Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1117-1118
ตอนที่ 1117 แสงแห่งคำสาป
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถึงแม้ห้องทดลองแห่งนี้จะเป็นฝีมือการออกแบบของเขา แต่ในตอนที่ได้มาเห็นมันด้วยตาตัวเอง ภายในใจโรแลนด์ยังคงแอบรู้สึกตกตะลึง
ใต้ดินที่เดิมควรจะมืดมิดจนมองไม่เห็นแม้กระทั่งนิ้วมือตัวเองมีหินเวทมนตร์ส่องสว่างจนมองเห็นทางที่อยู่ข้างหน้า ผนังหินที่อยู่รอบๆ ถูกแผ่นตะกั่วขนาด 2 x 2 เมตรปูปิดเอาไว้จนกลายเป็นห้องที่มีขนาดประมาณสนามบาสเกตบอล
แผ่นตะกั่วขนาดเท่ากันที่ดูแวววาว ช่องว่างเส้นตรงระหว่างแผ่นตะกั่วที่สานกันไปมา แสงเย็นๆ ที่สะท้อนออกมาจากแผ่นตะกั่วทำให้มันดูแล้วไร้ซึ่งชีวิตชีวา แต่โรแลนด์กลับรู้สึกได้ถึงความงดงามอย่างหนึ่งจากภายในห้องนี้
นี่คือความงดงามของยุคสมัยแห่งอุตสาหกรรม
“ถ้าพวกเราไม่สามารถคว้าชัยชนะในสงครามแห่งโชคชะตาได้ หลังจากนี้อีกหลายร้อยปี ที่แห่งนี้คงจะกลายเป็นโบราณสถานอีกแห่งสินะ” โรแลนด์พูดเสียงเบาๆ
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นโบราณสถานที่มีสไตล์แตกต่างจากโบราณสถานของอารยธรรมโบราณและของปีศาจโดยสิ้นเชิง
รอยขูดขีดเล็กๆ ที่อยู่บนแผ่นตะกั่วนั้นเป็นรอยประทับที่มนุษย์เป็นคนทำขึ้นมา
‘คงจะเป็นเช่นนั้นเพคะ’ พาซาร์วางทั้งสองคนลงอย่างแผ่วเบา ‘แต่หม่อมฉันไม่เคยเชื่อเหมือนอย่างตอนนี้มาก่อน…หม่อมฉันเชื่อว่ามนุษย์จะต้องได้รับชัยชนะแน่นอนเพคะ’
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” โรแลนด์ยิ้มๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทดลอง
ภายในห้องทดลองถูกแบบออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นห้องปฏิบัติการณ์ อีกส่วนหนึ่งเป็นห้องสังเกตการณ์ ทั้งสองส่วนมีกำแพงซีเมนต์ขนาดประมาณครึ่งเมตรกั้นเอาไว้อยู่ อีกทั้งยังมีการปูแผ่นตะกั่วเอาไว้เหมือนด้วย ตรงกลางกำแพงมีการติดตั้งกระจกชนิดพิเศษที่มีการเติมเลด (II) ออกไซด์ที่ลูเซียเป็นคนทำขึ้นมา ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ในตอนนี้ ทำให้ความโปร่งใสของกระจกไม่อาจสู้กระจกในโลกสมัยใหม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้คนมองเห็นอีกฟากหนึ่งได้อย่างชัดเจน
‘มาแล้วเหรอเพคะ ฝ่าบาท’ หนวดหลักเส้นหนึ่งยื่นออกมาจากด้านหลังประตูของปฏิบัติการ ก่อนจะตามมาด้วยร่างกายอันใหญ่โตของเซลีน การปรากฏตัวของเธอดูแล้วค่อนข้างเหมือนภาพในหนังสัตว์ประหลาด ‘หม่อมฉันกำลังติดตั้งแผนตะกั่วแผ่นสุดท้ายอยู่เพคะ ได้ยินพาซาร์บอกว่าพวกโซอี้เอาสมบัติโบราณนั่นกลับมาแล้วเหรอเพคะ?’
“อยู่ในลังนี่” โรแลนด์เอาลังตะกั่ววางไว้บนหนวดหลักของเธอ จากนั้นจึงเดินเข้าไปสำรวจดูในพื้นที่ปฏิบัติการณ์อย่างละเอียด
‘เป็นยังไงบ้างเพคะ? ที่นี่ตกแต่งเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงต้องการเลยเพคะ’ เซลีนยกหนวดขึ้นมา ‘แต่ว่าเราจำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้จริงๆ เหรอเพคะ? ถ้าคำสาปมันเป็นแค่ลำแสงชนิดหนึ่ง อย่างนั้นกำแพงธรรมดาก็น่าจะพอแล้วหรือเปล่าเพคะ?’
