Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1129-1130

 ตอนที่ 1129 วัตถุลึกลับ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ความสามารถขององค์หญิงทิลลี…ไม่ใช่การบิน ใช่ไหมเพคะ?” ไนติงเกลพูดงึมงำ


“อื้อ ถึงแม้หินโบยบินจะทำให้นางบินได้ แต่ถ้าอยู่บนเครื่องบินที่ใหญ่ขนาดนี้ หินโบยบินก็ไม่มีทางทำให้นางบินได้หรอก” โรแลนด์มองดูยูนิคอร์นที่บินวนอยู่ด้านบนพร้อมกับถามว่า “ทำไมเหรอ?”


“ถึงแม้จะได้ยินพระองค์ตรัสมาแล้วหลายครั้ง ตอนที่ทรงวาดแบบกับทดสอบเครื่องยนต์สันดาปภายในก็คอยดูอยู่ข้างพระองค์ตลอด แต่พอได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง หม่อมฉันก็ยังรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่ออย่างมาก…มนุษย์สามารถอาศัยพลังจากภายนอกมาทำให้ตัวเองบินได้เหมือนนกจริงๆ ด้วย” ไนติงเกลทอดถอนใจ “เห็นๆ อยู่ว่านั้นเป็นแค่สิ่งที่ประกอบขึ้นมาจากเหล็กกับไม้เท่านั้น”


“จริงอยู่ที่มันเป็นแค่เหล็กๆกับไม้ แต่ว่าคนที่ประกอบมันขึ้นมาก็คือพวกเรา” โรแลนด์ยิ้มเล็กน้อย “สองมือ พลังเวทมนตร์ แล้วก็ความรู้…ดังนั้นในอีกแง่หนึ่งมันจึงไม่อาจเรียกว่าพลังจากภายนอกได้”


“ทุกคน…สามารถบินได้เหมือนอย่างนางไหมเพคะ?” ไนติงเกลถามขึ้นมาเบาๆ “รวมทั้งหม่อมฉันด้วย..”


“อื้อ ทุกคน รวมทั้งเจ้าด้วย” โรแลนด์พูดอย่างมั่นใจ ความจริงท้องฟ้านั้นไม่ถือว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับไนติงเกล เธอเคยนั่งบอลลูนกับนั่งไปบนหลังเมซี่แล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเครื่องบินที่สามารถบินไปบนท้องฟ้าได้ตามที่ตัวเองต้องการ สิ่งที่เธอเคยเจอมาก่อนหน้านี้เหมือนกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย แม้แต่ไนติงเกลที่มีพลังเวทมนตร์ยังเป็นแบบนี้ แล้วนับประสาอะไรกับคนธรรมดาที่ไม่มีพลังวิเศษล่ะ? เสน่ห์ของการท่องไปบนท้องฟ้านั้นฝังลึกลงไปในจิตใจของผู้คนนับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้ว


ชายผู้บุกเบิกเรื่องการบินของสมาคมของแปลกคนนั้นคือตัวอย่างที่ดีที่สุด


หลังจากนั้น 30 นาที ยูนิคอร์นก็ค่อยๆ ลงมาจอดบนรันเวย์


“เป็นยังไงบ้าง?” โรแลนด์ถามทิลลีที่วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้น


“เครื่องบินลำนี้มันสุดยอดจริงๆ!” เธอพูดพร้อมสายตาที่เป็นประกาย “สัมผัสของมันเรียกได้ว่าเหนือว่าซีกัลหลายเท่า บอกตามตรง…ถึงแม้ความสามารถในการควบคุมลมของเวนดี้จะยอดเยี่ยม แต่นั่นก็ยังไม่อาจเป็นไปอย่างที่ใจข้าต้องการได้ แต่เจ้านี่ไม่เหมือนกัน ทั้งความเร็วในการบิน การเหินขึ้นร่อนลง การเลี้ยว ข้าสามารถควบคุมรายละเอียดทุกๆ อย่างได้หมด เรียกได้เคลื่อนไหวไปอย่างที่ใจต้องการ เหมือนกับมือเท้าของตัวเองเลย!”


