Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1103-1104

 ตอนที่ 1103 คมดาบของปีศาจ (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

แต่ที่ระยะนี้อีกฝ่ายไม่มีทางได้ยินเสียงเตือนของเธอแน่นอน


ส่วนความเร็วของจุดสีแดงก็เพิ่มขึ้นมากกว่า แถมยังมีความชัดเจนมากกว่าเดิมด้วย


ทำยังไงดี?


ใช่ ใช่แล้ว…โทรศัพท์! ใช้โทรศัพท์โทรไปหาลีฟได้!


ซิลเวียรูดเสาจากบนหลังคาลงมายังห้องประชุมใต้ดิน ก่อนจะตะโกนบอกเฟร์รานว่า “รีบโทรหาลีฟเร็ว บอกให้นางรีบออกมาจากตรงนั้น!”


น่าจะเป็นเพราะรู้ว่ากำลังมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เฟร์รานจึงยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาโดยไม่ถามอะไร จากนั้นจึงหมุนโทรศัพท์โทรไปหาลีฟ “ออกมา….แล้วจะให้ไปที่ไหน?”


“ที่ไหนก็ได้! เนเวอร์วินเทอร์ ทิศใต้ของป่า…ยิ่งไกลจากสถานีปลายทางยิ่งดี!”


ในเวลานี้สายตาของทุกคนต่างจับจ้องมาที่ตัวซิลเวีย


“เจ้าเห็นอะไรอย่างนั้นเหรอ?” เอดิธส์ถาม


“พวกเราเดาผิดแล้ว ศัตรูมันพุ่งไปหาลีฟ แถมยังมีแค่ตัวเดียวด้วย!” ซีลเวียรีบมองไปทางตะวันตกเฉียงใต้อย่างร้อนใจ “ตอนที่ลีฟกำลังควบคุมป่าอยู่ นางจำเป็นต้องรวบรวมสมาธิ ในเวลานี้ขอเพียงศัตรูมองเห็นการไกลเวียนของพลังเวทมนตร์ มันก็จะสามารถรู้ถึงตำแหน่งของนางได้! ที่พวกมันเผาป่าก็เพื่อรอเวลานี้!”


“อะไรนะ?” เอดิธส์ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที “หรือว่าเจ้ามองเห็นปีศาจจากตรงนี้ได้?”


“เพราะว่าพลังเวทมนตร์ของมัน…แข็งแกร่งอย่างมากน่ะสิ” เธอพูดพึมพำออกมา


“แต่ท่านลีฟก็แข็งแกร่งอย่างมากนี่นา” เฟร์รานพูดแทรก “ถ้าไม่ใช้ไฟล่ะก็ ต่อให้เป็นกองทัพปีศาจก็ยากที่จะทำอะไรนางได้ในเวลาสั้นๆ ไม่ใช่เหรอ?”


“แต่ในเมื่อศัตรูทำแบบนี้แล้ว เราก็ต้องเตรียมการป้องกันเอาไว้..” ซิลเวียกำหมัดแน่น จุดสีแดงในสายตาของเธอเริ่มลอยขึ้นไปด้านบน วิถีการเคลื่อนไหวของมันเหมือนกับหัวงูที่ชูขึ้นอย่างไรอย่างนั้น “ยังไม่รับโทรศัพท์เหรอ?”


“ใช่…ทางนั้นไม่มีคนรับ”


อย่างที่คิดไว้เลย ลีฟถูกไฟดึงสมาธิไปจนหมดงั้นเหรอ? จากความเร็วอันนี้ อย่างมากก็เหลือเวลาอีก 1 – 2 นาทีก่อนที่ทั้งสองจะเจอกัน!


“โทรไปที่สถานีปลายทาง” เอดิธส์พูด “ให้กองทัพที่หนึ่งที่ประจำการอยู่ที่นั่นแจ้งลีฟ แล้วก็ให้พวกเขาเพิ่มระดับการป้องกันด้วย”


“รับทราบ” เฟร์รานหมุนตัวไปหมุนโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่ง


ในขณะที่กำลังรอคอยอย่างร้อนใจ ซิลเวียมองเห็นแสงสีแดงข้ามยอดไม้ไป ก่อนจะพุ่งตกลงไปที่พื้นเหมือนกับอุกกาบาต


บุกโจมตีตรงๆ จากบนฟ้างั้นเหรอ…..


