Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1097-1102
ตอนที่ 1097 เพื่อนเก่าและศัตรู
โดย
Ink Stone_Fantasy
กระทั่งปรมาจารย์ด้านการแสดงออกไปแล้ว บารอฟจึงรีบเข้ามาพูดกับโรแลนด์ด้วยสีหน้าเสียดายว่า “ฝ่าบาท ทำไมพระองค์ถึงไม่รับปากคำขอของเขาไปล่ะพ่ะย่ะค่ะ? เขาเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของละครเวทีของเกรย์คาสเซิลเลยนะพ่ะย่ะค่ะ คณะละครอื่นๆ ต่างต้องการตัวเขากันแทบแย่! กระหม่อมไม่ได้หมายความว่าคณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์ไม่ดี แต่ถ้าพูดกันถึงเรื่องชื่อเสียงแล้ว เลดี้เมย์ยังไม่อาจจะเทียบเขาได้จริงๆ ถ้าให้เคแกน เฟสเข้ามาอยู๋ในคณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์ คณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์ก็จะกลายเป็นคณะละครเวทีหมายเลขหนึ่งของอาณาจักรอย่างไม่ต้องสงสัยเลยพ่ะย่ะค่ะ! ต่อให้เขาไม่รู้เรื่องหนังเวทมนตร์ แต่ด้วยชื่อเสียงของเคเแกนก็สามารถดึงเอานักแสดงมาได้เป็นจำนวนมาก คณะละครก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องที่ว่าจะมีคนไม่พอเลยพ่ะย่ะค่ะ”
โรแลนด์กรอกตาใส่เขา “หรือเจ้าไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่าของที่ยิ่งได้มาง่ายมันก็ยิ่งไม่มีค่าเหรอ?”
“เอ่อ…” หัวหน้าสำนักบริหารงุนงง “ขอประทานอภัยที่กระหม่อมไม่รู้พ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่านี่เป็นคำพูดของใครหรือจากหนังสือเล่มไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“คำพูดของข้าเอง” โรแลนด์ทำเป็นพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ เข้าใจหรือเปล่า? เขาถูกหนังเวทมนตร์ดึงดูดเอาไว้แล้ว ไม่ว่าเราจะพูดอะไร เขาก็จะอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ บททดสอบที่ยากหน่อยก็ย่อมต้องทำให้เขาจดจำได้ดีกว่าการรับปากเขาไปง่ายๆ แล้วก็อาจจะทำให้เขารู้สึกซึ้งใจกับโอกาสที่ข้ามอบให้กับเขาครั้งนี้ด้วย”
เขาชะงักไปเล็กน้อย “ยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าเคแกน เมย์ก็ถือว่าเป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ เมื่อมีอาจารย์ใหญ่ด้านการแสดงอยู่แบบนี้ คณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์ยังจะเรียกสตาร์ฟลาเวอร์อยู่อีกเหรอ เรื่องที่จะให้ถ่ายหนังเวทมนตร์นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่เรื่องที่จะให้ไปอยู่ในคณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์นั่นอย่าดีกว่า ถ้าเขาเข้าไปอยู่ในคณะ มันจะทำให้คนอื่นๆ พากันรู้สึกกดดันได้”
“พระองค์…ตรัสถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ” บารอฟลังเลเล็กน้อย “แต่ว่าเรื่องที่จะให้ไปวูล์ฟฮาร์ท…”
“ก็ไม่มีอะไรไม่ดีนี่” โรแลนด์พูดตัดบท “เขาเป็นคนตัดสินใจเอง ข้าเองก็อยากดูเหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วเขาจะทำละครออกมาเป็นแบบไหน แต่จะว่าไปแล้ว เจ้ามีเวลามาห่วงคนอื่นแบบนี้ เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปจัดการ เจ้าทำเสร็จเรียบร้อยแล้วเหรอ ยังไม่รีบไปทำอีก!”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท…กระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ!” บารอฟรีบก้มหน้าทำความเคารพ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากโถงรับแขกไป
“พระองค์นับวันจะเหมือนราชาจริงๆ เข้าไปทุกทีแล้วนะเพคะ ฝ่าบาทวิมเบิลดัน” ไนติงเกลปรากฎตัวขึ้นที่ด้านหลัง ก่อนจะหรี่ตามองเขา
“ฮ่าๆๆๆ…ไม่หรอก” จู่ๆ โรแลนด์พลันรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมา เขาไม่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกตัวเองด้วยคำพูดแบบนี้มานานมากแล้ว “ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเรา เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกข้าซะเป็นทางการขนาดนั้นก็ได้….”
“แต่ทำไมหม่อมฉันรู้สึกว่าถ้าสนิทกันเกินไปมันจะไม่ค่อยดีล่ะเพคะ?” ไนติงเกลพูดพร้อมกอดอก “ ‘ของที่ยิ่งได้มาง่ายมันก็ยิ่งไม่มีค่า’ ที่แท้นี่คือความคิดของพระองค์เหรอเพคะ ดูเหมือนหม่อมฉันคงต้องระวังตัวไม่ให้ดีกับพระองค์เกินไปซะแล้ว นอกจากนี้หม่อมฉันยังต้องไปเตือนอันนาหน่อยแล้วว่าอย่าปล่อยให้ใครบางคนได้ใจนัก”
โรแลนด์รู้สึกหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมา “เอ่อ คือ…อันนั้นมัน….เอาเป็นว่าคนก็ส่วนคน หนังเวทมนตร์มันก็ส่วนหนังเวทมนตร์ มันไม่เหมือนกันซักหน่อย! อีกอย่างคำพูดนี้ข้าก็ไม่ได้พูดเป็นคนแรก…”
“แต่พระองค์กลับเห็นด้วยอย่างมาก” ไนติงเกลส่งเสียงเหอะเบาๆ “พลังเวทมนตร์ที่อยู่ตรงหน้าอกบอกหม่อมฉันว่าอย่างน้อยก็ความน่าเชื่อถืออยู่ 55%”
ตอนนี้ความสามารถในการแยกแยะคำพูดโกหกสามารถแยกแยะได้ละเอียดขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย โรแลนด์เช็ดเหงื่อตรงหน้าผาก เดี๋ยวนะ…หน้าอก? อกาธาเหมือนจะเคยบอกว่าเขาว่าถึงแม้พลังเวทมนตร์จะมีรูปร่างเป็นเหมือนน้ำวนในตอนที่ทำการตรวจสอบ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่รูปร่างของมันจริงๆ แล้วมันก็ไม่เคยรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนจริงๆ ด้วย หากแต่จะไหลเวียนไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย
“เมื่อกี้เจ้าใช้พลังจริงๆ เหรอ?” โรแลนด์ถามอย่างสงสัย
“พรืด” ไนติงเกลหัวเราะออกมา “ดูเหมือนพระองค์จะหลงกลหม่อมฉันแล้วนะเพคะ แต่คำพูดเมื่อกี้พระองค์ก็เป็นคนตรัสมันออกมาเองนะเพคะ ถ้าพี่น้องแม่มดคนอื่นมาได้ยินเข้า พวกนางจะมองว่าพระองค์มองพวกนางไม่มีค่าหรือเปล่านะ?”
“เครื่องดื่มยุ่งเหยิง 5 ขวด” โรแลนด์พยายามจะติดสินบน
“10 ขวด รสชาติไม่เหมือนกัน” ไนติงเกลเลียริมฝีปาก
“เยอะไปจะทำให้คนอื่นสงสัยได้…”
“สงสัยอะไรหรือเพคะ?”
“เอ่อ ข้าหมายถึงว่ามันจะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมน่ะ”
“วางใจได้เพคะ ขอเพียงเป็นของที่หม่อมฉันต้องการซ่อน ก็ไม่มีใครที่จะหามันพบเพคะ”
“8 ขวดแล้วกัน ถ้าได้มันง่ายไป มันจะ…”
“หืม?”
“ไม่ ไม่มีอะไร เดี๋ยวข้าคิดดูอีกที…”
…..
สุดท้ายโรแลนด์ก็ใช้เครื่องดื่มยุ่งเหยิง 10 ขวดเพื่อเซ็นข้อตกลงที่ไม่ยุติธรรมอันนี้
เมื่อเห็นไนติงเกลที่นั่งกินปลาแห้งด้วยสีหน้าผู้ชนะ โรแลนด์ถึงกับส่ายหน้าพร้อมยิ้มออกมา
พอตึกเย็น บารอฟก็โทรมารายงานเรื่องรายชื่อผู้ที่จะไปเยี่ยมคนงานสร้างทางรถไฟ “กระหม่อมกับเลดี้บุ๊คได้ทำการเปรียบเทียบบันทึกรายชื่อญาติพี่น้องกับหนังสือมอบผลประโยชน์ดูแล้ว จากหลักเกณฑ์ที่ว่าคนเป็นญาติควรจะได้ไปเยี่ยมก่อน พวกกระหม่อมก็เลยคัดเลือกคนกลุ่มแรกที่จะเดินทางไปยังที่ราบลุ่มบริบูรณ์มาทั้งหมด 1,600 กว่าคนพ่ะย่ะค่ะ” เขาพูดรายงานในโทรศัพท์ “ตอนนี้พวกกระหม่อมกำลังร่างแผนในการเยี่ยมอยู่ ถ้าทุกอย่างราบรื่นดี หลังจากนี้สองวันพวกเขาก็ออกเดินทางได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก” โรแลนด์รู้สึกพึงพอใจการทำงานของทางสำนักบริหารมาก ไม่เสียทีที่เป็นคนที่เขาปลุกปั้นขึ้นมาเองกับมือ “รีบไปจัดการได้”
“พ่ะย่ะค่ะ! แต่ว่าฝ่าบาท มีคนงานคนนึงที่เซ็นมอบผลประโยชน์ให้กับแม่มดพ่ะย่ะค่ะ”
“แม่มด?” เขาเลิกคิ้วขึ้นมา
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ คนงานคนนั้นชื่อเขี้ยวงู มาจากเขตลองซอง เดิมทีเคยเป็นโจรใต้ดิน ส่วนแม่มดคนนั้นคือคุณหนูเปเปอร์พ่ะย่ะค่ะ”
เปเปอร์เหรอ? โรแลนด์นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าตอนที่เปโรมาส่งให้เขา อีกฝ่ายเคยพูดถึงสถานะของเธอ แล้วก็เรื่องราวที่เจอมาระหว่างทางด้วย หรือว่าคนๆ นี้คือเพื่อนของเธอในอดีต?
