Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1083-1096

 ตอนที่ 1083 วิญญาณสีดำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในตอนที่เสียงระเบิดครั้งแรกดังขึ้นมา แดนนี่กระเด้งตัวลงมาจากเตียงทันที


จากนั้นก็มีเสียงเหมือนห่าฝนดังลงมาจากบนหัวของเขา ขณะเดียวกันก็มีเศษดินหล่นกระจายลงมา เหมือนกับบ้านพักทั้งหลังกำลังสั่นโงนเงนอย่างไรอย่างนั้น


“กะ เกิดอะไรขึ้น?”


“หรือว่าแผ่นดินไหว?”


เพื่อนคนอื่นๆ เองก็ตื่นขึ้นมาเหมือนกัน ภายในห้องที่มืดจนมองไม่เห็นแม้กระทั่งมือตัวเองพลันวุ่นวายขึ้นมาทันที


“ไม่ใช่ ศัตรูกำลังโจมตีพวกเราอยู่!” ทหารที่อยู่ใกล้ประตูมากที่สุดหยิบปืนขึ้นมา พร้อมกับยื่นมือจะไปเปิดประตู แต่กลับกลับถูกแดนนี่กดตัวลงไปกับพื้น “เจ้าทำอะไรของเจ้า?”


“อย่าขยับ การโจมตียังไม่จบ!” แดนนี่คำรามเสียงดัง


แล้วก็เป็นอย่างที่ว่า หลังจากนั้นมีเสียงระเบิดดังขึ้นมาอีกหลายครั้ง แล้วมีเสียงทึบๆ เหมือนฝนตกตามมา


“แค่กๆ บ้าเอ้ย นี่มัน…”


ท่ามกลางฝุ่นที่ตลบอบอวล มีคนจุดเทียนขึ้นมา กระทั่งแสงเทียนน้อยๆ สว่างขึ้นมา ทุกคนถึงกับต้องสูดปากด้วยความตกใจ


พวกเขาเห็นเข็มหินสีดำยาวๆ จำนวนมากปักทะลุหลังคาลงมา ท่ามกลางแสงเทียนที่ส่ายไหวไปมา มันดูแล้วเหมือนกับขนของมนุษย์ที่ห้อยตกลงมาไม่มีผิด


“ปีศาจแมงมุม…” คนที่ถูกแดนนี่กดลงไปกับพื้นกลืนน้ำลาย สมาชิกส่วนใหญ่ของหน่วยแม่นปืนต่างก็เข้าร่วมการรบในครั้งแรกด้วย พวกเขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจกับศัตรูชนิดนี้ ตัวทหารคนนั้นเองก็รู้ว่าถ้าเมื่อกี้เขาวิ่งออกไป จุดจบของตัวเองจะเป็นอย่างไร


“ถ้าข้ารอดกลับไป ข้าจะซื้อขาแกะซักสองขาเอาไปขอบคุณคุณหนูลีฟเลย” อีกคนพูดพร้อมตบหน้าอกตัวเอง


ปกติเวลาที่ออกไปรบ สถานที่ที่ให้ทหารพักมักจะเป็นเต็นท์ แต่ครั้งนี้ที่พักกลับเปลี่ยนเป็นบ้านดินที่แม่มดสร้างขึ้นมา ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นเพราะเบื้องบนคิดถึงเรื่องนี้เอาไว้หรือเปล่า แต่บ้านดินที่ว่านี้เรียกได้ว่ามีประโยชน์อย่างมาก ถ้าหากยังเป็นเต็นท์ผ้าเหมือนเดิม เกรงว่าพวกเขาคงกลายเป็นรังผึ้งไปนานแล้ว


“อย่าพูดอะไรไม่เป็นมงคลแบบนี้สิ ข้ายังต้องกลับไปแต่งงานนะ”


“เจ้านี่ คิดจะฉวยโอกาสเข้าใกล้คุณหนูโลตัสใช่ไหมล่ะ!”


