Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1111-1114

 ตอนที่ 1111 จะอยู่ข้างเจ้าไปจนตาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

ท่ามกลางฝุ่นที่คละคลุ้งไปทั่วห้อง เธอมองเห็นเป้าหมายในปฏิบัติการครั้งนี้ทันที


เอิร์ลโรแลนโซ่


เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งตื่นขึ้นมาจากฝันไม่นาน ตอนนี้กำลังนั่งใส่กางเกงอยู่บนเตียงอย่างลนลาน ส่วนทหารอาญาสิทธิ์ที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างเตียงก็ชักดาบออกมาพร้อมกับพุ่งเข้ามาหาพวกเธอ


เห็นได้ชัดว่าการพังกำแพงเข้ามาได้ปลุกร่างเปลือกเหล่านี้ให้ตื่นขึ้นมา ขอเพียงสั่งการเอาไว้ก่อนว่าให้สังหารศัตรูทุกคนที่บุกเข้ามาในห้อง ต่อให้ผู้สั่งการจะหมดสติไป ทหารอาญาสิทธิ์ก็ยังจะทำตามคำสั่งอยู่


“เบ็ตตี้!” โซอี้ตะโกน


“รู้แล้ว อีกฝ่ายคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับเอาสองมือมาประสานกันไว้ “มา!”


การฝึกซ้อมและการทำงานร่วมกันมาเป็นเวลานานทำให้ทั้งสองคนรู้ใจกัน โซอี้กระโดดไปด้านหลังโดยไม่ต้องหันหน้ากลับไปมองด้วยซ้ำ…ส่วนเบ็ตตี้ก็รับเธอเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ


จากนั้นเบ็ตตี้ใช้สองมือออกแรงดันขึ้นไปด้านบน โซอี้ยืมแรงกระโดดลอยตัวขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะบินข้ามหัวทหารอาญาสิทธิ์ไปเหมือนกับนกนางแอ่น จากนั้นเธอคว้าโคมไฟที่ห้อยอยู่บนเพดานเอาไว้ แค่พริบตาเธอก็ขึ้นไปอยู่ด้านบนเตียงนอนของเอิร์ล


ห้องที่กว้างขวางและตกแต่งอย่างหรูหราของเอิร์ลกลายเป็นเหมือนเวทีให้เธอได้ใช้แสดง


โซอี้ที่ลอยอยู่กางอากาศยกปืนลูกซองขึ้นมา


เวลาเหมือนหยุดนิ่งลง


ทหารอาญาสิทธิ์หมุนตัวกลับมา แต่เห็นได้ชัดว่ามันตามจังหวะของเธอไม่ทัน


เบ็ตตี้หันหลังให้กับเตียงพร้อมทำท่าสะใจขึ้นมา…เห็นได้ชัดว่านิสัยแบบนี้เธอได้มาจากโลกแห่งความฝัน แต่ถึงแม้เธอจะเอี้ยวหันหลังไปครึ่งตัว เธอก็ยังสังเกตเห็นถึงการเครื่องไหวของนักรบอาญาสิทธิ์อยู่ โซอี้เองก็ขี้เกียจที่จะบ่นเธอเหมือนกัน


ส่วนเอิร์ลโรแลนโซ่นั้นเงยหน้าขึ้นมาอย่างหวาดกลัว ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ


นับตั้งแต่ตอนที่เสียงปืนนัดแรกดังขึ้นจนถึงตอนนี้นั้นกินเวลาแค่ไม่กี่สิบวินาที เกรงว่าตัวโรแลนโซ่คงจะคิดไม่ถึงว่าการป้องกันของทหารอาญาสิทธิ์จะอ่อนแอถึงเพียงนี้


โคมไฟหลุดออกเนื่องจากถูกดึงอย่างรุนแรง เทียนไขที่ลุกไหม้ปลิวว่อนไปทั่วห้องเหมือนกับหิ่งห้อย


ท่ามกลางแสงไฟจากเทียนไขนี้ โซอี้เล็งเป้าหมายพร้อมกับเหนี่ยวไก


“ปัง…”


เสียงปืนดังขึ้น เวลากลับมาเดินอีกครั้ง


บนร่างเอิร์ลมีละอองเลือดพ่นกระจายออกไปทันที!


หัวกระสุนสิบกว่าลูกพุ่งลงมาจากด้านบนปกคลุมทั่วทั้งร่างกายของเขา ภายใต้แรงปะทะอย่างรุนแรง ร่างเขาจมลงไป ก่อนจะกระเด้งตัวขึ้นมาใหม่ ในตอนที่ตกลงไปข้างล่างอีกครั้ง สภาพร่างเขาก็กลายเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วขาดๆ แล้ว


สองเท้าของโซอี้เหยียบลงไปบนเตียง เตียงไม้ที่รับน้ำหนักไม่ไหวหักลงเป็นชิ้นๆ ทันที


ขณะเดียวกัน ทหารอาญาสิทธิ์ก็หยุดเคลื่อนไหว


“นอกจากเรื่องนี้ลงมายืนไม่สมบูรณ์แบบเท่าไรแล้ว การเคลื่อนไหวอื่นให้คะแนนเต็ม” เบ็ตตี้ผิวปากออกมา “ถ้ามีแว่นดำซักอันจะดีกว่านี้”


โซอี้กรอกตาใส่เธอ “เก็บร่างเปลือกพวกนี้กลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


“รู้แล้ว รู้แล้ว…” เบ็ตตี้ยักไหล่ ก่อนจะหยิบเอาแตรขนาดเล็กออกมาจากในถุงข้างเอวขึ้นมาเป่า


นั่นเป็นท่วงทำนองพิเศษที่ใช้ฝังไปในความทรงจำของทหารอาญาสิทธิ์ระหว่างที่ทำพิธีเปลี่ยนร่าง สำหรับร่างเปลือกที่ไร้เจ้านายเหล่านี้ นี่คือคำสั่งให้พวกมันเคลื่อนไหว


“นับตั้งแต่นี้ไป ข้าคือเจ้านายคนใหม่ของพวกเจ้า” เบ็ตตี้กระแอมพร้อมกับพูดช้าๆ ชัดๆ


ทหารอาญาสิทธิ์ทั้งหกคนเอามือขึ้นมาทาบที่หน้าอก


“แต่ก็แค่ก่อนถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์เท่านั้นล่ะนะ เอาไว้ไปถึงเมืองชายแดนที่สามเมื่อไร พวกเจ้าก็จะถูกโยนเข้าไปในห้องเก็บร่างเปลือกให้พี่น้องได้เลือกใช้กัน ถ้าหน้าตาดีก็จะมีโอกาสได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง แต่ข้าว่า…พวกเจ้าน่าจะไม่ค่อยมีหวังเท่าไรหรอกนะ” เบ็ตตี้พูดล้อเล่น ถึงแม้เธอจะรู้ว่าร่างเปลือกเหล่านี้ไม่มีทางตอบโต้สิ่งที่เธอพูดก็ตาม


เลือดแห่งเวทมนตร์ได้ทำลายการรับรู้ทั้งหมดของเจ้าของร่างทิ้งไปแล้ว


โซอี้เปิดประตูทองแดงออก ก่อนจะเห็นตรงปลายทางเดินมีทหารยามวิ่งมาทางห้องนอน ส่วนชั้นบนชั้นล่างของปราสาทก็มีเสียงฝีเท้าที่ดูเร่งร้อนดังขึ้นมาเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้เมื่อครู่ได้ทำลายความเงียบในยามค่ำคืนลง ทั่วทั้งปราสาทตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลทันที


“เห็นเจ้าพวกที่สวมเกราะนั่นไหม?” เบ็ตตี้ยิ้มขึ้นมา “ไปจัดการพวกมันทิ้งซะ”


พอพูดจบ ทหารอาญาสิทธิ์ก็วิ่งผ่านเธอไปเหมือนกับสัตว์ป่าพร้อมกับชักดาบพุ่งเข้าไปหาทหาร ภาพที่สะท้อนอยู่ในสายตาที่ดูหวาดกลัวและไม่เข้าใจของอีกทหารพวกนั้นคือภาพทหารอาญาสิทธิ์เอาดาบแทงเข้าไปในหน้าอกพวกเขา


ภายในปราสาทตกอยู่ในความวุ่นวาย


…..


