Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1121-1126
ตอนที่ 1121 ผลงานชิ้นเอก
โดย
Ink Stone_Fantasy
“หาา…” ซิมบาดี้ทำหน้าเหยเกขึ้นมา ไม่ชอบฉวยโอกาสเอาผลประโยชน์จากคนอื่น? ต่อให้เป็นเผ่าเล็กๆ คนส่วนใหญ่ก็รู้ถึงชื่อเสียงของชาวฟยอร์ดดี ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้เชี่ยวชาญในการล่องทะเลทุกคน แต่พวกเขาแทบทุกคนต่างเป็นพ่อค้ามาแต่กำเนิด ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นพวกที่มองผลประโยชน์เป็นอันดับแรกด้วย
ในเมืองไอรอนแซนด์มีเรื่องเล่าตลกๆ เกี่ยวกับชาวโมเกนที่ถูกหลอกอยู่ไม่ค่อย ชาวทะเลทุกคนต่างรู้ดีว่าต้องระมัดระวังอย่างมากเวลาที่พูดคุยกับคนฟยอร์ด และเรื่องที่เกิดขึ้นที่ท่าเรือเรฟเวลรี่ก็ยิ่งเป็นการย้ำชัดในจุดนี้ เมื่อเจอกับคำพูดของอีกฝ่าย ซิมบาดี้ไม่คิดที่จะเชื่อเลยแม้แต่คำเดียว “พูดจบยัง? ข้ายังมีงานต้องทำอีก เจ้าไปหาคนอื่นเถอะ”
พอพูดจบซิมมาบี้ก็ส่งสายตาไปทางมอลลี่เพื่อบอกให้เธอตามมา
“เดี๋ยวๆ!” ริคส์รีบตะโกน “ไม่ได้ทำฟรีนะ ข้ายินดีจ่ายค่าจ้างเป็นเหรียญทอง ไม่ว่าสุดท้ายจะได้อะไรกลับมาหรือไม่!”
“ซิมบาดี้ เจ้าฟังเขาพูดให้จบก่อนสิ” มอลลี่คว้ามือของเขาไว้ “ข้าคิดว่าของที่เขาทำมันสุดยอดจริงๆ นะ ดูแล้วไม่เหมือนกับพวกคนหลอกลวงเลย”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่มาจากฝ่ามือของอีกฝ่าย ซิมบาดี้พลันรู้สึกใจเต้นขึ้นมา “แต่ว่า…”
“10 เหรียญทอง! ขอเพียงเจ้าบอกตำแหน่งให้ข้ารู้ ข้าจะให้เจ้า 10 เหรียญทอง!” น่าจะเป็นเพราะอยากจะพิสูจน์ให้เห็นว่าตัวเองไม่ได้โกหก ริคส์จึงหยิบเงิน 1 เหรียญทองออกมาจากในกระเป๋า “นี่คือเงินมัดจำ! ถ้าเจ้าช่วยข้าจนจบงาน ข้ายินดีที่จะจ่ายให้เจ้าอีก 20 เหรียญทอง ว่ายังไง!”
ซิมบาดี้ตกตะลึงไปทันที การที่ทำให้ชาวฟยอร์ดยอมจ่ายเงินก่อนที่จะเห็นสินค้าได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ยิ่งไปกว่านั้นเงินค่าจ้างรวม 30 เหรียญทอง? หลังคิดคำนวณในใจอยู่ครู่ เขาก็รู้ว่านี่มันเป็นเงินจำนวนมหาศาลแค่ไหน ถ้าทำงานกินเงินเดือนไปเรื่อยๆ เกรงว่าทำไปสิบปีก็ยังไม่ได้เงินเยอะเท่านี้เลย
“ข้าเองก็อยากจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้เด็กๆ ในเผ่า…” มอลลี่กระพริบตาปริบๆ
เมื่อเจอกับการโจมตีจากสองด้านแบบนี้ ในที่สุดซิมบาดี้จึงยอมแพ้ “เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว แต่ถ้าเจ้ากล้าหลอกข้าล่ะก็….”
“พวกเจ้าไม่ต้องเสียอะไรเลยนะ” ริคส์ดีดเหรียญทองมาให้ซิมบาดี้ “แค่พูดไม่กี่ประโยคก็ได้ไปแล้ว 1 เหรียญทอง ไม่มีการค้าขายไหนจะคุ้มเท่านี้แล้ว”
ชาวฟยอร์ดนี่เก่งเรื่องโน้มน้าวใจคนจริงๆ ด้วย ซิมบาดี้รับเอาเงินที่ลอยมา “เจ้าอยากจะรู้อะไร? ทำไมมอลลี่ถึงมาอยู่กับเจ้าได้? ชื่อเสียงที่เจ้าว่ามันหมายถึงอะไร?”
“อันนี้ต้องเล่าตั้งแต่ต้น” ริคส์กระแอมเล็กน้อย “พวกเราเดินไปคุยไปดีไหม เรื่องแรกที่ข้าอยากถามก็คือ พวกเจ้าคิดยังไงกับทะเล?”
“คิดยังไง?” เขาลังเลเล็กน้อย “มารดาของสามเทพ สถานที่ที่ให้กำเนิดสรรพสิ่ง แล้วก็…เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา”
“ข้าคิดว่ามันลึกลับ” มอลลี่พูดอย่างตื่นเต้น “ไม่มีใครรู้ว่ามันกว้างเท่าไร ลึกเท่าไร แม้แต่ดินแดนทางใต้สุดก็ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ยังไม่เคยมีใครไปเหยียบเลย ถ้าเปลี่ยนเป็นทะเล เกรงว่าต่อให้เป็นอีกพันปีข้างหน้าก็คงยังสำรวจไม่หมดล่ะมั้ง?”
“พวกเจ้าพูดถูก แต่ว่าสำหรับชาวฟยอร์ดแล้ว ทะเลนั้นเป็นเหมือนกับ….คลังสมบัติ” ริคส์พูดยิ้มๆ “ก้นทะเลมีสมบัติจำนวนนับไม่ถ้วนนอนรออยู่ มีทั้งเงินทองเป็นลังๆ แล้วก็มีวัตถุโบราณที่หายสาบสูญไป…พวกมันไม่มีอะไรมาปกป้อง ได้แต่นอนรอให้พวกเราไปเก็บเท่านั้น การที่เราจะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ดังนั้นถ้าใครมีคลังสมบัติอันนี้ คนๆ นั้นก็จะกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก!”
“พูดง่ายๆ” ซิมบาดี้เบะปาก “ไม่มีอะไรป้องกันงั้นเหรอ? ทะเลก็คือโล่ที่แข็งแกร่งที่สุดของสมบัติพวกนั้นนั่นแหละ เจ้าไม่ใช่ปลา แล้วจะลงไปใต้ทะเลได้ยังไง”
“ถูกต้อง นั่นแหละคือปัญหา!” น้ำเสียงของริคส์ฟังดูตื่นเต้น “คติประจำสมาคมของแปลกก็คือทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ครั้งนี้ข้าจะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่าสมาคมของแปลกนั้นไม่ใช่คนบ้า แล้วก็ไม่ใช่สมาคมของคนขี้ขลาด! ถึงแม้พวกข้าจะไม่ใช่นักสำรวจ แต่พวกข้าก็มีประโยชน์ไม่น้อยไปกว่าพวกเขา…ไม่สิ น่าจะมีประโยชน์มากกว่าพวกเขาด้วย!”
“ข้าไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเจ้า…”
“สิ่งประดิษย์ที่ยิ่งใหญ่ชิ้นหนึ่ง” ริคส์เผยความลับออกมาอย่างตื่นเต้น “ข้าเรียกมันว่า ‘ชุดดำน้ำ’ ถ้ามีมัน มนุษย์เราก็จะดำลงไปในน้ำได้เป็นเวลานานเหมือนกับปลา!”
“อะไรนะ?” ซิมบาดี้พูดอย่างตกใจ
“ตอนที่ข้างมหอย ข้าเห็นพวกเขาดำอยู่ในน้ำเป็นเวลานานมาก นานเกินกว่าที่คนธรรมดาจะกลั้นหายใจได้” มอลลี่พูดเสริม “ข้าก็เลยเดินเข้าไปถามพวกเขาว่ากำลังทำอะไร”
นี่แท้มอลลี่เป็นคนเข้าไปหาพวกเขางั้นเหรอ…เขารู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ตอนนั้นข้าเองก็รู้สึกแปลกใจ เพราะว่ากันว่าชาวทะเลทรายนั้นไม่ค่อยชอบทะเลซักเท่าไร” ริคส์พูดต่อ “หลายวันมานี้ข้าพยายามทำการทดสอบดำน้ำ ผลที่ออกมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก มันจะต้องเปลี่ยนแปลงโลกแห่งการจับปลาแน่นอน แล้วก็ทำให้ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการสำรวจแบบใหม่นี้ได้!”
“ในเมื่อสำเร็จแล้ว อย่างนั้นเจ้าจะมาหาข้าทำไมอีก?” ซิมบาดี้พยายามสะกดความคิดฟุ้งซ่าน ก่อนจะถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ
“แค่กๆ…คืออย่างนี้ คุณซิมบาดี้ สิ่งเดียวที่ชุดดำน้ำขาดอยู่ก็คือชื่อเสียง การประกาศมอบรางวัลของฝ่าบาทวิมเบิลดันครั้งนี้คือโอกาสที่ดีที่สุด ดังนั้นข้าจำเป็นต้องรีบหาสมบัติที่แท้จริงให้ได้ก่อนคนอื่นๆ แล้วก็ต้องเป็นสมบัติที่ทำให้ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลสนใจได้” วิคเตอร์กำหมัดแน่น “ถ้าข้าได้รับการอวยยศจากฝ่าบาทเมื่อไร เมื่อนั้นก็จะมีคนจำนวนมากต่อแถวแย่งกันซื้อสิ่งประดิษฐ์ของข้าแน่นอน!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ริคส์พลันชะงักไปเล็กน้อย “แต่พวกข้าไม่รู้ว่าสมบัติซ่อนอยู่ตรงไหน ในประกาศของฝ่าบาทก็ไม่ได้บอกเอาไว้ว่าต้องการของอะไร ในนั้นบอกเพียงว่าอะไรก็ตามที่ดูเหมือนของโบราณก็ได้ทั้งนั้น เห็นได้ชัดว่าของที่ทำให้ฝ่าบาทสนใจได้นั้นมีอยู่แค่ไม่เท่าไร พระองค์ไม่มีทางสนใจพวกของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่หามาได้จากหลุมทรายหรือปะการังแน่นอน ด้วยเหตุนี้พวกข้าจึงไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยได้แต่ไปดำน้ำหาตามชายฝั่ง แต่ในตอนนั้นเอง คุณหนูมอลลี่ก็ได้นำเอาแสงสว่างมาให้พวกข้า นางบอกว่าเจ้าเคยเห็นถ้ำแปลกๆ อยู่แห่งหนึ่ง ในตอนกลางคืนที่ไม่มีแสงจันทร์จะมองเห็นแสงสว่างมาจากใต้น้ำ ข้าก็เลยอยากรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน!”