“เหลวไหล ถ้าจะทำแบบนั้นจริงๆ ข้าไปทำกับคุณหนูนางฟ้านาน่าดีกว่า”


ถึงแม้พวกเขาเพิ่งจะเฉียดความตายมาเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครที่เสียขวัญกับการลอบโจมตีครั้งนี้ ถึงแม้ปากจะพูดไม่หยุด แต่อาวุธและลูกกระสุนต่างก็ถูกเตรียมพร้อมเรียบร้อย


เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ต่างเข้าใจเรื่องๆ หนึ่ง


นั่นคือความตายนั้นไม่อาจหลีกหนีได้ มันมีแค่มาถึงกับยังมาไม่ถึงเท่านั้น ในเมื่อตอนนี้ยังมานั่งครุ่นคิดปัญหานี้ได้ อย่างนั้นก็แสดงว่ายังไม่ถึงเวลาตาย แทนที่จะมานั่งหวาดกลัว สู้ออกไปทำอะไรซักอย่างดีกว่า อย่างเช่นกำจัดศัตรู


กระทั่งภายในค่ายเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ แดนนี่จึงเปิดประตูออกไป ก่อนจะย่อตัวเดินออกไปจากห้อง


ตรงหน้าประตูค่ายมีทหารถูกเข็มหินแทงตายอยู่หลายคน ในเวลานี้แทบจะมีเสียงดังขึ้นทุกที่ ทั้งเสียงตะโกน เสียงปืน เสียงระเบิด แล้วก็เสียงคำรามของปีศาจ ไม่มีใครรู้ว่าศัตรูอยู่ที่ไหนกันแน่ แล้วก็มีจำนวนเท่าไร หอสังเกตการณ์ที่เดิมเอาไว้ใช้ระบุทิศทางก็ไม่จุดไฟขึ้นมา เหมือนกับว่าจู่ๆ ศัตรูมันก็โผล่มาปรากฏตัวอยู่ในค่ายอย่างไรอย่างนั้น


เขาปืนขึ้นไปบนหลังคา จากนั้นจึงกวาดตามองอยู่ครู่ ก่อนจะวิ่งไปยังทิศทางที่มีเสียงปืนเบาบางที่สุดโดยไม่สนใจเสียงตะโกนของเพื่อนที่อยู่ด้านหลัง


“ข้านึกว่าท่านจะไปตรงที่ๆ มีคนเยอะที่สุดซะอีก”


เสียงหัวเราะเบาๆ ของมอลต์ดังขึ้นที่ข้างหูเขา


นี่คือเหตุผลที่เขาชื่นชอบการรบ


มีแต่ตอนที่อยู่ท่ามกลางกลิ่นดินปืน คู่หูของเขาถึงจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง


“แบบนั้นก็หมายความว่าพวกเราเป็นฝ่ายได้เปรียบ ถึงข้าไปก็ทำประโยชน์อะไรไม่ได้มาก” แดนนี่ตอบ “แต่ตรงที่มีเสียงปืนขาดๆ หายๆ ก็หมายความว่ามีคนกำลังตกที่นั่งลำบาก และลูกกระสุนของข้าก็จะช่วยชีวิตใครบางคนได้”


“ข้าเคยบอกแล้วไงว่านั่นมันไม่ใช่ความผิดของท่าน ท่านไม่สามารถช่วยทุกคนบนสนามรบได้


“แต่อย่างน้อยข้าก็ช่วยชีวิตทุกคนที่ข้าเห็นได้” เขาพูดยิ้มๆ “ไม่ต้องกังวล ข้าว่าแบบนี้ดีออก มันทำให้ข้ามองเห็นเจ้าได้ชัดเจนมากขึ้น”


แดนนี่หันหน้ากลับมา ก่อนจะเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยกำลังวิ่งตามเขามาในความมืด


หลังเข้าใกล้แนวรบ เขาก็มองหาที่สูง เขาปืนขึ้นไปบนลังเหล็กสิบกว่ากล่องที่วางซ้อนๆ กันอย่างไม่เป็นระเบียบ เมื่อทัศนวิสัยเปิดโล่ง เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าที่นี่อยู่ใกล้กับแนวปืนใหญ่ แล้วก็มีปีศาจสี่ห้าตัวกำลังใช้ประโยชน์จากบังเกอร์ในการต่อสู้กับทหารของกองพันปืนใหญ่ เห็นได้ชัดว่าทหารที่ขาดอาวุธหนักไปกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พวกเขาไม่สามารถหยุดศัตรูได้ แล้วก็ไม่สามารถฝ่าหอกของศัตรูเพื่อเข้าไปแย่งชิงพื้นที่ได้


จากค่ายจนมาถึงปืนใหญ่นั้นมีทหารหลายคนที่ถูกหอกกระดูกแทงจนเสียชีวิต


“พวกมันมาที่นี่ได้ยังไง?”