“เราต้องป้องกันเอาไว้ก่อน ถ้ามันเป็นเหมือนอย่างที่ข้าคิดจริงๆ อย่างนั้นลำแสงของมันไม่เพียงแต่จะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่มันยังมีความสามารถในการทะลุทะลวงที่รุนแรงมาก จริงอยู่ที่กำแพงธรรมดาสามารถป้องกันได้ แต่อย่างน้อยมันก็ต้องมีความหนาหลายเมตร” เขาหันหน้ากลับมามองดูแม่มดโบราณทั้งสองคน “ดังนั้นห้ามทำอะไรโดยอาศัยเพียงความรู้สึกเด็ดขาด ถึงแม้ร่างต้นแบบจะมีความสามารถในการต้านทานที่สูงมาก แต่ในตอนที่เรายังไม่รู้ถึงคุณสมบัติที่แท้จริงของลูกบาศก์เวทมนตร์ เราก็จำเป็นต้องทำการทดลองตามกฎที่วางเอาไว้อย่างเคร่งครัด”
เนื่องจากรังสีไอออไนซ์สามารถทำลายโครงสร้าง DNA ในเซลล์จนทำให้เกิดอุปสรรคในการแบ่งตัวของเซลล์ ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นอันตรายอย่างมากต่ออวัยวะที่มีการเมตาบอลิซึมเร็ว อวัยวะที่พอเติบโตอย่างเต็มที่ก็จะไม่มีการแทนที่อย่างเช่นหัวใจหรือสมองนั้นจะมีความทนทานต่อรังสีไอออไนส์ที่มากกว่า
และเมื่อดูจากอายุขัยหลายร้อยปีของร่างต้นแบบ ตามหลักแล้วมันน่าจะมีความสามารถในการป้องกันรังสีอยู่ นี่จึงเป็นเหตุผลที่โรแลนด์มอบหมายให้เซลีนเป็นคนทำการทดลอง
เซลีนยิ้มขึ้นมา ‘ท่าทางของพระองค์ในตอนนี้ดูแล้วเหมือนกับท่านหัวหน้าสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับเลยเพคะ วางใจได้เพคะ การรักษากฎระเบียบอย่างเคร่งครัดนั้นเป็นสิ่งที่สมาชิกทุกคนของสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว หม่อมฉันไม่มีทางประมาทแน่นอนเพคะ’
โรแลนด์พยักหน้า “อย่างนั้นก็เริ่มได้”
บานประตูถูกปิดลง ภายในพื้นที่ปฏิบัติการเหลือเซลีนเพียงแค่คนเดียว
กฎข้อแรกของการทดลอง ในเวลาที่ทำการวิจัยลูกบาศก์เวทมนตร์ต้องปิดประตูทางเข้าออกห้องทดลองทั้งหมด นอกจากผู้ที่ทำการวิจัยแล้ว คนอื่นๆ ต้องออกมารออยู่ตรงพื้นที่สังเกตการณ์
เมื่อมองผ่านกระจกตะกั่ว โรแลนด์มองเห็นเซลีนเปิดกล่องออก ก่อนจะหยิบเอาลูกบาศก์ออกมาจากด้านใน
มันเป็นเหมือนอย่างที่ฌอนบอกเอาไว้ ลำแสงสีน้ำเงินจางๆ ไหลไปตามร่องบนตัวหิน ตัวลำแสงวิ่งไปกว่าแผ่นยูเรเนียมที่วางอยู่บนแท่นทดลอง
‘น่าสนใจจริงๆ’ เซลีนมองดูมันอยู่ครู่ ‘เจ้าสิ่งนี้ไม่ได้ถูกกระตุ้นใช่ไหมเพคะ?’
