Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1135-1140
ตอนที่ 1135 การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ทะเลน้ำวนใหญ่ขนาดนี้ จะมีภูมิประเทศแปลกๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” ธันเดอร์นิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะพูดออกมาว่า “ข้าเคยเห็นหน้าผาที่ผุกร่อนไปเพราะลม ดูแล้วคล้ายๆ กับเสาหินพวกนี้เลย เพียงแค่ไม่ยาวขนาดนี้เท่านั้น”
แต่ในน้ำมันไม่มีลมนะ…ถึงแม้คามิล่าจะคิดเช่นนี้ แต่เธอก็ไม่ได้พูดออกมา
‘ลม?’ ภายในหัวเธอพลันมีเสียงโจนดังขึ้นมา ‘ที่นี่มีลมนะ’
“เจ้าว่าอะไรนะ?” คามิล่าพูดออกมาทันที
“เอ่อ เมื่อกี้ข้าพูดไม่ชัดเจนเหรอ?” ธันเดอร์กระแอมเล็กน้อย “อย่างนั้นข้าจะพูดใหม่แล้วกัน…ก่อนหน้านี้ข้าเคย…”
“ข้าไม่ได้ถามเจ้า ข้าถามโจน!” คามิล่าพูดตัดบทอีกฝ่าย ถึงแม้จะเสียมารยาทไปบ้าง แต่เธอไม่มีเวลามานั่งสนใจขนาดนั้น “เมื่อกี้เหมือนโจนจะบอกว่า…ด้านล่างทะเลมีลม!”
ทุกคนที่อยู่บนดาดฟ้าเรือรู้สึกตกใจ
‘ยังรู้สึกถึงลมไม่ได้ แต่ว่าได้ยินเสียงลมดังฟิ้วว…ฟิ้วว…ฟิ้วว เจ้าไม่ได้ยินเหรอ?’
ใช่แล้ว นี่คือการสื่อสารทางจิต ขอเพียงโจนได้ยิน ตัวเองก็น่าจะได้ยินเหมือนกัน คามิล่ารีบรวบรวมสมาธิ จากนั้นเธอถึงเหมือนจะได้ยินเสียงลมดังมาจากทะเลลึกที่อยู่ด้านล่างเท้าโจน เหมือนกับมีกระแสอากาศพัดผ่านโพรงถ้ำอย่างรวดเร็วอย่างไรอย่างนั้น
‘ข้าจะลงไปลึกอีกหน่อยแล้วกัน’ โจนพูด ‘แต่ว่าต้องเปลี่ยนท่านิดหน่อย’
พูดจบเธอก็ปลดสายรัดกระโปรงออก ขาทั้งสองข้างของเธอสัมผัสกับน้ำทะเลอย่างใกล้ชิด เกล็ดสีเขียวงอกขึ้นมาบนขาของเธออย่างรวดเร็ว ก่อนจะห่อหุ้มขาทั้งสองข้างเอาไว้ด้วยกัน….กลายเป็นเหมือนหางของปลา
พริบตานั้นเอง คามิล่ารู้สึกว่าแรงต้านที่อยู่ด้านหน้าพลันหายไป เพียงแค่สะบัดหางทีเดียว ร่างกายของเธอก็พุ่งไปได้ไกล เรียกได้ว่าคล่องแคล่วมากกว่าปลาเสียอีก
นี่คือร่างที่แท้จริงของโจนสินะ!
ความเร็วในการดำลงไปในน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
“สองร้อยเมตร เสียงลมเหมือนจะดังขึ้น…ด้านล่างยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง”
“สี่ร้อยเมตร รอบๆ มืดลงทั้งหมด…แต่โชคดีที่โจนไม่ต้องอาศัยแสงสว่างในการมองเห็น เสาหิน…ยังยาวลงไปด้านล่าง แถมยังมีเสาหินอันใหม่ปรากฏขึ้นมาด้วย”
“เชือกที่ใช้วัดความลึกสุดปลายแล้ว พวกเจ้าต่อเชือกเพิ่มได้ไหม?”
“บ้าเอ้ย ตอนนี้ลึกเท่าไรแล้วเนี่ย? หกร้อยเมตรหรือว่าแปดร้อยเมตร? โจนเองก็ไม่มั่นใจ ส่วนเสาหิน…” พอพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ คามิล่าที่พูดบรรยายสิ่งที่เห็นอยู่ตลอดก็เงียบไปทันที “ไม่ เป็น…ไปไม่ได้…”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ธันเดอร์รีบถามทันที
คามิล่ารู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นอย่างที่ยากจะบรรยายได้แผ่ขึ้นมาจากแผ่นหลัง ก่อนจะลามไปทั่วทั้งร่างกาย “เสา เสา…ไม่มีแล้ว!”
“ไม่มี หมายถึงหายไปแล้วเหรอ?” ธันเดอร์ขมวดคิ้วขึ้นมา ก่อนจะมองไปยังผิวน้ำ โขดหินที่อยู่รอบๆ ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดูยังไงก็ไม่เหมือนว่ามันจะหายไปเลย
คามิล่ากำมือที่กำลังสั่นเทา “ไม่มีก้นทะเล…ไม่มีอะไรเลย…พวกมันลอยอยู่ในน้ำทะเล!”
คำพูดนี้ทำเอาทุกคนรู้สึกตกใจขึ้นมา
จากภาพที่โจนมองเห็น เธอมองเห็นเสาหินจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังลอยอยู่กลางน้ำ ส่วนปลายของมันเหมือนถูกอะไรตัดขาดออกไป เหลือเพียงแค่ส่วนบนที่ลอยอยู่ในน้ำ ไม่เพียงแต่เสาหินเท่าไร แต่หินโสโครกก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ก้อนหินขนาดใหญ่เหล่านี้สามารถลอยอยู่ในน้ำได้โดยไม่ต้องมีอะไรมาค้ำเอาไว้
ภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดเกินกว่าที่เธอจะเข้าใจได้
“ลอยอยู่? เจ้าจะบอกว่าเกาะพวกนี้มันลอยอยู่บนน้ำเหรอ?”
“พระเจ้า นั่นมันก้อนหินทั้งก้อนนะ!”
“คุณผู้หญิง เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้ดูผิด?”
“เป็นไปไม่ได้ ต่อให้พวกมันลอยได้ มันก็ไม่มีทางที่จะลอยอยู่เฉยๆ ไม่ขยับแบบนี้ ถ้าไม่มีสมอยึดเอาไว้ เพียงแค่กระแสน้ำธรรมดาก็พอที่จะพัดมันไปถึงฟยอร์ดแล้ว!”
บนดาดฟ้าเรือมีเสียงพูดคุยดังขึ้นมาทันที
“เงียบ!” ธันเดอร์ตะโกนเสียงดังจนคนอื่นๆ พากันเงียบลง “หินโสโครกทั้งหมดมันลอยอยู่งั้นเหรอ?”
“ข้าไม่รู้….ความยาวของพวกมันไม่เหมือนกัน” คามิล่าพูดพึมพำ “เสาหินที่ปรากฏขึ้นมาใหม่เหล่านั้นยังคงยืดยาวลงไปข้างล่าง
ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการดำลงไปของโจนก็ช้าลงด้วย
เห็นได้ชัดว่าถึงแม้ความสามารถของเธอจะสามารถรับแรงดันใต้ทะเลลึกได้ แต่มันก็มีขีดจำกัดของมันอยู่
ในเวลานี้เอง คามิล่าได้สังเกตเห็นภาพที่แปลกประหลาด
เสาหินที่อยู่ใกล้ๆ โจนเหมือนจะถูก ‘ยืดยาว’ ออก
มันเป็นเหมือนลำต้นของต้นไม้ที่ยืดยาวลงไปใต้ทะเลลึกจนมองไม่เห็นปลายของมัน สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกสนใจก็คือรายละเอียดของมัน รายละเอียดที่ว่านั้นคือลวดลายบนเสาหินและเพรียงที่เกาะอยู่ ลวดลายที่อยู่บนเสาหินเหมือนจะยาวขึ้นกว่าลวดลายบนเสาหินในช่วงแรก ส่วนตัวเพรียงจากตอนแรกที่รูปร่างเป็นวงกลมก็เปลี่ยนเป็นวงรี นี่จึงทำให้เธอรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ
‘เจ้าอยากจะเข้าไปดูใกล้ๆ เหรอ?’ โจนรับรู้ได้ถึงความรู้สึกประหลาดใจของเธอ ‘นั่นมันแปลกจริงๆ’
‘อื้อ’ คามิล่ากระแอมลำคอที่เริ่มแห้งผาก “เจ้าระวังด้วยนะ”
โจนค่อยๆ ว่ายเข้าไปใกล้เสาหิน ก่อนจะยื่นมือออกไปเพื่อไปจับเพรียงที่มีรูปร่างประหลาดพวกนั้น แต่ทันใดนั้นเอง เรื่องราวที่ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวก็เกิดขึ้น
คามิล่ามองเห็นนิ้วมือที่มีเกล็ดปลาปกคลุมอยู่ยืดยาวออก
‘เอ๋? นี่มันอะไรกันเนี่ย?’ เธอยื่นมือออกไปอย่างงุนงงพร้อมกางมือออก ‘ข้าตาฝาดงั้นเหรอ?’
ภายในใจคามิล่าพลันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
ในขณะที่เธอกำลังจะแจ้งธันเดอร์ เธอพลันเห็นปลาตัวหนึ่งว่ายปาดหน้าโจนไป
มันคือปลาไหลเงินธรรมดาตัวหนึ่ง ความยาวของมันประมาณหนึ่งช่วงแขน แต่ในตอนที่มันผ่านหน้าโจนไป ร่างกายของมันพลันยืดยาวออก ในระยะสั้นๆ ไม่ถึง 5 เมตร ปลาไหลธรรมดาตัวหนึ่งกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมือน ‘งูทะเล’ แต่มันยังไม่หมดแค่นี้ ส่วนหัวของมันจมลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว หลังผ่านไปไม่กี่อึดใจ ปลาไหลเงินพลันถูกดึงจนยาวถึงขีดจำกัดของมัน เธอยังคงมองเห็นหางของมันอยู่ แต่ส่วนหัวของมันจมลงไปในความมืดที่ลึกสุดลูกหูลูกตา ความยาวของมันอย่างน้อยๆ ก็มีมากกว่าหนึ่งร้อยเมตร! แค่พริบตา มันก็เป็นเหมือนแสงสีเงินที่หายไปในทะเลลึก คล้ายกับว่ามันถูกอะไรบางอย่างดูดเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
คามิล่ารู้สึกขนลุกไปทั้งตัว!
เธอตะโกนออกมาเสียงดัง “รีบออกมาจากตรงนั้น! การสำรวจจบลงแล้ว รีบว่ายขึ้นมาเร็ว!”
แต่เสียดายที่มันช้าไปเสียแล้ว
โจนสะบัดหางอยู่สองสามครั้ง แต่ร่างกายเธอกลับไม่ขยับไปไหน พูดอีกอย่างก็คือความเร็วในการถูกดึงให้ยาวของเธอเท่ากับความเร็วที่เธอจะว่ายขึ้นมา คามิล่ามองเห็นหางปลาของเธอถูกดึงให้ยาวออกไปสิบกว่าเมตร แต่ความกว้างกลับไม่เปลี่ยน ภาพเหตุการณ์นี้น่ากลัวอย่างมาก
โจนเองก็ลนลานขึ้นมา ‘ข้า…ข้าเป็นอะไรเนี่ย? คามิล่า…ข้าควรทำยังไง?’