“ไม่รู้ แต่เวลาของพวกมันหมดลงแล้ว” แดนนี่ยกปืนขึ้นมา ก่อนจะเล็งไปยังปีศาจตัวหนึ่งที่ค่อยๆ เดินอ้อมไปทางบ้านพักทหาร ถ้าถูกมันจับได้ พวกทหารคงได้ถูกมันฉีกเป็นชิ้นๆ แน่ ส่วนอีกฝ่ายนั้นไม่ได้รู้เรื่องเลยว่ากำลังมีคนเล็งปืนมาที่มันอยู่ ร่างกายของมันปรากฏอยู่ในกล้องเล็งของแดนนี่


เขาเหนี่ยวไกอย่างไม่ลังเล ด้านหลังศีรษะของอีกฝ่ายมีหมอกแดงพุ่งขึ้นมาทันที ก่อนจะกลิ้งตกลงมาจากหลังคา


ต่อให้มีเพียงแค่แสงจันทร์ที่คอยให้ความสว่าง แต่ระยะ 100 เมตรนี้เขาไม่มีทางพลาดเป้าแน่นอน


“ยิงได้เยี่ยมมาก ระวังทางซ้าย มีคนกำลังเคลื่อนไหว”


เขาเห็นทหาร 5 – 6 คนกำลังนั่งยองๆ อยู่ตรงมุมกำแพง จากนั้นจึงค่อยๆ ขยับไปยังริมกำแพง ดูท่าทางแล้วเหมือนพวกเขากำลังคิดที่จะฝ่าหอกของพวกศัตรูเข้าไปในค่าย


“มีความกล้า แต่น่าเสียดายที่ไม่มีสมอง ถ้าไม่มีคนคอยยิงคุ้มกัน พวกเจ้าไม่มีทางวิ่งผ่านหอกไปได้หรอก” แดนนี่ยิ้มมุมปากขึ้นมา “อย่างนั้นรอก่อนจะดีไหม?”


เขารีบยิงปืนไปที่ข้างเท้าของอีกฝ่ายสามนัด ฝุ่นที่ฟุ้งกระจายขึ้นมาและเสียงกระสุนปืนทำเอาทหารพวกนั้นพากันสะดุ้งโหยงขึ้นมาทันที เท้าที่เมื่อกี้เพิ่งจะก้าวออกไปพลันหดกลับเข้ามา


“ท่านทำแบบนี้จะถูกพวกเขาด่าเอาได้นะ” มอลต์พูดอย่างกังวล


“ฮ่าๆๆๆ” ในที่สุดแดนนี่ก็หัวเราะขึ้นมา “อย่างนั้นก็ต้องให้พวกเขามีชีวิตรอดกลับมาก่อน” เขาหันปากกระบอกปืนไปยังปีศาจคุ้มคลั่งที่โผล่หัวออกมาอย่างรวดเร็ว….เสร็จไปอีกหนึ่ง พวกศัตรูที่ตอนแรกเหมือนจะบุกเข้ามาในค่ายได้สำเร็จพากันหดหัวกลับไปทันที จากนั้นก็ไม่กล้าทะเล่อทะล่าโผล่หน้าออกมาอีก


ขณะเดียวกัน บนฟ้าพลันมีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นมา


“ระวัง ดูนั่น!”


สิ้นเสียงเตือนของมอลต์ เงาดำหลายสิบเงาร่วงลงมาจากบนฟ้า ก่อนจะปักลงไปบนพื้น


“ปัก! ปัก! ปัก!”