เสียงดังทะลุกำแพงออกมา โรแลนด์รวบรวมสมาธิก่อนจะตอบออกไปทางจิตสำนึกเหมือนกัน ‘จากที่ฌอนบอกมา มันเคยถูกเอิร์ลของเกาะอาชดยุคสัมผัสได้ระยะใกล้หลังจากที่มันส่องแสงสีน้ำเงินออกมา ดังนั้นข้าคิดว่ามันน่าจะเป็นเหมือนความสามารถในการนำทางมากกว่า’
‘เข้าใจแล้วเพคะ’ เซลีนหยิบเอาลูกบาศก์ขึ้นม หนวดจำนวนนับไปถ้วนพุ่งเข้าไปหามัน ก่อนจะหุ้มมันเอาไว้ในพริบตา
“นางกำลัง…ทำอะไร?” ไนติงเกลถาม
‘รับรู้’ พาซาร์อธิบาย ‘ความสามารถในการรับรู้ของหนวดนั้นเหนือกว่านิ้วมือของมนุษย์มาก มันไม่เพียงแต่จะสัมผัสได้ แต่มันยังสามารถรับรู้กลิ่นได้ด้วย เวลาที่หนวดเหล่านั้นสัมผัสไปบนพื้นผิวของวัตถุ มันจะสามารถจดจำทุกๆ รายละเอียดบนนั้นได้ ซึ่งอัจฉริยะทางด้านเวทมนตร์อย่างเซลีนนั้นยังสามารถจำลองโครงสร้างและรายละเอียดของมันขึ้นมาในหัวได้ด้วย เสียดายที่ภาพส่วนนี้เป็นภาพที่ส่งมาจากความคิดของร่างเปลือก ถึงคนธรรมดาจะสามารถรับมันเข้าไปได้ แต่ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจมันได้’
“หรือว่าเจ้าสามารถมองเห็นภาพที่นางรับรู้อยู่ได้?” โรแลนด์อุทานออกมาอย่างตกใจ
‘ถ้านางยินดีแบ่งปันล่ะก็’ พาซาร์ยื่นหนวดเส้นหนึ่งออกไปแตะที่กระจก ‘ตอนนี้ภาพลูกบาศก์อยู่ตรงหน้าหม่อมฉันแล้วเพคะ’
เป็นความสามารถที่สะดวกจริงๆ นี่มันเหมือนกับระบบเครือข่ายจิตวิญญาณเลย…ก่อนหน้านี้เขานึกว่าพวกเธอทำได้เพียงส่งจิตสำนึกหากันเท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเธอยังจะสามารถส่งภาพสามมิติหากันได้อีก
‘ความกว้างยาวของลูกบาศก์เวทมนตร์แทบจะเท่ากัน ขนาดอยู่ที่ประมาณ 15 เซนติเมตร ด้านในกลวง สามารถรับรู้ได้ถึงรอยแตก เหมือนมันไม่ได้เป็นชิ้นเดียวกันเพคะ’ จู่ๆ เซลีนก็พูดขึ้นมา
‘หมายความว่าไง?’
‘มันดูแล้วเหมือนจะประกอบขึ้นมาจากก้อนหินหลายๆ ก้อน เดี๋ยวๆ…หม่อมฉันเหมือนจะเจอกลไกลของมันแล้วเพคะ’
พอพูดจบ หนวดที่ปกคลุมลูกบาศก์ก็ค่อยๆ คลายตัวออก ด้านหลังลูกบาศก์มีรูเล็กๆ อยู่รูหนึ่ง ดูแล้วเหมือนกับที่ซ่อนสมบัติที่ถูกฝังมาเป็นเวลาหลายร้อยปีที่ในที่สุดก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง
“สุดยอด” โรแลนด์อุทานออกมา “ไขปริศนาได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
นับตั้งแต่ที่ลูกบาศก์ตกมาอยู่ในมือมนุษย์ก็เป็นเวลาเกือบร้อยปีแล้ว ในระหว่างนั้นต้องมีคนจำนวนมากที่พยายามจะไขปริศนาของมันอย่างแน่นอน แต่เมื่อดูจากบันทึกกลับไม่มีใครที่รู้เลยว่าความจริงแล้วมันไม่ใช่หินก้อนเดียวกัน
‘·หม่อมฉันบอกแล้วเพคะว่าถ้าให้นางจัดการต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน’ พาซาร์พูดยิ้มๆ ‘·แกนเวทมนตร์ของอารยธรรมใต้ดินพวกนั้น เซลีนเป็นคนประกอบมันขึ้นมาทีละชิ้นๆ เลยนะเพคะ’
‘·ฝ่าบาท หม่อมฉันมีข้อสงสัยเพคะ’ เซลีนเอาหนวดแหย่เข้าไปในรู ‘ทำไมมันถึงมีปฏิกิริยากับเหรียญอันนั้นเพียงอย่างเดียวล่ะเพคะ พระองค์ตรัสว่ามันไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาเป็นเวลาหลายปี ตอนแรกหม่อมฉันนึกว่าเป็นเพราะมันใช้พลังเวทมนตร์ไปจนหมด เหมือนกับหินเวทมนตร์หรือไม่ก็รูนอย่างนั้น แต่พอได้จับมันจริงๆ พระองค์ก็น่าจะทรงสังเกตเห็นว่าข้างในมันยังคงมีพลังเวทมนตร์ไหลเวียนอยู่ หรือว่าสิ่งที่เจ้านี่ขาดอยู่…จะใช่ธาตุที่พระองค์ตรัสว่าใช้ในการสร้างลำแสงแห่งพระอาทิตย์หรือเปล่าเพคะ?’
