Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1133-1134
ตอนที่ 1133 คลื่นแห่งทะเลชาโดว์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในเวลาเดียวกัน ด้านตะวันออกของทะเลน้ำวน
กองเรือขนาดใหญ่เรียงเป็นแถวตอนห้าแถว ลอยอยู่บนทะเลนอกหมู่เกาะชาโดว์
เรือที่ดูสะดุดตาที่สุดในนั้นก็คือเรือสโนวบรีส ไม่ว่าจะเป็นตัวเรือที่เป็นเหล็กสีดำ หรือว่าควันสีดำที่ลอยขึ้นมาด้านบนก็ล้วนแต่ทำให้มันดูแตกต่างจากเรือลำอื่นอย่างชัดเจน
ในเวลานี้ บนดาดฟ้าเรือสโนวบรีสก็กำลังยุ่งวุ่นวายกันอยู่
เหล่าลูกเรือกำลังวิ่งไปวิ่งมาเพื่อเตรียมตัวก่อนจะเข้าสู่หมู่เกาะชาโดว์
ธันเดอร์กำลังมอบหมายงานให้กับทุกคนอยู่ในสะพานเรือ “พวกเจ้าต่างก็เป็นนักสำรวจที่ยอดเยี่ยมที่สุดของฟยอร์ด หลายๆ คนเองก็เคยมาที่ทะเลชาโดว์แห่งนี้แล้ว ดังนั้นข้าจะไม่พูดมากอีก ตำแหน่งของหมู่เกาะนี้เปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน บวกกับหมอกหนาเวลาที่น้ำขึ้นลง ดังนั้นทุกคนต้องคอยระวังเอาไว้ตลอด เข้าใจไหม?”
“หัวหน้า วางใจได้” ผู้ช่วยคนสนิทคนหนึ่งตบหน้าอกตัวเองพร้อมพูดออกมา “พวกเราติดตามท่านมาหลายปีแล้ว พวกเราเคยทำผิดพลาดด้วยเหรอ ถ้าจะมีปัญหา ก็เป็นพวกเรือของสมาคมหอการค้าทั้งสี่ที่ตามมาต่างหากที่จะมีปัญหา”
“ใช่ เอาเรือเล็กๆ มาแค่ไม่กี่ลำ ถ้าอยากจะล่องไปในทะเลที่มีหินโสโครกอยู่เต็มไปหมด เรือใบสามเสานั้นไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเลย”
“พวกเขาน่าจะคิดว่าเรือตัวเองคล่องแคล่วเหมือนกับสโนวบรีสล่ะมั้ง เดี๋ยวถ้าชนกับหินโสโครกเข้า อย่าหวังว่าพวกเราจะกลับไปช่วยล่ะ!”
คำพูดนี้ทำเอาทุกคนหัวเราะออกมา
“ถ้ากลัวพวกเราจะปิดบังสิ่งที่สำรวจเจอ อย่างนั้นก็ส่งกัปตันเรือมาขึ้นเรือสโนวบรีสก็ได้แล้วนี่?”