ภายในใจเธอเหมือนจะเดาคำตอบที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว


เกรงว่าศัตรูคงจะเป็น….ผู้พิฆาตเวทมนตร์!


…..


แบบนี้ก็น่าจะใช้ได้แล้วทั้ง ลีฟปัดมือพร้อมถอนหายใจออกมา


ต้นไม้ริมค่ายทหารแยกตัวออกห่างจากป่าทางด้านทิศเหนือ แบบนี้ไม่ว่าไฟจะแรงแค่ไหนก็จะไม่สามารถทำอะไรสถานีปลายทางได้


เพียงแต่ตอนที่เห็นต้นไม้ใบหน้าที่บิดม้วนอยู่ในเปลวไฟ เธอยังคงรู้สึกเจ็บปวด


ถ้าต้นไม้ที่โดนเผาคือต้นไม้ที่เธอควบคุมอยู่ เธอจะสูญเสียความทรงจำไปเท่าไร? แล้วจะเหลือความทรงจำที่สำคัญ ความทรงจำที่ล้ำค่าอยู่เท่าไร?


คำถามนี้แค่คิดๆ ก็ทำให้เธอรู้สึกแย่แล้ว


สู้มัน ลีฟ!


หลังจากนี้ยังต้องเตรียมตัวดับไฟอีก!


เธอพูดให้กำลังใจตัวเอง ในขณะที่เธอกำลังจะไปสำรวจดูรอบๆ ค่ายว่ามีอะไรที่ตัวเองพอจะช่วยเหลือได้บ้าง ด้านบนหัวเธอพลันมีเสียงหวีดดังขึ้นมา


ลีฟเงยหน้าขึ้นใน แต่ตอนนี้ใกล้จะเป็นเวลากลางคืนแล้ว ท้องฟ้ากลายเป็นสีม่วงคล้ำ ยากที่จะมองเห็นได้ว่าเสียงที่ว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร


“ระวัง รีบหลบเร็ว!” จู่ๆ พลันมีเสียงคนตะโกนขึ้นมา


ลีฟรีบหลบเข้าไปในต้นไม้ทันทีโดยที่ยังไม่ทันได้หันไปดูว่าคนที่พูดเป็นใคร ขณะเดียวกัน เงาดำสายหนึ่งก็ร่วงตกลงมาจากบนฟ้า ก่อนจะเฉียดหน้าเธอไปเพียงนิดเดียว ต้นไม้ที่อยู่รอบๆ หักโค่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


ในตอนที่เงาดำร่วงตกลงไปที่พื้นนั้นไม่มีเสียงที่ดังสนั่นแต่อย่างใดๆ เรียกได้ว่าเงียบเชียบอย่างมาก ภาพเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ทำเอาลีฟรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างรุนแรง แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ทำอะไร คลื่นที่บิดเบี้ยวลูกหนึ่งแผ่กระจายออกมาจากเงาดำที่ว่า


พลังเวทมนตร์ที่เดิมทีไหลเวียนได้อย่างลื่นไหลพลันจับตัวแข็งขึ้นมาทันที


หลังจากนั้นก็เหมือนกับบานกระจกที่แตกออก!


“อ๊ากกกก!”


