Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1105-1110
ตอนที่ 1105 หัวใจของลีฟ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากนั้นสองวัน
เมืองเนเวอร์วินเทอร์ เกรย์คาสเซิล
“สถานการณ์ตอนนี้ก็เป็นแบบนี้แหละเพคะ…” แอชเชสเล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นออกมาอย่างละเอียด “กระทั่งไฟถูกดับหมดแล้ว ไลต์นิ่งจึงบินออกไปค้นหาประมาณ 100 กิโลเมตร ถึงได้พบร่องรอยที่ศัตรูทิ้งเอาไว้ จากการวิเคราะห์ดูแล้ว มันน่าจะเป็นร่องรอยของปีศาจแมงมุมตอนที่เดินเข้ามาในป่า จำนวนมีไม่เยอะ ประมาณ 3 – 4 ตัวเพคะ”
เนื่องจากการติดต่อสื่อสารภายในป่าถูกตัดขาด ทำให้กว่าโรแลนด์จะได้ข่าวที่ลีฟถูกโจมตีก็ต้องรอถึงช่วงเย็นของวันถัดไป เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ทราบข่าว เขาจึงรีบให้ทิลลีกับเวนดี้ขับซีกัลไปยังสถานีปลายทางเพื่อรับลีฟและคนอื่นๆ กลับมายังเนเวอร์วินเทอร์
แอชเชสยังดีหน่อย ดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรร้ายแรง แต่ลีฟกลับถูกคนหามลงมาจากเครื่องบิน
ในความโชคร้ายยังมีความโชคดี ไนต์ฟอลได้ปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งการอยู่ร่วมกันลงไปในตัวลีฟ ถึงแม้ลีฟจะนอนสลบไม่ได้สติ แต่เมื่อดูจากสีหน้าของไนต์ฟอลก็พบว่าไม่ได้มีความเจ็บปวดอะไรมากมายนัก นี่หมายความว่าลีฟนั้นได้รับผลกระทบด้านจิตใจมากกว่าด้านร่างกาย
โรแลนด์สลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป พร้อมกับเลื่อนสายตาไปยังแผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะทำงาน
ภาพเหตุการณ์การโจมตีทั้งหมดปรากฏขึ้นมาในหัวเขาอย่างชัดเจน
แม่ทัพของปีศาจนั้นสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของป่าเร้นลับจริงๆ เพราะว่ารางเหล็กนั้นเลี้ยวออกมาจากในป่าและพุ่งตรงไปยังทาคิลา แต่มันก็ไม่ได้เลือกที่จะบุกโจมตีไปที่หลุมเพลาะและรั้วลวดหนาวที่อยู่ตรงสถานีปลายทาง หากแต่พุ่งเป้าไปที่ตัวแม่มดแทน
กองทัพเล็กๆ เดินทางมาเป็นระยะทางเกือบ 500 เมตรจากซากเมืองทาคิลามาถึงด้านเหนือของป่า ระยะทางที่ไกลขนาดนี้ทำให้พวกมันไม่สามารถทำศึกขนาดใหญ่ได้ แสดงว่าปีศาจแมงมุมพวกนั้นนอกจากจะรับหน้าที่จุดไฟแล้ว พวกมันยังแบกถังหมอกแดงมาเป็นจำนวนมากด้วย ในอีกแง่หนึ่งก็หมายความว่าพวกปีศาจเปลี่ยนไปใช้แผนการสู้รบแบบกองโจร
การจุดไฟเผาป่านั้นเป็นแค่แผนดึงดูดความสนใจจากแม่มดเท่านั้น ตอนนี้เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว ดูเหมือนพวกปีศาจจะรู้แล้วว่าไม่ว่ากองทัพที่หนึ่งจะมีแผนรับมือกับการโจมตีด้วยไฟหรือไม่ ผู้ที่คอยควบคุมป่าก็จะอยู่ตรงนั้นเพื่อดูสถานการณ์
พวกปีศาจน่าจะมองว่าลีฟนั้นเป็นผู้ที่คอยสนับสนุนเรื่องการขนส่งให้กับกองทัพที่หนึ่ง
ขอเพียงสังหารผู้ควบคุมป่าได้ ก็จะสามารถกำจัดวิกฤติในแนวหน้าและทำให้พวกมนุษย์ถอยทัพได้
ถึงแม้แผนการจะดูมีข้อบกพร่องไปบ้าง แต่การที่สามารถคิดคำนวณได้ขนาดนี้ก็แสดงให้เห็นถึงระดับความเข้าใจในเวทมนตร์ของพวกปีศาจ พวกมันสามารถคาดเดารูปแบบพลังของลีฟได้อย่างแม่นยำ แล้วก็วางแผนโจมตีเพื่อเล่นงานเธอโดยเฉพาะ การที่มันสามารถอาศัยพละกำลังของตัวเองวิ่งมาเป็นระยะไกล แล้วยังคำนวณเวลาที่ต้องใช้ในการบุกและถอย เรียกได้ว่าทุกขั้นตอนล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกัน ถ้าไม่มีความเข้าใจในเรื่องการใช้เวทมนตร์อย่างลึกซึ้งแล้วล่ะก็ มันไม่มีทางที่จะทำแบบนี้ได้แน่นอน
เขาถึงขนาดสงสัยว่าปีศาจอาจจะเคยเห็นความสามารถที่คล้ายๆ กับลีฟมาก่อน
หากศัตรูจะกลับมาโจมตีอีกครั้ง อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาอีกอาทิตย์หนึ่ง ส่วนร่องรอยที่ปีศาจแมงมุมทิ้งเอาไว้ก็สามารถไล่ตามได้ไม่ยาก แต่ทำแบบนั้นมันไม่ค่อยมีประโยชน์อะไร เพราะผู้พิฆาตเวทมนตร์ที่บินไปมาได้อย่างอิสระนั้นสามารถทิ้งกองทัพปีศาจแล้วหนีไปได้ทุกเมื่อ หน่วยโจมตีที่ส่งไป ถ้าส่งไปน้อยก็อาจจะเสียท่าโดนพวกมันโจมตีกลับ ถ้าส่งไปเยอะก็จัดการได้แค่ปีศาจแมงมุมกับปีศาจระดับล่างแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น
ในทางเดียวกัน เขาเองก็ไม่มีวิธีการตอบโต้การเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ของหน่วยจู่โจมของศัตรูด้วย ข้างกายแม่มดที่สำคัญๆส่วนใหญ่จะมีแม่มดอาญาสิทธิ์คอยปกป้องเอาไว้อยู่ แต่แม่มดที่เคลื่อนไหวไปมาไม่นิ่งอย่างลีฟ เมซี่กับไลต์นิ่งนั้นไม่มีทางที่เขาจะหาวิธีการป้องกันแบบไม่ให้มีข้อผิดพลาดได้ โชคดีที่ปีศาจระดับสูงที่มีความแข็งแกร่งขนาดนี้มีไม่เยอะเท่าไร ยิ่งไปกว่านั้นในเวลานี้ที่มันวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่ก็มีปฏิกิริยาทางเวทมนตร์แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ขอเพียงพวกเธอรีบหนี ศัตรูก็ยากที่จะทำอะไรพวกเธอได้
แต่อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้โรแลนด์สนใจก็คือเรื่องที่ผู้พิฆาตเวทมนตร์พูดคุยกับแอชเชส
ที่แท้…ปีศาจก็พูดภาษาคนได้อย่างนั้นเหรอ?
คาบราดาบีที่ถูกจับเอาไว้ก็เป็นปีศาจระดับสูงเหมือนกัน แต่มันไม่มีความสามารถเช่นนี้ ถ้าไม่ใช้การเชื่อมต่อทางวิญญาณของคามิล่าในการพูดคุยกับมันแล้วล่ะก็ เกรงว่าแม้แต่การสื่อสารขั้นพื้นฐานก็คงจะทำไม่ได้
‘การเรียนรู้คือพื้นฐานของการวิวัฒนาการ’
‘เวลาหลายร้อยปีสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากมาย แต่พวกเจ้ากลับเหมือนใช้ชีวิตเหมือนย่ำอยู่กับที่’
‘ว่ากันว่าตั้งแต่ก่อนที่สงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่งจะเกิดขึ้นก็มีคนติดต่อกับพวกปีศาจแล้ว…คนที่ถ่ายทอดความรู้ให้กับพวกมันคือมนุษย์คนหนึ่ง’
คำบอกเล่าของแอชเชสกับตำนานที่พาซาร์เล่าให้ฟังสลับกับลอยขึ้นมาในหัวของโรแลนด์
ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าผู้พิฆาตเวทมนตร์ตัวนี้กำลังพูดถึงความรู้สึกภาคภูมิใจในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา เหมือนกับว่ามันที่ผ่านมามันได้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆ มามากมายอย่างไรอย่างนั้น
หรือว่ามันจะเป็นปีศาจที่ใช้ชีวิตมาตั้งแต่ยุคสมัยสมาพันธ์…หรืออาจจะเก่าแก่กว่านั้น?
ดังนั้นมันจึงเรียนรู้ภาษาของมนุษย์ได้?
แต่…นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปหรือเปล่า
ในขณะที่โรแลนด์กำลังจมดิ่งอยู่ในความคิด ด้านนอกห้องทำงานพลันมีเสียงของเวนดี้ดังขึ้นมา
“ฝ่าบาท” เธอผลักประตูเข้ามา “ลีฟตื่นแล้วเพคะ”
“ข้าไปเดี๋ยวนี้แหละ” โรแลนด์ลุกขึ้นทันทีพร้อมกับมองไปทางแอชเชส “เจ้าจะไปด้วยกันไหม?”
แม่มดอมนุษย์พยักหน้า
“เออใช่” ในตอนที่เดินผ่านอีกฝ่าย จู่ๆ เขาก็หยุดฝีเท้า “ก่อนหน้านี้ลืมบอกเจ้าไป ขอบคุณเจ้ามากนะ”
การที่ดูเหมือนไม่เป็นอะไรไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บจริงๆ มีแต่ตอนที่เข้าใกล้เธอ เขาถึงจะสังเกตเห็นว่าบนใบ้หน้ากับนิ้วมือของแอชเชสนั้นมีรอยถลอกอยู่เต็มไปหมด
ลมหมุนที่สามารถพัดเอาลีฟปลิวกระเด็นไปได้นั้นย่อมไม่ใช่ลมเบาๆ เหมือนอย่างลมในฤดูใบไม้ผลิแน่ ตามหลักแล้วบาดแผลเล็กๆ แบบนี้ไม่มีทางที่จะอยู่บนร่างกายแม่มดอมนุษย์เกินหนึ่งวัน แต่ตอนนี้มันกลับยังไม่หายดี
พูดอีกอย่างคือถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา เธอก็อาจจะถูกโจมตีจนถึงชีวิตได้
ความดุเดือดในการต่อสู้ครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนอย่างที่เธอพูดมาเสียแล้ว
แอชเชสรับเอาคำขอบคุณนี้มาด้วยสีหน้าเรียบเฉยๆ เธอเพียงแต่พยักหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะใช้ดวงตาสีทองมองดูโรแลนด์ “ดูแลทิลลีดีๆ แล้วกันเพคะ”
“แน่นอน ต่อให้เจ้าไม่พูดข้าก็…” โรแลนด์เม้มปาก ตัวเขาเข้าใจในความหมายของอีกฝ่าย ความจริงนี่มันก็เป็นเรื่องที่เขาควรจะทำอยู่แล้ว ก็เหมือนกับที่เธอช่วยลีฟเอาไว้ แม่มดอมนุษย์ที่คนตรงๆ ก็ยังมีความคิดเช่นนี้ได้ เขาจึงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ไปกันเถอะ”
….
