Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1119-1120

 ตอนที่ 1119 นักค้นคว้าศาสตร์ลึกลับที่แท้จริง

โดย

Ink Stone_Fantasy

โรแลนด์ยกหูโทรศัพท์ต่อไปยังเมืองชายแดนที่สาม “บอกให้เซลีนอย่าเพิ่งแกะลูกบาศก์เวทมนตร์! เดี๋ยวข้ากำลังจะไปที่นั่น!”


“พ่ะ…พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” เห็นได้ชัดว่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่ปลายสายไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังทำตามคำสั่ง


“พาข้าไปเมืองชายแดนที่สาม” โรแลนด์หันมาพูดกับไนติงเกล “เอาแบบเร็วที่สุด”


“ทราบแล้วเพคะ” อีกฝ่ายยิ้มๆ ขึ้นมาพร้อมกับจับข้อมือเขาไว้ “อย่างนั้นอาจจะเวียนหัวนิดหน่อยนะเพคะ”


จากนั้นทั้งสองคนก็หายตัวเข้าไปในหมอกมายา


หลังจากนั้น 5 นาที


“อ็อก…” โรแลนด์ปรากฏตัวอยู่ในโถงพร้อมกับเอามืออุดปากตัวเองเอาไว้ ต้องยอมรับเลยว่าไนติงเกลนั้นใช้พลังได้คล่องแคล่วกว่าในตอนแรกที่เขาเจอเธออย่างมาก ในวิ่งทะลุไปในโลกขาวดำเหมือนกับการโต้ไปบนคลื่นอย่างไรอย่างนั้น คลื่นที่โถมเข้ามาคลื่นแล้วคลื่นเล่าทำให้เขารู้สึกทรมาน แต่เธอกลับวิ่งไปข้างหน้าได้อย่างลื่นไหล จะบอกว่ามันเป็นเหมือนศิลปะก็คงจะไม่เกินไป แต่ตัวเขากลับรู้สึกไม่ค่อยดีซักเท่าไร โดยเฉพาะเส้นโครงสร้างที่สลับซ้ายเป็นขวา แนวนอนเป็นแนวตั้งพวกนั้น ทำเอาเขารู้สึกว่ามันน่าหวาดเสียวมากกว่านั่งรถไฟเหาะเสียอีก “ในที่สุด…ก็ถึงแล้ว”


ไนติงเกลยิ้มๆ พร้อมลูบหลังเขาเบาๆ


‘ทำไมเหรอเพคะ ฝ่าบาท?’ เซลีนค่อยๆ ลงมาจากบนเพดานถ้ำพร้อมเครื่องมือชุดใหญ่ ‘ได้ยินว่าพระองค์ทรงหาหม่อมฉันเหรอเพคะ?’


เมื่อเห็นค้อนเหล็ก เลื่อยและสิ่งที่อยู่บนหนวดของอีกฝ่าย โรแลนด์ก็ถอนใจออกไปเล็กน้อย “ดูเหมือนจะมาทันเวลา”


แต่ว่าทำไมในเครื่องมือถึงมีหอกกับขวานด้วยล่ะ? หรือว่าเธออยากจะทำลายลูกบาศก์จนเป็นชิ้นๆ?


“ลูกบาศก์นั่นอยู่ไหน


‘ยังอยู่ในห้องทดลองใต้ดินเพคะ’


เขาสูดหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าสร้างของเลียนแบบมันขึ้นมาได้ไหม?”


เซลีนดูงุนงงอย่างชัดเจน ‘พระองค์แน่ใจเหรอเพคะ? เจ้านั่นมันไม่มีประโยชน์อะไรไม่ใช่เหรอเพคะ’


“บางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นซะทีเดียว” โรแลนด์อธิบายความคิดของตัวเองออกมาอย่างคร่าวๆ “จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของเครื่องจักรไอน้ำก็คือน้ำหนักของเชื้อเพลิงที่หนักอย่างมาก ถ้าเราสามารถใช้ลูกบาศก์มาแทนที่มันได้ เราก็มีโอกาสปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิตได้อีกครั้ง”