นี่ก็หมายความว่าเหตุผลหลักๆ ที่ชาวฟยอร์ดแห่กันมาที่นี่ก็คือชีค ซิมบาดี้คิดอย่างปวดหัว “ข้าก็แค่เจอมันโดยบังเอิญเท่านั้น มันอยู่ด้านล่างของหน้าผาแห่งหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นมีแต่ตอนที่น้ำลดถึงจะพอมองเห็นปากถ้ำได้ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นมันก็ยังอยู่ลึกจากผิวน้ำทะเลอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีใครรู้ด้วยว่ามันลึกเท่าไร ด้านในมีอะไร บางทีมันอาจจะเป็นแค่ถ้ำธรรมดาก็ได้ ส่วนแสงนั้นก็มาจากแมงกะพรุนเท่านั้น”
“วางใจได้ ต่อให้หาอะไรไม่เจอ ข้าก็ยังจะจ่ายค่าจ้างให้เจ้าตามสัญญา” ริคส์ตอบ
ในขณะที่พูด ทั้งสามคนก็มาถึงหาดทรายที่ไม่มีคนแห่งหนึ่งด้านนอกท่าเรือ
แต่ว่าในเวลานี้ตรงหาดทรายกลับมีคนยืนอยู่เต็มไปหมด
“คนพวกนี้คือกะลาสีเรือที่ข้าจ้างมา ไม่เกี่ยวกับการทดลอง หลักๆ แล้วพวกเขาทำงานเล็กๆ น้อยๆ ทั่วไป” ริคส์พูดแนะนำ “ผู้ช่วยที่แท้จริงของข้ามีอยู่แค่สองคนเท่านั้น อายมาคส์กับทอลแฮท พวกเขาเป็นทั้งผู้ช่วยข้า แล้วก็เป็นสมาชิกของสมาคมของแปลกด้วย”
เป็นชื่อที่แปลกจริงๆ ด้วย…ซิมบาดีมองดูชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ตรงกลุ่มคน สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่บนชุดพิเศษที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา
มันมีหมวกโลหะขนาดใหญ่ ดูแล้วไม่เข้ากับขนาดของร่างกายเลย เสื้อกับกางเกงเหมือนจะเชื่อมต่อเป็นชุดเดียวกัน ดูแล้วเหมือนจะสวมใส่ค่อนข้างยากลำบาก แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตามากที่สุดก็คือท่อสองเส้นที่ยื่นออกมาจากในหมวก พวกมันเหมือนกับหนวดที่อยู่บนหัวกุ้ง แต่ความยาวกลับยาวจนน่าตกใจ ปลายสุดของท่อเชื่อมต่อเข้ากับเครื่องจักรสีดำขนาดใหญ่เครื่องหนึ่ง
ซิมบาดี้เคยเห็นเครื่องจักรแบบนี้บนเรือของเนเวอร์วินเทอร์ พวกลูกเรือเรียกมันว่าเครื่องจักรไอน้ำ
“นั่นคือ….”
“ถูกต้อง” ริคเตอร์พูดอย่างภาคภูมิใจ “มันคือ ‘ชุดดำน้ำ’ ผลงานชิ้นเอกของข้า!”
ตอนที่ 1122 ก้าวไปสู่ทะเลลึก
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากนั้นสามวัน
ซิมบาดี้ยืนอยู่บนกระเช้าที่ค่อยๆ ขึ้นมาจากทะเล
“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” ซิมบาดี้เพิ่งจะถอดหมวกอันหนักอึ้งออก มอลลี่ก็รีบวิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าดีใจ “โลกใต้น้ำเป็นยังไงบ้าง?”
ก็ไม่ได้ดีไปกว่าทะเลทรายเท่าไร ถึงแม้ด่านล่างทะเลจะมีสิ่งมีชีวิตกับพืชแปลกๆ อยู่เยอะแยะมากมาย แต่ความรู้สึกมันไม่ได้สบายเหมือนอย่างทะเลทรายเลย ทุกครั้งที่ลงไปในทะเล เขามักจะรู้สึกเหมือนถูกกลืนกิน ความรู้สึกกดดันที่อยู่รอบตัวทำให้เขายากที่จะเดินไปข้างหน้าได้ แม้แต่หายใจก็ยังลำบาก ถึงแม้ในใจซิมบาดี้จะคิดเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นสายตาที่กำลังรอคอยคำตอบของมอลลี่ เขาก็ต้องกลืนความคิดเหล่านั้นลงไป “ก็…วิวข้างล่างสวยมากเลยล่ะ”
“ดีจัง…ถ้าข้าได้ลงไปบ้างก็คงจะดี” มอลลี่ถอนใจออกมา
เมื่อมองดูดวงตาสีน้ำเงินอ่อนของเธอ ซิมบาดี้พลันนึกขึ้นมาได้ เมื่อหนึ่งปีก่อน ตอนที่ชาวเผ่าออกเดินทางมาจากท่าเรือเคลียร์วอเทอร์มุ่งหน้ามายังทางใต้สุดของทะเลทราย เธอเองก็มีสีหน้าแบบนี้เหมือนกัน ทั้งๆ ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่แปลกหน้า แต่เธอก็ยังมีใจมานั่งปลอบตัวเขาอยู่ ในกลุ่มคนที่กำลังหวาดวิตก เธอดูแล้วเหมือนกับเป็นตัวประหลาดอย่างไรอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าทำไม เขาแอบรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
“ทำได้ดีมาก เจ้าทำให้ข้ารู้สึกตกใจจริงๆ” จากนั้นก็เป็นริคส์ที่ถูกดึงขึ้นมาจากน้ำ เขาปรบมือพร้อมเดินลงมาจากกระเช้า “การทรงตัว การใช้อากาศ ระดับความนิ่ง การรับรู้ทิศทาง เจ้ามีคุณสมบัติทุกอย่างที่ต้องใช้ในการดำน้ำ นี่เป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวชาวทะเลทรายมาแต่กำเนิดหรือว่าเป็นตัวเจ้าที่ถนัดเรื่องพวกนี้กันแน่? ขอโทษที่ข้าละลาบละล้วงนะ แต่ตอนที่คุยกับคุณหนูมอลลี่ นางบอกว่าเจ้าไม่ใช่นักรบที่แข็งแกร่งในเผ่า”
มอลลี่หันมาแลบลิ้นให้ซิมบาดี้ ก่อนจะหมุนตัววิ่งไปคุยกับผู้ช่วยของริคส์
“ในโอเอซิสที่เผ่าฟิชโบนอาศัยอยู่มีสระน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ตอนเด็กๆ ทุกคนมักจะชอบไปดำน้ำแข่งกันว่าใครดำได้ลึกที่สุด ข้าก็เลยพอจะมีประสบการณ์อยู่บ้าง…” ซิบบาดี้พูดอย่างจนปัญญา “แต่นางก็พูดถูก ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ข้าก็ไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่า ถ้าเป็นคาร์โลนล่ะก็ ไม่แน่เขาอาจจะใช้เวลาแค่วันเดียวก็ได้”
“คาร์โลน? เขาเป็นใคร?”
“เด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการล่าสัตว์หรือการต่อสู้ เขาก็ล้วนแต่เก่งไม่แพ้คนของเผ่าใหญ่ๆ เลย แต่เขามาทำงานที่นี่เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ตอนนี้น่าจะกำลังทำงานอะไรบางอย่างอยู่ที่ท่าเรือเคลียร์วอเทอร์ล่ะมั้ง…ต่อให้เจ้าอยากจะไปหาเขามันก็สายไปแล้ว”
“งั้นเหรอ” ริคส์ยักไหล่ “แต่ข้ากลับคิดว่ามันก็ไม่แน่”
“ไม่แน่อะไร?”
“ไม่แน่ว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าเจ้าในเรื่องนี้” ริคส์ค่อยๆ ถอดชุดดำน้ำออก “ถ้าอยากจะดำลึกลงไปใต้ทะเล เรื่องเทคนิคนั้นไม่ใช่สิ่งแรกที่ต้องมี สิ่งแรกที่เจ้าต้องมีก็คือใจที่เปิดกว้าง”
“ใจ…ที่เปิดกว้าง?” ซิมบาดี้งุนงง
“การยอมรับสิ่งใหม่ๆ การเอาชนะตัวเอง นี่เป็นความแตกต่างกันระหว่างทะเลกับบ่อน้ำ” เขามองไปทางท่าเรือเรฟเวลรี่ “ที่นี่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่คาร์โลนที่เจ้าว่าคนนั้นกลับยอมมาที่นี่เพียงแค่ครั้งเดียว เพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว เขาก็เทียบเจ้าไม่ติดแล้ว ถ้าคนที่ข้าไปหาคือเขา ข้าอาจจะไม่มีทางพูดกล่อมให้เขาสวมชุดดำน้ำนี่ได้ก็ได้”
ซิมบาดี้กรอกตาใส่เขา “ถ้าไม่เป็นเพราะมอลลี่บอกว่าอยากลองสวมชุดนี่ดูมั่งล่ะก็ ข้าก็ไม่มีทางรับปากเจ้าหรอก”
เดิมเขาคิดจะมาอีกฝ่ายไปดูตำแหน่งถ้ำ จากนั้นก็รับเงิน 10 เหรียญทองแล้วก็ไป ส่วนเรื่องนี้อีกฝ่ายจะทำยังไงกับถ้ำนั้นเขาไม่ได้สนใจเลย แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามอลลี่จะให้ความสนใจกับชุดประหลาดนั่นอย่างมาก หลังรู้ว่าริคส์ต้องการผู้ช่วยคนหนึ่ง เธอก็รีบยกมืออาสาในทันที
เมื่อไม่รู้จะทำเช่นไร ซิมบาดี้จึงได้แต่ต้องตอบตกลงที่จะช่วยสมาคมของแปลก ก่อนจะพิสูจน์ได้ว่าชุดดำน้ำนี่อันตรายหรือไม่ เขาไม่มีทางปล่อยให้มอลลี่มาเสี่ยงด้วยตัวเองแน่ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องอยู่กับชาวฟยอร์ดสองต่อสองอีก ถึงแม้จะรู้ว่าช้าเร็วก็ต้องมีวันที่เธอลงไปในน้ำ แต่อย่างน้อยความเสี่ยงที่มีมันก็ลดลงไปมาก
“ฮ่าๆๆๆ” ริคส์หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ “แต่เจ้าก็ก้าวข้ามมันมาสู่โลกใบใหม่ได้ไม่ใช่เหรอ? บางทีอาจจะเป็นเพราะแบบนี้ มอลลี่ถึงได้ชอบอยู่กับเจ้า”
“เดี๋ยวๆ เจ้า…เจ้าพูดอะไรของเจ้า?”
“ทำไม เจ้าไม่สังเกตเหรอ?” เขาผายมือ “เวลาที่สาวน้อยคนนั้นพูดกับข้า ชื่อของเจ้าหลุดออกมาจากปากของนางบ่อยมากๆ นางบอกว่าตอนเด็กๆ เจ้าไม่ใช่คนกล้าหาญอะไร แล้วก็มักจะถูกคนอื่นรังแกจนร้องไห้บ่อยๆ แต่เจ้ากลับมีความอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก แต่พอโตขึ้น ความอยากรู้อยากเห็นเหล่านั้นกลับหายไปไม่น้อย แล้วก็เป็นคนเงียบขึ้นด้วย”
มุมปากซิมบาดี้กระตุกขึ้นมา “นางเล่า…ให้เจ้าฟังหมดเลยเหรอเนี่ย”
“น่าจะเป็นเพราะข้าเป็นคนนอก นางก็เลยสบายใจที่จะคุยด้วยล่ะมั้ง” ริคส์แสยะยิ้ม “ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องวัฒนธรรมของชาวทะเลทรายหรอกนะ จริงอยู่ที่ความแข็งแกร่งอาจเป็นสิ่งสำคัญ แต่บางทีเจ้าอาจจะดูถูกตัวเองมากเกินไป”
“เจ้าไม่รู้อะไรเลย” ซิมบาดี้ส่งเสียงเหอะอยู่ในลำคอ
ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่ภายในใจเขากลับไม่ได้มีความรู้สึกแย้งเท่าไร ความจริงแม้แต่ตัวเขาก็คิดว่ามันน่าเหลือเชื่อเหมือนกัน ในระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน เขากลับสนิทสนมกับคนฟยอร์ดมากขนาดนี้ ตอนแรกเห็นๆ อยู่ว่าเขาพยายามปฏิเสธที่จะช่วยเหลืออีกฝ่ายเพราะไม่ต้องการให้มอลลี่ได้อยู่ใกล้ชิดกับอีกฝ่าย
เมื่อมาคิดอย่างละเอียดดูแล้ว ซิมบาดี้พบว่าคำพูดและการกระทำของอีกฝ่ายนั้นไม่ได้มีความดูถูกตัวเองเลย พอได้อยู่ด้วยกันก็มีความรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด เมื่อเทียบกับขุนนางทางเหนือและพ่อค้าของฟยอร์ดแล้ว นี่เรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างมาก น่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ มอลลี่ถึงได้ชอบไปที่ค่ายของสมาคมของแปลกบ่อยๆ
หลังลังเลอยู่ครู่ เขาจึงหันไปถามคำถามนี้กับริคส์
“เจ้าถามว่าทำไม…” อีกฝ่ายครุ่นคิด “ก็ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรอก เพราะว่าการดูถูกอะไรนั้น พวกข้าเจอมาเยอะแล้ว”
เจอ…มาเยอะ? ซิมบาดี้ตกตะลึง คนที่สามารถจ่ายเงิน 30 เหรียญทองได้สบายๆ ไม่ว่าดูยังไงก็ต้องเป็นคนที่ฐานะไม่ธรรมดาแน่? แล้วจะโดนดูถูกได้อย่างไร? เพียงแต่เขายังไม่ทันได้ถามต่อ ผู้ช่วยคนหนึ่งก็เดินเข้ามา “อาจารย์ อุปกรณ์ทำการปรับเรียบร้อยแล้ว การทดสอบจริงพร้อมเริ่มทุกเมื่อขอรับ”
“ว่ายังไง?” ริคส์ถามเขา “สำหรับเจ้าแล้ว การดำน้ำไม่ใช่เรื่องแปลกแล้วใช่ไหม?”