“จะให้ตัดเขาออกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” น่าจะเป็นเพราะเขาไม่ยอมพูดอะไรออกมา บารอฟเลยเป็นฝ่ายถามขึ้นมาเอง “เพราะว่าคุณหนูเปเปอร์ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตในอดีตแล้ว”
โรแลนด์ได้สติคืนมา “ไม่ สิ่งที่นางบอกลาคือการเป็นโจรใต้ดินต่างหาก ไม่ใช่เพื่อนในอดีตของนาง อย่าลืมซะล่ะ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการขุดรากถอนโคนพวกโจรใต้ดินออกไปก็คือการเปลี่ยนแปลงพวกเขา ไม่ว่าเมื่อก่อนนี้พวกเขาจะเป็นอะไร เราก็ควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเท่าเทียมกัน”
อดีตโจรใต้ดิน ตอนนี้กลายเป็นคนงานที่ออกไปทำงานในที่ห่างไกล…เขายิ้มมุมปากขึ้นมา เมื่อดูจากเวลาแล้ว ทั้งสองคนน่าจะแยกจากกันมาเกือบสองปีแล้ว เป็นไปได้สูงว่าต่างฝ่ายอาจจะจำหน้าตาของอีกฝ่ายไม่ค่อยได้แล้วด้วยซ้ำ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เพื่อนคนนั้นก็ยังเขียนชื่ออีกฝ่ายลงไปในหนังสือมอบผลประโยชน์ ความรู้สึกแบบนี้ถือว่าไม่เลวทีเดียว
“เดี๋ยวข้าจะไปบอกเปเปอร์เอง” โรแลนด์สั่งกำชับ “เรื่องอื่นก็จัดการไปตามแผนแล้วกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
…..
บนพื้นที่โล่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของสถานีหมายเลขหนึ่ง กองทัพที่หนึ่งกำลังจัดงานศพแบบง่ายๆ ให้กับเหล่าผู้เสียชีวิต
แผ่นป้ายสีขาวเกือบสามร้อยแผ่นตั้งเรียงรายอยู่บนพื้นหญ้าอย่างเป็นระเบียบ ถึงแม้ด้านล่างแผ่นใต้จะไม่มีการฝังอะไรไว้ก็ตาม แต่ทุกคนก็ยังยืนไว้อาลัยด้วยความเคารพ ราวกับว่าสหายที่เสียชีวิตไปกำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาอยู่
“ที่นี่มีเหล่าผู้กล้าที่เสียสละชีวิตของตัวเองเพื่อปกป้องสถานีหมายเลขหนึ่งนอนหลับใหลอยู่”
“ถึงแม้จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่โหดเหี้ยม แต่พวกเขาก็ไปถอยหนีแม้แต่ก้าวเดียว”
“เพราะพวกเขารู้สึกว่าเกรย์คาสเซิลอยู่ด้านหลังพวกเขา”
“พวกเขาเป็นทั้งดาบขอบฝ่าบาท แล้วก็เป็นที่คอยปกป้องประชาชนในอาณาจักร”
“ชื่อของพวกเขาจะถูกจดจำเอาไว้ตลอดกาล”
“จิตใจอันกล้าหาญของพวกเขาจะถูกสืบทอดต่อโดยพวกเรา”
“เพื่อฝ่าบาท เพื่ออาณาจักรเกรย์คาสเซิล”
“ทำความเคารพ!”
ทุกคนพากันยกมือขวาขึ้นมาทำวันทยหัตถ์ภายใต้การนำของขวานเหล็ก”
ไลต์นิ่งค่อยๆ บินลงมานั่งอยู่บนหลังคาบ้านพักทหารหลังหนึ่ง
ในกลุ่มคนที่กำลังยืนเรียงแถวกันอยู่ เธอมองเห็นคนที่คุ้นเคยคนหนึ่ง
นั่นคือคนขับแบล็คริเวอร์
…………………………………………………………….
ตอนที่ 1098 ผู้ปกป้อง
โดย
Ink Stone_Fantasy
กระทั่งทุกคนพากันแยกย้ายไปหมดแล้ว ชายแก่จึงเดินไปขึ้นรถไฟ ไลต์นิ่งบินตามเข้าไปทางหน้าต่างด้านหลังห้องคนขับ ก่อนจะเข้าไปด้านในอย่างเงียบๆ
ชายแก่ยืนอยู่หน้าแท่นบังคับพร้อมกับก้มหน้ามองดูของที่อยู่ในมือ ร่างกายเขายืนนิ่งราวกับรูปปั้นแกะสลัก
ไลต์นิ่งอยากจะพูดปลอบอีกฝ่าย แต่เธอกลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมา
ในขณะที่เธอลังเล เธอพลันไปชนถูกบานหน้าต่างที่แง้มเอาไว้อยู่ อีกฝ่ายถึงได้รู้ว่าเธอเข้ามาภายในห้องควบคุม
“เจ้าคือสาวน้อยในวันนั้นนั่นเอง…” ชายแก่กะพริบตาอย่างแปลกใจ
“ข้าชื่อไลต์นิ่ง” ไลต์นิ่งถอยหลังไปก้าวนึง “ขอโทษ ข้า…”
“ข้ารู้แล้ว เจ้าจะมาปลอบข้าใช่ไหม?” จู่ๆ เขาพลันยิ้มขึ้นมา “เฮ้อ จริงๆ เลยเชียว ข้าจะไม่แก่ถึงขนาดต้องให้เด็กผู้หญิงมาปลอบซักหน่อย ขายหน้าจริงๆ แต่ว่าความพลังของแม่มดนี่มันสะดวกจริงๆ เลยเนอะ อยากจะไปไหนก็ไปได้อย่างอิสระ”
สีหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้ดูเศร้าเหมือนอย่างที่ไลต์นิ่งคิดเอาไว้ นี่ทำให้เธอรู้สึกเบาใจขึ้นมาหน่อย “ข้า ครั้งหน้าข้าจะเคาะประตูก่อน”
“ข้าไม่ได้โทษเจ้า หนูน้อย” ชายแก่เอาโต๊ะที่แขวนอยู่บนผนังออกมากางออก ก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ดทำความสะอาด “มา นั่งตรงนี้ก่อนนี้ เดี๋ยวข้าไปเอาชามาให้เจ้า ที่นี่็ก็มีแต่ชาเนี่ยแหละที่ใช้รับแขกได้”
“ขะ…ขอบคุณ” ไลต์นิ่งเดินเข้าไปนั่งอย่างช้าๆ เมื่อเข้าไปใกล้เธอถึงได้พบว่าสิ่งที่วางอยู่บนแท่นควบคุมคือบัตรประชาชนของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ใบหนึ่ง
“ข้าชื่อบรูเชอร์ หรือไม่เจ้าจะเรียกฉายาของข้าก็ได้ มิสเตอร์ฮาวเลอร์ พวกเด็กๆ บนรถไฟมันเรียกข้าแบบนี้ทั้งนั้น” ชายแก่ยกชาร้อนๆ มาแก้วหนึ่ง “เมื่อกี้เจ้าก็ไปเข้าร่วมงานศพด้วยเหรอ?”
ไลต์นิ่งพยักหน้า จากนั้นจึงส่ายหัว “ข้าบินผ่านมา ก็เลยแวะลงไปดู…”
“อย่างนั้นก็แสดงว่าเจ้าไม่ได้สูญเสียเพื่อน นี่ถือเป็นข่าวดีทีเดียวนะเนี่ย”
“เธอกำถ้วยชาไว้แน่น “ลูกชายของคุณลุง…”
“อ้อ เขาชื่อโรแบร์โต เป็นลูกชายคนที่สาม เขาตายตอนที่สู้กับปีศาจเพื่อยึดเอาแนวยิงปืนใหญ่กลับมา” บรูเชอร์พูดอย่างใจเย็น “หัวหน้าหน่วยบอกว่าเขากล้าหาญมาก”
“เขากล้าหาญจริงๆ” ไลต์นิ่งพูดเสียงเบาๆ ซิลเวียเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เธอฟัง ในตอนที่ความช่วยเหลือจากกองหนุนและแม่มดอาญาสิทธิ์ยังมาไม่ถึง เขาออกไปสู้กับพวกปีศาจที่ปาหอกกระดูกมา ถ้าไม่มีความกล้ามากพอก็คงไม่มีทางที่กล้าออกไปเผชิญหน้ากับพวกมันแน่”
“ความจริงเมื่อก่อนเจ้าสามเคยเป็นคนที่ขี้ขลาดที่สุด ตอนที่ทำงานอยู่ในเหมือน ไม่ว่าหัวหน้าจะรังแกเขายังไง เขาก็ไม่กล้าที่จะตอบโต้กลับไปเลย ทุกครั้งเขาต้องกลับมาร้องไห้ให้ข้าฟัง” บรูเชอร์ทอดถอนใจออกมา “เจ้าคงรู้สึกแปลกใจใช่ไหมว่าทำไมข้าถึงดูไม่ได้เศร้าสร้อยเลย?”
สาวน้อยพูดไม่ออกไปทันที “ไม่ ข้า…”
“ไม่เป็นไร” ชายแก่พูดปลอบ “เพราะข้ารู้ว่าช้าเร็ววันนี้มันก็ต้องมาถึง…ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสามหรือลูกชายอีกสองคน พวกเขาต่างก็เคยพูดกับข้าเอาไว้เหมือนกัน”
“พวกเขา…พูดว่าอะไรเหรอ?”
“พวกเขาบอกว่าพวกเขาอยากจะปกป้องเมืองเนเวอร์วินเทอร์ อยากจะปกป้องบ้านเกิด อยากจะปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มาอย่างยากลำบาก” ชายแก่จิบชาเข้าไปคำหนึ่ง “บอกตามตรง ตอนนั้นข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แถมยังถามพวกเขากลับไปว่าทำไมต้องเป็นพวกเขา ทำไมถึงไม่เป็นคนอื่น
ภายในใจไลต์นิ่งเองก็กำลังถามว่าทำไมเหมือนกัน
บรูเชอร์เหมือนจะมองเห็นความคิดของเธอ “พวกเขาตอบว่า เพราะคนอื่นเสียสละไปแล้ว”
“นับตั้งแต่ที่กองทหารชาวบ้านเริ่มสู้กับพวกสัตว์อสูร ก็มีคนที่ต้องตายในการต่อสู้อยู่ตลอด ตอนที่สู้กับดยุคไรอันก็เป็นเช่นนี้ ตอนที่สู้กับศาสนจักรที่บุกเข้ามาก็เป็นเช่นนี้ ถ้าทุกคนต่างคิดว่าทำไมถึงต้องเป็นตัวเอง ทำไมไม่เป็นคนอื่น เกรงว่าพวกเราต้องนี้ก็คงยังอยู่ในเหมือง แล้วก็ใช้ชีวิตเหมือนวัวเหมือนควายอย่างนั้น” ชายแก่พูด “เมื่อมีสงครามมันก็ต้องมีคนเสียสละ เมื่อถึงตาใครมันก็ต้องเป็นคนนั้น ถ้าทุกคนไม่ยอมออกไป แล้วจะไปรบได้ยังไง สุดท้ายคงได้แต่รอให้ศัตรูมันมาฆ่าพวกเราเท่านั้น นี่คือคำพูดที่พวกเขาพูดกับข้า”
“ข้าไม่รู้ว่าความคิดของลูกทั้งสามคนของข้าถูกหรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่ข้ามั่นใจได้ นั่นคือพวกเขาเป็นคนตัดสินใจที่จะทำมันด้วยตัวเอง” เขาสูดหายใจลึกๆ “พวกเด็กๆ เติบโตกันหมดแล้ว สำหรับข้าแล้ว แค่พวกเขาได้เดินไปเส้นทางที่ถูกต้องที่ตัวเองเชื่อ แค่นั้นก็ถือว่าดีมากแล้ว เมื่อเทียบกับลูกชายคนโตที่ตายในลมหนาว ชื่อของเจ้าสามจะถูกกองทัพจดจำเอาไว้ตลอด ข้ายังมีอะไรให้ต้องเสียใจอีกล่ะ?”