แหล่งกำเนิดพลังที่ทรงพลังและมีประสิทธิภาพสูงนั้นคือหัวใจสำคัญที่อุตสาหกรรมต้องการ ไม่ว่าจะเอาไปใช้ในการสร้าง การผลิตไฟฟ้า หรือว่าใช้บนอุปกรณ์ก็ล้วนแต่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมาก


แต่การจะไปถึงขั้นนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เตาเผากับลูกบาศก์นั้นไม่ใช่ระบบที่จะมาแทนที่กันได้ง่าย หากเปลี่ยนวิธีการให้ความร้อนเป็นแบบใหม่ ทั้งระบบหมุนเวียนความร้อน ระบบควบคุมและการซ่อมบำรุงอะไรต่างๆ ก็ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด และก่อนที่จะสำเร็จได้ก็ต้องเจอกับความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน แต่ความเป็นไปได้อันนี้มันก็คุ้มที่เขาจะลองดู


‘ต้มน้ำเดือดได้งั้นเหรอ…ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง’ เซลีนครุ่นคิดอยู่ครู๋ จากนั้นพูดเหมือนลำบากใจออกมาว่า ‘แต่ว่า…ถ้าไม่แกะมันออกมาดูโครงสร้างด้านในอย่างละเอียด หม่อมฉันเกรงว่าคงจะไม่สามารถสร้างมันออกมาได้เพคะ เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับพลังเวทมนตร์ แต่พระองค์ทรงไม่อนุญาตให้หม่อมฉันแกะมัน’


“แค่กๆ ข้าหมายความว่าอย่าแกะมันเหมือนว่ามันเป็นขยะ” โรแลนด์กระแอม “ถ้าทำเพื่อสร้างของเลียนแบบมันขึ้นมา การจะแยกส่วนมันอย่างละเอียดและระมัดระวังมันก็ไม่เป็นปัญหาหรอก”


‘หรือว่ามันมีการแยกส่วนแบบไม่ละเอียดกับไม่ระมัดระวังด้วยเหรอเพคะ?’ เซลีนพูดอย่างแปลกใจ จากนั้นเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนน้อยใจว่า ‘เมื่อก่อนตอนที่อยู่ในสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับ ถ้าทำวัตถุโบราณเสียหายจะต้องถูกลงโทษ แต่ตั้งแต่ที่หม่อมฉันเข้าไปอยู่ในสมาคมจนกระทั่งทาคิลาล่มสลาย หม่อมฉันยังไม่เคยถูกลงโทษเลยแม้แต่ครั้งเดียว ท่านนาตาย่ายังเคยเอ่ยปากชมด้วยว่าหม่อมฉันมีมือที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ ถ้าหม่อมฉันทำวิจัยไม่ระมัดระวัง แกนเวทมนตร์ที่อยู่ในโถงคงจะพังจนไม่มีเหลือซักชิ้นแล้วเพคะ’


เมื่อเจอกับการโต้แย้งด้วยการชมตัวเอง โรแลนด์จึงมองดูเครื่องมือที่อยู่ในมือเธอด้วยสายตาที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ก่อนหน้านี้เจ้าใช้พวกมันแกะพวกวัตถุโบราณเหรอ?”


‘พวกนี้?’ เซลีนงุนงง ‘ใช่ที่ไหนล่ะเพคะ ก็พระองค์ทรงติดตั้งอาวุธใหม่ให้พวกพี่น้องแม่มดอาญาสิทธิ์แล้วไม่ใช่เหรอเพคะ…อาวุธของเก่าพวกนั้นก็เลยไม่มีใครใช้แล้ว แทนที่จะเอามันไปเก็บให้ขึ้นสนิม สู้เอามาใช้ทำอย่างอื่นดีกว่า ในห้องเก็บข้อมูลของหม่อมฉันกำลังขาดชั้นวางหนังสืออยู่พอดี อ้อ ใช่แล้วเพคะ ทำไมพระองค์ถึงมองอาวุธที่ไม่ใช่แล้วพวกนี้เป็นเครื่องมือในการทำวิจัยล่ะเพคะ?’·