เมื่อมีกองทัพที่หนึ่งคอยเปิดทาง บวกกับมีการปกป้องจากแฮกริด โจจึงไม่เจออุปสรรคอะไรระหว่างที่ลงไปคุกใต้ดิน


แต่ว่าในตอนที่เขาเห็นภาพฟาร์รีน่าถูกแขวนเอาไว้บนเสา หน้าอกเขาพลันรู้สึกเหมือนถูกค้อนเหล็กทุบลงไปอย่างแรง ความรู้สึกเจ็บปวดที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้บีบคั้นหัวใจ


ในเวลานี้ผู้หญิงที่ดูงดงามคนนั้นกลับเหมือนท่อนไม้แห้งๆ ที่ถูกสูบพลังชีวิตออกไปจนหมด


บนตัวของเธอเต็มไปด้วยรอยแส้ตั้งแต่หัวไหล่จนถึงขาทั้งสองข้าง เขาแทบจะมองไม่เห็นผิวที่ขาวนวลของเธอเลย


ด้านหลังกับตรงหน้าอกนั้นเหมือนจะเป็นส่วนที่ถูกเฆี่ยนหนักที่สุด


รอยประทับที่บวมแดงมีน้ำหนองไหลออกมา เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่เธอถูกเหล็กเผาไฟร้อนๆ นาบเข้าแล้ว เธอไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี


เมื่อดูจากการที่เธอถูกสอบสวนมาจนถึงตอนนี้ แสดงว่าถึงแม้จะถูกทรมานหนักขนาดนี้ เธอก็ยังไม่ยอมอ่อนข้อให้กับโรแลนโซ่แม้แต่น้อย


โจเดินตัวสั่นเข้าไปหาเธอ เขารู้สึกเหมือนแต่ละย่างก้าวช่างเป็นไปอย่างยากลำบาก


กลับเป็นเหล่าทหารที่เดินทางมาด้วยที่ตอบสนองได้รวดเร็วมากกว่า พวกเขารีบปลดโซ่แก้มัด แล้วเอาตัวฟาร์รีนาลงมา


“นี่คือคนที่เจ้าอยากจะช่วยใช่ไหม? มัวงงอะไรอยู่ รีบเข้าไปช่วยสิ!”


“อา…ขอรับ…” โจเหมือนตื่นขึ้นจากความฝัน เขารีบเข้าไปอุ้มฟาร์รีน่าเอาไว้ ก่อนจะเอาเธอวางลงบนกองฟางที่อยู่อีกด้าน


เหล่าทหารเหมือนมีการเตรียมตัวมาล่วงหน้า พวกเขาหยิบเอาขวดยาออกมาขวดแล้วขวดเล่าและเริ่มปฐมพยาบาลให้เธอ ถึงแม้โจจะไม่รู้ว่ายาพวกนั้นเอาไว้ทำอะไรบาง แต่เมื่อดูจากการหายใจของฟาร์รีน่าที่ค่อยๆ ดีขึ้น อย่างน้อยยาพวกนั้นก็ใช้ได้ผล


ในขณะที่เขากำลังพันแผลให้เธอ ฟาร์รีน่าพลันส่งเสียงครางเบาๆ ขึ้นมาในลำคอ จากนั้นดวงตาของเธอก็ค่อยๆ ลืมขึ้นมา


“ทำไม…ถึงเป็นเจ้าล่ะ…” เธอพูดเสียงเบาๆ “ข้ากำลังฝันอยู่เหรอ?”


“ไม่ นี่ไม่ใช่ความฝัน ทุกอย่างมันจบลงแล้ว!” โจเอามือประคองแก้มของเธอเอาไว้ พร้อมกับตอบด้วยเสียงที่สั่นเครือ


“จบลงแล้ว?” ฟาร์รีน่าชะงักไปเล็กน้อย “เข้าใจแล้ว ข้าตายแล้วสินะ? ข้าถึงได้เห็นเจ้าอยู่ในคุกนี่…”


เธอค่อยๆ ยกมือขึ้นมาพร้อมกับใช้นิ้วที่บิดเบี้ยวสัมผัสแก้มเขา โรแลนโซ่ไม่เพียงแต่จะถอนเล็บเธอ แต่เขายังหักนิ้วมือของเธอด้วย ในตอนนี้แทนที่จะบอกว่ามันเป็นมือ ควรจะบอกว่ามันเป็นกับกิ่งไม้แห้งๆ มากกว่า “ขอโทษด้วยนะ ข้าไม่สามารถสืบทอดศาสนจักรต่อไปได้…ทำให้พวกเจ้าผิดหวัง…”


“ข้าไม่สนใจ ข้าไม่สนใจเลย…” สองแก้มของโจมีหยดน้ำตาไหลลงมา “ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลย!”


“เจ้ากำลังปลอบข้างั้นเหรอ? แปลกนะ…เมื่อก่อนเจ้าไม่เคยเป็นแบบนี้นี่นา” ฟาร์รีน่ายิ้มขึ้นมา ริมฝีปากเธอเต็มไปด้วยคราบเลือด “ไม่ว่ายังไง อย่าเพิ่งไปนะ อยู่เป็นเพื่อนข้าก่อนได้ไหม?”


โจไม่สามารถควบคุมน้ำตาได้อีกแล้ว เขากอดเธอเอาไว้แน่น “ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ไม่ว่าจะไปที่ไหน ข้าก็จะอยู่ข้างกายเจ้า…ต่อให้ต้องตายข้าก็จะไม่ทิ้งเจ้าอีก!”


“ขอบคุณนะ…” นี่เป็นคำสุดท้ายที่เขาได้ยิน



ตอนที่ 1112 กลับตาลปัตร

โดย

Ink Stone_Fantasy

ฟาร์รีน่าฝัน


เสียงหวีดของแส้ เสียงด่าทอของศัตรู แล้วก็ความเจ็บปวดที่เสียดแทงหัวใจต่างค่อยๆ หายไป


รอบด้านเหลือเสียงแต่ความว่างเปล่า บนพื้นมันวาวจนกระทั่งสามารถสะท้อนให้เห็นใบหน้าของเธอได้


โลกใบนี้เหมือนไม่มีขอบเขต สิ่งเดียวที่เธอมองเห็นคือประตูหินบานใหญ่ที่อยู่อีกฟากหนึ่ง ด้านหลังประตูเหมือนจะมีบทเพลงอันไพเราะจับใจลอยออกมา


นี่คงเป็นภาพที่คนจะได้เห็นก่อนตายสินะ เธอคิดในใจ


หลังเดินไปถึงประตูนั่น เธอก็จะนอนพักผ่อนไปตลอดกาลแล้ว


ฟาร์รีน่ารู้สึกเหมือนยังไม่อยากจะเข้าไปในนั้น เพราะสุดท้ายแล้วเธอก็ไม่สามารถกำจัดคนทรยศเพื่อล้างแค้นให้กับทุกคนที่ติดตามเธอมาได้


ขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกผิดที่ไม่สามารถทำภารกิจที่ทัคเกอร์มอบหมายให้กลายเป็นจริงได้…เธอไม่ใช่อัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมอะไรเลย ไม่ใช่แม้กระทั่งผู้นำที่ดีด้วยซ้ำ


พรสวรรค์ของเธอมันก็เท่านี้เอง


สิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจก็คือสุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้ขอร้องอ้อนวอนศัตรู


โดยเฉพาะในตอนที่เข็มเหล็กที่ถูกเผาจนแดงร้อนแทงเข้าไปที่ปลายนิ้วของเธอ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะพังทลายลง ตอนนี้เมื่อมาคิดๆ ดู ที่เธอสามารถอดทนจนมาถึงตอนนี้ได้ก็นับว่าน่าเหลือเชื่ออย่างมาก


ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่มีหน้าที่จะไปพบพี่น้องที่สละชีวิตไปก่อนหน้านั้น


แต่ความคิดเหล่านี้ไม่นานก็คงหายไป


เพราะอีกเดี๋ยวเธอก็จะได้นอนพักไปตลอดกาลแล้ว


ต่อให้คิดยังไงก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้ไม่ใช่เหรอ?


ฟาร์รีน่าค่อยๆ เดินไปทางประตูหิน


ว่ากันว่าที่นั่นไม่มีทั้งความเจ็บปวดและความเศร้าโศก เวลาเองก็เหมือนจะหยุดนิ่งลง สรรพสิ่งที่อยู่ในนั้นคงอยู่ในสภาพเดิมเพื่อเป็นฐานรากให้กับอาณาจักรของพระเจ้า


เดิมนี่ควรจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ไม่รู้ว่าทำไม เธอกลับรู้สึกไม่มีความสุข


นี่มันเป็น…เพราะอะไรกันแน่?


“ฟาร์รีน่า…”


ในขณะที่เธอกำลังสับสนนั่นเอง ด้านข้างของเธอพลันมีเสียงที่ฟังดูเลือนรางดังขึ้นมา


เธอจำได้แล้ว


นั่นมันเสียงของโจ


เขาไม่ได้เข้าร่วมการโจมตี แล้วก็ไม่มีทางที่จะถูกโรแลนโซ่จับ ดังนั้นนี่จึงเป็นเพียงสิ่งที่เธอคิดไปเอง


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฟาร์รีน่าก็รู้สึกโล่งใจ


อย่างนี้นี่เอง เธอครุ่นคิด


เธอแค่ไม่อยากจะเดินไปที่ปลายทางนั่นคนเดียว


ถึงแม้จะถูกทัคเกอร์มอบหมายภารกิจที่เกินกว่าขีดความสามารถให้ ถึงแม้จะมีความรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง แต่เธอก็ยังปรารถนาความรู้สึกของการเป็นที่ต้องการ


เธอไม่อยากจะเดินต่อไปคนเดียวแล้ว


“อย่าไปไหนนะ อยู่กับข้าอีกเดี๋ยวได้ไหม?”


“ได้สิ…” เสียงดังนั้นอย่างต่อเนื่อง “ไม่ว่าจะไปที่ไหน ข้าก็จะอยู่ข้างกายเจ้า…ต่อให้ต้องตายข้าก็จะไม่ทิ้งเจ้าอีก!”


แค่นี้…ก็พอแล้ว


ถึงแม้จะเป็นเพียงความฝันก็ตาม


เธอเหมือนกลับยังฤดูหนาวเมื่อหลายปีก่อนนั้น เมื่อครั้งที่เธอปีนขึ้นไปยังเฮอร์มีสด้วยตัวคนเดียวอีกครั้ง ในขณะที่เธอกำลังเดินย้ำไปบนพื้นหิมะอันหนาวเย็นและเหมือนกำลังจะล้มลง รถม้าคันหนึ่งพลันมาจอดอยู่ตรงหน้าเธอ…


ฟาร์รีน่าเดินขึ้นบันไดที่จะตรงไปยังประตูหิน พร้อมกับยื่นมือผลักประตูออก


“ขอบคุณนะ”


ลำแสงที่อยู่ด้านหลังบานประตูสาดกระจายออกมา ก่อนจะปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกายเธอในชั่วพริบตา


…..


กระทั่งแสงเหล่านั้นหายไปแล้ว ฟาร์รีน่าจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ก่อนจะเห็นภาพเพดานที่กำลังแกว่งไปแกว่งมาอยู่บนหัว


อาณาจักรของพระเจ้า เป็นแบบนี้งั้นเหรอ?


ดูไม่ได้สวยงามเหมือนอย่างที่คิดไว้เลย…


ยิ่งไปกว่านั้นเวลาก็เหมือนจะไม่ได้หยุดเดินด้วย


เธอลองหันหน้าไปอีกด้าน ก่อนจะเห็นใบหน้าอันคุ้นเคย


ฟาร์รีน่าลังเลเล็กน้อย ก่อนจะลองส่งเสียงถามออกไป “โจ?”


อีกฝ่ายนอนฟุบอยู่ข้างเธอ เหมือนกำลังนอนหลับอยู่อย่างไรอย่างนั้น หลังเธอเรียกอยู่หลายครั้ง เขาจึงลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ….จากนั้นโจแสดงสีหน้ายินดีอย่างมากออกมา “เจ้า…เจ้าตื่นแล้วเหรอ?”


“ตื่น?” ฟาร์รีน่าขมวดคิ้ว “ข้าไม่ใช่ว่า…เอ่อ…” ในขณะที่เพิ่งพูดไปได้ครึ่งเดียว เธอจึงพบว่าความรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงนั้นได้กลับมายังร่างกายอีกครั้ง ถึงแม้จะขยับเพียงนิดเดียว เธอก็จะรู้สึกเจ็บไปถึงหัวใจ


“เจ้าแค่เหนื่อยมากจนสลบไปน่ะ” โจเอามือกดหัวของเธอลงไป “ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”


ฟาร์รีน่างุนงง ผ่านไปครู่หนึ่งเธอถึงได้รู้ว่าเธอไม่เพียงแต่จะยังไม่ตาย แต่เธอยังหนีออกมาจากคุกใต้ดินได้ด้วย นี่มันก็หมายความว่า…


“โรแลนโซ่…”


“ตายแล้ว”


หลังได้รับคำตอบที่เหนือความคาดหมายนี้มา ฟาร์รีน่าพลันตกตะลึงไปทันที “จริงเหรอ? เจ้าทำได้ยังไง?”


“คนที่ฆ่ามันไม่ใช่ข้า” โจส่ายหัว “หากแต่เป็นราชาแห่งเกรย์คาสเซิล ฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดัน”


โรแลนด์ วิมเบิลดัน…ชื่อของคนที่เธอไม่อยากได้ยินมากที่สุด “เจ้าว่าอะไรนะ? ทำไมเขาถึงมาช่วยพวกเราชิงเกาะอาชดยุคกลับมา?” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอพลันมองไปรอบๆ ทันที “เดี๋ยวๆ…ที่นี่ที่ไหน? พวกเราไม่ได้อยู่บนเกาะอาชดยุคเหรอ?”