เสียงกระแทกพื้นดังสนั่น ทำเอาพื้นถึงกับสั่นขึ้นมาเบาๆ


ภายในแสงจันทร์ที่ส่องลงมา แดนนี่ต้องตกใจเมื่อพบว่านั่นเป็นเสาหินสีดำขนาดยักษ์! แถมหลังจากที่มันร่วงลงมาบนพื้น รอบๆ เสาหินยังพ่นหมอกแดงออกมาด้วย ขณะเดียวกันก็มีเสียงซู่ๆ ดังขึ้นมา ฟังดูแล้วคล้ายกับเครื่องจักรไอน้ำของฝ่าบาทเลย


แต่ไม่นานเขาก็รู้ว่านั้นไม่ใช่เครื่องจักร


แผ่นหินสามแผ่นหลุดออกมาจากเสาหินทรงกลมขนาดยักษ์พร้อมกับมี ‘น้ำเลือด’ ทะลักออกมากองใหญ่ ภายในเสาหินถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน แต่ละส่วนมีปีศาจอยู่ในนั้นหนึ่งตัว! พวกมันถูกหุ้มอยู่ในถุงเมือกเหมือนกับทารกที่ในท้องของมารดา ในตอนที่ของเหลวสีแดงไหลทะลักออกมา พวกมันก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับแยกเขี้ยวอย่างดุร้าย


ไม่ทันที่ศัตรูจะเดินออกมาจากเสาหิน กระสุนนัดหนึ่งก็พุ่งทะลุศีรษะของปีศาจคุ้มคลั่งตัวหนึ่ง


“ฉึก!”


ปีศาจที่ถูกยิงส่ายโงนเงนสองสามที ก่อนจะค่อยๆ ล้มลงไปนอนกองอยู่ในเสาหิน


“พวกเจ้าแอบเข้ามาด้วยวิธีนี้อย่างนั้นเหรอ?” แดนนี่ส่งเสียงเหอะออกมาในลำคอ ก่อนจะบรรจุกระสุนนัดต่อไปเข้าไปในรังเพลิง “ในเมื่อยังไม่ตื่นขึ้นมา อย่างนั้นก็หลับต่อไปแบบซะเถอะ ไม่ว่าจะมีกี่ตัว ข้าจะส่งพวกแกไปลงนรกเอง คอยดูข้าให้ดีล่ะ มอลต์!”


…………………………………………………………………




ตอนที่ 1084 กลิ่นดินปืน

โดย

Ink Stone_Fantasy

แต่การโจมตีของศัตรูไม่ได้หยุดแต่เพียงเท่านั้น หากแต่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น


เสาหินอีกสิบกว่าแท่งลอยร่วงลงมาจากทางฟ้า ฝุ่นควันและหมอกแดงฟุ้งกระจายจนแทบจะบดบังแสงจันทร์เอาไว้จนหมด เศษหินแตกกระจายเต็มพื้น แม้แต่จะเงยหน้าก็ยังทำได้ลำบาก ภาพที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ต่างอะไรกับวันสิ้นโลกเลย เสาหินแท่งหนึ่งลงมาตกลงตรงกล่องเหล็กพอดี แรงกระแทกอย่างรุนแรงทำให้แดนนี่กระเด็นลอยออกไป ในตอนที่เขาได้สติอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองมานอนอยู่บนพื้นแล้ว


“อ๊อก…บ้าเอ้ย” เขาไอออกมาเล็กน้อย ก่อนจะรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาตรงหน้าอก ขณะเดียวกันในปากก็เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด “มอลต์…เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”


“ข้าไม่เป็นไร” เสียงร้อนใจของมอลต์ดังขึ้นมาตรงข้างหูเขา “แต่ท่านบาดเจ็บ!”


“ข้าเดาว่าน่าจะกระดูกซี่โครงหัก?” แดนนี่พยายามหอบหายใจอย่างเจ็บปวด “ไม่เป็นไร ขอเพียงข้ายังเหนี่ยวไกได้ ข้าก็ยังสู้ต่อไปได้…”


เขาเอามือคลำข้างๆ ตัว จนกระทั่งมือรับรู้ได้ถึงสัมผัสที่คุ้นเคย เขาถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้น…ยังดี ปืนยังไม่หายไปไหน


“ไม่ได้ ท่านต้องหนีไปจากที่นี่ ยิ่งเร็วยิ่งดี!” เสียงของมอลต์เกือบจะเป็นการขอร้อง


แดนนี่ฝืนยันตัวขึ้นมา ก่อนจะนั่งพิงไปบนลังเหล็กที่บิดเบี้ยว


แค่เคลื่อนไหวแค่นี้เขาก็ใช้แรงไปเกือบหมดแล้ว


ตรงหน้าเขา เสาหินสีดำที่เหมือนกำแพงพ่นหมอกสีแดงออกมา ดูแล้วเหมือนมันกำลังจะเปิดออก


แดนนี่ยกปืนขึ้นมา หน้าอกเขาไม่สามารถออกแรงได้อีกแล้ว อย่างนั้นก็พาดเอาไว้บนไหล่แล้วใช้เข่าเป็นที่วางปืน ในระยะไม่ถึงสิบเมตร เขาไม่มีทางยิงพลาดแน่


“พอได้แล้ว อย่าฝืนเลย! ทำไมท่านถึงไม่หนีไป?”