“พวกสมาคมหอการค้าก็แค่อยากจะมีสิทธิ์มีเสียงในการสำรวจครั้งนี้มากกว่า”
“แต่ว่าถ้าอยากจะล่องไปทางตะวันออกที่ไกลออกไป ถ้าไม่มีกองเรือขนาดใหญ่มันก็ไม่ได้เหมือนกัน เรื่องนี้มันก็ช่วยไม่ได้อะนะ”
เมื่อเห็นทุกคนพากันพูดขึ้นมาไม่หยุด คามิล่า แดริลที่อยู่ข้างๆ พลันถอนหายใจออกมาเล็กน้อย หลังอยู่บนเรือมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน เธอเองก็ถือว่าพอจะรู้เรื่องทะเลชาโดว์บ้างแล้ว ที่นี่เหมือนจะเป็นศูนย์กลางของทะเลน้ำวน ปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงในทุกๆ ครั้งจะมีจุดเริ่มต้นมาจากที่นี่ แล้วก็จุดที่มีระดับความต่างกันของน้ำขึ้นและน้ำลงที่เห็นได้ชัดมากที่สุด ระดับน้ำที่แตกต่างกันทำให้หินโสโครกหลายพันก้อนที่อยู่ใต้น้ำกลายเป็นเหมือนหมู่เกาะ เกาะสลีปปิ้งดูเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับมัน
แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากกว่านั้นก็คือ นับตั้งแต่ที่หมู่เกาะชาโดว์ถูกค้นพบจนถึงปัจจุบันนี้นั้นเป็นเวลาสิบกว่าปีมาแล้ว แต่กลับไม่มีใครทำแผนที่ที่ชัดเจนออกมาได้เลยซักแผ่น เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่าหินโสโครกที่อยู่ที่นี่นั้นไม่ได้อยู่กับที่ ทุกสิ่งที่อยู่แอบซ่อนอยู่ใต้น้ำนั้นดูเหมือนกำลังย้ายตำแหน่งอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ซากโบราณสถานขนาดยักษ์แห่งนั้นก็เหมือนกัน ถ้าอยากจะล่องผ่านน่านน้ำนี้ไป ก็จำเป็นต้องรอให้หินโสโครกทั้งหมดมันโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำก่อน และก็ด้วยเหตุนี้ การล่องเรือผ่านมันไปจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก
แต่พวกลูกเรือที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ดูแล้วไม่เหมือนมืออาชีพที่ได้รับการฝึกฝนมาเลย เธอรู้สึกว่าพวกเขาดูเหมือน…โจรที่ดูดุร้ายมากกว่า นักสำรวจนั้นมีบารมีอย่างมากในสายตาของชาวฟยอร์ด แต่เมื่อได้มาร่วมเดินทาง เธอกลับมองไม่เห็นจุดนี้จากตัวพวกเขาเลย นอกจากคนที่ดูมีความน่าเชื่อถือเหมือนอย่างธันเดอร์ซึ่งมีส่วนน้อยแล้ว พวกลูกเรือส่วนใหญ่นั้นล้วนแต่เป็นพวกทำอะไรตามใจตัวเอง
สำหรับคามิล่าซึ่งเป็นอดีตขุนนางแล้ว ภาพความวุ่นวายแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไร ถ้าไม่เป็นเพราะองค์หญิงทิลลีทรงขอร้องมา เธอก็ไม่อยากจะให้โจนเดินทางมากับคนพวกนี้เลย
ในขณะที่ีรู้สึกทอดถอนใจอยู่นี้ เธอพลันพบว่าตัวเองนั้นเหมือนจะคิดถึงกองทัพที่หนึ่งของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ขึ้นมา อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ทำตัววุ่นวายเหมือนกับลิงแบบนี้ ทหารที่ยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบและมีความฮึกเหิมทำให้เธอรู้สึกสบายตา
คามิล่าทนไม่ไหว เธอออกมาจากห้องสั่งการของเรือ ก่อนจะเดินมายังดาดฟ้าด้านหลังเรือเหล็ก
เธอมองเห็นโจนที่กำลังเล่นอยู่ด้านหลังเรือกับมาร์จอรี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ
เมื่อเห็นเธอปรากฏตัว โจนก็รีบหลบไปอยู่ด้านหลังวาณิชหญิง ก่อนจะโผล่หัวออกมามองดูเธอ
ไหนว่าตอนอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ โจนอยู่กับแม่มดหลายๆ คนได้อย่างปกติแล้วไง แถมยังเป็นเพื่อนกับเมซี่และไลต์นิ่งด้วย คามิล่าบ่นออกมาในใจ หรือว่าตัวเองยากที่จะถูกคนอื่นยอมรับขนาดนี้? ถ้าเทียบกันเรื่องเวลาที่รู้จักกันแล้วล่ะก็ เธอเรียกได้ว่าเป็นคนที่ได้ใกล้ชิดกับโจนเป็นคนแรกๆ รองจากมาร์จอรีเลย
วาณิชหญิงยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “เป็นอะไร? อารมณ์ไม่ดีเหรอ?” เธอชี้ไปที่มุมปากตัวเอง “หน้าเจ้ามันบอกว่าอย่างนั้น”
“เปล่า” คามิล่างุนงงไปเล็กน้อย “ข้าแค่…”
“ไม่ชอบบรรยากาศในห้องสั่งการเหรอ?” มาร์จอรีเหมือนจะมองเห็นความคิดของเธอ “ข้าเคยบอกเอาไว้แต่แรกแล้ว เรื่องสำรวจอะไรนั้นก็ให้พวกผู้ชายเขาจัดการไป ส่วนเจ้าก็มามีความสุขกับวิวทิวทัศน์บนทะเลดีกว่า คิดซะว่าออกมาเที่ยวก็พอ”
“ได้ยังไงล่ะ” คามิล่าขมวดคิ้วขึ้นมา “ถ้าให้คนอื่นจัดการทุกอย่าง อย่างนั้นไม่เท่ากับว่าเอาชีวิตไปฝากไว้กับมือพวกเขาเหรอ?”
“เจ้าไม่เชื่อใจธันเดอร์เหรอ?”
“ข้า….”
มาร์จอรีจูงมือของเธอแล้วเดินไปที่ีิราวกั้นข้างเรือ “ความรับผิดชอบของเจ้าช่างน่านับถือจริงๆ ข้าคิดว่าจะไม่เป็นเพราะแบบนี้ ท่านทิลลีคงไม่มีทางฝากเกาะสลีปปิ้งให้เจ้าดูแลแน่ แต่บางครั้งการเชื่อใจคนอื่นให้มากหน่อยมันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี ไม่ใช่แค่ธันเดอร์เท่านั้น แต่ท่านทิลลีเองก็เหมือนกัน…”
ข้าจะไม่เชื่อใจท่านทิลลีได้ยังไงล่ะ คามิล่าคิดในใจ แต่เธอกลับพบว่าตัวเองไม่สามารถพูดแย้งออกมาได้ เพราะเธอก็ไม่เห็นด้วยกับทิลลีเรื่องที่จะให้แม่มดย้ายมาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์มาโดยตลอด
“ยิ่งไปกว่านั้นถ้าอยู่บนทะเลเป็นเวลานาน การที่รู้สึกเครียดอยู่ตลอดเวลามันจะทำให้ตัวเองเป็นบ้าได้นะ” มาร์จอรีพูดต่อ “เห็นท่าทางพวกเขาเป็นเหมือนคนไร้การศึกษาแบบนี้ แต่ทักษะการเดินเรือของพวกเขานี่สุดยอดมากเลยนะ”
ในที่สุดคามิล่าก็มีช่องให้เอ่ยปากออกมาได้ “ข้าขอบอกเอาไว้ก่อน ข้าไม่ได้พูดแบบนั้น..”
“แต่เจ้าคิดแบบนั้นไม่ใช่เหรอ?” คำพูดของวาณิชหญิงทำให้เธอเงียบไปอย่างรวดเร็ว “ฮ่าๆๆ มันก็ไม่เปลี่ยนหรอก ขุนนางในอาณาจักรทั้งสี่ต่างมองพวกเราเป็นเหมือนคนป่า ก็เหมือนกับที่พวกเรามองชาวทะเลทรายเป็นเหมือนคนป่า บอกตามตรง ขุนนางที่ไม่เคยดูถูก หรือพูดอีกอย่างคือเหตุผลในดูถูกของเขานั้นไม่เกี่ยวข้องกับสถานะ ข้าเคยเจอคนแบบนั้นเพียงแค่คนเดียว”
โรแลนด์ วิมเบิลดัน
ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เธอก็คิดถึงเพียงแค่ชื่อนี้เพียงแค่ชื่อเดียวเหมือนกัน
เพราะว่าเมื่อสี่ปีก่อน คนๆ นั้นก็ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแม่มดอย่างเปิดเผย
เมื่อก่อนนี้เธอคิดว่าเขาอาจจะมีเจตนาไม่ดีแอบแฝงอยู่ แต่ตอนนี้เธอไม่อาจคิดแบบนั้นได้แล้ว เพราะแม่มดที่ถูกเขาช่วยเหลือไปคนนั้นได้กลายเป็นราชินีของเกรย์คาสเซิลไปเรียบร้อยแล้ว
เชื่อใจ…ให้มากขึ้นหน่อยงั้นเหรอ?