“ตอนนี้พวกเราอยู่บนทะเล จุดหมายคือเมืองเนเวอร์วินเทอร์ของเกรย์คาสเซิล ส่วนเจ้าสลบไปสามวันแล้ว เป็นเพราะยาของกองทัพที่หนึ่งที่ทำให้เจ้ารอดมาถึงตอนนี้ได้” โจพูดเสียงอ่อนโยน “อย่าเพิ่งใจร้อน เดี๋ยวข้าจะเล่าทุกอย่างให้เจ้าฟังเอง”


หลังผ่านไปชั่วโมงหนึ่ง ฟาร์รีน่าจึงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น


“เรื่องการสอบสวนของฝ่าบาท ข้าถามมาจากหัวหน้าองครักษ์ฌอนแล้ว” โจยังคงพูดต่อ “ขอเพียงมือไม่เคยเปื้อนเลือดของแม่มด ไม่ได้เข้าร่วมปฏิบัติการไล่ล่าแม่มด แล้วก็ไม่เคยทำร้ายประชาชนของเกรย์คาสเซิล ก็จะไม่ถูกลงโทษให้แขวนคอ เจ้าเป็นนักรบอยู่ในทัพหน้าคอยสู้กับสัตว์อสูรมาเป็นเวลาหลายปี ส่วนข้าก็เป็นผู้ช่วยบาทหลวง ไม่เคยไปเจอแม่มดพวกนั้นเลย นั่นก็หมายความว่าพวกเราสองคนอาจจะมีชีวิตรอด!”


เขายิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น “ถึงแม้เจ้าจะบาดเจ็บสาหัส แต่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์มีแม่มดคนหนึ่งชื่อนาน่า ไม่ว่าจะบาดเจ็บหนักแค่ไหนก็สามารถรักษาให้หายได้ ขอเพียงมีเงินจ่ายก็พอ! เรื่องค่าใช้จ่ายข้ามีคิดหาวิธีเอาไว้แล้ว ต่อให้นางจะเอาเงินเท่าไร ข้าก็จะทำให้เจ้ากลับมายืนใหม่ได้อีกครั้ง!”


เพื่อที่จะป้องกันไม่ใช่เธอหนีไปไหน โรแลนโซ่ไม่เพียงแต่จะตัดเอ็นข้อมือข้อเท้าของเธอ แต่เขายังให้ค้อนเหล็กทุบเข่าของเธอจนแตกละเอียดด้วย ตอนนี้เธอเรียกได้ว่ากลายเป็นคนพิการคนหนึ่ง แต่ว่านี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่ฟาร์รีน่าสนใจ…


“เพราะข้า…”


“อะไรนะ?”


“เพราะข้า เจ้าก็เลยไปทำข้อตกลงกับสารเลวนั่นเหรอ!” เธอต่อว่าอย่างเกรี้ยวกราด “มันเป็นคนทำลายศาสนจักร ทำลายความหวังทั้งหมด! เจ้าทำแบบนี้กับท่านทัคเกอร์ได้ยังไง! แค่ก…แค่กๆ…”


“ฟาร์รีน่า!”


“อย่ามาถูกตัวข้า!” เธอสำลักเลือดออกมาเล็กน้อย “ชะตาชีวิตของโลกนี้ ชะตาชีวิตของมนุษย์ชาติ…ถูกมันทำลายจนหมดสิ้นแล้ว แล้วเจ้ายังไปขอความช่วยเหลือจากมันเนี่ยนะ! ชีวิตข้าเมื่อเทียบกับสงครามแห่งโชคชะตาแล้วไม่ถือว่ามีค่าอะไรเลย ต่อให้เจ้าช่วยข้าแล้วมันจะมีความหมายอะไร ข้ายินดีที่จะไปรอมันอยู่ในนรก รอวันที่มันจะได้ตกลงไปยังนรกขุมที่ลึกที่สุด…”


“แปะๆๆ”


นอกห้องพลันมีเสียงปรบมือดังขึ้นมา


“ช่างน่าตื้นตันใจจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าผ่านมา 400 ปี ข้ายังจะรับการสนับสนุนแบบนี้จากคนธรรมดาอีก ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ” หญิงสาวคนหนึ่งผลักประตูเข้ามา


“ที่ข้าสนับสนุนคือศาสนจักรที่ทำทุกอย่างเพื่ออนาคตของมนุษย์ ไม่ใช่เขี้ยวเล็บของราชาแห่งเกรย์…” ฟาร์รีน่าพยายามสะกดความเจ็บปวดแล้วพูดตะคอกออกมา แต่ยังไม่ทันพูดจบ เธอก็ต้องตกตะลึงไปทันที “ท่านแม่ทัพ….เอโนว่า?”


พริบตานั้นเอง เธอเหมือนจะสงสัยว่าดวงตาของตัวเองมีปัญหา


ภายในโถงฝึกซ้อมของเมืองศักดิ์สิทธิ์ใหม่จะมีรูปของนายทหารที่ยอดเยี่ยมแต่ละยุคสมัยของกองทัพพิพากษา พวกเขาหลายคนได้รับเกียรติอย่างสูงสุดของพระสันตะปาปา นั่นคือได้เข้าร่วมพิธีเปลี่ยนร่างกลายเป็นทหารอาญาสิทธิ์ เรียกได้ว่าเป็นที่สุดของที่สุด ส่วนเอโนว่านั้นเคยเป็นแม่ทัพระดับสูงของกองทัพพิพากษา ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของนักรบผู้หญิงแล้ว และก็ด้วยเหตุนี้ ฟาร์รีน่าจึงมองเธอเป็นเป้าหมายที่ตัวเองต้องวิ่งไล่ตามมาโดยตลอด


แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่า…เอโนว่าคือคนที่มีชีวิตอยู่เมื่อร้อยกว่าปีก่อน


“พูดต่อสิ” โซอี้ยืนพิงเตียง “ขอข้าฟังหน่อยว่าเจ้าสนับสนุนพวกเราแค่ไหน ไม่ต้องอาย ข้าไม่ได้ยินคนธรรมดาพูดแบบนี้มานานมากแล้ว”



ตอนที่ 1113 คนที่ไม่เป็นที่ต้องการ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ท่าน…แม่ทัพ?” โจงุนงงอยู่ครู่ก่อนจะเข้าใจว่าสถานะของอีกฝ่ายมันหมายถึงอะไร แล้วก็เข้าใจด้วยว่าความรู้สึกคุ้นเคยในตอนที่เจอหน้ากันครั้งแรกมันมาจากไหน แต่ว่ามัน…จะเป็นไปได้ยังไง?


“ข้า…ไม่เข้าใจ ท่านน่าจะเสียชีวิตไปในศึกป้องกันเดือนแห่งปีศาจครั้งหนึ่งแล้วไม่ใช่เหรอ…” ฟาร์รีน่ากลืนน้ำลาย “ยิ่งไปกว่านั้นนักรบอาญาสิทธิ์คือนักรบผู้ศรัทธาที่ถวายทั้งร่างกายและจิตใจให้กับพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาแทบจะไม่…”


“ไม่พูดใช่ไหม เหมือนกับคนใบ้?” โซอี้พูดตัดบท “นี่มันไม่เกี่ยวกับศรัทธาเลย ที่พวกเขาพูดไม่ได้นั้นเป็นเพราะว่าพวกเขาถูกล้างสมองเท่านั้น ถ้าไม่ทำแบบนี้ ก็จะไม่สามารถกลายเป็นร่างเปลือกที่สมบูรณ์เพื่อให้พวกข้าใช้ได้”


ร่างเปลือก? ใช้?


“ท่านกำลังพูดอะไรกันแน่….”


“ข้าขอถามพวกเจ้าก่อน ศาสนจักรบอกพวกเจ้าว่ากองทัพอาญาสิทธิ์คืออะไร?”


