Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1145-1146
ตอนที่ 1145 การแลกเปลี่ยนและเหตุการณ์แปลกๆ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“คนๆ นั้นคือ…” ดาเนนเอาเค้กยัดใส่ปากพร้อมกับพูดงึมงำออกมา
“อื้อ เหมือนกับรูปที่เห็นในหนังสือพิมพ์ น่าจะไม่ผิดแน่” โรแลนด์พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนมาที่งาน เขาเองก็ทำการบ้านด้วยการหาข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มทุนโคลฟเวอร์มาคร่าวๆ คนที่ยืนอยู่บนเวทีคือการ์โด สมาชิกในบอร์ดบริหารของกลุ่มทุนโคลฟเวอร์และเป็นประธานของแผนกก่อสร้าง เป็นลูกคนที่ 5 ของตระกูล แล้วก็เป็นพ่อของการ์เซีย
ตอนแรกเขานึกว่าจะได้เห็นวิมเบิลดันที่สาม แต่ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าซีโร่ไม่ได้กลืนกินราชาแห่งเกรย์คาสเซิลที่โชคร้ายคนนั้น ขณะเดียวกันนี่ก็ทำให้เขามั่นใจด้วยว่าผู้อาศัยที่อยู่ในตึกแห่งวิญญาณนั้นถูกรวมเข้ากับโลกแห่งความฝันโดยสมบูรณ์และมีความทรงจำกับความสัมพันธ์เป็นของตัวเอง ส่วนเรื่องที่ว่าในโลกแห่งความฝันมีการ์เซียก่อนหรือว่ามีการ์โดก่อน ตระกูลโคลฟเวอร์ถูกสร้างขึ้นมาเพราะการมีอยู่ของการ์เซียหรือว่าใช้วิธีสุ่มเอาการ์เซียเข้ามาอยู่ในความสัมพันธ์ของตระกูลโคลฟเวอร์ เกรงว่าเขาคงไม่มีทางรู้ได้ ถ้าเขาไม่มีความทรงจำทั้งหมดของอีกโลกหนึ่ง เกรงว่าเขาคงจะคิดว่าทุกอย่างที่นี่คือเรื่องจริง
ถึงแม้โลกแห่งความฝันจะกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เขาไม่เข้าใจ แต่อย่างน้อยฐานรากของโลกนี้ก็ยังสร้างขึ้นมาจากความทรงจำของเขา ด้วยเหตุนี้ทุกที่จึงมีความรู้สึกไม่เข้ากันอยู่เต็มไปหมด แต่จุดนี้กลับทำให้โรแลนด์รู้สึกอุ่นใจ เพราะปัจจัยที่ถูกบีบให้เข้ามารวมอยู่ด้วยกันเหล่านั้นเคยย้ำเตือนเขาอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเขากำลังอยู่ในโลกแห่งความฝัน
อย่างเช่นนามสกุลของการ์เซียที่ก่อนหน้านี้คือ ‘วิมเบิลดัน’ แต่พอมาอยู่ที่นี่นามสกุลของเธอกลับกลายเป็น ‘การ์’ การเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มีอยู่เต็มไปหมด ถ้าบอกว่าดอม คอบบ์ในภาพยนตร์เรื่องอินเซปชั่นจำเป็นต้องมีของใช้ส่วนตัวเป็นโทเทมเพื่อแยกแยะว่าตัวเองอยู่ในโลกแห่งความจริงหรือความฝัน อย่างนั้นตัวเขาก็ไม่มีทางที่เกิดความสับสนแบบนั้นเมื่ออยู่ในโลกแห่งความฝัน
การ์โดกล่าวเปิดงานและขอบคุณผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนที่มาร่วมงานและให้การสนับสนุนงานเลี้ยงนี้ อีกทั้งในตอนสุดท้ายเขายังมีการเอ่ยถึงลูกสาวที่ตัดสัมพันธ์ไปแล้วด้วย ก็เหมือนกับที่การ์เซียคาดเดาเอาไว้ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดเมื่อพูดถึงเรื่องที่ลูกสาวของตัวเองไม่มาร่วมงานเลี้ยง อีกทั้งยังแสดงให้เห็นด้วยว่าตัวเขาพร้อมที่จะคุยดีๆ กับเธอทุกเมื่อ
ด้านล่างเวทีมีเสียงปรบมือดังสนั่นขึ้นมา กล้องในมือนักข่าวเองก็สาดแสงแฟลชออกมา
มีเพียงโรแลนด์เท่านั้นที่แอบยิ้มอยู่ในใจ
สรุปแล้วก็คือถ้าเขาล้มเลิกแผนการปรับปรุงชุมชนหรือว่าให้ค่าชดเชยที่สมน้ำสมเนื้อ การ์เซียก็คงไม่ทะเลาะกับเขาถึงขนาดนี้
พอพูดจบ การ์โดก็ยกแก้วแชมเปญขึ้นมาดื่มฉลอง
ช่วงเวลาที่โรแลนด์รอคอยได้มาถึงแล้ว
“ปะ เดี๋ยวค่อยมากินต่อ” เขาส่งสัญญาณให้แม่มดทั้งสามคน จากนั้นจึงยกแก้วแชมเปญเดินเข้าไปหาการ์โด
…..