ลีฟรู้สึกเหมือนโลกหมุน ก่อนจะถูกพลังอันแข็งแกร่งที่ไม่สามารถต้านทานได้ผลักออกมาจากต้นไม้


หลังกระเด็นกลิ้งไปบนพื้นอย่างแรง ภายในลำคอเธอพลันรู้สึกได้ถึงความหวาน เธออ้าปาก เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมา


ในเวลานี้เอง ลีฟถึงได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน


มันเป็นปีศาจที่มีรูปร่างสูงใหญ่และใบหน้าที่ดูดี ถ้าตัดผิวที่มีเป็นสีน้ำเงินกับเสื้อผ้าแปลกๆ ออกไปแล้ว มันก็แทบจะไม่ได้ต่างอะไรจากมนุษย์เลย เพียงแค่มันยืนอยู่ตรงนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความกดดันอย่างที่ยากจะบรรยายได้แล้ว


เหมือนกับอากาศจับตัวแข็งขึ้นมา


ลีฟพยายามฝืนลุกขึ้นยืน ไม่ว่าภายในใจจะร้องเรียงอย่างไร ป่าก็ไม่ตอบสนองต่อคำเรียกของเธอ


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกบีบให้ตัดขาดการเชื่อมต่อกับหัวใจแห่งป่า


“ผู้พิฆาตเวทมนตร์…” หัวใจเธอร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม


ส่วนอีกฝ่ายนั้นไม่มีการยิ้มเย้ยหยัน ไม่มีการส่งเสียงคำราม มันเพียงแค่ยื่นกรงเล็บอันแหลมคมออกมา ก่อนจะพุ่งเข้ามาหาเธอ


ลีฟกัดฟันพร้อมหลับตา


แต่ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่เธอคิดเอาไว้ก็ไม่ได้เกิดขึ้น


“เคร้ง!”


ดาบยักษ์รูปร่างแปลกประหลาดเล่มหนึ่งมากันอยู่ด้านหน้าของเธอ กรงเล็บอันแหลมคมของอีกฝ่ายถูกหยุดเอาไว้ ตัวดาบที่หนาเหมือนกับบานประตูกับสัญลักษณ์พระอาทิตย์ที่เปล่งประกายสีทองอยู่บนตัวดาบทำให้เธอรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือใคร


‘ทูตเอชแชส’


“คู่ต่อสู้ของเจ้าอยู่นี่ เจ้าสัตว์ประหลาด!” หลังแอชเชสปัดกรงเล็บของผู้พิฆาตเวทมนตร์ออกไป เธอก็มายืนขวางอยู่ด้านหน้าลีฟ


“อะ แอชเชส?” ลีฟลืมตาโตอย่างประหลาดใจ “เจ้าไม่ได้กลับไปเมืองเนเวอร์วินเทอร์พร้อมกับเจ้าหญิงทิลลีเหรอ? แต่ข้าเห็นซีกัล…”


“อืม เดิมมันควรเป็นอย่างนั้นนั่นแหละ” แอชเชสตอบโดยไม่หันหน้ากลับมา “แต่ข้ารู้สึกว่าไฟไหม้ครั้งนี้มันมีอะไรแปลกๆ ก็เลยขอเจ้าหญิงทิลลีอยู่ที่นี่ เพราะถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ข้าก็ยังพอจะช่วยอะไรได้ใช่ไหมล่ะ?”


อย่างนี้นี่เอง เสียงเตือนก่อนหน้านี้ก็เป็นของเธอสินะ!


“อย่างนั้น นี่คือผู้พิฆาตเวทมนตร์ที่พวกเจ้าเคยเจองั้นเหรอ?”


“ใช่ แต่เจ้าต้องระวังนะ มันแข็งแกร่งกว่าปีศาจระดับสูงที่เราเคยเจอมาก!”


“จุดนี้ข้าเองก็มองออก” แอชเชสยกดาบมากันไว้ตรงหน้าอก “วางใจได้ เราอาจจะเอาชนะไม่ได้ แต่ขอเพียงยื้อเอาไว้จนกองหนุนมาช่วยได้ก็พอ”


ปีศาจมองไปทางค่ายทหาร ก่อนจะหันมามองทั้งสองคนด้วยสายตาเยือกเย็น “อมนุษย์…เหรอ?”


ถึงแม้มันจะออกเสียงกุกๆ กักๆ แต่ว่านั่นเป็นภาษาที่มนุษย์ฟังเข้าใจอย่างแน่นอน นี่ทำให้ทั้งสองคนยิ่งตกตะลึงเข้าไปใหญ่


ในสงครามแห่งโชคชะตาอันยาวนาน ยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่ปีศาจคุยกับแม่มดมาก่อน!