ภายในหัวไลต์นิ่งมีคำพูดของอีกฝ่ายในคืนวันนั้นผุดขึ้นมา “เมื่อก่อนพวกเขาใช้ชีวิตเหมือนกับพวกโจรใต้ดิน ทั้งผอมทั้งอ่อนแอ แต่ว่าหลังจากที่เข้าไปในอยู่ในกองทัพ พวกเขาก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ข้าเชื่อมันในกองทัพที่หนึ่งอย่างมาก กองทัพที่ประกอบขึ้นมาจากคนเหล่านี้จะไปแพ้ให้กับศัตรูง่ายๆ ได้ยังไง’
อย่างนี้นี่เอง….
“เออใช่ ข้ายังต้องขอบคุณเจ้าด้วยนะ”
“ขอบคุณ..ข้า?” ไลต์นิ่งงุนงง
“ใช่” ชายแก่ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ถ้าเจ้าไม่มาแจ้งเตือนได้ทันเวลา ในค่ายคงจะเสียหายมากกว่านี้ ในอีกแง่หนึ่งมันก็หมายความว่าเจ้าเองก็ปกป้องกองทัพที่หนึ่งกับลูกชายอีกคนของข้าเอาไว้ ข้ากำลังคิดอยู่เลยว่าจะได้เจอเจ้าอีกเมื่อไร บางทีอาจจะไม่ได้เจออีกแล้วก็ได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมายืนอยู่ข้างหลังข้าแบบนี้ ได้พูดขอบคุณต่อหน้านี่มันดีจริงๆ เลยนะ”
หลังดื่มชาเสร็จ ไลต์นิ่งก็โบกมือลาชายแก่
เธอบินออกไปทางเก่า ในขณะที่บินผ่านด้านหน้าตู้โดยสาร เธอมองเห็นชายแก่กลับไปยืนอยู่ตรงหน้าแท่นควบคุมใหม่ พร้อมกับกำบัตรประชาชนใบนั้นเอาไว้แน่น แล้วใช้มือปิดใบหน้าตัวเองเอาไว้
……
เมื่อกลับมาถึงเขตที่พัก เมซี่กำลังบินวนไปวนมาอยู่บนอากาศ เมื่อเห็นไลต์นิ่งเธอจึงรีบบินเข้ามา “เจ้าไปไหนมาจิ๊บ! ทำไมถึงเพิ่งกลับมา! หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าวันนี้เป็นวันอะไรจิ๊บ?”
“เอ่อ วันอะไรเหรอ?”
“วันที่โลก้าจะออกจากหน่วยพยาบาลไงจิ๊บ!” เมซี่หุบปีก ก่อนจะลงมาเกาะอยู่บนหัวไลต์นิ่ง “รีบไปหน่วยพยาบาลเลยจิ๊บ!”
“เอ่อ…เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว เจ้าอยู่นิ่งๆ ล่ะ” ไลต์นิ่งจับนกพิราบให้ยืนนิ่งๆ ก่อนจะบินไปยังใจกลางค่าย หลังถูกลอบโจมตีในคืนนี้ ภายในสถานีที่หนึ่งก็เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมากทีเดียว เมื่อมองดูลงมาจากบนฟ้า นอกจากตัวสถานี ลานวางของและหอสังเกตการณ์แล้ว พื้นที่ที่เหลือล้วนแต่กลายเป็นพื้นเรียบๆ สิ่งก่อสร้างอื่นๆ อย่างที่พักทหาร หน่วยพยาบาลล้วนแต่ถูกเอาลงไปอยู่ใต้ดิน ป้อมปืนที่ติดตั้งเอาไว้สามารถป้องกันพื้นที่รอบนอกแนวป้องกัน แล้วก็สามารถป้องกันภายในค่ายได้ ต่อให้พวกปีศาจบุกโจมตีเหมือนครั้งที่แล้วก็ยากที่จะสร้างความเสียหายอย่างนั้นได้
จากนั้นไม่นาน พวกเธอก็ได้เจอกับหมาป่าสาว
“เฮ้” โลก้ากระดิกหู “ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“เพิ่งจะอาทิตย์เดียวเอง” เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดูสบายดี ไลต์นิ่งก็รู้สึกโล่งใจ เพราะเมซี่เล่าให้เธอฟังว่าตอนที่โลก้าถูกหามกลับมายังหน่วยพยาบาล สภาพของเธอร่อแร่อย่างมาก เหมือนกับลมหายใจจะหยุดลงได้ทุกเมื่อ
“คงเป็นเพราะได้แต่นอนทั้งวัน ก็เลยทำให้ข้ารู้สึกเวลามันยาวนานล่ะมั้ง” โลก้าบิดขี้เกียจ “นาน่านี่ก็จริงๆ เลยๆ ต้องรอให้ผ่านไปอาทิตย์นึงก่อนถึงจะรักษาบาดแผลให้ข้า นี่ถ้ารอให้ผ่านไปอีกอาทิตย์หนึ่ง แผลข้าคงหายไปเองหมดแล้ว”
เนื่องจากแม่มดมีภูมิต้านทานต่อผลข้างเคียงของเฟิร์นหลับใหลได้มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป ด้วยเหตุนี้ไม่มีตกอยู่ในเหตการณ์ที่ร้ายแรงจนถึงชีวิตจริงๆ การรักษาด้วยการทำให้หลับลึกจึงเป็นวิธีที่ใช้กันบ่อย เพราะว่ามันช่วยประหยัดพลังเวทมนตร์ของผู้ที่ทำการรักษาได้ ซึ่งนี่เป็นประสบการณ์ที่ทางสมาพันธ์สะสมมาจากการทำสงคราม
“สมแล้วที่มีพลังในการฟื้นฟูร่างกายเหมือนกับสัตว์ประหลาด ไม่ต่างจากท่านแอชเชสเลยนะเนี่ยจิ๊บ!” เมซี่พูดพร้อมกระพือปีก
“เอ่อ….หลังจากที่ได้คุยกับแอนเดรีย ข้ารู้สึกว่านี่จะไม่ใช่คำชมนะ” โลก้าพูดงึมงำ
“จิ๊บ?”
“เปล่า ไม่มีอะไร” เธอเดินเข้าไปหาไลต์นิ่ง พร้อมกอดสาวน้อยเอาไว้แล้วยกตัวขึ้นมา
“เฮ้ย เฮ้ย…เจ้าจะทำอะไรเนี่ย ปล่อยข้านะ” ไลต์นิ่งพูดอย่างอายๆ ทันที “มีคนมองอยู่นะ!”
“ซิลเวียเล่าเรื่องที่เจ้าทำให้ข้าฟังหมดแล้ว”
“ข้า..”
“ดังนั้น พยายามต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ทำได้ใช่ไหมล่ะ” โลก้ากอดไลต์นิ่งเอาไว้ในอ้อมอก “นี่สิถึงจะเป็นหัวหน้าทีมที่ข้ารู้จัก”
ไลต์นิ่งหยุดดิ้น เธอรู้สึกเหมือนมีความอบอุ่นแผ่ขึ้นมาในใจ เธอนิ่งไปครู่ก่อนจะพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า “แต่ข้ายังเป็นไอขี้ขลาดอยู่นะ”
“เจ้ากล้าพูดคำนี้ต่อหน้าข้า ก็แสดงว่าเจ้าก้าวข้ามมันออกมาแล้ว” โลก้าปล่อยไลต์นิ่งลง “ตอนนี้เจ้าไม่คิดที่จะหนีไปคนเดียวแล้วใช่ไหมล่ะ?”
ไลต์นิ่งมองหมาป่าสาว จากนั้นจึงมองไปทางเมซี่ ก่อนจะพยักหน้าออกมาเบาๆ “อื้อ”
วินาทีที่เธอตอบรับออกไป เธอพลันรู้สึกเหมือนมีอะไรกดลงมาบนบ่าของเธอ
แต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกแย่แต่อย่างใด
ในทางกลับกัน เธอกลับรู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด
“จิ๊บ?” เมซี่เอียงหัวพูด “พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอจิ๊บ?”
“พวกเรากำลังคุยกันเรื่องเลี้ยงฉลองน่ะ” โลก้ายืดตัวขึ้นมา “ในเมื่อข้าปลอดภัยดี อย่างนั้นเราก็ต้องดื่มฉลองกันหน่อยไม่ใช่เหรอไง?”
“ฉลองจิ๊บ! ฉลองจิ๊บ!” เมซี่พูดสำทับขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“เฮ้ เดี๋ยวๆ..” ไลต์นิ่งพูดปัด “คืนนี้ข้าต้องไปลาดตระเวนนะ”
“ไม่เป็นไร เจ้าแค่เอาเครื่องดื่มของเจ้าออกมาก็พอ เดี๋ยวพวกเราจะดื่มแทนส่วนของเจ้าเอง” โลก้ายกหางขึ้นมา “นี่เป็นสิ่งหัวหน้าทีมควรทำให้ลูกทีมไม่ใช่เหรอไง?”
ตอนที่ 1099 ข้าชอบเจ้า แล้วก็ทุกคนด้วย
โดย
Ink Stone_Fantasy
วันถัดมาหลังพิธีศพ ข่าวๆ หนึ่งที่ส่งมาจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้ทำเอาทั้งทีมก่อสร้างพากันแตกตื่นขึ้นมา
ฝ่าบาททรงเตรียมงานพบญาติให้กับพวกเขา คนงานทุกคนที่ทำงานมาเป็นเวลาสามเดือนจะได้รับวันหยุดพิเศษหนึ่งวัน และในวันนั้นก็จะได้ใช้เวลาอันมีค่ากับญาติตัวเองที่เดินทางมาจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ณ สถานีปลายทางป่าเร้นลับ
คำสั่งที่มีเมตตาเช่นนี้ ทำเอาเหล่าคนงานรู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก ในตอนที่ทุกคนทราบข่าว เสียงตะโกนทรงพระเจริญก็ดังกึงก้องไปทั่วทุกที่ แม้แต่เรี่ยวแรงในการทำงานก็มีเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
เขี้ยวงูเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ความจริงในตอนที่หัวหน้ามาหาเขา เขามองดูรายชื่อผู้ติดต่อที่อยู่ในมือด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
ตรงท้ายช่องที่เป็นชื่อของเขา ชื่อของเปเปอร์ทำเอาหัวสมองเขากลายเป็นสีขาวโพลนจนหมด
“เฮ้ย สรุปเจ้าเห็นด้วยกับชื่อนี้ไหม?” เขี้ยวงูยังจำภาพหัวหน้าที่มาพูดเร่งเขาอย่างหงุดหงิดได้อย่างชัดเจน หรือพูดอีกอย่างก็คือทุกรายละเอียดตั้งแต่ที่ได้เห็นใบรายชื่อไปจนถึงตอนเซ็นชื่อล้วนแต่ถูกเขาถูกจำเอาไว้อย่างละเอียด ทุกครั้งที่นึกถึงมัน เขามักจะยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “บอกไว้ก่อนนะ ถ้าเจ้าไม่เห็นด้วย เจ้าก็เขียนชื่อใหม่ลงไปได้ ทางสำนักบริหารเขาก็จะไปสอบถามอีกที แต่ถ้าถูกปฏิเสธมา วันหยุดของเจ้าก็จะถูกยกเลิกนะ”
เพื่อจะหลักเลี่ยงเรื่องยุ่งยาก หัวหน้าคนงานก็ย่อมต้องอยากให้ทุกอย่างจัดการเรียบร้อยภายในครั้งเดียว แต่เขี้ยวงูรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองในเวลานี้
ทำไมเขาต้องไม่เห็นด้วยด้วยล่ะ ตอนนี้เขาแทบอยากจะกอดเจ้าหน้าที่ที่ทำรายชื่อนี้ขึ้นมาแล้วหอมแก้มแรงๆ ซักฟอดหนึ่ง
“ข้าเห็นด้วย เห็นด้วย 100% เลย!”