โจแย่งชอบขึ้นมา “นักรบที่ได้รับพลังจากพระเจ้า เป็นดาวพิฆาตของแม่มดที่ชั่วร้าย แล้วก็เป็นความหวังสูงสุดในการกอบกู้โลกของศาสนจักร มีเพียงสาวกที่มีศรัทธาแน่วแน่และไม่หวาดกลัวถึงจะได้รับเกียรติอันนี้” เขาชะงักไปเล็กน้อย “เมื่อก่อนพวกเราคิดว่าการกอบกู้โลกคือการป้องกันไม่ให้สัตว์อสูรเข้ามาด้านในดินแดนของมนุษย์ แต่จากหนังสือสั่งเสียของท่านทัคเกอร์ พวกเราถึงได้รู้ว่าเรื่องสงครามแห่งโชคชะตาและปีศาจ”


“ดังนั้นความจริงแล้วกองทัพอาญาสิทธิ์ก็คือกองทัพพิเศษที่เอาไว้สู้กับปีศาจ” ฟาร์รีน่าพูดต่อ “มีแต่หน่วยลับของเฮอร์มีสเท่านั้นถึงจะรู้วิธีในการทำพิธีเปลี่ยนร่าง แต่ตอนนี้ทุกอย่างถูกโรแลนด์ วิมเบิลดันทำลายไปหมดแล้ว”


“ฟังแล้วช่างน่าตื้นตันจริงๆ แต่เสียดายที่ไม่มีประโยคไหนที่เป็นจริงเลย” โซอี้ยิ้มดูถูกขึ้นมา “กองทัพอาญาสิทธิ์ที่พวกเจ้าว่ามา พวกมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเอาไว้ใช้จัดการกับแม่มดและเป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจของพวกที่แย่งชิงอำนาจมาเท่านั้น ถึงแม้จุดประสงค์แรกของการสร้างกองทัพอาญาสิทธิ์ึ้ขึ้นมาก็เพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่คนที่เป็นคนวางแผนนี้ขึ้นมาไม่ใช่ศาสนจักร หากแต่เป็นแม่มดต่างหาก”


ฟาร์รีน่าทำสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อออกมา ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่เอโนว่าผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่เป็นเหมือนฮีโร่ในใจของเธอ เธอคงจะตะโกนแย้งออกไปเป็นแน่


โจสูดหายใจ “ท่านช่วย…เล่าให้พวกเราฟังอย่างละเอียดได้ไหม?”


“ก็ได้ อย่างนั้นข้าะช่วยไขข้อข้องใจให้พวกเจ้าแล้วกัน คนธรรมดา” โซอี้ยิ้มมุมปาก


….


ในตอนที่อีกฝ่ายหยุดเล่า ฟาร์รีน่าพลันรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ส่งขึ้นมาจากนิ้วทั้งสิบของเธอ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร เธอกำหมัดของตัวเองไว้แน่น นิ้วที่ถูกหักมีเลือดไหลออกมาอีกครั้ง


ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนที่ถูกจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ถึงมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอได้ เอโนว่าที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้นั้นไม่ใช้แม่ทัพของกองทัพพิพากษาคนนั้น หากแต่เป็นแม่มดโบราณที่มีใช้ชีวิตมาตั้งแต่ 400 กว่าปีก่อน


ถ้าเป็นเวลาปกติ เธอคงจะตะโกนด่าทอพร้อมกับชักดาบขึ้นมาไล่ฟันอีกฝ่ายแล้ว ต่อให้ไม่สามารถเอาชนะได้ แต่เธอก็ไม่ยอมให้สาวกของความชั่วร้ายมาควบคุมศพของวีรบุรุษแน่


แต่ตอนนี้ เธอกลับรู้สึกว่าพลังทั่วทั้งร่างของตัวเองกำลังไหลออกไปจากปลายนิ้ว


น่าขัน


น่าขันสิ้นดี!


จากคำบอกเล่าของอีกฝ่าย เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่แม่มดสร้างขึ้นมา เขี้ยวเล็บของปีศาจ? ร่างจำแลงของความชั่วร้าย? เหลวไหล พวกนางต่างหากถึงจะเป็นคนที่เสียสละทุกอย่างเพื่อมวลมนุษย์ เป็นวีรบุรุษที่ไร้ซึ่งความกลัวอย่างแท้จริง! เพียงแค่ความกล้าของราชินีสตาร์ฟอลที่พร้อมจะเสียสละตัวเองก็นับว่าเหนือกว่าใครๆ บนโลกแล้ว…ยังจะมีเรื่องไหนที่น่าขันกว่านี้อีกเหรอ? เป้าหมายที่ตัวเองคิดมาตลอดว่าคือเกียรติยศกลับเป็นสิ่งที่ศัตรูของตัวเองเป็นคนสร้างขึ้นมา พิธีเปลี่ยนร่างที่ตัวเองเฝ้าปรารถนานั้นเป็นแค่เพียงร่างเปลือกที่เอาไว้ให้แม่มดใช้งาน เรียกได้ว่าที่โลกใบนี้มีสภาพเหมือนอย่างทุกวันนี้ล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกับแม่มดทั้งสิ้น


รีบแย้งนางเร็ว บอกว่านี่เป็นเรื่องโกหก เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา!


ถึงแม้ภายในใจจะมีเสียงๆ หนึ่งกำลังตะโกนอยู่ แต่ฟาร์รีน่ากลับพูดอะไรไม่ออก


เพราะรายละเอียดหลายๆ อย่างมันฟังดูมีเหตุมีผล


อย่างเช่นข่าวลือเรื่องที่นักรบอาญาสิทธิ์หายตัวไปอย่างแปลกประหลาด


อย่างเช่นศพของผู้หญิงที่แห้งเหี่ยวเหมือนถูกอะไรบางอย่างสูบเลือดเนื้อออกไปจนหมด


อย่างเช่นสำนักนางชีขนาดใหญ่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์เก่า


อย่างเช่นผู้บริสุทธิ์ที่แล้วเหมือนกับแม่มดไม่มีผิด…


ถ้าจะปิดบังเรื่องโกหกเอาไว้มิดชิดขนาดนี้ คนที่สร้างเรื่องโกหกนี้ขึ้นมาอย่างน้อยๆ ก็ต้องแฝงตัวอยู่ในศาสนจักรมามากกว่าสิบปี อีกทั้งยังสามารถเข้าไปในหน่วยลับของศาสนจักรได้ด้วย และในตอนนี้คนที่จะทำแบบนี้ก็ได้คงจะมีแต่พระสันตะปาปารุ่นก่อนๆ เท่านั้น


ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหลักฐานชิ้นสำคัญอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ ‘พละกำลัง’


ในเมื่อเป้าหมายในการสร้างนักรบอาญาสิทธิ์ขึ้นมาก็เพื่อเอาไว้สู้กับปีศาจ อย่างนั้นมันก็ต้องยิ่งแข็งแกร่งยิ่งดี ซึ่งการทำให้มันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาก็ย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าการทำให้มันเป็นเหมือนสัตว์ป่าที่ไร้ซึ่งสติปัญญา และการที่ใช้คนเพียงสองคนก็สามารถโจมตีปราสาทของเกาะอาชดยุคที่มีนักรบอาญาสิทธิ์คอยเฝ้าอยู่ก็คือหลักฐานอย่างดี ถ้าแม่มดสามารถประสานงานกับร่างเปลือกอาญาสิทธิ์ได้ดีแบบนี้ ทำไมศาสนจักรถึงยังต้องไล่ฆ่าพวกเธอ แทนที่จะใช้งานพวกเธอ? ต่อให้แม่มดเร่ร่อนจะชั่วร้าย แต่พวกเขาก็ยังมีแม่มดผู้บริสุทธิ์ให้ใช้งาน


