Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1141-1144
ตอนที่ 1141 เชื่อใจและเข้าใจผิด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฮัลโหล นายโทรมาพอดีเลย ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับนาย” เขายังไม่ทันจะได้เอ่ยปากพูด อีกด้านของโทรศัพท์ก็มีเสียงการ์เซียดังขึ้นมา
“เอ่อ….เรื่องอะไรเหรอ?”
“คุยทางโทรศัพท์ไม่สะดวก มาคุยกันที่ห้องฉันก็แล้วกัน ยังไงซะนายก็เพิ่งตื่นใช่ไหมล่ะ?”
โรแลนด์สัมผัสได้ถึงเสียงพ่นลมหายใจดูถูกเบาๆ ของอีกฝ่าย เหมือนกับว่าการนอนตื่นสายนั้นเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจสำหรับผู้ฝึกยุทธ์อย่างไรอย่างนั้น
“เอ่อ…ก็ได้” เขาคิดอยู่ครู่ สุดท้ายถึงตัดสินใจไปดูลาดเลาที่ห้อง 0827 ก่อน ถ้าเกิดการ์เซียอารมณ์ไม่ดี เขาจะได้ไปคุยเรื่องนั้นกับเธอวันหลัง
หลังวางโทรศัพท์ โรแลนด์ก็สั่งกำชับให้แม่มดทั้งสามคนรออยู่ในห้องนั่งเล่นก่อน จากนั้นเขาจึงเดินไปที่ประตูห้อง 0827
“ประตูไม่ได้ล็อก เข้ามาได้เลย” เห็นได้ชัดว่าการ์เซียได้ยินเสียงฝีเท้าเขา
โรแลนด์ผลักประตูเดินเข้าไปในห้องรับแขก ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายสวมเสื้อยืดตัวโคร่ง ยืนถือแก้วสองใบอยู่หน้าตู้เย็น ผมสีเทายาวประบ่า ปลายจมูกมีหยดเหงื่อเล็กๆ เท้าทั้งสองข้างสวมรองเท้าแตะลายการ์ตูน ในเวลานี้เธอดูไม่เหมือนผู้ฝึกยุทธ์ผู้เคร่งครัดเลย ดูแล้วเหมือนนักศึกษาที่กำลังดื่มด่ำกับฤดูร้อนมากกว่า “อยากจะดื่มอะไร? น้ำเปล่า ชา โค้ก…แบบแช่เย็นก็มีนะ”
ก็จริง ความจริงแล้วการ์เซียก็อายุไม่ได้ต่างจากตัวเองมาก อย่างมากก็แค่ 2 – 3 ปีเท่านั้น เขาคิดในใจ ถ้าตอนแรกตัวเองไม่ได้ ถูกโลกแห่งความฝันกำหนดให้กลายเป็นเจ้าของห้องที่ต้องดรอปเรียนกลางคัน แถมไปทำงานอยู่ร้านเหล้าก็ตกงาน ตอนนี้เขาก็คงจะยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย
“โค้กแล้วกัน” โรแลนด์ตอบ “เธอเพิ่งฝึกตอนเช้าเสร็จเหรอ?”
“นายคิดว่าคนอื่นจะขี้เกียจเหมือนนายเหรอ?”
เขางุนงงไปเล็กน้อย เห็นๆ อยู่ว่าเป็นกันเองขนาดนี้แล้ว แต่คำพูดคำจาก็ยังเหมือนกับตอนที่เพิ่งรู้จักกันไม่มีผิด เหมือนถ้าไม่ได้พูดเสียดสีจะรู้สึกไม่สบายอย่างนั้นแหละ การที่เธอยังมีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ได้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้วจริงๆ
แต่ถึงแม้จะรู้จักกันมานานขนาดนี้ อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่โรแลนด์มั่นใจได้ นั่นก็คือในเวลานี้อีกฝ่ายถือว่าอารมณ์ค่อนข้างดีทีเดียว
หรือว่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่เธอจะพูด?
“อ่ะ ชาเขียวเย็น” การ์เซียวางเครื่องดื่มลงตรงหน้าเขา
“เมื่อกี้เหมือนฉันจะบอกว่าเอาโค้กไม่ใช่เหรอ..” โรแลนด์เลิกคิ้วขึ้นมา
“นายไม่ได้ฝึกตอนเช้า กินเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงให้น้อยๆ หน่อยดีกว่า” เธอเหมือนพยายามสะกดรอยยิ้มเอาไว้ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “การพัฒนาของพลังแห่งธรรมชาตินั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับรูปร่าง ถึงแม้จะเป็นคนที่ดูแล้วอ่อนแอก็สามารถระเบิดพลังที่แข็งแกร่งอย่างมากออกมาได้ นี่ก็หมายความว่ามันไม่สามารถช่วยให้นายเปลี่ยนรูปร่างได้ ต่อไปถ้าอยากขึ้นเวทีไปประลองยุทธ์ นายควรจะระวังเรื่องนี้เอาไว้ ผู้ฝึกยุทธ์ที่ร่างกายสมส่วน ยังไงก็เป็นที่นิยมกว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่อ้วนนะ”
ในเมื่อเป็นแบบนี้เธอยังจะเอามันมาให้ฉันเลือกทำไมล่ะ! โรแลนด์กรอกตาใส่ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ว่า “แล้ว? เธอคงไม่ได้เรียกฉันมาเพื่อจะคุยแค่เรื่องรูปร่างหรอกนะ? ยิ่งไปกว่านั้นฉันเคยบอกเอาไว้แล้วด้วยว่าฉันไม่ได้สนใจเรื่องผู้ฝึกยุทธ์ชื่อดังหรือการประลองยุทธ์อะไรนั่นเลย การกำจัดสิ่งชั่วร้ายและปกป้องโลกต้องการแค่ความรับผิดชอบ ไม่ได้ต้องการชื่อเสียงอะไรเลย แค่ให้ฉันเป็นผู้ปกป้องที่ไม่มีใครรู้จักก็พอแล้ว
ถ้ามีชื่อเสียงขึ้นมาจริงๆ เวลาเดินไปไหนก็จะมีคนจำได้ แล้วเขาจะออกไปปล้นได้ยังไงล่ะ?
“ไม่น่าเชื่อ…” จู่ๆ เสียงของการ์เซียก็เบาลง เธอมองดูเขาก่อนจะค่อยๆ พูดออกมา “เดิมฉันคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่มีทางหลุดออกมาจากปากนายเด็ดขาด แน่นอนว่าอาจารย์เคยสอนฉันเอาไว้ว่าอย่าดูคนที่คำพูด ให้ดูที่การกระทำ ถ้าฉันไม่รู้มาก่อนว่านายทำเรื่องพวกนั้น ฉันคงจะมองว่านี่เป็นแค่คำพูดคุยโวที่หน้าไม่อายแน่ แต่ว่านี่….มันกลายเป็นเรื่องจริงเหรอเนี่ย”
โรแลนด์ย่อมต้องรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไรอยู่
นับตั้งแต่ที่เขาได้ลิ้มรสการปล้นพวกฟอลเลนอีวิล เขากับแม่มดทาคิลาก็เริ่มทำการกวาดล้างพวกฟอลเลนอีวิลระดับต่ำๆ ภายในเมือง
ตอนกลางวันให้ฟาลดี้เป็นคนค้นหาตำแหน่ง พอตกกลางคืนเขากับแม่มดสายต่อสู้ก็ออกไปจัดการกับศัตรู นอกจากจะยึดพลังแห่งธรรมชาติมาได้แล้ว เขายังได้รายได้พิเศษมาไม่น้อยด้วย เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นรู้ เขาจึงได้แต่ต้องหยิบเงินสดหรือไม่ก็ทรัพย์สินที่ไม่รู้ที่มาเท่านั้น ขณะเดียวกันก็เอาพลังแห่งธรรมชาติที่ยึดมาได้มอบให้กับทางสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เป็นบางครั้งบางคราวด้วย
เพราะว่าสมาคมก็คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของฟอลเลนอีวิลอยู่เหมือนกัน ถ้าพวกเขาเห็นว่าฟอลเลนอีวิลจำนวนมากหายไป แล้วพลังแห่งธรรมชาติก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนล่ะก็ เกรงว่าสมาคมคงจะแตกตื่นกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นมันอาจจะพาความยุ่งยากมาหาเขาได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอาพลังแห่งธรรมชาติของเป้าหมายที่ตกเป็นสายตาของสมาคมมอบให้กับทางสมาคม
นอกจากนี้เวลาที่ทางสมาคมมีคำสั่งให้กำจัดฟอลเลนอีวิล เขาก็เป็นคนที่กระตือรือร้นที่จะรับงานมากที่สุด จากที่การ์เซียบอกมา เขาคือคนที่สู้กับฟอลเลนอีวิลเยอะที่สุดในบรรดาผู้ฝึกยุทธ์หน้าใหม่ เผลอๆ อาจจะเยอะกว่าผู้ฝึกยุทธ์หน้าเก่าบางคนด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีข่าวแจ้งมาว่าทางฝั่งฟอลเลนอีวิลรู้ตัวแล้วว่ามีศัตรูที่แข็งแกร่งปรากฏตัวออกมา พวกมันกำลังหาข้อมูลว่าเขาเป็นใคร
พูดอีกอย่างก็คือเขาโยนหินก้อนหนึ่งที่พอจะสร้างแรงกระเพื่อมได้ลงไปในกลุ่มเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเมืองปริซึมและในกลุ่มฟอลเลนอีวิล แต่ในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์กับชาวบ้านทั่วๆ ไปเขากลับเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีชื่อเสียง ทุกครั้งที่โรแลนด์อยากจะส่งมอบพลังแห่งธรรมชาติให้กับทางสมาคม เขาก็จำเป็นต้องติดต่อกับการ์เซีย นี่จึงทำให้เธอรู้เรื่องที่เขาทำ
“อะแฮ่มๆ….มันเป็นเรื่องที่ฉันควรทำอยู่แล้ว” โรแลนด์กระแอมเล็กน้อย “นี่เป็นหน้าที่ของผู้ฝึกยุทธ์ไม่ใช่เหรอ?”