“ออกแรงหน่อย…อย่าหยุด ออกแรงว่ายหน่อย! เจ้าทำได้!” คามิล่าตะโกน
แต่ความพยายามของเธอมันก็เปล่าประประโยชน์ ไม่ว่าโจนจะว่ายยังไง ร่างกายของเธอก็ยังจมลงไปไม่หยุด เหมือนกับตกลงไปในโคลนตมอย่างไรอย่างนั้น ในตอนนี้ไม่ใช่แค่หางเท่านั้น แม้แต่ร่างกายและสองมือของเธอก็เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยเหมือนกัน
โจนเหมือนจะรู้ตัวเหมือนกัน เธอยื่นมือขึ้นมาอย่างสิ้นหวัง ‘ใครก็ได้ มาช่วยขาที….’
“ม่ายยยยยยยยยย!”
เสียงตะโกนยังไม่ทันหยุด ทัศนวิสัยพลันจมดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นสีดำ
คามิล่าลืมตาทิ้งตัวคุกเข่าลงไปกับพื้นอย่างอ่อนแรง เหงื่อไหลลงมาอยู่ที่ปลายจมูก ก่อนจะหยดลงไปบนหลังมือของเธอ ในเวลานี้เธอถึงได้พบว่าร่างกายตัวเองมีเหงื่อไหลออกมาจนเปียกไปหมด
“เกิดอะไรขึ้น? โจนเจออันตรายเหรอ?” ธันเดอร์เดินเข้ามาประคองเธอ
เป็นเวลาครู่ใหญ่กว่าที่คามิล่าจะได้สติคืนนี้ “ข้าไม่รู้ การเชื่อมต่อทางวิญญาณ…ถูกตัดขาดไปแล้ว”
……………………………………………………………………
ตอนที่ 1136 ท้องฟ้าและทะเล
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหมือนจะผ่านไปนาน แล้วก็เหมือนผ่านไปแค่ชั่วพริบตา
โจนมองเห็นร่างกายของตัวเองยืดยาวลงไปก้นทะเลที่ดำมืด จนกระทั่งจุดแสงสีขาวสุดหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าของเธอ จากนั้นจุดแสงก็กลายเป็นลำแสงที่กลืนกินเธอเข้าไป หลังจากนั้น เธอรู้สึกเหมือนสัมผัสของร่างกายที่ไม่ได้เป็นของตัวเองได้กลับมาอีกครั้ง เสียงที่ดังสนั่นไหลทะลักเข้ามาจนเหมือนจะฉีกแก้วหูของเธอออก ความเงียบสงบของทะเลลึกถูกทำลายลงทันที
เธอรู้สึกเหมือนตัวเองถูกม้วนเข้าไปในน้ำวัน…แต่หลังจากนั้นเธอก็ปฏิเสธความคิดนี้ไปอย่างรวดเร็ว น้ำวนนั้นจะหมุนวนรอบๆ จุดกึ่งกลาง แต่ที่นี่ กระแสน้ำทุกๆ ด้านต่างก็ไหลทะลักอย่างรวดเร็ว เสียงที่ดังสนั่นนี้เกิดจากการที่พวกมันกระแทกกัน
แม้จะเป็นโจนก็ยังไม่สามารถรักษาสมดุลของร่างกายในสถานการณ์แบบนี้ได้ ทุกอย่างล้วนแต่เสียการควบคุมไปจนหมด เธอเหมือนกับขนนกที่ลอยไปลอยมาบนคลื่นที่กำลังโหมกระหน่ำ ได้แต่ต้องปล่อยให้สายน้ำเหล่านี้พาเธอกระแทกซ้ายทีขวาที
ที่นี่คือที่ไหน?
ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่เธอก็รู้ว่าที่นี่นั้นไม่ใช่ใต้ทะเลลึกแน่ เกล็ดปลาไม่รู้สึกถึงแรงดันใต้น้ำ ระดับความลึกของน้ำอย่างมากก็ไม่เกิน 100 เมตร นี่หมายความว่าไม่นานเธอก็จะขึ้นไปบนผิวน้ำได้ นอกจากนี้ ไม่ว่าภายในใจโจนจะตะโกนเรียกอย่างไร แต่เธอก็ไม่สามารถติดต่อกับคามิล่าได้
นี่ทำให้เธออยากจะรีบๆ ออกไปจากสถานการณ์ในตอนนี้โดยเร็ว ถึงแม้เธอจะไม่สามารถต้านแรงน้ำได้ แต่อย่างน้อยเธอก็ยังลอยขึ้นไปดูเหนือผิวน้ำได้
โชคดีที่การลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำนั้นทำได้ง่ายกว่าการเปลี่ยนทิศทาง
เธอพยายามเชิดหน้าขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ วินาทีที่หัวของเธอโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ โจนก็ต้องลืมตาโตด้วยความตกตะลึง
เกาะชาโดว์หายไปแล้ว
รอบๆ และเหนือศีรษะเธอเป็นก้อนหิน
จากเดิมที่ควรจะเป็นทะเลที่กว้างสุดลูกหูลูกหาก็กลายเป็น ‘ทางน้ำ’ ที่ยาวหลายร้อยเมตร น้ำทะเลกำลังไหลไปด้วยความเร็วพร้อมส่งเสียงดังสนั่น ส่วนด้านบนเหนือผิวน้ำก็มีลมพัดแรงจนทำเอาเธอแทบจะลืมตาไม่ขึ้น เสียงหวีดของลมเหมือนกับเสียงลมที่เธอได้ยินจากใต้ทะเลก่อนหน้านี้
เธอหันกลับไปด้านหลัง ก่อนจะเห็นที่ด้านหลังของเธอมีแสงสว่างปรากฏขึ้นมา น้ำทะเลไหลทะลักเข้าไปยังตำแหน่งที่มีแสงสว่างส่องออกมา เหมือนกับพวกมันเจอปากทางออกอย่างไรอย่างนั้น
หรือว่า…เหตุการณ์แบบเมื่อครู่นี้มันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง?
ยังไม่ทันจะได้คิดอะไร โจนก็ถูกกระแสน้ำทะเลอันรุนแรงผลักเข้าไปในแสงสว่างนั้น
เสียงที่ดังสนั่นเงียบลงทันที เหมือนกับว่าจู่ๆ เธอก็หนีห่างออกมาจากมัน มีอยู่ชั่วแวบหนึ่งที่เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังบินอยู่ ร่างกายเธอเบาหวิวขึ้นมา ไม่มีความรู้สึกใดๆ แม้แต่น้อย แต่ไม่นานก็เธอก็รู้ว่าตัวเองกำลังลอยอยู่บนอากาศจริงๆ!
น้ำทะเลสีน้ำเงินที่คุ้นเคยอยู่ใต้เท้าเธอ เพียงแต่ว่าระยะห่างระหว่างเธอกับน้ำทะเลอยู่ห่างกันมากกว่าพันเมตร! ท้องฟ้าสีครามเข้ามาแทนที่ก้อนหินที่อยู่รอบๆ ก่อนหน้านี้ แสงสว่างที่เธอมองเห็นมาจากพระอาทิตย์ที่ลอยอยู่เหนือหมู่เมฆ ส่วนน้ำทะเลที่พัดเธอออกจากมาถ้ำหินก็กลายเป็นน้ำตก
แต่…เธอไม่ใช่เมซี่ แล้วก็ไม่ใช่ไลต์นิ่ง เธอบินไม่ได้!
ในหัวเพิ่งจะมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา ร่างกายเธอก็ร่วงตกลงไปอย่างรวดเร็ว
“ยาา……..ยาา…….ยาา………”
“ตู้มม!”
โจนร่วงลงมาจากบนท้องฟ้าก่อนจะตกลงไปในทะเล เธอตกใจกลัวจนวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง
ถ้าไม่เป็นเพราะเคยเห็นภาพเหตุการณ์แบบนี้ในหนังเวทมนตร์ เกรงว่าเธอคงจะหัวใจวายตายอยู่ตรงนี้แน่! เธอว่ายขึ้นมาเหนือผิวน้ำอีกครั้ง พร้อมกับถอนหายใจออกมา
ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้เธออยู่ใต้ทะเลลึกไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงไปอยู่บนท้องฟ้าได้ล่ะ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โจนก็เงยหน้ามองขึ้นมา แต่จากนั้นเธอก็ต้องตกตะลึงไปทันที
พระเจ้า นั่นมันคืออะไร?
เธอแทบจะไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
เธอเห็นก้อนหินขนาดมหึมาก้อนหนึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้า ขนาดของมันใหญ่จนเธอมองไม่เห็นรูปร่างทั้งหมดของมัน เงาของมันที่ปกคลุมลงมาบดบังท้องทะเลไปมากกว่าครึ่ง เหมือนกับเมฆดำที่อยู่บนท้องฟ้า แถมยังมีก้อนเมฆบางส่วนลอยอยู่ด้านล่างมันด้วย นี่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่ามันเป็นยอดเขาของภูเขาที่สูงใหญ่
ต่อให้เป็นเทือกเขาสิ้นวิถีก็ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่อีกต่อไปเมื่ออยู่ต่อหน้ามัน…โจนกะขนาดความหนาของมัน อย่างน้อยๆ ก็ต้องหนามากกว่าร้อยเมตร เรียกได้ว่าเหมือนเกาะขนาดใหญ่อย่างไรอย่างนั้น
ส่วนบนหน้าผาหนาๆ อันนั้นก็มีรอยแตกอยู่เต็มไปหมด รอยแตกที่สั้นๆ ก็ยาวหลายร้อยเมตร รอยแตกยาวๆ ก็ยาวหลายกิโลเมตร พวกมันพ่นน้ำทะเลออกมาด้านนอกจนกลายเป็นน้ำตกที่เชื่อมระหว่างท้องฟ้าและทะเลเข้าด้วยกัน น้ำปริมาณมหาศาลที่ไหลทะลักลงมาแบบนี้ทำให้ผิวน้ำทะเลด้านล่างมีคลื่นขนาดยักษ์กระเพื่อมขึ้นมา
ต่อให้เป็นท่านธันเดอร์ก็คงไม่เคยเป็นภาพที่น่าตกตะลึงแบบนี้ละมั้ง?
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่มีสิ่งหนึ่งที่โจนแน่ใจได้ นั่นคือที่นี่ต้องอยู่ไกลจากฟยอร์ดและเกรย์คาสเซิลอย่างมากแน่ ไม่อย่างนั้นมีหรือที่จะไม่มีใครมองเห็นเกาะที่ใหญ่ขนาดนี้ลอยอยู่บนฟ้า
ข้า…ยังจะกลับไปได้ไหม?
โจนเอาหัวจมลงไปในน้ำครึ่งหนึ่ง ก่อนจะพ่นฟองอากาศออกมา
“ตู้ม!”
ทันใดนั้นเอง เธอได้ยินเสียงเหมือนมีของอะไรบางอย่างตกลงไปในน้ำดังมาจากอีกฟากหนึ่ง
หรือว่ายังมีคนที่โชคร้ายคนอื่นๆ ถูกดึงตกลงมาที่นี่?