เขาได้แต่ต้องสะกดความสงสัยเอาไว้ในใจ “ขอเพียงชุดที่เจ้าทำขึ้นมาไม่มีปัญหาก็พอ”
“แน่นอน ข้าศึกษามันมาเกือบสิบปีแล้ว เพื่อให้มั่นใจว่ามันจะไม่มีปัญหา ข้าจึงเอาสมบัติแทบจะทั้งหมดของข้าทุ่มไปกับมัน…”
“อะไรนะ?”
“แค่กๆๆ เปล่า ไม่มีอะไร อย่าสนใจเลย” ริคส์เบือนหน้าหนีไป “ถ้าอย่างนั้น ข้าขอประกาศให้เข้าไปในถ้ำหลังเที่ยง และเริ่มสำรวจครั้งแรกอย่างเป็นทางการ!”
…..
เหตุเพื่อที่เลือกสำรวจในเวลาเที่ยงนั้นง่ายมาก ในเมื่อท่อส่งอากาศมีความยาวมากพอแล้ว เช่นนั้นทัศนวิสัยที่ดีขึ้นกลายเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกของการดำน้ำ และในเวลานี้พระอาทิตย์ก็อยู่เหนือหน้าผาพอดี ก้นทะเลที่ความลึก 50 กว่าเมตรยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถ้ำที่อยู่ตรงกลางหน้าผาเลย
แต่ถ้าหากไปรอให้น้ำลดตอนเย็นแล้วค่อยเข้าไปสำรวจ แบบนั้นกลับจะหลงทางได้ง่ายกว่า
“ข้าจะรอเจ้าอยู่ตรงปากทางเข้า” ริคส์สวมหมวกดำน้ำพร้อมกับชูนิ้วโป้งให้ ก่อนจะขึ้นกระเช้าแล้วลงไปในทะเลเป็นคนแรก
หลังผ่านไปประมาณ 7 – 8 นาที ผู้ช่วยก็หันมาพยักหน้ากับซิมบาดี้ “ตาเจ้าแล้ว”
ซิมบาดี้สูดหายใจ ก่อนจะสวมหมวกอันหนักอึ้งไว้บนหัว มอลลี่เดินเข้ามาช่วยเขาล็อกหมวก จากนั้นก็ตะโกนใส่หมวกว่า “สู้ๆ นะ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่!”
เขาจ้องมองไปในตาของเธอ ก่อนจะหมุนตัวขึ้นกระเช้าไป
เสียงร้องของเครื่องจักรไอน้ำดังขึ้นมา ซิมบาดี้ค่อยๆ เลื่อนลงไปด้านล่าง ผิวน้ำทะเลสีน้ำเงินค่อยๆ เลื่อนเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ มีชั่วแวบหนึ่งที่เขารู้สึกว่าทะเลเป็นฝ่ายเข้ามาหาเพื่อจะกลืนกินเขาเข้าไป
ความรู้สึกหวาดกลัวที่เขาคุ้นเคยปรากฏขึ้นในใจอีกครั้ง
แต่เมื่อผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เขาก็ปรับสภาพจิตใจได้
‘ยอมรับสิ่งใหม่ๆ เอาชนะตัวเอง’
สิ่งที่ปรากฏขึ้นในหัวของเขา นอกจากจะมีดวงตาที่เปล่งประกายของมอลลี่แล้ว ยังมีคำพูดของริคส์ด้วย
ซิมบาดี้ถอนใจออกมา ก่อนจะยอมรับอ้อมกอดของท้องทะเล
พริบตานั้นเอง ทั่วทั้งโลกกลายเป็นสีน้ำเงิน แสงอาทิตย์สาดลงมาจากด้านบนเหมือนกับงูสีทองที่แหวกว่ายไปมาจำนวนนับไม่ถ้วน
หลังเลื่อนลงไปได้ 20 เมตร กระเช้าก็หยุดเคลื่อนไหว
ปากทางเข้าถ้ำลึกที่เหมือนจะมีกระแสน้ำเย็นไหลออกมาปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
ตอนที่ 1123 โลงศพที่อยู่ใต้ดิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ริคส์ที่รออยู่ก่อนแล้วชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว นิ้วหนึ่งชี้ขึ้นไปด้านบน อีกนิ้วหนึ่งชี้เข้าไปในถ้ำ
ซิมบาดี้ทำมือเพื่อบอกว่าเข้าใจ
อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในถ้ำ
เขาเงยหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะมองเห็นท่ออากาศที่ลอยอยู่เหนือหัวของอีกฝ่าย การเดินไปมาในน้ำอยู่สามวันนอกจากจะเพื่ือทำความคุ้นเคยกับการใช้งานชุดดำน้ำแล้ว เขายังต้องเรียนรู้เรื่องสัญญาณมือและรายละเอียดขั้นตอนในการดำน้ำด้วย หนึ่งในนั้นก็คือการตรวจสอบดูสภาพของท่ออากาศอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้คนสองคนในการดำน้ำ
ในฐานะที่เป็นเครื่องสำหรับช่วยหายใจ ปลายอีกด้านหนึ่งของท่อหนังนั้นเชื่อมต่ออยู่กับปั๊มของเครื่องจักรไอน้ำ ท่อเส้นหนึ่งใส่อากาศเข้าไป ท่ออีกเส้นหนึ่งก็สูบอากาศออก ทำให้อากาศภายในหมวกไหลเวียนได้อย่างสะดวก ถ้าท่อเส้นไหนเกิดความเสียหาย ผลที่ตามมาเขาเองก็ไม่กล้านึกถึง ด้วยเหตุนี้ในเวลาที่ต้องเดินทางพื้นที่ที่มีความซับซ้อน เขาต้องคอยระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ
เมื่อเห็นด้านบนถ้ำไม่มีอะไรที่จะเป็นอันตรายต่อท่อส่งอากาศ ซิมบาดี้จึงเดินเข้าไปในถ้ำ
เสียงคลื่นที่อยู่ข้างหูหายไปทันที เขาได้ยินเสียงสั่นของเครื่องจักรและเสียงหัวใจของตัวเองอย่างชัดเจน
หลังเดินเข้าไปได้ประมาณสิบกว่าเมตร แสงสว่างก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อมองดูแผ่นหลังของริคส์ที่ดูเลือนราง เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินเข้าไปในนรก
ทันใดนั้นเอง พื้นใต้เท้าเขาพลันเอียงขึ้น จากพื้นเรียบๆ กลายเป็นเนินชันเล็กน้อย
ไม่ถึงสิบนาที ซิมบาดี้ก็มองเห็นผิวน้ำทะเลอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ได้ส่องประกายสีทองแล้ว หากแต่สงบนิ่งเหมือนยามค่ำคืน
เมื่อค่อยๆ เดินตามริคส์ขึ้นสู้ผิวน้ำ ซิมบาดี้ก็กลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว เขามองเห็นถ้ำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้า เค้าโครงส่วนใหญ๋ของมันจมอยู่ในความมืด มีเพียงเพดานถ้ำที่มีแสงสีเงินที่สะท้อนมาจากผิวน้ำส่องประกายวิบวับๆ
ถ้ำใต้น้ำนี่มีทางเชื่อมเข้ามาด้านในด้วยเหรอเนี่ย?
เขาออกแรงปีนขึ้นมาจากในน้ำ ในขณะที่เตรียมจะถอดหมวดออก ริคส์กลับมาห้ามเขาไว้
ริคส์หยิบเอาตะเกียงกันน้ำออกมาจากตรงเอว หลังจุดไฟแล้วก็เดินสำรวจอยู่ครู่ก่อนจะถอดหมวกออก “ฟู่วว..ดูเหมือนที่นี่จะไม่ได้ตัดขาดจากโลกภายนอก”
“มี…ลมเหรอ?” หลังจากซิมบาดี้ถอดหมวกออก เขาก็สัมผัสได้ถึงลมเย็นๆ ที่พัดผ่านหน้าเขาไป
“อื้อ ในถ้ำน่าจะมีทางออกอื่นอยู่อีก” ริคส์พูดอย่างตื่นเต้น “แบบนี้โอกาสที่เราจะหาสมบัติเจอก็จะยิ่งสูงมากขึ้น โชคของพวกเราดีทีเดียวะเนี่ย”
ซิมบาที่ไม่ได้สนใจเรื่องที่่ว่าจะหาสมบัติเจอหรือไม่เท่าไร สิ่งที่เขาสนใจมากกว่าก็คือความปลอดภัยของถ้ำนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าใต้ทะเลทรายจะมีถ้ำแบบนี้อยู่ นี่มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ ความลึกที่พวกเขาลงมาก็ไม่เกิน 20 เมตร ต่อให้มีชั้นหินรองอยู่ แต่ก็คงไม่ได้หนาเท่าไร ทรายนุ่มๆ พวกนั้นมันรองรับน้ำหนักไว้ด้วยเหรอ? เพดานถ้ำจะถล่มลงมาหรือเปล่า? คำถามเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเท่าไร
เอาไว้ออกไปแล้ว ไปบอกคนของเกรย์คาสเซิลจะดีกว่า ซิมบาดี้คิดในใจ ถึงแม้จะรู้สึกผิดต่อสมาคมของแปลกอยู่บ้าง แต่ที่นี่อยู่ห่างจากท่าเรือเรฟเวลรี่ไม่เท่าไร เขาไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
“ลมเหมือนจะมาจากทางนั้น” ริคส์วางหมวกไว้ริมน้ำ ก่อนจะยกตะเกียงขึ้นมา “พวกเราไปดูกันเถอะ”
ซิมบาดี้ได้แต่ต้องชักมีดที่อยู่ข้างเอวออกมา แล้วค่อยๆ เดินตามเข้าไป
แต่เมื่อเดินลึกเข้าไป เขาก็ยิ่งเกิดความรู้สึกแปลกใจมากขึ้น
หลังเดินไปได้ไม่นาน พื้นหินที่อยู่ใต้เท้าก็กลายเป็นดินนุ่มๆ จากนั้น จากนั้นทุ่งหญ้าเขียวๆ ก็เข้ามาแทนที่ตะไคร่น้ำลื่นๆ ราวกับว่าที่นี่ไม่ใช่ใต้ดิน หากแต่เป็นโอเอซิสที่อยู่บนซิลเวอร์สตรีมอย่างไรอย่างนั้น
“น่าเหลือเชื่อจริงๆ นี่มีพืชใบเขียวด้วยเหรอเนี่ย” ริคส์อุทานออกมา “ข้านึกว่าใต้ดินที่ไม่มีแสงจะมีแต่พวกเห็กับตะไคร่น้ำซะอีกนะเนี่ย”
“พวกเรา…กลับกันก่อนดีไหม” ซิมบาดี้ลังเล “ข้ารู้สึกว่าที่นี่…”
หลังพูดไปได้ครึ่งเดียว เขาก็ต้องตกตะลึงจนยืนตัวแข็งไปกับที่
“รู้สึกว่าที่นี่ทำไมเหรอ?” หลังรอเสียงตอบอยู่นาน ริคส์จึงหันกลับไปมองดูข้างหลัง “หืม? เจ้ากำลังดูอะไรอยู่น่ะ…ดอกไม้เหรอ?”