‘เหมือนกับที่ข้าคิดเอาไว้เลย’ โรแลนด์ยิ้มมุมปาก ‘เจ้าลองเอาเหรียญนั่นใส่เข้าไปข้างใน…แต่ว่ามันอาจจะไปกระตุ้นตัวลูกบาศก์ได้ ดังนั้นเจ้าต้องเตรียมป้องกันเอาไว้ก่อนนะ’
‘ทราบแล้วเพคะ’ เซลีนขยับไปอยู่ด้านหลังแผ่นป้องกันที่อยู่อีกด้านหนึ่งของแท่นทดลอง มันเป็นแผ่นตะกั่วทรงครึ่งวงกลม ตรงกลางมีรูเล็กๆ สี่รูเอาไว้สำหรับสอดหนวดออกมา เหมือนกับโล่ขนาดใหญ่ที่มาพร้อมกับรูในการสังเกตการณ์ หลังเธอเอาแผ่นยูเรเนียมใส่เข้าไปด้านในลูกบาศก์เวทมนตร์ รูเล็กๆ ที่เปิดอยู่ก็ปิดลงทันที ขณะเดียวกันแสงที่อยู่ด้านบนก็เปลี่ยนเป็นสีแดง
ใช่จริงๆ ด้วย!·
โรแลนด์กับไนติงเกลสบตากัน ทั้งคู่ต่างรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
เซลีนลูบๆ คลำๆ อยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเอง ลำแสงสีแดงเส้นหนึ่งก็ถูกยิงออกมาจากลูกบาศก์ตรงไปที่ผนัง กลายเป็นสีสันสีใหม่ที่แต่งเติมให้กับห้องทดลองที่เยือกเย็นแห่งนี้
………………………………………………………………
ตอนที่ 1118 บันทึกการทดลอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
‘บันทึก’
วันที่ 12 การทดลองวันที่หนึ่ง
วันนี้เป็นการทดลองเรื่องความอันตรายของมันตามคำสั่งของฝ่าบาทโรแลนด์
รอบๆ โต๊ะทดลองมีไก่วางกระจายอยู่ 30 ตัว ไก่ตัวหนึ่งถูกเอาไว้วางไว้บนจุดที่ลำแสงสีแดงจะยิงมา
เวลาในการยิงคือ 5 นาที
เป้าไก่มีปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงอย่างมาก ไก่ที่อยู่ในกรงดิ้นกระแทกกรงอย่างรุนแรง ส่วนไก่ตัวอื่นๆ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
กลิ่นไหม้อ่อนๆ โชยออกมา
หลังยิงเสร็จเรียบร้อย บนขนไก่ที่หลุดร่วงลงมามีรอยไหม้เล็กน้อย แต่ร่องรอยบาดเจ็บเล็กน้อยแค่นี้ไม่สามารถทำให้ขนหลุดออกมาได้แน่ มันน่าจะหลุดออกมาตอนที่เป้าหมายกำลังดิ้นทุรนทุรายไปมาในกรง
ตัวไก่เจ้าของขนดูอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด แต่โดยรวมยังถือว่าปกติอยู่
ดูเหมือนความรุนแรงของมันยังไม่อาจสู้ไฟได้
ผู้บันทึก : เซลีน
…..
วันที่ 13 การทดลองวันที่สอง
สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
ไก่ที่ถูกนำไปเป็นเป้าเริ่มท้องเสีย ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เหมือนกับติดโรคระบาดอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนไก่ตัวอื่นๆ ยังคงปกติ
สีหน้าของฝ่าบาทโรแลนด์ดูค่อนข้างเคร่งเครียด (ลบประโยคนี้ออกในการบันทึกจริง)
วันนี้ไม่มีการทดสอบใหม่
….