มีอยู่ชั่วแวบหนึ่ง เขารู้สึกว่านี่เป็นทั้งเสียงร้องของมอลต์ แล้วก็เหมือนเป็นเสียงที่เขากำลังถามตัวเอง


เพราะว่าข้าไม่อยากจะจากกลิ่นดินปืนนี้ไป แล้วก็ไม่อยากให้เจ้าหายไปด้วย…


แผ่นหินหลุดออกมา เสียงปืนก็ดังขึ้นมาในเวลาเดียวกัน


เพื่อนเก่าที่อยู่ในมือเขาไม่ทำให้เขาผิดหวัง


ศัตรูยังไม่ทันจะได้ฉีกถุงเมือกออกมา กระสุนก็เจาะเข้าไปที่กลางหน้าผากของเป้าหมายแล้ว


เพียงแต่ครั้งนี้ ปีศาจไม่ได้ล้มลง


มันเดินออกมาจากเสาหินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะหยิบเอาเศษถุงเมือกที่ติดอยู่บนตัวทิ้งไปแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแดนนี่


มันเป็นปีศาจที่ตัวใหญ่กว่าปีศาจคุ้มคลั่ง ทั่วทั้งร่างกายของมันมีเกราะแปลกๆ หุ้มเอาไว้อยู่ ในตอนที่มันยืดตัวตรงขึ้นมา เงาจากร่างกายของมันบดบังตัวแดนนี่เอาไว้จนมิด ภายใต้ความมืดนี้ แดนนี่มองเห็นแค่เพียงดวงตาของมันที่ส่องแสงสีแดงออกมา


แดนนี่ใส่กระสุนนัดที่สองเข้าไปในรังเพลิง ก่อนจะเหนี่ยวไกอีกครั้ง


จากนั้นเขาได้ยินเพียงแค่เสียง ‘ติง’ เบาๆ ดังขึ้นมา ตรงหน้าอกของปีศาจมีประกายไฟสว่างขึ้นมาแวบหนึ่ง ขณะเดียวกันก็มีคลื่นสีน้ำเงินจางๆ กระเพื่อมขึ้นมาเหมือนผิวน้ำ


ปีศาจมองดูเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ก่อนจะเดินเข้ามาหาเขาอย่างช้าๆ


ไม่มีการชักอาวุธ แล้วก็ไม่มีความเร่งรีบ นี่คือการดูถูกอย่างหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย


แดนนี่ทำการเคลื่อนไหวเหมือนกับเครื่องจักร —- ดึงลูกเลื่อน ยิงออกไป แต่อีกฝ่ายกลับไม่เป็นอะไรเลย


“ไม่…” มอลต์ร้องสะอื้นขึ้นมาอย่างสิ้นหวัง


ในขณะที่เขากำลังจะยิงนัดที่สี่ออกไป ตรงหน้าอกของปีศาจพลันมีแสงไฟสว่างวาบขึ้นมา!


“ปัง!”


ท่ามกลางเสียงที่ดังสั่นสะเทือน อีกฝ่ายกระเด็นลอยออกไป ก่อนจะไปกระแทกเข้ากับลังเหล็กที่วางกองอยู่


แดนนี่มองดูปากกระบอกปืนที่ีมีควันลอยฟุ้งออกมาด้วยความงุนงง


จากนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าเขา


“ถอยไปซะ เจ้าคนธรรมดา” คนๆ นั้นค่อยๆ หันหน้ามา “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน เดี๋ยวพวกข้าจัดการที่นี่เอง”


ในมือของชายคนนั้นถือปืนที่มีปากกระบอกปืนใหญ่จนน่าตกใจอยู่กระบอกหนึ่ง กระสุนที่ห้อยอยู่ตรงเอวเขามีขนาดใหญ่ประมาณข้อมือ เห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่อาวุธที่คนธรรมดาจะแบกได้ ยิ่งไปกว่านั้นชายคนนั้นยังสวมชุดเกราะเอาไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูแล้วคล้ายๆ กับปีศาจทีเดียว