“เจ้า…พูดภาษาพวกเราได้อย่างนั้นเหรอ?” ลีฟอดถามขึ้นมาไม่ได้


“การเรียนรู้คือพื้นฐานของการวิวัฒนาการ มีแต่เพียงเจ้าเท่านั้นแหละที่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้” ปีศาจระดับสูงกางสองมือออก “ช่วงเวลาหลายร้อยปีสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ตั้งมากมาย แต่พวกเจ้ากลับเหมือนใช้ชีวิตเหมือนย่ำอยู่กับที่อย่างไรอย่างนั้น ทั้งปีศาจ อมนุษย์ คำเรียกที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ช่าง…น่าสมเพศเสียจริงๆ”


“เจ้าว่าอะไรนะ?” แอชเชสตะคอก


แต่สิ่งที่ตอบเธอกลับมากลับเป็นกระแสลมอันรุนแรง!


แอชเชสไม่เพียงแต่จะไม่ถอย ห่างแต่ฝ่าสายลมพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับเหวี่ยงดาบยักษ์ใส่ศัตรูอย่างแรง พายุหมุนที่สร้างขึ้นมาจากเวทมนตร์สลายตัวไปทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้าหินอาญาสิทธิ์ แต่ปีศาจกลับหายตัวไปเสียแล้ว



ตอนที่ 1104 คมดาบของปีศาจ (3)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อ๊าาาาา!” ด้านหลังมีเสียงตกใจของลีฟดังขึ้นมา


แอชเชสหันหน้ากลับไปทันที ก่อนจะพบว่าพายุลมที่พัดผ่านร่างกายเธอไปนั้นไม่ได้สลายหายไป ถึงแม้มันจะเบาลงไปไม่น้อย แต่มันก็ยังพัดลีฟให้กระเด็นลอยออกไปได้


ขณะเดียวกันผู้พิฆาตเวทมนตร์ก็ไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของเธอ


เป็น…ไปได้ยังไง?


เห็นๆ อยู่ว่าพายุลมนั้นเป็นพลังอย่างหนึ่ง แต่ทำไมหินอาญาสิทธิ์กลับหยุดผลของมันไม่ได้ทั้งหมด?


แอชเชสไม่มีเวลาให้คิด เธอตวัดดาบกลับไปด้านหลัง ก่อนจะฟันตรงเข้าไปที่คอของอีกฝ่าย


แต่ศัตรูกลับใช้มือเพียงข้างเดียวก็สามารถหยุดการโจมตีในครั้งนี้ได้แล้ว ในระหว่างที่สู้กัน เธอมองเห็นคลื่นแสงสีน้ำเงินที่ถูกปล่อยออกมาจากบนแขนของปีศาจได้อย่างชัดเจน


ผู้พิฆาตเวทมนตร์ไม่ได้ให้ความสนใจกับเธอเท่าไร มันเรียกลมขึ้นมาพัดลีฟให้กระเด็นออกไปอีกครั้ง


เจ้านี่…เป้าหมายมันคือลีฟ!


แอชเชสไล่บี้ตามหลังศัตรูไป แต่เธอกลับถูกทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ ลีฟเองก็พยายามที่จะโจมตีกลับ แต่ผู้พิฆาตเวทมนตร์เพียงแค่โบกมือก็สามารถสลายพลังของเธอทิ้งไปได้แล้ว ความต่างชั้นของพลังนี้ไม่สามารถใช้พลังใจมาช่วยเสริมได้เลย เวทมนตร์ที่ไหลเวียนอยู่ในอากาศถูกพัดจนกระจายหายไปหมด การจะรวบรวมพลังขึ้นมานั้นกลายเป็นสิ่งที่ยากจะทำได้


นี่คือการควบคุมพลังเวทมนตร์ของปีศาจระดับสูงอย่างนั้นเหรอ? ไม่ว่าจะเป็นการสลายพลังของลีฟ หรือว่าการโจมตีใส่แอชเชส มันเหมือนจะทำได้อย่างสบายๆ  ในมือของแอชเชสมีเหงื่อซึมออกมา ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เธอคงไม่มีทางที่จะไล่ตามศัตรูที่พร้อมจะฆ่าลีฟได้ทุกเมื่อได้ทันแน่


แต่ในช่วงเวลาคับขันนี้เอง สมาธิของแอชเชสกลับรวมตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


เร็วอีกหน่อย เร็วขึ้นอีกหน่อย!


ในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมานี้ เธอเฝ้าฝึกฝนตามวิธีของแม่มดทาคิลา เวลาส่วนใหญ่เธอจะเคลื่อนไหวโดยสวมใส่ตุ้มถ่วงน้ำหนักเอาไว้ จริงอยู่ที่เวลาถอดออกแล้วเธอจะรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย พลังเวทมนตร์ที่แทรกซึมอยู่ในกล้ามเนื้อและกระดูกเกิดการขยายตัวอย่างรุนแรงพร้อมกับไหลเวียนไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย เธอถึงขนาดรู้สึกเหมือนกับว่ามันค่อยๆ เข้ามาแทนที่เลือดเนื้อในร่างกาย


แต่ว่ามันยังไม่พอ


เธอต้องเร็วขึ้นอีกถึงจะช่วยลีฟได้


แล้วก็…ปกป้องคนที่เธออยากจะปกป้องได้


ด้วยการกระตุ้นของจิตสำนึก พลังเวทมนตร์เริ่มไหลไปรวมอยู่ที่ขาทั้งสองข้างของเธอ ในการต่อสู้กับโลก้า แอชเชสได้มองเห็นเทคนิคการต่อสู้ที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ในตอนที่พลังเวทมนตร์ไปรวมที่อยู่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง จะทำให้การระเบิดพลังและความอึดของอวัยวะส่วนนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่หมาป่าสาวสามารถควบคุมให้ร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งให้กลายร่างเป็นหมาป่าได้


ผู้พิฆาตเวทมนตร์ไม่ได้มองเธอเป็นเป้าหมายหลัก นี่ทำให้เธอสามารถทุ่มสมาธิอยู่กับการไหลเวียนของพลังเวทมนตร์ในร่างกายได้ ส่วนภาพต้นไม้รอบๆ ที่หักโค่นลงกลับยิ่งทำให้ความรู้สึกตรงนี้ยิ่งชัดเจนมากขึ้น


ในตอนที่ปีศาจใช้การโจมตีแบบเดิมออกมาเป็นครั้งที่สี่ ทำให้ระยะห่างของทั้งสองกลายเป็น 20 เมตร มันก็ได้ทำลายโล่เถาวัลย์ที่ลีฟสร้างขึ้นมา แล้วยื่นกรงเล็บโจมตีไปที่หน้าอกของเธอ


การโจมตีนี้เหมือนจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว


แต่แทบจะในเวลาเดียวกัน แอชเชสก็ได้กระโดดถีบต้นไม้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี!


พริบตานั้นเอง เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะคว้าอะไรบางอย่างได้


ร่างกายเธอกลายเป็นเหมือนสายฟ้า ระยะ 20 เมตรหดสั้นลงได้ในพริบตา เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งลง ถึงแม้จะไม่ใช้ตามอง เธอก็ยังมองเห็นภาพต้นไม้ที่ถูกเธอถีบแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อย เศษกิ่งไม้ที่แตกหักจากลมที่เกิดขึ้นในตอนที่เธอพุ่งเข้าหาศัตรู และหญ้าที่ถูกทับจนล้มราบไปกับพื้นได้อย่างชัดเจน


ศัตรูหยุดฝีเท้าเป็นครั้งแรกพร้อมกับยกสองมือขึ้นมาป้องกันการโจมตีของเธอ


“เคร้ง…ผัวะ!”