แต่ในความเป็นจริงคือเฮอร์มีสไม่เคยมีแม่มดอาญาสิทธิ์มาก่อน


ภายในหัวเธอมีข้อสรุปของเรื่องนี้ขึ้นมาทันที


ผู้บริสุทธิ์นั้นสามารถใช้หินอาญาสิทธิ์ควบคุมได้


แต่ศาสนจักรไม่มีวิธีในการควบคุมแม่มดอาญาสิทธิ์ที่เป็นเหมือนแม่มดอมนุษย์


ด้วยเหตุนี้ถึงแม้มันจะแข็งแกร่งแค่ไหน พวกเขาก็ไม่คิดที่จะสร้างมันขึ้นมา


สมมติว่าพระสันตะปาปาในเมืองศักดิ์สิทธิ์องค์นั้นตั้งแต่ที่จะเสียสละทุกอย่างเพื่อมนุษย์จริงๆ เธอเชื่อว่าต้องมีสาวกจำนวนมากที่พร้อมจะสละตัวเองอย่างแน่นอน รวมไปถึงแม่มดด้วย


แต่เมืองศักดิ์สิทธิ์กลับตัดความเป็นไปได้นี้ตั้งแต่เริ่มต้น


การกอบกู้โลกนั้นไม่ได้สำคัญสำหรับพวกเขาเหมือนอย่างที่ป่าวประกาศเอาไว้เลย


…นี่เหมือนกับที่อีกฝ่ายเยาะเย้ยเอาไว้เลย เธอคิดอย่างอ่อนแรง นักรบอาญาสิทธิ์นั้นไม่ใช่ไพ่ตายที่เอาไว้ต่อสู้กับปีศาจ หากแต่เป็นเครื่องมือที่เอาไว้จัดการกับแม่มดเท่านั้น


เห็นได้ชัดว่าโจเองก็คิดได้ถึงความขัดแย้งอันนี้เหมือนกัน เขาถามขึ้นมาอย่างระมัดระวังว่า “ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ที่คนเหมือนอย่างท่านอยู่เท่าไร?”


“หลายร้อยคน” โซอี้ยักไหล่ “ส่วนใหญ่ก็เป็นร่างเปลือกที่พวกเจ้าให้มานั่นแหละ หลังจากนี้ถ้าเจอคนรู้จักก็ไม่ต้องตกใจไปล่ะ”


ฟาร์รีน่าเหมือนจะพอเดาออกว่าทำไมโจถึงถามเช่นนี้


ถ้ามีนักรบอาญาสิทธิ์แค่คนสองคนก็ยังพอจะหาแม่มดมาปลอมตัวได้ แต่ถ้าหลายร้อยคนนั้นไม่มีทางแน่นอน


การที่อีกฝ่ายตอบอย่างมั่นใจเช่นนี้ก็ถือเป็นเครื่องยืนยันอย่างหนึ่งแล้ว


ฟาร์รีน่ารู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างภายในใจกำลังบินหนีจากเธอไป


เธอปรารถนาความรู้สึกที่ได้กลายเป็นที่ต้องการของคนอื่น


เดิมศาสนจักรนั้นคือสถานที่ที่แบกรับแสงสว่างและความหวัง เธอซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของศาสนจักรก็ย่อมต้องแบกรับภาระหน้าที่นี้เอาไว้เหมือนกัน บนหลังของเธอคือเผ่าพันธุ์มนุษย์และสี่อาณาจักรใหญ่ แต่ตอนนี้พวกมันกำลังหลุดลอกออกไปทีละน้อยๆ เหมือนกับกำลังที่กระดำกระด่างเพราะลมฝน ส่วนด้านหลังกำแพงนั้น…กลับไม่มีอะไรอยู่เลย เหมือนเป็นภาพมายาทีอยู่ในความฝันอย่างไรอย่างนั้น


เธอจำเป็น…ต้องทำอะไรบางอย่าง


“ศาสนจักร…ศาสนจักรแก้ไขเรื่องนี้ได้…ทำให้ทุกอย่างกลับมาอยู่บนเส้นทางอย่างที่มันควรจะเป็น…” ฟาร์รีน่าพูดออกมาอย่างยากลำบาก


“อะไรนะ?” โซอี้มองดูเธอ


“แผนการแม่มดอาญาสิทธิ์…จำเป็นต้องใช้ร่างเปลือกใช่ไหมล่ะ? มีแต่ศาสนจักรเท่านั้นถึงจะมอบร่างเปลือกให้กับพวกเจ้าได้ อย่างเช่นข้า…” เธอสูดหายใจ “ข้ายินดีที่จะเข้าสู่พิธีเปลี่ยนร่าง”


“โอ้?” โซอี้ยิ้มเย้าแหย่ขึ้นมา “ต่อให้สูญเสียจิตสำนึกไปทั้งหมดน่ะเหรอ?”


“ฟาร์รีน่า!” โจตะโกนเสียงดัง


“ถ้ามันสามารถทำประโยชน์ให้กับมนุษย์ได้ล่ะก็…”


เมื่อทำแบบนี้ ด้านหลังของเธอก็จะมีแสงสว่างปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เธอยังคงเป็นที่ต้องการอยู่…


“น่าสนใจนี่ คนธรรมดา” แต่โซอี้กลับทำลายความฝันของเธอจนแหลกละเอียด “แต่ว่าแผนแม่มดอาญาสิทธิ์มันถูกล้มเลิกไปนานแล้ว”


“ทะ ทำไมล่ะ?”


“เพราะว่ามันไม่มีประโยชน์น่ะสิ” โซอี้ผายมือ “ถ้าเป็นเมื่อ 400 ปีก่อน มันอาจจะเป็นแผนที่ดี แต่ปีศาจในตอนนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะเอาชนะได้ด้วยแม่มดอาญาสิทธิ์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ดังนั้นพวกข้าถึงได้ไปสวามิภักดิ์ต่อราชาแห่งเกรย์คาสเซิล ก็เท่านี้”


“….” ฟาร์รีน่าอ้าปาก แต่เธอกลับทำได้เพียงส่งเสียงหายใจฮึดฮัด


“แม่มดที่มีชีวิตอยู่ต่อให้อ่อนแอแค่ไหน แต่ขอเพียงหาหนทางที่ถูกต้องเธอ ประโยชน์ของนางก็ยังมีมากกว่าเลือดแห่งเวทมนตร์กับร่างเปลือกเปล่าๆ มาก ถึงแม้นี่จะเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงค้นพบ แต่พวกข้าก็เป็นคนที่ถนัดในการเรียนรู้เหมือนกัน และในตอนนี้ทุกคนต่างก็ยอมรับในแนวคิดนี้กันแล้ว” โซอี้ยืนขึ้นมา ก่อนจะหมุนตัวเดินไปที่ประตู “พูดอีกอย่างก็คือต่อให้เจ้ายินดีที่จะเปลี่ยนเป็นร่างเปลือก ก็ไม่มีแม่มดคนไหนที่จะยอมสละเลือดของของตัวเองอีก เพราะว่ามันไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่นิดเดียว”


ในขณะที่เธอกำลังก้าวข้ามธรณีประตูไป เธอพลันหยุดฝีเท้าแล้วหันหน้ากลับมายิ้มๆ


“ข้าขอพูดตรงๆ เลยแล้วกัน การปรากฏขึ้นมาของศาสนจักรมันคือความผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นแล้ว”