“ประธานเฮ่อ ขอบคุณมากนะครับที่มาร่วมงานในวันนี้ โปรเจคกรีนแลนด์หลังจากนี้ต้องรบกวนขอการสนับสนุนจากคุณด้วยนะครับ”
“อะไรกัน ร่วมงานกันมานานขนาดนี้ยังมาพูดอ้อมค้อมอะไรอีก!”
“คุณอวี่หาน ไม่ทราบว่าสนามที่จะใช้ในการแข่งชิงแชมป์ที่กลุ่มทุนโคลฟเวอร์สร้างขึ้นมาใหม่ตรงเขตเมืองทางใต้เป็นยังไงบ้างครับ ชอบไหมครับ?”
“ฉันยังไม่เคยไปเลยค่ะ”
“อาา…ฮ่าๆๆ ปีนี้คุณต้องได้ไปยืนอยู่บนนั้นแน่ครับ”
ในขณะที่การ์โดเดินทักทายแขก VIP แถวหน้าเสร็จเรียบร้อยและกำลังเดินออกมา โรแลนด์ก็รีบก้าวไปดักหน้าเขาไว้
“เธอคือ…” อีกฝ่ายดูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
“โรแลนด์ครับ ผมมาร่วมงานแทนการ์เซียครับ” เขาตอบตรงๆ
“ที่แท้ก็เธอที่เอง…ยินดีที่ได้เจอเธอ” สีหน้าการ์โกกลับมาเป็นปกติ ก่อนจะหมุนตัวไปหยิบเอาแชมเปญจากบริกรมาแก้วหนึ่ง “คนที่สามารถตื่นรู้พลังแห่งธรรมชาติได้แล้วแต่เป็นผู้โชคดีมาแต่กำเนิด ฉันล่ะอิจฉาคนหนุุ่มอย่างพวกเธอจริงๆ”
โรแลนด์ชนแก้วกับเขาก่อนจะดื่มแชมเปญลงไปจนหมด “ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวหน่อยครับ”
คำพูดนี้ถือได้ว่าค่อนข้างเสียมารยาทไปหน่อย ในด้านอายุ อีกฝ่ายนั้นเป็นผู้ใหญ่ ในด้านสถานะทางสังคม อีกฝ่ายซึ่งเป็นประธานของกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่เองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ฝึกยุทธ์ชื่อดังเท่าไร ยิ่งไปกว่านั้นโรแลนด์ยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์หน้าใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในวงการได้ไม่นาน
การ์โดขมวดคิ้วขึ้นมา “ขอโทษนะ ฉันยังมีแขกคนอื่นที่ต้องไปต้อนรับอีก…”
“การ์เซียให้ผมมาหาคุณ หรือว่าคุณไม่อยากจะรู้สักหน่อยเหรอครับว่าช่วงนี้ลูกสาวของตัวเองเป็นยังไงบ้าง?” เสียงของโรแลนด์ดังขึ้นมาเล็กน้อย
เขาแอบมองเห็นพวกนักข่าวบางคนเริ่มสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวทางด้านนี้แล้ว
เขารู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องตอบตกลงแน่
ไม่อย่างนั้นภาพลักษณ์ที่ทำเป็นห่วงเป็นใยลูกสาวที่สร้างเอาไว้ก่อนหน้านี้มันจะพังทลายลงได้
“ก็ได้” การ์โดยอมถอย “ถ้าใช้เวลาไม่นานล่ะก็”
“แน่นอนครับ ผมรบกวนคุณแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น” โรแลนด์พูดยิ้มๆ
ภายในห้องจัดเลี้ยงนั้นมีห้องส่วนตัวแบบ VIP อยู่ หลังให้ผู้ติดตามออกไปแล้ว ภายในห้องก็เหลือเพียงแค่การ์โดกับเลขาของเขา แล้วก็พวกโรแลนด์
“ให้เขาอยู่ด้วยไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” โรแลนด์เหลือบมองดูเลขาที่สูงอายุคนนั้น “เรื่องที่ผมจะพูดมันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของคุณนะครับ”
“ไม่เป็นไร เขาคือคนในตระกูล อยู่กับฉันมาหลายสิบปีแล้ว” การ์โดพูดเสียงคร่ำเคร่ง “ว่าแต่เธอนั่นแหละ เธอแน่ใจหรือว่าจะพา…สาวสวยทั้งสามคนนี้มาคุยธุระด้วย? ที่นี่มันไม่ใช่สวนสนุกนะ”
หลังไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง สีหน้าของอีกฝ่ายก็ดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงเองก็ไม่ได้มีความเกรงใจเหมือนอย่างก่อนหน้านี้
อย่างนี้นี่เอง โรแลนด์คิดในใจ เมื่อคิดถึงว่าตัวเองมีพลังแห่งธรรมชาติอยู่ อีกฝ่ายย่อมต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เลขาคนนั้นถึงแม้จะดูมีอายุ แต่เมื่อดูจากความเคลื่อนไหวและตำแหน่งการยืนแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะเป็นผู้ตื่นรู้เหมือนกัน
“เพราะว่าเรื่องที่ผมต้องการคุยมันเกี่ยวกับทั้งสามคนนี้น่ะสิ…” เขายักไหล่ “พูดสั้นๆ เลยแล้วกัน นี่คือการแลกเปลี่ยน พวกเธอไม่มีชื่ออยู่ในระบบทะเบียนราษฎร์ ผมเลยอยากจะให้คุณช่วยเอาชื่อพวกเธอไปใส่ในระบบทะเบียนราษฎร์ให้หน่อย แล้วก็หาโรงเรียนมัธยมดีๆ ให้พวกเธอซักที่”
การ์โดนิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นมาว่า “เธอมาหาฉันเพื่อจะคุยเรื่องนี้หรอกเหรอ?”
ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป เกรงว่าเขาคงจะตะโกนขึ้นมาว่า ‘นี่เธอล้อฉันเล่นเหรอ’ จากนั้นก็เดินออกไปด้วยสีหน้าโมโห การที่เขายังสะกดอารมณ์โกรธเอาไว้ถึงตอนนี้ได้นับว่าไม่ธรรมดาทีเดียว
“ถูกต้อง” โรแลนด์พูดอย่างไม่กลัว “สำหรับกลุ่มทุนโคลฟเวอร์แล้ว นี่น่าจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรใช่ไหมล่ะครับ”
“เธอบอกว่านี่เป็นการแลกเปลี่ยน อย่างนั้นเธอจะให้อะไรฉันเป็นการตอบแทนล่ะ? ออกมายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับการ์เซีย หรือว่าทำให้เธอล้มเลิกความคิดที่จะขัดขวางฉันแล้วก็ยอมปล่อยตึกถงจึเหรอ?”
“เธอเป็นเพื่อนผม ผมจะไปทำแบบนั้นได้ยังไง”
ความจริงหลังจากได้รู้เรื่องความลับของเศษเสี้ยวความทรงจำแล้ว ตรงถงจึก็กลายเป็นสิ่งที่โรแลนด์ตั้งใจว่าจะปกป้องเอาไว้ให้ได้ ใครที่อยากจะมาทุบตึกจะต้องเจอกับแม่มดทาคิลา 300 คนที่ผลัดกันเข้ามาเล่นงาน อย่างเช่น ล้อของรถขุดดินที่ถูกถอดออกไปจนหมดในคืนเดียว หรือว่าแกล้งทำเป็นผีมาหลอกพวกคนงาน สำหรับพวกเธอแล้วนี่เป็นเรื่องที่จัดการได้สบายๆ
“เหอะๆ…เพื่อนงั้นเหรอ” การ์โดหัวเราะดูถูกขึ้นมา “อย่างนั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว”
“มันก็ไม่แน่” โรแลนด์ล้วงเอาใบอนุญาตไล่ล่าออกมาแกว่งไปแกว่งมาให้เขาดู
“นี่มัน…” สีหน้าอีกฝ่ายเปลี่ยนไปทันที เขารีบหันหน้าไปมองเลขา
เลขามองใบอนุญาตอยู่ครู่ ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้าขึ้นมา “ของจริงครับ”
“ทำไมเธอถึงมีมัน…”
“นั่นเป็นความลับของทางสมาคม คุณไม่มีสิทธิ์รู้ครับ” โรแลนด์พูดตัดบทการ์โด อันที่จริงแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าสมาคมใช้วิธีอะไรใช้การยื่นชื่อสมัคร ตรวจสอบ และออกใบรับรอง “แค่รู้ว่ามันคืออะไรก็พอแล้วครับ”
การ์โดจ้องมองเขาด้วยความสงสัยเป็นเวลานาน ก่อนจะล้วงเอาซิการ์ออกมาจากในอกเหมือนคิดอยากจะสูบ หลังแกว่งไปแกว่งมาอยู่นาน สุดท้ายก็เก็บกลับไป “ดูเหมือนลูกสาวของผมจะได้รู้จักคนที่สุดยอดเข้าแล้วสินะ…แต่คุณคุณโรแลนด์ สมาคมผู้ฝึกยุทธ์เป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับกฎหมาย….”
“คุณคิดว่าผมกำลังขู่คุณงั้นเหรอ?” โรแลนด์แสร้งทำเป็นถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้ผมเคยบอกแล้วไง นี่คือการแลกเปลี่ยน”
“อย่างนั้นความหมายของเธอคือ….”