“ถูกต้อง” การ์เซียยิ้มขึ้นา “นี่คือหน้าที่ของผู้ฝึกยุทธ์” เธอยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับเขา “ยินดีด้วย “นายกลายเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์แล้ว นี่คือสัญญาฉบับใหม่ที่ส่งมาถึงมันนี้ แค่เซ็นชื่อลงไปก็มีผลทันที”
“ฉันจำได้ว่าถ้าสามารถจัดการปัญหาการกัดกินด้วยตัวเองได้งานหนึ่งก็จะได้เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการไม่ใช่เหรอ แต่ตอนนี้ฉันทำภารกิจไปตั้ง 8 – 9 ภารกิจแล้ว จดหมายตอบรับเพิ่งจะมาเนี่ยนะ ประสิทธิภาพการทำงานของเมืองปริซึมนี่ต่ำจริงๆ” โรแลนด์เบะปาก ก่อนจะเซ็นชื่อตัวเองลงไปด้านล่างของสัญญา
“ก็…สมาคมผู้ฝึกยุทธ์เป็นองค์กรนานาชาตินี่นา”
“อย่างนั้นตอนนี้ฉันก็เป็นเหมือนกับเธอแล้วใช่ไหม?”
“ไม่” การ์เซียส่ายหน้า ก่อนจะส่งสมุดเล่มเล็กๆ อีกเล่มหนึ่งให้เขา “พูดให้ถูกก็คือ อยู่เหนือฉันขึ้นไปอีก”
โรแลนด์เปิดดูสมุดเล่มเล็กนั้นอย่างสงสัย ก่อนจะงุนงงไปเล็กน้อย “นี่มัน….”
“ใบอนุญาตไล่ล่า” เธอเก็บรอยยิ้ม ก่อนจะพูดช้าๆ ชัด “มันจะมอบให้แต่นักสู้ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมและมีความมุ่งมั่นในการสู้กับความชั่วร้าย ผู้ฝึกยุทธ์ในเมืองนี้ที่มีใบอนุญาตนี้มีอยู่ไม่เกินสิบคน และใบอนุญาตทั้งหมดที่เมืองปริซึมออกมาให้จนถึงตอนนี้ก็มีแค่ประมาณ 100 กว่าเล่มเท่านั้น ส่วนวิธีใช้และข้อควรระวังก็เขียนอยู่ที่หน้าสุดท้ายของสมุดแล้ว จำเอาไว้นะ มันเป็นทั้งความเชื่อมั่นที่สมาคมมอบให้กับนาย แล้วก็หมายถึงภาระหน้าที่ที่มีความสำคัญมากขึ้น ฉันหวังว่านายจะเดินไปบนถนนสายนี้จนกว่ามนุษย์เราจะได้ชัยชนะในที่สุดนะ”
ที่แท้…เธอดีใจเพราะเรื่องนี้หรอกเหรอ?
ถูกผู้ฝึกยุทธ์หน้าใหม่ที่เธอชักชวนเข้าสมาคมแซงหน้าไป ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปคงจะรู้สึกผิดหวัง หรือไม่ก็รู้สึกอิจฉา…แต่ในสายตาของการ์เซียนั้นไม่ได้มีสิ่งเหล่านี้อยู่เลย เธอแสดงความสุขออกมาจากใจจริง เหมือนกับว่าตัวเธอได้รับเกียรติอันนี้เองอย่างไรอย่างนั้น
นี่ทำให้โรแลนด์รู้สึกแอบกังวลใจขึ้นมา
ตอนนี้การ์เซียค่อนข้างชื่นชมเขาอย่างมาก แต่ถ้ายิ่งเป็นแบบนี้ ความกดดันจากความหวังก็จะยิ่งมากขึ้นเหมือนกัน เขารู้ว่าอีกฝ่ายถึงแม้จะทำสีหน้าเย็นชา แต่ภายในใจกลับมีคุณธรรมอย่างมาก ไม่อย่างนั้นเธอตึงไม่ใช่ชาวบ้านในตึกถงจึสู้กับกลุ่มทุนโคลฟเวอร์แน่ เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ว่าหลังจากนี้อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ เขาจึงรู้สึค่อนข้าวปวดหัวทีเดียว
“เออใช่ ก่อนหน้านี้นายโทรหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอ?” การ์เซียดื่มชาอย่างมีความสุข “ที่ฉันจะพูดก็พูดไปหมดแล้ว นายคงไม่มาหาฉันเพราะว่ารู้เรื่องพวกนี้ล่วงหน้าหรอกนะ?”
“อืม…ฉันมีเรื่องอยากปรึกษาเธอ “โรแลนด์พูดตรง “เธอไปที่ห้องฉันหน่อยได้ไหม?”
การ์เซียมองเขาอย่างสงสัย “จะไปมันก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่ว่าพูดกันตรงนี้ไม่ได้เหรอ?”
“เดี๋ยวเธอมาก็รู้เอง”
“ก็ได้”
โรแลนด์สูดหายใจ ก่อนจะพาอีกฝ่ายกลับมาที่ห้อง 0825
เมื่อเดินเข้าไปในห้องรับแขก แม่มดทั้งสามคนก็ส่งสายตาที่เปล่งประกายมาทางเขาทันที
ในขณะเดียวกัน ด้านหลังเขาก็สัมผัสได้ถึงรังสีที่เยือกเย็นอย่างที่ยากจะบรรยายได้
“นาย…ทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ!” การ์เซียยืนอ้าปากค้างอยู่ที่หน้าประตู “พระเจ้า…พวกเธอยังเป็นเด็กอยู่เลย ฉัน…ฉันจะแจ้งตำรวจ!”
……………………………………………………………………….
ตอนที่ 1142 มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
แจ้งตำรวจ แต่ไม่ยอมแจ้งให้ทางสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มาจัดการ นี่คือเป็นความเมตตาครั้งสุดท้ายของอีกฝ่ายหรือเปล่า…เพราะว่าสมาคมนั้นไม่ถูกกฎหมายมาผูกมัด ดังนั้นสมาคมจึงให้ความสำคัญกับความประพฤติของผู้ฝึกยุทธ์อย่างมาก และการลงโทษภายในสมาคมก็มักจะร้ายแรงกว่าการลงโทษทางกฎหมาย
ไม่สิ มุมปากโรแลนด์กระตุกขึ้นมา ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมานั่งคิดเรื่องแบบนี้ ไม่ว่าจะแจ้งตำรวจหรือให้สมาคมจัดการมันก็ไม่ควรทำทั้งนั้น! เพราะเขาไม่ได้ทำอะไรเลย!
เอาเป็นว่า ต้องทำให้อีกฝ่ายใจเย็นลงก่อน…
“แจ้ง…ตำรวจ?” เขาแสร้งทำเป็นตกใจ “ทำไม?”
“นายยังมีหน้ามาถามฉันอีกเหรอว่าทำไม?” การ์เซียพูดอย่างร้อนใจ “ก่อนหน้านี้ฉันบอกกับนายไว้ว่ายังไง? บางครั้งผู้ที่ตื่นรู้จะลุ่มหลงในพลังและสูญเสียความเป็นตัวเองได้ง่าย! และก็เป็นเพราะแบบนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ถึงต้องระมัดระวังใจของตัวเอง ฉันไม่อยากไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของนาย ก่อนหน้านี้ที่เห็นผู้หญิงออกมาจากห้องนายบ่อยๆ ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะพวกนั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่พวกเธอ…พวกเธอยังเป็นเด็กอยู่เลย! การขยายตัวของกิเลสเป็นหนึ่งในสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของการตกต่ำ นายยังไม่เข้าใจอีกเหรอ!”
เอ่อ…ฟังดูเหมือนเธอจะโมโหเรื่องที่เขาปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำตัวเองมากกว่าเรื่องที่เขาหลับนอนกับเด็กผู้หญิงพร้อมกันสามคนอีกนะเนี่ย?