พริบตานั้นเอง ฟาร์รีน่าได้ยินเสียงแตกดังเพล้ง


นั่นคือเสียงที่ดังมาจากในใจของเธอ



ตอนที่ 1114 สิ่งตอบแทน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ปกติเจ้าไม่คุยกับคนธรรมดาเยอะขนาดนี้นี่นา”


หลังเดินออกมาจากห้องโดยสาร เบ็ตตี้ที่ยืนพิงกำแพงทางเดินก็เดินตามเข้ามา


“ข้าคุยกับฝ่าบาทโรแลนด์เยอะกว่านี้อีก” โซอี้พูดอย่างไม่ใส่ใจ


“แต่พวกเราต่างก็รู้ว่าพระองค์ไม่อาจถือเป็นคนธรรมดาที่แท้จริงได้” เบ็ตตี้แสร้งทำเป็นเศร้าสร้อย “ฌอนแค่อยากให้เจ้าไปคุยเรื่องจุดกำเนิดของศาสนจักร เพราะว่าแม่มดอาญาสิทธิ์นั้นมีความเชื่อถือมากกว่าเขา แต่ดูที่เจ้าพูดไปสิ ‘เพราะว่ามันไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่นิดเดียว’ ‘มันเป็นความผิดพลาดมาตั้งแต่แรกแล้ว’ …จุ๊ๆ นางยังเป็นคนเจ็บอยู่นะ เจ้าไม่กลัวนางจะอกแตกตายเหรอ”


“หน้าที่ของพวกเราคือเอาสมบัติโบราณกลับมา แล้วก็ช่วยเหลือคนที่ถูกจับออกมา ส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากนั้นนางจะเป็นหรือตาย มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?” โซอี้หยุดเดิน ก่อนจะหันมาหรี่ตามองเบ็ตตี้ “ว่าแต่เจ้านั่นแหละ…เห็นใจคนธรรมดาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”


“เป็นคนมันก็ควรจะห่วงใยกันไม่ใช่เหรอ?”


“ถ้าเป็นคนอื่นก็อาจจะเป็นไปได้อยู่ แต่เจ้าไม่มีทางพูดแบบนี้ออกมาแน่” โซอี้ชะงักไปเล็กน้อย “เดี๋ยวนะ…เจ้าแค่กำลังสะใจที่นางตกอยู่ในสภาพนี้ใช่ไหม?”


“อย่าพูดออกมาสิ” เบ็ตตี้ยิ้มขึ้นมา


“ใช่จริงๆ ด้วย” โซอี้ถอนหายใจออกมา “นางคล้ายจริงๆ “


“อื้อ เหมือนแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกันเลย” เบ็ตตี้เดินขึ้นมายืนข้างโซอี้ ก่อนจะเท้าแขนไปที่ขอบหน้าต่าง “ถ้านางเกิดเร็วกว่านี้ 400 ปี…ถ้านางเป็นแม่มดเหมือนกัน อย่างนั้นในการประชุมครั้งสุดท้ายของสมาพันธ์….”


“นางจะต้องเลือกติดตามท่านอควาเรียส ไม่ใช่พวกเราอย่างแน่นอน” โซอี้พูดต่อ “และก็เพราะแบบนี้มันถึงได้น่าโมโห”


ฟาร์รีน่าไม่ได้เหมือนใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่เหมือนกับคนกลุ่มหนึ่ง


เธอเหมือนกับกลุ่มแม่มดของสมาพันธ์ที่รอดชีวิตมาได้อย่างยากลำบากและหนทางข้างหน้าก็เต็มไปด้วยความมืดมน


พวกเธอเหลือทางเลือกไม่มากเท่าไร


แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ พวกเธอส่วนใหญ่ก็ยังไม่ทิ้งความหวัง เมื่อเทียบกับแผน ‘ผู้ถูกเลือก’ ที่ดูเลือนรางแล้ว แผนแม่มดอาญาสิทธิ์ที่ใช้กำลังของตัวเองในการทำเป้าหมายให้เป็นจริงนั้นจึงได้รับการสนับสนุนมากกว่า ถึงแม้พวกเธอจะต้องเอาสมาพันธ์ของตัวเองมาสังเวยก็ตาม


ในการประชุมที่ตัดสินชะตาชีวิตครั้งนั้น อควาเรียสสร้างความได้เปรียบเหนือนาตาย่า ‘เผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่ดับสูญ แม่มดจะมีชีวิตอยู่ต่อ’ เหมือนจะกลายเป็นคำพูดเดียวภายในที่ประชุม ซึ่งในความเป็นจริง แม้แต่ผู้ติดตามนาตาย่าหลายๆ คนก็ยังเกิดความลังเลเหมือนกันว่าเส้นทางที่พวกเธอเลือกจะมองเห็นแสงสว่างได้หรือไม่ ส่วนตัวเธอนั้นก็ทำได้เพียงยืนร้อนใจอยู่ข้างๆ ราชีนีซันเชสเซอร์โดยไม่ได้พูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว


ท่าทีที่เธอแสดงต่อฟาร์รีน่านั้นเป็นแค่การระบายอารมณ์โกรธเท่านั้น


จริงๆ แล้วคนที่โซอี้อยากจะโต้เถียงไม่ใช่สาวกของศาสนจักร หากแต่เป็นสมาพันธ์ในอดีต


เธออยากจะบอกพวกเธอว่าแม่มดที่มีความสามารถอ่อนแอไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสได้กลายเป็นแม่มดที่แข็งแกร่ง


เธออยากจะบอกพวกเธอว่าคนธรรมดาที่โง่เขลาและมองอะไรสั้นๆ นั้นไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์


และสิ่งที่เธออยากจะพูดมากที่สุดก็คือ ถ้าหากตอนนั้นพวกเธอรออีกสักหน่อยก็คงจะดี…


อย่าชักดาบฆ่าฟันกันเพียงพอความเห็นไม่ตรงกัน


แต่สุดท้ายความคิดเหล่านี้ก็กลายเป็นเสียงถอนหายใจของเธอ


ถ้าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ถึงแม้จะกลับไปยืนอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง สามผู้นำก็จะเดินไปบนเส้นทางเดิมอย่างแน่นอน


ในช่วงเวลาที่มืดมนตอนนั้น มีเพียงผู้ที่จิตใจแข็งแกร่งและมั่นคงถึงจะสามารถนำทุกคนให้เดินหน้าต่อไปได้


“ถ้าท่านอควาเรียส ท่านเอเลนอร์กับท่านนาตาย่าได้มาเป็นทุกอย่างในตอนนี้ก็คงจะดี…”


โซอี้มองดูทะเลสีน้ำเงินที่กว้างสุดลูกหูลูกหาพร้อมกับพูดพึมพำออกมา


…..


ภายในห้องโดยสารอีกห้องหนึ่ง เคแกนวางปากกาลงอย่างตกใจ


“อาจารย์ นี่มัน…” เรินต์แกนเองก็ดูตกใจอย่างมากเหมือนกัน เธอคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้ฟังบทสนทนาที่น่าเหลือเชื่อขนาดนี้ “พวกเรารู้เยอะเกินไปหรือเปล่า?”