ไนติงเกลเอามือปิดปากขึ้นมาพร้อมกับเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง เมื่อดูจากไหล่ที่กำลังสั่นขึ้นมาเบาๆ ของเธอ ดูเหมือนเธอจะกำลังพยายามกลั้นขำอยู่


โรแลนด์เองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ไม่ ข้านึกว่าเวลาเจ้าเจอเรื่องที่เกี่ยวกับเวทมนตร์ เจ้าจะอยู่ในสภาพบ้าคลั่ง…”


‘พาซาร์ต้องเป็นคนพูดแน่ๆ’ เซลีนใช้หนวดหลักขึ้นมาเท้าก้อนเนื้อเหมือนเท้าเอว ‘นางแยกความแตกต่างระหว่างความบ้าคลั่งกับความสนใจไม่ออก…นักค้นคว้าศาสตร์ลึกลับที่แท้จริงต้องมีความคิดที่ละเอียดถี่ถ้วน แต่มีความเคลื่อนไหวที่ถูกต้องแม่นยำ การทำงานติดต่อกันหลายๆ วันหรือไม่ก็อ่านหนังสือเยอะๆ มันไม่ถือเป็นความบ้าคลั่งซักหน่อยเพคะ…’·


เมื่อเห็นอีกฝ่ายเหมือนจะงอนเล็กน้อย โรแลนด์จึงรีบพูดตัดบทเธอ “เอาล่ะๆ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว สรุปแล้วก็คือต้องตรวจดูโครงสร้างของลูกบาศก์อย่างละเอียด เจ้าถึงจะสร้างมันขึ้นมาได้ใช่ไหม?”


เมื่อการพูดคุยเข้าสู่ประเด็นสำคัญ เซลีนก็กลับมาเป็นปกติทันที ‘นี่มันก็ขึ้นอยู่กับระดับความซับซ้อนของลูกบาศก์เพคะ ถึงแม้จะไม่สามารถมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง เพราะว่ามันมีจุดเด่นที่เด่นชัดอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือมันไม่จำเป็นต้องใช้พลังเวทมนตร์ในการควบคุม นี่หมายความจุดที่ยากที่สุดนั้นไม่มีอยู่แล้ว’


“สิ่งที่เลียนแบบได้ยากที่สุดก็คือวิธีการใช้พลังเวทมนตร์!” โรแลนด์เข้าใจประเด็นสำคัญในทันที


‘ถูกต้องเพคะ’ เซลีนพยักหนวดหลัง ‘มนุษย์ ปีศาจ อารยธรรมใต้ดิน…หรือไม่ก็เผ่าพันธุ์อื่นล้วนแต่มีวิธีการใช้พลังเวทมนตร์ที่ต่างกัน เนื่องจากมีความต่างกันในเรื่องของสรีสะและความคิด ยกตัวอย่างเช่นหินเวทมนตร์ ที่พวกเราคงไม่มีทางเอามันมาฝังในร่างกายเพื่อรับพลังต่างๆ เหมือนอย่างพวกปีศาจได้ ขณะเดียวกัน ถ้าไม่เป็นเพราะหม่อมฉันเปลี่ยนเป็นร่างต้นแบบ หม่อมฉันก็คงไม่มีทางที่จะซ่อมแซมแกนเวทมนตร์ขึ้นมาด้วยร่างกายของมนุษย์แน่นอนเพคะ’


‘การที่ไม่จำเป็นต้องใช้พลังเวทมนตร์ในการควบคุมก็หมายความว่าหม่อมฉันไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลาศึกษาว่าอารยธรรมที่หายสาบสูญไปนั้นใช้พลังเวทมนตร์แบบไหน แล้วก็ใช้งานพวกมันอย่างไร ทูลตามตรงเพคะ ถ้าไม่มีข้อมูลที่มากพอ เกรงว่าหม่อมฉันคงจะทำมันไม่สำเร็จ แต่ตอนนี้ขอเพียงหม่อมฉันสร้างของที่เหมือนกับลูกบาศก์นี่ขึ้นมาได้ พวกเราก็จะใช้พลังเวทมนตร์แบบเดียวกันกับมันได้ แน่นอนว่าหากเป็นยุคสมัยทาคิลา นี่คงจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก แต่ตอนนี้เมื่อมีแกนเวทมนตร์ที่สามารถควบคุมได้ดั่งใจ อะไรๆ จึงง่ายขึ้นเยอะเพคะ’


เซลีนชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพูดถึงตรงนี้ ‘แต่นอกจากเรื่องนี้แล้ว เรายังมีอีกปัญหาหนึ่งที่ต้องแก้ไขเพคะ’


“ปัญหาอะไร?”