โจนกะระยะ ก่อนดำน้ำลงไปในน้ำแล้วว่ายไปทางด้านนั้น
หลังว่ายไปได้ไม่กี่นาที ในที่สุดเธอก็มองเห็นหน้าตาของสิ่งที่ตกลงมาในน้ำอย่างชัดเจน มันเป็นเรือทรงแปลกประหลาดที่มีขนาดใหญ่ลำหนึ่ง ขนาดของมันพอๆ กับเรือใบสามเสา ส่วนด้านล่างของมันเป็นเหมือนปลากับหมึกกระดองผสมกัน ด้านบนของเรือเป็นเหมือนกระดูกซี่โครงโค้งๆ แล้วก็มีก้อนเนื้อรูปร่างคล้ายกับเครื่องในอยู่ด้านใน ดูเผินๆ แล้วเป็นเหมือนร่างกายสัตว์ที่ถูกกิน นี่ทำให้เธอรู้สึกอดคลื่นไส้ขึ้นมาไม่ได้
แต่มันไม่ใช่สัตว์ที่ตายแล้วแน่นอน หลังตกลงมาในน้ำได้ไม่นาน มันก็กางครีบทั้งสี่ข้างออก ก่อนจะล่องออกไปตามทิศทางที่คลื่นซัดออกมา โจนมองตามหลังมันไป จากนั้นเธอก็ต้องตกใจอย่างมาก!
อีกด้านหนึ่งที่ไกลออกไปนิดหน่อย เธอมองเห็นสัตว์ประหลาดรูปร่างแบบนี้ลอยอยู่บนทะเลนับร้อยนับพันลำ พวกมันเรียงเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ ดูแล้วเหมือนเป็นกองทัพเรือขนาดใหญ่ที่มีความน่าเกรงขามอย่างมาก
กระทั่งเรือที่ตกลงมาในน้ำลำใหม่เข้าไปรวมกลุ่มกับกองเรือแล้ว กองเรือจึงค่อยๆ แล่นออกไปทางตะวันตก จนพวกมันหายลับไปจากตาแล้ว โจนถึงได้ถอนหายใจออกมา
หลังจากนี้จะทำยังไงดี? ในเมื่อเรือสัตว์ประหลาดร่วงลงมาจากด้านบน อย่างนั้นบริเวณรอบๆ นี่อาจจะศัตรูแปลกๆ อย่างอื่นอยู่ก็ได้
ถึงแม้เธอจะไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาดแบบนี้มาก่อน แต่สัญชาตญาณก็บอกเธอว่าห้ามเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเด็ดขาด! และหลังจากที่เธอตื่นรู้กลายเป็นแม่มด สัญชาตญาณแบบนี้ก็ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน
‘อย่าฝืน เพื่อนของเจ้ายังรอเจ้ากลับไปอยู่นะ’
ภายในหัวโจนมีคำพูดของคามิล่าแวบขึ้นมา
หลังจากนั้นรอยยิ้มของไลต์นิ่ง เมซี่และพี่โลก้าก็ลอยขึ้นมาตรงหน้าของเธอ
เธออยากจะกลับไป
ในชีวิตเธอไม่เคยมีความปรารถนาที่แรงกล้าขนาดนี้มาก่อน เธออยากจะกลับไปเนเวอร์วินเทอร์ อยากจะกลับไปยังสถานที่ที่เธอได้รู้จักเพื่อนเยอะแยะมากมาย
เธออยากจะกลับไปยืนอยู่ข้างทุกคน!
“ยา!” โจนร้องขึ้นมาเหมือนพยายามจะให้กำลังใจตัวเอง ก่อนจะว่ายไปทางตะวันตก
ไม่ว่าทะเลจะกว้างแค่ไหน ยังไงมันก็ต้องมีที่สิ้นสุด
ยิ่งไปกว่านั้นไลต์นิ่งยังเคยพูดเอาไว้ว่าโลกที่พวกเธออาศัยอยู่นั้นเป็นทรงกลม ขอเพียงว่ายไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่งไม่ยัง ยังไงเธอก็ยังได้เจอพวกเพื่อนในทีมนักสำรวจแน่นอน!
เธอมั่นใจเช่นนั้น!
…..
“กองเรือจำเป็นต้องออกเดินทางแล้ว” ธันเดอร์มองไปยังคามิล่า แดริลที่เกาะราวเหล็กอยู่ “หมู่เกาะชาโดว์ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้ ทุกวันที่อยู่ที่นี่ พวกเราจะสูญเสียน้ำจืดไปไม่น้อย ตอนนี้มันก็วันที่สามแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป กองเรือจะสูญเสียการควบคุมได้”
“แต่ว่า…” สีหน้าอีกฝ่ายดูอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด “โจนยังไม่กลับมา”
“นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า” ธันเดอร์ตบไหล่เธอ “ยิ่งไปกว่านั้นถึงอยู่ที่ีนี่ต่อไปมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา ยังจำที่เจ้าเคยพูดเอาไว้ได้ไหม? ถ้าการเชื่อมต่อทางวิญญาณถูกตัดขาดก็มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง หนึ่งคืออีกฝ่ายเสียชีวิต สองคืออยู่ห่างกันเกินไป ถ้าเจ้าไม่เชื่อในความเป็นไปได้อย่างแรก อย่างนั้นเราก็ยิ่งไม่ควรจะหยุดอยู่ที่ีนี่”
“เจ้าหมายถึง…ไปทางตะวันออกของ ‘เส้นทะเล’ เพื่อหานางเหรอ?”
“บอกตามตรง ความเป็นไปได้นั้นน้อยมาก แต่มันก็มีกว่ารออยู่ที่นี่” ธันเดอร์พูดอย่างอดทน “อย่าลืมสิว่าโจนไม่ใช่คนธรรมดา ถ้าลูกเรือธรรมดาตกลงไปในน้ำแล้วไม่มีคนช่วย อย่างนั้นก็ต้องตายแน่นอน แต่โจนไม่ใช่ นางใช้ชีวิตอยู่ในทะเลมาสิบกว่าปี ถ้าไม่มีพวกเรานางก็ใช้ชีวิตอยู่ได้”
“ข้า…เข้าใจแล้ว” คามิล่ากัดริมฝีปาก “อย่างนั้นข้าจะไป ‘เส้นทะเล’ กับพวกเจ้า”
“ไม่ได้” ธันเดอร์พูดตัดบท “สภาพจิตใจของเจ้าไม่สามารถแบกรับการสำรวจหลังจากนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังรับปากฝ่าบาทโรแลนด์เอาไว้แล้วว่าจะส่งเจ้ากลับไปยังเนเวอร์วินเทอร์ทันทีที่สำรวจหมู่เกาะชาโดว์เสร็จ ความสามารถของเจ้านั้นจำเป็นต่อการทำสงครามกับปีศาจ นอกจากนี้ยังมีเพียงฝ่าบาทเท่านั้นที่จะรู้ได้ว่าโจนเจออะไรที่ใต้ทะเลกันแน่ ข้อมูลที่เจ้ามีอยู่ในตอนนี้สำคัญอย่างมาก” เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะมองอีกฝ่ายอย่างจริงจัง “พวกเราต่างก็มีภาระหน้าที่ของตัวเอง การทำหน้าที่ของตัวเองให้เสร็จเรียบร้อยต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง”
คามิล่าหลับตาลงอย่างเศร้าใจ
หลังจากนั้นสองชั่วโมง หวูดของเรือสโนวบรีสก็ดังขึ้นมา เรือที่เตรียมตัวพร้อมต่างกางใบเรือ ก่อนจะล่องออกไปทางตะวันออกที่อยู่ไกลออกไป ส่วนเรืออีกลำหนึ่งก็แยกออกไปจากกลุ่มเรือ ก่อนจะหันหัวเลี้ยวกลับไปในทิศทางตรงกันข้าม
ทั้งสองค่อยๆ แยกห่างกันไปเรื่อยๆ ก่อนจะหายลับไปจากสายตาของอีกฝ่าย
……………………………………………………………
ตอนที่ 1137 ปีศาจระดับสูงที่ถูกขับไล่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ที่ราบลุ่มบริบูรณ์ แนวหน้าของสถานีหมายเลขเก้า
“เป้าหมายอยู่ที่ 6 องศา 4 ลิปดาไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ระยะทาง 6,500 เมตร พื้นที่หนึ่งตาราง ยิงปูพรมได้”
ซิลเวียหมอบอยู่บนหลังเมซี่พร้อมมองลงยังพื้นที่ด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกล บนพื้นมีร่องรอยของต้นหญ้าจำนวนมากที่ถูกดึงขึ้นมาจากดิน เศษโคลนที่กระจัดกระจายก็ยังดูใหม่อย่างมาก มันน่าจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 2 – 3 วันนี้เอง
“รับทราบ” ในรูนสดับมีเสียงตอบของซาวีดังขึ้นมา “จะเริ่มยิงหลังจากนี้ 5 นาที” หลังจากนั้นซาวีก็พูดเสริมขึ้นมาอีกประโยค “ระวังตัวด้วย”
ซิลเวียมองไปทางทาคิลา ที่ระดับความสูงตอนนี้ เธอพอจะให้ตาเปล่ามองเห็นตำแหน่งของซากเมืองศักดิ์ิสิทธิ์แล้ว ถึงแม้จะอยู่ห่างออกไป 50 เมตร ดูแล้วยังเล็กกว่าเล็บมือเสียอีก แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนมันอยู่แค่เอื้อม ซากปรักหักพังของเมืองและต้นไม้ทำให้มันเหมือนเป็นรูปปั้นที่ถูกลืมทิ้งเอาไว้
ถึงแม้ระยะนี้จะอยู่นอกขอบเตการสำรวจของดวงตาเวทมนตร์ แต่เธอก็ยังรับรู้ได้ถึงดวงดาวสีแดงที่ยังคงส่องแสงสว่างวาบๆ ที่อยู่ในเมือง ขอเพียงมันไม่เคลื่อนไหว นั่นก็หมายความว่าพวกเธอยังคงปลอดภัยอยู่
“อื้อ ข้าเข้าใจแล้ว”
เธอเก็บรูนสดับ ก่อนจะตบไปที่ต้นคอของเมซี่ “พวกเราบินขึ้นไปสูงอีกหน่อย”
“อ๊าซซ!”