“ธุรกิจทำมาใหญ่โตขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องมีอุปสรรคที่พูดได้ยากอยู่ จะไปแอบจัดการอย่างลับๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ผมพูดถูกใช่ไหมล่ะครับ?” เขายื่นนิ้วมือออกมา “โอกาสในการจัดการปัญหาหนึ่งครั้ง นี่คือราคาค่าตอบแทนที่ผมจะให้คุณ แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้ อันดับแรกคือเป้าหมายต้องเป็นพวกอาชญากร อันดับต่อมาคือเขาต้องไม่เป็นคนที่คนทั่วไปรู้จัก สุดท้ายคือเขาข่มขู่คุณจริงๆ เงื่อนไขทั้งสามข้อผมมีวิธีตรวจสอบอยู่ ดังนั้นอย่าคิดที่จะหลอกผม แบบนี้แล้ว สมาคมก็ไม่มีทางที่จะมายุ่มย่ามกับเรื่องนี้มากนัก แต่แน่นอน ถ้าเกิดสมาคมไม่รู้เรื่องนี้ก็จะดีที่สุด”
สรุปง่ายๆ ก็คือหัวหน้าแกงค์อาชญากร
คนแบบนี้มักจะมีแกงค์เล็กๆ อยู่ในมืออีกเป็นจำนวนมาก การจะจัดการกับคนพวกนี้ตามปกตินั้นจำเป็นต้องเก็บรวบรวมหลักฐาน แอบซุ่ม จับกุม ขึ้นศาลไต่สวน ในช่วงเวลานี้บริษัทอาจจะได้รับความเสียดายอย่างมากก็ได้ ถ้าใช้ความรุนแรงจัดการไปเลยนั้นย่อมต้องง่ายกว่าเยอะ เมื่อดูจากสายตาของอีกฝ่ายแล้ว โรแลนด์รู้ได้ทันทีว่าเขาต้องเจอกับเรื่องแบบนี้มานับไม่ถ้วนแน่นอน
การ์โดลังเลอยู่ครู่ “คุณโรแลนด์ ถ้าคุณจะทำอย่างที่ว่ามาจริงๆ อย่างนั้นแค่จัดการกับชื่อคนสามคนมันดูไม่ค่อยแฟร์กับคุณเท่าไร”
โรแลนด์อมยิ้มขึ้นมา การ์เซียพูดเอาไว้ไม่ผิดจริงๆ ด้วย ‘สบายใจได้ พ่อของฉันไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล ในเรื่องธุรกิจโดยเฉพาะการค้าขาย เขามองแต่ผลประโยชน์เท่านั้น’ ตอนนี้คงจะต้องพูดเสริมเข้าไปอีกหน่อย โรแลนด์รู้ดีว่าเวลาไหนควรเดินหน้าถอยหลัง
“คุณคิดซะว่าเป็นมัดจำสำหรับข้อตกลงของเราแล้วกันครับ สามคนที่อยู่ข้างผมนั้นเป็นแค่กลุ่มแรก จำนวนทั้งหมดที่ผมต้องการน่าจะอยู่ที่ประมาณ 300 คน”
“คนเถื่อน…300 คน?” การ์โดทำสีหน้าลำบากใจขึ้นมา “ตำรวจจะต้องสังเกตเห็นแน่….”
“ค่อยๆ จัดการก็ได้ครับ ผมไม่ได้ต้องการให้คุณจัดการเสร็จเรียบร้อยในเวลานี้ หนึ่งปี สองปี…หรืออาจจะหลายปีก็ไม่เป็นปัญหา เพราะข้อตกลงนี้มีผลระยะยาว” เพราะจากที่เซลีนพูดมา ก็ไม่ใช่ว่าแม่มดทุกคนจะอยากมาเรียนหนังสือ อย่างเช่นเอเลน่า ฟิลลิสพวกนั้น สู้ให้พวกเธอตามเขาไปจัดการฟอลเลนอีวิลยังจะดีซะกว่า
“หากเป็นแบบนี้…บางทีผมอาจจะทำได้”
“อย่างนั้นก็ยินดีที่ได้ร่วมงานครับ”
หลังจากเลขาถ่ายรูปเหล่าแม่มดเอาไว้เรียบร้อย ข้อตกลงก็เป็นอันสมบูรณ์ ถึงแม้มันจะไม่มีหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร แต่โรแลนด์รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางผิดสัญญาแน่
ในขณะที่เขากำลังพาทั้งสามคนเดินออกจากห้อง จู่ๆ การ์โดก็เรียกเขาเอาไว้ “ดะ…เดี๋ยวก่อน..”
“มีอะไรเหรอครับ?” โรแลนด์หันหน้ากลับมา
“ลูกสาวฉัน การ์เซีย…ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?” การ์โดลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามออกมา “ฉันโทรศัพท์ไปตั้งหลายครั้ง แต่เธอไม่รับสาย…”
“วางใจได้ครับ เธอมีความสุขดีครับ” โรแลนด์ตอบ
….
ประตูห้องปิดลง ในที่สุดการ์โดก็จุดซิการ์ขึ้นมา ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงจะพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า “คนๆ นี้เป็นแค่คนธรรมดาจริงๆ เหรอ?”
“ผมเองก็รู้สึกเหมือนกันครับ” เลขาที่ก่อนหน้านี้นิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไรพยักหน้าออกมา “ท่าทางยโสโอหังดูแล้วไม่เหมือนเป็นการเสแสร้งออกมาเลย”
คนธรรมดาเวลาอยู่ต่อหน้าเขามักจะแสดงความขี้ขลาด ประจบประแจงหรือว่าแสร้งทำเป็นไม่หวาดกลัวออกมา เพราะนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากความแตกต่างในเรื่องของอายุ ทรัพย์สินและสถานะทางสังคม พลังแห่งธรรมชาตินั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยของคนได้ โดยเฉพาะที่คนที่เพิ่งตื่นรู้อย่างโรแลนด์
แต่การ์โด้กลับมองไม่เห็นความหวาดกลัวหรือความลังเลจากตัวของโรแลนด์แม้แต่น้อยเลย ความรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง ผ่อนคลาย และความรู้สึกดูถูกเล็กน้อยแทบจะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนว่าเขาเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนอย่างไรอย่างนั้น
แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง? เพราะอายุของเขาก็พอๆ กับการ์เซีย เพิ่งจะ 20 ปีเท่านั้น!