“อะไรเนี่ย ในเมื่อเห็นด้วยก็รีบๆ พูดออกมาสิ มัวยืนบื้ออยู่ทำไม” หัวหน้ากรอกตาใส่เขา กระทั่งเขี้ยวงูเซ็นชื่อเสร็จเรียบร้อย เขาจึงเดินไปหาคนต่อไป
ส่วนเขี้ยวงูนั้นยังยืนงงอยู่กับที่ สายตาเหม่อมองดูมือที่กำปากกา
กระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังมีความคิดที่ว่า ‘ถ้านี่เป็นความฝัน ก็ขอให้เขาอย่าได้ตื่นขึ้นมาเลย’
นี่ไม่เหมือนกับเวลาที่เขาเจอเปเปอร์อยู่ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ตอนนั้นเขาไม่กล้าที่จะเข้าไปทัก ด้วยเพราะกลัวว่าจะถูกเธอปฏิเสธกลับมา อีกฝ่ายเป็นสมาชิกของสโมสรแม่มด ยิ่งไปกว่านั้นทั้งการแต่งตัวและราศีก็ไม่ใช่เด็กสาวที่อ่อนแอในอดีตคนนั้นแล้ว ถ้าเปเปอร์ไม่อยากติดต่อกับโจรใต้ดินอีก การปรากฏตัวของเขามีแต่จะทำให้เธอลำบากใจเปล่าๆ
แต่การที่ชื่อของเปเปอร์ปรากฏอยู่บนรายชื่อนั้นแสดงให้เห็นว่าทางสำนักบริหารได้ไปสอบถามความเห็นของเธอมาแล้ว และเธอก็ตอบตกลงการเยี่ยมในครั้งนี้
สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดไม่เกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีโอกาสที่จะได้อยู่กับอีกฝ่ายตามลำพังด้วย สำหรับเขี้ยวงูแล้ว ไม่มีเรื่องไหนที่จะทำให้เขาสุขใจได้มากกว่านี้แล้ว!
ในวันเวลาหลังจากนั้น เขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยด้วยความร้อนใจและความตื่นเต้น
เนื่องจากคนที่มาเยี่ยมมีจำนวนเยอะมาก ส่วนความสามารถในการขนส่งของรถไฟนั้นมีจำกัด เมื่อเอาพวกสิ่งของที่ต้องขนออกไปแล้ว เที่ยวๆ หนึ่งก็ขนคนได้แค่ร้อยกว่าคนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะเป็นกลุ่มแรกที่อยู่ในรายชื่อ ก็ต้องรออีกหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นกว่าจะได้เจอหน้ากัน
“เจ้าหนู วันนี้ถึงตาเจ้าแล้วเหรอ?”
“แต่งตัวซะเรียบร้อยขนาดนี้ ไปเจอผู้หญิงใช่เปล่า?”
“อย่าเพลินจนลืมเวลาล่ะ!”
เขี้ยวงูวิ่งหน้าแดงออกมาจากประตูท่ามกลางเสียงแซวของเพื่อนคนงาน
กระทั่งขึ้นมาบนรถไฟ เขาถึงถอนหายใจยาวๆ ออก ไม่ว่ายังไง เขาก็จะได้เจอกับเปเปอร์ในอีกสองชั่วโมงหลังจากนี้
ภายในขบวนรถไฟมีเสียงประกาศเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องระวังในการเยี่ยม อย่างเช่นห้ามออกไปนอกเขตเฝ้าระวังของสถานีสุดท้ายของป่าเร้นลับ เวลาในการเยี่ยมจะหมดลงในเวลาสองทุ่ม ห้ามเลยเวลาที่กำหนด ทันทีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ให้ปฏิบัติตามคำสั่งของกองทัพที่หนึ่งทันที แต่ว่าเขี้ยวงูเคยฟังข้อบังคับเหล่านี้จากคนงานคนอื่นมาหลายครั้งจนจำขึ้นใจแล้ว
หลังเสียงหวูดดังขึ้น ในที่สุดรถไฟก็ค่อยๆ เคลื่อนเขาสู่สถานีสุดท้ายของป่าเร้นลับ
“ลงจากรถ ตั้งแถว อย่าเบียดกัน!” คนที่วิ่งไปวิ่งมาบนสถานีตะโกนเสียงดัง “นี่ไม่ใช่การซื้อกับข้าว ไม่ต้องห่วง ได้กันทุกคน!”
ในกลุ่มคนมีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาทันที
เขี้ยวงูรู้สึกหัวใจของตัวเองเต้นแรง
ยิ่งเขาพยายามควบคุม มันก็ยิ่งเต้นแรงกว่าเดิม
ภายในหัวเขาจินตนาการภาพตอนที่เขาเจอกับเปเปอร์เอาไว้นับไม่ถ้วน แถมเขายังเคยทำการซักซ้อมซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง แต่เมื่อเวลานี้มาถึงจริงๆ เขากลับรู้สึกปากคอแห้งผาก ทำอะไรเงอะๆ เงิ่นๆ เหมือนกับนกพิราบตัวหนึ่ง
แต่ในตอนที่สาวน้อยหน้าตาน่ารักปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา เขี้ยวงูพบว่าสิ่งที่เขาจินตนาการเอาไว้พลันหายไปจนะหมด เขาพูดอะไรไม่ออกนอกจากยิ้มแห้งๆ ออกไป
“ที่แท้เเจ้าอยู่ที่เขตเนเวอร์วินเทอร์เหรอเนี่ย ดีจังเลย!” เด็กสาวยิ้มพร้อมวิ่งเหยาะๆ เข้ามา ก่อนจะกุมมือของเขาเอาไว้ เธอไม่มีการลังเล แล้วก็ไม่มีทีท่ารังเกียจ ช่วงเวลาที่ห่างเหินกันไปสองปีละลายหายไปด้วยการยิ้มเพียงครั้งเดียว ทุกอย่างเหมือนกลายเป็นอดีต
วินาทีนั้นเอง เขี้ยวงูรู้สึกว่าการที่ตัวเองมาทำงานที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์นั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ
….
“อย่างนั้น เจ้ากลับตัวไปทำงานอยู่ที่เขตลองซองได้ไม่นาน ก็เดินทางมาที่นี่เหรอ?”
ทั้งสองคนค่อยๆ เดินคุยกันอยู่ในป่า ที่ตรงนี้ไม่เหมือนกับตรงสถานีที่มีเสียงหนวกหู ที่นี่เงียบสงบกว่ามาก บรรยากาศมีความเป็นส่วนตัว เธอที่ไม่ได้เจอเขามานานเหมือนมีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดออกมา เหมือนกับเธออยากจะเติมเต็มช่องว่างในช่วงนี้ที่ขาดหายไป ส่วนเขี้ยวงูนั้นก็ตอบทุกๆ คำถามที่เธอถามมา เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่เหมือนเป็นหัวหน้ากับลูกน้องแล้ว ตอนนี้ทั้งสองคนเหมือนกลายเป็นเพื่อนกันมากกว่า
“อื้อ พวกโจรใต้ดินถูกกำจัดจนหมด ตรงลานเมืองเองก็มีประกาศจ้างงานเยอะแยะมากมาย ถ้ายังใช้ชีวิตเหมือนเมื่อก่อนอีก ช้าเร็วคงต้องถูกจับเข้าคุกแน่” เขี้ยวงูพยักหน้า “ข้ากับไทเกอร์คลอว์ก็เลยตกลงมาจะมาทำงานที่เนเวอร์วินเทอร์ เพราะที่นี่ได้ค่าจ้างสูงกว่า แล้วก็…”
แล้วก็จะได้อยู่ใกล้ๆ เจ้าด้วย แต่ว่าคำพูดนี้เขาได้แค่คิดอยู่ในใจเท่านั้น
“มิน่าข้าถึงหาพวกเจ้าไม่เจอ ที่แท้พวกเจ้าไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว” เปเปอร์ทอดถอนใจออกมา
“เจ้ากลับไป…ที่ลองซองเหรอ?”