เมซี่ที่แปลงเป็นอสูรสยองส่งเสียงคำรามออกมา ก่อนจะกางปีกที่ยาวเกือบสิบเมตรพร้อมกับบินขึ้นไป ร่างกายของเธอในตอนนี้มีขนาดประมาณอสูรสยองสองตัวรวมกัน เรียกได้ว่าเป็นขนาดที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาอสูรสยอง ถือได้ว่าพอๆ กับอสูรสยองตัวมหึมาที่คาบราดาบีใช้ขี่ก่อนหน้านี้เลย
หลังบินสูงขึ้นไปประมาณร้อยเมตร ด้านหลังเธอก็มีเสียงปืนใหญ่ดังทึบๆ ขึ้นมา
จากนั้นพื้นที่ด้านหน้าเธอก็มีเสาฝุ่นจำนวนนับไปด้วยพวยพุ่งขึ้นมาทันที เธอมองเห็นคลื่นที่แผ่กระจายออกมาจากรอบๆ เสาฝุ่นเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน คลื่นเหล่านั้นกวาดไปถึงตรงนั้น เศษดินเศษหญ้าก็จะกระจุยกระจายขึ้นมา พื้นดินแข็งๆ กลายเป็นเหมือนพื้นน้ำที่ส่องประกายระยิบระยับ ไม่ว่าจะเห็นมาแล้วกี่ครั้ง แต่ภาพแบบนี้ก็ยังทำให้เธอรู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นอยู่
จากนั้นก็เป็นการยิงรอบที่สอง รอบที่สาม…
กองพันปืนใหญ่ที่ผ่านการฝึกซ้อมมาสามารถส่งกระสุนปืนใหญ่เข้าไปในพื้นที่เป้าหมายที่เธอระบุได้อย่างแม่นยำ และเป็นเพราะการจะระบุขนาดพื้นที่เป้าหมายที่จะทำโจมตีจากบนฟ้านั้นทำได้ยาก ดังนั้นเธอจึงมักจะใช้การประมาณแบบคร่าวๆ ในการแจ้งขนาดพื้นที่แทน ซึ่งพื้นที่หนึ่งตารางที่เธอพูดนั้นจะมีขนาดประมาณพื้นที่ปราสาทของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ซึ่งมีขนาดประมาณ 16,400 ตารางเมตร แล้วก็เป็นหนึ่งในสถานที่ที่เธอมีความคุ้นเคยมากที่สุด
หลังปืนใหญ่ระดมยิงไปได้ไม่นาน ซิลเวียก็มองเห็นเศษแขนขากระเด็นลอยตามเสาฝุ่นขึ้นมา
กระสุน 152 มม.เพียงพอที่จะสร้างหลุมกระสุนที่มีความลึกประมาณ 1 เมตรได้ ซึ่งระดับความลึกที่ปีศาจส่วนใหญ่เอาตัวฝังลงไปในดินจะไม่มีทางเกิน 50 เซนติเมตร และนี่ยังเป็นดินที่ถูกหมอกแดงกัดกร่อนด้วย หากเป็นดินธรรมดา อย่างมากพวกมันก็แค่เอาส่วนหัวปักลงไปในดินเท่านั้น ถ้าเกิดกระสุนบังเอิญไปหล่นใส่หัวพวกมันพอดี เกรงว่าแม้แต่ซากศพของพวกมันก็คงไม่เหลือด้วยซ้ำ
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าต้องให้กระสุนตกใส่พวกมันเท่านั้นถึงจะฆ่าพวกมันได้ คลื่นกระแทกที่กระเพื่อมขึ้นมาวงแล้ววงเล่าต่างหากถึงจะเป็นเพฌฆาตสังหารอย่างแท้จริง โดยเฉพาะพวกเป้าหมายที่เอาตัวฝังลงไปในดิน ร่างกายที่แนบสนิทกับดินโคลนก็หมายความว่าพวกมันไม่มีตัวช่วยรับแรงกระแทกใดๆ ปีศาจที่อยู่ในรัศมี 20 เมตรของจุดตกกระสุนปืนจะถูกแรงกระแทกสังหารจนเสียชีวิต
วิธีการระดมยิงเข้าไปโดยไม่สนใจตำแหน่งของศัตรูว่าอยู่ตรงนั้นแบบนี้ฝ่าบาททรงเรียกมันว่าการกวาดล้าง
หลังผ่านการยิงไปห้ารอย ปีศาจร้อยกว่าตัวที่ฝังตัวอยู่ในดินก็ปืนขึ้นมาจากดินและเริ่มวิ่งหนีไปด้านหลัง
“ศัตรูเผยตัวเอง ยืนยันว่าเป็นปีศาจคุ้มคลั่ง ระดมยิงไปทางมุมเดิม” ซิลเวียรายงาน
“รับทราบ”
ทันใดนั้นเอง ซิลเวียเหมือนรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง เธอเงยหน้ามองไปทางทาคิลา จุดสีแสงดวงนั้นเหมือนจะสว่างขึ้นมามากกว่าเดิม และเริ่มบินมาทางแนวรบอย่างรวดเร็ว
เธอรีบหยิบเอารูนสดับออกมา “ไลต์นิ่ง รีบกลับมา! ผู้พิฆาตเวทมนตร์เคลื่อนไหวแล้ว!”
เมซี่เองก็หันหัวกลับและบินหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ทั้งสามคนก็กลับมาถึงแนวป้องกันของกองทัพที่หนึ่ง ผู้พิฆาตเวทมนตร์เองก็เข้ามาอยู่ในขอบเขตการมองเห็นของดวงตาเวทมนตร์ ซิลเวียมองเห็นปีศาจผิวสีน้ำเงินที่มีรูปร่างคล้ายคนกำลังบินวนอยู่เหนือพื้นที่ที่ถูกปืนใหญ่ระดมยิง จากนั้นมันจึงจ้องมาทางทั้งสามคนด้วยสีหน้าที่อาฆาตแค้น
และในระหว่างนี้กองพันปืนใหญ่ก็ไม่ได้หยุดยิง
ถึงแม้มันจะโกรธแค้น แต่มันกลับทำอะไรไม่ได้ ซิลเวียรู้ว่าแม้จะเป็นผู้พิฆาตเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งก็ไม่สามารถหยุดยังการสังหารของกระสุนปืนใหญ่ได้
สุดท้ายมันถึงได้แต่ต้องทิ้งเหล่าปีศาจที่กำลังวิ่งหนีกันอย่างชุลมุนแล้วบินกลับ
ซิลเวียรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที
“มันไปแล้วอ๊าซ พวกเราจะสอดแนมดูอีกรอบไหม?” เมซี่ตะโกนออกมา
เธอมองดูไลต์นิ่งที่ยืนกำหมัดแน่น สุดท้ายเธอจึงส่ายหน้าออกมา “วันนี้พอเท่านี้ก่อน ข้ายังต้องเก็บพลังเวทมนตร์เอาไว้สำหรับตอนเย็นอีก ยิ่งไปกว่านั้นพื้นที่รอบๆ ระยะ 5 – 6 กิโลเมตรพวกเราก็ตรวจดูหมดแล้ว แค่นี้พอจะรับประกันความปลอดภัยให้กับทีมก่อสร้างในระยะเวลา 2 – 3 วันนี้ได้แล้วล่ะ”
…..
หลังกลับมาถึงฐานบัญชาการใต้ดินของสถานีหมายเลขเก้า ซิลเวียก็ระบายสีเขียวลงไปบนพื้นที่หนึ่งบนแผนที่ นั่นคือพื้นที่ที่ถูกทำการกวาดล้างไปในวันนี้
และพื้นที่สีเขียวแบบนี้ก็แทบจะล้อมรอบทางรถไฟหมดแล้ว
“ลำบากเจ้าหน่อยนะ” เฟร์รานยกชาแดงแก้วหนึ่งเดินเข้ามา “ดูเหมือนแผนขับไล่ของท่านเอดิธส์จะได้ผลอย่างที่คาดไว้นะเนี่ย”
ซิลเวียรับเอาน้ำชามาพร้อมพูดยิ้มๆ “อื้อ ตอนนี้เหมือนจะเป็นอย่างนั้น”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเจออะไรแบบนี้
ความจริงนับตั้งแต่บีบเข้าไปใกล้จนถึงระยะ 1 กิโลเมตรห่างทาคิลา ระดับความอันตรายในการสอดแนมของเธอก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก เวลาที่เธอใช้ดวงตาแห่งเวทมนตร์สำรวจลงไปใต้ดินจะทำให้เธอไม่ทันระวังการโจมตีจากบนอากาศ และในระยะทางเท่านี้ ปีศาจสามารถพกถังหมอกแดงขึ้นมาเป็นจำนวนมากและอยู่บนอากาศเป็นเวลานานได้
ด้วยเหตุนี้ทางทีมที่ปรึกษาจึงได้วาง ‘แผนการขับไล่’ ขึ้นมา โดยจะแบ่งพื้นที่สอดแนมออกเป็นชั้นๆ ระยะ 0 – 2 กิโลเมตรจะเป็นพื้นที่ที่มีความปลอดภัย โดยภายในพื้นที่นี้จะถูกดวงตาเวทมนตร์กวาดตาดูทุกซอกทุกมุม หลังจากนั้นก็อยู่ภายใต้การดูแลของสถานีตลอดเวลา โอกาสที่จะถูกลอบโจมตีมีไม่สูงนัก ภายในระยะนี้ หน่วยป้องกันทางอากาศสามารถออกมาจากหลุมเพลาะและขยายขอบเขตในการคุ้มครองให้กว้างขึ้นได้
ระยะ 2 – 10 กิโลเมตรนั้นเป็นพื้นที่ตรวจสอบ พื้นที่นี้จะอยู่ภายในระยะยิงของปืนใหญ่ป้อม แล้วก็เป็นพื้นที่ทางอากาศที่ซิลเวียกับเมซี่บินตรวจสอบเป็นหลัก หลังผ่านการกวาดล้างจนมั่นใจว่ามีความปลอดภัยแล้ว เธอก็จะใช้สีเขียวทำเครื่องหมายเอาไว้บนแผนที่
ระยะ 10 – 50 กิโลเมตรเป็นพื้นที่อันตราย มีเพียงไลต์นิ่งคนเดียวที่เข้าไปสอดแนม เป้าหมายก็คือหาศัตรูที่แอบซ่อนอยู่ในเมฆและแจ้งเตือนล่วงหน้า เท่ากับเป็นการซื้อเวลาถอยให้กับซิลเวียและเมซี่ แล้วก็มีเพียงไลต์นิ่งเท่านั้นมีจะสลัดหลุดการไล่ล่าของศัตรูในระยะนี้ได้ในพริบตา ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้พิฆาตเวทมนตร์ มันก็ไม่มีทางที่จะไล่ตามแม่มดที่บินด้วยความเร็วเสียงได้
และความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแผนขับไล่นั้นค่อนข้างได้ผลทีเดียว หน่วยสอดแนมสามารถกำหนดได้ว่าจะโจมตีตอนไหน ส่วนศัตรูก็ทำได้แต่อีกตั้งรับ ถ้าไม่มีกองทัพภาคพื้นดินคอยสนับสนุนด้วย อาศัยเพียงอสูรสยองเพียงอย่างเดียวก็ยากจะทำอะไรรถไฟหุ้มเกราะได้
ทำให้พื้นที่ตรวจสอบกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัย ถอนเอาหอสังเกตการณ์ของพวกปีศาจออกไป ขณะเดียวกันก็ขับไล่ผู้พิฆาตเวทมนตร์ที่น่ากลัวที่สุดให้ออกไปอยู่นอกสนามรบ ทำให้มันไม่สามารถไล่ตามหน่วยสอดแนมได้ นี่คือหัวใจสำคัญของแผนการนี้ ถ้าสามารถทำให้อีกฝ่ายโมโหจนพุ่งเข้ามาปะทะกับแนวป้องกันแบบตรงๆ ได้ อย่างนั้นก็จะยิ่งเป็นที่ดีต่อกองทัพที่หนึ่งอย่างมาก
แต่สิ่งเดียวที่น่าเสียใจก็คือ จนถึงตอนนี้ผู้พิฆาตเวทมนตร์ยังไม่มีทีท่าว่าจะหลงกลเลย
“เออใช่” ซิลเวียมองไปรอบๆ “แล้วคุณเอดิธส์ล่ะ?”
“นางได้รับคำสั่งจากฝ่าบาท ตอนนี้นั่งซีกัลป์กลับไปเมืองเนเวอร์วินเทอร์กับท่านขวานเหล็กแล้ว” เฟร์รานตอบยิ้มๆ “ข้าคิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้วล่ะ”
การประชุมศึกครั้งสุดท้ายเพื่อพูดคุยเรื่องแผนการรบ!
…………………………………………………………………………..
