่นเป็นหน้าที่ของพวกเขา ต่อให้พระองค์คิดจนปวดหัวมันก็ไม่มีประโยชน์หรอกเพคะ”
เขายิ้มมุมปากขึ้นมา…นี่ถือว่าเป็นการปลอบหรือเปล่า? แต่ไม่ว่ายังไง ความคิดที่ตรงไปตรงมาและชัดเจนแบบนี้ นี่แหละคือสไตล์ของเธอ
“พระองค์จะว่าหม่อมฉันมองอะไรสั้นๆ ใช่ไหมเพคะ?” ไนติงเกลหรี่ตา
“เปล่า” โรแลนด์หุบยิ้มทันที “เป็นความคิดที่ฉลาดมาก”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้วเพคะ” เธอเชิดหน้าเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างได้ใจว่า “ยิ่งไปกว่านั้นหากพระองค์กลัวว่าคนรุ่นหลังจะมีความสามารถไม่มากพอที่จะแบกรับภาระหน้าที่นี้ได้ พระองค์ก็แบ่งภาระนี้ไปให้เผ่าพันธุ์อื่นช่วยได้นี่เพคะ”
“แบ่ง? ยังไง?”
“สร้างโบราณสถานขึ้นมา แล้วบันทึกความจริงของสงครามแห่งโชคชะตาเอาไว้ — นี่เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ถ่ายทอดข้อมูลเหมือนกัน พระองค์ก็ทรงรู้ว่ามีเผ่ากัมมันตรังสีกับมนุษย์ไม้ขีดจากในภาพบนผนังของวิหารต้องสาปไม่ใช่เหรอเพคะ? เราสร้างป้อมใต้ดินที่แข็งแกร่งเอาไว้ตามที่ต่างๆ ของเกรย์คาสเซิล แล้วสลักภาพไว้บนผนังเพื่อเตือนอารยธรรมอื่นๆ ที่เข้าร่วมสงคราม ถ้าเวลายาวนานมากพอ หม่อมฉันคิดว่ายังไงก็ต้องมีซักหนึ่งหรือสองเผ่าพันธุ์ที่อยู่รอดไปถึงช่วงเวลานั้นแน่นอนเพคะ”
โรแลนด์ตึกตะลึงทันที คำพูดของไนติงเกลนี้ไม่เพียงแต่จะไม่ใช่การมองอะไรสั้นๆ หากแต่ยังเรียกได้ว่าเป็นความคิดที่ยาวไกลอย่างมาก สมมติว่ามนุษย์สูญพันธุ์ไปในศึกแห่งการตัดสินชะตาชีวิต แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามนุษย์จะถอนตัวออกไปจากเวทีแห่งการต่อสู้นี้ หากใช้วิธีการนี้ในการถ่ายทอดความคิดออกไป ขอเพียงมีผู้ชนะเหลือรอดมาได้ พวกเขาย่อมต้องเอาอารยธรรมมนุษย์บันทึกลงไปในประวัติศาสตร์แน่นอน
บางทีแม้แต่ตัวเธอเองก็คงไม่รู้ถึงความหมายที่แฝงอยู่ในวิธีการนี้
ผ่านไปครู่ใหญ่ โรแลนด์จึงส่ายหน้ายิ้มๆ ขึ้นมาพร้อมกับเทเครื่องดื่มยุ่งเหยิงให้เธอแก้วหนึ่ง “ด้วยหัวสมองของเจ้า คิดแบบนี้ได้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว”
“ครึ่งแรกตัดออกไปได้ไหมเพคะ” ไนติงเกลถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่เธอก็ยังรับเอาแก้วมาอย่างไม่ลังเล
ถูกต้อง นั่นเป็นวิธีสุดท้ายที่เขาจะใช้ เขาคิดในใจ แต่ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะเป็นผู้บันทึกประวัติศาสตร์เองมากกว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกบันทึกอยู่ในบันทึกของคนอื่น
หลังสั่งให้ฌอนนำเอาห่อแผ่นหินไปส่งให้เซลีนแล้ว โรแลนด์ก็จมอยู่กับงานทั้งวัน พอตกบ่าย คนที่เขารอคอยอยู่นานอีกคนหนึ่งก็เดินทางมาถึงปราสาท
หัวหน้าแม่บ้านแห่งเกาะสลีปปิ้ง คามิล่า แดริล
ที่่น่าแปลกก็คือเธอไม่ได้มาพร้อมกับทิลลี เธอดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องความเรียบร้อยของการแต่งตัวเลย แถมยังดูมอมแมมอีกด้วย
นี่หมายความว่าอีกฝ่ายอาจจะวิ่งมาที่นี่ทันทีที่ลงจากเรือ แม้แต่มนตร์แห่งสลีปปิ้งก็ไม่ได้ไป
โรแลนด์แอบรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
“เจ้าเพิ่งมาถึงเนเวอร์วินเทอร์เหรอ?” เขาชงชาให้คามิล่าด้วยตัวเอง “เหนื่อยหน่อยนะ แล้วการสำรวจของธันเดอร์ราบรื่นดีไหม?”