‘วัตถุดิบเพคะ’ เธอพูด ‘หลายวันมานี้หม่อมฉันเองก็ศึกษาลูกบาศก์เวทมนตร์อยู่ตลอด หม่อมฉันพบว่าผิวนอกของมันถึงแม้จะดูแล้วคล้ายก้อนหินอย่างมาก แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้ใช้ก้อนหินสร้างขึ้นมา หม่อมฉันไม่มั่นว่ามันคืออะไร บางทีมันอาจจะเป็นกระดูกของสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์หรือไม่ก็เป็นอะไรบางอย่างที่จับตัวแข็งเป็นก้อน สรุปแล้วก็คือหม่อมฉันก็ต้องการตัวอย่างที่มากกว่านี้…แต่ก่อนหน้านี้พระองค์ตรัสว่าของที่อยู่ในวิหารต้องสาปนั้นถูกขนออกไปจนหมดแล้ว แม้แต่ลูกบาศก์ชิ้นนี้ก็ยังได้มาแบบบังเอิญอีก ดังนั้นหม่อมฉันจึงไม่แน่ใจว่าวัตถุดิบที่ใช้ทดแทนจะได้ผลที่เหมือนกันหรือไม่เพคะ’


“วัตถุดิบงั้นเหรอ…” โรแลนด์พูดเสียงคร่ำเคร่ง “เหมือนจะมีที่ๆ หนึ่งที่มีของคล้ายกันอยู่”


มันนับเวลาดูแล้ว สถานที่ที่ห่างไกลแห่งนั้นน่าจะมีความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างแล้ว…เขาเงยหน้ามองไปทางทิศใต้ ถ้าภาพในวิหารต้องสาปไม่ใช่เรื่องโกหก อย่างนั้นก็อาจจะเจออะไรบางอย่างที่นั่นก็ได้


………………………………………………………………..



ตอนที่ 1120 เมืองแหลมทะเล

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เรือมาแล้ว ทุกคน! มาเร็ว!” ซิมบาดี้ตะโกนเสียงดัง


“โอ้ๆๆๆ!” ชาวเผ่าฟิชโบนแห่กันมาที่ท่าเรือ ต่างคนต่างทำงานของตัวเอง บางคนรับผิดชอบเรื่องการมัดเชือก บางคนรับผิดชอบเรื่องสะพานไม้ ถึงแม้จะดูยุ่งวุ่นวาย แต่กลับไม่มีอาการเงอะๆ เงิ่นๆ แม้แต่นิดเดียว ขอเพียงไม่ต้องขึ้นเรือ ท่าทางของพวกเขาไม่ได้ต่างจากกะลาสีเรือเท่าไร ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อหนึ่งปีครึ่งก่อนหน้านี้ คนที่ทั้งชีวิตเคยเห็นทะเลเพียงไม่กี่ครั้งจะมาทำงานแบบนี้ได้


ไม่นาน สินค้าบนเรือก็ถูกขนลงมาจนหมด


“ซิมบาดี้ พวกเขาบอกว่าให้ขนสินค้าขึ้นไปได้แล้ว!”


“สินค้าแดงหรือสินค้าดำ แต่ละอย่างเอากี่ถัง เจ้าได้ถามมาหรือเปล่า?”


“วางใจได้ ข้าจดไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว!”


“ดีมาก อย่างนั้นก็เริ่มกันเลย!”