ตอนที่ 1138 แผนสกัดกั้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองเนเวอร์วินเทอร์ เกรย์คาสเซิล
โรแลนด์ต้อนรับขวานเหล็กและเอดิธส์ เคนท์ที่กลับมาตามคำสั่งเรียกตัว
“ได้นั่งซีกัลครั้งแรก รู้สึกยังไงบ้าง?” เขามองลูกน้องทั้งสองคนอย่างสนใจ
“ทะ ทูลฝ่าบาท ถึงแม้มันจะบินได้เร็ว แต่สำหรับกระหม่อม….มันค่อนข้างหวาดเสียวไปหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” บนใบหน้าขวานเหล็กเผยให้เห็นสีหน้าที่ดูซีดเซียวอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็น “ก่อนหน้านี้ตอนที่ดูมันเฉยๆ กระหม่อมยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอได้ไปนั่งถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาอย่างมาก โดยเฉพาะในตอนที่บินขึ้นบินลง กระหม่อมรู้สึกเหมือนใต้ก้นหม่อมฉันว่างเปล่า ภายในใจก็โหวงๆ พ่ะย่ะค่ะ” พอพูดเสร็จเขาก็ยืดตัวตรงขึ้นมาทำวันทยาหัตถ์ พร้อมกับกัดฟันพูดเสียงดังว่า “แต่กระหม่อมจะพยายามเอาชนะมันให้ได้ ขอพระองค์อย่าทรงเป็นกังวลพ่ะย่ะค่ะ!”
ที่แท้…นักรบชาวโมเกนที่ผ่านศึกมาเป็นร้อยแอบกลัวความสูงเหมือนกันเหรอเนี่ย? โรแลนด์เลิกคิ้วขึ้นมา “เจ้าคิดจะเอาชนะมันยังไง?”
“พอทำศึกเสร็จสิ้น หากมีเวลากระหม่อมจะไปดูหนังเวทมนตร์จนกว่าจะปรับตัวได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ช่างเป็นสไตล์ของชาวทะเลทรายจริงๆ มุมปากโรแลนด์กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปทางเอดิธส์ “แล้วเจ้าล่ะ?”
ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือเลียริมฝีปาก หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงพูดออกมาว่า “สุดยอดมากเพคะ”
แล้ว….แค่นี้เหรอ?
โรแลนด์รออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีคำตอบอะไรกลับมา เขามองดูอีกฝ่ายอย่างสงสัย แต่กลับพบว่าแก้มของเธอแดงขึ้นมาเล็กน้อย ในดวงตาก็ส่องเป็นประกายอย่างที่ยากจะบรรยายได้
ช่างมัน เขาถอนหายใจ ยังไงซะลูกน้องของตัวเองก็มีบางเรื่องที่ไม่ค่อยจะเหมือนคนปกติอยู่แล้ว เดิมเขานึกว่าจะได้เห็นสีหน้าที่ตกตะลึงของทั้งสองคน จากนั้นก็จะพูดชมเขาที่สร้างของที่ไม่ธรรมดาแบบนี้ขึ้นมา แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะคิดมากไป
“ในเมื่อทั้งสองคนมาแล้ว อย่างนั้นเราไปที่ห้องประชุมกับเถอะ” โรแลนด์ลุกขึ้นยืน “ถึงเวลาเตรียมตัวครั้งสุดท้ายสำหรับศึกนี้แล้ว”
….
หลังผ่านการก่อสร้างมาเกือบ 6 เดือน ตอนนี้รางรถไฟสายแรกบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ก็อยู่ห่างจากซากเมืองทาคิลาไม่ถึง 60 กิโลเมตรแล้ว เอาไว้เมื่อสถานีหมายเลขสิบสร้างเสร็จเรียบร้อย กองทัพที่หนึ่งก็จะเปิดจากโจมตีใส่ศัตรูที่ปักหลักอยู่ที่เมืองทาคิลาได้ แรงงานและทรัพยากรที่ทุ่มเข้าไปในปฏิบัติการคบเพลิงครั้งนี้มีจำนวนมากกว่าปฏิบัติการทางทหารในช่วงระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา เหล็กกล้ามากกว่า 80% ที่เขตเตาหลอมผลิตออกมาได้ถูกเอาไปทำเป็นรางรถไฟ เป้าหมายของมันมีเพียงอย่างเดียว นั่นคือทำลายความเป็นไปได้ที่ปีศาจจะตั้งเสาโอเบลิสขึ้นมาได้ก่อนที่พระจันทร์สีแดงจะมาถึง
ทันทีที่ที่ราบลุ่มบริบูรณ์ถูกหมอกแดงปกคลุม นั่นก็หมายความว่าปีศาจสามารถข้ามเทือกเขาสิ้นวิธีเข้ามาบุกโจมตีพื้นที่ด้านในได้ทุกเมื่อ พวกมันไม่เพียงแต่จะขยายแนวรบได้ แต่กองทัพที่หนึ่งจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องระยะทางด้วย
แต่ในทางกลับกัน ถ้ามนุษย์สามารถชิงเปิดฉากโจมตีใส่ทาคิลาก่อน ปีศาจก็จะทำได้เพียงแค่เลือกใช้สายแร่หินอาญาสิทธิ์จากเมืองศักดิ์สิทธิ์อีกสองเมืองมาตั้งเสาโอเบลิส ซึ่งที่ตั้งของเมืองสตาร์ฟอลและเมืองอาร์เรียตาต่างก็อยู่ค่อนไปทางเหนือของที่ราบ ถึงแม้พวกมันจะไปตั้งฐานกันที่นั่น แต่มันก็ยากที่จะบุกเข้ามาโจมตีสี่อาณาจักรใหญ่แบบตรงๆ ได้ เมื่อเป็นแบบนี้ เขาไม่เพียงแต่จะมีโอกาสเอาชนะสงครามแห่งโชคชะตา แต่อย่างน้อยเขาก็ยังช่วยซื้อเวลาให้มนุษย์ได้อีก 400 ปีด้วย
และในเวลา 400 ปี เกรย์คาสเซิลที่ก้าวเข้าสู่ยุคสมัยอุตสาหกรรมจะพัฒนาไปถึงระดับไหน มนุษย์ที่ไม่มีความขาดแคลนในเรื่องอาหารจะเพิ่มจำนวนขึ้นไปกี่เท่าในเวลา 400 ปี คำตอบที่ออกมาก็คงจะรู้ๆ กันอยู่ ด้วยเหตุนี้ที่ราบที่ขยายกว้างออกไปจะเป็นทั้งแนวป้องกันในการรบ แล้วก็เป็นที่ดินที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการพัฒนาในอนาคตด้วย
คนธรรมดาจะเอาชนะปีศาจ
แต่มันไม่ได้หมายความว่าคนในยุคสมัยของพวกเขาจะได้เห็นวันนั้นด้วยตาตัวเอง
ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่โรแลนด์ยังไม่ได้บอกพวกเขา
ที่น่าเสียดายก็คือเรื่องจริงมันไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนที่วางแผนเอาไว้เสมอไป จากความคิดในตอนแรก เขาเคยคิดว่าขอเพียงกวาดล้างปีศาจที่อยู่บนทาคิลาออกไปและเปลี่ยนซากเมืองนี้ให้กลายเป็นป้อมปืนใหญ่ได้ เช่นนั้นก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากแล้ว ถ้ายังคงมองเรื่องนี้เป็นเป้าหมายอยู่ อย่างนั้นตอนนี้กองทัพที่หนึ่งก็อยู่ห่างจากชัยชนะเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
แต่การปรากฏตัวของผู้พิฆาตเวทมนตร์ทำให้แผนการต้องเปลี่ยนไป พลังแห่งคำสาปทำให้วิธีการรักษาทั้งหมดใช้ไม่ได้ผลจนอาจจะทำให้บาดแผลเล็กน้อยมีอันตรายถึงชีวิตได้ ไลต์นิ่งนั้นยังดีหน่อย ความสามารถในการรักษาตัวเองของเธอเร็วพอๆ กับความสามารถในการลุกลามของคำสาป แต่ลีฟนั้นไม่ได้โชคดีเหมือนอย่างเธอ
จากรายงานและการแอบสังเกตดูของแอชเชส อาการของลีฟดูเหมือนกำลังแย่ลงเรื่อยๆ
ถึงแม้เธอจะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าและท่าทางของเธอนั้นไม่สามารถปิดบังแอชเชสที่อยู่ข้างกายได้ ที่บอกว่าอาการแย่ลงนั้นหมายความว่าความเร็วในการลุกลามของคำสาปนั้นเร็วกว่าขีดจำกัดในการฟื้นฟูตัวเอง ก็เหมือนกับบาดแผลที่ขยายตัวออกไปเรื่อยๆ ตอนแรกดูเหมือนไม่เป็นอะไร แต่สุดท้ายมันก็จะขยายใหญ่ไปทั่วทั้งร่างกาย ไม่ว่าการลุกลามนี้จะใช้เวลาปีนึงหรือสิบปี แต่สำหรับเธอซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการขยายตัวของประชากรแล้ว นี่ถือเป็นความเสียหายที่ไม่สามารถยอมรับได้
เขาจำเป็นต้องจัดการทาคิลาและผู้พิฆาตเวทมนตร์
ภายในห้องประชุม ตัวแทนของเหล่าแม่มดและกองทัพต่างมาประชุมกับพร้อมหน้า บนกำแพงเองก็มีลำแสงภาพที่ส่งมาจากเมืองชายแดน เนื้อหาที่ทุกคนหารือกันนั้นมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือจะทำยังไงถึงจะสามารถกำจัดปีศาจระดับสูงที่มีพลังแห่งคำสาปได้ในศึกครั้งนี้
“เรื่องแรกที่ต้องแจ้งให้ทุกคนได้ทราบคือ จากการจำลองการรบของทีมที่ปรึกษาพบว่ามีโอกาสสูงถึง 90% ที่ผู้พิฆาตเวทมนตร์จะถอยในตอนที่มันแน่ใจแล้วว่าไม่อาจพลิกสถานการณ์กลับมาได้” คนที่พูดขึ้นมาเป็นคนแรกยังคงเป็นเอดิธส์ “ข้อสรุปนี้ไม่มีหลักฐานยืนยันมากนัก ส่วนใหญ่เป็นเพียงการคาดการณ์ เพราะเมื่อดูจากที่ตอนนี้มันยังคงรักษาระยะห่างจากแนวรบของกองทัพที่หนึ่งเอาไว้ แสดงว่ามันน่าจะแตกต่างจากคาบราดาบีโดยสิ้นเชิง”
‘ข้าเห็นด้วยกับข้อสรุปนี้’ อาลิเธียที่มีประสบการณ์ต่อสู้กับปีศาจมามากที่สุดพูดขึ้นมา ‘ไม่กลัวตายไม่ได้หมายความว่าจะเข้ามารนหาที่ตายง่ายๆ ในจุดนี้พวกมันไม่ได้ต่างอะไรจากพวกเรามากนัก ประโยชน์ของปีศาจที่เป็นผู้บัญชาการมีมากกว่าปีศาจธรรมดา ไม่มีทางที่มันจะมาตายพร้อมกับลูกน้องของมันแน่’
“ดังนั้นพวกเราต้องชิงเป็นฝ่ายลงมือ เข้าไปดักบนเส้นทางที่มันใช้หนี” เอดิธส์พยักหน้า “ที่โชคดีก็คือ พวกเรารู้ความเคลื่อนไหวของศัตรูดี อีกทั้งก่อนหน้านี้เราก็เคยมีประสบการณ์กับเรื่อแบบนี้มาแล้ว” เธอมองไปทางแอนเดรีย ควินน์ “ถ้าผู้พิฆาตเวทมนตร์ยังไม่รู้เรื่องแผนการนี้ของเรา การลอบสังหารจากระยะไกลนั้นก็จะเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยมากที่สุด แล้วก็เป็นวิธีที่มีความแน่นอนมากที่สุด”
แอนเดรียเสยผมตัวเองอย่างสง่างาม
“ข้ามีคำถาม” ทิลลีพูดขึ้นมา
“เชิญถามได้เลยเพคะ องค์หญิง” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือพูดพร้อมเอามือขึ้นมาทาบที่หน้าอก
“ข้อแรก อาศัยเพียงกระสุนนัดเดียวจะสังหารผู้พิฆาตเวทมนตร์ได้หรือไม่นั้นยังไม่เป็นสิ่งที่เราไม่อาจรู้ได้ ถ้าเกิดมันแค่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บเราจะทำยังไง? พวกเราไม่มีโอกาสแบบนี้อีกครั้งแล้ว ข้อสอง ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเรามีอาวุธที่สามารถโจมตีระยะไกลแบบนี้อยู่ แถมยังเตรียมแผนที่จะหลบหลีกเอาไว้ในตอนถอยเราจะทำยังไง? เมื่อดูจากศึกที่ผ่านๆ มาความเป็นไปได้ที่จะเป็นแบบนั้นมีค่อนข้างสูงทีเดียว เพราะว่าระดับความเข้าใจในอาวุธปืนของศัตรูมันมากเกินกว่าที่เราคาดการณ์เอาไว้แล้ว”
“ปัญหาสองข้อนี้พวกหม่อมฉันก็เคยครุ่นคิดเอาไว้เหมือนกันเพคะ” เอดิธส์ตอบ “สำหรับข้อแรกนั้น ทีมที่ปรึกษามีข้อสรุปว่าให้เอาหินอาญาสิทธิ์มาทำเป็นหัวกระสุนปืนเพคะ”
“กระสุนหินอาญาสิทธิ์?”