เอ่อ….เคลื่อนไหวไปอย่างที่ใจต้องการ เหมือนกับมือเท้าของตัวเอง? โรแลนด์เหงื่อตกทันที ถึงแม้ยูนิคอร์นจะสร้างขึ้นมาโดยอาศัยเครื่องบินปีกสองชั้นที่สมบูรณ์แบบจำนวนมากมาเป็นแบบอ้างอิงในการสร้าง แต่จริงๆ แล้วเทคโนโลยีที่ใช้สร้างมันขึ้นก็ยังถือว่าเป็นเทคโนโลยีแบบง่ายๆ อยู่ การควบคุมทุกอย่างต้องอาศัยมือ ทั้งความเร็วความสูงล้วนแต่ต้องอาศัยความรู้สึก การที่สามารถขึ้นบินได้อย่างราบรื่นก็ถือว่าก้าวหน้าอย่างมากแล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะตัวเขารู้จักเครื่องบินลำนี้เป็นอย่างดี เกรงว่าถ้าฟังการบรรยายของทิลลีเพียงอย่างเดียว เขาคงจะนึกว่าอีกฝ่ายกำลังขับเครื่องบินรบสมัยใหม่ที่มีการควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์แน่


นี่น่าจะเรียกว่าอัจฉริยะล่ะมั้ง


“อย่างนั้น…พอใจหรือยัง?” เขากวักมือเรียกผู้ดูแลโรงเก็บเครื่องบิน “วันนี้พอเท่านี้แล้วกัน…”


“อะไรกัน ท่านพี่” ทิลลีพูดแทรกขึ้นมา “30 นาทีมันจะไปพอที่ไหน?”


“แล้วเจ้าลงมาทำไม…”


“ข้าจะมาบอกท่านว่า ท่านยังมีงานต้องทำอีกเยอะไม่ใช่เหรอ?” เธอโบกมือ “ท่านไปเถอะ ไม่ต้องมาเฝ้าข้าที่นี่หรอก ข้ายังมีวิธีบินอีกหลายอย่างที่อยากจะลองดู”


เมื่อมองเห็นแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่วิ่งกลับไปอย่างตื่นเต้น โรแลนด์ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา


เครื่องบินไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เริ่มบิน นี่ก็ถือว่าผ่านเกณฑ์ที่คาดการณ์เอาไว้แต่แรกแล้ว ด้วยฝีมือระดับทิลลีน่าจะทำความคุ้นเคยกับยูนิคอร์นได้ในเวลาไม่ผ่าน บวกกับการที่เธอสามารถดีดตัวเองออกมจากเครื่องบินได้ทุกเมื่อ ตัวเองคงไม่จำเป็นต้องมาเฝ้าอีกฝ่ายแล้ว


“ดูเหมือนพระองค์จะโดนทิ้งแล้วนะเพคะ” ไนติงเกลพูดยิ้มๆ


“พูดมาก” โรแลนด์กรอกตาใส่เธอ “ไปกันเถอะ”


ไนติงเกลยิ้มๆ พร้อมกับมือเขาเข้าไปในหมอกมายา


…..


หลังกลับมาถึงโถงในปราสาท องครักษ์พลันเดินเข้ามาหาเข้า “ฝ่าบาท ทางเมืองชายแดนที่สามแจ้งมาว่าภารกิจที่พระองค์ทรงมอบหมายให้มีความคืบหน้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


“โอ้?” โรแลนด์เลิกคิ้วขึ้นมา “รายงานอยู่ไหน?”


“ทางนั้นบอกว่าอยากจะให้พระองค์เสด็จไปที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ”


ดูเหมือนสิ่งที่ซิมบาดี้กับริคส์ค้นพบที่ท่าเรือเรฟเวลรี่จะไม่ใช่สิ่งที่ใช้คำพูดมาอธิบายได้ง่ายๆ เสียแล้ว เขาครุ่นคิดเล็กน้อย “ข้ารู้แล้ว งั้นไปกันเลย”


หลังลงไปใต้ดิน เซลีนก็มารอเขาอยู่ตรงโถงใหญ่อยู่ก่อนแล้ว


‘ฝ่าบาท พระองค์ทรงคาดการณ์ถูกต้องเพคะ ที่แหลมเอนด์เลสมีวัตถุดิบที่ใช้สร้างลูกบาศก์เวทมนตร์อยู่จริงๆ ด้วยเพคะ’ เธอยื่นหนวดออกมาเพื่อเอาชิ้นส่วนตัวอย่างสองชิ้นให้โรแลนด์ดู ‘หินสีเทาเหลืองที่อยู่ด้านซ้ายทำปฏิกิริยาต่อเวทมนตร์คล้ายๆ กับลูกบาศก์เวทมนตร์ ถึงแม้มันจะไม่เหมือนกัน แต่ก็ถือว่ามีความใกล้เคียง ถ้ามีปริมาณมากพอ หม่อมฉันก็จะเริ่มทำการสร้างมันขึ้นมาได้เพคะ’


“จำนวนมากพอ…ต้องการเท่าไร?”