ซิมบาดี้รู้สึกลมหายใจของตัวเองกระชั้นขึ้น ตรงข้างเท้าเขามีดอกไม้ที่สวยงามอยู่ดอกหนึ่ง กลีบดอกของมันเป็นสีม่วงอ่อน ใบของมันบางเหมือนปีกจักจั่น เหมือนว่าแค่เด็ดเบาๆ ก็หลุดออกมาได้อย่างไรอย่างไร “นี่มัน…ดอกไม้แห่งเทวทูต…”
“หายากมากเหรอ?”
“ไม่…เมื่อก่อนมันเคยมีอยู่ทุกที่” ซิมบาดี้พูดเสียงเบาๆ “ถึงแม้ข้าจะไม่เคยเห็นมัน แต่ในตำนานที่เกี่ยวข้องเทวทูตของสามเทพบอกว่าดอกไม้ชนิดนี้เติบโตตามริมทะเลจนกลายเป็นเหมือนเชือกสีม่วง แล้วก็เป็นดอกไม้ทะเลที่สวยงามที่สุดในดินแดนทางใต้สุดด้วย”
“ในทะเลทราย…มีดอกไม้ทะเลด้วยหรอ?” ริคส์ถามอย่างแปลกใจ
“ว่ากันว่าเมื่อก่อนนี้ที่นี่ไม่ใช่ทะเลทราย หากแต่มีต้นไม้ ต้นหญ้าและแม่น้ำอยู่เต็มไปหมดเหมือนกับดินแดนทางเหนือ” เขาส่ายหัว “แต่ว่าหลังจากที่เทวทูตของสามเทพจากที่นี่ไป ที่นี่ก็ค่อยๆ แห้งแล้งจนกลายเป็นทะเลทรายเหมือนอย่างทุกวันนี้ แต่ที่ข้าอยากจะพูดไม่ใช่เรื่องนี้ ในบันทึกเกี่ยวกับสามเทพมีคำอธิบายเกี่ยวกับดอกไม้แห่งเทวทูตอย่างละเอียดบันทึกเอาไว้อยู่ ทันทีที่มันเจริญเติบโตแล้ว มันก็จะไม่สามารถย้ายไปที่ไหนได้อีก นี่จึงเป็นสามารถที่ทำให้ในโอเอซิสไม่มีดอกไม้ทะเล พวกมันพวกจะตายไปหมดแล้วถึงจะถูก…”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย” ริคส์จุ๊ปาก “บางทีอาจะเป็นเพราะความแห้งแล้งมันส่งผลมาไม่ถึงถ้ำใต้ดินล่ะมั้ง ดอกไม้แแห่งเทวทูตถึงได้มาโตอยู่ที่นี่”
เป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอ…ความรู้สึกแปลกๆ ภายในใจเขายิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ไม่รู้ว่าทำไม เวลาที่เดินอยู่ในโลกใต้ดินแห่งนี้ เขากลับมีความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินอยู่บนโอเอซิส
ดอกไม้สีม่วงที่อยู่รอบๆ เริ่มแน่นหนาขึ้นมา ดูแล้วไม่เหมือนว่ามันจะบังเอิญมาเจริญเติบโตอยู่ที่นี่เลย
ในขณะที่เขากำลังลังเลว่าจะเดินไปต่อหรือไม่ ใต้เท้าเขาพลันมีเสียง ‘แคร่ก’ ดังขึ้นมา
จากนั้นก็มีแสงสว่างบางๆ ออกมาจากใต้พื้นดินที่อ่อนนุ่ม
“เกิดอะไรขึ้น?” วิคเตอร์ถามอย่างแปลกใจ
“ข้า…ข้าเหมือนเหยียบถูกอะไรเข้า” ซิมบาดี้กลืนน้ำลาย “เหมือนจะเป็นแผ่นไม้”
“หรือว่าเป็นกับดัก?” เขารีบย่อตัวลงไป ก่อนจะใช้มือแหวกต้นหญ้าออก “นี่มัน ฮ่า ฮ่าๆๆ…ฮ่าๆๆๆๆ…”
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะสะท้อนไปทั่วทั้งถ้ำ ซิมบาดี้พลันรู้สึกขนลุกขึ้นมา “มีอะไรน่าขำ เฮ้ เจ้าบอกข้าก่อนว่าข้างล่างมันมีอะไร!”
“ฮ่าๆๆ สมบัติน่ะสิ! พวกเราเจอสมบัติแล้ว!” ริคสพูดอย่างตื่นเต้น “เจ้ารีบดูเร็ว!”
หลังจากที่เขาโกยเอาดินออกไปหมดแล้ว ซิมบาดี้ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าแสงสว่างที่ว่านั้นมาจากสิ่งที่อยู่ใต้เท้าเขา มันเป็น ‘แผ่นศิลา’ ที่จมอยู่ใต้ดิน ด้านบนมีลวดลายอยู่เต็มไปหมดจนดูเหมือนลายนิ้วมืออย่างไรอย่างนั้น แสงสว่างนั้นสาดกระจายออกมาจากกึ่งกลางเท้าเขาจนแผ่นศิลาที่ว่าดูเหมือนกับหยกขาว ถึงแม้มันจะดูเหมือนแข็งแรง แต่สัมผัสของมันกลับเหมือนไม้ผุๆ แค่ออกแรงนิดหน่อยก็กดให้มันเป็นรอยได้แล้ว ดูแล้วไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไรเลย
ที่น่าเหลือเชื่อกว่านั้นก็คือทันทีที่ยกเท้าออก แผ่นศิลาก็จะค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม ขณะเดียวกันแสงสว่างที่ว่าก็จะค่อยๆ หายไปด้วย เหมือนว่าภาพที่เขาเพิ่งเห็นเมื่อครู่นี้เป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดไปเอง
“ยังมีสมบัติอะไรที่น่ามหัศจรรย์กว่านี้อีกเหรอ!” ริคส์เหยียบไปบนแผ่นศิลาซ้ำ ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้นว่า “ถ้าเอามันไปให้ราชาแห่งเกรย์คาสเซิล ฉายานักสำรวจกิตติมศักดิ์จะต้องเป็นของข้าแน่นอน!”
“แต่ว่า…มันใหญ่เกินไป” ซิมบาดี้พูดอย่างลำบากใจ เมื่อดูจากส่วนเล็กๆ ที่โผล่ออกมาจากผิวดิน ขนาดของ ‘แผ่นศิลา’ ทั้งแผ่นน่าจะใหญ่กว่าพวกเขาสองคนรวมกันเสียงอีก การจะเอามันออกไปจากถ้ำนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ทุกปัญหาย่อมมีทางแก่ เราต้องหาทางได้แน่ บางทีพวกเราอาจจะลองไปดูทางออกอีกทางก็ได้…เอ๋?” จู่ๆ ริคส์ก็หยุดเดิน “ตรงนั้นเหมือนจะมีอีกแผ่น”
ซิมบาดี้เดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว ก่อนจะเหยียบเข้ากับ ‘แผ่นศิลา’ ที่เหมือนกันอีกแผ่น ด้วยแสงสว่างที่ส่องออกมา ทำให้เขามองเห็นเค้าโครงสีเทาขาวของมันปรากฏอยู่ท่ามกลางดอกไม้ทะเล
“ตรงนี้ก็มี ตรงนั้นก็มี…” ทั้งสองคนเดินทางแผ่นศิลาเหล่านี้ไปอีกสิบกว่าเมตร ตอนแรกพวกเขาแอบนับจำนวนของมันอยู่ในใจ แต่ไม่นานพวกเขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป
ในเวลาแค่ไม่กี่นาที ดอกไม้แห่งเทวทูตก็ถูกแผ่นศิลาที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กลบจนมิด ไม่ว่าพวกเขาจะเหยียบไปตรงไหนก็จะมีแสงสีขาวสว่างขึ้นมา
จนกระทั่งกำแพงขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา
“พระเจ้า…” ริคด์อุทานออกมาด้วยความตกใจ
ซิมบาดี้เองก็รู้สึกขนลุกเช่นเดียวกัน เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ภายใต้แสงสว่างที่อ่อนโยน เค้าโครงของกำแพงค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า พวกเขาพบว่านั่นมันไม่ใช่ ‘กำแพง’ หากแต่เป็นแผ่นศิลาจำนวนนับไม่ถ้วนที่วางกองกันจนกลายเป็นเหมือนภูเขาขนาดย่อมๆ
ศิลาบางส่วนก็มีแตกหักเสียหาย บางส่วนก็หักไปเกือบครึ่งแผ่น แต่รูปร่างส่วนใหญ่ของพวกมันเป็นเหมือนทรงสี่เหลี่ยม แต่เวลาที่พวกมันวางกองๆ อยู่ด้วยกัน มันกลับให้ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งกับซิมบาดี้
มันเหมือน ‘โลงศพ’ ที่ถูกฝังเอาไว้อยู่
ตอนที่ 1124 รัง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ข้าว่า…เรากลับกันดีกว่า” หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ซิมบาดี้ก็พูดงึมงำขึ้นมา
เขารู้สึกว่าที่นี่มีความแปลกๆ อยู่เต็มไปหมด ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความกดดัน ต่อให้เขาอยู่ใต้ทะเล เขาก็ยังไม่รู้สึกอึดอัดขนาดนี้เลย
ไม่ว่าจะเป็นแสงที่อยู่ใต้เท้า หรือว่าตะเกียงที่อยู่ในมือก็ล้วนแต่ส่องแสงสว่างไปได้ไกลเพียงแค่สิบกว่าก้าว พื้นที่ที่อยู่ห่างออกไปไกลกว่านั้นล้วนแต่ตกอยู่ในความมืด สำหรับซิมบาดี้แล้ว แสงสว่างเพียงแค่นี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกสบายใจเลย ในทางตรงกันข้าม มันกลับทำให้เขาสังหรณ์ใจถึงความความอันตราย นี่หมายความว่าพวกเขาอยู่ในที่สว่างโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีอันตรายอะไรแฝงตัวอยู่ในความมืดบ้าง
ความจริงจนถึงตอนนี้ ทั้งสองคนยังไม่รู้เลยว่าถ้ำแห่งนี้มันกว้างแค่ไหน
“กลับ?” เสียงของริคส์สั่นเล็กน้อย “เจ้าพูดอะไรของเจ้า…ข้ากล้าสาบานเลยว่านี่ต้องเป็นสิ่งที่แม้แต่ท่านธันเดอร์ก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนแน่ โบราณวัตถุเหรอ? ไม่…นี่มันคือซากโบราณสถานต่างหาก!”