ในขณะที่คามิล่ากำลังเงียบอยู่นั้น อีกฟากหนึ่งของทะเลพลันมีเสียงครืนๆ ดังขึ้นมา ฟังดูคล้ายกับคลื่นยักษ์กำลังม้วนเข้ามาหาพวกเธอ แล้วก็ฟังดูคล้ายกับฝูงปลานับหมื่นกำลังกระโดดโลดเต้นอยู่บนผิวน้ำ แต่เธอรู้ว่านั่นเป็นเพียงสิ่งที่เธอคิดไปเอง ในเวลานี้ท้องทะเลที่เธอมองเห็นยังคงเงียบสงบอยู่
“น้ำเริ่มลดแล้ว” มาร์จอรีพูดเสียงเบาๆ
“ยา…ยา..” โจนจับปลายเสื้อของวาณิชหญิงเอาไว้แน่น
หลังจากนั้นสิบห้านาที คามิล่าก็มองเห็นการเปลี่ยนแปลง
ก้อนหินปลายแหลมๆ ก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นมาเหนือผิวน้ำ…จากนั้นก็เป็นก้อนที่สอง ก้อนที่สาม…แทนที่จะบอกว่ามันเป็นหมู่เกาะ ควรจะบอกว่ามันเป็นเหมือนป่าหินถึงจะถูก พวกมันกำลังลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ไม่นานมันก็ปรากฏขึ้นมาเต็มท้องทะเล ในตอนที่น้ำทะเลลดลงไปมากกว่า 5 เมตร หินโสโครกก้อนใหญ่ที่อยู่ด้านล่างแท่งหินก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา
คามิล่ากลั้นหายใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นภาพอันน่าเหลือเชื่อแบบนี้ เนื่องจากน้ำในน่านน้ำตรงนั้นกำลังลดลง จนทำให้เส้นขอบฟ้าที่อยู่ปลายสุด ‘ลอย’ ขึ้นมา ราวกับว่ามันกับลอยขึ้นไปอยู่เหนือหมู่เกาะอย่างไรอย่างนั้น แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งที่เธอคิดไปเอง ถ้าพูดให้ถูก มันควรจะบอกว่ามันเป็นเหมือน ‘เนิน’ มากกว่า เส้นขอบฟ้าในตอนแรกกลายเป็นยอดเนิน ส่วนทะเลชาโดว์ก็กลายเป็นเนินที่ค่อยๆ ชันขึ้นทีละน้อย
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เธอก็มองไม่เห็นคลื่นบนผิวน้ำทะเลเลย
หลังภาพเหตุการณ์นี้ดำเนินไปประมาณสองชั่วโมง ตรงโขดหินโสโครกก็มีไอน้ำลอยขึ้นมา ในที่สุดทะเลชาโดว์ก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริงของมันออกมาแล้ว
……………………………………………………………….