การ์โดพบว่านี้เป็นครั้งแรกที่เขามองคนๆ หนึ่งไม่ออก
…..
“การแลกเปลี่ยนแบบนี้ไม่ควรต้องลำบากพระองค์ไปพูดคุยเองเลยนะเพคะ” หลังออกมาจากห้อง เซนต์มิลานก็บ่นขึ้นมา “พระองค์ทรงเป็นราชาของทั้งสองโลก แถมสายตาที่เขามองพระองค์ก็เสียมารยาทอย่างมาก”
“ถ้าท่านอาลิเธียอยู่ที่นี่ นางจะต้องเอาดาบไปจ่ออยู่บนคอของเขาแน่” โดโด้พูดเสริมขึ้นมา
“ในเมื่อเป็นราชา ก็ต้องทำทุกอย่างได้ตามที่ต้องการสิ” ดาเนนพูดแย้งขึ้นมา “เหมือนอย่างท่านอควาเรียส นางไม่เคยสนใจความคิดของคนอื่นเลย”
เมื่อได้ฟังคำพูดที่ดูแตกต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นสาวน้อยแบบนี้ โรแลนด์จึงเกิดความรู้สึกไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ก็เสนาบดีของข้าดันเข้ามาในโลกแห่งความฝันไม่ได้นี่นา แล้วก็ข้าเคยบอกแล้วไงว่าเวลาอยู่ข้างนอก ห้ามเรียกข้าว่าฝ่าบาท”
“ค่ะ พี่โรแลนด์” ทั้งสามคนรีบเปลี่ยนคำเรียกทันที
“แล้ว…ตอนนี้พวกเราต้องกลับหรือยังค่ะ?” ดาเนนมองไปยังอาหารบุฟเฟต์ที่เพิ่งถูกนำมาเปลี่ยนใหม่ตรงด้านหลังโถงงานเลี้ยง ก่อนจะเลียริมฝีปากตัวเองขึ้นมา
“งานเลี้ยงน่าจะจัดไปถึงกลางดึก แต่จะให้แม่มดคนอื่นรอนานเกินไปมันก็ไม่ดี” โรแลนด์เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง ก่อยจะพูดยิ้มๆ ว่า “กินอีกครึ่งชั่วโมงแล้วกัน ซักสองทุ่มค่อยกลับ”
“รับทราบ!” ทั้งสามคนสบตากัน ก่อนจะวิ่งไปยังโต๊ะอาหารอย่างตื่นเต้น
พวกเธอช่างเหมือนกับเด็กวัยรุ่นจริงๆ โรแลนด์อุทานออกมาในใจ เขาค่อยๆ เดินถือแชมเปญตามหลังพวกเธอไป ในขณะที่กำลังจะดื่มมันลงไป เขาพลันนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองขับรถมา ทำให้เขาต้องปฏิเสธความคิดที่จะดื่มมันและดึงแก้วลงมา
แต่ขณะเดียวกันนั้นเอง แชมเปญสีทองจางๆ พลันเกิดการเปลี่ยนแปลง
จู่ๆ ในน้ำแชมเปญพลันมีจุดสีแดงปรากฏขึ้นมา ดูคล้ายกับน้ำหมึกที่หยดลงไปในแก้ว ก่อนจะกระจายตัวไปในน้ำแชมเปญที่แกว่งอยู่ในแก้ว แต่มันก็กลับไม่ได้ย้อมน้ำแชมเปญจนเป็นสีแดง หากแต่ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นตัวหนังสือบิดๆ เบี้ยวๆ ดูแล้วช่างแปลกประหลาดอย่างมาก
‘อย่าลืม…สัญญาของพวกเราล่ะ’
แค่คำพูดสั้นๆ แต่กลับทำให้โรแลนด์รู้สึกตกใจอย่างมาก
เขาอยากจะโยนแก้วออกไปทันที แต่ในเสี้ยววินาทีที่กำลังจะปล่อยแก้วออกจากมือ เขาก็สะกดอารมณ์ตรงนั้นเอาไว้ได้
แรงที่เขาดึงแก้วกลับนั้นมากจนทำให้ขาแก้วแชมเปญมีรอยร้าวขึ้นมา!
แต่ในตอนที่เขามองไปยังแชมเปญที่อยู่ในแก้วอีกครั้ง ตัวหนังสือที่ว่านั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย แชมเปญที่อยู่ในแก้วยังคงเป็นสีทองจางๆ เหมือนกับว่าเมื่อครู่ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
…………………………………………………………………
ตอนที่ 1146 ชื่อ ‘โรส’
โดย
Ink Stone_Fantasy
โรแลนด์รู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นอย่างที่ยากจะบรรยายได้ปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกาย ใช่จริงๆ ด้วย เขาถูกใครบางคนจับตาดูอยู่ ในโลกแห่งความฝันที่เดิมควรจะเป็นเพียงภาพมายา
เขาเงยหน้าขึ้นมากวาดตามองดูคนที่อยู่รอบๆ ตัวอย่างรวดเร็ว
ใคร เป็นใคร?
บริกร? นายทุน? ผู้ตื่นรู้?