“ถูกต้องเพคะ ต่อให้ไม่สามารถเอาชีวิตมันได้ในการยิงครั้งเดียว แต่ศัตรูก็จะสูญเสียความสามารถในการบินไป หม่อมฉันรู้ดีว่าหินอาญาสิทธิ์ยิ่งเล็ก ความแข็งของมันก็จะยิ่งน้อยลงไปด้วย ถ้าเป็นหินอาญาสิทธิ์ที่ถูกเอามาตัดจนมีขนาดเล็กเท่าหัวกระสุนทั่วๆ ไป แค่ค้อนธรรมดาก็สามารถทุบมันให้แตกได้ มันไม่มีทางที่จะรับแรงกระแทกในตอนที่ออกจากรังเพลิงได้เลย แต่ขนาดลำกล้องปืนที่คุณแอนเดรียใช้นั้นมีขนาดที่ใหญ่กว่าปืนทั่วๆ ไปมาก บางทีเราอาจจะลองใช้วิธีนี้ดูได้” เธอชะงักไปเล็กน้อย “นอกจากนี้หม่อมฉันยังเคยสอบถามเลดี้อกาธามาแล้ว หินอาญาสิทธิ์ที่ทำขึ้นมาจากเลือดแห่งเวทมนตร์นั้นจะมีความแข็งมากขึ้นกว่าเดิม และครั้งนี้นางยังได้เอาเลือดสดๆ ที่เก็บมาจากร่างกายของปีศาจกลับมาด้วยสองขวด ตอนนี้น่าจะกำลังทำการทดลองอยู่เพคะ”
‘ใช้เลือดของปีศาจมาสร้างอาวุธฆ่าพวกมันเหรอ? ข้าชอบความคิดนี้’ อาลิเธียหัวเราะขึ้นมา ‘ดีมาก เจ้าเป็นคนธรรมดาคนที่สองที่ข้าทำให้ข้ารู้สึกสนใจ’
ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือยิ้มตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ “ส่วนปัญหาข้อที่สอง…พวกเรายังจำเป็นต้องเตรียมทีมไล่ล่าเพื่ออุดช่องโหว่นี้”
“แต่ตอนนี้มีแค่ไลต์นิ่งเท่านั้นที่บินได้เร็วกว่าผู้พิฆาตเวทมนตร์” เวนดี้พูดขึ้นมาอย่างกังวล “แต่ว่านาง…ไม่สามารถหยุดศัตรูได้”
“ไม่” เธอส่ายหัว “ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่บินได้เร็วกว่าผู้พิฆาตเวทมนตร์…”
“อีกสิ่งหนึ่ง?” ทิลลีเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้
“ถูกต้องเพคะ สิ่งนั้นคือซีกัลที่พุ่งลงมาจากด้านบน” เอดิธส์พูดช้าๆ ชัดๆ
………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 1139 คำขอของเซลีน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“และคนที่จะขึ้นไปบนเครื่องบินก็คือ…แม่มดอาญาสิทธิ์?”
“ถูกต้องเพคะ สนามพลังที่ปิดกั้นพลังเวทมนตร์นั้นให้ผลที่เหมือนกับหินอาญาสิทธิ์ แม่มดอาญาสิทธิ์สิบกว่าคนน่าจะหยุดหรือว่าฆ่าอีกฝ่ายได้ ต่อให้ไม่ได้ ทีมซุ่มยิงก็ยังมีโอกาสที่ไล่ตามมายิงครั้งสุดท้าย” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือพูดตรงๆ “แน่นอนว่าวิธีนี้มันไม่ง่าย ส่วนเรื่องรายละเอียดที่ว่าจะทำอย่างไร อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับความเคลื่อนไหวของศัตรู อย่างน้อยเราก็ถือว่ามีแผนรับมืออยู่ หม่อมฉันคิดว่าแผนนี้มีโอกาสสำเร็จค่อนข้างสูงทีเดียว เพราะว่าศัตรูเคยรู้ฤทธิ์ของกระสุนปืนมาแล้ว แต่มันยังไม่เคยเห็นซีกัลมาก่อน ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง หม่อมฉันก็ไม่มีทางเชื่อแน่นอนว่าคนธรรมดาจะบินขึ้นไปอยู่บนเมฆได้เพคะ”
โรแลนด์เข้าใจความคิดของทีมที่ปรึกษาทันที
ถูกต้อง การไปฝากความหวังเอาไว้ที่หน่วยซุ่มยิงอย่างเดียวนั้นไม่ถูกต้อง ถ้าอีกฝ่ายสังเกตเห็นอสูรสยองที่จู่ๆ ก็หายไปจากหน่วยลาดตระเวน แล้วรู้ว่ามนุษย์มีอาวุธที่สามารถโจมตีจากระยะไกลได้อย่างแม่นยำอยู่ มันจะต้องวางแผนรับมือเอาไว้ในตอนที่ถอยอย่างแน่นอน อย่างเช่นบินซิกแซกไปตลอดทาง หรือไม่ก็บินเลียดดิน หากเป็นเช่นนั้น ต่อให้เป็นแอนเดรียก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ความสามารถของเธอคือหาเหรียญที่จะตั้งขึ้น แต่เหรียญที่จะตั้งขึ้นเหรียญนั้นกลับไม่มีอยู่
เมื่อตกอยู่ในสถานการณืเช่นนี้ก็จำเป็นต้องมีคนที่เข้ามาช่วยเสริมในจุดนี้
คนที่ไล่ล่านอกจากจะต้องมีความเร็วที่มากกว่าผู้พิฆาตเวทมนตร์ แต่ยังต้องมีความแข็งแกร่งที่จะสู้กับผู้พิฆาตเวทมนตร์ได้ ซึ่งตามหลักแล้วในหมู่แม่มดไม่มีคนแบบนี้อยู่เลย
แต่ทีมที่ปรึกษากลับคิดถึงเรื่องที่จะใช้เครื่องร่อนคู่กับแม่มดอาญาสิทธิ์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน ต้องยอมรับเลยว่านี่เป็นแผนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
ซีกัลสามารถไปซ่อนตัวอยู่บนอากาศก่อน พอถึงเวลาโจมตีก็ค่อยเปลี่ยนความสูงให้กลายเป็นความเร็ว ขอเพียงสะสมพลังงานจลน์ไปได้ระยะเวลาหนึ่ง ซีกัลก็จะทำความเร็วมากกว่า 500 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้อย่างสบายๆ และไล่ตามปีศาจที่หลบหนีไปก่อนได้ทัน
เพียงแต่ว่า…
“นี่น่าจะเป็นแผนที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว แต่ข้าคิดว่าแอชเชสคงไม่มีทางเห็นด้วยกับแผนนี้แน่ เพราะตรงนั้นมันอยู่ไกลออกไปจากแนวหน้าในสนามรบ เผลอๆ อาจจะมีโอกาสปะทะกับผู้พิฆาตเวทมนตร์แบบซึ่งๆ หน้าด้วย” โรแลนด์มองไปทางทิลลี “ดังนั้น…”
“ข้าจะพูดกับนางเอง” ทิลลีนิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาอย่างหนักแน่น “ข้าจะไป”
“องค์หญิง!” เวนดี้ท้วงขึ้นมาอย่างร้อนใจ
ในเวลานี้โรแลนด์พอจะเดาความคิดของเวรดี้ออก สมมติว่าตัวเธอเป็นอะไรไป คนที่จะรักษาสถานะของแม่มดได้ก็มีแต่อันนาและทิลลีเท่านั้น คนหนึ่งคือราชินีของอาณาจักร อีกคนหนึ่งคือผู้สืบทอดสายเลือดที่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอเพียงพวกเธอทั้งสองคนยังอยู่ แม่มดก็จะรักษาขั้วอำนาจเอาไว้ได้ ด้วยเหตุนี้เวนดี้ย่อมไม่อยากให้มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
“ถ้าลองคิดดูก็จะรู้ เรื่องที่พวกเราจะทำนั้นมันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากการขนส่งแม่มดเหมือนอย่างในเวลาปกติเท่าไร กว่าที่ผู้พิฆาตเวทมนตร์จะรู้ว่ามีซีกัลป์อยู่ พี่น้องแม่มดทาคิลาก็คงจะเข้าไปใกล้มันแล้ว ด้วยเหตุนี้ความเสี่ยงจึงอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้” ทิลลีพูดยิ้มๆ “วางใจได้ ข้าไม่ซื่อบื้อเหมือนแอชเชสหรอก ข้าไม่มีทางที่จะทำอะไรเกินความสามารถตัวเองแน่”
โรแลนด์รู้ว่าอีกฝ่ายตัดสินใจแล้ว แล้วเขาก็ไม่อยากเสียเวลากับเรื่องนี้อีก เขามองไปทางเอดิธส์ “เจ้าว่าต่อเถอะ”
“เพคะ ฝ่าบาท” เอดิธส์เดินไปข้างแผนที่ “ขั้นตอนสุดท้ายของแผนการก็คือตำแหน่งซุ่มโจมตี ถ้าไม่มีหมอกแดง ปีศาจระดับสูงก็จะทนไม่ได้นานเท่าไร ดังนั้นมันจะต้องหนีไปตามเส้นทางการลำเลียงหมอกแดงแน่ เพื่อที่จะได้สะดวกต่อการเติมถังเก็บหมอกแดง นี่หมายความว่าจุดซุ่มโจมตีที่ดีที่สุดก็คือตำแหน่งใกล้ๆ เส้นทางขนส่งหมอกแดง”
‘ข้ามีคำแนะนำดีๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้’ จู่ๆ อาลิเธียก็พูดขึ้นมา ‘ไม่รู้ว่าพวกเจ้ายังจำปฏิบัติการที่อมนุษย์คนนั้นแฝงตัวเข้าไปยังด้านหลังของศัตรูได้ไหม’
“อาา…เจ้าบื้อนั่น” ทิลลีเอามือกุมขมับ “ก่อนหน้านี้ข้าเคยโทษนางว่านางทำให้หินเวทมนตร์หลากสีเสียไปฟรีๆ เม็ดหนึ่ง”
‘แต่ตอนนี้ ตำแหน่งที่ตั้งอยู่ด้านหลังทาคิลานี้กลับทำให้พวกเรามีมุมการสำรวจที่ดีที่สุด’ อาลิเธียยกหนวดหลักขึ้นมา ‘ขอเพียงเปิดใช้งานแฟนธ่อม พวกเราก็จะเห็นสถานการณ์ที่อยู่รอบๆ เส้นทางขนส่งหมอกแดงทั้งหมด!’