ตอนที่ 1134 ลงไปใต้ท้องทะเล
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อูววววว…อูววววว…”
เรือสโนวบรีสเปิดหวูดขึ้นมา
นั่นคือสัญญาณให้ออกเดินเรือ
เรือสี่ลำที่อยู่หัวแถวชักใบเรือขึ้น ก่อนจะแล่นออกไป
อ่าวเครสเซนต์มูน เกาะซันเซต เมืองแชลโล่ววอเทอร์ เกาะทวินดราก้อน…เรือของสมาคมหอการค้าทั้งสี่ล่องตามหลังเรือสโนวบรีส ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปยังทะเลชาโดว์
ทัศนวิสัยที่ตอนแรกเปิดโล่งค่อยๆ พร่ามัวขึ้นมา แสงอาทิตย์เองเบาบางลง เห็นๆ อยู่ว่าเพิ่งจะล่องมาเป็นระยะทางประมาณพันเมตรเท่านั้น แต่กลับเหมือนพวกเขาได้เข้ามาในโลกอีกโลกหนึ่งเลย
ในตอนที่ไอน้ำปกคลุมทั้งดาดฟ้าเรือ คามิล่ารู้สึกว่าอาการสั่นสะเทือนของตัวเรือพลันหยุดไป
“เกิดอะไร…ขึ้นเหรอ?”
“ไม่ต้องห่วง อุปกรณ์ขับเคลื่อนแค่หยุดทำงานไปเท่านั้น” มาร์จอรีเหมือนจะมองเห็นความสงสัยของเธอ “เทคนิคที่สำคัญที่สุดในการล่องเรือที่นี่ก็คือช้า ถ้าเป็นเรือเล็กนั้นไม่ได้ลำบากอะไรมาก แต่ถ้าเป็นเรือใหญ่ล่ะก็ แค่อาศัยความเร็วในการเคลื่อนตัวของน้ำล่องไปข้างหน้าก็พอแล้ว เจ้าลองดูข้างหลัง…”
คามิล่ามองตามนิ้วมือของเธอไป เรือสินค้าที่เพิ่งจะชักใบเรือขึ้นเมื่อครู่นี้ต่างพากันลดใบเรือลงมาครึ่งหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นทิศทางของใบเรือที่กางออกยังแตกต่างกันด้วย นี่เป็นภาพที่ไม่มีทางเห็นได้ในการล่องเรือแบบปกติแน่
นอกจากนี้บนเรือแต่ละลำยังมีการจุดไฟขึ้นที่หัวเรือและท้ายเรือเพื่อใช้ในการระบุตำแหน่งของตัวเอง แต่ถึงจะทำเช่นนั้น เธอก็ยังมองเห็นแค่เรือสองลำแรกเท่านั้น เค้าโครงของเรือลำที่สามพอจะเห็นได้ลางๆ อยู่ในหมอก แสงไฟที่อ่อนแรงดูคล้ายกับหิ่งห้อยที่ส่องแสงได้ไม่แน่ไม่นอน ส่วนเรือลำที่สี่นั้นได้จมหายไปม่านหมอกจนหมด
“พวกเรากำลังไหลลงเนินเหรอ?” คามิล่าถามอย่างสงสัย หลังจากอยู่ที่เกาะสลีปปิ้งมาได้ระยะเวลาหนึ่ง เธอก็พอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับทะเลบ้าง ในตอนที่น้ำทะเลที่ขึ้นสูงและกลืนกินถ้ำหรือไม่ก็รอยแตกในทะเล ผิวน้ำก็จะเกิดน้ำวนขึ้นมา ขนาดของมันมีตั้งแต่เล็กเท่านิ้วมือไปจนกว้างหลายเมตร แต่ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ น้ำทะเลที่อยู่รอบๆ ก็จะไหลรวมไปอยู่ตรงกลางของน้ำวน ยิ่งอยู่ใกล้จุดศูนย์กลางก็ยิ่งไหลแรง
ก่อนหน้านี้เธอคิดกว่าท้องทะเลนั้นกว้างใหญ่เกินไป เธอจึงไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำ แต่ในเวลานี้กองเรือได้เข้ามาในส่วนลึกของทะเลชาโดว์แล้ว แต่ผิวน้ำยังสงบนิ่งอยู่ นี่มันค่อนข้างแปลกประหลาดทีเดียว
เธอถึงขนาดมองเห็นสาหร่ายที่ลอยอยู่บนผิวน้ำกำลังลอยออกไปด้านนอกน่านน้ำ!