ภายในงานยังคงครึกครื้น ทุกคนกำลังมีความสุขกับการพูดคุยและงานเลี้ยง สิ่งเดียวที่ไม่ปกติเหมือนจะเพียงตัวเขาเท่านั้น
โรแลนด์สูดหายใจเพื่อให้หัวใจเต้นช้าลง
นัดหมาย…ไม่มีทางหมายถึงอย่างอื่นแน่ คนที่ส่งข้อความมาน่าจะเป็นคนเดียวกับคนที่ทิ้งกระดาษโน้ตเอาไว้ในหนังสือ
‘โรสคาเฟ่ หมายเลข 302’
มีคนที่อยากเจอเขาอย่างแน่นอน
วิธีแบบนี้มันเหนือกว่าที่พลังแห่งธรรมชาติจะทำได้ ผู้ฝึกยุทธ์ไม่ใช่แม่มด แล้วก็ไม่ได้มีพลังอะไรหลากหลายเหมือนอย่างพวกเธอ ผู้ที่ตื่นรู้มีเพียงแค่พลัง ความเร็ว และประสาทสัมผัสที่แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น เมื่อฝึกฝนไปถึงระดับหนึ่งจะทำให้ปล่อยปราณออกมาได้ ทำให้เกิดผลคล้ายๆ กับพลังเวทมนตร์ แต่โดยสรุปแล้วก็ค่อนข้างเอนเอียงไปทางรูปแบบการต่อสู้มากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงการกระเพื่อมของพลังแห่งธรรมชาติเลย
พูดอีกอย่างก็คือคนที่ทำอักษรแปลกๆ นี้อาจจะมาจากระดับชั้นของพลังระดับสูง
บางทีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เขาก็ไม่เข้าใจของโลกแห่งความฝันอาจจะเกี่ยวข้องกับคนๆ นี้ก็ได้
“โดน NPC จับตามองอยู่จริงๆ ด้วย” โรแลนด์บ่นพึมพำออกมาเบาๆ เวลาในโลกแห่งความฝันจะหยุดลงเมื่อเขาตื่นขึ้นมา นี่ทำให้เขายากจะเชื่อมโยงมันเข้ากับความจริงได้ นอกจากแม่มดที่มาจากข้างนอกและผู้พ่ายแพ้ที่ถูกซีโร่กลืนกินเข้ามาแล้ว เขาคิดว่าคนอื่นๆ ที่เหลือล้วนแต่เป็นสิ่งที่โลกแห่งความฝันสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเหมือนจริงแค่ไหน มันก็ยังขาด ‘ความเป็นตัวเอง’ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอยู่ แต่ตอนนี้กลับมี ‘ผู้ที่ถูกสร้างขึ้นมา’ กำลังสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา แถมยังเป็นฝ่ายส่งข้อความมาหาเขาด้วย
มันเริ่มจากตอนไหน?
ตอนที่เขายืมหนังสือที่อยู่ในสมาคมมาจากการ์เซีย หรือว่าตอนที่เขาพบว่าภาพของคนที่มีชีวิตอยู่ในสมัย 800 ปีก่อนในวิหารภาพสะท้อนนั้นมีหน้าตาเหมือนกับมิสต์ที่อยู่ในโลกแห่งความฝัน?
หรือว่าจะก่อนหน้านั้นขึ้นไปอีก อย่างเช่น…ตอนที่ซีโร่ดึงเขาเข้ามาในสงครามแห่งวิญญาณ?
คิดคำตอบไม่ออก
ถึงแม้จะรู้ไปมันก็ไม่มีประโยชน์
สิ่งสำคัญนั้นอยู่ที่อีกฝ่ายอยากจะพูดอะไร
“พี่โรแลนด์?” เสียงของดาเนนดังแทรกความคิดเขาขึ้นมา “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เปล่า…ไม่มีอะไร” โรแลนด์ได้สติกลับมา ก่อนจะส่ายหน้ายิ้ม
หลังเขาแน่ใจแล้วว่าในแก้วเหล้าไม่มีความผิดปกติใดๆ เขาก็วางมันลงไปบนโต๊ะอาหารใกล้ๆ จากนั้นจึงเดินไปหาเหล่าแม่มด
“อันนี้กินเข้าไปแล้วนุ่มมากเลย! ลองชิมสิคะ แต่พี่ต้องรอแปบนึงนะ…”
เซนต์มิลานส่งตับห่านที่เพิ่งย่างเสร็จใหม่ๆ มาให้เขา กลิ่นหอมลอยฟุ้งขึ้นมาเตะจมูก
โรแลนด์มองดูเหล่าแม่มด ก่อนจะเอามือขึ้นมากุมขมับ แม่มดทั้งสามคนไปยืนเฝ้าอยู่หน้าโต๊ะทำอาหารสามตัว พร้อมกับเอาอาหารที่พ่อครัวเพิ่งจะทำเสร็จร้อนๆ มาจนหมด ท่าทางของพวกเธอเหมือนจะบอกว่า ‘ตรงนี้ถูกฉันจองเอาไว้แล้วนะ’
ผู้ชายที่อยู่รอบๆ นั้นยังดีหน่อย ไม่มีใครที่จะไปแย่งอาหารมาจากมือสาวน้อย แต่ผู้หญิงนั้นพากันส่งเสียงต่อว่าขึ้นมา
ด้วยความสามารถในการฟังอันยอดเยี่ยม เขาได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
“นี่ใครพามาเนี่ย?” “หน้าตาน่ารักขนาดนี้ ทำไมถึงทำตัวเหมือนไม่เคยกินอาหารอร่อยๆ มาก่อนอย่างนั้นแหละ” “ดูเสื้อผ้าร้องเท้าของพวกเธอแล้ว คงจะไม่ใช่คนจากข้างนอกแอบมั่วเข้ามาในงานหรอกนะ?” “จุ๊ๆ รู้สึกเหมือนพวกเธอหิวมาหลายร้อยปีอย่างนั้นแหละ”
เดิมโรแลนด์คิดอยากจะบอกให้พวกเธอสำรวมหน่อย แต่หลังได้ยินคำต่อว่าพวกนี้ เขาก็เปลี่ยนความคิดทันทีพร้อมกับถลึงตาใส่พวกที่กำลังนินทาอย่างดุร้าย
ขอโทษด้วยนะ พวกเธอไม่ได้กินของอร่อยๆ มาหลายร้อยปีจริงๆ นั่นแหละ
“อย่าลืมเอากลับไปฝากคนที่บ้านด้วยนะ”
“ได้เลย!”