เมื่อเดินเข้ามาในห้องนอนของลีฟ เขาก็พบว่าภายในห้องนั้นมีคนยืนอยู่เต็มไปหมดแล้ว
อันนา ไนติงเกล ทิลลี บุ๊ค ลูน่า…แม่มดกลุ่มแรกของสโมสรแม่มดแทบจะทุกคนต่างมารวมกันอยู่ที่ี่นี่ เมื่อเห็นโรแลนด์เดินเข้ามา ทุกคนต่างพากันหลีกทางให้เขา
ท่ามกลางกลุ่มแม่มด เขามองเห็นลีฟที่นั่งตัวตรงขึ้นมา
ผมสีเขียวของเธอดูยุ่งเล็กน้อย ใบหน้าขาวซีด แต่จิตใจเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก
สายตาของเธอยังคงเป็นประกาย
“ฝ่าบาท” ลีฟพูดเสียงเบาๆ “ขอประทานอภัยที่ทำให้พระองค์ทรงเป็นกังวลเพคะ”
“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว..” โรแลนด์ถอนหายใจออกมา ที่เธอสลบไปก่อนหน้านี้เป็นเพราะจิตใจของเธอเหนื่อยล้าเกินไปจริงๆ ด้วย แต่เขาก็รู้ดีว่าจริงๆ แล้วลีฟเองก็โดน ‘คำสาป’ คล้ายๆ กับไลต์นิ่งเหมือนกัน บาดแผลที่เกิดขึ้นจากการที่ถูกบีบให้ตัดขาดจากหัวใจแห่งป่านั้นยังคงอยู่ อย่างมากคงพูดได้แค่ว่ายังไม่อันตรายถึงชีวิต “รายละเอียดทั้งหมดข้าฟังจากแอชเชสหมดแล้ว เจ้าพักผ่อนให้เยอะๆ ก่อนแล้วกัน ตอนนี้ก็ยังไม่ต้องไปทำงานที่ป่า ส่วนอาการบาดเจ็บของเจ้า ข้าจะต้องคิดหาวิธี…”
เธอส่ายหัว “ไม่เพคะ ฝ่าบาท ได้โปรดให้หม่อมฉันกลับไปที่แนวหน้าด้วยเถอะเพคะ”
“ลีฟ!” ไนติงเกลทนไม่ไหวจนต้องพูดออกมา
“ข้ารู้ว่าทุกคนเป็นห่วงข้า แต่ว่าถ้าข้าเอาแต่นอนอยู่บนเตียงมันก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นไม่ใช่เหรอ?” ลีฟพูดช้าอย่างมาก แต่น้ำเสียงของเธอกลับฟังดูชัดเจน “ไม่ว่าจะอยู่ที่ป่าเร้นลับหรือว่าเมืองเนเวอร์วินเทอร์ คำสาปมันก็ไม่หายไป ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้านอนพักไปมันก็ไม่มีประโยชน์”
“แต่ว่า…” เวนดี้พูดขึ้นมา
“ขอเพียงข้าได้อยู่ในป่าหนึ่งวัน การสื่อสารของทั้งสองที่ก็จะกลับมาใช้งานได้ ที่นาทดลองก็จะไม่ถูกทิ้งร้าง สิ่งของที่แนวหน้าต้องการ ข้าก็ช่วยขนได้ จะมากจะน้อยมันก็เป็นประโยชน์ต่อแผนโจมตีปีศาจ แค่มองดูก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอว่าแบบไหนเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า?” เธอหอบหายใจเล็กน้อย ก่อนจะพยายามฝืนยิ้มขึ้นมา “วางใจได้ ครั้งนี้ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ข้าต้องเลือกที่จะหนีก่อนแน่นอน”
ทุกคนพูดไม่ออก
โรแลนด์สูดหายใจ ก็จริง…เขาน่าจะเดาได้แต่แรกแล้ว ถ้าลีฟไม่ได้เป็นแบบนี้ แล้วเธอจะเดินสองเท้าเปล่าจากเทือกเขาสิ้นวิถีมายังเมืองชายแดน และพาพี่น้องที่รอดชีวิตทั้งหมดกลับมาที่นี่ได้อย่างไร?
เธอก็เป็นเหมือนกับป่า ภายนอกที่เธอบอบบางกลับซ่อนหัวใจที่แข็งแกร่งเอาไว้อยู่
“ข้ารู้แล้ว” หลังนิ่งเงียบไปครู่ เขาจึงพยักหน้าออกมา “แต่เจ้าต้องรับปากข้า ก่อนที่ผู้พิฆาตเวทมนตร์ที่มีพลังแห่งคำสาปจะถูกฆ่า ห้ามเจ้าทำอะไรคนเดียวเด็ดขาด”
พอพูดจบเขาก็มองไปทางแอชเชส “ระหว่างนี้ ข้าฝากเจ้าดูแลนางได้ไหม?”
แอชเชสหันไปสบตาทิลลี ก่อนจะตอบกลับมาว่า “หม่อมฉันจะดูแลนางเองเพคะ”
………………………………………………………..
ตอนที่ 1106 แผนรับมือแบบครอบจักรวาล
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ เขตที่พักของมนตร์แห่งสลีปปิ้ง แอชเชสเพิ่งจะปิดประตูห้องลง ด้านหลังเธอพลันมีเสียงกระแอมของทิลลีดังขึ้นมา
“อะแฮ่มๆ ที่โรแลนด์บอกให้ดูแล เจ้าน่าจะรู้ใช่ไหมว่าหมายถึงอะไร?”
แอชเชสอดยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้ เธอแสดงทำเป็นพูดด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจขึ้นมา “ก็ตามนั้นไม่ใช่เหรอเพคะ…คอยอยู่ข้างกายลีฟเหมือนกับดูแลคนไข้ ร่างกายนางบาดเจ็บอยู่ คงจะทำอะไรไม่ค่อยสะดวกเท่าไร..”
“เฮ้!”
ครั้งนี้แอชเชสหลุดขำออกมา
“ที่แท้เจ้าแกล้งหลอกข้า..”
“วางใจได้เพคะ หม่อมฉันรู้ว่าตัวเองควรทำอะไร” เธอหันหน้ามองพร้อมกะพริบตามองอีกฝ่าย “ฝ่าบาทเพียงแค่ต้องการใช้ประสาทสัมผัสพิเศษที่ไวต่อพลังเวทมนตร์ของแม่มดอมนุษย์เพื่อให้ในการเตือนให้ลีฟรู้ล่วงหน้าเท่านั้นเพคะ ก็เหมือนกับตอนที่หม่อมฉันเจอกับพระองค์อย่างไรอย่างนั้น”
ถ้าไม่เป็นเพราะพลังแบบนี้ พระองค์ก็คงไม่มีทางมองเห็นหม่อมฉันที่ยืนล่องลอยอยู่ท่ามกลางฝูงคนเหมือนวิญญาณที่มือเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดหรอกเพคะ
“ข้าไม่ใช่ปีศาจซักหน่อย” ทิลลีเอามือกอดอก
“ก็แค่ยกตัวอย่างน่ะเพคะ” แอชเชสยกมือยอมแพ้ “เพราะมีแต่หม่อมฉันที่เคยสู้กับผู้พิฆาตเวทมนตร์ไม่ใช่เหรอเพคะ?”
“แล้วหลังจากที่แจ้งเตือนแล้วล่ะ
“ก็ไปหากองหนุน ร่วมมือกันโจมตีศัตรู”
“จริงนะ?”
“หม่อมฉันไม่ใช่โลก้าที่มองเห็นคู่ต่อสู้คนไหนก็อยากจะเข้าไปสู้ทั้งหมดนะเพคะ” แอชเชสพูดยิ้มๆ “ขอเพียงไม่ได้ถูกตัดขาดพลังเวทมนตร์ ลีฟก็จะหายตัวเข้าไปในต้นไม้ได้ทันที แล้วหม่อมฉันจะยืนอยู่ที่เดิมทำไมล่ะเพคะ”
“เฮ่อ…” ทิลลีถอนใจออกมา “อย่าลืมที่เจ้าพูดซะล่ะ”
“แน่นอนอยู่แล้วเพคะ” เธอเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับสบตาเจ้าหญิงลำดับที่ห้า “หม่อมฉันยังต้องอยู่ข้างกายพระองค์อีกนานเพคะ แอนเดรียเกิดมาจากตระกูลขุนนาง นางไม่มีทางรู้ว่าต้องดูแลคนอย่างไร คิดแต่เพียงว่าสู้ได้ก็พอ แล้วหม่อมฉันจะวางใจปล่อยให้พระองค์อยู่กับนางได้อย่างไรล่ะเพคะ”
“เจ้า เจ้าพูดอะไรของเจ้าน่ะ เจ้าบื้อ!” ทิลลีถลึงตาใส่ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอย่างไม่สบอารมณ์
พอเดินไปถึงประตู จู่ๆ เธอพลันหยุดฝีเท้าแล้วพูดเสียงเบาๆ ออกมาว่า “ที่เจ้าช่วยลีฟได้ ความจริง..ข้าเองก็ดีใจอย่างมากเหมือนกัน”
แอชเชสงุนงงเล็กน้อย
“ถ้าปกป้องข้าแค่คนเดียว ข้าคิดว่ามันสิ้นเปลืองพลังของเจ้าไปหน่อย” ทิลลีหันหน้ากลับมา “ถึงแม้เจ้าจะพูดกับข้าอยู่เสมอว่าเกาะสลีปปิ้งต่างหากที่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของพวกเรา แต่ความจริงเจ้าเองก็ชอบที่นี่อย่างมากไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้เจ้ายิ้มเยอะกว่าแต่ก่อนเสียอีก”
ใช่…เหรอ? เธอเอามือขึ้นมาลูบแก้มตัวเองโดยไม่รู้ตัว
“ถึงจะอยู่บนเกาะสลีปปิ้ง เจ้าเองก็ไม่ค่อยยิ้มเท่าไร เหมือนกับเจ้ารอที่จะสู้กับศัตรูอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้นแหละ” ทิลลีพูดต่อ “เกรงว่าแม้แต่เจ้าก็คงไม่ทันได้สังเกต แม่มดที่มาใหม่น่ะกลัวเจ้ามากนะ มีแต่แม่มดซื่อๆ อย่างเมซี่เท่านั้นแหละที่เล่นกับเจ้าได้”
“แต่ตอนนี้ เจ้ากลับเข้ากับสโมสรแม่มดได้เป็นอย่างดี แถมข้ายังได้ยินมาว่ามีคนชื่นชมเจ้าด้วยนี่?”
“พระองค์หมายถึง…โลก้า? ไม่ นางแค่ค่อนข้างสนิทกับหม่อมฉันเท่านั้น น่าจะเป็นเพราะพวกเราฝึกซ้อมด้วยกันบ่อยน่ะเพคะ…”
“แบบนั้นก็ดี” ทิลลีพูดตัดบท “ถ้าเทียบกับ ‘ผู้แก้แค้น’ เมื่อก่อนนี้แล้ว ข้าชอบตัวเจ้าในตอนนี้มากกว่า แต่ว่า!” เธอชะงักไปเล็กน้อย “นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะทำอะไรตามใจชอบได้นะ เข้าใจไหม!”
แอชเชสนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบออกมา “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”
“ดีมาก” ทิลลีพยักหน้าอย่างพอใจ “ไม่แน่อีกไม่นานหลังจากนี้ ข้าอาจจะได้ลงไปสนามรบกับเจ้าก็ได้”
“โอ้? แผนการอัศวินอากาศมีความคืบหน้าเหรอเพคะ?”
“โรแลนด์บอกว่ากำลังลองเอาแหล่งกำเนิดพลังรุ่นใหม่ไปใส่ในเครื่องบิน ถ้าสำเร็จล่ะก็ เราก็จะได้เครื่องบินรุ่นใหม่ที่สามารถบินได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องพึ่งพาเวนดี้แล้ว” ทิลลีพูดอย่างตื่นเต้น “แต่สิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือสร้างเครื่องบินรุ่นพิเศษให้ข้าเป็นการเฉพาะ ได้ยินว่ามันสามารถบินได้สูงกว่าเร็วกว่าอสูรสยองเสียอีก!”
ฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยให้พระองค์ลงไปในสนามรบหรอกเพคะ ยิ่งไปกว่านั้น…หม่อมฉันยังทำข้อตกลงกับฝ่าบาทแล้วด้วย แอชเชสยิ้มๆ แต่ก็ไม่ได้พูดสิ่งเหล่านี้ออกมา “เอาไว้พอถึงวันทดสอบการบิน หม่อมฉันจะไปดูนะเพคะ”
“อื้อ อย่างนั้นข้าไปอาบน้ำก่อนล่ะ ขับซีกัลมาทั้งวัน หลังเหนียวไปหมดแล้วเนี่ย…เดี๋ยวมานะ”
“ไม่อาบด้วยกันจริงๆ เหรอเพคะ
“ฝันไปเถอะ!” ทิลลีพูดจบก็ปิดประตูดังปึ้งทันที
แอชเชสนั่งลงบนเก้าอี้ยาวในห้องรับแขก ก่อนจะมองดูฝ่ามือของตัวเอง
เธอยังจำความรู้สึกตอนที่เธอโจมตีครั้งสุดท้ายใส่ปีศาจได้อย่างชัดเจน
ตอนนี้เธอเหมือนได้ก้าวเข้าไปในดินแดนแห่งใหม่ ถึงแม้จะเป็นเวลาแค่วินาทีเดียว แต่มันก็มากพอที่จะฝังอยู่ในความทรงจำของเธอ
ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การเคลื่อนไหว หรือว่าปฏิกิริยาตอบสนองก็ล้วนแต่เหมือนกับเธอตัดขาดออกมาโลกที่อยู่รอบๆ คงเหลือแค่เพียงตัวเธอกับพลังเวทมนตร์เท่านั้น พลังเวทมนตร์อันรุนแรงที่กำลังเผาไหม้ตัวเธอ แล้วก็มอบพละกำลังอันมหาศาลให้กับเธอ
แอชเชสรู้สึกได้ว่าพลังที่ว่านั้นกำลังตอบสนองการเรียกของเธอ แล้วก็นำเธอให้ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง
‘พลังเวทมนตร์ไม่เพียงแค่จะส่งผลต่อร่างกายของพวกเราเท่านั้น แต่มันยังส่งผลต่ออารมณ์ของพวกเราด้วย…ถ้าพวกเราปรารถนาที่จะใช้เวทมนตร์ไปทำเป้าหมายอะไรซักอย่างให้เป็นจริง มันก็จะนำเราไปยังทิศทางนั้นๆ’
‘อย่างนั้นเจ้า…กำลังสู้เพื่ออะไรอยู่?’
คำพูดของฟิลลิสในตอนที่ออกไปทำภารกิจในแผ่นดินรกร้างครั้งแรกดังขึ้นมาในหูของเธออีกครั้ง
‘ทำไมเจ้าต้องมาพูดเรื่องพวกนี้กับข้าด้วย?’
‘เพราะว่าเจ้าเป็นแม่มดอมนุษย์ เป็นผู้ที่มีพลังแฝงอย่างที่ยากจะจินตการได้มาแต่กำเนิดยังไงล่ะ แต่ถ้าอยากจะก้าวข้ามด่านที่ว่านั้นไปให้ได้จริงๆ มันก็จำเป็นต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนและจิตใจที่แน่วแน่’
‘สุดยอดอมนุษย์ที่สมาพันธ์มีการบันทึกเอาไว้ล้วนแต่ยกระดับขึ้นในการต่อสู้ทั้งหมด ส่วนคนที่ไม่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดที่ว่าไปได้ก็ล้วนแต่ต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของปีศาจ ข้าอยากจะให้ท่านเป็นอย่างแรกมากกว่า’
“สุดยอดอมนุษย์….ผู้นำทั้งสามของสมาพันธ์เองก็ต้องตัดสินใจเลือกแบบนี้เหมือนกันเหรอ…”
แอชแชสกำมือแน่น
ตอนนี้เธอเหมือนจะรู้คำตอบแล้ว
…..
โรแลนด์กลับมายังห้องทำงาน ก่อนจะยกหูโทรศัพท์ต่อสายไปยังสำนักบริหาร
“เรียกบารอฟมารับสายหน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
ไม่นานเสียงหัวหน้าสำนักบริหารก็ดังขึ้นมาโทรศัพท์ “ฝ่าบาททรงมีอะไรให้กระหม่อมรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“การสอบของการศึกษาขั้นพื้นฐานครั้งต่อไปจะมีขึ้นเมื่อไร?”
“กระหม่อมขอตรวจดูก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ…ตามแผนคืออีกหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้ มีผู้เข้าสอบทั้งหมด 2,650 คนพ่ะย่ะค่ะ”
ดูเหมือนจะได้เวลาพอดี โรแลนด์คิดคำนวณในใจอยู่ครู่ “ทำแผนจ้างงานมาหน่อย ข้าต้องการคัดเลือกคนมาซัก 500 คนสำหรับโครงการใหม่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ตอนนี้เมืองเนเวอร์วินเทอร์กลายเป็นเป็นเหมือนเตาหลอมขนาดใหญ่ที่เอาคนจากที่ต่างๆ ของอาณาจักรใส่ลงไป หลังเรียนจบการศึกษาขั้นพื้นฐานก็จะถูกส่งไปประจำยังหน่วยงานต่างๆ ทันที ส่วนในสายการผลิต ผู้ผลิตที่มีประสบการณ์ก็สามารถรับเอาพนักงานใหม่เหล่านี้เข้าไปทำงานได้โดยไม่มีปัญหา หลังรูปแบบการผลิตขนาดเล็กด้วยมือถูกทำลาย เทคโนโลยีก็เปลี่ยนจากประสบการณ์ส่วนบุคคลมาเป็นระบบเทคโนโลยี คนงานเก่าช่วยสอนคนงานใหม่จึงกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา และหลังจากที่คนงานใหม่จำนวนมากเริ่มชำนาญในการทำงานแล้ว การผลิตก็จะขยายขนาดและสามารถรองรับแรงงานใหม่ได้มากขึ้น
พื้นฐานที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์สะสมมาเป็นเวลาหลายปีได้สร้างระบบหมุนเวียนนี้ขึ้นมาได้ด้วยตัวมันเองแล้ว ในตอนที่แรงงานคนและทรัพยากรที่ใส่เข้าไปในเตาหลอมนี้เพิ่มไปถึงระดับหนึ่ง เศรษฐกิจอุตสาหกรรมก็จะหลายเป็นขุมกำลังที่ไม่มีอะไรจะมาเทียบได้
หลังวางสาย โรแลนด์หยิบเอาแปลนออกแบบปึกหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก
นับตั้งแต่ที่สถานีหมายเลขหนึ่งถูกลอบโจมตี เขาก็เริ่มเตรียม ‘แผนรับมือแบบครอบจักรวาล’ ขึ้นมา แนวคิดการออกแบบจำนวนมากล้วนแต่รวบรวมมาจากโลกแห่งความฝัน สิ่งที่เขาต้องทำก็คือปรับเปลี่ยนมันให้เขากับสถานการณ์ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ในขณะเดียว และในนี้ก็มีอาวุธอยู่ชนิดหนึ่งที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในตอนนี้มาก
“มีแผนใหม่อีกแล้วเหรอเพคะ?” ไนติงเกลปรากฎตัวออกมาจากหมอกมายา
“อืม ใช่…” โรแลนด์พลิกแปลนดูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หน้าๆ หนึ่ง “เจ้านี่แหละ”
………………………………………………………………
ตอนที่ 1107 Yes! RPG
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เอ่อ…มันดูเหมือนกระบอกไม้ไผ่เลยเพคะ” ไนติงเกลเดินเข้ามา “มันเรียกว่าอะไรเหรอเพคะ?”
“บรรพบุรุษ…” โรแลนด์ยิ้มมุมมาก “….ของ RPG”
“R P G…” ไนติงเกลพูดทวน “ชื่อแปลกจังเลยเพคะ เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรำลึกถึงคนที่ประดิษฐ์มันขึ้นมาเหรอเพคะ?”
โรแลนด์ส่ายหัวยิ้มๆ “ในโลกแห่งความฝันมันมีอยู่หลายชื่อ แล้วก็มีรูปแบบต่างๆ มากมาย แต่ว่าชื่อที่คนนิยมเรียกกันมากที่สุดก็คือชื่อนี้ เนื่องจากมันได้รับความนิยมอย่างมากจนทำให้มีคนกลุ่มหนึ่งเกิดความเชื่อในตัวมันขึ้นมา จากนั้นก็ค่อยๆ กลายเป็นศาสนาๆ หนึ่ง ชื่อว่าศาสนา RPG”
“เหมือนกับดาบคู่ที่ช่วยโลกและทำลายโลกได้ที่ว่ากันว่าเป็นอาวุธในตำนานน่ะเหรอเพคะ?” ไนติงเกลรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที “มันร้ายกาจขนาดนั้นเลยเหรอเพคะ?”