ปีศาจถูกแอชเชสโจมตีเต็มแรงจนลอยกระเด็นออกไปหลายเมตร มันม้วนตัวในอากาศสองรอบก่อนจะลงมายืนบนพื้น


แอชเชสไม่ได้หยุดเครื่องไหว เธอคว้าลีฟที่ร่วงตกมา ก่อนจะยืนคุ้มกันอยู่ด้านหน้า


“โอ้?” ปีศาจเลิกคิ้วพร้อมกับทำสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมา


“ยิง!”


ในที่สุดกองหนุนที่แอชเชสรอก็มาถึง หน่วยแม่มดอาญาสิทธิ์ที่ประจำอยู่ที่สถานีปลายทางในป่ากระโจนออกมาจากพุ่มไม้ พร้อมกับเหนี่ยวไกปืนลูกซองใส่ศัตรูเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ตรงหน้า ภายในป่ามีเสียงดังสนั่นขึ้นมาทันที ลูกกระสุนพ่นใส่เป้าหมายเหมือนดั่งห่าฝน แต่อีกฝ่ายกลับใช้ต้นไม้เป็นเกราะกำบัง มันกระโดดหลบไปมาอย่างรวดเร็ว แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ท่ามกลางเศษไม้ที่แตกกระตาย ร่างกายของมันก็ยังมีแสงสีฟ้าสว่างวาบขึ้นมาตลอดเวลา


ตรงตำแหน่งที่ไกลออกไปมีเสียงฝีเท้าที่ฟังดูวุ่นวายดังขึ้นมา นั่นคือเสียงฝีเท้าของกองทัพที่หนึ่งที่ทยอยกันวิ่งตามหลังแม่มดอาญาสิทธิ์มา


สุดท้ายปีศาจเหลือบมองแอชเชสทีหนึ่งก่อนจะระเบิดพลังเวทมนตร์อันน่าตกใจออกมาจากร่างกาย ตัวมันพุ่งขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายไปในความมืดภายในไม่กี่อึดใจ


“บ้าเอ้ย” แม่มดอาญาสิทธิ์ที่วิ่งนำอยู่หน้าสุดสบถออกมา ก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าแอชเชส “ข้าชื่อเอเลน่า เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”


“ไม่เป็นไร” แอชเชสมองดูลีฟที่นอนสลบอยู่ในอ้อมอกพร้อมกับยื่นมือไปเช็ดคราบเลือดตรงมุมปากให้เธอ “แต่นางต้องการการรักษา”


“วางใจได้” เอเลน่าพูดปลอบ “ข้าได้รับแจ้งว่านาน่ากับไนต์ฟอลกำลังมาแล้ว”


…..


ผู้ถูกยกระดับเพิ่งลงมาถึงพื้น องครักษ์ระดับต้นนายหนึ่งก็รีบเข้ามาต้อนรับทันที


“ท่านอุรูค นี่คือถังช่วยหายใจที่เตรียมไว้สำหรับท่าน…”


มันยังไม่ทันพูดจบ อีกฝ่ายก็คว้าเอาถังไปจากมือของมัน ก่อนจะเอาไปครอบไว้ตรงจมูกแล้วสูดหายใจลึกๆ


“ฟู่วววว”


หลังจากนั้นครู่ใหญ่ อุรูคก็เหมือนจะหายใจได้สะดวกขึ้น “เปลี่ยนให้ข้าที”


“รับทราบ”


หลังเอาถังเก่าออก องครักษ์ก็เอาถังช่วยหายใจขนาดยาวเท่าแขนถังใหม่ใส่เข้าไปในหลังของมัน สำหรับผู้ยกระดับแล้ว วิธีการหายใจที่ใช้การเปลี่ยนถังจากด้านในแบบนี้ไม่จำเป็นต้องสวมใส่ชุดเกราะ แล้วก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวด้วย


“ไม่ทราบว่าครั้งนี้ท่าน…”