หลังกัดตับห่านย่างที่แม่มดเอามาให้เขาแล้ว โรแลนด์ก็กลับมาคิดเรื่องก่อนหน้านี้ใหม่
ในเมื่ออีกฝ่ายมีความสามารถแบบนี้ ทำไมถึงไม่มาคุยกับเขาตรงๆ? ทำไมต้องทำอะไรลับๆ ล่อๆ แบบนี้ด้วย?
กลัวเขาตกใจงั้นเหรอ หรือว่าไม่มีโอกาส?
อย่างแรกนั้นไม่น่าจะใช่ ถ้าเป็นคนหัวใจไม่ดีมาเจอเหตุการณ์นี้คงจะช็อคตายไปแล้ว
ส่วนอย่างหลัง…ภายในหัวเขามีข้อความที่อยู่ในกระดาษโน้ตนั้นลอยขึ้นมา
“วันที่เจตจำนงของพระเจ้าปรากฏขึ้นบนโลก เจอกันตามเวลาที่นัดหมายไว้….อย่างนั้นเหรอ?” โรแลนด์ท่องคำพูดเหล่านี้อยู่ในใจสองสามรอบ ก่อนจะสูดปากด้วยความตกใจขึ้นมา
“หรือว่า….”
อีกฝ่ายกำลังหมายถึงวันที่พระจันทร์สีแดงจะปรากฏขึ้นมาบนโลกแห่งความเป็นจริง?
การปรากฏขึ้นของพระจันทร์สีแดง ก็หมายถึงการเริ่มต้นของสงครามแห่งโชคชะตา
แล้วก็มีแต่ตอนนั้นที่ ‘ผู้ส่งสาร’ จะพูดคุยกับเขาได้?
แต่ว่า…คนนที่อยู่ในโลกแห่งความฝัน จะไปรู้เรื่องเรื่องที่เกิดขึ้นในอีกโลกหนึ่งได้ยังไง? เพราะว่าถ้าเขาไม่ได้เข้ามาในความฝัน ที่นี่ก็จะอยู่ในสภาพหยุดนิ่งไปตลอดกาล!
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกจนปัญญามากที่สุดก็คือต่อให้มันเป็นอย่างที่เขาคาดเดาเอาไว้จริงๆ แต่สถานที่นัดหมายยังคงเป็นปริศนาอยู่
มีแต่ผีเท่านั้นแหละถึงจะรู้ว่าโรสคาเฟ่นั้นมันอยู่ตรงมุมไหนของเมือง
ทำไมถึงไม่เลือกตึกถงจึหรือแลนมาร์คสักแห่งในเมืองเป็นที่นัดหมายละเนี่ย!
ในขณะที่โรแลนด์กำลังคิดบ่นกับตัวเองอยู่นั้น ชายวัยกลางคนที่ดูท่าทางเหมือนเถ้าแก่สองคนเดินผ่านเขาไป
“ได้ยินว่าสนาฟกอล์ฟของคุณกำลังจะเริ่มสร้างแล้วเหรอ?”
“เพิ่งจะได้รับอนุมัติเอง ผมจ่ายไปก้อนใหญ่แหน่ะ ทำไม ประธานเกาสนใจเหรอ?”
“ก็นิดหน่อย ปกติผมไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเท่าไร แต่ผมสนใจซินแสที่คุณหามาคนนั้นมากกว่า ได้ยินคนบอกว่าคุณจ่ายตั้งสามล้านกว่าเพื่อให้เขาตั้งชื่อให้?”
“ทำไงได้ จะได้โชคดีไง อาชีพอย่างพวกเราก็อยากให้อะไรๆ มันลื่นไหลหน่อย เงินจ่ายไปแล้วมันยังหากลับมาใหม่ได้ไม่ใช่เหรอไง แต่ชื่อที่เขาตั้งให้มันได้ผลทีเดียวนะ”
“ชื่ออะไร?”