วันที่ 14 การทดลองวันที่สาม
ไก่ที่ถูกนำไปเป็นเป้าตายแล้ว
หลังผ่าออกดูทำให้พบว่ามีน้ำไหลซึมออกมาจากในร่างกายเป้าหมาย อวัยวะภายในมีเลือดไหลซึมออกมา บนผิวเกิดอาการเน่าเฟะ ซึ่งนี่เป็นอาการที่จะพบเห็นหลังจากที่สิ่งมีชีวิตตายไปหนึ่งวัน
พูดอีกอย่างก็คือลำแสงสีแดงนั้นทำให้ผิวหนังของไก่ตายลงทั้งๆ ที่มันยังมีชีวิตอยู่?
นี่ช่างน่าสนใจจริงๆ
เมื่อคิดถึงวิหารต้องสาปและเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองธอร์น อีกทั้งภาพที่อยู่ในบนผนังถ้ำเหล่านั้น มันดูแล้วเหมือนจะเป็นอย่างที่ว่า
ผู้ที่ถูกคำสาปดูเหมือนจะถูกทรมานทั้งๆ ที่ยังดูเหมือนปกติอยู่ กระทั่งสุดท้ายร่างกายเน่าเละทั้งตัว ส่วนตัวคนยังมีชีวิตอยู่ แต่กลับต้องมานั่งดูร่างกายของตัวเองค่อยๆ ตายลงไปทีละน้อย ความรู้สึกแบบนี้จะต้องทรมานอย่างมากแน่
ข้าขอถอนคำพูด ถึงแม้อานุภาพการทำลายของมันจะยังไม่อาจสู้ไฟได้ แต่วิธีการทำลายของมันกลับแปลกประหลาดอย่างมาก
แต่ฝ่าบาทโรแลนด์เหมือนจะมีความคิดของพระองค์อยู่
พระองค์คิดว่าลำแสงอันนี้ได้ทำลายความสามารถในการสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ของสิ่งมีชีวิต
ในระดับจุลภาคที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ร่างกายนั้นได้เจริญเติบโตและเหี่ยวเฉาอยู่ตลอดเวลา และทั้งสองสิ่งนั้นเกิดขึ้นพร้อมกันจนทำให้เกิดความสมดุล ดังนั้นทันทีที่ร่างกายหยุดเจริญเติบโต จึงทำให้เกิดผิวหนังและอวัยวะส่วนใหญ่เน่าตายลง และนี่ก็น่าจะเป็นความจริงของคำสาปที่ว่า
การที่จะมีหลักฐานมาหักล้างแนวคิดนี้ ข้าเห็นด้วยกับพระองค์ (ลบความเห็นด้านล่างในตอนที่บันทึกจริงด้วย)
กล้องจุลทรรศน์ช่างเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่น่าหลงใหลจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นข้อมูลที่รวบรวมมาได้จากในโลกแห่งความฝันก็สอดรับกับผลการสังเกตอันนี้ด้วย แสดงให้เห็นว่าร่างกายของสิ่งมีชีวิตนั้นประกอบขึ้นมาจากเซลล์เล็กๆ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ที่ลำแสงสามารถทะลุผ่านร่างกายได้นั้นเป็นเพราะว่าบนผิวหนังของร่างกายที่ดูเหมือนจะแน่นหนา ความจริงแล้วกลับเต็มไปด้วยรูจำนวนมาก
ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังสัมผัสโลกใบใหม่อีกใบหนึ่งอยู่
แต่เสียดายที่ข้าไม่สามารถเข้าไปในโลกแห่งความฝันได้ด้วยตัวเอง
ได้ยินว่าหากต้องการเข้าใจความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อย่างน้อยก็ต้องเรียนไปถึงระดับ ‘มัธยม’ ก่อน ซึ่งเวลาปกติที่ใช้ในการเรียนก็อยู่ที่ 9 ปี
เรื่องที่จะให้ฟิลลิสกับเอเลน่าเร่งเรียนให้จบเร็วขึ้นจะเป็นการบีบบังคับพวกเธอเกินไปหรือเปล่านะ?
…..
วันที่ 16 การทดลองวันที่ห้า
ไก่ทั้งหมดไม่ว่าเป็นหรือตายล้วนแต่ถูกนำไปฝังไว้ใต้ดิน
ห้องทดลองทำความสะอาดครั้งใหญ่
หลังจากนั้นอีกหนึ่งวัน การทดลองยังคงดำเนินต่อไป
เป้ายิงถูกเปลี่ยนเป็นวัวสามตัว จุดประสงค์ของการทดลองนี้อยู่บนพื้นฐานความเป็นไปได้ที่ว่าลูกบาศก์เวทมนตร์สามารถใช้เป็นอาวุธ และขนาดรูปร่างของเป้าหมายมีผลต่อความสามารถในการต้านทานลำแสงสีแดง
….