“เจอปัญหานิดหน่อย แต่มันก็เป็นสิ่งที่ข้าคิดเอาไว้แล้ว” อุรูคพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เพราะว่าที่ตรงนั้นเป็นดินแดนของพวกมนุษย์ ถ้าแค่นี้พวกมันยังกันเอาไว้ไม่ได้ ข้าก็ควรจะสงสัยแล้วว่าคาบราดาบีมันหักหลังพวกเราหรือเปล่า”


“ไม่ ที่พวกมันกันเอาไว้ได้ไม่ใช่ตัวท่านที่แท้จริง” องครักษ์พูดเสียงดัง “ถังช่วยหายใจได้จำกัดพลังของท่านไว้ ถ้าอยู่ในอาณาเขตของหอคอยแห่งการให้กำเนิดล่ะก็ แมลงพวกนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านแน่นอนขอรับ!”


การใช้พลังเวทมนตร์จะเร่งการเผาผลาญละอองชีวิตให้เร็วขึ้น มันจึงต้องคำนึงถึงปริมาณละอองชีวิตที่ต้องใช้ในตอนขากลับด้วย ดังนั้นมันจึงเหมือนกับสู้โดยใส่กุญแจมือเอาไว้


“ดังนั้นครั้งนี้เป็นแค่การวางเหยื่อล่อเท่านั้น ครั้งหน้าข้าจะเลือกสถานที่ที่มันยุติธรรมมากกว่านี้” อุรูคมองไปทางทิศใต้ของป่า “…หลุมศพที่เหมาะกับการนอนหลับไปตลอดกาล”


“หากท่านราชาสกายลอร์ดสามารถสนับสนุนท่านได้มากกว่านี้” องครักษ์พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย “ท่านคงไม่จำเป็นต้องใช้วิธีที่เสี่ยงแบบนี้ หองคอยแห่งการให้กำเนิดที่ทาคิลาเองก็…”


“เสี่ยง?” อุรูคพูดตัดบทลูกน้อง “แต่ข้ากลับรู้สึกว่ามันน่าสนใจอย่างมาก เพราะการฟังคนอื่นมารายงาน มันสู้การไปดูด้วยตาตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว” มันหยิบเอาเม็ดเหล็กกล้าที่บิดเบี้ยวเม็ดหนึ่งออกมาจากบนเกราะ ก่อนจะเอามามองดูอย่างละเอียดครู่หนึ่ง “ขณะเดียวกันพวกตัวเมียที่เป็นผู้ตื่นรู้ก็ไม่ได้มีการพัฒนาใดๆ แม้แต่น้อย กลับกลายเป็นตัวผู้ที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลง มนุษย์พวกนั้นเองก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ซะทีเดียว…ถ้าสามารถเข้าใจพวกนั้นได้มากอีกหน่อยก็จะยิ่งดี”


องครักษ์ไม่ได้ตอบ แต่สีหน้ากลับดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร


อุรูคเอาลูกเหล็กกล้าใส่เข้าไปในอกอย่างไม่ใส่ใจ “ส่วนเรื่องราชา…ข้าเชื่อว่ามันจะต้องพยายามแล้วแน่นอน เพียงแต่ท่านจักรพรรดิคงจะมีความกังวลและปัญหาอยู่ ไม่มีอะไรที่เราต้องไปโมโห เพราะว่ายังไงซะพวกเราก็สู้เพื่อที่จะได้มุ่งหน้าขึ้นไปยังดินแดนที่อยู่สูงขึ้นไปไม่ใช่เหรอ?”


“ท่าน…กล่าวได้ถูกต้อง” องครักษ์ก้มหน้า


“ถอยก่อน แล้วเอา ‘ทูมสโตน’ ออกไปด้วย ยังอีกไกลกว่าจะถึงทาคิลา” อุรูคค่อยๆ บินขึ้นไปแล้วหันไปทางซากเมืองศักดิ์สิทธิ์ “ตอนนี้เราวางเหยื่อไว้แล้ว หลังจากนี้ก็แค่รอเวลาเท่านั้น”


รอวันที่มันจะมาติดกับเรา


พวกเราต้องได้เจอกันอีกแน่


……………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)