“ฉันเข้าใจ แต่ปัญหาคือ…ถ้าฉันเป็นเหมือนที่เธอว่าจริงๆ ทำไมฉันต้องพาเธอมาที่นี่ด้วยล่ะ?” โรแลนด์ถอนใจออกมา “เธอไม่คิดว่ามันฟังไม่ขึ้นบ้างเหรอ?”
“เอ่อ…”
“ความจริงไม่ว่าฉันจะทำหรือไม่ทำเรื่องพวกนั้นมันก็อาจจะทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่ายทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเอาจริงๆ ฉันควรจะพยายามไม่ให้ใครมาเจอพวกเธอถึงจะถูกใช่ไหมล่ะ แต่นี่ฉันกลับพาเธอมาเข้ามาเจอพวกเธอ เธอไม่คิดว่าบางทีเรื่องนี้มันอาจจะมีอะไรแปลกๆ บ้างเหรอ?”
การ์เซียกะพริบตา ก่อนจะค่อยๆ วางโทรศัพท์ในมือลง “ทำไม?”
โรแลนด์แอบถอนใจ ก่อนจะใช้น้ำเสียงที่ฟังดูจริงใจพูดออกมา “นี่คือสิ่งที่ฉันอยากจะพูดให้เธอฟัง คุณการ์เซีย…ฉันต้องการความช่วยเหลือจากเธอ”
….
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง
“อย่างนั้น พวกผู้หญิงที่ออกมาจากห้องของนายก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรแบบนั้นกับนาย หากแต่เป็น…ครูสอนพิเศษพาร์ทไทม์เหรอ?” การ์เซียถามพร้อมหรี่ตา
“ถูกต้อง” โรแลนด์ตอบอย่างฉะฉาน “พวกเธอเป็นนักศึกษาที่พักอยู่แถวนี้ นอกจากจะมาติวหนังสือให้ซีโร่แล้ว พวกเธอยังสอนหนังสือให้สามคนนี้ด้วย แต่จะทำแบบนี้ไปตลอดมันก็ไม่ได้ ยิ่งสอนนานวันเข้า พวกเธอก็จะยิ่งสงสัยสถานะของทั้งสามคน เพราะแค่ดูหน้าก็พอจะรู้แล้วว่าพวกเธออายุเท่าไร ถ้าไม่ไปเข้าเรียนมันก็แปลกอย่างมาก ฉันก็เลยได้แต่ต้องเปลี่ยนเอาครูคนใหม่มาสอนก่อนที่ครูพวกนั้นจะสงสัย”
เขาจัดการปัญหาแม่มดอาญาสิทธิ์อย่างระมัดระวังมาโดยตลอด แม่มดที่ถูกคนในชุมชนเห็นว่าเดินออกมาจากห้อง 0825 อย่างมากก็มีแค่ 3 – 4 คน ถึงเหตุผลอาจจะไม่ทำให้เธอเชื่อได้ในทันที แต่อย่างน้อยมันก็ฟังดูสมเหตุสมผล
“ตอนที่นายผิดนัดครั้งแรก แล้วก็ที่บอกกับฉันในโทรศัพท์ว่า ‘ญาติจากที่บ้าน’ มาหาก็คือสามคนนี้เหรอ?”
เฮ้ยๆ เรื่องนั้นมันผ่านมาตั้งครึ่งปีแล้ว เธอยังเก็บมาคิดจนถึงตอนนี้อีกเหรอเนี่ย… “อื้อ แต่ว่าพวกเธอไม่ใช่ญาติแท้ๆ ของฉัน แต่เป็นคนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน” โรแลนด์พูดแต่งเรื่องเป็นจริงเป็นจัง “ดาเนน เซนต์มิลาน โดโด้ต่างก็อยู่หมู่บ้านเดียวกับฉัน ตอนที่ฉันออกมาจากหมู่บ้าน พวกเธอยังเล่นดินเล่นโคลนอยู่เลย”
คำพูดนี้ถ้าเป็นโลกปกติคงจะฟังดูแปลกๆ โชคดีที่โลกแห่งความฝันนั้นรวมเอาความทรงจำของเขากับซีโร่เข้าด้วยกัน พอฟังดูจึงไม่รู้สึกแปลกแม้แต่นิดเดียว
“แล้วทำไมพวกเธอถึงเป็นคนเถื่อน[1]ล่ะ?”
โรแลนด์ชะงักไปเล็กน้อย “เพราะว่า…พวกเธอเป็นผู้หญิงน่ะสิ”
“อย่างนี้นี่เอง” การ์เซียนิ่งไปครู่ใหญ่ ในตอนที่เธอเอ่ยปากพูดอีกครั้ง สายตาของเธอที่มองดูทั้งสามคนดูอ่อนโยนมากขึ้นกว่าเดิม “คนที่เป็นเหมือนอย่างพวกเธอ…มีอีกเยอะไหม?”
“เยอะ กระทั่งสิบกว่าปีมานี้ถึงจะดีขึ้นหน่อย” เมื่อเห็นการพูดคุยราบรื่นกว่าที่เขาคิดเอาไว้ โรแลนด์จึงฉวยโอกาสพูดต่อว่า “ตอนนี้ในหมู่บ้านต่างก็รู้เรื่องที่ฉันเข้าไปเป็นสมาชิกสมาคมผู้ฝึกยุทธ์แล้ว พวกนางน่าจะไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในที่เล็กๆ แบบนั้นไปตลอดชีวิต ก็เลยพากันมาหาฉันที่นี่…”
“ฝ่า…พี่โรแลนด์พูดเรื่องจริงนะคะ!”
“ให้พวกเราอยู่ที่นี่ด้วยนะคะ!”
“หนูอยากเรียนหนังสือ”
ทั้งสามคนต่างพูดเสริมขึ้นมา
การ์เซียเบือนหน้าเล็กน้อยเหมือนกำลังลังเลอยู่
“ไม่ว่าจะจ้างครูมาสอนหรือว่าเรียนด้วยตัวเองก็ล้วนแต่ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างแท้จริง ฉันอยากจะให้พวกเธอได้ใช้ชีวิตเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป คนที่ฉันรู้จักที่พอจะช่วยเรื่องนี้ได้ คิดไปคิดมาก็มีแต่เธอเท่านั้น” โรแลนด์พูดเสียงเบาๆ ต่อให้การ์เซียทำไม่ได้ แต่กลุ่มทุนโคลฟเวอร์ต้องทำได้แน่นอน สำหรับตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจขนาดนี้ แค่เอาชื่อคนสองสามคนไปใส่ในทะเบียนราษฎร์นั้นไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรเลย
อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะคิดได้ถึงจุดนี้ หลังครุ่นคิดอยู่ครู่ เธอถึงถอนใจออกมา “ขอโทษด้วย ฉันช่วยนายไม่ได้”
ยังไม่ทันที่โรแลนด์จะได้เอ่ยปาก การ์เซียรีบพูดต่อว่า “ฉันออกมาจากตระกูลแล้ว แล้วก็เคยพูดเอาไว้แล้วว่าจะไม่เจอพ่ออีก ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มทุนโคลฟเวอร์ก็ยังคิดอยากจะไล่ที่ชุมชนถงจึอยูู่ ถ้าฉันไปหาพ่อ พ่อจะต้องเอาเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไขต่อรองแน่ แบบนั้นกล่มคนที่คัดค้านที่เชื่อในตัวฉันและออกมายืนอยู่ข้างฉันก็อาจจะเกิดการแตกแยกได้”
เดิมเขาคิดจะพูดขอร้องเธออีกสักสองสามประโยค แต่พอเห็นมือที่กำแน่นของเธอ เขาก็ต้องกลืนคำพูดของตัวเองกลับลงคอเข้าไปใหม่ เธอรู้สึกทุกข์ใจเพราะช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักไม่ได้! นี่ทำให้โรแลนด์แอบรู้สึกผิดในใจ “ฉันเข้าใจ”
“แต่ว่านายไปคุยกับพ่อฉันเองได้นะ” การ์เซียเงยหน้าขึ้นมา “พรุ่งนี้ตอนเย็น พ่อของฉันจะจัดงานเลี้ยงให้กับผู้ฝึกยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมของเมืองที่โรงแรมในตัวเมือง ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าฉันไม่ไป แต่เขาก็ยังส่งบัตรเชิญมาให้ฉันใบหนึ่ง นี่อย่างน้อยก็ยังบอกกับสื่อได้ว่าเขายังคงพยายามที่จะทำให้ความสัมพันธ์กลับมาดีเหมือนเดิม” เธอทำสีหน้าเหมือนรู้สึกตลกออกมา “ถึงแม้ชื่อบนบัตรเชิญจะไม่ใช่ชื่อนาย แต่นายก็ไปร่วมงานแทนฉันได้ เดี๋ยวฉันโทรบอกฝ่ายจัดงาน นายก็ใช้บัตรเชิญนี้เข้าร่วมงานได้แล้ว การให้คนอื่นไปร่วมงานแทนนั้นมันหมายถึงการยอมรับหรือการปฏิเสธก็ได้ ถ้าฉันเลือกให้นายไปร่วมงานแทน พ่อก็คงจะรู้แน่นอนว่าฉันปฏิเสธ”
อย่างนี้นี่เอง โรแลนด์เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที ถ้าการ์เซียเชิญอาจารย์ของเธอไปร่วมงานแทน ในสายตาของคนอื่นมันจะกลายเป็นอีกความหมายหนึ่งทันที มันก็เหมือนกับการมอบของขวัญในงานเลี้ยง ถ้าให้ของขวัญชิ้นใหญ่ก็เป็นการแสดงความยินดี ถ้าให้ชิ้นเล็กก็เป็นเยาะเย้ยถากถาง
“ไปคุยเองเหรอ…” เขาลูบคางตัวเอง
“ทำไม กลัวเหรอ?”