‘สินค้า’ คือคำเรียกที่ทุกคนใช้กันเป็นประจำ ทั้งแหลมเอนด์เลสนั้นผลิตสินค้าเพียงแค่ชนิดเดียว นั่นก็คือน้ำสีดำจากแม่น้ำสติกส์ใต้ดิน แต่ว่าเมื่อพื้นที่การเก็บน้ำสีดำขยายใหญ่ขึ้น ชาวทะเลทรายก็พบว่าแม้น้ำสติกส์นั้นไม่ได้มีแค่สีเดียว ในแม่น้ำใต้ดินอีกสองสายมีแม่น้ำสติกส์สีเขียวดำและสีแดงเข้ม ซึ่งพวกมันต่างก็ใช้จุดไฟได้เหมือนกัน ต่างกันแต่เรื่องคุณลักษณะและกลิ่นเท่านั้น เพื่อความสะดวก ทุกคนจึงเริ่มใช้คำว่า ‘สินค้า’ มาแทนที่น้ำสีดำ จากนั้นไม่นานคำเรียกนี้ก็แพร่หลายในหมู่คนทางเหนือ


ซิมบาดี้มาทำงานที่ท่าเรือเรฟเวลรี่เป็นครั้งที่สี่แล้ว


เขาจำได้ว่าตอนที่มายังทะเลทรายที่รกร้างแห่งนี้ครั้งแรก ความคิดแรกของเขาก็คือถ้าหลังจากนี้อีกสามเดือนเขายังมีชีวิตรอดไปได้ เขาก็จะหนีไปจากที่นี่ให้ไกล แต่สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือเมืองแห่งหนึ่งจะค่อยๆ ปักหลักลงที่ทางตอนใต้สุดของทะเลทรายได้จริงๆ ถ้าการฟื้นฟูโอเอซิสนั้นคือเรื่อมหัศจรรย์ อย่างนั้นการสร้างท่าเรือเรฟเวลรี่ก็เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์จากพระเจ้า


ที่แหลมเอนด์เลสกลายเป็นดินแดนแห่งการเนรเทศก็เพราะว่ามันไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากอันตราย ต่อให้เป็นนายพรานที่มีประสบการณ์โชกโชนแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะมีชีวิตอยู่ที่นี่ด้วยตัวคนเดียวได้ การที่อยากจะสร้างเมืองที่รองรับคนได้หนึ่งร้อยคนหรือหลายพันคนนั้น ชาวทะเลทรายมองว่ามีแต่สามเทพเท่านั้นที่จะทำได้


เดิมเขาคิดว่าหลังจากชีคผู้ที่ดูถูกพลังของทะเลทรายจะล้มเลิกความคิดที่น่าขันนี้ไปหลังจากที่ได้ลิ้มรสความล้มเหลว แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าแท้ที่จริงแล้ว คนที่ไม่รู้เรื่องของทะเลทรายนั้นกลับกลายเป็นชาวทะเลทรายที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายนี้มาหลายร้อยปีต่างหาก


แหลมเอนด์เลสนั้นมีอะไรอย่างอื่นอยู่


เพียงแต่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนเท่านั้น


ปัญหาแรกที่ถูกจัดการก็คือเรื่องแหล่งน้ำ


เจ้าหน้าที่จากอาณาจักรทางเหนือที่ชื่อเคนคูรี่คนนั้นนำพวกเขาไปสร้างอ่างเก็บน้ำที่ยาวสุดลูกหูลูกตา มันคือเพิงเตี้ยๆ ที่มีผ้าใบสีดำบางๆ คลุมเอาไว้อยู่ ตอนแรกเขายังมองไม่เห็นความแปลกประหลาดของมัน แต่พอสิ้นสุดเดือนแห่งปีศาจ ชาวทะเลทรายถึงได้รู้ว่าแสงอาทิตย์นั้นสามารถแยกเกลือสีขาวออกมาจากน้ำทะเลได้ ไอน้ำจะไปจับตัวเป็นหยดน้ำอยู่บนผ้าใบ ก่อนจะไหลลงมารวมกันอยู่ในท่อ จากนั้นจึงไหลไปรวมอยู่ในถังเก็บน้ำ แสงอาทิตย์ยิ่งแรก ความเร็วในการเก็บน้ำก็จะยิ่งเร็ว ถึงแม้อ่างน้ำอ่างหนึ่งจะผลิตน้ำจืดได้ไม่เยอะ แต่เมื่ออ่างน้ำหลายร้อยอ่างรวมกัน ปริมาณน้ำที่ได้ก็ถือว่ามากพอเลยทีเดียว