ดาบคู่ช่วยโลกและทำลายโลกที่เธอว่านั้นเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในบันทึกเล่มหนึ่งของแม่มดโบราณ ก่อนที่สงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่งจะเริ่มขึ้นเหมือนจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่อยากจะตามหามัน ถึงแม้มันจะเป็นเพียงเรื่องเล่า แต่ทั้งสองสิ่งนี้ก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่คล้ายกัน
“ถ้ามันสามารถทำได้เหมือน RPG ในยุคสมัยใหม่ล่ะก็ เจ้าจะคิดแบบนั้นก็ได้” เพราะว่ามันมีส่วนช่วยอย่างมากในการรักษาความสงบของโลก “แต่ว่าบรรพบุรุษของมันยังไม่อาจสู้มันได้”
“แต่พระองค์ไม่สามารถที่จะก้าวข้ามไปผลิต RPG แบบนั้นได้ ดังนั้นก็เลยเริ่มผลิตอจากบรรพบุรุษของ RPG ขึ้นมา จากนั้นก็ค่อยๆ ทำการปรับปรุงมันใช่ไหมเพคะ?” ไนติงเกลทำสีหน้าเหมือนเข้าใจ
“ถูกต้อง” โรแลนด์แอบรู้สึกดี เขาอยู่ในโลกแปลกหน้านี่มาหลายปี ในที่สุดก็มีคนตามจังหวะความคิดของเขาทันแล้ว “เจ้าเรียนรู้ได้เร็วนะเนี่ย”
“แน่นอนเพคะ ทุกอย่างบนโลกมันต้องพัฒนาไปข้างหน้าใช่ไหมล่ะเพคะ?” ไนติงเกลโยนปลาแห้งเข้าไปในปากอย่างภูมิใจ “ก็เหมือนพระองค์ที่บางครั้งก็ตรัสถึงแบล็คริบบอนอะไรนั่นขึ้นมา…มันก็เป็นสิ่งที่พัฒนาขึ้นมาจากเครื่องร่อนไม่ใช่เหรอเพคะ? ติดตามพระองค์มานานขนาดนี้ หม่อมฉันก็เรียนรู้มาไม่น้อยนะเพคะ”
“เอ่อ…” โรแลนด์กระแอมเล็กน้อย “ลืมพวกนั้นไปดีกว่านะ”
ไม่ว่าจะเป็นศึกที่เนินนอร์ธบาวด์หรือว่าตอนที่ถูกลอบโจมตีสถานีหมายเลขหนึ่งก็ล้วนแต่มีปัญหาหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือทหารธรรมดายากที่จะสร้างความเสียหายให้กับปีศาจระดับสูงแบบซึ่งๆ หน้าได้ ถึงแม้ข้อมูลที่ได้มาจากทางสมาพันธ์จะแสดงให้เห็นว่าความสามารถของปีศาจระดับสูงนั้นมีความแตกต่างกันไปมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นชนิดของปีศาจระดับสูงยังมีหลากหลายชนิด แล้วก็ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว แต่เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว เหมือนการใช้บาเรียที่สร้างขึ้นมาจากพลังเวทมนตร์ในการป้องกันความเสียหายจะเป็นความสามารถที่พวกมันมีกันทุกตัว
บางทีอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ หรือไม่ก็การทำสงครามมาเป็นระยะเวลายาวนานทำให้พวกมันได้รับความสามารถนี้มา ส่วนปีศาจที่ไม่มีความสามารถนี้คงจะตายไปนานแล้ว ไม่ว่ายังไง เขาก็ควรจะเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
บาเรียแบบนี้คล้ายๆ กับความสามารถของซาวี แต่ว่ามันสามารถคุ้มครองได้เพียงภายนอกเท่านั้น แต่ความสามารถในการแบกรับความเสียหายยังคงมีขีดจำกัด ถ้ายืนเป็นเป้ายิงอยู่กับที่แล้วถูกกองทัพที่หนึ่งยิงใส่พร้อมๆ กัน เกรงว่ามันคงทนได้แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น
แต่ปัญหานั้นอยู่ว่าศัตรูไม่ใช่เป้านิ่ง
สมมติว่ากองทัพที่หนึ่งเปิดฉากโจมตีใส่ปีศาจระดับสูงก่อน เกรงว่าเป้าหมายคงจะโจมตีกลับตั้งแต่โดนยิงไปนัดสองนัดแรกแล้ว หลังจากนั้นการหนีการหลบ หรือว่าโจมตีกลับก็ล้วนแต่ไม่เป็นผลดีต่อกองทัพที่หนึ่งทั้งสิ้น
เดิมคนที่จะมาชดเชยในจุดนี้ก็คือแม่มดอาญาสิทธิ์ พวกนางถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเอาชนะปีศาจระดับสูง ไม่เพียงแต่จะมีพละกำลังเหมือนกับอมนุษย์ แต่ยังมีความสามารถในการสลายพลังของศัตรูด้วย เรียกได้ว่าเป็นดาวพิฆาตของปีศาจระดับสูงเลยก็ว่าได้ แต่เมื่อดูจากการต่อสู้ที่ดำเนินมาถึงตอนนี้ ปีศาจระดับสูงที่เดิมควรจะเป็นแม่ทัพคอยสั่งการกลับปรากฏตัวในสนามรบครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป แม่มดอาญาสิทธิ์จำนวน 300 คนดูเหมือนจะไม่พอเท่าไร
เขาต้องการอาวุธที่ช่วยเพื่อความแข็งแกร่งให้กับทหารแต่ละนายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
RPG ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบ แต่เมืองเนเวอร์ในตอนนี้ยากจะที่จะผลิต RPG ออกมาในปริมาณมากได้ ต่อให้เป็นเครื่องยิงจรวดแบบที่เรียบง่ายที่สุดก็ยังต้องมีระบบเชื้อเพลิงและห้องเผาไหม้อยู่ด้านใน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่ค่อนข้างสูงในการผลิต ถ้าให้โรแลนด์ก็ไม่ต้องการให้อันนามาเสียเวลาในการผลิตมันด้วย
ดังนั้นก็แค่ตัดส่วนที่เป็นจรวดขับดันทิ้งแล้ว แล้วเหลือแต่หัวระเบิดก็พอ
หรือก็คือบรรพบุรุษของ RPG —- ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง
ผลงานชิ้นเอกที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ — พันแซร์เฟาสท์
ถึงแม้หลายๆ คนจะเรียกอาวุธประเภทนี้รวมๆ กันว่าบาซูก้า แต่ความจริงแล้วพวกมันเป็นอาวุธคนละประเภท จุดที่แตกต่างกันมากที่สุดก็คือสิ่งที่บาซูก้ายิงออกไปคือกระสุนจรวด มีแหล่งกำเนิดพลังในตัว ไม่จำเป็นต้องมีตัวปืนก็สามารถยิงออกไปได้ อย่างเช่นกระสุนจรวด 107 มม. ที่สามารถจุดชนวนได้ง่ายๆ ด้วยแบตเตอรี่แห้ง แถมยังมีความแม่นยำอีกด้วย
แต่พันแซร์เฟาสท์กับ RPG นั้นเป็นปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง จำเป็นต้องมีตัวปืนในการสร้างแรงดัน ถ้าวางไว้บนพื้นแล้วจุดไฟ มันก็จะหมุนอยู่กับที่ โดยเฉพาะ RPG ตัวจรวดที่อยู่ด้านหลังนั้นหลักๆ แล้วเอาไว้ใช้สำหรับเพิ่มระยะยิง เพิ่มระดับความแม่นยำ แต่แรงขับเคลื่อนที่ใช้ในการยิงหลักๆ แล้วยังคงมาจากดินปืน
เมื่อเทียบกับ RPG ในยุคหลังๆ ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องแล้ว จุดเด่นของพันแซร์เฟาสท์ก็คือความเรียบง่าย ตัวกระบอกปืนเป็นแค่ท่อกลมยาว ตัวกระสุนก็ทำจากแผ่นเหล็กบางๆ ดินปืนที่ใช้ยิงก็คือดินปืนดำ เหมาะสำหรับการผลิตจำนวนมากเป็นอย่างยิ่ง
แต่แน่นอน โรแลนด์ไม่ได้คิดที่จะสร้างอาวุธใหม่ออกมาเหมือนกับพันแซร์เฟาสท์ทั้งหมดซะทีเดียว เพราะความเรียบง่ายมันก็มีจุดอ่อนที่สำคัญอยู่เหมือนกัน ทั้งระยะยิงที่สั้น ความแม่นยำต่ำ อานุภาพไม่รุนแรงเป็นต้น ในฐานะที่เป็นผู้ที่เดินทางมาจากอนาคต เขาย่อมต้องรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้กับอาวุธได้อย่างมาก
อย่างเช่นติดท่อไอพ่นทรงน้ำเต้าเอาไว้ที่ด้านท้ายของตัวปืน ก็จะทำให้อากาศที่พ่นออกมาสามารถเร่งความเร็วจากความเร็วเสียงไปความเร็วเหนือเสียงได้ ทำให้เพิ่มแรงดันและระยะยิงให้สูงขึ้น
ตัวปืนมีการติดตั้งมือจับ ที่เล็ง ปลอกหุ้มที่ทำขึ้นมาจากไม้ ทำให้ได้รับประสบการณ์ในการยิงที่ดีขึ้นทำให้มีความแม่นยำเพิ่มมากขึ้น
บนตัวกระสุนนั้นสามารถติดหางที่ทำจากเหล็กอ่อนได้เหมือนกัน โดยมันสามารถกางออกอัตโนมัติหลังจากถูกยิงออกไปและหมุนตามลูกกระสุน ทำให้กระสุนมีความนิ่งมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ถ้าทำส่วนหน้าของหัวกระสุนให้เป็นรูปกรวยกลวงกลับหัวก็จะสามารถทำให้พลังงานจากการระเบิดมารวมกันอยู่ที่ด้านหน้าจนทำให้มันสามารถฉีกเกราะจนขาดกระจุยและสามารถสร้างความเสียหายให้กับบาเรียของปีศาจได้มากขึ้น
ซึ่งวิธีการปรับปรุงแก้ไขที่กล่าวมาข้างต้นนี้ล้วนแต่อยู่ในระดับที่เทคโนโลยีของเมืองเนเวอร์วินเทอร์สามารถทำออกมาได้
โรแลนด์ปิดแปลน ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง
ความจริงถึงแม้กองทัพที่หนึ่งจะติดอาวุธเหล่านี้ไปแล้วมันก็ยังไม่สามารถป้องกันปีศาจระดับสูงได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยทหารธรรมดาก็ยังมีอาวุธเอาไว้ใช้ต่อกรกับศัตรูได้ ต่อให้ความสามารถในการเคลื่อนไหวของศัตรูจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่กระสุนต่อต้านรถถังที่ถูกยิงออกมาจากมุมอับก็สามารถทำให้บาดเจ็บถึงชีวิตได้เหมือนกัน ขอเพียงยิงถูกซักนัด สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปทันที
นี่ก็หมายความว่าขอเพียงเพิ่มการฝึกซ้อม ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์คนไหนก็จะสามารถสังหารปีศาจระดับสูงได้ นอกจากนี้พวก ‘หน่วยยานเกราะ’ อย่างปีศาจแมงมุมหรือปีศาจโครงกระดูกขนาดยักษ์ก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป และค่าใช้จ่ายในการผลิตสิ่งที่ว่ามาข้างต้อนก็มีแค่ดินปืนกับเหล็กดิบเพียงนิดหน่อยเท่านั้น
นี่มันเป็นเรื่องที่คุ้มค่าอย่างมากไม่ใช่เหรอ?