“โบราณสถานมันไม่หนีไปไหน วันหลังเราค่อยมาใหม่ก็ได้” ซิมบาดี้พยายามพูดกล่อม “ผู้ช่วยของเจ้า แล้วก็สมาคมของประหลาด…กำลังรอฟังข่าวดีจากเจ้าอยู่นะ”
พอพูดถึงสมาคมของแปลก ริคส์ก็ดูใจเย็นขึ้นมาไม่น้อย “เจ้า เจ้าพูดถูก ข้าควรจะเอาข่าวดีนี้กลับไปบอกทุกคน”
“อย่างนั้นก็รีบไปกันเถอะ”
“เดี๋ยว…เดี๋ยวๆ กว่าจะมาถึงนี่ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เราจะกลับมือไปมือเปล่าไม่ได้” เขาล้วงเอามีดสั้นออกมาจากกระเป๋าข้างเอว ก่อนจะใช้มันกระเทาะลงไปแผ่นศิลา “ใจเย็น ใช้เวลาไม่เท่าไรหรอก เจ้าก็เอาอะไรกลับไปบ้าง อย่างน้อยก็จะได้เป็นหลักฐานยืนยันว่าพวกเราเคยมาที่นี่”
ในขณะที่ไม่รู้จะทำยังไง ซิมบาดี้จึงได้แต่ต้องทำตามเขา เพราะอีกฝ่ายนั้นยังถือว่าเป็นนายจ้างของตัวเองอยู่ ในเมื่อรับงานมูลค่า 20 เหรียญทองมาแล้ว เขาก็ย่อมต้องยอมรับความเสี่ยงที่ตามมาด้วย
บางทีที่นี่อาจจะแค่ดูแปลกๆ เท่านั้น เขาพยายามปลอบใจตัวเอง บริเวณรอบๆ ดูมืดไปหน่อย แต่ความจริงอาจจะไม่มีอะไรก็ได้
“ครึก ครึก ครึก…”
ทุกการขยับมีดของริคส์จะมีเสียงมีดกับหินกระทบกันดังขึ้นมา เมื่ออยู่ภายในถ้ำที่เงียบเชียบแบบนี้ เสียงที่ว่ายิ่งเสียดหูมากขึ้นกว่าเดิม
ซิมบาดี้ยังสังเกตเห็นด้วยว่าทุกครั้งที่มีดกระเทาะลงไปบนแผ่นศิลา ตรงตำแหน่งที่มีดสัมผัสจะมีแสงสว่างออกมามากเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าสว่างจนแสบตา
เขาส่ายหัวพยายามดึงสมาธิกลับมา
ในเวลานี้ซิมบาดี้ไม่มีใจจะมานั่งกระเทาะแผ่นศิลาแล้ว ตรงกองกำแพงแผ่นศิลาที่วางทับๆ กันอย่างไม่เป็นระเบียบมีเครื่องมือหินรูปร่างแปลกๆ วางกระจัดกระจายอยู่ มันน่าจะเป็นเครื่องมือที่คนที่ขนแผ่นศิลาเข้ามาทิ้งเอาไว้ เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไปนาน มันก็เลยกลายสภาพเป็นแบบนี้ เขาหยิบเศษเครื่องมือสองสามชิ้นมาใส่ในกระเป๋าข้างเอว แบบนี้ก็ถือว่าเขาทำหน้าที่ตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ครึก ครึก ครึก…”
ริคส์ยังคงง่วนอยู่กับการกระเทาะแผ่นศิลา ส่วนตรงข้างมือเขาก็มีเศษหินขนาดประมาณนิ้วมืออยู่ 5 – 6 ก้อนแล้ว
“เฮ้ แค่นี่ก็พอแล้วล่ะ…” ในขณะที่ซิมบาดี้กำลังจะพูดเร่งอีกฝ่าย หูของเขาพลันได้ยินเสียงแปลกๆ ดังขึ้นมา
มันเป็นเสียง ‘ครึก ครึก ครึก’ เหมือนกัน แต่มันฟังดูถี่กว่า เหมือนว่ามีริคส์หลายคนกำลังกระเทาะแผ่นศิลาอยู่
เสียง…สะท้อนเหรอ?
ไม่ใช่! เขารู้ตัวทันที พวกเขาไม่ได้ขยับไปไหนเลย ตอนแรกเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แล้วจู่ๆ มันจะมีเสียงดังขึ้นมาตอนนี้ได้ยังไง?
“ริคส์”
“อีกแปบ ชิ้นสุดท้ายแล้ว”
“เจ้าหยุดก่อน…”
“ขออีก 5 นาที…”
“บอกให้หยุดก่อน!” เขาแทบจะพูดเป็นเสียงคำราม
ริคส์ตกตะลึง มีดที่อยู่ในมือลอยค้างอยู่กลางอากาศ เสียงกะเทาะที่ฟังเสียดหูหยุดลงทันที
แต่เสียงครึกๆ เล็กๆ ยังคงดังอยู่ แถมยังเหมือนกำลังเข้ามาใกล้พวกเขาด้วย
ตอนนี้ริคส์เองก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล เขาเอาเศษหินใส่ลงไปในถุงพร้อมกับมองซ้ายมองขวา “มันคืออะไร?”
ในขณะเดียวกับที่ถาม จู่ๆ อีกด้านหนึ่งก็มีแสงสีขาวสว่างสลับไปมา
ภายใต้แสงที่ส่องสว่าง ซิมบาดี้มองเห็นตัวผู้มาเยือน มันคือแมงป่องทะเลทรายตัวโตเต็มวัยตัวหนึ่ง ก้ามของมันมีขนาดประมาณแขนคน หางของของมันยกขึ้นมาสูงประมาณเอว ตรงปลายหางมีน้ำพิษสีเขียวอาบอยู่เต็มไปหมด ถ้าหากถูกต่อยเข้าไปแล้วไม่มียาแก้ เกรงว่าเขาคงอยู่ได้ไม่ถึงห้านาทีแน่
บ้าเอ้ย ต้องเป็นเสียงกะเทาะหินแน่ๆ ที่ไปเรียกมันมา! เขายกมีดขึ้นมา “เจ้าค่อยๆ ถอยไปด้านหลัง ห้ามละสายตาไปจากแมงป่องเด็ดขาด”
สำหรับนักรบชาวโมเกนที่ยอดเยี่ยมแล้ว แมงป่องทะเลทรายนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากเท่าไร สติปัญญาของพวกมันต่ำมาก การเคลื่อนไหวก็ไม่ได้รวดเร็ว เข็มพิษที่หางนั้นเป็นการโจมตีที่น่ากลัวที่สุด แล้วก็เป็นจุดอ่อนของมันด้วย ขอเพียงมันต่อยไม่โดน มีดคมๆ ซักเล่มก็สามารถฟันหางของมันให้ขาดได้
แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าเขาไม่ใช่นักรบที่ยอดเยี่ยมนี่สิ
ถึงแม้จะได้รับการฝึกสอนมาแต่เด็ก แต่เขาก็ไม่เคยเข้าร่วมการแข่งล่าสัตว์ แล้วก็ไม่เคยสู้กับแมงป่องทะเลทรายจริงๆ ด้วย
ได้แต่ต้องลองดูแล้ว
กระทั่งริคส์ไปหลบอยู่ด้านหลังเขาแล้ว เขาจึงพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า “ตอนนี้ก้มหน้าลง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามขยับ”
“ข้า…ข้าเข้าใจแล้ว”
หลังได้รับคำตอบ ซิมบาดี้เองก็เบี่ยงตัวเหมือนกัน
ในเสี้ยววินาทีที่ละสายตา แมงป่องทะเลทรายก็เปิดฉากโจมตีทันที ถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่เสียงครึกๆๆ ที่ดังถี่ขึ้นมาก็แสดงให้เห็นว่ามันกำลังพุ่งเข้ามาหาเขาด้วยความเร็ว
นี่คือนิสัยของแมงป่องทะเลทราย มันชอบที่จะหาโอกาสในตอนที่เผชิญหน้ากัน ทันทีที่เห็นว่าเหยื่อเผลอ มันก็จะเปิดฉากโจมตีทันที
ใจเย็น!
ซิมบาดี้ย่อตัวลงเล้กน้อย ก่อนจะหันมีดไปทางด้านซ้าย แล้วใช้มือกว่าประคองด้ามมีดเอาไว้ นี่คือท่าเริ่มต้นในการเหวี่ยงมีดของชาวทะเลทราย ถึงจะดูแล้วเหมือนไม่ได้หันหน้าหาศัตรู แต่พื้นที่ด้านขวาของร่างกายทั้งหมดล้วนแต่อยู่ในขอบเขตการโจมตีของมีด!
ในตอนที่เสียงวิ่งของแมงป่องทะเลทรายกระชั้นเข้ามา เขาก็เหวี่ยงมีดออกไปทันที!
แสงสีเงินสว่างวาบขึ้นมา
ยังไม่ทันจะได้หันกลับมามอง มือของเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงต้านเล็กน้อย
มันเหมือนกับสัมผัสของคมมีดเวลาที่ฟันผ่านต้นกก
หลังมีเสียงฉับดังขึ้นมา หางของแมงป่องที่แทงลงไปในแผ่นศิลาก็ถูกฟันขาดเป็นสองส่วน
ซิมบาดี้หมุนคมมีด ก่อนจะแทงลงไปในรอยแยกบนเปลือกที่อยู่ด้านหลังส่วนหัวของแมงป่อง
เป้าหมายนอนดิ้นอยู่พักหนึ่งก่อนจะแน่นิ่งไป
“สุดยอด…” ริคส์รู้สึกโล่งใจ “สมแล้วที่เป็นชาวทะเลทรายที่เชี่ยวชาญในการล่าสัตว์…”
“ยังไม่หมด!” ซิมบาดี้พูดขัดขึ้นมา “เสียงเมื่อกี้นี้เหมือนไม่ได้มีแมงป่องทะเลทรายแค่ตัวเดียว!” อยู่ที่ไหน? ศัตรูจะออกมาจากตรงไหน? เขามองหน้ามองหลังอย่างระมัดระวัง ที่นี่มีแผ่นศิลาวางอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะมาจากทางไหนก็ต้องมีแสงสว่างปรากฏขึ้นมา
แต่รอบๆ ตัวเขากลับมีแต่ความมืด
นอกจากบนหัว
บ้าเอ้ย! เขารู้ตัวทันทีว่าตัวเองมองข้ามอะไรไป แสงสีขาวอ่อนๆ นั้นดูสะดุดตามากกว่าอะไรเมื่ออยู่ในความมืด แต่สำหรับสถานที่ที่ถูกส่องสว่างแล้ว แสงสว่างที่ปรากฏขึ้นมาใหม่นั้นจะถูกมองข้ามได้ง่าย
ในขณะที่ซิมบาดี้เงยหน้าขึ้นมา เงาดำเงาหนึ่งก็โถมเข้ามา
เป้าหมายคือชายชาวฟยอร์ดที่อยู่ด้านหลังเขา!
ในช่วงเวลาคับขัน สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือหมุนตัวกลับไปถีบริคส์จนกระเด็นออกไป
แมงป่องทะเลทรายร่วงลงมาบนพื้นโดยเฉียดร่างกายของริคส์ไปเพียงนิดเดียว
ด้วยสัญชาตญาณจากการฝึกซ้อมมาหลายปี ซิมบาดี้ฟันลงไปโดยไม่ได้มอง หัวของแมงป่องขาดออกเป็นสองท่อน
“ฟู่ว” เขาถอนหายใจยาวออกมา “โชคดีที่รู้ตัวก่อน…เห้ เจ้าเป็นอะไรไหม?”