ตอนนี้อ่างเก็บน้ำแบบนี้ยังคงถูกขยายออกไปเรื่อยๆ ไม่หยุด พวกมันไม่เพียงแต่จะผลิตน้ำได้เพียงพอต่อความต้องการของชาวทะเลทราย แต่มันยังสามารถผลิตน้ำจืดให้กับเรือของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ด้วย นี่ถือเป็นการทำลายความรู้ความเข้าใจเดิมของชาวทะเลทรายลงจนหมดเลยก็ว่าได้


เรื่องต่อมาคือปัญหาที่อยู่อาศัย


อาศัยแค่เต็นท์เพียงอย่างเดียวไม่มีทางที่จะกันแสงอาทิตย์ตอนเที่ยงได้แน่ ยิ่งใกล้ฤดูร้อนอากาศก็จะยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่ ถ้าไม่มีที่ให้หลบแดดร้อนๆ แค่น้ำเพียงอย่างเดียวไม่มีทางที่จะอยู่ที่นี่ได้นานแน่


พวกก้อนหินที่ใช้สร้างเมืองไอรอนแซนด์นั้นมาจากพื้นที่ทางใต้สุดก่อนที่มันจะกลายเป็นทะเลทราย นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้บนซิลเวอร์สตรีมมีโอเอซิสอยู่เต็มไปหมด แต่กลับมีเมืองอยู่เพียงเมืองเดียว


ซึ่งคนจากอาณาจักรทางเหนือยังคงใช้วิธีหาวัตถุดิบจากในพื้นที่เหมือนเดิม


พวกเขาสร้างเตาเผาขึ้นมาหลายเตา แล้วใช้น้ำสีดำเป็นเชื้อเพลง ก่อนจะใส่โคลนที่ขุดขึ้นมาจากใต้ทะเลที่ผสมกับทรายละเอียดที่ผ่านการกรองเข้าไป จากนั้นจึงเผามันให้กลายเป็นอิฐออกมา เนื่องจากเป็นวัตถุดิบที่มีให้ใช้อย่างต่อเนื่อง ไม่นานท่าเรือเรฟเวลรี่จึงมีบ้านที่ทำจากอิฐขึ้นมา แถมกำแพงด้านนอกกับเพดานยังใช้เป็นโครงสร้างสองชั้นด้วย ถึงแม้จะไม่อาจเทียบกับโอเอซิสที่มีเงาไม้ปกคลุมได้ แต่ก็ว่าเป็นที่มีอาศัยที่มีความแข็งแรงทนทาน


สุดท้ายก็คือเรื่องอาหาร


ทูรามที่เป็นผู้อาวุโสของเผ่าพราวด์แซนด์สั่งให้ทุกคนเอาแหหลายสิบปากไปกางไว้ตรงริมชายหาด เวลาที่น้ำขึ้น น้ำทะเลก็จะขึ้นมาท่วมแหเหล่านี้ พอน้ำลด บนแหก็จะมีสัตว์แปลกๆ ติดอยู่ตามแหเต็มไปหมด ตอนแรกซิมบาดี้ไม่กล้าที่จะกินอาหารรูปร่างแปลกๆ เหล่านี้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าแส้ของทูราม เขาจึงได้แต่ต้องกัดฟันกินมันเข้าไป


แต่เขากลับต้องแปลกใจเมื่อพบว่าของเหล่านี้มีรสชาติที่ไม่เลวเลยทีเดียว


ถึงแม้อาหารส่วนใหญ่ของพวกเขาจะยังต้องขนมาจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ แต่เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อาหารของพวกเขาถือว่าอุดมสมบูรณ์กว่ามาก


หลังเรื่องอาหารการกินและที่อยู่อาศัยได้รับการแก้ไขแล้ว สภาพจิตใจของซิมบาดี้ก็ค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง กระทั่งช่วงเวลาสามเดือนสิ้นสุดลง เขาก็ทำการตัดสินใจที่แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกแปลกใจ นั่นคือเลือกที่จะทำงานที่ท่าเรือเรฟเวลรี่ต่อ


เพราะว่าเงินค่าจ้างที่นี่ดีกว่าท่าเรือเคลียร์วอเทอร์ไม่น้อยทีเดียว


นอกจากนี้เขายังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจเช่นนี้


….