………………………………………………………………………
ตอนที่ 1108 แค่นี้เหลือเฟือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
โจนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น สายตาเหม่อลอยมองดูขีดบิดๆ เบี้ยวๆ ที่อยู่ข้างเท้า
นั่นคือขีดนับจำนวนวัน
ทุกๆ วันที่ผ่านไป เขาจะใช้นิ้วมือขีดไปบนพื้นหนึ่งขีด
และวันนี้ก็เป็นวันที่ 7 แล้ว
ฟาร์รีน่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า โรแลนโซ่กำลังทรมานเธออยู่หรือเปล่า คำถามเหล่านี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด ขอเพียงความคิดผุดขึ้นมาเล็กน้อย ภายในใจเขาก็จะรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างแสนสาหัส
โจเริ่มสงสัยแล้วว่าตัวเองตัดสินใจพลาดหรือเปล่า
ถึงแม้ฌอนจะรับปากคำขอร้องของเขา ถึงแม้เขาไม่โดนทรมานหลังจากที่ถูกจับตัว แต่ระยะทางระหว่างเกรย์คาสเซิลกับวูล์ฟฮาร์ทนั้นไกลมาก กว่าฌอนจะส่งข่าวไม่ถึงราคาแห่งเกรย์คาสเซิล แล้วกว่าเขาจะทำการตัดสินใจ ส่วทหารมาวูล์ฟฮาร์ท อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือน ถ้ารวมเวลาที่ใช้ในการปรึกษาหารือ ไตร่ตรอง แล้วก็วางแผนล่ะก็ เกรงว่าคงต้องใช้เวลามากกว่านั้น
เขาไม่เชื่อว่าโรแลนด์ วิมเบิลดันจะจัดการปัญหาภายในของศาสนจักรเหมือนกับที่จัดการปัญหาภายในอาณาจักร
เผลอๆ เขาอาจจะปฏิเสธให้ความช่วยเหลือก็ได้
ถ้าเป็นแบบนั้น ความพยายามที่ผ่านมาของเขาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า
โจก้มหน้ามองดูโซ่ตรงข้อเท้าของตัวเอง
โซ่ยาวประมาณคนหนึ่งคนเชื่อมเท้าเขาให้ติดอยู่กับขาเตียง
เมื่อถึงตอนนั้นบางทีเขาอาจจะใช้โซ่เส้นนี้….
“เฮ้ ตื่นหรือยัง?” จู่ๆ พลันมีคนเลิกผ้าคลุมเต็นท์ขึ้นมา แสงแดดที่แยงตาสาดเข้ามาทำให้เขาต้องหรี่ตาลงโดยไม่รู้ตัว “ไม่ได้นอนหรอกเหรอ อย่างนั้นก็ตามพวกข้ามา”
“ปะ…ไปไหน?” แสงแดดที่จู่ๆ ก็สาดเข้ามาได้ตัดขาดความคิดของเขา ภายในหัวเขาว่างเปล่า
“ก็ไปวูล์ฟฮาร์ทน่ะสิ ทำไม เจ้าไม่ได้ร้อนใจอยากจะไปช่วยคนรักของเจ้าหรอกเหรอ?”
สายตาเขาค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับแสงอาทิตย์ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็คือฌอน
จากนั้นเขาก็โยนกุญแจมาให้
โจเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที เขาหยิบกุญแจขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา “หรือ…หรือว่า….”
“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ช่วยเหลือนางออกมา แล้วก็พาพวกเจ้ากลับไปสอบสวนยังเมืองเนเวอร์วินเทอร์” ฌอนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ทีมที่รับผิดชอบปฏิบัติการครั้งนี้ได้เดินทางมาถึงอ่าวคอรอลแล้ว เดี๋ยวพวกเราจะไปรวมกับพวกเขา แล้วก็มุ่งหน้าไปยังเกาะอาชดยุค”
มาถึง…แล้วเหรอ?
ทำไมถึงเร็วขนาดนี้?
เขาแทบจะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคิดเรื่องพวกนี้!
โจรีบปลดล็อกให้ตัวเอง ในตอนที่ยืนขึ้นมาเขาเซไปเล็กน้อยเนื่องจากนั่งขัดสมาธิเป็นเวลานานเกินไป แต่สุดท้ายเขาก็ยืนตัวตรงขึ้นมา
“ถ้าเจ้าไม่ไหว…..”
“ไม่ ท่านได้โปรดนำข้าไปเลยขอรับ!”
เขารีบขอร้องอย่างร้อนใจ
ฌอนยิ้มมุมปากเล็กน้อย “อย่างนั้นตามข้ามา”
โจหันกลับไปมองดูขีดนับจำนวนวันที่อยู่บนพื้น เส้นบิดๆ เบี้ยวๆ สะท้อนกับแสงแดดเปล่งประกายระยิบระยับออกมา
ข้างหน้าไม่รู้ว่าจะมีอนาคตแบบไหนรอเขาอยู่
แต่ในที่สุดเขาก็มองเห็นความหวัง
โจสูดหายใจ ก่อนจะเดินตามหัวหน้าองครักษ์ออกไปจากเต็นท์
…..
หลังจากนั้นหนึ่งวัน
อ่าวคอรอล
ที่นี่คือท่าเรือที่อยู่ปลายสุดของฝั่งตะวันออกของอาณาจักรดอว์น เมื่อเทียบกับท่าเรือที่อยู่ใกล้อาณาจักรเกรย์คาสเซิลกับฟยอร์ดแล้ว ที่นี่ดูเงียบเหงากว่ามาก นับตั้งแต่ที่อาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทกับอีเทอร์นอลวินเทอร์ถูกศาสนจักรบุกโจมตี ที่แห่งนี้ก็ยิ่งเงียบเหงามากกว่าเดิม ราชวงศ์อ่อนแอ ชุนนางแย่งชิงอำนาจ ตอนนี้ภายในอาณาจักรก็ยังตกอยู่ในสภาพวุ่นวายอยู่ การค้าเองก็ตกต่ำลงไปมาก เรือใบที่จอดอยู่ที่ท่าเรือส่วนใหญ่เป็นเรือของหาการค้าจากทางฟยอร์ด ส่วนเรือของสองอาณาจักรทองเหนือมีแค่ประปราย
ท่ามกลางเรือใบที่ลอยอยู่ในทะเลเหล่านี้ มีเรือลำหนึ่งที่ค่อนข้างสะดุดตา
มันไม่มีใบเรือ ด้านบนมีควันดำลอยออกมา สองด้านของเรือมีล้อไม้ขนาดใหญ่ติดเอาไว้อยู่ ตัวเรือเหมือนสร้างขึ้นมาจากก้อนหิน
เรือหินในตำนานของเกรย์คาสเซิล
โจคิดในใจ
ถึงแม้เขาจะเคยได้ยินคนพูดถึงมันมานานแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมัน
พวกเขาเดินขึ้นไปบนเรือ ก่อนจะมีคนสองคนเดินออกมาหาพวกเขา
คนที่มาเป็นผู้หญิงหนึ่งคนผู้ชายหนึ่งคน
สายตาของโจกวาดตามองดูทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว ภายในใจเกิดความรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าทำไม เขาแอบรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาผู้หญิงคนนั้น เหมือนเคยเจอเธอที่ไหนมาก่อน
“อา ที่แท้ก็เลดี้โซอี้กับเลดี้เบ็ตตี้นี่เอง” ฌอนเข้าไปทักทายทั้งสองคนอย่างเป็นกันเอง “ฝ่าบาททรงมอบหมายปฏิบัติการครั้งนี้ให้กับพวกเจ้าเหรอ?”
“เพราะว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์พอดี แล้วก่อนหน้านั้นก็เคยมาอาณาจักรดอว์นแล้วน่ะสิ” หญิงสาวยักไหล่ “ถ้าไม่ใช่คำสั่งของฝ่าบาท ข้าก็ไม่อยากมาที่นี่หรอก…แนวหน้าสู้กับพวกปีศาจแล้ว ข้าควรอยู่ที่นั่นถึงจะถูก”
“นอกจากนี้เมื่อเทียบกับคำว่าเลดี้แล้ว ข้าอยากให้เจ้าเรียกข้าว่าคุณหนูมากกว่า” ผู้ชายแสยะยิ้ม “ข้าไม่เหมือนกับโซอี้ ถึงแม้จะตื่นมาช้าที่สุด แต่มันก็เพิ่งจะร้อยกว่าปีเท่านั้นเอง”
“ร้อยปียังแก่ไม่พอเหรอ?” ผู้หญิงกรอกตาใส่เขา
“แต่ข้ารู้สึกแปลกมากเลย เวลาที่อยู่ในโลกแห่งความฝัน คนพวกนั้นพากันเรียกข้าแม่หนูๆ อะไรซักอย่างเนี่ยแหละ แต่แน่นอน…จะเรียกท่านเลดี้ข้าก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
“อย่างนั้นก็เรียกคุณหนูแล้วกัน” ฌอนมองอีกฝ่ายอย่างจนปัญญา “ถ้าทั้งสองคนคิดว่าแบบนั้นดีกว่าล่ะก็นะ”
เดี๋ยวๆ…พวกเขากำลังคุยอะไรกัน? โจมองดูอีกฝ่ายด้วยสีหน้าสับสน เลดี้? คุณหนู? ดูยังไงนี่มันก็ผู้ชายชัดๆ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่บอกว่าสู้กับปีศาจแล้วหมายความว่ายังไง? พระจันทร์สีแดงยังไม่ปรากฏออกมาเลย ปีศาจที่พวกเขาว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่?
“คนนี้คือบาทหลวงคนสุดท้ายของศาสนจักรเหรอ?” ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่าโซอี้มองดูเขา “ความหวังที่ราชินีสตาร์ฟอลฝากฝังเอาไว้ สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นเครื่องมือให้คนโง่ใช้แย่งชิงอำนาจกัน ถึงแม้จะเป็นอดีตศัตรู ก็แต่อดรู้สึกเสียดายแทนนางไม่ได้”
“ดังนั้นพวกเราจะเป็นคนจบมันเอง จะได้ไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก” อีกคนพยักหน้า “ในเมื่อมากันครบแล้ว อย่างนั้นก็ออกเดินทางกันเถอะ”
มา…มันกันครบแล้ว?
โจไม่ได้สนใจคำพูดแปลกๆ ที่อีกฝ่ายว่ามาในตอนแรก เขารีบมองไปรอบๆ เรือหินลำนี้ไม่ได้ใหญ่ถึงขนาดที่จะบรรจุทหารได้ทั้งหน่วย แต่บริเวณรอบๆ เขากลับมองไม่เป็นเรือหินของเกรย์คาสเซิลลำอื่นเลย
“นายท่าน…” โจกัดฟันถามข้อสงสัยในใจตัวเองออกไป
แต่คนที่ตอบเขากลับมากลับเป็นโซอี้ “ทีมช่วยเหลือที่เจ้าว่าก็อยู่ตรงนี้แล้วไง”
ตรง…นี้?
ราวกับว่าข้อสงสัยภายในใจเขาได้รับการยืนยันอย่างไรอย่างนั้น อีกฝ่ายชี้ไปที่ตัวเอง แล้วก็ชี้ไปที่เบ็ตตี้ “ข้ากับนางคือทีมช่วยเหลือ”
โจมองไปทางฌอนอย่างรู้สึกหวาดวิตก “นายท่าน! ในมือโรแลนโซ่มีทหารอาญาสิทธิ์อยู่….”
“ห้าคน อย่างมากก็ไม่เกินสิบคนใช่ไหม?” อีกฝ่ายพูดตัดบทเขา
เขามองดูอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง แม้แต่คำว่า ‘ใช่’ ก็ไม่ได้ตอบออกมา ทำไม ทำไมทั้งสามคนถึงดูไม่ได้ร้อนใจอะไรเลย นั่นมันสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาอย่างมากนะ!