‘หน่วยจู่โจมพิเศษ’


ภายในหัวแดนนี่มีความคิดนี้แวบขึ้นมา


หลังจากที่เข้าร่วมการรบครั้งแรกกับปีศาจ หน่วยรบนี้ก็กลายเป็นหน่วยที่ดูลึกลับที่สุดในกองทัพที่หนึ่ง พวกเขาไม่เคยปรากฏตัวในการฝึกซ้อม แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าจำนวนกับที่อยู่อย่างแน่ชัดของพวกเขา สิ่งเดียวที่ทุกคนรู้ก็คือพวกเขาล้วนแต่เป็นนักรบที่ฝ่าบาททรงคัดเลือกมา เรียกได้ว่าเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองเนเวอร์วินเทอร์


“โฮกกกก…..!”


ปีศาจตัวนั้นปีนขึ้นมาจากลังเหล็กพร้อมกับส่งเสียงคำรามน่ากลัวออกมา เมื่อเทียบกับการดูถูกก่อนหน้านี้แล้ว ในที่สุดมันก็เปลี่ยนท่าทีด้วยการชักดาบคู่เล่มยักษ์ออกมาจากด้านหลัง


“หึ ปีศาจระดับสูงที่พัฒนาขึ้นมาจากเจ้าแห่งนรกอย่างนั้นเหรอ มิน่าล่ะปฏิกิริยาเวทมนตร์ถึงได้รุนแรงขนาดนี้” ชายคนนั้นพุ่งใส่ศัตรูโดยไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย “ที่พวกข้าอยู่มาจนถึงตอนนี้ก็เพื่อเวลานี้นี่แหละ!”


นักรบอีกหลายคนที่แต่งกายเหมือนกับเขาต่างวิ่งตามเข้าไป หลังนักรบเหล่านี้เข้าร่วมการต่อสู้ สถานการณ์ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป เห็นๆ อยู่ว่าด้านหลังแบกอาวุธปืนที่หนักอึ้งเอาไว้ แต่พวกเขากลับยังวิ่งได้เร็วกว่าคนทั่วไป แล้วก็บีบศัตรูให้จนมุม แถมวิธีการโจมตียังเรียกได้ว่าป่าเถื่อนอย่างมาก หลังยิงจนกระสุนหมด พวกเขาไม่ได้หาที่กำบังเพื่อเติมกระสุน หากแต่เปลี่ยนไปใช้ดาบปลายปืนรุมแทงศัตรูอย่างบ้าคลั่ง!


ถึงแม้ปีศาจจะมีความคล่องตัวที่ดูไม่เข้ากับร่างกายของมัน แต่เมื่อถูกรุมโจมตีพร้อมๆ กันจากรอบด้าน สุดท้ายคลื่นสีน้ำเงินบนร่างกายของมันก็เริ่มจางลงอย่างเห็นได้ชัด


สมแล้วที่เป็นนักรบที่ฝ่าบาททรงแอบเลี้ยงดูเอาไว้


แต่นี่ก็เป็นเวทีของเขาเหมือนกัน


จะให้ตัวเองถอยไปงั้นเหรอ? นั่นก็ต้องรอให้เขาตายซะก่อน


แดนนี่กัดฟันขยับตัว ก่อนจะใช้ร่างกายตัวเองเป็นฐานวางปืนแล้วเล็งเป้าไปยังสนามรบ


หลังจากที่ปีศาจคุ้มคลั่งตัวหนึ่งที่กำลังแอบโจมตีหน่วยจู่โจมพิเศษจากด้านหลังถูกยิงล้มลงไป ผู้ชายคนนั้นพลันหันหน้ากลับมามองดูเขา


แดนนี่ดึงลูกเลื่อนคัดกระสุนออก พร้อมกับสูดกลิ่นดินปืนเข้าไปเต็มปอด ความเจ็บปวดกับความลุ่มหลงผสมเข้าด้วยกันกลายเป็นกลิ่นที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้


ความรู้สึกแบบนี้มันยอดไปเลยใช่ไหม? มอลต์


….


“บ้าเอ้ย! กองพันปืนใหญ่มัวทำอะไรอยู่เนี่ย?”