หลังเรือลำสุดท้ายขนสินค้าจนเต็ม งานวันนี้ก็เป็นอันสิ้นสุดลง


“ซิมบาดี้ วันนี้เหนื่อยหน่อยนะ”


“พี่ พรุ่งนี้เจอกัน!”


“เดี๋ยวข้าจะไปตลาดซักหน่อย เจ้าจะไปกับข้าไหม?”


เนื่องจากมาทำงานที่นี่หลายครั้ง ซิมบาดี้จึงกลายเป็นผู้รับผิดชอบของเผ่าฟิชโบนไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะมีภารกิจอะไร ทูรามจะมาหาเขาเป็นคนแรก เมื่อเจอกับการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ เขาก็แอบรู้สึกตกใจเหมือนกัน ตอนที่ยังอยู่ที่โอเอซิสในซิลเวอร์สตรีม เขาเหมือนเป็นคนที่ไม่มีตัวตน อย่าว่าแต่ให้เขารับผิดชอบงานอะไรเลย แม้แต่คนที่ยินดีจะมาทำงานกับเขายังมีแค่ไม่กี่คน แต่ตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะมีคนยกเขาให้เป็นหัวหน้าทีม แถมยังมีสาวๆ บางคนมาเชื้อเชิญเขาด้วย นี่ทำให้เขารู้สึกขอบคุณชีคอย่างมาก


แต่ซิมบาดี้ก็ไม่ได้ตอบรับคำเชื้อเชิญเหล่านั้น


เพราะในใจเขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว


“เฮ้ รอข้าก่อน ซิมบาดี้!”


ในขณะที่เขากำลังเตรียมตัวจะไปหามอลลี่ เสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังมาเข้าหูของเขา


มุมปากของซิมบาดี้ยกขึ้นมาทันที เขายิ้มพร้อมหันหน้ากลับไป แต่สีหน้าเขากลับนิ่งไปทันที


คนที่มาหาเขาคือมอลลี่ หญิงสาวที่มักจะมัดผมเปียสีดำและเป็นเพียงคนเดียวในเผ่าที่ไม่แสดงท่าทีรังเกียจเขา


คาร์โลนซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของเผ่าเลือกที่จะไม่ทำงานต่อที่นี่ แต่ตัวมอลลี่กลับเลือกที่จะทำงานต่อ และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขายังอดทนทำงานต่อไป เดินซิมบาดี้คิดว่าตัวเองอาจจะมีโอกาส แต่ตอนนี้เขากลับเป็นอีกฝ่ายจูงมือชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาตัวเอง


ยิ่งไปกว่านั้นชายคนนั้นยังไม่ใช่ชาวทะเลทรายด้วย!


“มอลลี่ เจ้า…กับเขา…” ซิมบาดี้พูดอึกๆ อักๆ


“อา!” ในตอนนี้มอลลี่ถึงได้สังเกตเห็นว่ามือของทั้งสองคนกำลังจับกันอยู่ เธอรีบปล่อยมืออีกฝ่ายแล้วยิ้มอย่างเขินๆ “ข้าอยากรีบพาเขามาหาเจ้า ก็เลยจูงมือเขามาน่ะ”


“อย่าง…อย่างงั้นหรอกเหรอ?”


“ฟู่ว สาวน้อยคนนี้แรงเยอะจริงๆ” คนๆ นั้นหายใจหอบเล็กน้อย “ข้าอยากจะหยุดก็หยุดไม่ได้ เหมือนกับถูกวัวลากอย่างไรอย่างนั้น…ชาวโมแกนนี่แข็งแกร่งสมคำร่ำลือจริงๆ” เขามองดูซิมบาดี้ “ข้าขอแนะนำตัวก่อนแล้วกัน…ข้าชื่อริคส์ มาจากฟยอร์ดที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของทะเล”


“แค่ดูก็รู้ว่าเจ้าคือคนฟยอร์ด” ซิมบาดี้กันมอลลี่ไปอยู่ข้างหลัง “ข้าไม่มีอะไรวัตถุโบราณอะไรจะขายให้เจ้าหรอกนะ เจ้าไปซะเถอะ!”