“วานคนอื่นไปน่ะ” เด็กหญิงค่อยๆ พูด “หลังรู้ว่าพวกโจรใต้ดินถูกขุดรากถอนโคน ข้าถึงรู้ว่าพวกเจ้าออกไปจากดินแดนตะวันตกแล้ว”
“อย่างนี้…นี่เอง”
“แต่ในเมื่อเจ้ามาที่เนเวอร์วินเทอร์แล้ว ทำไมถึงไม่มาหาข้าล่ะ?” เปเปอร์ถามกลับ
“เอ่อ เรื่องนี้…พูดไปแล้วเรื่องมันยาวน่ะ” เขี้ยวงูกระแอม “ตอนนี้ข้ากับไทเกอร์คลอว์ไม่มีอะไรเลย พวกข้าต้องทำงานกันทั้งวันทั้งคืนเพื่อที่จะได้มีที่ซุกหัวนอนเป็นหลักเป็นแหล่ง ก็เลยลืมไปน่ะ”
ข้ออ้างอันนี้แม้แต่เขายังรู้สึกว่าดูงี่เง่าเลย ลืมไปทีเดียวสองปี แล้วอย่างนี้มันจะต่างกับจำไม่ได้ตรงไหนล่ะ? เพียงแต่เขาไม่อาจพูดเรื่องขายหน้าอย่างเช่นว่าไม่กล้าที่จะเข้าไปทักหรือหลบหน้าเวลาเจออีกฝ่ายออกไปได้เด็ดขาด
โชคดีที่เปเปอร์ไม่ได้ซักไซ้อะไร “ข้าก็เหมือนกัน ตอนที่เพิ่งมาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์ใหม่ๆ ก็ยุ่งทั้งวันจนหัวหมุน ต้องช่วยคนงานทำให้ซีเมนต์มันแข็งตัวเร็วขึ้น เป็นผู้ช่วยให้ท่านอกาธา แล้วก็ต้องไปช่วยสร้างของประหลาดๆ ที่โรงงาน” เธอกางนิ้วมือออกมานับ “ฝ่าบาทตรัสว่าความสามารถของข้าสามารถเร่งความเร็วในการเกิดปฏิกิริยาและเพิ่มระดับพลังงานพันธะได้ ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าพระองค์ทรงรู้ได้ยังไง เพราะจากที่เขียนเอาไว้ในหนังสือ อนุภาคพวกนั้นมันเล็กกว่าเมล็ดงาเสียอีก เจ้านึกภาพออกไหม? ถ้ามองอะตอมเป็นโรงละครลองซอง นิวเคลียสของมันก็จะเล็กกว่าวอลนัทเสียอีก…”
หลังฟังสิ่งที่ตัวเองไม่มีทางเข้าใจจนจบ เขี้ยวงูก็ได้แต่พยักหน้าออกมา มีอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งที่เขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่าย แล้วก็ความแตกต่างของพวกเขาสองคน แต่ที่มากกว่านั้นคือสายตาของเขานั้นหยุดอยู่ที่รอยยิ้มของอีกฝ่าย สายตาที่ส่องประกายคู่นั้น ขนตาที่งอนขึ้นเล็กน้อย แล้วก็จมูกที่เรียวเล็ก ริมฝีปากที่ขยับขึ้นลง…ทุกอย่างช่างน่าหลงใหลเสียจริง
เขารู้สึกได้ถึงความปรารถนาภายในใจ
“เออใช่” หลังพูดถึงเรื่องตัวเองจบ เปเปอร์ก็เปลี่ยนประเด็น “หลังรู้ว่าเจ้าอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ ข้าก็วานให้อาจารย์บุ๊คช่วยหาข้อมูลให้หน่อย ข้าถึงได้รู้ว่าพวกซันฟลาวเวอร์ก็มาที่นี่ด้วยเหมือนกัน ดีจังเลย ต่อไปทุกคนก็จะได้มาเจอกันบ่อยๆ แล้ว…”
เขี้ยวงูไม่ได้ฟังคำพูดของอีกฝ่าย ภายในหัวของเขาเวลานี้ถูกความคิดหนึ่งครอบงำอยู่
ดังนั้นเขาจึงพูดมันออกไป
“ข้าชอบเจ้า เปเปอร์!”
หลังพูดออกไปแล้ว เขาถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
ความรู้สึกกังวลอย่างที่ยากจะบรรยายได้รัดร่างกายเขาเอาไว้ใน หัวใจเขาเหมือนจะกระเด็นหลุดออกมา
มีอยู่ชั่วแวบหนึ่งที่เขารู้สึกเสียใจที่ตัวเองทำอะไรวู่วาม
แต่เขากลับคาดไม่ถึงว่าเขาจะได้รับคำตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
เปเปอร์ยิ้มขึ้นมา “ข้าก็ชอบเจ้าเหมือนกัน แล้วก็ทุกคนด้วย”
ตอนที่ 1100 ชายามบ่ายในผืนป่า
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ตอนนั้น…นางพูดแบบนี้จริงๆ เหรอ?” หลังฟังลีฟเล่าจนจบ เวนดี้จึงหลุดหัวเราะออกมา “เจ้าเด็กที่ชื่อเขี้ยวงูนั่นล่ะ? ไม่ได้พูดอะไรต่อเหรอ?”
“เขาก็แค่ยิ้มแห้งๆ ให้นางเท่านั้น” ลีฟส่ายหัว “น่าจะเป็นเพราะใช้ความกล้าทั้งหมดในการพูดประโยคนั้นไปจนหมดแล้วล่ะมั้ง”
“ข้าก็ว่างั้นแหละ” เวนดี้ยิ้มกว้าง “คนหนุ่มสาวนี่…ดีจริงๆ เลยเนอะ”
“จะว่าไปแล้ว พวกเราทำแบบนี้จะดีจริงๆ เหรอ? มาแอบฟังพี่น้องคุยกันแบบนี้” ภาพมายาของลีฟลอยลงมาจากพุ่มไม้ ก่อนจะรวมตัวกลายเป็นร่างกายจริงๆ ของเธอ
“นี่ไม่ใช่การแอบฟัง หากแต่เป็นการทำตามคำสั่งของฝ่าบาท” เวนดี้พูดแย้ง “พระองค์ทรงสั่งให้ข้าคอยจับตาดูทั้งสองคนเอาไว้ ในเมื่อเป็นการจับตาดู อย่างนั้นการพูดคุยก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการจับตาดูไม่ใช่เหรอ?”
ถ้าพูดอย่างนี้ มันก็เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร
“ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าข้าไม่วานให้เจ้าช่วย เจ้าจะไม่แอบฟังพวกเขาคุยกันเหรอ?” แวนดี้ยิ้มๆ พร้อมมองไปทางลีฟ
“เอ่อ…” อีกฝ่ายกระแอมนิดหน่อย ก่อนจะยิ้มมุมปากขึ้นมา “ฟัง”
ทั้งสองคนสบตาพร้อมหัวเราะขึ้นมาทันที
ลีฟกวักมือ เถาวัลย์ขนาดใหญ่เลื้อยขึ้นมาจากใต้ดิน ก่อนจะค่อยๆ ดันเธอกับเวนดี้ขึ้นไปบนยอดไม้ จากนั้นกิ่งไม้อันหนาทึบพากันกระจายตัว ถักทอ แล้วรวมตัวกันใหม่กลายเป็นเหมือนระเบียงใบไม้อยู่ด้านล่างพวกเธอ
เมื่อมองออกไปจากมุมนี้ โลกทั้งใบเหมือนจะเปิดกว้างขึ้นมาทันที พุ่มไม้อันหนาทึบที่ทอดตัวไปทางเทือกเขาดรากอนส์แบ็คกลายเป็นเหมือนทะเลต้นไม้สีมรกต ส่วนอีกด้านหนึ่งคือทุ่งหญ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
สมัยที่ยังอยู่ในสมาคมแม่มด ลีฟก็เคยสร้างบ้านต้นไม้คล้ายๆ แบบนี้ขึ้นมาเป็นบางครั้งบางคราวเพื่อให้พี่น้องแม่มดได้ใช้เป็นที่หลบฝนกับดินที่เปียกชื้น เพียงแต่ในตอนนั้นเธอต้องใช้เวลาครึ่งค่อนวันกว่าจะสร้างบ้านต้นไม้ขึ้นมาได้ซักหลังหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อเป็นการประหยัดพลังเวทมนตร์ ส่วนไหนตัดได้ก็ตัด ส่วนใหญ่แล้วจะมีรูปร่างเป็นเหมือนรังไหม แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะมีที่ว่างพอสำหรับทุกๆ คน
แต่ตอนนี้ ระเบียงที่ลีฟสร้างขึ้นมาไม่เพียงแต่จะมีความสวยงาม ทว่าแม้แต่เก้าอี้นอนกับโต๊ะน้ำชาเธอก็สร้างออกมาด้วย บนโต๊ะน้ำชามีถ้วยชาอยู่สองใบ ด้านในมีชาดอกไม้สีทองทองที่เปล่งประกายระยิบระดับท่ามกลางแสงแดดที่ส่องลงมา
“นี่เจ้าเป็นคนทำเองเหรอ?” เวนดี้ยกถ้วยชาขึ้นมาดม กลิ่นหอมเบาสบายลอยเข้าไปในจมูกของเธอ
“อื้อ ใช้น้ำค้างตอนเช้า น้ำผึ้งกับเหล้าอ้อย แล้วก็ดอกมะลิที่บานแล้วนิดหนึ่งลงไปด้วย” ลีฟพยักหน้า “ถึงแม้จะสู้เครื่องดื่มยุ่งเหยิงไม่ได้ แต่มันก็มีให้ดื่มได้ไม่จำกัด”
“พลังของเจ้านี่นับวันจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ” เวนดี้พูดชมออกมา “ถึงแม้คนอื่นๆ จะบอกว่าฝ่าบาทอันนานั้นเป็นอัจฉริยะในรอบร้อยปี แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพระองค์เท่าไร ขอเพียงมีเวลามากพอ…เจ้าอาจจะควบคุมผืนป่าทั้งหมดบนโลกนี้ แล้วก็แผ่จิตสำนึกไปทั่วทั้งทวีปได้ก็ได้”
“จากความเร็วที่ข้าทำได้ในตอนนี้ ข้าไม่มีทางทำได้หรอก” ลีฟโบกมือยิ้มๆ “แค่รวมเข้ากับป่าเร้นลับแห่งนี้ก็ยังต้องใช้เวลาเกือบสิบปีเลย กว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ ข้าคงจะแก่ไปแล้ว”
“นั่นมันก็ไม่แน่” เวนดี้จิบชา “อกาธาเคยบอกว่า แม่มดกับพลังเวทมนตร์จะส่งผลซึ่งกันและกัน ยิ่งเป็นแม่มดที่แข็งแกร่ง ก็มักจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งและอายุที่ยืนยาว ถ้าไม่เป็นเพราะสงครามที่โหดร้ายนั้น บางทีแม่มดสุดยอดอมนุษย์เหล่านั้นอาจจะยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ก็ได้” เธอมองไปบนฟ้า “ซึ่งพลังเวทมนตร์ของเจ้านั้นเหนือกว่าพวกนาง นั่นก็หมายความว่าเจ้าอาจจะเป็นคนที่มีอายุยืนที่สุดในบรรดาพวกเราก็ได้”
ลีฟไม่ได้ตอบ สีหน้าเธอดูโดดเดี่ยว เพียงแต่เวนดี้ไม่ทันสังเกตเห็น
“เออ แล้วก็ไม่ใช่แค่สองข้อนี้เท่านั้นนะ แม้แต่หน้าตาก็มีความเกี่ยวข้องกับระดับของพลังเวทมนตร์ได้” เธอชะงักไปเล็กน้อย “อควาเรียสราชินีสตาร์ฟอลในตำนานนั้นหน้าตางดงามเป็นอย่างมาก ในเรื่องพวกพาซาร์เคยยอมรับออกมาเอง” เวนดี้ดึงสายตากลับมามองดูอีกฝ่าย “อื้อ….ข้ารู้สึกว่าเจ้าเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนจริงๆ นั่นแหละ…จะพูดยังไงดีนะ นับตั้งแต่ตอนที่เจ้าลอยลงมาจากบนต้นไม้ ข้าก็รู้สึกว่าเจ้าเป็นเหมือนเทพธิดาแห่งผืนป่าอย่างไรอย่างนั้น ช่างน่าอิจฉาจริงๆ”
ลีฟกรอกตาใส่เธออย่างเหนื่อยใจ “นี่ดูไม่เหมือนคำพูดที่เวนดี้ที่เป็นคนอ่อนโยนและห่วงใยพี่น้องจะพูดได้เลย”
“ใครจะไปรู้ล่ะ น่าจะเป็นเพราะเมื่อก่อนข้าไม่ได้คอยคิดถึงปัญหาเรื่องนี้ล่ะมั้ง?” เวนดี้พูดยิ้มๆ “นอกจากเรื่องเอาชีวิตรอดแล้ว เรื่องที่ว่าพลังเวทมนตร์จะทำอะไรได้ อนาคตเราจะกลายเป็นยังไง จะสวยหรือไม่สวย ข้าไม่เคยสนใจมันเลย”
“ก็จริง” ลีฟมุ่ยปาก “ตอนนี้เริ่มมานั่งคิดเรื่องที่พลังเวทมนตร์มีผลต่อหน้าตา หรือว่า…ในใจเจ้ามีคนที่ชอบแล้ว?”