“ทำให้ไอเข็มหินพวกนี้มันหยุดก่อนได้ไหม!”


“อย่าบอกนะว่าพวกเขาส่งทหารใหม่ที่เพิ่งเข้ากองทัพไปอยู่แนวหน้า”


ในหลุมเพลาะที่อยู่รอบๆ ค่าย เหล่าทหารหลบอยู่ใต้แผ่นไม้พร้อมบ่นออกมา ฟิชบอลเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ถึงแม้เขาจะอยู่ในตำแหน่งหน่วยปืนกลต่อต้านทางอากาศ แต่สิ่งที่บินไปบินมาอยู่บนท้องฟ้าในเวลานี้นั้นไม่ใช่อสูรสยอง หากแต่เป็นอาวุธที่่น่าเหลือเชื่อบางอย่างของพวกปีศาจ การออกไปยืนยิงปืนอยู่ข้างนอกในเวลานี้นั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีซักเท่าไร


หลังพวกเขาถูกลอบโจมตีจนตื่นขึ้นมา พวกเขาก็รีบวิ่งไปยังแนวป้องกันตามกฎการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน ระหว่างทางไม่ใช่ว่าจะไม่เจอปีศาจ แต่พวกมันก็ถูกอาวุธปืนกับปืนครกฆ่าตายอย่างรวดเร็ว แนวป้องกันนั้นไม่ได้ถูกโจมตี เพื่อนทหารที่ประจำการอยู่ตรงแนวป้องกันยังถามพวกเขาอย่างงงๆ ว่าพวกเขากำลังยิงปืนใส่ใคร และในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าหลังจากนี้คือขั้นตอนการเก็บกวาดผู้บุกรุก เบื้องบนพลันมีคำสั่งออกมาใหม่ —- ไม่ว่าสถานการณ์ภายในค่ายจะเป็นอย่างไรก็ห้ามไม่ให้พวกเขาออกไปจากหลุมเพลาะ ให้เตรียมรอรับมือศัตรูที่แท้จริงอยู่กับที่


ปีศาจกลุ่มหนึ่งกำลังกระหนาบโจมตีค่ายจากทางตะวันออกและทางใต้ พวกมันต่างหากที่เป็นกำลังหลักในการลอบโจมตีครั้งนี้


ฟิชบอลนึกถึงสงครามเมื่อหลายเดือนก่อนนี้ขึ้นมา ศัตรูที่ถาโถมกันเข้ามานั้นเหมือนกับสายน้ำไม่มีผิด ความเร็วในการวิ่งของพวกมันเร็วยิ่งว่าม้า พวกแค่มองดูก็ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวได้แล้ว โชคดีที่กองทัพที่หนึ่งเตรียมพร้อมเอาไว้แต่แรก กระสุนปืนจำนวนนับไม่ถ้วนปลิดชีวิตศัตรูที่ระยะ 200 เมตร


แต่ตอนนี้ตรงแนวป้องกันไม่มีบังเกอร์ที่แข็งแรงที่ทำให้คนรู้สึกอุ่นใจ การยิงสนับสนุนจากกองพันปืนใหญ่ก็ยังไม่มาซักที ด้านบนก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นอยู่เป็นระยะๆ อีกทั้งช่วงเวลากลางคืนที่ทำให้มองอะไรไม่เห็น เขาไม่รู้ว่าครั้งนี้ตัวเองจะรอดกลับไปได้อย่างปลอดภัยเหมือนครั้งที่แล้วหรือเปล่า


“พวกมันมาแล้ว!” จู่ๆ พลันมีคนตะโกนขึ้นมา “ระยะ 1,500 เมตร ทุกคนเตรียมตัว!”


1,500 เมตร? กลางคืนแบบนี้มองเห็นเป้าที่ระยะ 200 เมตรก็ถือว่าดีมากแล้ว! เห็นได้ชัดว่าคนที่ให้ข้อมูลนี้ืคือคุณหนูแม่มดที่มีดวงตามองทะลุได้ แต่คำสั่งจากเบื้องบนถือเป็นเด็ดขาด ขอเพียงออกคำสั่งยิงออกมา ต่อให้มีมีดร่วงลงมาจากท้องฟ้าก็ห้ามถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว ฟิชบอลกัดฟันเตรียมพร้อมที่จะเข้าไปประจำตำแหน่งยิงปืนกล


ทันใดนั้นเอง จู่ๆ พลันมีเสียงหวูดยาวๆ ของรถไฟดังขึ้นมา!