ไม่รู้ก็เลยไม่กลัวเหรอ? เป็นไปได้ยังไง ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ไม่แน่ แต่เกรย์คาสเซิลนั้นเคยสู้กับกองทัพทหารอาญาสิทธิ์ที่สันเขาโคลด์วินด์มาแล้ว พวกเขาน่าจะรู้จักนักรบที่น่ากลัวพวกนี้ดีพอๆ กับศาสนจักรนี่นา
ถึงแม้จะมีอาวุธที่น่ากลัวขนาดไหน แต่การฝืนบุกเข้าไปในปราสาทจะทำความในเปรียบในเรื่องระยะยิงลดลง ทันทีที่เข้าไปในพื้นที่คับแคบแล้วเผชิญหน้ากับทหารอาญาสิทธิ์ล่ะก็ อาวุธปืนก็จะไม่สามารถยิงอีกฝ่ายจนล้มได้ในทันที เพราะว่าพวกมันไม่กลัวความเจ็บปวด ถ้ายังสามารถเคลื่อนไหวได้ พวกมันก็จะไม่หยุดโจมตี
จากที่เขาคิดเอาไว้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้คนประมาณ 100 – 200 คนแยกกันบุกเข้าไป แล้วค่อยๆ ไล่จัดการศัตรูไปทีละห้องถึงจะสามารถยึดปราสาทมาได้ ถ้ามีคนน้อยกว่าที่ว่า จำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอาจจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
แต่ว่า…สองคนเนี่ยนะ?
มันจะเป็นไปได้ยังไง!
“เจ้ากำลังคิดว่า….มันจะเป็นไปได้ยังไง…อยู่ใช่ไหม?” โซอี้ยิ้มดูถูกขึ้นมา “นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าไม่รู้เรื่องแผนการของท่านอควาเรียสเลยน่ะสิ สรุปแล้วก็คือทหารพวกนั้นเป็นแค่เปลือกเปล่าๆ ที่ไม่มีวิญญาณเท่านั้น แค่พวกข้าสองคนก็เหลือเฟือแล้ว”
……………………………………………………………………..
ตอนที่ 1109 เรื่องราวในอดีต
โดย
Ink Stone_Fantasy
แค่นี้ก็เหลือเฟือ….
เมื่อเจอกับคำพูดที่ดูโอ้อวดแบบนี้ เดิมเขาควรจะหัวเราะออกมาหรือไม่ก็พยายามพูดเตือนถึงจะถูก แต่เมื่อเห็นสีหน้ามั่นใจของอีกฝ่าย โจกลับพูดไม่ออกไปทันที
แต่เรื่องที่่่น่าเหลือเชื่อนั้นยังมีอีก
เขาถูกขอให้ร่วมมือกับปฏิบัติการณ์ในครั้งนี้อย่างเต็มที่ เรื่องนี้ไม่ได้เหนือไปจากความคาดหมายของโจ ในเมื่อราชาแห่งเกรย์คาสเซิลรับปากว่าจะช่วยฟาร์รีน่าออกมา อย่างนั้นทีมช่วยเหลือก็จำเป็นต้องรู้เรื่องสถานการณ์บนเกาะอาชดยุคอย่างละเอียด ส่วนพวกเขาที่คอยซุ่มดูลาดเลาอยู่บนเกาะอาชดยุคมาครึ่งปีย่อมต้องเป็นคนที่รู้เรื่องเกาะดีที่สุด
แต่แน่นอนว่าอีกฝ่ายนั้นอาจจะสอบถามเรื่องอื่นอีก โจเองก็คิดที่จะบอกไปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความลับของศาสนจักร คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ก็ล้วนแต่ไม่สำคัญเท่ากับชีวิตของฟาร์รีน่า ขอเพียงเป็นเรื่องที่เขารู้ เขาก็ยินดีที่จะบอกทั้งหมด
แต่หลังจากที่เดินเข้าไปในห้องโดยสารของเรือ โจกลับพบว่าตัวเองนั้นไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับความคิดของโรแลนด์ วิมเบิลดันผู้ซึ่งเป็นคนบดขยี้ศาสนจักรคนนี้เลย
นี่ไม่ใช่ทั้งการสอบสวน แล้วก็ไม่ใช่การประชุมก่อนทำการรบ
คนที่นั่งอยู่ตรงปลายโต๊ะคือเคแกน เฟส ปรมาจารย์ด้านการแสดงละครเวทีจากเกรย์คาสเซิล
“เขาถามอะไรเจ้าก็ตอบไปตามนั้น” ฌอนพูดจบก็เดินออกไป ปล่อยให้โจนั่งมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้างุนงง
ตอนที่อยู่เมืองศักดิ์สิทธิ์ใหม่ เขาเคยดูการแสดงของคณะละครเคแกน
ถึงแม้มันจะผ่านมาเกือบสิบปีแล้ว แต่ความทรงจำในหัวบอกเขาว่าชายแกที่อยู่ตรงหน้าคือเคแกน เฟสแน่นอน
ในหัวของราชาแห่งเกรย์คาสเซิลกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?
คนที่มาไม่ใช่กองทัพ หากแต่เป็นคณะละครเวทีที่มีชื่อเสียง…นี่พวกเขาจะมาช่วยคนจริงๆ เหรอ?
“นั่งก่อนสิ พ่อหนุ่ม” เคแกนพยักหน้าให้เขา “เอาชาหรือเหล้าดี?”
“ชา…ก็พอ”
หญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งยกชาร้อนมาวางลงตรงหน้าเขา
“นี่คือลูกศิษย์ข้า มิสเรินต์แกน”
“อา…ขอบคุณ” โจพูดขอบคุณออกไปทันที ถ้าไม่เป็นเพราะมือและเท้าถูกล่ามโซ่เอาไว้อยู่ เขาคงจะนึกว่าตัวเองอยู่ในความฝัน “ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่?”
“เพราะสัญญากับฝ่าบาทเอาไว้” เคแกนยิ้มๆ “เดิมทีพวกเราควรจะคุยกันในสภาพแวดล้อมที่สบายกว่านี้ แต่ยังไงพวกเขาก็ไม่ยอมปลดล็อกให้เจ้า”
“ไม่ แบบนี้ดีแล้ว…” เขาพูดพึมพำ “ท่านอยากจะถาม…อะไรข้า?”
“เกี่ยวกับเรื่องของเจ้ากับฟาร์รีน่า”
โจมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “ท่านหมายถึง เรื่อง…ของข้ากับนางงั้นเหรอ?”
“ถูกต้อง พวกเจ้าเข้าไปอยู่ในศาสนจักรตั้งแต่เมื่อไร แล้วรู้จักกันได้อย่างไร ทำไมนางถึงไปตกอยู่ในมือโรแลนโซ่ได้ ข้าอยากจะรู้ทั้งหมด” เคแกนค่อยๆ พูด
“ฟาร์รีน่า…ฟาร์รีน่านาง…” ทันทีที่พูดถึงชื่อนี้ขึ้นมา ความเจ็บปวดก็ไหลทะลักออกมา ก่อนหน้านี้เขาพยายามที่จะไม่คิดถึงเธอ แต่ความทรงจำมันก็เหมือนกับสายน้ำ ทันทีที่ไหลออกมาแล้วก็ยากที่จะหยุดมันได้ แค่เอ่ยปาก ลำคอเขาก็เหมือนกับตีบตัน ในดวงตามีหยดน้ำไหลซึมออกมา
ในตอนที่เข้ามาอยู่ในศาสนจักร ฟาร์รีนานั้นเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา
เสื้อผ้าเก่าๆ โคร่งๆ ที่สกปรกจนมองไม่เห็นสีเดิมของมัน มือและเท้าถูกหิมะกัดจนเป็นแผล ตัวแข็งเหมือนหัวไชเท้าเนื่่องจากความหนาวเย็น
ถ้าไม่เป็นเพราะรถม้าของเขาไปเจอเธอระหว่างทางที่จะไปเฮอร์มีส เกรงว่าเธอคงจะตายไปนานแล้ว
ส่วนเขานั้นเป็นขุนนางตกยากคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากชื่อสกุล ที่เขาเดินทางไปยังศาสนจักรก็เพราะต้องการเสี่ยงดวง
เมืองศักดิ์สิทธิ์นั้นพร้อมต้อนรับทุกคนโดยไม่สนใจว่าจะเป็นใครมาจากไหน
เนื่องจากเขารู้หนังสือ จึงทำให้เขาถูกส่งไปอยู่ฝ่ายศาสนบริกร กลายเป็นเจ้าหน้าที่จดบันทึกคนหนึ่ง
ส่วนฟาร์รีน่านั้นกลายเป็นนักรบฝึกหัด
นี่ทำให้โจรู้สึกไม่ค่อยพอใจ
ศาสนบริกรกับนักรบนั้นเป็นสองโครงสร้างหลักของเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่มีฐานะเท่าเทียมกัน หรือพูดอีกอย่างก็คือหญิงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งกลายเป็นคนที่มีฐานะเท่าเทียมกับเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนที่เขาช่วยเหลือมาด้วย ในสายตาของเขา ฟาร์รีน่าควรจะเป็นทำงานระดับล่างอย่างเช่นแม่ครั้งหรือคนซักเสื้อผ้ามากกว่า
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิมก็คือหลังผ่านไปไม่นาน เขากลับพบว่าจริงๆ แล้วอีกฝ่ายนั้นมีหน้าตาที่งดงามทีเดียว
อย่างนั้นเหตุผลที่เธอถูกเลือกให้เป็นนักรบก็ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่
ความจริงเธอควรจะเป็นผู้หญิงของเขาต่างหาก
หลายๆ ครั้งที่โจมักจะฉวยโอกาสแกล้งเธอหรือทำให้เธอขายหน้า แต่ฟาร์รีน่าก็ไม่เคยตอบโต้เขากลับเลยแม้แต่ครั้งเดียว นี่ยิ่งทำให้เขารู้สึกโมโห
แต่ในเวลาหลายปีหลังจากนั้น เด็กผู้หญิงคนนี้ก็ค่อยๆ แสดงพรสวรรค์ของตัวเองออกมา เหมือนกับอัญมณีที่ค่อยๆ ถูกแกะสลักจนเป็นรูปร่าง
ไม่นานฟาร์รีน่าก็ได้เลื่อนขั้นเป็นกองหนุนของทหารพิพากษา จากนั้นก็เป็นทหารพิพากษา แล้วก็กลายเป็นหัวหน้าหน่วยของกองทัพพิพากษา
ในเดือนแห่งปีศาจของทุกปี โจมักจะเห็นเธอวิ่งไปวิ่งมาอยู่บนกำแพงเมือง
ส่วนเขานั้นพึ่งจะได้เลื่อนขั้นจากพนักงานจดบันทึกเป็นผู้ช่วยบาทหลวง
อีกฝ่ายก้าวหน้าไปกว่าตัวเองแล้ว
เขาเคยจับตาดูฟาร์รีน่าอยู่ทุกย่างก้าว ด้วยกลัวว่าเธอจะกลับมาแก้แค้นตัวเอง แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรเลย นี่กลับทำให้การเฝ้าจับตาดูของเขากลายเป็นความเคยชินอย่างหนึ่ง
โจค่อยๆ พบว่าเธอไม่ได้เป็นผู้หญิงธรรมดาอย่างที่ตัวเองคิด
จากนั้นเจ้าชายลำดับที่สี่ก็เข้ามา
พระสังฆราชตาย กองทัพอาญาสิทธิ์พังพินาศ วิหารถล่มลงมา ศาสนจักรอันยิ่งใหญ่ล่มสลายลงภายในคืนเดียว
สาวกจำนวนนับไม่ถ้วนพากันหนีออกไปจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ ฟาร์รีน่าได้รับคำสั่งให้ดูแลกองทัพพิพากษา แถมยังช่วยเขาออกมาจากฝูงผู้อพยพที่แห่หนีออกจากเมือง…ถ้าไม่เป็นเพราะมือข้างนั้น เกรงว่าเขาคงจะถูกผู้อพยพเหยียบจนตายแล้ว
วินาทีนั้นเอง เขาเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
ฟาร์รีน่าไม่ใช่คนที่มีตำแหน่งสูงสุดในศาสนจักร เหนือเธอขึ้นไปยังมีมุขนายก แม่ทัพกองทัพพิพากษากับหัวหน้าระดับสูงในกองทัพ ดังนั้นพวกเขาจึงมอบหมายหน้าที่ให้เธอคอยปกป้องเมืองศักดิ์สิทธิ์หลังจากศาสนจักรพ่ายแพ้ในศึกสันเขาโคลด์วินด์ แทนที่จะบอกว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับฟาร์รีน่า ควรจะบอกว่าพวกเขาตัดหางปล่อยวัดเธอมากกว่า ทัคเกอร์ที่ถูกเลือกให้เป็นผู้รักษาการณ์พระสังฆราชเองก็เหมือนกัน ทุกคนต่างรู้ดีว่าไม่อาจรักษาเมืองศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ได้แล้ว แต่ก็ไม่มีใครที่จะยอมรับผิดชอบในเรื่องนี้ ขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องการหาคนมาคอยรักษาสถานการณ์ภายในเมืองศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ เพื่อที่ตัวเองจะได้มีเวลามากพอให้หนีไป ดังนั้นหญิงสาวอายุ 20 ปีคนหนึ่งจึงต้องกลายเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพพิพากษา ที่น่าตลกกว่านั้นก็คือเธอพยายามที่จะทำให้ระเบียบภายในเมืองศักดิ์สิทธิ์ใหม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง แต่ผู้นำระดับสูงที่เหลืออยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์นั้นน้อยลงไปทุกที ภาพผู้คนหนีหายไปจนหมดภายในคืนเดียวกลายเป็นสิ่งที่เห็นอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งถึงวันที่เดือนแห่งปีศาจจบลง เมืองศักดิ์สิทธิ์เหลือทหารพิพากษาอยู่แค่ 500 นาย
เธอถูกคนเหล่านั้นทิ้งให้เป็นเครื่องสังเวยแก่โรแลนด์ วิมเบิลดันเพื่อซื้อเวลา
ฟาร์รีน่าไม่รู้เรื่องนี้อย่างนั้นเหรอ?