“ต่อให้กลัวแค่ไหนก็ต้องไป เธอช่วยฉันถึงขนาดนี้แล้วนี่” ถ้าเทียบกับการเป็นราชาแห่งเกรย์คาสเซิลที่ต้องปกครองคนเป็นหมื่นเป็นแสนแล้ว งานเลี้ยงเล็กๆ แบบนี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับโรแลนด์ “ที่ฉันกังวลคือจะไม่ได้อะไรกลับมาน่ะสิ เพราะการปฏิเสธแบบนี้มันเหมือนกับการเยาะเย้ยเลย”
“สบายใจได้ พ่อของฉันไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล ในเรื่องธุรกิจโดยเฉพาะการค้าขาย เขามองแต่ผลประโยชน์เท่านั้น” การ์เซียยิ้มขึ้นมา “แล้วนายก็ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาๆ ด้วย เมืองปริซึมสังเกตเห็นถึงการเติบโตของนาย นายก็อย่าดูถูกตัวเองนักสิ”
โรแลนด์เข้าในความหมายที่อีกฝ่ายกำลังบอก “ฉันจะพยายามเต็มที่”
“บอกตามตรง ฉันรู้สึกดีใจนะ” การ์เซียลุกขึ้นยืน ก่อนจะยื่นมือขวาไปหาเขา “ที่แท้นายก็ไม่ได้เดินออกนอกเส้นทาง กลายเป็นฉันเองที่เข้าใจนายผิด ฉันผิดเอง การที่ได้มีผู้ฝึกยุทธ์แบบนายมาเป็นเพื่อนร่วมต่อสู้ ฉันรู้สึกภูมิใจจริงๆ” เธอชะงักไปเล็กน้อย “แล้วก็ ต่อไปถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็พูดตรงๆ ไม่ต้องมาใช้คำเรียกคุณการ์เซียอะไรแบบนั้นอีก…มันไม่เข้ากับนายเลย”
โรแลนด์ค่อยๆ ยื่นมือออกไปจับมือเธอ
ถึงแม้คำพูดส่วนใหญ่ที่เขาพูดออกไปจะเป็นคำพูดโกหก แต่เขาก็ไม่ได้ลืมเป้าหมายของตัวเอง ทำลายโซ่ตรวนแห่งโชคชะตา ค้นหาความจริงของโลกใบนี้ ไปจนถึงการช่วยเหลือมนุษย์ออกจากสงครามแห่งชะตาชีวิตที่มองไม่เห็นปลายทาง
นี่ถือเส้นทางที่เขาตัดสินใจจะเดินไปข้างหน้า
……………………………………………………………..
[1]คนเถื่อน หรือคนที่ไม่ได้ไปขึ้นทะเบียนเกิด เนื่องจากที่ประเทศจีนสมัยก่อนมีการใช้นโยบายลูกคนเดียว คนจีนจึงมักจะเอาลูกที่เป็นผู้ชายไปขึ้นทะเบียนเกิดมากกว่าผู้หญิง
ตอนที่ 1143 ความแตกต่างของผู้ฝึกยุทธ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
เนื่องจากการเดินของเวลาที่แตกต่างกัน ทำให้การนอนในโลกแห่งความจริงครั้งหนึ่งสามารถใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความฝันได้สองวัน วันถัดมาโรแลนด์จึงพาแม่มดทั้งสามคนไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงใจกลางเมือง โรงแรมหวงกว้าน
“ฝ่าบาท ของกินที่อยู่ตรงนั้น พวกหม่อมฉันจะกินอะไรก็ได้จริงเหรอเพคะ?” ดาเนนชะโงกหน้ามาจากทางเบาะหลัง สายตาดูเป็นประกาย
“แน่นอน ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากงานเลี้ยงที่พวกขุนนางจัดหรอก ในสมัยสมาพันธ์ เจ้าเองก็น่าจะเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงแบบนี้มาไม่น้อยใช่หรือเปล่า?”
“แต่งานเลี้ยงพวกนั้นมันกินแบบเปิดเผยไม่ได้เพคะ”
“ไม่ได้เหรอ?” โรแลนด์ถามอย่างสงสัย
“ใช่เพคะ” เซนต์มิลานที่นั่งอยู่ข้างคนขับพยักหน้า “คนที่ได้รับเชิญไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของสมาพันธ์ล้วนแต่เป็นคนที่มีหน้ามีตา ทุกคนต่างให้ความสำคัญกับการสร้างสัมพันธ์มากกว่าการกินเพคะ ไม่มีใครจะอยากไปคุยกับคนที่ปากเต็มไปด้วยคราบมัน ถ้าใครเอาแต่ห่วงเรื่องกินจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะได้เพคะ ถ้าช่วงเวลาในการจัดงานเลี้ยงค่อนข้างยาว คนส่วนใหญ่จะหาอะไรกินก่อนค่อยไปร่วมงานเลี้ยงเพคะ” เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็กลืนน้ำลายดังอึก “แต่ถ้าการทำแบบนั้นจะทำให้ฝ่าบาททรงขายหน้า พวกหม่อมฉันก็ทนได้เพคะ”
โรแลนด์กวาดตามองดูทั้งสามคนที่ทำสีหน้าเหมือนมีความหวังผ่านทางกระจกหลัง ก่อนจะหลุดขำออกมา “วางใจได้ ข้าเคยผิดคำพูดด้วยเหรอ? ที่นี่ไม่ใช่สมาพันธ์ แล้วก็ไม่ใช่เมืองหลวงของเกรย์คาสเซิล ตอนนี้พวกเราแสดงเป็นคนธรรมดาของโลกนี้ ขอเพียงไม่ไปรบกวนคนอื่น พวกเจ้าจะกินยังไงก็ได้”
“อย่างนั้น…หม่อมฉันแอบเอาของกินบางอย่างกลับไปได้ไหมเพคะ?” โดโด้พูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “ยังมีพี่น้องอีกหลายคนอยากจะลองกินอาหารในงานเลี้ยงของโลกนี้ดูบ้างเพคะ”
“อย่าให้คนอื่นเห็นก็พอ” เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจ “พออยู่ในงานพวกเจ้าก็คอยเดินตามข้า อย่าห่างข้าไปไกล ถ้ามีใครพูดอะไรก็ทำเป็นไม่ได้ยิน เดี๋ยวข้าเป็นคนตอบเอง”
“เพคะ ฝ่าบาท!” แม่มดทั้งสามตอบพร้อมกัน
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง พวกโรแลนด์ก็มาถึงจุดหมาย
หลังขับเข้าประตูหน้ามา โรแลนด์ก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่าง รถที่จอดอยู่ในบริเวณโรงแรมล้วนแต่เป็นรถหรู ราคาอย่างต่ำๆ ก็ต้องมีหนึ่งล้านหยวนขึ้นไป ตัวรถที่ถูกขัดจนมันวับช่างดูแตกต่างจากรถตู้ของเขาอย่างมาก
ถึงแม้รายได้ที่ปล้นมาจากพวกฟอลเลนอีวิลจะมีไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับพวกนายทุนที่แท้จริงก็ยังถือว่าแตกต่างกันอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นรถตู้ธรรมดาๆ ที่เขาซื้อมาเพราะไม่ต้องการให้ตกเป็นเป้าหมายสายตาของคนอื่นคันนี้ เวลาอยู่ข้างนอกนั้นแทบจะไม่มีใครเหลียวมองเลย แต่พอมาอยู่ที่นี่มันกลับดูสะดุดตาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“คุณผู้ชาย วันนี้โรงแรมถูกจองไว้หมดแล้ว ไม่ทราบว่าคุณมีบัตรเชิญไหมครับ?” โรแลนด์ขับรถมาจอดหน้าประตูโรงแรม พนักงานรับรถรีบเดินเข้ามา
โรแลนด์หยิบเอาบัตรเชิญของการ์เซียก็มาให้พนักงานต้อนรับดู
“ยินดีต้อนรับสู่โรงแรมหวงกว้านของเราครับ งานจัดอยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม ที่ด้านหน้างานจะมีคนคอยต้อนรับอยู่ครับ” อีกฝ่ายยิ้มแย้มออกมา “เดี๋ยวผมเอารถไปจอดให้นะครับ”
สมแล้วที่เป็นโรงแรมระดับท็อปของเมือง โรแลนด์คิดในใจ ไม่ว่าในใจคนเหล่านี้จะคิดยังไง แต่ใบหน้าของพวกเขาก็ยังยิ้มแย้มอยู่