เพื่อที่จะได้เข้าใจเรื่องราวระหว่างโจกับฟาร์รีน่าได้ดียิ่งขึ้น ฌอนได้จัดให้ห้องหนังสือของทั้งสองคนอยู่ติดกับห้องพักผู้ป่วย อีกทั้งยังได้ทำการแก้ไขอะไรบางอย่างลงไปบนกำแพงกั้นห้องด้วย กระจกเงาที่ดูเหมือนกระจกทั่วๆ ไปบานหนึ่งที่ใช้ตกแต่งอยู่บนกำแพงนั่นสามารถมองทะลุไปยังอีกห้องหนึ่งได้ ด้วย ‘รูกำแพง’ ที่ว่านี้ทำให้พวกเขามองเห็นสถานการณ์ของอีกห้องหนึ่งได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ตรงมุมกำแพงยังมีการต่อท่อขยายเสียงเข้าไปสองอันด้วย ถ้าเอาหูไปแนบก็จะได้ยินเสียงพูดคุยของอีกห้องอย่างชัดเจน


นี่ถือเป็นครั้งแรกสำหรับเคแกนที่ได้มาสำรวจดูในระยะใกล้ขนาดนี้ ถึงแม้เขาจะรู้ว่าการทำแบบนี้มันไม่ค่อยเหมาะเท่าไร แต่เขาก็ไม่อาจต้านทานความเย้ายวนของมันได้ จะมีเวทีไหนที่มีความสมจริงไปมากกว่านี้อีกล่ะ? คนที่อยู่ในห้องก็เหมือนนักแสดงที่แสดงที่กำลังแสดงละครที่สมจริงอยู่ ส่วนเขาก็เป็นทั้งผู้ชมแล้วก็ผู้จดบันทึก


เพียงแต่เดิมเขาคิดว่านี่จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและการกอบกู้ แต่เขากลับมาได้ยินเรื่องราวในอดีตของศาสนจักรที่ไม่มีใครรู้ ข้อมูลนี้ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกตกใจอย่างมาก


สี่อาณาจักรใหญ่นั้นสืบทอดต่อมาจากอาณาจักรแม่มด?


แม้แต่ศาสนจักรก็เป็นสิ่งที่สมาพันธ์ของแม่มดเป็นคนสร้างขึ้นมา


แม่มดโบราณเหล่านั้นมีวิธีในการยึดร่างคนธรรมดาอยู่


ไม่ว่าจะเป็นข่าวไหนก็ล้วนแต่เป็นเหมือนคลื่นยักษ์ที่ซัดสาดใส่ตัวเขา


เรินต์แกนมองไปที่ประตูอย่างหวาดวิตก เหมือนกลัวว่าจะมีทหารพุ่งเข้ามาในห้องในทุกเมื่อ จากนั้นจับเธอใส่ถุงแล้วโยนลงไปในทะเล


ภายในหัวเคแกนมีคำพูดก่อนหน้านี้ของโรแลนด์ลอยขึ้นมา


‘มันจะสะท้อนให้เห็นถึงดอกไม้แห่งความรักที่เบ่งบานอยู่ในยุคสมัยที่มืดมิดที่สุด’


‘ข้าคิดว่าเจ้าคงรู้นะว่าอะไรคือการแก้ไขบท’


บางที…ฝ่าบาทคงจะคิดถึงเรื่องนี้เอาไว้แต่แรกแล้ว


แต่ไม่ว่ายังไง เขาก็ไม่สามารถถอนตัวกลางคันได้แล้ว


ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ถอนตัวได้ เขาก็ไม่มีทางถอยแน่นอน


เคแกนแอบสังหรณ์อยู่ในใจ


ละครเรื่องนี้จะกลายเป็นละครที่ประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน


ขณะเดียวกัน ทั้งสองคนที่อยู่อีกด้านของกระจกก็เหมือนจะมีความเคลื่อนไหวอะไรบางอย่าง


เขารีบหยิบเอาท่อขยายเสียงขึ้นมาแนบหูทันที


…..


“สุดท้าย…ก็กลายเป็นแบบนี้ซะได้…” สายตาของฟาร์รีน่าล่องลอย เห็นๆ อยู่ว่ามองไปทางโจ แต่สายตากลับเหมือนมองทะลุเขาไป “ไม่มีศาสจักรแล้ว…แล้วก็ไม่มีใครต้องการข้าด้วย…เจ้าช่วยข้า แต่ข้ากลับไม่สามารถตอบแทนเจ้าได้…ขอโทษนะ…”


เสียงของเธอเบาลงเรื่อยๆ จนเหมือนจะกลายเป็นเสียงกระซิบ


โจคว้ามือเธอเอาไว้อย่างปวดใจ “ที่ข้าช่วยเจ้าไม่ใช่เพราะศาสนจักรอะไรนั่น!”


เขาตะโกนเสียงดังขึ้นฟาร์รีน่ารู้สึกงุนงง


“ข้าไม่ได้คาดหวังอะไรในศาสนจักรแต่แรกแล้ว ข้าก็แค่อยากจะใช้ชีวิตไปวันๆ เท่านั้น! ที่ข้าแสดงทำเป็นศรัทธาต่อศาสนจักร นั้นก็เพื่อจะได้เลื่อนขั้นได้เร็วขึ้น! ข้าเคยเป็นขุนนาง ข้าจะมาฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้กับพระเจ้าได้ยังไงล่ะ?”


“เจ้า…” ฟาร์รีน่ากัดริมฝีปาก ในดวงตาจับภาพไปที่เขา เธอพยายามที่จะยกมือขึ้นมา เหมือนเธออยากจะตบเขาอย่างไรอย่างนั้น


โจไม่ขยับ แถมยังเชิดหน้าขึ้นมาเล็กน้อยด้วย


ส่วนท้ายฝ่ามือนี้ก็ไม่ได้ตบใส่เขา “เจ้ากำลัง…หลอกข้าใช่ไหม? ติดตามข้ามาเสี่ยงตายถึงอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทหลังจากที่กองทัพอาญาสิทธิ์พ่ายแพ้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าจะไม่…คาดหวังอะไรในศาสนจักร?”


โจคว้าแขนของเธอเอาไว้ “เพราะข้าอยากจะอยู่ข้างกายเจ้า! พระสันตะปาปาหรือสงครามแห่งโชคชะตาอะไรนั่นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรสำหรับข้าเลย!”


“โจ!”


“ฟังข้าพูดให้จบ!” เขารอโอกาสนี้มานานแล้ว ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าตัวเองต้องสูญเสียอีกฝ่ายไปตลอดกาล ตอนนี้อีกฝ่ายกลับมาอยู่ตรงหน้าตัวเองอีกครั้ง เขาไม่มีทางปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปอีกแน่ “หลังจากรู้ว่าเจ้าถูกจับ ข้าก็พยายามคิดหาทางที่ช่วยเจ้าให้ได้ แต่ในนั้นไม่มีแผนที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของเฮอร์มีสเลย เพราะสำหรับข้าแล้ว ต่อให้ไม่มีศาสนจักร โลกใบนี้มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย ยกเว้นเจ้า…ที่ข้าไม่อยากสูญเสียไป! ข้า…ต้องการเจ้า!”


แคร่ก!


ปากกาขนนกในมือเคแกนถูกกดจนปลายปากกาหักลง


“ต้อง…การข้าเหรอ?” ฟาร์รีน่าตกตะลึง


“เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่สามารถตอบแทนอะไรข้าได้? อย่างนั้นข้าอยากจะขอสิ่งๆ หนึ่งจากเจ้าเป็นการตอบแทนแล้วกัน!” โจกอดเธอเอาไว้ “อยู่กับข้า…ไม่ว่าหลังจากนี้จะไม่เมืองเนเวอร์วินเทอร์หรือว่าที่ไหนก็ต้องอยู่กับข้า ไม่ว่าผลการไต่สวนจะเป็นอย่างไร พวกเราก็จะรับผลการตัดสินนั้นด้วยกัน นี่คือ…สิ่งตอบแทนที่ข้าต้องการ!”


…………………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)