“แค่กๆ…ข้า ข้าน่าจะ…”
แต่ยังไม่ทันฟังคำตอบของอีกฝ่ายจนหมด ด้านหลังกำแพงแผ่นศิลาพลันมีเสียงครึกๆ ดังสนั่นขึ้นมา ตอนแรกมันยังพอมีจังหวะเว้นระยะบ้าง แต่หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจเสียงครึกๆ ก็ดังถี่จนเหมือนกับคลื่นอย่างไรอย่างนั้น ขณะเดียวกันก็มีเสียงสั่นสะเทือนทึบๆ ดังผสมขึ้นมาด้วย เหมือนว่ามีวัตถุขนาดใหญ่ยักษ์บางอย่างกำลังเคลื่อนที่เข้ามาหาพวกเขา
ทั้งสองคนสบตากัน ใบหน้าขาวซีดไปในทันที
“วิ่ง วิ่งเร็ว!” ซิมบาดี้คว้ามือริคส์ที่ยังยืนตกตะลึง ก่อนจะวิ่งหนีไปทางปากถ้ำ
หลังจากนั้นด้านหลังพวกเขาพลันมีลำแสงที่สว่างจนแสบตาสว่างวาบขึ้นมาจนมองเห็นภายในถ้ำทั้งถ้ำได้อย่างชัดเจน!
ท่ามกลางแสงสีสว่างขึ้นเรื่อยๆ นี้ ซิมบาดี้มองเห็นแมงป่องทะเลทรายขนาดมหึมาตังหนึ่ง แค่ดวงตาของมันก็มีขนาดใหญ่เท่ากับถาดใส่ข้าวแล้ว เปลือกของมันดูหยาบแล้วก็หนาเหมือนกับโขดหินอย่างไรอย่างนั้น ลักษณะพิเศษเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงสถานะของผู้มาเยือนได้อย่างชัดเจน มันคือหนึ่งในเครื่องบรรณาการของสามเทพ —- แมงป่องยักษ์หุ้มเกราะที่ปกครองผืนดิน!
ด้วยร่างกายขนาดใหญ่ของมันที่กดทับลงมา กำแพงแผ่นศิลาพลันสว่างจ้าขึ้นมาจนเกือบจะลืมตาไม่ขึ้น
อย่างนี้นี่เอง
ในที่สุดซิมบาดี้ก็เข้าใจแล้วทำไมในถ้ำที่ไม่มีแสงสว่างถึงแม้ได้ต้นหญ้าสีเขียวเจริญเติบโตอยู่เต็มไปหมด แล้วก็รู้แล้วว่าแสงสว่างที่ออกมาจากในถ้ำใต้ทะเลในเวลากลางคืนมันมาจากไหน
แมงป่องยักษ์หุ้มเกราะเอาที่นี่เป็นรังของมัน
ตอนที่ 1125 เส้นทางแห่งการเอาชีวิตรอด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก….ในที่สุด…ก็มาถึงซักที” ในตอนที่บ่อน้ำเล็กๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งสองคนอีกครั้ง ซิมบาดี้ก็รู้สึกตัวเบาขึ้นมาทันที
ขอบคุณสามเทพ ขอบคุณบุตรแห่งแแผ่นดิน ขอบคุณมารดาแห่งท้องทะเล เขาพร่ำขอบคุณอยู่ภายในใจ ในถ้ำที่อยู่ด้านหลังพวกเขาตอนนี้ส่องสว่างขึ้นมา ทั้งสองคนใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดวิ่งหนีออกมา ขณะเดียวกันเมื่อยิ่งเข้าใกล้ทะเล ปากถ้ำก็ดูหดเล็กลงจนเหมือนกับปากแจกัน นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่แมงป่องยักษ์หุ้มเกราะไม่ได้วิ่งตามมา
แต่ว่านี่ยังไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะปลอดภัยแบบร้อยเปอร์เซ็นต์
เขายังไม่ลืมเสียงวิ่งที่เหมือนกับคลื่นน้ำหลากอันนั้น ต่อให้เอาแมงป่องทะเลทรายทั้งแหลมแอนด์เลสมารวมกันไว้ที่นี่ เขาก็คงไม่รู้สึกแปลกใจอะไรแล้ว ซิมบาดี้รู้เพียงว่านักล่าเหล่านั้นมีโอกาสที่จะวิ่งข้ามกำแพงแผ่นศิลา แล้วไล่ตามกลิ่นพวกเขามา จากนั้นก็ฉีกพวกเขาเป็นชิ้นๆ ได้ทุกเมื่อ
แต่โชคดีก็คือแมงป่องว่ายน้ำไม่เป็น ขอเพียงกระโดนลงไปในทะเล พวกเขาก็จะรอดไปจากที่นี่ได้
“เร็ว รีบใส่หมวกเร็ว!” ซิมบาดี้รีบหยิบหมวกที่อยู่บนพื้นขึ้นมาใส่อย่างรวดเร็ว
แต่เขากลับพบว่าริคส์ไม่ยอมขยับ
“เฮ้ เจ้ามัวยืนงงอะไรอยู่!”
“เจ้า…กลับไปก่อนเถอะ” ริคส์หันหลังพูดเสียงเบาๆ
ไปก่อน? ซิมบาดี้งุนงง บ้าเอ้ย เจ้านี่มันยังห่วงหินเรืองแสงที่อยู่ในนั้นอีกเหรอ?
ความโกรธพุ่งทะลักออกมา เขาก้าวอาดๆ เข้าไป ก่อนจะกระชากไหล่ของอีกฝ่าย “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วเหรอ? เจ้ารู้ไหมว่าสถานการณ์ในตอนนี้มัน….”
หลังพูดไปได้ครึ่งเดียว จู่ๆ ซิมบาดี้ก็เงียบไป เขารู้สึกตกใจเมื่อพบว่าชุดดำน้ำที่ทำขึ้นมาจากหนังและกระเพาะสัตว์ถูกฉีกจนเป็นรูตรงหน้าอก แถมตรงรอยฉีกยังมีคราบเลือดติดอยู่นิดหน่อยด้วย
“ชุดดำน้ำของเจ้า…”
“ขาดแล้ว” ริคส์ฝืนยิ้มแห้งๆ ขึ้นมาจนดูเหมือนจะร้องไห้ “แมงป่องตัวสุดท้ายมันต่อยไม่โดนข้า แต่ก้ามของมันกลับฉีกชุดขาด”
ซิมบาดี้เงียบไปทันที บาดแผลตรงหน้าอกของอีกฝ่ายนั้นไม่ได้รุนแรง เหมือนจะบาดเจ็บแต่ตรงผิวหนังเล็กน้อยเท่านั้น แต่ชุดดำน้ำมีรูแบบนี้ก็หมายความว่าน้ำทะเลจะทะลักเข้ามาในชุดและท่วมหมวกของเขา
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซิมบาดี้จึงพูดขึ้นมาว่า “ถ้าใช้แค่ท่อส่งอากาศล่ะก็…”
ริคส์ส่ายหัวยิ้มๆ “นอกเสียจากพวกเราต้องอยู่ใกล้ผิวน้ำมากๆ ไม่อย่างนั้นแรงในการสูดอากาศของเจ้าก็ต้องมากพอๆ กับแรงสูบอากาศของปั๊มมันถึงจะได้”
ท่อทั้งสองเส้นต้องอยู่ด้วยกันถึงจะสามารถรักษาสมดุุลเอาไว้ได้
เรื่องนี้อีกฝ่ายบอกเขาตั้งแต่แรกแล้ว
ดังนั้นอีกฝ่ายถึงได้ลังเลที่จะตอบคำถามเขาก่อนหน้านี้…
เกรงว่าตอนนั้นริคส์คงจะรู้ถึงสถานการณ์ของตัวเองแล้ว
ริคส์ปลดเอากระเป๋าที่อยู่ข้างเอวออกมายื่นให้ซิมบาดี้ “นี่คือตัวอย่างแผ่นศิลา เจ้าเอามันไปให้ผู้ช่วยของข้า บอกว่าการค้นพบของข้านั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าท่านธันเดอร์เลย”
ซิมบาดี้มองเห็นนิ้วมือของเขากำลังสั่นเล็กน้อย
“ผู้ช่วยของเจ้า…ยังมีชุดดำน้ำสำรองอยู่ไหม?”
“มีแค่สองชุดเท่านั้น ตั้งแต่การเลือกวัสดุจนถึงการตัดเย็บ ชุดๆ หนึ่งต้องใช้เวลาสร้างอย่างน้อยครึ่งปี” ริคส์สูดหายใจ ซิมบาดี้บอกออกว่าเขากำลังพยายามข่มอารมณ์ของตัวเองอยู่ “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร ความจริงตอนที่ิวิ่งมา ข้าก็พยายามคิดหาทางดูแล้ว แต่ผลที่ออกมาก็คือถ้าไม่มีชุดดำน้ำ ข้าก็ไม่สามารถออกไปจากถ้ำได้ นี่น่าจะเป็นชะตาชีวิตล่ะมั้ง…”
“ชะตาชีวิต?”
“คนของสมาคมของแปลก…ไม่มีทางที่จะกลายเป็นนักสำรวจอย่างแท้จริงได้” เขากัดริมฝีปาก “เจ้ารีบฉวยโอกาสตอนที่แมงป่องยังไม่มา รีบหนีไปเถอะ! ขอเพียงเอาข่าวนี้กลับไปได้ ต่อให้ข้าไม่สามารถกลายเป็นนักสำรวจได้ แต่ชื่อของข้าก็จะโด่งดังไปทั่วฟยอร์ดด้วยชุดดำน้ำนี้แน่นอน….”
ซิมบาดี้มองดูบ่อน้ำอยู่ครู่ ก่อนจะค่อยๆ พูดขึ้นมาว่า “ข้าขอปฏิเสธ”
“เอ๋?” ริคส์ลืมตาโตมองเขาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“เจ้ายังติดเงินข้าอยู่อีก 29 เหรียญทองนะ ถ้าเจ้าตาย ข้าจะไปเอาจากใครล่ะ?” เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้อตกลงนี้ีมีแต่เจ้า ข้า แล้วก็มอลลี่เท่านั้นที่รู้ ข้าไม่คิดว่าผู้ช่วยของเจ้าจะจ่ายเงินจำนวนนี้ไหวหรอกนะ ดูจากการแต่งตัวของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าชาวทะเลทรายเท่าไรเลย”
“ตอนนี้พวกเรายังไม่มีเงิน!” ริคส์พูดแย้ง “เพื่อ เพื่อที่จะซื้อเครื่องจักรไอน้ำมาจากเกรย์คาสเซิล…ค่าใช้จ่ายก็เลยเกินกว่าที่ประมาณเอาไว้นิดหน่อย…เอาไว้ชุดดำน้ำมีชื่อเสียงเมื่อไร จะต้องมีสมาคมหอการค้าจำนวนมากมาแย่งกันซื้อแน่ เมื่อถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินแล้ว!”
“แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าเงินพวกนี้มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า แล้วก็อาจจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย” ซิมบาดี้เอากระเป๋าและหมวกโยนลงพื้น “เจ้าคิดว่าถ้าเจ้ากลายเป็นอาหารของพวกแมงป่องอยู่ที่นี่ คนที่อยู่ข้างนอกนั้นจะยังมองว่าชุดดำน้ำนี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ของเจ้าอีกเหรอ? แค่เปลี่ยนคำพูดนิดหน่อยพวกเขาก็ได้ทั้งชื่อเสียงและเงินทองไปแล้ว ไม่มีเรื่องไหนที่จะคุ้มเท่านี้อีกแล้ว ดังนั้นมันไม่ใช่แค่เงิน 29 เหรียญทองของข้าที่ต้องสูญเปล่า แต่ความปรารถนาของเจ้าก็จะไม่มีวันกลายเป็นจริงด้วย”
“…เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
‘เปิดรับสิ่งใหม่ๆ เอาชนะตัวเอง’
ซิมบาดี้ท่องคำพูดนี้ในใจรอบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมายาว “ชาวโมเกนไม่ชอบถูกเบี้ยวหนี แล้วก็ไม่ชอบคนที่ผิดคำพูด สัญญาต้องเป็นสัญญา ไม่ว่าจะเป็นราชาแห่งเกรย์คาสเซิลหรือว่าคนจากฟยอร์ด ข้ารับปากไปแล้วว่าจะช่วยให้ถึงที่สุดใช่ไหมล่ะ?”