‘เอามาลองซัก 2 – 3 พันก้อนก่อนก็ได้เพคะ’


เอ่อ ถึงแม้ตัวเองที่เอามามันจะชิ้นไม่ใช่ แต่ 2 – 3 พันก้อนนี่ก็มากพอที่จะกองจนเต็มห้องๆ หนึ่งได้เลยนะ เขาแอบคิดในใจ เมื่อดูแบบนี้ เขาคงจำเป็นต้องทำการขุด ‘โบราณสถานที่แหลมทะเล’ นั่นเสียแล้ว แถมยังยิ่งเร็วยิ่งดีด้วย “เดี๋ยวข้าจะให้คนไปรวบรวมมา แล้วอีกอันหนึ่งล่ะ?”


‘ก้อนหินอีกอันหนึ่งเรียกได้ว่าน่าเหลือเชื่ออย่างมากเพคะ สิ่งที่มั่นใจได้ในตอนนี้ก็คือลำแสงออกมาจากนั้นไม่เป็นอันตรายใดๆ ต่อสัตว์ทดลอง เหมือนมันจะเป็นแค่แสงธรรมดา ไม่ใช่อนุภาค….’


“อนุภาครังสี”


‘ใช่เพคะ แต่เรายังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่ว่ามันจะเป็นรังสีที่อ่อนอย่างมากจนไม่สามารถใช้สัตว์มาตรวจสอบได้ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเพคะ’ เซลีนหยิบเอาเศษ ‘แผ่นศิลา’ ออกมาจากในขวดที่อยู่ข้างกายชิ้นหนึ่ง จากนั้นจึงเอามันไปวางไว้ในมือโรแลนด์ ‘หม่อมฉันวานให้คุณหนูซิลเวียแยกส่วนเล็กๆ ออกมาจากมัน ก่อนจะพบว่าองค์ประกอบของมันมีความคล้ายคลึงกับทรายอย่างมากเพคะ’


“คล้าย…ทราย…?” โรแลนด์พูดอย่างแปลกใจ


‘น่าเหลือเชื่ออย่างมากใช่ไหมเพคะ? มันแค่ดูแล้วเหมือนก้อนหินอย่างมาก พูดอีกอย่างก็คือก้อนกรวดขนาดใหญ่ แต่ตัวมันกลับมีความยืดหยุ่น ตอนที่ถูกกดก็จะเปล่งแสงออกมา บนโลกนี้คงไม่มีของสิ่งไหนที่แปลกประหลาดเท่ามันแล้วเพคะ’


“เอ่อ…” เขาเอาเศษหินตัวอย่างมาเล่นในมือ หลังครุ่นคิดอยู่สักพักจึงพูดขึ้นมาว่า “จะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้”


“หรือพระองค์ทรงทราบว่ามันคืออะไร?”


“ก็ไม่ใช่แบบนั้น เพียงแต่ข้ากำลังคิดถึงของอย่างอื่นอยู่…” โรแลนด์ค่อยๆ พูด “ถึงแม้วัตถุเกิดมาจากการประกอบกันของธาตุ อย่างนั้นนอกจากตัวธาตุแล้ว โครงสร้างของมันก็เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อคุณสมบัติของวัตถุนั้นเหมือนกัน ที่พวกเรารู้สึกมันแปลกประหลาด เป็นเพราะว่าพวกเรายังเข้าใจมันน้อยเกินไปเท่านั้น”