อีกฝ่ายดื่มชาเข้าไปรวดเดียว แถมยังเกือบสำลักน้ำชาด้วย “แค่ก…แค่กๆ เกาะชาโดว์เกิดเรื่องแล้วเพคะ โจนนาง นาง…หายไปเพคะ!”
“หายไป?” โรแลนด์ตกใจ ก่อนจะหันไปสบตากับไนติงเกล “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าค่อยๆ เล่าให้ข้าฟังหน่อย”
“….เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ประมาณนี้แหละเพคะ” คามิล่าใช้เวลาครึ่งชั่วโมงกว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดจบ “พวกหม่อมฉันรออยู่ตรงทะเลด้านนอกสองวัน แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของโจนเลย ธันเดอร์บอกว่ามีแต่พระองค์เท่านั้นที่อาจจะรู้ว่าโจนเจออะไรที่ใต้น้ำกันแน่ ภาพที่บิดเบี้ยว เกาะเสาที่ลอยอยู่กลางน้ำ…มันมีของแบบนั้นอยู่จริงๆ ด้วยเหรอเพคะ?”
มันเป็นไปได้ยังไงเนี่ย!
โรแลนด์นวดขมับตัวเอง ยิ่งเข้าใจโลกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงความแปลกประหลาดของมัน ก่อนหน้านี้เข้าคิดว่าในโลกแห่งความฝันนั้นเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด แต่ตอนนี้ดูเหมือนโลกแห่งความจริงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไรเลย
เสาหินกับปลาที่ถูกดึงจนยืดยาว เมื่อฟังจากที่คามิล่าเล่ามาแล้วเหมือนไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากแรงกระทำภายนอก หลักฐานที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือก่อนที่โจนจะถูกดึงลงไปใต้ทะเล คามิล่ามองเห็นนิ้วของเธอจู่ๆ ก็ยืดยาวออก ถ้ามันถูกดึงออกจนยืดยาวแบบนั้นจริงๆ คามิล่าที่อยู่ในสภาวะเชื่อมต่อทางวิญญาณอยู่กับโจนจะต้องรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างมากแน่
แต่ความจริงไม่ว่าจะเป็นโจนหรือคามิล่าก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ บนร่างกายเลย
สิ่งเดียวที่เขานึกออก นั่นก็คือบิดเบือนของพื้นที่
ถึงแม้จะฟังดูแปลกประหลาด แล้วก็ไม่มีหลักฐานใดๆ มายืนยัน แต่เขารู้ว่าตัวเองจำเป็นต้องพูดอะไรบางอย่าง ที่คามิล่าไม่ได้ไปหาทิลลีก่อน แล้วก็ไม่ได้รอจนตัวเองหายเหนื่อยแล้วค่อยมารายงาน เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะว่าเธออยากรู้ว่าโจนเป็นยังไงบ้าง เมื่อดูจากดวงตาที่มีเส้นเลือดฝอยแดงเต็มไปหมด บางทีเธออาจจะนอนไม่หลับมาตลอดทาง การที่คามิล่ารู้สึกร้อนใจขนาดนี้ เกรงว่าเธอคงรู้สึกเป็นห่วงแล้วก็รู้สึกผิดอย่างมากด้วย
พูดอีกอย่างก็คือต่อให้เป็นเรื่องที่ฟังดูไร้สาระ เขาก็ต้องแต่งมันออกมา
โชคดีที่มี ‘เส้นทะเล’ ที่ตั้งฉากกับพื้นทะเลเกิดขึ้นให้เห็นเป็นตัวอย่างมาแล้ว ดังนั้นต่อให้เขาพูดไร้สาระแค่ไหน มันก็ไม่มีทางที่จะฟังดูเกินจริง
โรแลนด์นวดขมับ เขานิ่งเงียบอยู่ครู่ก่อนจะพูดออกมาว่า “ข้าคิดว่าการวิเคราะห์ของธันเดอร์นั้นถูกต้อง”
คามิล่าเงยหน้าขึ้นมาทันที “พระองค์ทรงคิดว่าโจนยังมีชีวิตอยู่เหมือนกันเหรอเพคะ?”
“อืม แถมนางยังอาจจะไปทางตะวันออกของเส้นทะเลด้วย”
“แค่พริบตา ห่างออกไปเป็นพันกิโลเมตร นี่…มันเป็นไปได้เหรอเพคะ?”