ริคส์ตกตะลึง “แต่เจ้าจะทำยังไง…”
“ลองดูบ่อน้ำสิ” เขาถอดชุดกันน้ำบนตัวออก “เจ้าไม่เห็นหรือว่ามันเล็กลง?”
ในเวลานี้เองริคส์ถึงได้สังเหตุเห็นว่าตรงรอบๆ บ่อน้ำมีหินที่มีตะไคร่เปียกๆ ปรากฏขึ้นมา นั่นเป็นสิ่งยืนยันว่าน้ำกำลังลดลง
“ทะเลน้ำวนเข้าสู่ช่วงน้ำลดแล้ว นั่นก็หมายความว่าระยะทางที่พวกเราต้องเดินลุยน้ำกำลังจะลดลงด้วย” ซิมบาดี้พูดช้าๆ ชัดๆ “ถ้าทุกอย่างราบรื่น พวกเราก็แค่ต้องดำน้ำขึ้นไปสิบเมตรหลังออกจากถ้ำเท่านั้น ถ้าใส่ชุดดำน้ำพวกเราไม่มีทางที่จะทำแบบนั้นได้ แต่ถ้าพวกเราถอดเสื้อผ้าออกหมด พวกเรากลับจะมีโอกาส….รวมไปถึงก้อนหินที่เจ้าเก็บมาด้วย เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าถอดเสื้อผ้าออกซะ”
“ถอด ถอดเสื้อผ้า?”
“ถูกต้อง ถ้าอยากจะรอจนถึงตอนที่น้ำลดลงต่ำที่สุดได้ พวกเราก็จำเป็นต้องหาวิธีมาหยุดแมงป่องทะเลทรายพวกนั้นก่อน แต่วิธีที่ได้ผลมากที่สุดก็คือจุดไฟ” ซิมบาดี้พยักหน้า “แต่ที่นี่มีไอน้ำเยอะมาก พวกหญ้าเองก็ติดไฟยาก ดังนั้นเราต้องใช้อะไรที่มันติดไฟได้ง่าย” เขาชี้ไปที่ตะเกียงไฟ “น้ำมันกับหนังสัตว์น่าจะทำให้ไฟลุกไปได้สักพัก”
ริคส์นิ่งไปครู่ใหญ่ “…อย่าพยายามเลย ไม่มีทางสำเร็จหรอก”
“ทำไม?”
“เจ้าไม่มีทางรู้ได้ว่าเมื่อไรน้ำถึงจะลงต่ำสุด ผิวน้ำทะเลที่สูงขึ้นหนึ่งเมตร ระยะทางที่เราต้องเดินลุยน้ำออกไปก็จะเพิ่มขึ้นหลายเท่า ถ้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าก็จะทำให้ขาดอากาศหายใจจนตายได้” เขาพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า “แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือข้าว่ายน้ำไม่เป็น! น่าตลกใช่ไหมล่ะ เป็นคนฟยอร์ดแท้ๆ แต่กลับว่ายน้ำไม่เป็น! แล้วก็เป็นเพราะแบบนี้ข้าถึงได้ไม่สามารถเดินทางไปในทะเลเหมือนคนอื่นๆ และกลายเป็นนักสำรวจที่แท้จริงได้!”
“ข้ามองออกตั้งแต่ตอนที่ดำน้ำตอนแรกแล้ว” ซิมบาดี้พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อะไร..นะ?”
“จะขึ้นลงก็ต้องอาศัยกระเช้า เดินอยู่ใต้ทะเลก็ดูเก้ๆ กังๆ ถ้าไม่มีชุดดำน้ำ ข้าว่าแม้แต่ลงไปในน้ำเจ้าก็ทำไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“ในเมื่อรู้แล้วยังจะให้ข้าว่ายน้ำออกไปอีก?”
“เพราะว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องว่าย แค่กลั้นหายใจเอาไว้ก็พอ ระหว่างที่ดำลงไปในน้ำอาจจะทรมานหน่อย หรืออาจจะหมดสติได้ แต่ขอเพียงเจ้าไม่ดิ้นไปดิ้นมา ข้าก็สามารถพาเจ้าออกไปจากนี่ได้” ซิมบาดี้ค่อยๆ พูด
“เจ้าคนเดียวเนี่ยนะ?” ริคส์ทำสีหน้าไม่อยากเชื่อ
“ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังแล้วใช่ไหม ในโอเอซิสที่ข้าใช้ชีวิตอยู่ตอนเป็นเด็กมีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง ทุกคนชอบที่จะแข่งกันว่าใครดำน้ำได้ลึกกว่าได้นานกว่า” ซิมบาดี้ยิ้มมุมปากขึ้น “ข้าไม่เคยเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเผ่า…แต่ตอนนั้นข้ายังไม่ได้พยายามเต็มที่ เพราะว่าข้ากลัว”
“กะ…กลัว?”
“อื้อ มันลึกจนเหมือนเป็นปากขนาดใหญ่ ทำให้ข้ารู้สึกว่าถ้าข้าดำลึกลงไปอีก ข้าจะถูกมันสูบลงไป ดังนั้นข้าจึงมักจะออมแรงไว้นิดหน่อย แล้วก็แสร้งทำบอกทุกคนว่าข้าพยายามเต็มที่แล้ว…พอนานวันเข้า แม้แต่ตัวข้าเองก็พลอยเชื่อในเรื่องนี้ไปด้วย” เขามองริคส์ “เจ้าบอกว่าข้าดูถูกตัวเอง บางทีมันอาจจะเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ ….ดังนั้นข้าเลยอยากลองดูว่าขีดจำกัดของข้ามันอยู่ที่ไหนกันแน่”
“เจ้าเองก็เหมือนกัน ว่ายน้ำไม่เป็นก็เลยออกไปจากที่นี่ไม่ได้? เจ้าแน่ใจหรือว่านั้นคือขีดจำกัดของเจ้า?” ซิมบาดี้พูดเสียงดัง “เจ้าไม่ได้ดูถูกตัวเองจริงๆ เหรอ!”
ริคส์กำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
“อย่างน้อยเจ้าก็ไม่กลัวทะเล เรื่องนี้เจ้าดีกว่าข้าเยอะ” ซิมบาดี้ยิ้มมุมปาก “ว่าไง? จะลองวัดดวงกับข้าดูไหม? นักสำรวจ…ถ้าไม่เสี่ยงแล้วมันจะเป็นนักสำรวจได้ยังไง?”
….
หลังจากนั้นสองชั่วโมง ควันไฟก็คละคลุ้งไปทั่วทั้งถ้ำ
ส่วนน้ำในบ่อน้ำก็ลดลงไปถึงถ้ำใต้น้ำข้างล่าง พอที่จะให้ทั้งสองคนลงไปพอดี
อีกด้านหนึ่งของควันไฟมีเสียงวิ่งครึกๆๆ ของแมงป่องทะเลทรายดังขึ้นมา
ทั้งสองคนสบตากัน ต่างคนต่างรู้ว่านี่คือช่วงเวลาสุดท้ายแล้ว
“ไปกันเถอะ ท่านนักสำรวจกิตติมศักดิ์” ซิมบาดี้สูดหายใจ ก่อนจะหนีบแขนริคส์เอาไว้แล้วกระโดดลงไปในน้ำ
น้ำทะเลเย็นๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเขา
เขาเหมือนได้ย้อนกลับไปในวัยเด็ก
แต่ครั้งนี้ข้างกายเขาไปไม่มีคาร์โลน หรือว่าคนอื่นๆ
คนเดียวที่เขาต้องก้าวข้ามไปให้ได้ก็คือตัวเขาเอง
……………………………………………………………………….
ตอนที่ 1126 สถานการณ์การรบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากนั้น 5 วัน
ริคส์ได้เจอกับซิมบาดี้อีกครั้ง
ภายในหน่วยพยาบาลในค่ายกองทัพที่หนึ่ง
นอกจากนี้คนที่มาเยี่ยมเขายังมีสาวน้อยชาวโมเกนที่ร่าเริงคนนั้นอีกคนหนึ่ง
“เป็นยังไงบ้าง?” มอลลี่เอาหญ้าทะเลช่อหนึ่งวางไว้ข้างหน้าต่าง “ที่นี่ไม่มีดอกไม้สวยๆ ข้าก็เลยเอามันมาแทน แต่ว่ามันก็เป็นสีเขียวนะ ยังไงก็ดูสวยกว่าทรายสีเหลืองใช่ไหมล่ะ?”
“เอ่อ…ขอบคุณนะ” ริคส์รีบลุกขึ้นมานั่ง “ข้ารู้สึก…ดีกว่าตอนแรกเยอะแล้ว”
“อย่างนั้นก็ดี สภาพเจ้าตอนที่ถูกช่วยขึ้นจากน้ำน่ากลัวมาก หน้าเป็นสีม่วง ตัวก็กระตุก แถมยังสำลักน้ำทะเลออกมาไม่หยุด” เธอพูดยิ้มๆ “หลังจากนั้นตอนที่ถูกส่งมาในค่ายก็มีไข้สูงอีก ข้ากับซิมบาดี้มาเยี่ยมเจ้าสองครั้ง แต่ตอนนั้นเจ้าเหมือนจะยังไม่ได้สติ”
ริคส์ยิ้มแห้งๆ “ร่างกายข้าอ่อนแอจริงๆ”
“แต่เจ้าก็อดทนจนผ่านมันมาได้ แถมยังก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองด้วย” ซิมบาดี้พูดยิ้มๆ “คุณนักสำรวจ ความจริงแล้วความต้องการในการเอาชีวิตรอดของเจ้ายังมากกว่าข้าเสียอีก ตอนที่ใกล้จะถึงผิวน้ำ ข้าเกือบจะหมดแรงแล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะเจ้ากอดข้าเอาไว้แน่น เกรงว่าข้าคงไม่มีแรงเหลือพอที่จะดึงเจ้าขึ้นมาจากน้ำได้” เขาเลิกแขนเสื้อขึ้นมา” ดูนี่สิ ตรงนี้ยังมีรอยช้ำอยู่เลย”
“ขอโทษนะ” ริคส์พูดอย่างรู้สึกผิด “ข้าจำเรื่องตอนที่อยู่ในถ้ำใต้น้ำไม่ได้เลย”
“ตอนนั้นเจ้าจะต้องคิดหาวิธีที่ทำให้ตัวเองไม่ปล่อยมือถึงจะหมดสติไปแล้วใช่ไหม?” มอลลี่ทอดถอนใจออกมา
“น่าจะ…” เขาพยักหน้า “ก่อนที่จะหมดสติไป ภายในหัวข้ามีความคิดอะไรหลายๆ อย่างผุดขึ้นมาเต็มไปหมด ทั้งสิ่งประดิษฐ์ของข้า สมาคมของแปลก แล้วก็ยังมีภรรยาสองคนที่กำลังรอข้ากลับไป…”
ทุกคนเงียบไปทันที
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซิมบาดี้จึงลองถามขึ้นมาว่า “เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ?”