ก็เหมือนกับธาตุคาร์บอน เพชรที่มีโครงสร้างแบบพีระมิดฐานสามเหลี่ยมนั้นมีความแข็งอย่างมาก แต่แกรไฟต์ที่มีการเรียงตัวเป็นชั้นๆ เป็นรูปผลึกหกหน้ากลับมีความเปราะจนสามารถใช้มือหักได้ ถ้าดึงโครงสร้างออกชั้นหนึ่งก็จะกลายเป็นแกรฟีนซึ่งมีคุณสมบัติเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี แต่ถ้าเอาแกรฟีนสองชั้นมาทับซ้อนกันและบิดมุมนิดหน่อย มันก็จะกลายเป็นฉนวน และถ้าอุณหภูมิของมันลดลงถึงจุดหนึ่งและถูกใส่อิเลคตรอนเข้าไป มันก็จะกลายเป็นตัวนำยวดยิ่ง


ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นมีแต่ธาตุคาร์บอนเพียงธาตุเดียวเท่านั้น


นี่คือความลึกลับของวัตถุ


ความจริงต่อให้เป็นโลกสมัยใหม่ การสำรวจโลกใบจิ๋วนี้ก็เพิ่งสำรวจไปได้แค่มุมเล็กกๆ มุมหนึ่งเท่านั้น ในดินแดนอันมืดมิดที่ไม่มีทฤษฎีของชี้ทาง สิ่งที่ผู้คนทำก็คือเหมือนกับเมื่อหนึ่งพันปีก่อนไม่มีผิด ทั้งการเรียงสับเปลี่ยนและการจัดหมวดหมู่ ต่อให้เป็นธาตุที่ธรรมดาที่สุด เวลาพวกมันรวมเข้าด้วยกันก็อาจจะทำให้เกิดปรากฏการที่น่าตกตะลึงได้


ทั้ง ‘แผ่นศิลาส่องแสง’ ก็ดี สีชนิดต่างๆ ของโซโรย่าก็ดี บางทีมันอาจจะไม่ได้ลึกลับเพราะตัวเวทมนตร์


แค่ลึกลับเพราะมนุษย์รู้เรื่องของพวกมันน้อยเกินไป


…………………………………………..


ตอนที่ 1130 สมมติฐานของประวัติศาสตร์

โดย

Ink Stone_Fantasy

‘เข้าใจมันน้อยเกินไป…เหรอเพคะ?’ หนวดทั้งตัวของเซลีนลู่ตกลงมา เหมือนเธอเองก็รู้ตัวเหมือนกัน ‘ใช่เพคะ ยิ่งหม่อมฉันอยู่ในสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับนานเท่าไร หม่อมฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย ยังมีหนังสือที่พระองค์ทรงนำกลับมาจากโลกแห่งความฝันพวกนั้นอีกที่ทำให้หม่อมฉันได้เปิดโลกกว้างขึ้น พอได้ฟังพระองค์ตรัสเช่นนี้ บางทีหม่อมฉันไม่ควรจะใช้คำว่าน่าเหลือเชื่อมานิยามมัน เพราะว่ามีบางสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากกว่ามันอีกเพคะ’


“โอ้? อะไรเหรอ?”


‘พวกเราไงเพคะ’ เซลีนหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย ‘ในหนังสือบอกว่าร่างกายทุกคนล้วนแต่ประกอบขึ้นมาจากธาตุต่างๆ ไม่ใช่เหรอเพคะ? ทั้งคาร์บอน ไนโตรเจน ไฮโดรเจนอะไรพวกนั้น…ไม่ได้ต่างจากต้นไม้เท่าไรเลย แต่พวกเรากลับสามารถหัวเราะร้องไห้และคิดได้ เรียกได้ว่ามหัศจรรย์กว่าการส่องแสงอีกเพคะ’


“หนังสือเล่มนั้นข้าก็เคยอ่านเหมือนกัน แต่มันดูไม่น่าเชื่อเลย” ไนติงเกลถอนใจออกมา “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผิวหนังบนร่างกายของข้าจะไม่ได้ต่างอะไรจากเปลือกไม้หยาบๆ”


‘นี่น่าจะเป็นความลึกลับของโครงสร้างที่ฝ่าบาทตรัสไว้ล่ะมั้ง’


เซลันมองไปทางโรแลนด์ แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไร


‘ฝ่าบาท?’


“ฝ่าบาท พระองค์ทรงเป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ?”


ในตอนนี้โรแลนด์ถึงได้สติกลับคืนมา “เซลีน เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”


‘พวกเรามหัศจรรย์กว่าแผ่นศิลาเหรอเพคะ?’