“ข้าก็แค่คาดเดาเท่านั้น แต่สิ่งแรกที่สามารถมั่นใจได้ก็คือน้ำทะเลในบริเวณทะเลชาโดว์ลดลงจริงๆ ใช่ไหมล่ะ? อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงอันนี้มันยังส่งผลต่อน้ำขึ้นน้ำลงของเกาะฟยอร์ดด้วย ปริมาณของน้ำจะต้องเป็นปริมาณที่น่าตกใจอย่างมากแน่ อย่างนั้นน้ำที่ลดลงมันไปที่ไหนล่ะ?” โรแลนด์หยิบปากกาขนนกขึ้นมาวาดวงกลมวงหนึ่งลงไปบนกระดาษ “ข้าเดาว่ามันไปทางตะวันออกของเส้นทะเล”
คามิล่าครุ่นคิด “ธันเดอร์เหมือนจะเคยพูดเอาไว้ว่าน้ำทะเลแถวเส้นทะเลมันไหลไปทางตะวันตก”
“เพราะถ้าไม่ไหลกลับมาเติมล่ะก็ ขอเพียงน้ำลดแค่สองสามครั้ง ทะเลน้ำวนก็คงจะแห้งจนเห็นก้นทะเลแล้ว” โรแลนด์วาดวงกลมที่สองลงไป ระยะห่างของวงกลมทั้งสองห่างกันประมาณหนึ่งฝ่ามือ “ปัญหาอยู่ที่ถ้าน้ำเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งแล้วค่อยไหลออกมา อย่างนั้นน้ำทะเลมันก็ควรจะไหลเป็นออกมาเป็นระลอกๆ แต่นี่มันกลับไหลแบบต่อเนื่องออกมา ถ้าอยากจะทำแบบนี้ได้ มันก็จะต้องไหลผ่านวงกลมสองวงในพริบตา อย่างนั้น…เส้นทางที่เร็วที่สุดคือเส้นทางไหนล่ะ?”
คามิล่ายื่นมือออกไปอย่างไม่แน่ใจ ก่อนจะลากมือเป็นเส้นตรงระหว่างวงกลมทั้งสองวง “ไปตรงๆ เหรอเพคะ?”
“ตามหลักแล้วมันควรจะเป็นเช่นนั้น” โรแลนด์เติมเส้นตรงลงไปบนวงกลมทั้งสองวง “แต่มันยังมีอีกความเป็นไปได้หนึ่ง” จากนั้นเขาก็พับกระดาษให้วงกลมทั้งสองวงทับซ้อนกันพอดี “แค่นี้มันก็จะไหลออกมาได้ในพริบตาแล้ว”
คามิล่าสูดปากด้วยความตกใจ “มัน…จะเป็นไปได้ยังไง?”
“จริงอยู่ที่มันน่าเหลือเชื่อ แต่ว่าถ้ามันเป็นสิ่งที่พลังเวทมนตร์สร้างขึ้นมา เราก็ไม่อาจมองมันแบบธรรมดาๆ ได้ อย่างไนติงเกลเองก็สามารถเคลื่อนที่ในระยะทางสั้นๆ ได้ในพริบตา แถมยังสามารถทะลุสิ่งกีดขวางที่คนธรรมดาไม่สามารถวิ่งผ่านไปได้ ซึ่งหลักการทั้งสองอันนี้มันก็คล้ายๆ กัน”
“….” คามิล่านิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“นอกจากนี้ ถึงแม้นี่จะเป็นเพียงข้อสมมติ แต่ภาพที่เจ้าพูดถึงกลับน่าสนใจอย่างมาก” โรแลนด์เอาปากกาขนนกแทงเข้าไปในวงกลม “อย่างเช่นปากกานี้สามารถทะลุจากวงกลมหน้าไปยังวงกลมหลังได้ในพริบตา แต่ความจริงแล้วมันยังคงเดินทางเป็นเส้นตรงอยู่ พูดอีกอย่างก็คือเมื่อมองจากภายนอก ปลาตัวนั้นสามารถว่ายน้ำเป็นระยะทางพันกิโลได้ในชั่วพริบตา เจ้าคิดว่าเจ้าจะมองเห็นภาพแบบไหนล่ะ?”
คามิลาพูดงึมงำขึ้นมา “หด…เล็กลง?”
“ถูกต้อง ของที่อยู่ใกล้จะใหญ่ ของที่อยู่ไกลจะเล็ก หลักการนี้ยังคงใช้ได้อยู่ ดังนั้นข้าคิดว่าปลานั่นไม่ได้ถูกดึงให้ยาว หากแต่ร่างกายของมันอยู่ห่างเจ้าออกไปเป็นพันกิโล มันก็เลยดูทั้งเล็กทั้งยาว”
“ฟู่ว…” เธอถอนหายใจออกมายาวๆ ในที่สุดสีหน้าก็ดูผ่อนคลายขึ้น “ถ้าด้านนอกวงกลมที่อยู่อีกด้านก็เป็นทะเลเหมือนกัน โจนก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่”
โรแลนด์พยักหน้า
“ขอบพระทัยเพคะ…” คามิล่าเหมือนอยากจะพูดอะไรอีก แต่จู่ๆ ร่างกายเธอก็ล้มลงไปนอนกองกับพื้น
ไนติงเกลรีบเข้าไปพยุงเธอเอาไว้ทันที
“นางน่าจะเหนื่อยเกินไป”
“ส่งนางไปพักที่ตึกแม่มดแล้วกัน เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปบอกทิลลี”
“เพคะ” ไนติงเกลพยุงคามิล่าเอาไว้ ก่อนจะหายตัวเข้าไปในหมอกมายา
…………………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น