“ไรน์กรีนฟิลด์ อยู่ตรงข้ามกับโปรเจคกรีนแลนด์ของกลุ่มทุนโคลฟเวอร์ที่อยู่ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำพอดีเลย”
“ฮ่าๆๆๆ….บังเอิญจริงๆ”
โรแลนด์ตกตะลึงไปเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ฟังสิ่งที่ทั้งสองคนพูดอีก
ชื่อ…เราตั้งเองได้นี่นา!
เขาเอาแต่ให้แม่มดไปหาโรสคาเฟ่ แต่เขากลับมองข้ามจุดนี้ไป ถ้าตัวเองเปิดร้านกาแฟเองแล้วตั้งชื่อว่าโรสคาเฟ่ล่ะ?
ถ้าอีกฝ่ายอยากจะมาเจอเขาจริงๆ อย่างนั้นก็ไม่ควรจะเลือกสถานที่ที่ไม่เคยได้ยินแม้กระทั่งชื่อมาก่อน
ในทางกลับกัน ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถทำให้ตัวหนังสือมาแสดงอยู่ในแก้วเหล้าของเขาได้ อย่างนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่อีกฝ่ายจะรู้เรื่องที่เขาเปิดร้านกาแฟ
ชั้นสองของโกดังนั้นถูกเขาเช่าเอาไว้แล้ว แค่เช่าร้านที่อยู่ติดกันอีกสองด้านมาให้ได้ เขาก็จะมีที่พอสำหรับเปิดร้าน
นอกจากนี้เขายังสามารถทำห้องส่วนตัวขึ้นมาห้องหนึ่งแล้วติดป้ายหมายเลขเอาไว้ที่ประตูว่า 302 ได้!
เมื่อรวมกับแม่มดทาคิลา ก็เรียกได้ว่าพนักงานและลูกค้าต่างก็มีครบแล้ว
ใครเป็นคนกำหนดล่ะว่าเปิดร้านเองแล้วจะซื้อเองไม่ได้?
เมื่อคำนวณเงินทุนที่มีอยู่ในมือแล้ว โรแลนด์ก็ทำการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
….
กระทั่งโรแลนด์ออกไปจากงานเลี้ยงแล้ว เฟยอวี่หานถึงได้เดินไปยังโต๊ะอาหารที่อยู่แถวสุดท้าย ก่อนจะหยิบแก้วแชมเปญขึ้นมา
เธอมองเห็นภาพ ‘นักล่า’ คนใหม่ของสมาคมกำลังจะโยนแก้วเหล้าทิ้งก่อนที่จะดึงแก้วกลับมาด้วยสีหน้าตกตะลึงอย่างชัดเจน เหมือนกับว่าสิ่งที่เขาถืออยู่ในมือนั้นไม่ใช่แก้วแชมเปญ หากแต่เป็นถ่านร้อนๆ ในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่เธอมองเห็นความลนลานที่อยู่บนใบหน้าของอีกฝ่าย
มีอะไรที่ทำให้นักล่าคนหนึ่งตกใจลนลานได้ขนาดนี้?
เธอคิดไม่ออก
สำหรับคนที่เดินอยู่บนความเป็นความตายตลอดเวลาแบบนี้ ต่อให้ความตายก็คงไม่ทำให้เขากลัวได้ขนาดนี้
แล้วนับประสาอะไรกับเหล้าธรรมดาๆ แก้วหนึ่ง
แต่เฟยอวี่หานรู้ว่าตัวเองไม่ได้ดูผิดไปแน่นอน
ตรงขาแก้วแชมเปญสามารถมองเห็นรอยร้าวได้อย่างชัดเจน นี่คือร่องรอยของการเผลอใช้แรงโดยไม่ได้ควบคุม มีแค่มือใหม่ที่เพิ่งตื่นรู้พลังแห่งธรรมชาติเท่านั้นถึงจะทำผิดพลาดแบบนี้
จากจุดนี้เธอสามารถวิเคราะห์ได้สิ่งที่เขามองเห็นนั้นจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เฟยอวี่หานยกแก้วเหล้าขึ้นมาดมๆ บริเวณขอบแก้ว แต่เธอก็ไม่พบกลิ่นที่ผิดปกติอะไร โรแลนด์ยังไม่ได้ดื่มแชมเปญจากแก้วนี้ นั่นหมายความว่าเรื่องที่เขาตกใจนั้นไม่เกี่ยวกับเหล้า
เธอค่อยๆ วางแก้วเหล้าลงหลังมั่นใจในการวิเคราะห์ของตัวเอง
นี่เป็นแค่เหล้าธรรมดาๆ เท่านั้น
เมื่อเทียบกับคำพูด ‘ราชาของทั้งสองโลก’ ‘เสนาบดีของข้า’ ที่ฟังดูเหมือนบทละครที่เด็กผู้หญิงทั้งสามคนคุกกับโรแลนด์ก่อนหน้านี้แล้ว เธอรู้สึกสนใจปฏิกิริยาของอีกฝ่ายในตอนที่ไม่ได้ระวังตัวมากกว่า มีแต่สิ่งที่เผลอทำออกมาโดยไม่ได้ระวังเท่านั้นถึงจะไม่มีทางโกหกคนได้
ตอนนั้นมันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ
เฟยอวี่หานวางแก้วลงพร้อมกับมองไปทางประตูทางเข้างาน ภายในใจเกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมาอย่างรุนแรง
……………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น