เมื่อพาแม่มดทั้งสามคนเข้ามาในโรงแรมที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ปฏิกิริยาของทั้งสามคนดูสุขุมกว่าที่เขาคิดเอาไว้ทีเดียว น่าจะเป็นเพราะสิ่งก่อสร้างที่ดูโอ่โถงแบบนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ของเมืองทาคิลา เพราะว่าช่วงหนึ่งหินเวทมนตร์ที่ส่องแสงได้นั้นเป็นของที่แม่มดระดับสูงในอาณาจักรแม่มดใช้กันอย่างแพร่หลาย อย่างเช่นโคมไฟบนเพดานที่แค่ดูก็รู้ว่ามีราคาแพงนั้น ถ้าไปอยู่ในปราสาทของสามผู้นำแห่งสมาพันธ์ก็คงกลายเป็นเพียงของธรรมดาๆ เท่านั้น
สำหรับแม่มดเหล่านี้แล้ว การตกแต่งที่ดูหรูหรานั้นไม่อาจเทียบกับเค้กเนยสองสามก้อนได้ โรแลนด์ที่เห็นเช่นนี้จึงแอบขำอยู่ในใจนิดหน่อย กลับกลายเป็นการปรากฏตัวของแม่มดทั้งสามคนที่ดึงดูดสายตาของหลายๆ คนที่อยู่ในโรงแรม ดูเหมืนอไม่ว่าจะอยู่ในโลกไหน ใบหน้าของพวกเธอก็ยังกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนอยู่
การตรวจสอบหลังจากนั้นมีความละเอียดมากขึ้น พนักงานต้อนรับกวาดตามองดูบัตรเชิญ ก่อนจะหยิบเอาวิทยุสื่อสารขึ้นมารายงานสองสามประโยค จากนั้นจึงเอาบัตรเชิญคืนให้เขา “คุณโรแลนด์ ขอประทานโทษที่ให้รอครับ ไม่ทราบคุณผู้หญิงทั้งสามคนนี้คือ…”
“น้องผมเอง” โรแลนด์ยักไหล่ “การ์เซียบอกผมว่าที่ี่นี่ให้พาญาติเข้ามาได้”
“เข้าใจแล้วครับ อย่างนั้นเชิญตามผมมาเลยครับ”
พนักงานต้อนรับพาทั้งสี่คนส่งเข้าลิฟท์พร้อมกับกดลิฟท์ชั้นบนสุดให้ “ขอให้มีความสุขกับงานเลี้ยงคืนนี้ครับ”
ลิฟท์เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบนครู่หนึ่งก่อนที่จู่ๆ จะสว่างขึ้นมา ผนังที่ล้อมรอบลิฟท์ในตอนแรกพลันหายลงไปใต้เท้า แสงสุดท้ายของวันส่องเข้ามาในลิฟท์ ขณะเดียวกันก็มีภาพของเมืองที่มีตึกสูงตั้งเรียงรายจนเหมือนผืนป่า
ในเวลานี้เหล่าแม่มดพากันส่งเสียงอุทานออกมาเบาๆ
“ต่อให้เอาเมืองศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามมารวมกันก็ยังไม่ใหญ่เท่าเมืองนี้เลย” ฟาลดี้พูดเสียงเบาๆ “ไม่ว่าจะดูกี่ครั้งก็ยังยากที่จะจินตนาการได้ว่าคนธรรมดาที่ไม่มีพลังเวทมนตร์จะสร้างทั้งหมดนี้ขึ้นมาได้”
“ตึกมหัศจรรย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาก็ได้แนวคิดมาจากที่นี่ใช่ไหมเพคะ?” เซนต์มิลานมองไปทางโรแลนด์
เขายิ้มขึ้นมาโดยไม่ตอบอะไร ถึงแม้เขาจะไม่เคยเล่าเรื่องประวัติความเป็นมาให้ใครฟังนอกจากอันนา แต่เรื่องที่เขามาจากสถานที่ที่เหมือนกับโลกแห่งความฝันนั้นกลายเป็นเรื่องที่แม่มดทาคิลาทุกคนต่างรู้กันหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่จะอธิบายเรื่องที่เขาคุ้นเคยกับโลกใบนี้ได้ขนาดนี้ได้
หลังมาถึงชั้นบนสุด ห้องจัดงานเลี้ยงทรงกลมขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งสี่คน
นอกจากพื้นแล้ว กำแพงกับเพดานล้วนแต่ทำมาจากกระจก ทำให้มุมมองดูกว้างขว้างอย่างมาก เมื่อยืนอยู่ริมกำแพงจะมองเห็นเมืองครึ่งเมือง การที่สามารถจัดงานเลี้ยงในสถานที่แบบนี้ได้ก็เป็นการแสดงให้เห็นแล้วว่ากลุ่มทุนโคลฟเวอร์นั้นมีบารมีมากขนาดไหน
บนโต๊ะของงานเลี้ยงมีอาหารต่างๆ นาๆ วางอยู่เต็มไปหมด ตั้งแต่ออเดิร์ฟไปจนถึงขนมเค้กและของหวาน ตั้งแต่ผลไม้ไปจนถึงแชมเปญ อะไรที่ควรมีก็มีหมด แขกภายในงานต่างจับกลุ่มพูดคุยกัน จำนวนแขกในงานมีประมาณหลายร้อยคน เห็นได้ชัดว่าคนที่มานั้นไม่ได้มีแค่ผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น หากแต่ยังมีคนจากแวดวงธุรกิจและการเมืองด้วย
หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงรู้สึกประหม่าที่มาร่วมงานเลี้ยงแบบนี้แน่ แต่ตอนนี้โรแลนด์เคยชินกับงานเลี้ยงแบบนี้เสียแล้ว ส่วนแม่มดทั้งสามคนพอเข้ามาในงานเลี้ยงก็พุ่งไปหาเป้าหมายของพวกเธอทันที นั่นคืออาหารที่จัดวางอยู่บนโต๊ะ
“ว้าว…ปลานี่นุ่มมากขึ้น แค่เข้าปากก็ละลายแล้ว”
“นี่คือองุ่นจริงๆ งั้นเหรอ? อื้มมม ไม่ได้ชิมรสหวานแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วเนี่ย…”
“เหลวไหล เจ้าเพิ่งจะเข้ามาในโลกแห่งความฝันเมื่อเดือนที่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“แต่ครั้งที่แล้วข้าได้กินแต่พวกอาหารฟาสต์ฟู้ดนี่นา เจ้าบื้อเอเลน่าสั่งเป็นแต่เคเอฟซีกับแมคโดนัล”
“เฮ้ พวกเจ้าอย่าเอาแต่ห่วงกิน รีบเอาของกินใส่กระเป๋าโดโด้ดีไหม?”
โรแลนด์มองดูเหล่าแม่มดที่พากันตื่นเต้นเพราะอาหารที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะส่ายหัวยิ้มๆ ออกมา จู่ๆ เขาก็คิดขึ้นมาได้ ต่อให้โลกแห่งความฝันไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้เขาได้ เขาก็ควรจะเก็บโลกนี้เอาไว้ สำหรับเขาแล้ว ที่นี่อาจจะเป็นแค่โลกที่มันไม่มีอยู่จริง แต่สำหรับแม่มดทาคิลาแล้ว ที่นี่กลับเป็นเพียงสถานที่เดียวที่ทำให้พวกเธอรับรู้ได้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่
รสชาติ สัมผัส กลิ่น…พวกเธอสูญเสียทุกอย่างไปเพื่อการต่อสู้กับปีศาจ มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่จะชดเชยให้พวกเธอได้
โรแลนด์ฉวยโอกาสตอนที่งานเลี้ยงยังไม่เริ่มกวาดตามองดูแขกคนอื่นๆ อย่างละเอียด
คนที่มาร่วมงานส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คนที่สวมสูทส่วนใหญ่จะเป็นคนที่อยู่ในแวดวงสังคม ส่วนคนที่สวมชุดผู้ฝึกยุทธิ์ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เหมือนอย่างเขา ถึงแม้การแบ่งกลุ่มแบบนี้จะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะอย่างเช่นเขาที่เพิ่งจะได้กลายเป็นสมาชิกของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์จึงทำให้ยังไม่ได้รับชุดผู้ฝึกยุทธ์มาจากทางสมาคม เขาจึงใส่สูทมาร่วมงาน แต่โดยรวมแล้วภายในงานก็ไม่มีใครแต่งชุดแปลกๆ มา เรียกได้ว่าแตกต่างจากตอนที่เขาไปเมืองปริซึมเมื่อครั้งที่แล้วโดยสิ้นเชิง
นี่คือผู้ฝึกยุทธ์มืออาชีพกับผู้ฝึกยุทธ์มือสมัครเล่นอย่างนั้นเหรอ?