นี่หมายความว่าทิศทางของกระแสน้ำนั้นไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเลย มันไม่เพียงแต่จะไม่ไหลไปรวมกันอยู่ด้านล่างเนิน แต่มันยังไม่มีทีท่าว่าจะไหลย้อนกลับมาด้วย!
“ดูแล้วน่าเหลือเชื่ออย่างมากใช่ไหมล่ะ” มาร์จอรีพยักหน้า “ถ้าการที่น้ำทะเลลดลงนั้นเกิดจากน้ำวนขนาดใหญ่ล่ะก็ พวกเราคงไม่มีทางที่จะเข้ามาสำรวจแน่ เพราะน้ำวนที่สามารถส่งผลกระทบต่อทั้งทะเลอันกว้างใหญ่ได้นั้น มันจะต้องเป็นน้ำวนที่ลึกกว่าขุมนรกแน่ ถ้าเข้าไปก็มีแต่ตายลูกเดียว แต่ก็เป็นเพราะมันแปลกประหลาดแบบนี้นั่นแหละ ธันเดอร์ถึงได้หวังว่าจะสำรวจเจออะไรบ้าง” เธอชะงักไปเล็กน้อย พร้อมกับหันไปมองดูโจนที่เหม่อมองไปนอกทะเล “แต่ความสามารถของมนุษย์นั้นมีขีดจำกัด การจะดำลงไปใต้ทะเลนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ก็เป็นเพราะความช่วยเหลือของพวกเจ้า ถึงได้ทำให้พวกเรามองเห็นความหวัง”
ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่ที่แห่งนี้มันก็ยังแปลกประหลาดไปหน่อย คามิน่ามองดูเสาหินและโขดหินที่อยู่รอบๆ ภายในใจเธอแอบรู้สึกขนลุกเล็กน้อย ถ้าอยู่ใกล้ๆ เธอก็ยังพอจะมองเห็นรูปร่างของมันได้อย่างชัดเจน แต่พวกโขดหินที่อยู่ไกลออกไปกลับมองเห็นไปแค่เงาดำๆ เท่านั้น เรียกได้ว่าเหมือนกับกรงเล็บของปีศาจที่ยื่นออกมาจากฝันร้ายเลย
“ยา! ปลา! ปลาสีแดง!” จู่ๆ โจนพลันตะโกนขึ้นมา
คามิล่าหันหน้าไป ก่อนจะเห็น ‘แม่น้ำ’ ที่เป็นสีแดงสดปรากฏขึ้นมาตรงด้านขวาของเรือสโนวบรีส ถึงแม้ธันเดอร์จะบอกเรื่องนี้กับเธอเอาไว้ก่อนแล้ว แต่พอได้มาเห็นมันด้วยตาตัวเองจริงๆ เธอก็ยังรู้สึกตกตะลึงอยู่ดี
‘แม่น้ำโกสต์ชาโดว์เรด’
เส้นทางเดินเรือพิเศษที่เกิดขึ้นจากฝูงปลา!