ไม่ เธอรู้แต่แรกแล้วว่าหน้าที่นี้มันหมายความว่าอย่างไร
แต่เธอก็ยังยืนยันที่จะทำมันอย่างไม่ลังเล แถมยังพยายามทำมันออกมาให้ดีที่สุดด้วย
เพียงเพราะว่าศาสนจักรรับเธอเข้ามาและเลี้ยงดูเธอจนถึงตอนนี้
ก็เหมือนกับที่เธอไม่เคยแก้แค้นตัวเขา แม้กระทั่งด่าซักคำก็ยังไม่เคย
เพียงเพราะว่าเขาให้เธอติดรถขึ้นมาด้วย
เมื่อเห็นภาพฟาร์รีน่าวิ่งไปมาจนเหงื่อท่วมตัวแล้วยืนตะโกนเสียงดังอยู่บนกำแพง โจรู้สึกว่าภายในใจเหมือนมีอะไรมากระทบ ภาพเธอเดินโซเซอยู่บนพื้นหิมะเมื่อตอนที่เขาเจอเธอครั้งแรกยังคงติดตาอยู่ เม็ดเหงื่อที่อยู่ตรงปลายจมูกส่องประกายเจิดจ้ากว่าอัญมณี
สำหรับโจแล้ว ศาสนจักรนั้นเป็นแค่สถานที่ที่ให้เขาได้ใช้หาประโยชน์ เขาควรจะหนีออกไปนานแล้ว แต่สุดท้ายเขากลับเลือกที่จะอยู่ต่อ
มันไม่ได้เกี่ยวกับพระเจ้า
ภายในใจเขาสาบานเอาไว้ว่าจะจงรักภักดีต่อฟาร์รีน่า
ไม่ใช่ความจงรักภักดีแบบสาวกเชื่อฟังผู้บังคับบัญชากองทัพพิพากษา
หากแต่เป็นความจงรักภักดีแบบอัศวินที่ติดตามคนที่ต้องการปกป้อง
เพราะเขารักเธอเข้าแล้ว
…………………………………………………………….
ตอนที่ 1110 ร่างสมบูรณ์ของนักรบอาญาสิทธิ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากนั้นสองวัน
โจถูกพาออกมาจากห้องแล้วพาไปที่หัวเรือ
“นั่นคืออาณาเขตของโรแลนโซ่ใช่ไหม?” โจถาม
พื้นน้ำทะเลสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าเป็นประกายระยิบระยับ ภาพเกาะสีเทาสลับขาวลอยตะคุ่มๆ อยู่ด้านบน
เขารู้สึกหัวใจของตัวเองถูกบีบเค้นขึ้นมาทันที สองมือจับราวกั้นบนเรือเอาไว้แน่นก่อนจะชะโงกหน้าออกไปด้วยกลัวว่าตัวเองจะมองผิด
“ใช่ขอรับ นั่นเกาะอาชดยุค!”
ในที่สุดเขาก็กลับมาแล้ว พร้อมกับผู้ช่วยเหลือ
ฟาร์รีน่า อดทนอีกหน่อยนะ!
“บนเกาะมีท่าเรืออยู่ทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกสองแห่ง” โจสูดหายใจ ก่อนจะรีบพูดต่อว่า “นับตั้งแต่ที่โรแลนโซ่เป็นขุนนาง พื้นที่ท่าเรือก็มีทหารมาคอยดูแลอยู่ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะคอยป้องกันพวกขุนนางคนอื่นๆ จากวูล์ฟฮาร์ทมากกว่า พวกเขาไม่ค่อยเข้มงวดกับเรือสินค้าเท่าไร ปัญหาหลักๆ อยู่ที่เขตปราสาท การป้องกันที่นั่นมีความแน่นหนาอย่างมาก หากไม่มีหลักฐานว่าได้รับอนุญาตให้เข้าไปก็ไม่มีทางที่จะเหยียบเข้าไปในเขตปราสาทได้”
เขาแทบจะทนไม่ไหวแล้ว
ในช่วงสองวันนี้ เคแกน เฟสถามคำถามเขาเยอะแยะมากมาย แต่คำถามเหล่านั้นกลับไม่ได้เกี่ยวข้องกับความลับของศาสนจักรหรือปฏิบัติการช่วยเหลือในครั้งนี้เลย
หากแต่ถามเกี่ยวกับความอคติที่เขามีต่อฟาร์รีนา การด่าทอ การหลบหนีในภายหลัง ทำงานด้วยกัน ช่วยเหลือกัน ทุกอย่างล้วนแต่ถามเขาอย่างละเอียด ในตอนที่เขาไม่สามารถใช้คำพูดมาอธิบายได้ เคแกนก็จะให้เรินต์แกนที่เป็นลูกศิษย์มาแสดงเป็นฟาร์รีน่าเพื่อให้เขานึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นขึ้นมาใหม่
นอกจากเวลากินข้าวแล้ว เขาก็แทบจะไม่เจอหน้าคนอื่นๆ เลย
เหมือนกับว่าพวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องการช่วยเหลือในครั้งนี้แม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้โจจึงรีบฉวยโอกาสในตอนนี้พูดความคิดที่อยู่ในใจออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะฟังที่เขาพูดหรือไม่ แค่ขอเพียงมันมีประโยชน์ นั่นก็เท่ากับว่ามีโอกาสในการช่วยฟาร์รีน่าออกมามากขึ้น
“เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล พวกเรามีวิธีจัดการของพวกเรา” โจพูดตัดบทเขา “ที่เรียกเจ้าก็เพราะอยากให้เจ้าได้เจอคนๆ หนึ่ง จะได้ทำความคุ้นเคยกันไว้ก่อน”
“ใคร…ขอรับ?”
“คนนำทางของเรา”
เขาพูดจบก็ผิวปากขึ้นมา จากนั้นลูกเรือสองคนก็คุมตัวชายคนหนึ่งเดินเข้ามา
โจจำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือใคร
“แฮกริด ไอคนทรยศ…!”
พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นสาวกฝ่ายศาสนบริกรเหมือนกัน ก่อนที่จะถูกย้ายให้มาเป็นผู้ช่วยของโรแลนโซ่ แฮกริดถือว่ามีตำแหน่งสูงกว่าเขา
“เหอะ” แฮกริดส่งเสียงดูถูกออกมา “พูดเหมือนกับว่าเจ้าจงรักภักดีต่อศาสนจักรอย่างนั้นแหละ ถ้าฟาร์รีน่ารู้ว่าเจ้าหันไปสวามิภักดิ์ต่อเกรย์คาสเซิล เจ้าคิดว่าใครมันควรจะถูกเรียกว่าคนทรยศมากกว่ากันล่ะ”
“ข้า…” โจพูดไม่ออกไปทันที
“ไม่ต้องเถียงกัน” ฌอนเดินเข้ามาคั่นกลางทั้งสองคน “แฮกริด เจ้าน่าจะรู้หน้าที่ของเจ้าใช่ไหม?”
เมื่ออยู่ต่อหน้าราชองครักษ์ เสียงของแฮกริดเบาลงทันที “ขอรับ นายท่าน ถ้านักรบทั้งสองคนนั้นเข้าไปในปราสาทขอรับ”
“นี่เป็นโอกาสไถ่โทษหนึ่งเดียวของเจ้า เจ้าจะคว้ามันเอาไว้ได้หรือเปล่ามันก็อยู่ที่ตัวเจ้าแล้วนะ”
“เข้าไปในปราสาทมันไม่มีปัญหาหรอกขอรับ แต่นายท่าน ท่านแน่ใจนะขอรับว่าแค่สองคนมันจะพอ?”
เขาเป็นกังวลแทนเกรย์คาสเซิลงั้นเหรอ?
โจตกตะลึงไปเล็กน้อยก่อนจะคิดขึ้นมาได้ อย่างนี้นี่เอง ไม่ว่าแฮกริดจะพาคนเข้าไปในปราสาทกี่คนมันก็ถือเป็นการทรยศที่โรแลนโซ่ไม่อาจยอมรับได้ ถ้าเกรย์คาสเซิลพ่ายแพ้ จุดจบเขาคงจะไม่ดีอย่างแน่นอน อย่างนั้นก็สู้ฝากความหวังเอาไว้ที่เกรย์คาสเซิล ภาวนาในอีกฝ่ายสามารถกำจัดโรแลนโซ่ได้จะดีกว่า
“วางใจได้ เดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้เห็นเอง” โจมองไปทางเกาะอาชดยุคที่ค่อยๆ ขยับใกล้เข้ามาพร้อมกับยิ้มอย่างเยือกเย็น “พวกนางต่างหากถึงจะเป็นร่างสมบูรณ์ที่ได้รับพลังมา เป็นนักรบอาญาสิทธิ์ที่แท้จริง”
…..