เขาอดนึกถึงคำพูดของการ์เซียที่เคยพูดเอาไว้ไม่ได้
‘ถึงแม้สมาคมผู้ฝึกยุทธ์จะเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือโลกนี้ แต่อาศัยเพียงแค่อุดมคตินั้นไม่สามารถที่จะรวบรวมคนได้มากพอ ดังนั้นต่อว่าจึงมีการจัดงานแข่งขันต่อสู้ขึ้นมา การแข่งขันที่ว่านี้เพิ่งจะมีขึ้นมาไม่ถึง 50 ปี แต่มันก็ได้กลายเป็นการแข่งขันที่มีคนรับชมมากที่สุด ผู้ตื่นรู้ที่ลงแข่งขันจะมีโอกาสมีชื่อเสียง บารมี แล้วก็รายได้ ส่วนการแข่งขันก็จะทำให้สมาคมมีผู้ฝึกยุทธ์หน้าใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก นี่ทำให้นับวันแข่งขันสมาคมจะให้ความสำคัญกับการแข่งขันมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่มีฝีมือดีก็จะมีสิทธิ์มีเสียงในการพูดที่มากกว่า การเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ได้รับการสนับสนุนจากบุคคลระดับสูงของสมาคม ทำให้สมาชิกภายในสมาคมค่อยๆ แบ่งออกเป็นฝ่ายยุคเก่ากับยุคใหม่ แต่ว่าสุดท้ายการแข่งขันต่อสู้กลับยิ่งขยายใหญ่ขึ้น แทนที่จะหดเล็กลง!”
ตอนนั้นโรแลนด์ค่อนข้างเอนเอียงไปทางกลุ่มยุคเก่ามากกว่า เพราะศัตรูที่แท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์ก็คือฟอลเลนอีวิลที่ไม่ตายก็ไม่ยอมเลิกรา การต่อสู้แบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่การแข่งขันต่อสู้ธรรมดาๆ จะมาเทียบได้เลย ในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการดึงดูดผู้ฝึกยุทธ์หน้าใหม่ มันยังเรียกได้ว่าเป็นวิธีที่ดีที่มีประสิทธิภาพแ แต่การที่ปล่อยให้อิทธิพลของมันส่งผลไปถึงระดับสูงได้นั้นเป็นเรื่องที่เขายากจะเข้าใจ การแข่งขันต่อสู้นั้นไม่ใช่การต่อสู้ที่ตัดสินความเป็นความตาย เรื่องง่ายๆ แบบนี้คนพวกนั้นไม่น่าจะไม่เข้าใจ แต่เมื่อดูจากผลลัพธ์ที่ผ่านมา กลับกลายเป็นฝ่ายยุคใหม่ที่ถูกให้ความสำคัญมากกว่า
ที่ผ่านมาเขาไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อได้มาเห็นภาพในการเลี้ยงนี้ จู่ๆ เขาก็เหมือนจะเข้าใจขึ้นมา…..
สมาชิกของสมาคมที่ไม่เข้าร่วมการแข่งขันส่วนใหญ่จะเป็นผู้ตื่นรู้มือสมัครเล่นที่ไม่มีทางไปไหน พวกเขาไม่สนใจเรื่องระเบียบวินัย อีกทั้งภาพลักษณ์ของพวกเขาก็แย่อย่างมาก โดยรวมแล้วเรียกได้ว่าอยู่กันคนละระดับกับพวกผู้ฝึกยุทธ์ชื่อดังเหล่านี้เลย บวกกับโอกาสที่ได้ต่อสู้กับฟอลเลนอีวิลนั้นไม่ได้มีอยู่ตลอด แถมยังต้องอาจจะตายถ้าไม่ระวัง นี่ย่อมต้องทำให้เสียงสนับสนุนพวกยุคเก่ามีน้อยลงเรื่อยๆ
เกรงว่าคงต้องรอให้การกัดกินที่แท้จริงที่มิสต์บอกเกิดขึ้นมาก่อน พวกยุคเก่าถึงจะได้กลับมามีความสำคัญอีกครั้ง
เมื่อคิดโยงถึงใบอนุญาตไล่ล่า โรแลนด์ก็ยิ้มมุมปากขึ้นมา…เขาคิดมาตลอดว่าการที่สมาคมส่งของแบบนี้ให้กับสมาชิกหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ครึ่งปีดูจะแปลกๆ ไปเสียหน่อย ต่อให้ทำผลงานได้ดีแค่ไหนมันก็ไม่มีทางที่จะไปอยู่ในระดับหนึ่งร้อยคนแรกของสมาคมได้ แต่ตอนนี้ดูแล้ว คนที่ไม่เข้าร่วมการแข่งขัน มุ่งมั่นที่จะสู้กับฟอลเลนอีวิลเพียงอย่างเดียว แล้วก็ไม่แสดงว่าชื่อเสียงผลประโยชน์นั้นเรียกได้ว่าเป็นบุคคลในอดมคติของผู้ฝึกยุทธ์ยุคเก่าเลย
หรือว่าทั้งหมดนี้จะเป็นความต้องการของระดับสูงของฝ่ายยุคเก่าที่อยากดันให้เขาเป็นตัวแทน?
………………………………………………………………………
ตอนที่ 1144 คนที่แข็งแกร่งกว่า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในขณะที่โรแลนด์กำลังมองดูแขกคนอื่นๆ ภายในกลุ่มแขกก็มีคนกำลังจับตาดูเขาอยู่เหมือนกัน
“เป็นยังไงบ้าง ได้ข้อมูลของเขาไหม?” การ์เวนถามลูกน้องเสียงเบาๆ
“ได้ครับ” อีกฝ่ายกระซิบรายงานข้างหูเขา “ชาติตระกูลกับประวัติความเป็นมาต่างก็ธรรมดาอย่างมาก ที่เขากลายเป็นเพื่อนบ้านของคุณหนูก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญ ในทำเนียบอันดับผู้ฝึกยุทธ์ก็ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับโรแลนด์อยู่เลย เขาน่าจะไม่เคยลงแข่งต่อสู้แม้แต่ครั้งเดียว แล้วก็เพิ่งจะเข้ามาสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เมื่อสามเดือนก่อนนี้เอง เรื่องแบบนี้มีให้เห็นไม่บ่อยเท่าไรเลยครับ”
ถึงแม้การ์เวนจะไม่มีพลังแห่งธรรมชาติ แต่เขาก็รู้เรื่องเกี่ยวกับการแข่งขันต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นรายการแข่งขันที่ได้รับความนิยมมากที่สุด กฎเกณฑ์และขั้นตอนต่างๆ ในการแข่งขันล้วนแต่เป็นสิ่งที่หลายๆ คนรู้กันดี นอกจาก ‘การแข่งขันชิงแชมป์ผู้ฝึกยุทธ์’ที่เป็นการแข่งขันรายการใหญ่ที่สุดที่จัดขึ้นทุกๆ สองปีแล้ว การแข่งขันอื่นๆ ล้วนแต่ถือว่าเป็นการแข่งขันรอบคัดเลือก รายการการแข่งขันนั้นมีเยอะแยะมากมาย ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์หน้าใหม่ที่เพิ่งตื่นรู้ก็สามารถลงแข่งรายการระดับต้นที่จัดขึ้นแทบจะทุกเดือนได้
ปกติแล้วผู้ฝึกยุทธ์หน้าใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในสมาคมมักอยากจะรีบๆ ขึ้นเวทีไปแข่ง เพื่อที่จะได้เพิ่มระดับความสามารถและเพิ่มอันดับของตัวเอง เพราะนั่นหมายถึงสถานะและรายได้ที่มากขึ้น มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ที่เพิ่งมาเข้าสมาคมกลางคันถึงจะปฏิเสธการแข่งขันที่ได้แสดงความสามารถให้ทุกคนได้ดูแบบนี้ แต่ตัวการ์เวนกลับคิดว่าคนเหล่านั้นคงจะทำอะไรผิดมาถึงได้ไม่กล้าเปิดเผยใบหน้าตัวเองต่อหน้ากล้องมากกว่า
ในฐานะที่เป็นพี่ของการ์เซีย การ์เวนย่อมต้องค่อนข้างสนใจคนที่น้องสาวเลือกให้มาร่วมงานเลี้ยงแทนอย่างแน่นอน เท่าที่เขาจำได้ การ์เซียนั้นเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ยาก เพราะว่าเธอค่อนข้างรั้นในความเชื่อของตัวเอง จึงทำให้ระหว่างเธอกับคนนอกนั้นมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นอยู่ การจะข้ามกำแพงที่ว่านั้นมีแต่จะทำให้เกิดความกดดันกับทั้งสองฝ่าย ด้วยเหตุนี้คนที่ได้รับความเชื่อใจจากเธอจึงมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
การ์เวนไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่การ์เซียกับพ่อของเธอจะทะเลาะกันจนถึงทุกวันนี้ เธออาจจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ดี แต่เธอไม่ใช่นักธุรกิจที่ดีอย่างแน่นอน
แต่ว่านี่ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่เขามาตรวจสอบอีกฝ่าย อย่างมากก็เรียกได้ว่าเป็นแค่เหตุผลหนึ่งเท่านั้น
ส่วนเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาต้องมาตรวจสอบโรแลนด์นั้นอยู่ที่โต๊ะ VIP ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของงานเลี้ยง
เขามองไปยังผู้หญิงที่สวมชุดสีขาวทั้งตัวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะ VIP ชุดผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่มีเครื่องประดับแม้แต่ชิ้นเดียวทำให้เธอดูมีราศีขึ้นมากกว่าเดิม ผมยาวสีดำสยายลงมาเหมือนกับน้ำตก เพียงแค่แผ่นหลังของเธอก็ทำให้คนที่เห็นพากันส่งเสียงอุทานออกมาได้แล้ว