“นี่มันคนละเรื่องกัน ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเองก็ไม่ได้เด็กไปกว่าข้าเท่าไรด้วย ไม่กลัวข้าจะแซงหน้าเจ้าไปไกลเหรอ?”
“ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องอายุหรอก ตอนนี้ข้ามีผืนป่าแห่งนี้อยู่ แล้วข้ายังจะต้องการอะไรอีกล่ะ? แต่ถึงแม้เจ้าจะไม่พูด ข้าก็ยังมีวิธีอยู่ อย่าลืมสิว่าข้าเป็นคนส่งพวกนกส่งจดหมายนั่นให้ฮันนี่นะ”
“แต่เสียดาย ในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบสโมสรแม่มด รายงานข่าวทั้งหมดของทางต้องผ่านตาข้าก่อน”
ทั้งสองคนหัวเราะขึ้นมาพร้อมกับดื่มด่ำช่วงเวลาแห่งความสุขในยามบ่าย
กระทั่งพระอาทิตย์เริ่มคล้อยไปทางตะวันตก ลีฟจึงหันมาพูดว่า “อย่างนั้น เดี๋ยวเจ้าจะกลับแล้วใช่ไหม?”
“อื้อ” เวนดี้ลุกขึ้นมา “ข้าต้องพาฝ่าบาทอันนาและคนอื่นๆ กลับไป ซีกัลป์ไม่สามารถบินตอนกลางคืนได้ ก็เลยต้องออกเดินทางก่อนสี่โมง”
“ดูเหมือนเปเปอร์คงจะไม่สามารถฉลองงานเลี้ยงรอบกองไฟกับเพื่อนของนางได้แล้วล่ะ”
เปเปอร์โดยสารซีกัลตรงมายังแนวหน้า ซึ่งแตกต่างชาวบ้านคนอื่นๆ ที่นั่งรถไฟมา ดังนั้นจึงไม่อาจเลื่อนเวลากลับเพื่อเธอคนเดียวได้ แล้วก็ไม่สามารถปล่อยเธอทิ้งเอาไว้ที่นี่คนเดียวได้เหมือนกัน
“นี่มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะเนอะ” เวนดี้ผายมือ “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย หรือความสำคัญต่อเมืองเนเวอร์วินเทอร์ เราก็ไม่อาจปล่อยให้นางมาเสียเวลาอยู่ตรงนี้นานเกินไปได้”
“ข้าช่วยเจ้าเรียกนางแล้วกัน” ลีฟแปลงเป็นร่างวิญญาณอีกครั้ง
“ฝากเจ้าด้วยนะ”
ลีฟผลุบหายเข้าไปในต้นไม้ หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเวนดี้อีกครั้ง
“เรียบร้อย เดี๋ยวนางจะไปเจอพวกเจ้าที่ลานจอด ตอนนี้น่าจะกำลังบอกลาเพื่อนของนางอยู่มั้ง เดี๋ยวข้าไปส่งเจ้าแล้วกัน”
เวนดี้พยักหน้า ก่อนจะหมุนตัวเพื่อรอให้ระเบียงใบ้ไม้เลื่อนลงไปด้านล่าง
“เรื่องนั้น…”
จู่ๆ ลีฟพลันพูดขึ้นมาเบาๆ
“ทำไมเหรอ?”
“เปล่า” เธอลังเลเล็กน้อย “ไม่มีอะไร…”
เวนดี้ถอนหายใจ ก่อนจะหันหน้ากลับมาพร้อมพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “มีอะไรก็อย่าเก็บเอาไว้ในใจ ข้าพร้อมจะรับฟังเจ้าเสมอ”
“ข้าแค่รู้สึก…”
“รู้สึกอะไร?”
“รู้สึก…” ลีฟกำหมัดแน่น ในขณะที่กำลังจะอ้าหาก จู่ๆ เธอพลันยืนนิ่งไปกับที่ สายตาเธอมองผ่านศีรษะของเวนดี้ไปทางด้านเหนือของป่า
เมื่อมองเห็นความตกตะลึงและความประหลาดใจอยู่ในสายตาของเธอ เวนดี้จึงหันมองตามสายตาเธอไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว
ควันไฟสีดำลอยขโมงขึ้นมาจากต้นไม้ที่หนาทึบ คล้ายกับฉากผ้าที่ค่อยๆ กางออก
นั่นมัน…ไฟไหม้เหรอ?
ตอนที่ 1101 ผู้ควบคุมป่า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนนี้เป็นช่วงรอยต่อระหว่างฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน เป็นช่วงที่ดินยังมีความเปียกชื้นอยู่ จู่ๆ มันจะมีไฟไหม้ขึ้นมาในป่าได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นเหมือนจะไม่ได้ไหม้อยู่แค่ที่เดียวด้วย
“ลีฟ?” เวนดี้ตะโกน
“ข้าไม่รู้” ลีฟเหมือนจะได้สติกลับมาทันที “ตรงนั้นอยู่นอกขอบเขตการควบคุมของข้า ข้าไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงนั้นได้”
“ถ้ามีไฟไหม้ขึ้นมาจริงๆ เราก็ต้องรีบหยุดไม่ให้มันลามเข้ามา!”
“ข้า…ข้าเข้าใจแล้ว” สีหน้าของลีฟดูแปลกไป เหมือนเธอกำลังกังวลอะไรบางอย่างอยู่ในใจ เธอกัดริมฝีปากแล้วพยักหน้าตอบไปว่า “ไม่ว่ายังไง เจ้าก็ไปรวมกับคนอื่นๆ ก่อนเถอะ เดี๋ยวพอใช้แผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว ภายในใจคงจะวุ่นวายแน่ๆ พอถึงตอนนั้นเดี๋ยวจะออกไปจากที่นี่ได้ลำบาก”
ตรงสถานีปลายทางในตอนนี้ไม่ได้มีแค่คนงานที่หยุดพักผ่อนอยู่เท่านั้น แต่ยังมีญาติพี่น้องของพวกเขาที่ไม่เคยอยู่ในสนามรบมาก่อนด้วย ถ้าอยากจะให้พวกเขาอพยพอย่างเป็นระเบียบนั้นเกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องงาน เวนดี้เข้าใจถึงจุดนี้ทันที
“เจ้า…จัดการคนเดียวได้ใช่ไหม?”
“วางใจได้ ข้ารู้ดีว่าต้องทำยังไง” ลีฟสั่งให้ระเบียงใบไม้เลื่อนลงมา สุดท้ายเธอสบตากับเวนดี้ ก่อนจะหายตัวเข้าไปในป่าทึบ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงสัญญาณเตือนที่แสบแก้วหูก็ดังไปทั่วทั้งป่าเร้นลับ
….
“รับทราบ อืม ข้าทราบแล้ว” ในหน่วยบัญชาการเสนาธิการทหารใหญ่ของสถานีหมายเลขสอง เฟร์ราน ชิลต์วางโทรศัพท์ จากนั้นจึงหันไปรายงานกับเอดิธส์ “หัวหน้า ทางตะวันตกเกิดอุบัติเหตุขึ้น…”
“เจ้าว่าอะไรนะ? ทางด้านเหนือของป่าเหมือนจะมีไฟไหม?” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือขมวดคิ้ว “คุณหนูลีฟเป็นคนเจอเหรอ?”
“ใช่ ทางนั้นเริ่มทำการอพยพฉุกเฉินแล้ว กองทัพที่หนึ่งที่ประจำการอยู่ที่นั่นเองก็เข้าสู่การเฝ้าระวังระดับสอง”
“แจ้งท่านผบ. แล้วก็เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง” เธอสั่งการอย่างเด็ดขาด “บอกว่าหน่วยบัญชาการเสนาธิการทหารใหญ่เรียกประชุมก่อนเริ่มสงคราม”
“ประชุมก่อนเริ่มสงคราม…” เฟร์รานพูดทวน “หรือท่านคิดว่านี่…”
“ถูกต้อง” เอดิธส์พูดเสียงเข้ม “ข้าสงสัยว่าไฟไหมครั้งนี้จะเป็นแผนใหม่ของพวกปีศาจ”
ไม่ถึง 15 นาที ผู้บัญชาการของกองทัพที่หนึ่งกับตัวแทนสโมสรแม่มดก็มารวมตัวกันอยู่ในห้องประชุม
หลังไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนืออธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ให้ทุกคนฟัง เธอก็แจ้งข่าวที่ได้รับมาล่าสุด “ทหารตรงสถานีปลายทางของป่ายืนยันแล้วว่ามีไฟไหม้ แถมยังลามเข้ามาทางสถานีปลายทางอย่างรวดเร็วเนื่องจากมีลมแรงด้วย”
“แค่ไฟไหม้ป่าเหรอ ไม่มีร่องรอยของปีศาจใช่ไหม?” ขวานเหล็กถามเสียงคร่ำเคร่ง
“ตอนนี้ยังไม่ได้รับรายงาน” เฟร์รานส่ายหัว “หมอกควันมันบดบังทัศนวิสัยเอาไว้ ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ตรงนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
“คุณหนูซิลเวีย เจ้ามองเห็นอะไรบ้างไหม?”
“ป่าเร้นลับอยู่ห่างจากที่นี่ค่อนข้างไกล” ซิลเวียตอบ “นอกเสียจาก..ข้าต้องไปดูตรงนั้นเอง”
“บ้าเอ้ย…ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วย” ขวานเหล็กมองดูแผนที่ “ตอนนี้ราชินีอยู่ไหน?”
ตามแผนการเดิม อันนากับเหล่าแม่มดจะไปเจอกับพวกทิลลีที่ลานขึ้นบินตรงสถานีปลายทางของป่า จากนั้นก็จะนั่งซีกัลกลับไปยังเนเวอร์วินเทอร์
“น่าจะกำลังนั่งแบล็คริเวอร์หมายเลขหนึ่งกลับมาที่นี่ หลังได้รับแจ้งเรื่องไฟไหม้ คุณหนูเคนท์ก็ให้ข้าใช้รูนสดับแจ้งให้พวกพระองค์เปลี่ยนเส้นทางการเดินทางทันที”
“ทำดีมาก” ขวานเหล็กโล่งใจเล็กน้อย “อย่างนั้นคนที่ยังอยู๋ตรงนั้นก็มีแต่พวกองค์หญิงทิลลีใช่ไหม?”
หลังได้รับคำตอบยืนยัน เขาก็สั่งการเฟร์รานว่า “ให้พวกพระองค์ขึ้นบินได้เลย ไม่ต้องรออีก”
“รับทราบ!”
หลังจัดการเรื่องอพยพเสร็จ ขวานเหล็กก็มองมาทางทีมที่ปรึกษา “ตอนนี้พวกเจ้ามีความเห็นยังไงบ้าง”
….