“อันนี้แหละ…” เขารับรู้ได้ถึงความคิดอันหนึ่งที่ไหลทะลักออกมาจากในหัวสมอง “แผ่นศิลาที่ว่า บางทีมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ใครบางคนทิ้งเอาไว้เป็นที่ระลึก แต่พวกมันนั่นแหละที่เป็นมนุษย์ไม้ขีดไฟ?”


‘พระองค์ทรงหมายความว่า…” เสียงของเซลีนฟังดูตกใจเล็กน้อย


“มนุษย์ไม้ขีดก็คือแผ่นศิลา สิ่งที่พวกเราเห็นก็คือร่างกายที่พวกมันเหลือทิ้งเอาไว้” โรแลนด์ตอบช้าๆ ชัดๆ ขณะเดียวกันร่างกายก็เกิดอาหารสั่นขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ถูกต้อง พวกมันคือสิ่งมีชีวิตใหม่ที่แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบหลักของร่างกาย พวกมันคือสิ่งมีชีวิตที่มีซีลิคอนเป็นองค์ประกอบหลักของร่างกาย


ตอนแรกเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่ทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา ไม่เพียงแต่ลักษณะพิเศษบางอย่างของตัว ‘แผ่นศิลาเรืองแสง’ จะได้รับคำอธิบาย แต่ภาพวาดที่อยู่ในวิหารต้องสาปก็ยังมีความหมายที่ลึกซึ้งมากขึ้นกว่าเดิมด้วย


เรื่องแรก ทำไมบนแผ่นศิลาถึงได้มีลวดลายเยอะชนาดนั้น? ไม่ใช่แค่ผิวด้านนอกเท่านั้น แม้แต่ข้างในของมันก็ยังเป็นเช่นนั้นด้วย ถ้าลวดลายเหล่านั้นคือสิ่งที่ใช้เครื่องมือทำขึ้นมา อย่างนั้นแม้แต่อันนาที่ตื่นรู้ไฟสีดำขึ้นมาก็ไม่สามารถที่จะทำมันในระยะเวลาสั้นๆ ได้


ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเปลี่ยนไปคิดอีกมุมหนึ่ง หากลวดลายเหล่านั้นคือสิ่งที่ร่างกายของพวกมันสร้างขึ้นมาเอง แบบนั้นมันก็จะดูไม่ใช่เรื่องแปลกอีก


บางทีในลวดลายเหล่านั้นอาจจะมีเคยมี ‘เลือด’ ไหลเวียนอยู่ไม่ขาดสาย ภายใต้แรงกดของเลือด ซิลิคอนออกไซด์จะทำให้เกิดปรากฏการณ์เพียโซอิเล็กทริก และเมื่อสัญญาณไฟฟ้าเหล่านี้ประสานเข้าด้วยกัน สุดท้ายมันก็จะเกิดเป็นความคิด นอกจากนี้กระแสไฟฟ้ายังสามารถเปลี่ยนเป็นแสงสว่างได้ด้วยกลไกบางอย่าง เช่นนั้นพวกมันก็จะมีความสามารถในการสื่อสารกับโลกภายนอกได้


โรแลนด์นึกถึงภาพร่างรวมของมนุษย์ไม้ขีดขนาดยักษ์กับเลือดที่ไหลออกจนกลายเป็นทะเลสาบ…..


เขาคิดว่าทะเลสาบเลือดที่ว่าก็คือน้ำมัน


เมื่อคิดให้ลึกขึ้นไปอีก บางทีเผ่ากัมมันตรังสีที่เป็นศัตรูของมนุษย์ไม้ขีดอาจจะไม่ได้บูชาวัตถุที่ปล่อยรังสีได้โดยไม่มีสาเหตุเสียแล้ว


รังสีที่รุนแรงสามารถรบกวนวงจรไฟฟ้าได้ และสามารถทำให้ ‘อุปกรณ์ไฟฟ้า’ ไม่สามารถใช้งานได้ ไม่แน่นี่อาจจะเป็นจุดกำเนิดของความเชื่อของเผ่ากัมมันตรังสี!