เฟยอวี่หาน ดาวดวงใหม่ที่เป็นที่จับตามองมากที่สุดของการแข่งขันประลองยุทธ์ นับตั้งแต่ตอนที่เธอปรากฏตัวบนเวทีจนถึงตอนนี้เพิ่งจะผ่านมาแค่ 5 ปีเท่านั้น แต่เธอกลับเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศการแข่งขันประลองยุทธ์ได้ถึงสองครั้ง ถึงแม้จะไม่สามารถคว้าแชมป์มาได้ แต่คนส่วนใหญ่ต่างก็คิดว่านั่นเป็นเพราะเธออายุน้อยเกินไปและยังขาดประสบการณ์เท่านั้น ขอเพียงให้เวลาเธอมากกว่านี้ เธอจะต้องกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างแน่นอน พรสวรรค์ที่โดดเด่นเช่นนี้ทำให้ทำถูกมองว่าเป็นตัวเองของอัจฉริยะรุ่นใหม่ ถึงกับมีคนพูดว่าวันที่เธอคว้าแชมป์มาได้ก็คือวันที่เธอจะได้เข้าไปนั่งในตำแหน่งระดับสูงของเมืองปริซึม
เดิมเขาคิดว่าคนแบบนี้จะไม่มีทางสนใจคำเชิญของกลุ่มทุนโคลฟเวอร์ แต่คิดไม่ถึงเลยเธอจะมางานนี้ด้วยตัวเอง นี่ทำให้พ่อของเขาดีใจอย่างมาก
ถ้ามีเฟยอวี่หานมาร่วมงาน งานเลี้ยงครั้งนี้จะต้องกลายเป็นพาดหัวข่าวที่ทุกคนต่างจับตามองที่สุดในช่วงนี้แน่
แต่ในตอนที่เขากำลังหาจังหวะจะเข้าไปคุยกับเธอ เขากลับได้รับการไหว้วานจากเธอให้ไปทำภารกิจที่คาดไม่ถึง
การ์เวนสะกดความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
“คุณเฟยอวี่หาน เรื่องที่คุณให้ผมไปสืบมา…”
“ไม่ต้องพูดซ้ำแล้ว ฉันได้ยินหมดแล้ว” เธอพูดตัดบท จากนั้นยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ขอบคุณนะ”
ดะ ได้ยินแล้ว? การ์เวนหันกลับไปมองตำแหน่งที่ตัวเองยืนอยู่เมื่อครู่อย่างตกใจ นี่มันห่างกันเกือบสิบเมตร แถมยังอยู่ในงานเลี้ยงที่มีเสียงพูดคุยวุ่นวาย ผู้ฝึกยุทธ์มีความสามารถในการรับรู้ที่ไวขนาดนี้จริงๆ เหรอเนี่ย? นี่มัน…ไม่ใช่คนแล้ว!
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะได้ยินทุกอย่าง ถึงแม้หูจะทำได้ แต่สมองก็ประมวลผลไม่ทัน” น่าจะเป็นเพราะมองเห็นถึงความประหลาดใจของเขา เฟยอวี่หานจึงอธิบายให้เขาฟัง “ตอนที่ลูกน้องของคุณเข้ามาใกล้ ฉันก็ได้ทำการเพิ่มสมาธิ จากนั้นก็รวบรวมสมาธิเพ่งออกไป ทำให้ฉันเห็นสิ่งที่พวกคุณคุยกันทั้งหมดผ่านทางรูปปาก เสียง แล้วก็สีหน้า สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
“อย่าง อย่างนี้นี่เอง…สมแล้วที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ทุกคนยกย่องว่าแข็งแกร่งมากที่สุด” การ์เวนยิ้มแห้งๆ ขึ้นมา
“แข็งแกร่งที่สุด?” เสียงของเธอสดใสเหมือนเสียงกระดิ่ง “ฉันยังไม่ได้ถ้วยแชมป์ใบนั้นมาเลยนะ”
“ช้าเร็วคุณก็ต้องได้แน่นอน นอกจากคุณแล้วยังจะมีใครที่สามารถขึ้นไปยืนบนเวทีรอบชิงชนะเลิศได้ตั้งแต่ปีแรกที่ตื่นรู้กันล่ะ ต่อให้เป็น ‘ผู้คุม’ ของเมืองปริซึม….” ในขณะที่พูดไป เสียงของการ์เวนก็ค่อยๆ เบาลง
ถึงแม้เฟยอวี่หานจะเหมือนกำลังฟังเขาพูดอยู่ แต่สีหน้าที่ดูเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มของเธอกลับทำให้เขาเกิดความรู้สึกเหมือนถูกมองข้าม เหมือนกับว่าเธอยิ้มแค่พอเป็นมารยาทเท่านั้น ความจริงแล้วเธอไม่ได้สนใจในสิ่งที่ตัวเขาพูด แล้วก็ไม่ได้อยากจะคุยกับเขาต่อไปอย่างไรอย่างนั้น
เขารู้ทันทีว่าคำพูดขอบคุณของอีกฝ่ายที่พูดมาในตอนแรก ความจริงแล้วเป็นเหมือนคำพูดสำหรับจบบทสนทนา คำอธิบายหลังจากนั้นก็แค่เห็นแก่หน้าของกลุ่มทุนโคลฟเวอร์ที่เป็นเจ้าภาพจัดงานเท่านั้น แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นเธอก็ยังพูดอธิบายมาแค่ประโยคสองประโยค
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ภายในใจเขาก็เกิดความรู้สึกโกรธขึ้นมา ตัวเขาซึ่งเดินไปที่ไหนก็ได้รับการยกย่องจากคนอื่นกลับต้องมาโดนมองข้ามแบบนี้!
แต่ความโกรธเพิ่งจะพุ่งขึ้นมา การ์เวนก็พยายามกดมันลงไป
สมาคมผู้ฝึกยุทธ์นั้นเป็นองค์กรที่กลุ่มทุนโคลฟเวอร์ไม่อาจผิดใจได้ พวกเขามีเส้นสายในรัฐบาลและอุตสาหกรรมต่างๆ อยู่เต็มไปหมด
ไม่อย่างนั้นพ่อของเขาคงไม่จ่ายเงินตั้งมากมายเพื่อจัดงานเลี้ยงให้คนเหล่านี้แน่
เขาฝืนยิ้มขึ้นมา ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
การเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าเล็กๆ น้อยๆ นี้ย่อมไม่มีทางรอดพ้นสายของเฟยอวี่หานไปได้แน่นอน
เพียงแต่เธอไม่ได้สนใจความคิดของคนธรรมดาเหล่านี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าการกัดกิน ทรัพย์สินและอำนาจล้วนแต่ไม่มีประโยชน์ สิ่งเดียวที่พึ่งพาได้ก็คือพลังของตัวเองเท่านั้น
สายตาเธอมองไปทางโรแลนด์อีกครั้ง
ตอนแรกเธอมาเข้าร่วมงานแค่เพราะทำตามคำสั่งของอาจารย์เท่านั้น เธอไม่รู้ว่าทำไมต้องเอาเวลาฝึกซ้อมอันมีค่ามาเสียไปกับงานเลี้ยงทางสังคมแบบนี้ จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นปรากฏตัวขึ้นมา เธอถึงได้ค่อยๆ รู้สึกสนใจ
เมื่อพลังแห่งธรรมชาติพัฒนาขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง ผู้ตื่นรู้จะสามารถรับรู้ได้ถึงระดับของคู่ต่อสู้ ซึ่งนั่นไม่ใช่ความสามารถที่พิเศษอะไร หากแต่เป็นสิ่งสะท้อนออกมาให้เห็นเมื่อความสามารถในการสังเกตพัฒนาขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง เฟยอวี่หานก้าวขึ้นไปถึงระดับนี้ได้ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน เธอพบว่าขอเพียงไม่ได้อยู่ในเมืองปริซึม คนที่จะเหนือกว่าเธอได้นั้นมีอยู่แค่ไม่กี่คน
แต่ความสามารถในการสังเกตของเธอกลับใช้ไม่ได้ผลเมื่ออยู่ต่อหน้าคนๆ นั้น
การเคลื่อนไหว การพูดจา สายตา การสั่นของผิวหนัง สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เหมือนคนธรรมดาไม่มีผิด มีเพียงการกระเพื่อมของพลังแห่งธรรมชาติเท่านั้นที่เธอสัมผัสมันไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เมื่อมองไม่เห็นการกระเพื่อมของพลังแห่งธรรมชาติ ก็เท่ากับเธอจะขาดเครื่องมือที่จะนำมาใช้วิเคราะห์ ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนธรรมดามันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เมื่อดูจากการดูแลของบริกรแล้ว เธอจึงรู้ว่าเขาก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่ง
ดังนั้นเฟยอวี่หานจึงมาหาการ์เวน
ถึงแม้ข้อมูลพวกนี้เธอจะหาเองได้ แต่เธอกลับชื่นชอบที่จะให้คนอื่นไปทำมันมากกว่า ขอเพียงพูดไปประโยคเดียว พวกเขาก็จะทำในสิ่งที่เธอไหว้วานอย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำได้ดีกว่าเธอด้วย
จากนั้นเธอก็ได้ยินชื่อ ‘โรแลนด์’ จากปากของการ์เวน
ปริศนาทั้งหมดได้รับการคลี่คลายแล้ว
เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้ เฟยอวี่หานได้ยินเรื่องๆ หนึ่งมาจากอาจารย์ของเธอ…นั่นคือเมืองปริซึมมี ‘นักล่า’ คนใหม่ถือกำเนิดขึ้นมา หรือก็คือผู้ฝึกยุทธ์ที่มีใบอนุญาตไล่ล่า เดิมทีนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ทางสมาคมได้มอบอำนาจและสิทธิพิเศษให้กับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์เพื่อให้พวกเขาได้ใช้กำจัดฟอลเลนอีวิลที่ชั่วร้าย ซึ่งนั่นช่วยให้พวกเขากำจัดศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สรุปแล้วก็คือ คนที่สามารถกลายเป็นนักล่าได้นั้นมีจำนวนไม่เยอะ นักล่าที่เธอรู้จักล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์รุ่นพี่ที่มีชื่อเสียง แต่ครั้งนี้กลับมีการมอบใบอนุญาตล่าให้กับผู้ฝึกยุทธ์หน้าใหม่ที่เพิ่งจะเข้าสมาคมมาได้ไม่นาน!