“หยุดเลย ปลาสีแดงนั้นไม่อร่อยหรอกนะ” มาร์จอรีตีหัวโจนเบาๆ “มีแต่ต้องล่องตามแม่น้ำโกสต์ชาโดว์เรดเข้าไปถึงจะไปถึงซากโบราณสถานรูปสามเหลี่ยมได้ เจ้าหญิงทิลลีน่าจะเคยเล่าให้เจ้าฟังแล้วว่าด้านในนั้นมีอุปกรณ์แปลกๆ ที่เหมือนกล้องส่องทางไกลอยู่ มันสามารถมองเห็นทวีปอันกว้างใหญ่ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนได้ และนั่นก็เป็นจุดหมายสุดท้ายของการเดินเรือครั้งนี้”
“พระองค์เคยเล่าให้ข้าฟังแล้ว”
“เสียดายที่จุดหมายของพวกเราในตอนนี้ไม่ใช่โบราณสถานแห่งนั้น ไม่อย่างนั้นเจ้าคงได้ไปเห็นความยิ่งใหญ่และความมหัศจรรย์ของโบราณสถานแห่งนั้นด้วยตาตัวเองแล้ว”
“ไม่…ข้าขอผ่านดีกว่า” คามิล่าพูดตัดบท ถ้าเป็นไปได้ เธอไม่อยากจะมายังน่านน้ำแห่งนี้อีก
“ปฏิกิริยาของเจ้าไม่เหมือนกับเจ้าหญิงทิลลีเลยนะเนี่ย” มาร์จอรีเอามือปิดปากพร้อมพูดขำๆ
หลังล่องเรือมาได้ประมาณสองชั่วโมง เรือสโนวบรีสก็มาตอนอยู่ที่โขดหินขนาดค่อนข้างใหญ่ก้อนหนึ่ง จากนั้นก็เป็นเรือใบสามเสาของสมาคมหอการค้าทั้งสี่ กระทั่งกองเรือทิ้งสมอแล้ว ผู้รับผิดชอบของแต่ละสมาคมก็มารวมตัวกันที่ดาดฟ้าเรือสโนวบรีส
“อยู่กันครบเลยนี่นา” รองกัปตันของเรือสโนวบรีสพูด “ข้านึกว่าพวกเจ้าจะขับเรือขึ้นไปเกยอยู่บนหินโสโครก จากนั้นก็ร้องไห้ให้คนไปช่วยซะอีก”
“กัปตันเรือกับลูกเรือฝีมือเยี่ยมไม่ได้มีแต่พวกเจ้าหรอกนะ” คนของสมาคมหอการค้าทั้งสี่ย่อมไม่ยอมทำเป็นไม่ได้ยินแน่ “เรือเหล็กน่ะมันก็ดีอยู่หรอก แต่คนบนเรือมันก็ไม่แน่ว่าจะดีเหมือนเรือหรอกนะ”
“พอได้แล้ว!” การปรากฏตัวของธันเดอร์หยุดการโต้เถียงลง “การที่สามารถมาถึงนี่ได้อย่างราบรื่นก็ถือว่าดีมากแล้ว ระหว่างทางไม่เจอปัญหาอะไรใช่ไหม?”
“ไม่มี” ผู้รับผิดของของสมาคมพากันตอบออกมา “ครั้งนี้เหมือนจะเงียบจนผิดปกติ แม้แต่ปีศาจทะเลซักตัวก็ไม่มี”
“ข้าเองก็รู้สึกแปลก ปกติมักจะมีลูกเรือคนสองคนที่โชคร้ายถูกมันลากลงทะเลไป”
“หรือว่าเส้นทางเดินเรือที่พวกเราเลือกครั้งนี้มันล่องหลบโบราณสถานแปลกๆ นั่นมา ก็เลยไม่เจอสัตว์ประหลาดพวกนั้น?”
“ฟังดูมีเหตุผล”
ธันเดอร์เงียบไปครู่ ก่อนจะโบกมือบอกให้ทุกคนเงียบลง “ในเมื่อเป็นแบบนั้น อย่างนั้นก็อย่ามัวชักช้ากันเลย น้ำจะลงถึงแค่ตอนช่วงเย็นเท่านั้น ดังนั้นเราจึงควรสำรวจใต้ทะเลก่อนที่จะถึงเวลานั้น ถ้าหากไม่พบอะไร พวกเราก็จำเป็นต้องออกไปจากที่นี่ก่อนที่น้ำจะขึ้น ไม่อย่างนั้นพวกเราจะถูกขังเอาไว้ในทะเลหมู่เกาะนี่จนไปไหนไม่ได้” เขามองไปยังแม่มดทั้งสองคน “โจร เลดี้คามิล่า หลังจากนี้ฝากพวกเจ้าด้วยนะ”
“ยา” โจนพยักหน้าอย่างจริงจัง
“เจ้าช่วยบอกให้คนพวกนั้นเงียบๆ หน่อยก็แล้วกัน” คามิล่ากวาดตามองเหล่านักสำรวจอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าขอบอกเอาไว้ก่อนหน้านะ ข้าต้องใช้สมาธิอย่างมากในระหว่างที่ทำการเชื่อมต่อทางวิญญาณ ถ้ามีใครตะโกนแทรกขึ้นมา ข้าก็จะไม่กลับมาที่นี่อีก!”