วันที่ 20 การทดลองวันที่เก้า
ผลการทดลองออกมาแย่มาก
เป้าหมายทั้งสามตัวถูกนำไปยิงด้วยลำแสงเป็นเวลา 10 นาที, 15 นาทีและครึ่งชั่วโมง
ผลที่ออกมาคือวัวที่ถูกยิงด้วยลำแสงเป็นเวลานานที่สุดก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ถึง 4 วัน
ยังไม่ต้องไปคิดถึงว่าความสามารถในการต้านทานแสงสีแดงของปีศาจเป็นอย่างไร เอาแค่ว่าจะทำให้ปีศาจยืนอยู่ที่เดิมเพื่อยิงลำแสงเป็นเวลานานขนาดนี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว…ถึงแม้ ‘คำสาป’ จะยังคงสร้างความเสียหายต่อไปได้ แต่การแพ้ชนะบนสนามรบมันตัดสินกันในชั่วพริบตา
ภาพการใช้ลูกบาศก์เอาชนะอีกฝ่ายบนผนังวิหารต้องสาปนั้นเป็นแค่การโอ้อวดเกินความเป็นจริงเท่านั้น
หรือไม่ก็….ความสามารถในการต้านทาน ‘ลำแสงแห่งคำสาป’ ของพวกมันอ่อนแออย่างมาก?
……
วันที่ 21 การทดสอบวันที่ 10
ทดสอบระยะยิง
หลังได้รับการยืนยันแล้วว่าลำแสงจากลำแสงของลูกบาศก์ไม่ได้แผ่กระจายออกมาถึงพื้นที่โดยรอบ ฝ่าบาทโรแลนด์จึงทรงอนุญาตให้ออกมาทำการทดลองนอกห้องทดลอง
สถานที่ทดลองยังคงเป็นหุบเขาในเทือกเขาสิ้นวิถี
ผลการทดลองออกมาค่อนข้างน่าผิดหวัง
ระยะยิงของลำแสงสีแดงไม่ถึง 100 เมตร ถ้าหากมีวัตถุวางกั้นอยู่ก็จะทำให้ความสามารถในการทะลุทะลวงของมันลดลง
วัตถุที่เป็นโลหะสามารถกันลำแสงไม่ให้ทะลุผ่านไปได้
อย่างเช่นเหรียญทองสิบเหรียญที่วางทับซ้อนกัน
แม้แต่น้ำยาวิเศษก็ยังสามารถกันผลของลำแสงเอาไว้ได้เช่นเดียวกัน
ข้อสรุปอันนี้แสดงให้เห็นว่ามันไม่สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธได้
…..
วันที่ 26 การทดลองวันที่ 15
ฝ่าบาททรงใช้โอกาสในตอนที่นาน่ากลับมาจากแนวหน้าของสนามรบ ทำการทดลองเรื่องการรักษา
ผลที่ออกมานั้นอยู่ระหว่างรักษาได้กับรักษาไม่ได้
อย่างเช่นวัวที่ถูกยิงถึงแม้จะทำการรักษาผิวหนังและอวัยวะภายในที่เน่าตายได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นยังคงเลวร้ายเหมือนเดิม อวัยวะส่วนที่ได้รับการรักษาจะได้รับผลจาก ‘คำสาป’ ใหม่อีกครั้ง
แต่พวกเราได้ตัดเอาอวัยวะเล็กๆ ที่ได้รับการรักษาแล้วและยังมีความสมบูรณ์ชิ้นหนึ่งไปปลูกถ่ายลงในวัวที่แข็งแรงตัวหนึ่ง ผลปรากฏว่ามันไม่ได้มีอาการแย่ลงเหมือนในตอนแรก
นี่แสดงให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะลบล้าง ‘คำสาป’ ด้วยการสร้างร่างกายใหม่ในขนาดใหญ่
แต่ว่านั่นมันเกิดขีดความสามารถของนาน่า
ถ้าอยากจะพิสูจน์มันล่ะก็ เช่นนั้นก็จำเป็นต้องให้สเปียร์มาช่วย ด้วยเหตุนี้เรื่องนี้จึงเอาไว้ก่อน
เพื่อความปลอดภัยแล้ว ควรจะสรุปว่ามัน ‘ไม่สามารถรักษาได้’ เอาไว้ก่อนจะดีกว่า
อีกเรื่องหนึ่ง วัวหมายเลขหนึ่งตายลงไปแล้ว มันมีชีวิตอยู่ 10 วัน
…..