ลีฟยืนอยู่บนยอดไม้ต้นใหญ่ สายตามองออกไปยังกลุ่มควันไฟที่พวยพุ่งขึ้นมา
ในเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงกว่า เปลวไฟก็ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ควันไฟที่ลอยอยู่เต็มฟ้าไม่เพียงแต่ถ้าพุ่งเข้ามาหาเธอ แต่เธอเหมือนจะมองเห็นเปลวไฟสีแดงอยู่ด้านล่างควันไฟด้วย
เธอเหมือนจะได้ยินเสียงร่ำไห้ของต้นไม้ที่ถูกไฟแผดเผา ถึงแม้ที่นั่นจะไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเธอ แต่หัวใจแห่งป่าก็ยังสั่นไหวเล็กน้อย
เพราะว่านั่นคือเสียงที่สะท้อนออกมาจากในใจของเธอ
ตอนที่อยู่ต่อหน้าเวนดี้ คำที่เธอไม่ได้พูดออกมาคือคำว่า…กลัว
หลังกลืนกินและหลอมรวมกับป่ามาเป็นเวลาปีกว่า ลีฟก็ค่อยๆ สัมผัสได้ถึงแก่นแท้ของพลังของเธอ
ในอีกแง่หนึ่งแล้ว จริงอยู่ที่มันทำให้ตัวเองเหมือนจะกลายเป็นอมตะ พืชทุกอย่างที่ถูกดึงมาอยู่ในหัวใจแห่งป่าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเธอ พูดอีกอย่างคือขอเพียงอาณาเขตที่หลอมรวมเข้ากับป่ายิ่งกว้าง มันก็ยิ่งเป็นไปได้ยากที่เธอจะถูกกำจัด
เพราะการจะทำลายพื้นหญ้าซักส่วนหนึ่งนั้นง่าย แต่ถ้ามันเป็นไปได้ยากที่จะขุดป่าทั้งผืนหรือไม่ก็ทุ่งหญ้าทั้งหมดให้ราบได้
ส่วนการที่จะที่ให้โลกทั้งใบนั้นไม่มีต้นหญ้าเหลืออยู่เลยซักต้น มันก็แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ฝ่าบาทเคยตรัสว่าพื้นนั้นเป็นพื้นฐานของการคงอยู่ของโลกนี้ ต่อให้โลกทั้งใบพังพินาศ ขุดดินลงไปสามฟุตแล้วพลิกขึ้นมา แต่สิ่งที่จะปรากฏขึ้นมาบนผิวดินเป็นอันดับแรกก็ยังคงเป็นหญ้าต้นเล็กๆ เหล่านี้อยู่
แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่า เมื่อถึงตอนนั้นเธอก็จะไม่ใช่ตัวเธอเหมือนอย่างในตอนนี้อีก
สายน้ำที่ไหลอยู่ใต้ดิน แมลงที่ชอนไชอยู่ใต้ดิน รังผึ้งที่อยู่บนยอดไม้ นกที่ส่งเสียงร้องอยู่บนกิ่งไม้…ข้อมูลจำนวนมหาศาลเหล่านี้หลังไหลมาจากทั่วทุกมุมของผืนป่าอย่างต่อเนื่อง แถมยังถูกฝังอยู่ในความทรงจำของเธอด้วย ถ้าจู่ๆ เธอไปรับข้อมูลเข้ามาทั้งหมดพร้อมๆ กัน มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะเสียสติ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ลีฟต้องชะลอความเร็วในการหลอมรวมเข้ากับป่าไว้
แต่เธอก็พบว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะจดจำข้อมูลจำนวนมหาศาลขนาดนี้ด้วยตัวคนเดียว
เหตุผลที่ทำให้จนถึงตอนนี้เธอยังไม่กลายเป็นคนบ้านั้นเป็นเพราะว่าหัวใจแห่งป่าทำการตัดสินใจแทนเธออยู่ รากและเถาวัลย์จำนวนนับไม่ถ้วนสอดประสานกันกลายเป็นร่าจิตสำนึกขนาดใหญ่ พลังเวทมนตร์และความทรงจำรวมกันเป็นหนึ่งหลั่งไหลไปในป่า
นี่ก็หมายความว่าทันทีที่ป่าที่เธอหลอมรวมอยู่ถูกทำลาย เธอก็จะสูญเสียความทรงจำส่วนหนึ่งไป ต่อให้ส่วนที่เสียหายสามารถแตกหน่อขึ้นมาใหม่ แต่ความทรงจำที่เสียไปแล้วก็ไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้อีก
มันอาจจะเป็นการรู้จักกันของเธอกับแวนดี้และบุ๊ค เป็นประสบการณ์ในการหนีเอาชีวิตรอดอย่างยากลำบากของเธอกับไนติงเกล ลูน่าและลิลลี่ หรืออาจจะเป็นภาพอันอบอุ่นที่เธอได้เจอกับฝ่าบาทโรแลนด์ แล้วก็อาจจะเป็นวันเวลาที่เธอได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์….หรือแม้แต่ความดื้อดึงและลำเอียงของฮาคาลา การไล่ล่าและสังหารของศาสนจักรเธอก็ล้วนแต่ไม่อยากลืมมัน
เพราะว่านี่เป็นประสบการณ์ของเธอ แล้วก็เครื่องยืนยันถึงการมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ของเธอ
เธอกลับว่าจะสูญเสียพวกมันไป
เมื่อคิดถึงว่าไฟอาจจะลามเข้ามาในป่าเร้นลับที่เธอควบคุมอยู่ ภายในใจของลีฟก็มีความเจ็บปวดที่ยากจะบรรยายได้ปรากฏขึ้นมา
แต่เธอไม่อาจถอยได้อีก
เพราะว่าทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอาชนะปีศาจและเอาชนะสงครามแห่งโชคชะตา
เธอไม่สามารถทิ้งเหล่าพี่น้องแม่มดเพื่อตัวเธอเพียงคนเดียวได้ เหล่าพี่น้องเองก็เสียสละมามาก เธอไม่สามารถทำให้ทุกคนผิดหวังได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ลีฟจึงสูดหายใจพร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา ก่อนจะแหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้าสีเหลืองส้ม
พริบตานั้นเอง ลำแสงสีเขียวอันเจิดจ้าพลันสว่างวาบออกมาจากตรงหน้าอกของเธอ
“โปรดฟังเสียงเรียกของข้าและขยับขึ้นมา!”
พริบตานั้นเอง ป่าทั้งผืนกลายเป็นเหมือนคนยักษ์ที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล
ต้นไม้จำนวนนับไม่ถ้วนโค้งงอไปด้านหลังจนล้มหมอบไปกับพื้น แม้แต่ต้นหญ้าและดินก็ม้วนงอขึ้นมาเหมือนพรม ภาพที่เกิดขึ้นนี้ยากที่จะใช้คำพูดมาบรรยายได้!”
ท่ามกลางการสั่นสะเทือนที่รุนแรงนี้ ป่าเร้นลับเหมือนจะแยกออกไปสองส่วน ต้นไม้ที่ถูกควบคุมด้วยพลังหัวใจแห่งป่าค่อยๆ แยกออกจากป่าตรงด้านทิศเหนือจนเกิดเป็นระยะห่างหลายร้อยเมตร
ตอนที่ 1102 คมดาบของปีศาจ (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“จากรายงานที่มีอยู่ทั้งหมดตอนนี้ ทีมที่ปรึกษาได้ข้อสรุปคร่าวๆ ออกมาดังนี้…” เอดิธส์เคาะโต๊ะพร้อมพูดออกมา “การจุดไฟครั้งนี้อาจจะเป็นแผนเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อโจมตีอีกด้านหนึ่ง”
“เบี่ยงเบนความสนใจ?” ขวานเหล็กพูดเสียงเข้ม “เจ้าจะบอกว่าเป้าหมายของพวกศัตรูไม่ใช่เพื่อตัดเส้นทางขนส่งของกองทัพเหรอ?”
“ปีศาจอยากทำ แต่พวกมันทำไม่ได้” เอดิธส์ชี้ไปบนแผนที่ “ระยะทางจากซากเมืองทาคิลามายังทิศเหนือของสถานีปลายทางในป่านั้นไกลมากกว่า 500 กิโลเมตร ซึ่งไกลกว่ารางรถไฟบนที่ราบมาก อย่างนั้นพวกมันต้องขนเอาหมอกแดงมาเท่าไรถึงจะเดินทางมาถึงจุดวางเพลิงพร้อมซุ่มโจมตีได้? ข้าคิดว่าแม่มดของทาคิลาก็คงจะรู้ดีเช่นเดียวกัน”
“ถ้าไม่สร้าง ‘เรดไลน์’ สำหรับจ่ายหมอกแดง แล้วก็ไม่มีหอสังเกตการณ์ล่ะก็ กองทัพของพวกมันไม่มีทางจะเดินทางมาได้ไกลขนาดนี้แน่” ฟิลลิสซึ่งเป็นตัวแทนของทาคิลาชะงักไปเล็กน้อย “จากประสบการณ์ที่ผ่านมาก ขีดจำกัดของพวกปีศาจอยู่ที่ประมาณ 500 ตัว”
“ส่วนสถานีปลายทางในป่าก็เป็นแนวป้องกันที่มีความเพียบพร้อม จะเรียกว่าเป็นป้อมปราการขนาดย่อมก็ยังได้” เอดิธส์พูดต่อว่า “ฝ่าบาททรงเคยวางแผนเอาไว้นานแล้ว ทันทีที่ศัตรูจุดไฟเผาป่า คุณหนูลีฟก็จะสร้างแนวสกัดไฟขึ้นมาและทำให้ไฟมันหยุดอยู่ที่ด้านนอกสถานี ซึ่งแนวสกัดไฟนี้จะกลายเป็นสนามยิงปืนตามธรรมชาติให้กับเรา ไม่มีอะไรบดบัง ไม่มีอะไรมาเป็นที่กำบัง ถ้าปีศาจมันบุกเข้ามาก็ไม่ต่างอะไรกับการเข้ามาหาที่ตาย”
“แต่สมมติว่าพวกมันมีวิธีในการทำลายเส้นทางขนส่งของเราและยกทัพบุกเข้ามาในป่าเร้นลับได้จริงๆ อย่างนั้นการจุดไฟมันจะกลับกลายเป็นกลายเป็นการเปิดเผยความเคลื่อนไหวของพวกมันเอง” เฟร์รานพูดเสริมขึ้นมา “ถ้าพวกมันรอบุกโจมตีในเวลากลางคืน บางทีอาจจะได้ผลที่ดีกว่า เพราะว่าป่าจะกลายเป็นเหมือนที่กำบังให้กับพวกมัน ก่อนที่พวกมันจะบุกเข้ามาถึงอาณาเขตที่ท่านลีฟควบคุมอยู่ เราจะสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของพวกมันได้ค่อนข้างยากลำบาก”
“มีเหตุผล…” ขวานเหล็กพยักหน้า “แต่ว่าทั้งซิลเวีย ไลต์นิ่งกับเมซี่ต่างก็ไม่พบร่องรอยของปีศาจตรงแนวหน้าเลย ถ้าตอนนี้พวกมันเพิ่งคิดจะบุกโจมตีสถานีหมายเลขหนึ่งอีกครั้ง เกรงว่าคงจะสายไปเสียแล้ว”
“นี่เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พวกเรายังไม่เข้าใจ บางทีศัตรูอาจจะมีวิธีในการสอดแนมแบบใหม่ หรือไม่ก็มีอาวุธใหม่ที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน” เอดิธส์พูดอย่างเปิดเผย “แต่แผนเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อโจมตีอีกฝั่งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นสถานีหมายเลขหนึ่งเสมอไป”
“เจ้าหมายถึง…สถานีหมายเลขศูนย์?”