โรแลนด์เหมือนจะมองเห็นภาพอันหน้าตกใจค่อยๆ ฉายขึ้นมาตรงหน้าเขา


อารยธรรมประหลาดสองอารยธรรมเปิดศึกห้ำหั่นกันที่ดินแดนทางใต้สุดเพื่อแย่งชิงมรดกของพระเจ้า เผ่าพันธุ์หนึ่งโดนทำลายจนดับสูญ เลือดที่ไหลออกมากลายเป็นแม่น้ำสติกซ์ใต้ดินและบึงโทรธสวอม แต่เนื่องจากร่างกายไม่เน่าเปื่อย หลังผ่านไปพันปีก็ได้กลายเป็นแผ่นป้ายสุสานฝังอยู่ใต้ดิน ส่วนฝ่ายที่ชนะกลับไม่รู้ว่าหายไปไหน นอกจากลูกบาศก์เวทมนตร์ที่ได้มาจากวิหารต้องสาปแล้ว ทุกอย่างเกี่ยวกับพวกมันเหมือนจะหายไปจนหมด ภายหลงจึงได้แต่ต้องอาศัยภาพวาดบนผนังไม่กี่ภาพมาคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต


นี่มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ!


‘แผ่นศิลาเรืองแสงคือร่างของสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับพวกเราเหรอเพคะ?’ เซลีนถามเสียงคร่ำเคร่ง ‘ขออภัยที่หม่อมฉันทูลตามตรงนะเพคะ หม่อมฉันจินตนาการภาพเจ้าแผ่นสี่เหลี่ยมเหล่านี้มีความคิดเป็นของตัวเอง แล้วยังเคลื่อนไหวไปมาไม่ออกเลยเพคะ…พระองค์ทรงมีหลักฐานมากกว่านี้ไหมเพคะ?’


โรแลนด์พยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนจะส่ายหน้าขึ้นมาช้าๆ “นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น ความจริงมันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ เพราะถ้ามองจากมุมของการวิวัฒนาการ เรื่องแบบนี้มันแทบจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้”


สิ่งมีชีวิตจะเปลี่ยนเป็นสภาพแบบไหน ส่วนใหญ่มันก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ให้กำเนิดมันขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นปีศาจหรือว่าสัตว์อสูร ก็ถือเป็นผลผลิตหนึ่งของชีวมณฑล แต่สิ่งมีชีวิตที่มีซิลิคอนเป็นองค์ประกอบหลักเนี่ยนะ? นั่นมันเป็นเส้นทางการวิวัฒนาการอีกเส้นทางหนึ่งเลย ดูยังไงมันก็ไม่ควรมีสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างพื้นฐานของร่างกายที่แตกต่างกันสองชนิดอาศัยอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบเดียวกัน


‘แต่ฟังจากที่พระองค์ตรัสมา เนื้อหาที่อยู่ในภาพบนผนังวิหารมันก็น่าเหลือเชื่ออย่างมาก…’ เซลีนนิ่งเงียบไปครู่ ‘ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ปล่อยปริศนาที่ว่านี่เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน หม่อมฉันคิดว่าขอเพียงพวกเราสืบค้นต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายความจริงมันต้องปรากฏขึ้นมาแน่นอนเพคะ เพราะมีแต่แบบนี้เท่านั้น คนเราถึงจะเติบโตได้อย่างแท้จริง’


“ฟังดูแล้วมีเหตุผลอย่างมาก..” ไนติงเกลมุ่ยปาก


‘นี่เป็นหนึ่งในคำสอนของสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับ’ เซลีนยิ้มๆ ‘จะว่าไปแล้ว หม่อมฉันได้ทำการทดสอบเรื่องปฏิกิริยาการส่องแสงของแผ่นศิลามานิดหน่อยเหมือนกัน เดิมคิดจะลองใช้มันมาให้ความสว่างแทนหินเวทมนตร์ แต่ผลที่ได้กลับไม่เป็นเหมือนที่คิดเอาไว้’


“ใช้ไม่ได้..เหรอ?” โรแลนด์ขมวดคิ้ว ตอนแรกที่เขาได้รับรายงานมาก ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือใช้มันแทนหลอดไฟ เนื่องจากการจ่ายไฟยังมีข้อจำกัดอยู่ ตอนนี้จึงมีแค่นโรงงานและพื้นที่เล็กๆ ที่อยู่รอบๆ ไม่กี่ที่เท่านั้นที่มีหลอดไฟใช้ การจะทำให้ทั่วทั้งเมืองส่องสว่างในเวลากลางคืนนั้นถือเป็นงานก่อสร้างขนาดใหญ่มากทีเดียว ถ้าแผ่นศิลาสามารถใช้แทนหลอดไฟได้ เช่นนั้นมันจะต้องเป็นประโยชน์ต่อชาวเมืองเนเวอร์วินเทอร์อย่างมากแน่นอน