เมื่อได้รับการรับรองจากธันเดอร์ เธอก็วางมือไปบนไหล่ของโจนพร้อมกับหลับตาลง หลังอาการวิงเวียนเล็กน้อยผ่านไป ภาพที่มืดมิดในดวงตาของเธอพลันเปลี่ยนเป็นภาพอีกภาพหนึ่ง ซึ่งนั่นเป็นภาพที่โจนมองเห็น
‘ไปเถอะ’ คามิล่าพูดในใจ ‘ถ้าการเชื่อมต่อถูกตัดขาดหรือว่าเจออันตรายอะไรก็ให้รีบกลับมาที่นี่ เข้าใจไหม? อย่าฝืนทำอะไรล่ะ เพื่อนของเจ้ากำลังรอเจ้ากลับไปอยู่นะ’
พอพูดถึงเพื่อนขึ้นมา เธอพลันรับรู้ได้ถึงความมุ่งมั่นใจจิตใจของอีกฝ่ายขึ้นมาทันที ‘เข้าใจแล้วยา!’
จากนั้นโจนก็เขย่งตัวไปด้านหลัง ก่อนจะกระโดดลงไปในทะเล
ความรู้สึกเย็นสบายโอบล้อมตัวคามิล่าไว้
ความเหนื่อยล้าในร่างกายพลันหายไปจนหมด
แต่เธอรู้ว่านั่นเป็นแค่ความรู้สึกที่เธอคิดไปเอง คนที่กำลังรู้สึกมีความสุขนั้นไม่ใช่ตัวเอง หากแต่เป็นโจน…เธอกำลังแบ่งปันความสุขจากโจนอยู่
“เป็นยังไงบ้าง?” ธันเดอร์ถาม
“ตอนนี้ยังราบรื่นอยู่ ความลึกประมาณ 50 เมตร” คามิล่าตอบ “ดูเหมือนของเสาหินพวกนั้นจะไม่ได้ใหญ่ขึ้น พวกโขดหินก็เหมือนกัน…ข้าไม่เห็นพื้นใต้ทะเลหรือว่าเทือกเขาใต้ทะเล พวกเสาหินและโขดหินแยกออกจากกัน”
นี่คือหน้าที่ของเธอ ถึงแม้โจนจะเคลื่อนไหวไปมาใต้น้ำได้อย่างอิสระ แต่เธอกลับไม่สามารถบรรยายสิ่งที่เธอเห็นใต้น้ำออกมาได้ ถ้าอยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายมองเห็นอะไร ก็มีแต่ต้องใช้พลังการสะท้อนของวิญญาณเท่านั้น
“ความลึกว่ามากกว่าหนึ่งร้อยเมตร…แสงสว่างน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ภาพที่มองเห็นยังคงชัดเจนอยู่ เสาหินกับโขดหินยังคงยาวลงไปใต้น้ำ ไม่มีวี่แววของก้นทะเล” คามิล่าพูดงึมงำ “บ้าเอ้ย นี่มันจะลึกเกินไปแล้ว บางทีหินโสโครกที่ดูเหมือนเกาะเล็กๆ พวกนั้นอาจจะไม่ใช่เกาะจริงๆ ก็ได้ หากแต่เป็น…”
“เป็นอะไร?” มีคนถามขึ้นมา
เธอกลืนน้ำลาย “เป็นเสาหินที่มีขนาดใหญ่กว่าเท่านั้น”
……………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น