หลังตกกลางคืน ทีมช่วยเหลือหกคนจึงเดินทางออกจากท่าเรือ มุ่งหน้าตรงไปยังปราสาท
นอกจากโซอี้กับเบ็ตตี้แล้ว คนที่ตามมาด้วยยังมีทหารจากกองทัพที่หนึ่งอีกสองคน
หน้าที่ของพวกเขาคือคอยดูโจและแฮกริดเอาไว้
เมื่อมีคนสนิทของเอิร์ลมาเป็น ‘คนนำทาง’ ให้ ตลอดทั้งทางก็เรียกได้ว่าราบรื่นไร้อุปสรรค ถึงจะมีหน่วยลาดตระเวนเข้ามาสอบถาม แต่แฮกริดก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย
ทหารยามที่อยู่ตรงปากทางเข้ากำแพงปราสาทเองก็เหมือนกัน
ถึงแม้อีกห้าคนที่เหลือจะใส่ชุดคลุมดูลับๆ ล่อๆ แต่ทหารยามก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
จากจุดนี้แสดงให้เห็นว่าแฮกริดนั้นได้รับความไว้วางใจจากโรแลนโซ่อย่างมาก
หลังเดินทะลุสวนเข้าไป ปราสาทของผู้ปกครองก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน
จากคำบอกเล่าของแฮกริด การโจมตีของฟาร์รีน่าทำให้เอิร์ลโรแลนโซ่ตกใจกลัวอย่างมาก เขาเอาทหารอาญาสิทธิ์ที่ยังเคลื่อนไหวได้ทั้งหมดไปรวมกันอยู่ที่ห้องนอนของเขา จำนวนไม่เกิน 6 ตัว
นอกจากนี้ประตูห้องนอนก็ถูกเปลี่ยนเป็นประตูที่ทำขึ้นมาจากแร่คิวไพรต์ที่แข็งแกร่ง ว่ากันว่าคนธรรมดาแม้แต่จะดันมันก็ยังทำไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำลายล็อกเพื่อจะบุกเข้าไปเลย ปกติถ้าอยากจะเข้าไปก็มีแต่ต้องให้ทหารอาญาสิทธิ์เปิดมัน
“หลอกโรแลนโซ่ออกมานอกห้องนอนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แค่บอกว่ารู้ความลับของสมบัติแล้วก็พอ” แฮกริดเดินไปพูดไป “แต่เขาจะต้องพาทหารอาญาสิทธิ์ออกมาด้วยแน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าในห้องโถงมีคนแปลกหน้า ทหารยามที่อยู่ตรงนั้นก็จะยิ่งเพิ่มการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ต้องหาวิธีหลอกล่อพวกเรา…”
“ไม่จำเป็น เจ้าแค่บอกพวกข้ามาว่าห้องนอนอยู่ชั้นไหนก็พอ” โซอี้พูดพร้อมยักไหล่ “จากนั้นก็พาโจไปที่คุกใต้ดิน แล้วช่วยผู้หญิงคนนั้นออกมา ส่วนเรื่องที่จะสู้อย่างไรนั้น เดี๋ยวพวกข้าจัดการเอง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
แฮกริดตกตะลึงไปครู่ก่อนจะพูดตอบรับออกมา “ขอรับ…ข้าเข้าใจแล้ว”
เขาจัดแจงเสื้อผ้าให้ดูเรียบร้อย ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปเคาะประตูข้าง
ชายแก่ที่เฝ้าประตูคนหนึ่งชะโงกหน้าออกมา “ที่แท้ก็ท่านแฮกริดนี่เอง ทำไมท่านจะกลับมาไม่แจ้งทางนี้ก่อนล่ะขอรับ..”
“เหลวไหล ข้ามีเรื่องต้องไปรายงานท่านเอิร์ล ถอยไป!”
“ขะ ขอรับ…” อีกฝ่ายรีบเบี้ยงตัวหลีกทางให้ทันที “แต่ว่าคนพวกนี้…”
“สายสืบที่ข้าส่งไปเคจเมาเธ่น ทำไม เจ้าอยากจะล้วงความลับของท่านเอิร์ลเหรอ?”
“มิกล้า!” ชายแก่รีบก้มหน้าทันที
หลังเดินผ่านประตูข้าง แล้วทะลุกำแพงอีกสองชั้นเข้ามา ทุกคนก็เข้ามาอยู่ในพื้นที่ชั้นในของปราสาท
ทหารที่ยืนเฝ้าประตูก็กลายเป็นทหารของตระกูลที่สวมใส่ชุดเกราะ
เมื่อเห็นมีคนเดินเข้ามา ทหารยามสองคนก็เอื้อมมือไปจับดาบที่เอวทันที
“ห้องนอนของโรแลนโซ่อยู่ชั้นสี่…แต่ข้าพาพวกเจ้าขึ้นไปไม่ได้…” แฮกริดพูดเสียงเบาๆ
“โอ้ นั่นมันท่านแฮกริดไม่ใช่เหรอ? ช่วงนี้ท่านเอิร์ลเอาแต่บ่นถึงท่าน คนพวกนี้คือแขกของท่านอย่างนั้นเหรอ?” ทหารยามทำความเคารพ ก่อนจะหันไปพูดกับโซอี้ “โปรดรออยู่ที่ห้องโถงก่อน นอกเสียจากจะได้รับอนุญาตจากท่านเอิร์ล…เดี๋ยวๆ เลดี้คนนี้…”
โซอี้ดึงหมวกคลุมศีรษะออก ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปหาเขา ส่วนทหารยามเพิ่งจะพูดเตือนออกมาได้แค่ครึ่งเดียวก็ถูกมือข้างมือบีบเข้ามาที่คอ
“ท่านแฮกริด นี่มัน…” ทหารยามอีกคนหนึ่งก็ตกใจเหมือนกัน เขายังไม่ทันจะชักดาบ มือขนาดใหญ่ของเบ็ตตี้ก็คว้าเข้าไปที่คอของเขา
“ครึก”
หลังเสียงหักดังขึ้นมา คอของทหารยามก็บิดงอทันที
แฮกริดกับโจต่างพากันสูดปากด้วยความตกใจ
หักคอด้วยมือเพียงข้างเดียว คนธรรมดาทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?
แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้หยุดแต่เพียงเท่านี้
พวกเธอหิ้วร่างทหารยามเดินเข้าไปในห้องโถง หลังจากนั้นจึงเอาร่างทหารยามมาบังเอาไว้ตรงด้านหน้าของตัวเอง ภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดนี่ทำให้ทหารยามที่เหลือพากันงุนงง “เฮ้ย พวกเจ้ากำลังทำอะไรน่ะ?”
“ไม่…ไม่สิ เจ้าดูนั่น เท้าของพวกเขาลอยอยู่!”
“อะไรนะ?”
แสงไฟสลัวภายในห้องส่งผลต่อการมองเห็นของทุกคน กว่าพวกเขาจะรู้ตัวมันก็สายไปเสียแล้ว
โซอี้และเบ็ตตี้พุ่งตัวเข้าใส่ทหารยามที่ไม่ทันตั้งตัวเหมือนกับเงามืด เป้าหมายของพวกเธอคือลำคอที่ไม่มีชุดเกราะคอยปกป้อง
เดิมการเฝ้ายามในเวลากลางคืนก็มักจะทำให้คนเราไม่ค่อยระวังอยู่แล้ว ส่วนคู่ต่อสู้ของพวกเขายังเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่มนุษย์อีก
โจเอามือขึ้นมาปิดปากโดยไม่รู้ตัว
เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ทหารยามที่เหลืออีกสี่คนก็ถูกหักคอจนหมด ศพของพวกเขานอนกระจัดกระจายอยู่บนพื้น
พละกำลังและความเร็วแบบนี้เขาเคยเห็นแต่ทหารอาญาสิทธิ์ที่ทำได้!
แต่ทหารอาญาสิทธิ์นั้นเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่มีความสามารถในการคิด พวกมันสามารถฉีกร่างศัตรูได้สบายๆ แต่ถ้าจะให้พวกมันจัดการศัตรูแบบเงียบๆ เช่นนี้ มันแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย!
เขามองเห็นความตกตะลึงแบบเดียวกันอยู่บนใบหน้าของแฮกริด
‘พวกนางได้รับพลังที่สมบูรณ์มา เป็นนักรบอาญาสิทธิ์ที่แท้จริง’
ภายในหัวของโจมีคำพูดของฌอนดังขึ้นมา
นี่คือ…ผลงานชิ้นเองของโรแลนด์ วิมเบิลดันอย่างนั้นเหรอ?
เขาไม่มั่นใจแล้วว่าพระสันตะปาปาจะเป็นคนที่รู้เรื่องความลับนี้ลึกซึ้งที่สุด
“หลังจากนี้ทำตามแผนที่วางไว้” โซอี้กวาดตามองดูโจ “ไม่ว่าคนที่เจ้าจะช่วยจะเป็นหรือตาย ก็ห้ามเสียเวลาอยู่ในคุกใต้ดิน เข้าใจไหม?”
“ข้า…เข้าใจแล้ว”
หลังได้รับคำตอบ ทั้งสองคนก็วิ่งขึ้นบันไดไป
ตรงบันไดนั้นไม่มีทหารคอยเฝ้าอยู่ โซอี้กับเบ็ตตี้วิ่งตรงขึ้นไปยังชั้นสี่ ก่อนจะเห็นสองข้างทางของทางเดินแคบๆ มีประตูตั้งเรียงรายอยู่หลายห้อง นั่นน่าจะเห็นห้องที่เตรียมเอาไว้สำหรับพวกสาวใช้ ส่วนตรงปลายทางเดินนั้นมีประตูโลหะบานใหญ่ตั้งอยู่ มันส่องประกายสีแดงเข้มออกมาภายใต้แสงเทียน
“ประตูคิวไพรต์จริงๆ ด้วย” โซอี้เลิกคิ้ว
“เจ้าคิดจะทำยังไง?” เบ็ตตี้เบะปาก “ถ้าด้านหลังมีโซ่เหล็กล่ามอยู่ล่ะ ข้าคิดว่าคงชนมันไม่เปิดแน่”
“แน่นอน ถ้าไม่มีทาง อย่างนั้นเราก็เปิดทางขึ้นมาใหม่สิ”
“ข้าก็…คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
เบ็ตตี้ถีบประตูไม้ที่อยู่ด้านข้างห้องนอนของเอิร์ล ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง
“กรี๊ด…” เสียงตะโกนกรีดร้องดังขึ้นมา สาวใช้ที่สวมเสื้อแพรบางๆ รีบดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดบังหน้าอกของตัวเองทันที “พวก พวกเจ้าเป็นใคร?”
“น่าเสียดาย ข้าไม่ได้สนใจผู้หญิง” เบ็ตตี้ปลดเชือกออก เสื้อคลุมหลุดลงไปกองอยู่บนพื้น ปืนกระบอกโตปรากฏอยู่ด้านหลัง “ถ้าเป็นผู้ชายหล่อๆ ล่ะก็…”
“เจ้าพูดแบบนี้มีแต่จะทำให้นางตกใจมากกว่าเดิม” โซอี้อุทานออกมา ก่อนจะเอาปืนลูกซองมาถือไว้ในมือ “หนึ่ง สอง…”
“สาม!”
ทั้งสองคนหันปืนไปที่กำแพงพร้อมกับเหนี่ยวไก
เสียงแสบแก้วหูดังสนั่นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง กำแพงที่สร้างขึ้นมาจากอิฐนั้นไม่สามารถป้องกันการยิงซ้ำๆ ของกระสุน 40 มม.ได้ เศษอิฐปลิวว่อนไปทั่วห้อง ไม่นานบนกำแพงก็มีรูบิดๆ เบี้ยวๆ ปรากฏขึ้นมา
จากนั้นโซอี้เอาตัวพุ่งชนแล้วกระโดดเข้าไปในห้องของเอิร์ล
……………………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น