ในเวลานี้โรแลนด์เองก็นึกขึ้นมาได้ หลังจากที่โลก้าเจอกองทัพของปีศาจปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ ซากเมืองทาคิลา สโมสรแม่มดก็เคยวางแผนสอดแนมพวกปีศาจอยู่ครั้งหนึ่ง แต่ผลสุดท้ายก็ล้มเหลวเพราะทีมสอดแนมเดินออกนอกเส้นทางที่กำหนดเอาไว้ ถ้าหินเวทมนตร์หลากสีเม็ดนี้ถูกบีบให้แตกตรงด้านหน้าของเมืองทาคิลา เช่นนั้นพวกเธอก็จะรู้ความเคลื่อนไหวของปีศาจก่อนที่ปีศาจจะบุกเข้ามา แล้วก็ไม่มีทางที่จะเกิดเหตุการณ์เหมือนตอนที่สถานีหมายเลขหนึ่งถูกลอบโจมตีในเวลากลางคืนด้วย
เดิมคิดว่าพวกเขาโชคไม่ดี แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันกลับกลายเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา
ภายในหัวเขามีคำพูดประโยคหนึ่งลอยขึ้นมา
โชคชะตามันช่างมหัศจรรย์จริงๆ
“อย่างนั้นอีก 2 – 3 วันหลังจากนี้ขวานเหล็กกับเอดิธส์จะไปอยู่ที่เมืองชายแดนที่สามเพื่อกำหนดแผนการซุ่มโจมตีออกมาให้เสร็จเรียบร้อย” โรแลนด์สั่งการ “ส่วนเรื่องกระสุนเวทมนตร์ก็ให้อกาธากับกองอุตสาหกรรมเป็นคนรับผิดชอบ”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” ทุกคนพูดพร้อมกัน
ในตอนที่เลิกประชุม เสียงของอาลิเธียพลันดังขึ้นมาในหูของโรแลนด์ เมื่อดูจากปฏิกิริยาของคนอื่นๆ แล้ว เห็นได้ชัดว่ามีแต่เขาเท่านั้นที่ได้ยินคำพูดนี้
‘เซลีนอยากจะให้พระองค์เสด็จมาที่ใต้ดินหน่อยเพคะ งานวิจัยลูกบาศก์เวทมนตร์มีความคืบหน้าเพคะ’
…..
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง โรแลนด์ก็เดินเข้ามายังห้องทดลองใต้ดิน
เซลีนกดกลไกบนลูกบาศก์เวทมนตร์ แสงสีแดงที่คุ้นเคยเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
“อย่างนั้น ความคืบหน้าที่เจ้าว่า…”
‘ทอดพระเนตรดูนี่สิเพคะ’ เซลีนยื่นก้อนหินขนาดเท่าหัวแม่มือสองก้อนมาให้เขา ‘พวกมันล้วนแต่เป็นชิ้นส่วนที่อยู่บนลูกบาศก์ อายุของพวกมันน่าจะยาวนานอย่างมากเพคะ’
“ดูแล้วเหมือนจะค่อนข้างเก่าทีเดียว” โรแลนด์ลูบคาง โดยเฉพาะส่วนที่อยู่ใกล้ผิวนอกนั้นมีร่องรอยสึกหรออย่างชัดเจน “ตอนนี้เจ้าแกะลูกบาศก์โดยไม่ให้มันเสียหายได้แล้วเหรอ? ไม่สิ…เดี๋ยวๆ ในเมื่อชิ้นส่วนบนลูกบาศก์อยู่ในมือเจ้า แล้วทำไมมันถึงส่องแสงได้? หรือว่า…”
‘ถูกต้องเพคะ ฝ่าบาท’ เซลีนพูดยิ้มๆ ‘ชิ้นส่วนที่ใส่อยู่ในลูกบาศก์เวลานี้คือชิ้นส่วนใหญ่ที่หม่อมฉันสร้างเลียนแบบขึ้นมาเพคะ แล้วมันก็สามารถใช้งานได้ตามปกติเพคะ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าชิ้นส่วนนั้นใช้ได้ผล ไม่รู้ว่าความคืบหน้านี้ทำให้พระองค์พอพระทัยได้หรือไม่เพคะ?’
“สุดยอดจริงๆ…” โรแลนด์กุมหนวดของเธอเอาไว้อย่างดีใจ “นี่เพิ่งจะประมาณ 3 เดือนเอง ตอนแรกข้านึกว่าต้องใช้เวลาเป็นปีซะอีก!”
‘สลิมริสต์จากมนตร์แห่งสลีปปิ้งช่วยหม่อมฉันได้มากทีเดียวเพคะ ยิ่งไปกว่านั้นโครงสร้างของลูกบาศก์เวทมนตร์ก็ไม่ซับซ้อนเหมือนกับแกนเวทมนตร์’ เซลีนปล่อยให้เขาดูชิ้นส่วนลูกบาศก์อยู่ครู่ ก่อนจะดึงหนวดกลับมาอย่างเขินๆ นิดหน่อย ‘ก่อนหน้านี้ที่หม่อมฉันบอกว่าต้องใช้ตัวอย่างหินหลายพันก้อนเพื่อทำการทดลอง ตอนนี้หม่อมฉันคิดว่าแค่ห้าร้อยก้อนก็น่าจะพอแล้วเพคะ’
“ทหารที่ประจำอยู่ที่เรฟเวลรี่น่าจะทำตามคำสั่งแล้ว ข้าว่าอีกไม่นานน่าจะมีข่าวส่งกลับมาแล้วล่ะ” โรแลนด์พูดอย่างตื่นเต้น ถ้าสามารถสร้างเลียนแบบลูกบาศก์ขึ้นมาได้สำเร็จ บางทีมันอาจจะนำความเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือมาให้เมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้เหมือนอย่างเครื่องจักรไอน้ำก็ได้
‘เช่นนั้นแล้ว หม่อมฉันอยากจะขอรางวัลสักอย่างจากพระองค์ได้หรือไม่เพคะ?’ จู่ๆ เซลีนก็เปลี่ยนประเด็น น้ำเสียงของเธอแฝงเอาไว้ด้วยความคาดหวัง ‘แต่แน่นอน ของรางวัลที่ว่านี้ก็เพื่อความก้าวในการทำวิจัยในภายภาคหน้าเพคะ!’
“เจ้าอยากได้อะไร?” โรแลนด์ถามอย่างสงสัย
“ผู้ช่วยเพคะ…ผู้ช่วยที่สามารถช่วยให้หม่อมฉันเข้าใจความรู้ในโลกแห่งความฝันได้” เซลีนโบกหนวดหลัก “พวกพี่น้องของหม่อมฉันนั้นเหมาะอย่างมาก แต่การจะให้พวกนางไปเรียนรู้ความรู้เหล่านั้นด้วยตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากเกินไป หม่อมฉันได้ยินพวกนางบอกว่าที่นั่นมีองค์กรที่เป็นเหมือนสถาบันอยู่เหมือนกัน แถมยังมีการแบ่งเป็นระดับชั้นอย่างชัดเจน ถ้าหากมีคนคอยชี้แนะให้พวกนาง พวกนางคงจะเรียนรู้อะไรๆ ได้ง่ายขึ้น เช่นนั้น…ฝ่าบาท พระองค์ทรงส่งพวกนางไปเข้าโรงเรียนได้หรือไม่เพคะ?’
……………………………………………………………………….
ตอนที่ 1140 คนเถื่อน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตกกลางคืน โรแลนด์เล่าเรื่องราวการประชุมในตอนกลางวันให้อันนาที่นอนอยู่ข้างๆ ฟัง
“….เมื่อคิดถึงเรื่องความแข็งและความเสถียรของกระสุนอาญาสิทธิ์แล้ว บางทีอาวุธพิเศษนี้คงต้องทำการปรับเปลี่ยนหน่อย อานุภาพและการใช้งานจริงจะได้สมดุลกัน ในจุดนี้ก็มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ทำได้ ตอนนี้ลำดับความสำคัญของมันมีมากกว่าอย่างอื่น ในช่วงนี้ข้าจะให้แอนเดรียและอกาธาให้ความร่วมมือกับเจ้าอย่างเต็มที่”
“รู้สึกเหมือนงานที่อยู่ในมือยังไงก็ไม่มีวันทำเสร็จเลยนะเพคะ” อันนาเอาหัวซบลงมาบนไหล่เขา “เครื่องจักรที่สามารถประกอบชิ้นส่วนของเครื่องบินได้ การปรับปรุงเครื่องยนต์สันดาปภายใน รางเหล็กที่แนวหน้า แล้วก็ยังมีหนังสืออีกเยอะแยะมากกว่า…หม่อมฉันเริ่มรู้สึกอิจฉาพวกพาซาร์กับเซลีนขึ้นมาแล้วสิเพคะ ถึงแม้ไฟสีดำจะสามารถทำงานได้เหมือนกับมือ แต่ยังไงมันก็ไม่มีทางคล่องแคล่วเหมือนกับหนวดพวกนั้น แต่จำนวนที่ควบคุมได้ก็มีจำกัดด้วย”
“ไม่เอานะ ข้าไม่อยากนอนกอดหนวดใหญ่ๆ แบบนั้น ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าไม่เพียงแต่จะเป็นหัวหน้ากองอุตสาหกรรม แต่เจ้ายังเป็นราชินีของเกรย์คาสเซิลที่ต้องออกไปปรากฏตัวต่อหน้าประชาชนบ่อยๆ ด้วย” โรแลนด์พูดยิ้มๆ เขารู้ว่าอันนาไม่ได้กำลังบ่น หากแต่กำลังแบ่งปันความสุขกับเขาอยู่ นับตั้งแต่ที่เธอรับหน้าที่เป็นหัวหน้ากองอุตสาหกรรม สีหน้าเธอก็ไม่ได้ดูไร้ความรู้สึกเหมือนอย่างแต่ก่อน มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังไม่เปลี่ยน นั่นก็คือความตั้งใจอย่างในตอนแรกที่เขาได้เจอเธอ “ตอนนี้ข้ากำลังช่วยเจ้าคัดเลือกคนอยู่ ถ้าทุกอย่างราบรื่น กองอุตสาหกรรมจะมีคนงานให้เจ้าได้ใช้อย่างเต็มที่”
เมื่อคำนวณจากเวลา ริคส์จากสมาคมของแปลกน่าจะกลับไปถึงฟยอร์ดแล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าหนังสือ ‘หลักการลอยตัว’ ที่เขามอบให้อีกฝ่ายเป็นรางวัลเล่มนั้นจะดึงดูดความสนใจจากคนเหล่านั้นเอาไว้ได้หรือไป แต่สำหรับคนที่ไม่เคยสัมผัสกับนิยายวิทยาศาสตร์มาก่อนนั้น เรือดำน้ำที่เขาวาดเอาไว้ท้ายเล่มซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเอามาจากนิยาย ‘ใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์’ ซึ่งจินตนาการที่ยิ่งใหญ่และมีเสน่ห์จะต้องยั่วยวนพวกเขาได้แน่
“จริงเหรอเพคะ?” อันนาบิดขี้เกียจ ก่อนจะโอบกอดเขาเบาๆ “หม่อมฉันจะรอนะเพคะ แต่ว่าตอนนี้…หม่อมฉันก็อยากจะได้รางวัลเหมือนกัน”
เอ่อ ดูเหมือนวันนี้คนที่อยากได้รางวัลจะไม่ได้มีแค่คนเดียวซะแล้ว โรแลนด์หัวเราะอยู่ในใจ ก่อนจะโอบกอดแผ่นหลังอันขาวนวลของเธออย่างอ่อนโยน
…..