“การสอดแนมของพวกเราในตอนนี้เน้นหนักไปที่แนวหน้าที่กำลังวางรางรถไฟอยู่ ดังนั้นพวกเราจึงไม่อาจตัดความเป็นไปได้นี้ทิ้งไปได้”
“แต่ระยะทางยิ่งไกล จำนวนปีศาจที่บุกเข้ามาก็จะมีจำกัด” ขวานเหล็กพูดเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“ถูกต้อง” เอดิธส์พูดอย่างมั่นใจ
“ข้าเข้าใจแล้ว” ผู้บังคับบัญชานิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะสั่งการออกไป “หลังจากที่ฝ่าบาทอันนาเสด็จกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ก็ให้แบล็คริเวอร์หมายเลขหนึ่งไปประจำอยู่ที่สถานีหมายเลขศูนย์ ส่วนแบล็คริเวอร์หมายเลขสองให้วิ่งลาดตระเวนไปมาระหว่างสถานีหมายเลขศูนย์กับหมายเลขหนึ่ง หน่วยที่เหลือเพิ่มการเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นอีกระดับจนกว่าสัญญาณเตือนจะถูกยกเลิก นอกจากนี้ถึงแม้โอกาสที่ปีศาจจะบุกมาจากทางด้านเหนือของป่าจะมีไม่สูงนัก แต่ไฟที่ไหม้อยู่ก็ควรรีบดับมันจะดีกว่า” เขาหันหน้าไปทางอกาธา “เรื่องนี้รบกวนพวกเจ้าได้หรือเปล่า”
“วางใจได้ พวกข้าจะพยายามเต็มที่” แม่มดน้ำแข็งตอบ
“ดีมาก แนวหน้าให้คงการตรวจตราเอาไว้เหมือนเดิม หลักๆ ให้เน้นไปทางทาคิลา คุณหนูซิลเวีย…”
“ข้าจัดการเอง” ซิลเวียพยักหน้า
ขวานเหล็กปรบมือ “เมื่อดูจากความเร็วในการลามเข้ามาของไฟแล้ว คาดว่าน่าลามมาถึงสถานีปลายทางในป่าตอนช่วงหัวค่ำ ถ้าปีศาจมันไม่รู้ว่าคุณหนูลีฟสามารถสร้างแนวสกัดทะเลเพลิงได้ด้วยตัวคนเดียว อย่างนั้นมันก็น่าจะเผยเขี้ยวเล็บออกมาตอนที่ตะวันตกดินไปแล้ว ตอนนี้พวกเรายังมีเวลาอีกประมาณชั่วโมงหนึ่ง ทุกคนไปเตรียมตัวได้!”
…..
ซิลเวียยืนอยู่บนยอดหอสังเกตการณ์ภายในค่าย เธอรู้สึกได้ถึงความเย็นอันแผ่นเบาจากสายลมที่พัดโชยเข้ามา
พระอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยไปทางตะวันตก ท้องฟ้าเกือบครึ่งกลายเป็นสีแดง ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่เหมือนถูกย้อมไว้ด้วยสีสามสี ส่วนที่ไกลที่สุดกลายเป็นสีทอง ส่องประกายรับกับพระอาทิตย์ ส่วนที่ใกล้เข้ามาหน่อยกลายเป็นเหมือนทะเลดอกไม้สีม่วง ส่วนพื้นหญ้าที่อยู่ใต้เถ้าถูกเงามืดบดบังกลายเป็นสีน้ำเงินดำ ซึ่งนี่ก็เป็นสีที่บ่งบอกว่าเวลากลางคืนคืบใกล้เข้ามาแล้ว
ภาพอันงดงามเช่นนี้คงจะพบเห็นได้แค่ใน ‘แผ่นดินรกร้าง’ ที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเท่านั้น
แต่มันก็เป็นการนับถอยหลังก่อนจะเข้าสู่สงครามเช่นเดียวกัน
ทุกวินาทีที่พระอาทิตย์คล้อยตกไป นั่นหมายถึงพวกศัตรูกำลังคืบใกล้เข้ามา
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ทิวทัศน์ทางธรรมชาติที่งดงามพลันดูหม่นหมองลงไปทันที สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟัน
ซิลเวียหันหน้าไปมองทางตะวันตกเฉียงใต้ ถึงแม้ป่าเร้นลับจะไม่ได้อยู่ในขอบเขตการตรวจตราของดวงตาแห่งเวทมนตร์ แต่เธอก็ยังคอยแอบเหลือบมองดูบ้างเป็นบางครั้ง ส่วนเหตุผลที่ทำเช่นนั้นเธอเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เธอเพียงแต่รู้สึกแอบกังวลอยู่ในใจลึกๆ
เมื่อลองนึกย้อนดู ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ของทีมที่ปรึกษาหรือว่าคำสั่งของขวานเหล็กก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรข้อบกพร่องอะไรเลย ปีศาจที่ไม่มีท่อส่งหมอกแดงจะยิ่งอ่อนแอเมื่อระยะทางยิ่งไกล ถ้าพวกมันบุกเข้ามาโจมตีสถานีปลายทางในป่ากับสถานีหมายเลขศูนย์จริงๆ ทหารที่ประจำการอยู่ก็จะสามารถยื้อสถานการณ์เอาไว้จนกระทั่งกองหนุนมาช่วยเหลือได้ ดังนั้นจุดที่ศัตรูจะทุ่มกำลังบุกมาโจมตีได้มากที่สุดก็ยังคงเป็นด้านหน้าของรางรถไฟ
แต่ทำไม…ภายในใจเธอยังคงรู้สึกกังวล?
ซิลเวียส่ายหัวเพื่อสลัดความคิดฟุ้งซ่านภายในหัวออกไป ในขณะที่เธอกำลังกวาดตามองดูแนวรบด้านหน้าอีกครั้ง หางตาของเธอพลันมีแสงไฟปรากฎขึ้นมา
แสง?
เป็นไปได้ยังไง…?
เธอลืมตาโตอย่างแปลกใจพร้อมกับหันหน้ามองไปทางแสงไฟ มันเป็นสีแดงเหมือนกับเปลวเพลิงที่ลุกโชนและกำลังพุ่งไปทางด้านทิศใต้อย่างรวดเร็ว
แปลก ตาลายเหรอ?
ดวงตาแห่งเวทมนตร์ไม่น่าจะมองเห็นได้ไกลขนาดนั้นนี่นา
ถูกต้อง เธอมองไม่เห็น ภาพสีดำขนาดใหญ่ที่อยู่ในทัศนวิสัยของเธอยืนยันในจุดนี้ หลังเลยขอบเขตการสำรวจออกไปแล้ว ดวงตาเวทมนตร์จะสูญเสียความสามารถในการมองทะลุไป และมุมมองจะกลับมาเป็นเหมือนปกติ ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีแสงหรือมีแสงน้อย เธอจะไม่สามารถแยกแยะจุดเชื่อมของพื้นดินกับผืนป่าได้อย่างชัดเจน ส่วนใหญ่มันจะกลายเป็นสีดำทั้งหมด และก็ด้วยเหตุนี้ แสงไฟที่ว่าจึงดูสะดุดตาอย่างมาก
ในเมื่อเธอไม่ได้ตาฝาด อย่างนั้นสิ่งที่เธอเห็นมันคืออะไร…
ทันใดนั้นซิลเวียรู้สึกได้ถึงไอเย็นที่แผ่ขึ้นมาจากใต้เท้าและลามขึ้นมาถึงสันหลัง มันทำให้เธอตัวสั่นขึ้นมาอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้
เธอรู้แล้วว่าสิ่งที่ตัวเองกังวลมันคืออะไร
ซึ่งนั่นก็เป็นจุดหนึ่งที่ทุกคนมองข้ามกัน
สิ่งที่เธอมองเห็นคือพลังเวทมนตร์!
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นพลังเวทมนตร์ที่ทรงพลังอย่างมากด้วย….
ที่ระยะการมองเห็นของดวงตาแห่งเวทมนตร์มีอยู่อย่างจำกัดก็เนื่องมาจากร่างกายของเธอยังไม่สามารถแสดงพลังออกมาได้มากกว่านี้ แต่ในตอนที่มีแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์อันแข็งแกร่งปรากฏขึ้นมา ถึงแม้จะอยู่นอกระยะการสำรวจของดวงตาเวทมนตร์ แต่ปฏิกิริยาของแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์นั้นก็ยังส่งมาถึงดวงตาแห่งเวทมนตร์และ ‘ถูก’ เธอมองเห็นได้ ก็เหมือนกับแสงไฟที่ส่องผ่านเข้ามาในดวงตาถึงแม้จะหลับตาอยู่!
การที่เธอสามารถมองเห็นมันได้จากระยะนี้ พลังเวทมนตร์ของอีกฝ่ายนั้น….แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่!
ปีศาจแห่งคำสาป
ภายในหัวซิลเวียมีชื่อนี้ปรากฏขึ้นมา
สิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์ที่มีรูปร่างเหมือนคนและเป็นผู้บังคับบัญชาของกองทัพปีศาจ ในอดีตที่ผ่านมาปีศาจที่เป็นแม่ทัพจะเป็นหัวใจสำคัญของกองทัพ ในขณะที่สองทัพกำลังฆ่าฟันกันอยู่ มันจะทำหน้าที่เป็นคนเล่นหมากรุกที่คอยควบคุมเบี้ยในมือเพื่อเอาชนะ มีน้อยครั้งมากที่พวกมันจะลงมาในสนามรบด้วยตัวเอง
แต่พวกเธอกลับลืมไปว่าอีกฝ่ายนั้นก็เป็นปีศาจระดับสูงที่แข็งแกร่งอย่างมากเช่นเดียวกัน ตัวมันมีความสามารถในการต่อสู้ที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
และในเวลานี้ ความเร็วในการเคลื่อนไหวของดวงไฟสีแดงกำลังเร็วขึ้น ความเร็วของมันเร็วกว่าเมซี่ในตอนที่แปลงร่างเป็นอสูรสยองเกือบสามเท่า
อีกฝ่ายนั้นตั้งใจพุ่งตรงเข้าไปหาลีฟตั้งแต่แรกแล้ว!
“หนี…รีบหนีเร็ว…” ซิลเวียตะโกนออกมาเสียงดัง “รีบหนีเร็ว ลีฟ!”
……………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น