“ภรรยาสองคนไง” ริคส์เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ “อ้อ ข้าลืมบอกไป ธรรมเนียมบนเกาะในฟยอร์ดนั้นจะแตกต่างกันออกไป เกาะที่ข้าอยู่นั้นไม่มีการจำกัดจำนวนภรรยาเอาไว้ ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าเจ้าอยากจะมีกี่คน เรื่องนี้พวกเจ้าไม่รู้ก็ไม่แปลกอะไร”
“ตอนนี้ข้าคิดว่า…ข้าน่าจะทิ้งเจ้าเอาไว้ในถ้ำใต้น้ำนั่นจะดีกว่า” มุมปากซิมบาดี้กระตุกขึ้นมา
“เห็นด้วย” มอลลี่เองก็พูดเสริมขึ้นมาอย่างจริงจัง
“เฮ้ พวกเจ้าอย่าทำแบบนี้ได้เปล่า…” ริคส์เห็นทีท่าไม่ดีจึงรีบเปลี่ยนประเด็น “แล้วซากโบราณสถานนั่น ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
เมื่อเข้าประเด็น ซิมบาดี้ก็จริงจังขึ้นมาทันที “ตอนนี้กองทัพที่หนึ่งปิดล้อมพื้นที่ตรงนั้นเอาไว้แล้ว ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าไปโดยพลการ ตรงหน้าผาก็มีการตั้งหอสังเกตการณ์เอาไว้ น่าจะเอาไว้เพื่อป้องกันแมงป่องยักษ์ ข้าได้รับการไหว้วานจากพวกเขาให้เข้าไปในถ้ำใต้น้ำอีกครั้งตอนน้ำลด เพื่อเอากระเป๋าใส่หินกลับมา” เสียงของเขาเบาลงเรื่อยๆ “แต่ว่าของพวกนั้นข้าให้กองทัพที่หนึ่งไปแล้ว…ขอโทษด้วยนะ”
“ไม่ เจ้าทำถูกแล้ว” หลังฟังอีกฝ่ายเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นจบ ริคส์ก็ส่ายหัวเล็กน้อย “ในเมื่อกองทัพที่หนึ่งยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เจ้าก็ไม่มีทางปิดบังพวกเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถครอบครองโบราณสถานที่ใหญ่ขนาดนั้นได้ อย่างเดียวที่ข้ารู้สึกเสียดายก็คือชุดดำน้ำสองชุดที่ถูกทำลายไป ต่อให้ข่าวการทดสอบชุดดำน้ำประสบความสำเร็จแพร่กระจายออกไป แต่ความน่าเชื่อถือของมันก็คงมีไม่มากเท่าไร แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ล่ะเนอะ…เพราะเจ้าทำไปเพื่อช่วยข้านี่นา”
ซิมบาดี้พูดไม่ออกไปทันที เขาย่อมต้องรู้ว่าริคส์ทุ่มเทให้กับชุดดำน้ำไปเท่าไร ชุดดำน้ำชุดหนึ่งต้องใช้เวลาครึ่งปีในการสร้างขึ้นมา ซึ่งนั่นหมายถึงชุดที่สร้างสำเร็จสองชุดสุดท้ายด้วย แล้วก่อนหน้านั้นเขาต้องล้มเหลวไปแล้วกี่ครั้ง สูญเสียวัตถุดิบและเงินทองไปแล้วเท่าไร
นี่คือเป็นความเสียหายที่รุนแรงอย่างมาก
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง เขาจึงถามเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า “หลังจากนี้…เจ้าวางแผนจะทำยังไงต่อ?”
“กลับไปฟยอร์ดก่อน จากนั้นค่อยกลับมาใหม่” ริคส์ตอบอย่างไม่ลังเล
ซิมบาดี้กับมอลลี่ตกตะลึง
“ทำไม พวกเจ้าคิดว่าข้าจะหมดกำลังใจเพราะเรื่องนี้เหรอ?” เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของทั้งสองคน ริคส์จึงยิ้มขึ้นมา “ถ้าไม่มีประสบการณ์เฉียดตายครั้งนี้ ข้าก็คงจะล้มเลิกความคิดนี้ไปแล้วจริงๆ” เขายื่นมือออกมาก่อนจะกำไว้แน่น เหมือนกับกำลังรับรู้ถึงอะไรบางอย่างอยู่ “แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่านั่นไม่ใช่ขีดจำกัดของข้า ใช้เวลาครึ่งปีในการสร้างชุดกันน้ำแล้วยังไง เทียบกับก่อนหน้านี้ที่ไม่รู้อะไรเลย เวลาครึ่งปีไม่ได้ถือว่ายาวนานเลย! อย่างน้อยข้าก็รู้ว่ามันจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน!”
“ริคส์…”
“สบายใจได้ อย่างมากสองปี ข้าจะต้องเอาชุดดำน้ำชุดใหม่กลับมาได้แน่” ริคส์พูดช้าๆ ชัดๆ “เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าช่วยลงไปดำน้ำกับข้าด้วยล่ะ”
ดูเหมือนตัวเองไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเลย ซิมบาดี้คิดในใจ ในขณะที่เขากำลังรับปากอีกฝ่าย ประตูห้องพลันถูกเปิดออก ชายที่แต่งกายชุดทหารคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ริคส์? ซิมบาดี้?” เขามองทั้งสองคน
“ขอรับ ไม่ทราบว่า…มีเรื่องอะไรเหรอขอรับ?” ซิมบาดี้รับทำความเคารพ
“เกี่ยวกับเรื่องที่พวกเจ้าค้นพบ เมืองเนเวอร์วินเทอร์มีคำสั่งใหม่ออกมา” นายทหารพยักหน้า “ฝ่าบาททรงต้องการพบพวกเจ้า”
“ท่านจะบอกว่า ราชาแห่งเกรย์คาสเซิล?”
“ชะ ชีค?”
ทั้งสองคนแสดงความตกใจออกมาพร้อมกับ พวกเขาต่างมองเห็นสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อในตาของอีกฝ่าย ในเวลาสั้นๆ เพียงแค่ 5 วัน ข่าวที่ว่าสามารถเดินทางไปกลับระหว่างท่าเรือเรฟเวลรี่กับเมืองหลวงแห่งใหม่ของเกรย์คาสเซิลแล้ว อีกทั้งการเรียกเข้าเฝ้าขององค์ราชาก็เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่มีทางจะคิดถึงได้ ปกติแล้วหากองค์ราชาต้องการสอบถามอะไร แค่ส่งคนมาถามก็เพียงพอแล้ว การที่ถึงกับเรียกพวกเขาไปเข้าเฝ้า หรือว่าโบราณสถานที่พวกเขาค้นพบนั้นจะมีอะไรพิเศษอยู่?
“ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าบาทโรแลนด์ยังทรงส่งเรือเพื่อมารับพวกเจ้าเป็นการเฉพาะด้วย อีกประมาณสองวันหลังจากนี้น่าจะมาถึงท่าเรือเรฟเวลรี่แล้วล่ะ” นายทหารพูดยิ้มๆ “ระหว่างนี้พวกเจ้าก็พักอยู่ในค่ายทหารนี่แหละ”
…..
เมืองเนเวอร์วินเทอร์ เกรย์คาสเซิล
โรแลนด์นั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานพร้อมกับพลิดดูรายงานที่ส่งกลับมาจากแนวหน้าในสนามรบ
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ปฏิบัติการคบเพลิงก็เรียกได้ว่าดำเนินไปได้อย่างราบรื่น หลังเข้าสู่เดือนห้า ปีศาจก็แทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย รางเหล็กค่อยๆ มุ่งหน้าไปยังเมืองทาคิลา เมื่อดูจากแนวโน้มในตอนนี้ อย่างมากกลางเดือนหก ซากเมืองศักดิ์สิทธิ์ก็จะอยู่ในขอบเขตการโจมตีของกองทัพที่หนึ่งแล้ว เรียกได้ว่าเร็วกว่ากำหนดการที่วางเอาไว้ในตอนแรกอยู่สิบกว่าวัน
เห็นๆ อยู่ว่าการบุกเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ภายในใจโรแลนด์กลับไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเท่าไร
อีกฝ่ายคือปีศาจ เป็นศัตรูคู่แค้นของมนุษย์ อีกทั้งยังเอาชนะมนุษย์ได้ในสงครามแห่งโชคชะตาสองครั้งแรก ทำเอามนุษย์ต้องอพยพมาถึงมุมๆ หนึ่งของดินแดนแห่งรุ่งอรุณ ตอนนี้ที่ราบลุ่มบริบูรณ์คือโล่ป้องกันสุดท้ายของมนุษย์ ขอเพียงพวกมันตั้งเสาโอเบลิสก์ได้ หมอกแดงก็จะปกคลุมไปทั่วทั้งทวีป และปีศาจก็จะกลายเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ
เขาหวาดตามองไปบนแผนที่และรายงานไม่หยุด ด้วยความว่าจะหาร่องรอยอะไรบางอย่างเจอ แต่สุดท้ายก็ไม่พบอะไร
หลังถูกลอบโจมตีในตอนกลางคืน การป้องกันของสถานีรถไฟก็ยิ่งมีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น การจะทำลายค่ายทหารนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้นี่เป็นสถานที่ที่มีโอกาสมากที่สุดที่จะเกิดศึกปะทะกัน แต่มันก็เป็นสถานที่ที่กองทัพที่หนึ่งมีความได้เปรียบมากที่สุด ถ้าศัตรูเลือกที่จะทำศึกซึ่งๆ หน้า นั่นกลับจะเป็นเรื่องดีสำหรับกองทัพที่หนึ่ง
รางเหล็กที่ยาวหลายร้อยกิโลเมตรนั้นเป็นจุดที่สองที่ปีศาจโจมตี ความจริงแล้วนี่เป็นสถานที่ที่ในรายงานแจ้งว่าเกิดการปะทะกับปีศาจบ่อยครั้ง ตอนนี้มีการปะทะรวมแล้วมากกว่า 42 ครั้ง ถ้าไม่เป็นเพราะรายงานเหล่านี้ เขาคงจะนึกว่าศัตรูถอนกำลังออกจากที่ราบลุ่มบริบูรณ์ไปแล้ว แต่เมื่อมีปืนกลของรถไฟหุ้มเกราะคอยคุ้มครองและแม่มดคอยซ่อมแซมรางรถไฟอย่างรวดเร็ว การจะทำลายการขนส่งเสบียงและอาวุธนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พูดอีกอย่างก็คือปฏิบัติการคบเพลิงนั้นตั้งขึ้นมาเพื่อจัดการกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ หลังแบล็คริเวอร์หมายเลขสามลงไปประจำการแล้ว เกรงว่าแม้แต่รายงานอสูรสยองมาคอยก่อกวนก็คงจะไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไร
ส่วนสถานที่สุดท้ายที่มีโอกาสจะถูกโจมตีก็คือสถานีปลายทางในป่า ซึ่งตามหลักแล้วมีความสำคัญน้อยที่สุด ขอเพียงลีฟไม่ไปสู้กับปีศาจ ปีศาจก็แทบจะทำอะไรเธอไม่ได้ เพราะว่าตรงนั้นอยู่ห่างจากเส้นทางส่งหมอกแดงอย่างมาก หน่วยจู่โจมเล็กๆ ของศัตรูไม่สามารถสร้างความเสียหายอะไรให้กับการทำงานตรงสถานีได้มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นบริเวณรอบๆ สถานีก็ถูกเผาไปแล้วครั้งหนึ่ง การจะใช้แผนเดิมนั้นเป็นไปได้ยาก
เนื่องจากแนวรบขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง ไลต์นิ่งเองก็สามารถไปสอดแนมดูสถานการณ์ตรงซากเมืองทาคิลาได้แล้ว จนถึงตอนนี้ ปีศาจยังไม่มีทีท่าว่าจะส่งกำลังเข้ามาเพิ่ม เมื่อมองลงไปจากท้องฟ้า แม้แต่สายส่งหมอกแดงที่อยู่ด้านหลังก็น้อยลงไปมาก
หลักฐานทุกอย่างกำลังแสดงให้เห็นว่ามนุษย์กำลังจะได้รับชัยชนะในศึกทางเหนือ แล้วก็มีโอกาสที่จะขับไล่ปีศาจออกไปจากที่ราบลุ่มบริบูรณ์ได้ก่อนที่พระจันทร์สีแดงจะปรากฏ
…………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น