วันที่ 28 การทดลองวันที่ 17
ลูกบาศก์เวทมนตร์ส่องแสงสีน้ำเงินออกมาอีกครั้ง
เหรียญยูเรเนียมถูกใช้งานจนหายไปหมด
โชคดีที่ฝ่าบาทโรแลนด์ยังมีเหรียญที่เหมือนกันอยู่อีกเหรียญหนึ่ง
แต่เพราะว่ามันเป็นวัตถุดิบที่ใช้สร้าง ‘แสงของพระอาทิตย์’ ทำให้มันไม่เพียงแต่จะมีปริมาณที่น้อยมาก แต่มันยังหาได้ยากมากด้วย ข้ารู้สึกว่าตัวเองกำลังใช้ทรัพยากรที่ล้ำค่าที่สุดของโลกนี้ไปอย่างสิ้นเปลือง
นอกจากนี้พลังเวทมนตร์ที่อยู่ในลูกบาศก์ยังเหลือน้อยอย่างมากด้วย แต่ว่ามันสามารถเติมพลังเวทมนตร์เข้าไปได้ทุกเมื่อเหมือนรูน
เมื่อคิดถึงเรื่องความสิ้นเปลืองของมัน การทดลองแบบนี้น่าจะไม่มีทางดำเนินต่อไปได้อีก
ข้าหวังว่าจะได้แกะมันออกมาดูหลังจากที่เราทำการทดสอบเรื่องความต้านทานเสร็จเรียบร้อย
….
โรแลนด์ถอนใจออกไปเบาๆ พร้อมกับปิด ‘บันทึกผลการทดลองอย่างเป็นทางการ’ ลง
“พระองค์อ่านมันอีกแล้วเหรอเพคะ” ไนติงเกลนอนพิงอยู่บนเก้าอี้ยาว ในปากคาบปลาแห้งเอาไว้ “ผลมันก็ออกมาชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอเพคะ สมบัติโบราณที่เล่าลือกันก็เป็นแค่เครื่องมือที่ใช้ในการสอบปากคำเท่านั้น นอกจากเอาไว้ใช้ทรมานพวกนักโทษที่จับมาแล้ว หม่อมฉันก็ไม่เห็นมันจะทำอะไรได้เลย”
ถูกต้อง เหมือนกับภาพที่ถูกแกะอยู่บนผนังเลย มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์เดียว นั่นคือเอาไว้ทรมานศัตรู
หลักการของมันคล้ายๆ กับรังสีไอออไนซ์ ส่วนเหรียญยูเรเนียมก็คือเชื้อเพลิงในการใช้งาน ส่วนสาเหตุที่มันถูกกระตุ้นขึ้นมายังไม่ชัดเจน แต่ผลที่ออกมานั้นคล้ายๆ กัน ความแตกต่างนั้นอยู่ที่ลูกบาศก์เวทมนตร์นั้นสามารถยิงไปในทิศทางที่กำหนดได้ด้วยอนุภาพพลังงานสูง
โรแลนด์สงสัยว่าลำแสงสีแดงนั้นอาจจะแค่เอาไว้ชี้เป้าหมายคล้ายๆ กับตัวชี้เป้าที่เป็นเลเซอร์มากกว่า เพราะว่าถ้ามันเป็นลำแสงนิวตรอนหรือไม่ก็อิเลคตรอนพลังงานสูงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าล่ะก็ แบบนั้นก็ค่อนข้างน่าเหลือเชื่อไปหน่อย
จนถึงตอนนี้ ความจริงเรื่องวิหารต้องสาปและปริศนาการตายของชาวบ้านในหมู่บ้านธอร์นก็ถือว่าได้รับคำตอบแล้ว
อารยธรรมที่บูชาธาตุที่สามารถปล่อยรังสีได้สร้างลูกบาศก์แบบนี้ขึ้นมาจากพลังเวทมนตร์ หลังการทำงานของมันเรียบง่ายอย่างมาก หลังใส่วัตถุดิบที่ปล่อยกัมมันตรังสีความบริสุทธิ์สูงเข้าไปแล้ว มันก็จะสามารถปล่อยลำแสงอนุภาคพลังงานสูงออกมาได้นิดหน่อย ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมมันถึงไม่ส่งผลหลังเลยระยะ 100 เมตรไป เกรงว่านั่นคงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังเวทมนตร์