ถ้าไม่เป็นเพราะสถานะของนักล่าถูกสมาคมเก็บเอาไว้เป็นข้อมูลลับล่ะก็ เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้เกิดความแตกตื่นอย่างมากแน่ เพราะว่าในสมาคมนั้นมักจะมองว่าคนที่ถือใบอนุญาตไล่ล่านั้นเป็นนักสู้ที่อยู่ในระดับเดียวกับแชมป์จากการแข่งขันต่อสู้ เผลอๆ นักล่าอาจจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าด้วย การมอบใบอนุญาตไล่ล่าให้สมาชิกใหม่ครั้งนี้จึงหมายความว่ามีคนที่เพิ่งจะตื่นรู้ขึ้นมาก็สามารถคว้าถ้วยแชมป์จากการแข่งขันมาได้ นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก!
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เรื่องที่ตัวเองผ่านเข้าไปแข่งถึงรอบชิงชนะเลิศถึงสองสมัยได้ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย
และนักล่าคนที่ว่านั้นชื่อโรแลนด์
เฟยอวี่หานยื่นมือกว่าออกมากำไว้แน่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของผู้คุม เธอจึงพอจะได้ยืนเรื่องราวความขัดแย้งของฝ่ายนักสู้ยุคเก่ากับยุคใหม่มาบ้าง และหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ยังคงถกเถียงกันไม่จบก็คือผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายไหนกันแน่ที่แข็งแกร่งกว่ากัน? เป็นนักสู้ที่แท้จริงที่ยืนอยู่บนเส้นแบ่งแห่งความเป็นความตาย พยายามใช้ทุกวิธีทางในการสู้กับฟอลเลนอีวิล หรือว่านักต่อสู้ที่ฝึกฝนวิชาการต่อสู้ของตัวเองอยู่ทุกวัน แล้วก็ต่อสู้กับคู่ต่อสู้ไม่ซ้ำหน้าบนเวทีอย่างยุติธรรม?
โดยแบบแรกนั้นเหมือนเป็นการทดสอบความสามารถส่วนบุคคลมากกว่า พวกเขาจะสู้กับฟอลเลนอีวิล แต่บางครั้งผ่านไปหลายเดือนก็ไม่แน่ว่าจะได้สู้กับพวกมัน สำหรับหลายๆ คนแล้วการต่อสู้ครั้งแรกอาจจะกลายเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายก็ได้ ส่วนฝ่ายหลังนั้นถึงแม้จะเอาเวลาส่วนใหญ่ไปใช้ในการฝึกซ้อม แต่กฎเกณฑ์ที่กำหนดออกมาโดยคำนึงถึงความปลอดภัยนั้นไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ไม่สามารถแสดงพลังได้อย่างเต็มที่ หากแต่ยังจะทำให้พวกเขาเกิดความเคยชินไปด้วย เมื่อเจอกับคู่ต่อสู้ที่ไม่ตายไม่ยอมเลิกราอย่างฟอลเลนอีวิลก็อาจจะทำให้เกิดความลนลานได้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีผู้สนับสนุนอยู่ไม่น้อย แล้วเป็นการยากที่จะได้รับคำตอบที่แน่ชัดผ่านการฝึกฝน
แต่ตอนนี้เหมือนจะมีมาตรฐานที่ใช้เปรียบเทียบออกมาแล้ว
โรแลนด์ที่ไม่เคยเข้าร่วมการต่อสู้ แล้วก็สู้กับฟอลเลนอีวิลมาโดยตลอดหลังจากตื่นรู้ขึ้นมานั้นจัดอยู่ในพวกนักสู้ยุคเก่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนตัวเอง ในสายตาของอื่นๆ นั้นมองว่าเป็นนักสู้ยุคใหม่
ที่อาจารย์ให้เธอมาร่วมงานเลี้ยงนี้ เกรงว่าในใจของอาจารย์คงจะคิดถึงเรื่องนี้เอาไว้แน่ พวกเธอเป็นทั้งเพื่อนร่วมสมาคม แล้วก็เป็น ‘ตัวแทน’ ของทั้งสองฝ่าย มาทำความคุ้นเคยกันเอาไว้ก่อนก็ไม่เลวเหมือนกัน
เสียดายที่เฟยอวี่หานไม่ได้สนใจเรื่องความขัดแย้งนี้เท่าไร เธอไม่คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองนั้นเป็นนักสู้ยุคใหม่ ถ้าไม่เป็นเพราะอาจารย์สั่งกำชับไม่ใช่เธอไปจัดการกับฟอลเลนอีวิลตามลำพัง เธอเองก็อยากจะหาโอกาสสู้กับฟอลเลนอีวิลดูเหมือนกัน
เหมือนอย่างโรแลนด์
ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว เธอแค่อยากรู้ว่าใครแข็งแกร่งมากกว่ากัน
โชคดีที่เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว อีกฝ่ายไม่ทำให้เธอผิดหวัง
ถ้าเป็นพวกผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆ ในงานเลี้ยงที่ถูกเธอตรวจสอบดูจนทะลุปรุโปร่งเหล่านั้น เฟยอวี่หานได้จำลองผลการต่อสู้กับพวกเขาเอาไว้ในหัวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลงมือก่อนหรือว่าลงมือทีหลัง เธอก็มีโอกาสชนะสูงมาก แต่เธอไม่สามารถวิเคราะห์ดูระดับของโรแลนด์ได้ สถานการณ์ในการต่อสู้ก็ไม่สามารถจำลองออกมาได้
พูดอีกอย่างก็คือตอนนี้ทั้งสองคนต่างมีฝีมือเสมอกัน
เฟยอวี่หานยิ้มมุมปากขึ้นมา งานเลี้ยงครั้งนี้ไม่ได้น่าเบื่อเหมือนที่เธอคิดเอาไว้เสียแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังได้ยินคำพูดที่น่าสนใจออกมาจากปากของเด็กผู้หญิงสามคนที่มาด้วยกันกับเขา
อย่างเช่น “โลกแห่งความฝัน”
อย่างเช่น “ฝ่าบาท”
นี่เป็นเกมแบบใหม่งั้นเหรอ?
แต่เมื่อดูจากสีหน้าของเด็กผู้หญิง พวกเธอดูไม่เหมือนนักแสดงละครอะไรแบบนั้นเลย
ถ้ามีโอกาสได้ถามเขาซึ่งๆ หน้าก็คงจะดี
เธอดึงสายตากลับมา พร้อมกับเก็บคำถามเหล่านี้เอาไว้ในใจ
….
หลังชิมอาหารจนครบทุกโต๊ะแล้ว ในที่สุดโรแลนด์ก็ได้พบกับเจ้าของงานที่เขาอยากจะเจอ
พ่อของการ์เซียกำลังเดินขึ้นไปบนเวทีที่ตั้งอยู่ตรงกลางของงานเลี้ยงท่ามกลางเสียงปรบมือ
……………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น