ถ้าบอกว่าที่ผ่านมาท่าเรือเรฟเวลรี่นั้นอยู่ในสภาพที่พัฒนาไปได้เรื่อยๆ ทั้งขนาดพื้นที่และจำนวนประชากรนั้นค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ แล้วล่ะก็ เช่นนั้นช่วงระยะเวลาสามเดือนนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นการทำลายความเงียบสงบที่มีอยู่แต่เดิมลง ทั้งแหลมเอนด์เลสเหมือนกลายเป็นเส้นทางเดินเรือยอดนิยมภายในคืนเดียว เรือจากฟยอร์ดจำนวนมากล่องเข้ามาที่เมืองท่าแห่งใหม่นี้ แถมยังนำพาความยุ่งยากเข้ามาด้วย


ชาวเกาะที่เรียกตัวเองมาเป็นสำรวจเหล่านี้พากันขุดนู่นขุดนี่ ก็ไม่ก็ส่งคนออกมารับซื้อสิ่งของแปลกๆ นานาชนิด แค่เวลาไม่นานก็ทำเอาท่าเรือเฟรเวลรี่แห่งนี้วุ่นวายไปหมด  จริงอยู่ที่การแห่ทะลักเข้ามาของพวกเขาทำให้ที่นี่คึกคักขึ้นมา ตลาดนัดที่ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาก็เป็นที่นิยมของชาวโมเกนอย่างมาก เช่นนี้แล้วทุกคนก็จะได้ใช้เงินค่าจ้างไปซื้อของที่ตัวเองอยากได้ ไม่จำเป็นต้องรอกลับไปที่ท่าเรือเคลียร์วอเทอร์แล้วค่อยซื้อเหมือนอย่างทุกที แต่ในอีกด้านหนึ่ง การเข้ามาของคนเหล่านี้ก็ทำให้เกิดข่าวด้านลบต่างๆ


อย่างเช่นนักสำรวจบางคนอยากจะลงไปสำรวจดูแม่น้ำสติกซ์ใต้ดิน แต่กลับพลาดตกลงไปในแม่น้ำใต้ดิน สุดท้ายคนที่ช่วยเขากลับมาก็คือทีมช่วยเหลือของชาวทะเลทราย


หรืออย่างเช่นนักสำรวจบางคนซื้อก้อนหินและภาชนะโลหะที่น่าสงสัย แต่เงินที่พวกเขาใช้ซื้อกลับเป็นเงินปลอม จนทำให้ทำทั้งสองฝ่ายเกือบทะเลาะกันอย่างรุนแรง


เรื่องที่ร้ายแรงมากที่สุดก็คือพวกเขายื่นมือเข้ามายุ่งกับแหล่งน้ำแห่งชีวิตของท่าเรือเรฟเวลรี่ พวกเขาขโมยแผ่นผ้าใบพิเศษที่ใช้คลุมอ่างเก็บน้ำไปหลายผืน จนสุดท้ายเรื่องนี้ทำให้กองทัพที่หนึ่งเคลื่อนไหว คนผิดหลายคนถูกจับส่งตัวไปยังเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ได้ยินว่าสิ่งที่กำลังรอพวกเขาอยู่ก็คือการทำงานในเหมืองไปตลอดชีวิต


และก็เป็นเพราะเรื่องไม่ดีเหล่านี้ที่ทำให้ซิมบาดี้รู้สึกไม่ไว้ใจคนฟยอร์ดอย่างมาก


“ข้าไม่ได้มาซื้ออะไร เพราะข้าชอบพึ่งพาความสามารถของตัวเองมากกว่าที่จะฉกฉวยผลประโยชน์จากคนอื่น” ริคส์พูดพร้อมถูมือ “และนี่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะได้มีชื่อเสียงจากของแปลกล่ะ”


………………………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)