เพียงแต่ข้อสรุปนี้ทำให้เขารู้สึกผิดหวังนิดหน่อย
ความรู้ที่ใช้สร้างลูกบาศก์นี้ขึ้นมาเรียกได้ว่าอยู่ในระดับฟิสิกส์ขั้นสูงแล้ว เดิมเขาคิดว่าเจ้าสิ่งนี้มันจะทำอะไรได้มากกว่านี้ แต่เกรงว่าตอนที่มันอยู่ในมือเจ้าของเดิมของมัน มันคงไม่ได้ต่างอะไรจากเครื่องมือลงโทษอื่นๆ อย่างเช่นแส้หรือเครื่องประหารซักเท่าไร
นี่น่าจะเป็นความต่างชั้นระหว่างอารยธรรมล่ะมั้ง
“ฝ่าบาท” ทันใดนั้นเอง ด้านนอกประตูพลันมีเสียงฌอนดังขึ้นมา “แม่มดทาคิลาส่งบันทึกการทดลองฉบับล่าสุดมาให้พ่ะย่ะค่ะ”
“เอาเข้ามา”
ตามแผนที่วางเอาไว้ การทดลองครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย
เขาจะทำการยิงลำแสงใส่สัตว์ต่างๆ ด้วยระยะเวลาที่เท่ากัน เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการต้านทานลำแสงกับขนาดของร่างกายอย่างละเอียด
หลังจากนั้นก็จะหยุดการทดลองที่เกี่ยวกับลูกบาศก์เวทมนตร์ทั้งหมด
เพราะว่าธาตุยูเรเนียมนั้นหาได้ยาก แถมมันยังต้องเอาไปใช้ในสิ่งที่สำคัญมากกว่า
โรแลนด์พลิกบันทึกการทดลองที่ฌอนนำมาส่งให้พร้อมกับยกแก้วชาขึ้นมา
คนที่จดบันทึกยังคงเป็นเซลีน
วันที่ 30 การทดลองวันที่ 19
ในที่สุดการทดลองก็สิ้นสุดลงแล้ว
ผลการทดลองเป็นที่ชัดเจนอย่างมาก ขนาดร่างกายยิ่งใหญ่ ความทนทานต่อลำแสงก็จะยิ่งสูง แต่ถ้าอยากใช้สมการตัวเลขมาแสดงผลการทดลองก็จำเป็นต้องใช้เวลาอีกสักระยะ
นอกจากนั้นยังเกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อยระหว่างที่ทำการทดลอง
เจ้าสิ่งนี้มันช่างน่าขันสิ้นดี เดิมข้าคิดจะใช้วัตถุดิบที่เหลือมาลองดูว่ามันสามารถยิงให้เป้าหมายตายลงไปในทีเดียวได้ไหม ดังนั้นข้าจึงเล็งมันไปที่ปลาที่อยู่ในโหลแก้ว
หลังยิงไป 5 นาที ปลายังมีชีวิตอยู่ แต่น้ำกลับมีไอน้ำลอยออกมา
พูดอีกอย่างก็คืออานุภาพของมันยังไม่อาจสู้น้ำเดือดได้ ถ้ายิงต่อไปเรื่อยๆ ลูกบาศก์คงจะทำให้น้ำเดือดก่อน จากนั้นจึงค่อยลวกปลาจนตายล่ะมั้ง
หรือว่าเจ้าสิ่งนี้ยังใช้ต้มน้ำแกงได้ด้วย?
“พรืด!” โรแลนด์พ่นชาที่เพิ่งจะดื่มเข้าไปเมื่อกี้ออกมา
“ทำไมเหรอเพคะ?” ไนติงเกลมองดูเขาอย่างแปลกใจ
“ข้าลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไงเนี่ย…” โรแลนด์พูดงึมงำ เขามัวแต่คิดถึงเรื่องการใช้งานและความเป็นไปได้ในระดับสูงมาโดยตลอด แต่กลับลืมเรื่องที่เป็นพื้นฐานไปเสียได้ เดิมรังสีนั้นคือการส่งต่อพลังงานอย่างหนึ่ง เมื่อมีการส่งพลังงานออกมา มันก็สามารถเอามาต้มน้ำได้
เดิมประวัติศาสตร์ความก้าวหน้าของมนุษย์นั้นก็คือกระบวนการต้มน้ำด้วยการเปลี่ยนวิธีไปต่างๆ นาๆ อยู่แล้ว
…………………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น