‘ไม่ใช่ว่าไม่ได้เพคะ เพียงแต่มันยุ่งยากอย่างมาก ฝ่าบาทลองดูนี่เพคะ’ เธอหยิบหินตัวอย่างขึ้นมาสองก้อน เห็นได้ชัดว่านี่คือเศษแผ่นศิลาที่ผ่านการตัดมาแล้วสองครั้ง ชิ้นหนึ่งบางเหมือนกระดาษ อีกชิ้นหนึ่งมีขนาดประมาณก้อนเต้าหู้ เซลีนบีบพวกมันพร้อมกัน ตัวอย่างทั้งสองชิ้นส่องแสงออกมาทันที หินที่เป็นแผ่นบางๆ นั้นส่องแสงค่อนข้างจ้า ส่วนหินที่เป็นก้อนหนาๆ นั้นให้แสงสว่างพอๆ กับหินเวทมนตร์ หลังผ่านไปสิบกว่าวินาที แสงจากหินแผ่นบางพลันดับลง ส่วนหินก้อนหนายังคงส่องแสงต่อไปอีกครึ่งนาทีก่อนจะดับลง ‘หม่อมฉันใช้แรงกดเท่ากันทั้งสองข้าง’·


โรแลนด์เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที “ระดับความสว่างและระยะเวลาในการให้ความสว่างของพวกมันมีความสัมพันธ์กับลักษณะรูปร่างและขนาดพื้นที่ของร่างกายของพวกมัน”


‘ถูกต้องเพคะ’ เซลีนพยักหนวดหลัก ‘เศษชิ้นส่วนของแผ่นศิลาไม่สามารถส่องแสงไปได้ตลอด ขนาดยิ่งเล็กก็จะยิ่งดับไว ถึงแม้หลังจากนั้นมันจะส่องแสงออกมาได้อีก แต่ก็จำเป็นต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน ถ้าหม่อมฉันอยากจะใช้มันมาให้ความสว่างทั้งโถงใต้ดินนี้ เกรงว่าหม่อมฉันคงต้องใช้แผ่นศิลาที่มีความสมบูรณ์หลายร้อยแผ่นเลย แถมบนแผ่นศิลาแต่ละแผ่นก็ต้องว่างแผ่นเหล็กหนักหลายร้อยกิโลเอาไว้ หลังจากแสงหมดไปแล้วก็ยังต้องย้ายแผ่นเหล็กออกไปอีก ถ้าเอาทั้งสองอย่างมาประกบเข้าด้วยกัน มันจะต้องเป็นของชิ้นใหญ่อย่างมากแน่นอนเพคะ’·


ถ้าใช้มันเป็นแหล่งให้แสงสว่าง แล้วใช้รอกเพื่อเพิ่มน้ำหนักของตัววัตถุที่ใช้กดทับ มันก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่พอใช้ได้ ถึงแม้จะค่อนข้างยุ่งยากหน่อย โรแลนด์มองไปทางเศษหินที่ใช้แสงสว่างจนหมดไป ภายในใจเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่….ขนาดยิ่งเล็กก็ยิ่งเปลี่ยนรูปร่างได้ง่าย แต่ช่วงเวลาที่มันจะส่องแสงก็จะน้อยอย่างมากเช่นเดียวกัน ไม่ได้ต่างอะไรกับการสว่างวาบขึ้นมาแล้วหายไปเลย


เดี๋ยวๆ สว่างวาบขึ้นมาแล้วหายไป?


ตาเขาเป็นประกายทันที


สำหรับการพัฒนา ‘แผ่นศิลา’ อาจจะต้องใช้เวลาอีกนาน แต่ว่าตอนนี้เขามีวิธีการใช้ที่เหมาะสมอย่างมากวิธีหนึ่ง


ปัญหานี้กวนใจกองทัพที่หนึ่งมาเป็นเวลานานแล้ว แถมในอนาคตอันใกล้ ปัญหาที่ว่านี่ก็จะยิ่งเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ


แต่ตอนนี้ เขาเหมือนจะมีโอกาสที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้แล้ว


นั่นคือ ‘เส้นนำทาง’ ของการยิงปืน —– กระสุนส่องวิถี


………………………………………………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)