หลังอันนานอนหลับไปอย่างสบายใจ โรแลนด์ก็หลับตาลงเช่นเดียวกัน
ในตอนที่เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ฝ้าเพดานก็กลายเป็นฝ้าในตึกแห่งวิญญาณ แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องทะลุมุมหนึ่งของหน้าต่างเข้ามา
อาบน้ำ กินอาหารเช้า ส่งซีโร่ไปโรงเรียน ทุกอย่างเป็นเหมือนปกติ โรแลนด์เกาะราวระเบียงมองลงไปยังตรอกเล็กๆ ด้านล่างที่มีผู้คนเดินขวักไขว่ไปหา ทั้งนักเรียนที่สะพายกระเป๋าอยู่ด้านหลัง มนุษย์เงินเดือนที่รีบเดินไปทำงานและผู้สูงอายุที่ออกมาออกกำลังกายตอนเช้ากลายเป็นภาพชีวิตที่ดูวุ่นว่าย แต่ก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
เมืองแห่งนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากในตอนแรกที่เขาเข้ามา แต่เขารู้ว่าโลกนี้มันได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว ในสถานที่ที่คนมองไม่เห็นได้มีพลังบางอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงมันอยู่ เหมือนกับว่าโลกแห่งความฝันมีความคิดเป็นของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งความทรงจำที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน หนังสือปกแดงที่ดูเก่าเล่มนั้นและกระดาษโน้ตที่เหน็บอยู่ในหนังสือล้วนแต่เป็นสิ่งยืนยันถึงการเปลี่ยนแปลง
นับตั้งแต่ที่ได้อ่านหนังสือ ‘เหตุผลของการมีอยู่’ เล่มนั้น โรแลนด์ก็เฝ้าตามหาโรสคาเฟ่แห่งนั้นมาโดยตลอด แต่ไม่ว่าเขาจะค้นหาบนอินเทอร์เน็ต หรือว่าให้เหล่าแม่มดค่อยๆ หาตามตรอกซอกซอย เขาก็ไม่เจอเงื่อนงำใดๆ แม้แต่น้อย ภายในเมืองมีร้านกาแฟทั้งหมด 46 ร้าน แต่ไม่มีร้านไหนที่ชื่อโรสเลย
เขาเคยคิดว่านี่อาจจะเป็นการแกล้งกัน แต่เมื่อเขาเข้าใจในโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็พบว่าเนื้อหาในหนังสือนั้นไม่อาจจะมองข้ามไปได้ง่ายๆ แม้แต่กระดาษโน้ตแผ่นนั้นก็เหมือนกำลังจะบอกอะไรบางอย่างกับเขา
สิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์ที่หายสาบสูญไป
สงครามที่ไม่ได้เพิ่งจะเกิดเป็นครั้งแรก
การตื่นรู้และการกัดกินที่ไม่สามารถหยุดได้
ทั้งหมดนี้เขาพอจะมองเห็นได้ในโลกแห่งความเป็นจริง โดยเฉพาะการค้นพบภาพเหตุการณ์การทำสงครามกันระหว่างเผ่ากัมมันตรังสีและมนุษย์ไม้ขีด นี่ยิ่งทำให้เนื้อหาในหนังสือเต็มไปด้วยความรู้สึกเหมือนว่าเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน
สิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือทำไมหนังสือที่โลกแห่งความฝันสร้างขึ้นมากลับมีเค้าเหมือนในโลกให้ความเป็นจริง ยิ่งไปกว่ายังใช้คำว่า ‘สงคราแห่งโชคชะตา’ เหมือนกันด้วย เสียดายจากที่การ์เซียเล่ามา ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ทิ้งข้อมูลอื่นเอาไว้ให้ เงื่อนงำเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้เหมือนจะมีเพียงกระดาษโน้ตแผ่นนั้นเท่านั้น
แต่ว่าก่อนที่จะหาโรสคาเฟ่แห่งนั้นพบ เขาก็ได้แต่ต้องเก็บความสงสัยอันนี้เอาไว้ในใจ
เมื่อกลับมารออยู่ในห้องรับแขกถึงประมาณแปดโมง ด้านนอกห้องก็เสียงเคาะประตูดังเป็นจังหวะขึ้นมา “ปัง ปังๆ” เคาะเบาๆ หนึ่งครั้ง เคาะแรงๆ สองครั้ง นี่เป็นสัญญาณที่หมายความว่าระเบียงทางเดินไม่มีใครอยู่
โรแลนด์รีบเปิดประตูให้คนที่เคาะประตูเข้ามาในห้อง
“ฝ่าบาท อรุณสวัสดิ์เพคะ” แม่มดสาวหน้าตาน่ารักสามคนทำความเคารพเขา หนึ่งในนั้นคือ ‘ผ้าคลุมล่องหน’ ดาเนนที่เข้ามาในโลกแห่งความฝันเป็นกลุ่มแรกสุด
เหมือน ‘เด็กมัธยม’….จริงๆ ด้วย โรแลนด์กุมขมับขึ้นมา เขารู้เรื่องราวของดาเนนดี เธอซึ่งมีความสามารถลบร่องรอยการเคลื่อนไหนของเพื่อนๆ ได้เข้าร่วมกับกองทัพผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์ในปีที่สองหลังจากตื่นรู้ ก่อนจะได้รับการถ่ายโอนวิญญาณตอนอายุ 18 ปี ประสบการณ์ในการต่อสู้โชกโชน ถนัดใช้อาวุธประเภทมีดสั้นและมีดพก แต่เนื่องจากร่างกายที่มีขนาดเล็ก บวกกับพลังเวทมนตร์ที่ช่วยทำให้ดูอ่อนเยาว์ ทำให้เธอดูแล้วเหมือนกับเด็กสาวอายุ 10 กว่าขวบไม่มีผิด
ส่วนอีกสองคนก็เช่นเดียวกัน
ภายในหัวเขามีคำพูดสนทนาระหว่างเขากับเซลีนดังขึ้นมา
‘เข้าโรงเรียน? ข้าจำได้ว่าอายุเฉลี่ยของแม่มดอาญาสิทธิ์ล้วนแต่มากกว่า 20 ปีไม่ใช่เหรอ? ถ้าว่ากันตามอายุนี้ มันก็ควรจะเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ระดับความรู้ของพวกนางอย่างมากก็อยู่แค่ประมาณมัธยมต้นเท่านั้น ถ้าอายุต่างกันเยอะเกินไป มันอาจจะทำให้ความแตกได้นะ’
‘เรื่องนี้ขอพระองค์ทรงวางพระทัยเพคะ ถ้าขอแค่คนที่ดูค่อนข้างเด็กล่ะก็ ในบรรดาพี่น้องของพวกเราก็มีอยู่หลายคนทีเดียวเพคะ’
เมื่อดูจากแม่มดอีกสองคนที่ดูเด็กกว่าดาเนนอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนเซลีนไม่ได้พูดเกินจริงจริงๆ ด้วย
ตั้งแต่ที่มอบหมายให้คนอื่นๆ อย่างฟิลลิสหรือฟาลดี้คอยรับผิดชอบเรื่องกินเรื่องเที่ยวในวันปกติไปแล้ว เขาก็ไม่ค่อยได้สนใจแม่มดอาญาสิทธิ์เท่าไร เพราะถ้าให้เขาต้องมาคอยพาแม่มดสามร้อยกว่าคนไปเที่ยวเล่น เขาจะเอาเวลาไหนไปเก็บรวบรวมความทรงจำและข้อมูลต่างๆ?
ในจุดนี้ โรแลนด์คิดว่าตัวเขามีระเบียบวินัยอย่างมากทีเดียว
“หม่อมฉันชื่อเซนต์มิลาน ความสามารถคือลอกเลียนแบบท่าทาง หม่อมฉันสามารถลอกเลียนแบบท่าทางของคนที่ถูกหม่อมฉันเชื่อมต่อพลังเวทมนตร์เอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบเพคะ นี่เป็นครั้งที่สองที่หม่อมฉันเข้ามาในโลกแห่งความฝัน ขอพระองค์ทรงชี้แนะด้วยเพคะ”
“หม่อมฉันชื่อโดโด้ ความสามารถคือกระเป๋าที่มองไม่เห็น พูดง่ายๆ คือหม่อมฉันสามารถเอาสิ่งของใส่เข้าไปในกระเป๋าล่องหนที่ใช้พลังเวทมนตร์สร้างขึ้นมาได้เพคะ เอ่อ….ถึงแม้จะไม่มีประโยชน์เท่าไร แต่หม่อมฉันก็ไม่มีทางทำให้เกียรติของสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับต้องเสื่อมเสีย แล้วก็ไม่ทำให้ท่านเซลีนต้องผิดหวังเพคะ!”
ทั้งสองคนต่างก็แนะนำตัวเอง
เมื่อดูจากพลังความสามารถแล้ว พวกนางนั้นไม่จัดอยู่ในสายต่อสู้ และเป็นเพราะพวกนางไม่สามารถเข้าไปอยู่ในกองทัพผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ ปกติพวกนางจึงต้องทำงานในด้านอื่น ความสามารถส่งผลต่อนิสัย ในเรื่องนี้เหมือนจะเห็นได้ชัดจากตัวของทั้งสามคนนี้
ส่วนดาเนนน่าจะถูกเซลีนเลือกมาเพื่อปกป้องทั้งสองคนนี้ เพราะในโลกแห่งความฝันไม่ใช่ว่าจะไม่มีอันตราย โดยเฉพาะตอนนี้ที่ฟอลเลนอีวิลนับวันจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ
โรแลนด์พยักหน้ามองดูทั้งสามคน “เซลีนน่าจะบอกภารกิจครั้งนี้ให้พวกเจ้าฟังแล้วใช่ไหม อีกเดียวพวกเจ้าพยายามพูดให้น้อย แค่ตอบเออออไปตามข้าในตอนที่อีกฝ่ายถามก็พอ”
“เพคะ ฝ่าบาท”
หลังปัญหาเรื่องอายุถูกแก้ไขแล้ว ต่อไปก็เป็นปัญหาเรื่องที่ว่า ‘คนเถื่อนจะเข้าเรียนได้ยังไง’
ความจริงไม่ใช่แค่เรื่องเข้าเรียนเท่านั้น แต่เรื่องสถานะของแม่มดทาคิลาเป็นปัญหาที่โรแลนด์เป็นกังวลอยู่ตลอด ทำให้ทุกครั้งที่ออกไปล่าฟอลเลนอีวิล เขาต้องพยายามพาพวกเธอออกไปในเวลากลางคืนเพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น
ถ้าไม่เป็นเพราะมีพลังของแม่มดของปกปิดเอาไว้อยู่ โกดังที่มักจะมีคนไม่ซ้ำหน้าเดินเข้าไปคงกลายเป็นเป้าสายตาของชาวบ้านในชุมชนถงจึไปนานแล้ว
เมื่อคิดไปคิดมา ก็มีแค่คนเดียวที่อาจจะแก้ปัญหานี้ได้
โรแลนด์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ของการ์เซีย
……………………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น