…………………………………………………………..




ตอนที่ 1085 โจมตีกับป้องกัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“คุณลุงเร็วอีกหน่อยได้หรือเปล่า?” ไลต์นิ่งบินอยู่ข้างห้องคนขับ เธออยากจะลงไปดันรถไฟด้วยตัวเองด้วยซ้ำ แต่เธอรู้ดีกว่า ต่อให้เมซี่ก็ไม่มีทางที่จะดันเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ที่เหมือนภูเขานี้ได้ “ถ้าใส่ถ่ายหินเข้าไปในเตาเพิ่มมันจะเร็วขึ้นไหม?”


“โฮ่ๆ สาวน้อย ถ้าแรงดันมากเกินไป หม้อมันจะระเบิดเอาได้!” คนที่ควบคุมรถไฟเป็นชายแก่ผมขาวคนหนึ่ง ดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่ทหาร หากแต่เหมือนลุงข้างบ้านที่ใจดีมากกว่า เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “วางใจได้ กองทัพที่หนึ่งไม่แพ้ง่ายๆ ขนาดนั้นหรอก ต่อให้ศัตรูเป็นปีศาจที่มาจากนรกก็ตาม”


ไลต์นิ่งเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไรต่อ


ถึงแม้จะรู้ว่าเจ้ารถไฟนี่วิ่งได้เร็วอย่างมากแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกร้อนใจอย่างมากอยู่ เธอใช้เวลาไม่นานในการตามหาแบล็คริเวอร์ เพราะเครื่องจักรที่ใหญ่ขนาดนี้ไม่มีทางที่เธอจะมองไม่เห็น นอกจากเรื่องที่คนบนรถไฟตกใจตอนที่เธอเข้าไปใกล้แล้ว เรื่องอื่นๆ ล้วนแต่ราบรื่นเป็นอย่างมาก ด้วยสถานะสมาชิกในสโมสรแม่มด กัปตันรถไฟเชื่อคำพูดของเธออย่างรวดเร็ว แถมยังออกคำสั่งให้กลับรถทันที


แต่ไลต์นิ่งไม่ได้รู้สึกโล่งใจแม้แต่น้อย


หลังจากรถไฟหันหัวมุ่งหน้ากลับมายังสถานีหมายเลขหนึ่ง เธอก็รีบทำการติดต่อซิลเวียทันที และข่าวที่ซิลเวียแจ้งมาก็ทำให้เธอต้องตกใจอย่างมาก ปีศาจไม่เพียงแต่จับจุดอ่อนของกองทัพที่หนึ่งด้วยการบุกโจมตีเร็วในขณะที่แนวป้องกันยังสร้างไม่เสร็จ แต่กำลังหลักของพวกมันยังตีกระหนาบเข้ามายังค่ายของกองทัพที่หนึ่งจากสองทิศทางอย่างรวดเร็วด้วย ถ้าไม่มีการยิงสนับสนุนจากปืนใหญ่ สถานการณ์ก็จะยิ่งเลวร้ายมากกว่าเดิม


หลังได้ฟังซิลเวียเล่ามา เธอก็ไม่สามารถทำใจให้เชื่อมั่นได้เหมือนชายแก่จริงๆ


ข่าวดีเพียงหนึ่งเดียวน่าจะเป็นเรื่องที่เมซี่หาโลก้าที่ได้รับบาดเจ็บเจอ เมื่อมีการรักษาจากนาน่า หมาป่าสาวก็เรียกได้ว่าปลอดภัยแล้ว


“ด้านนอกทั้งเสียงดังทั้งลมแรง จะเข้ามานั่งข้างในหน่อยไหม? จะพูดแต่ละทีต้องตะโกนนี่มันเหนื่อยนะ” อีกฝ่ายสูบไปป์พร้อมกับเท้าแขนพิงหน้าต่าง “ถึงด้านในมันจะกระเทือนไปหน่อย แต่อย่างน้อยมันก็อุ่นนะ เตานี่ใช้ดีกว่าเตาผิงซะอีก!”


“ไม่…ขอบคุณ” ไลต์นิ่งเหลือบมองดูแท่นควบคุมที่สั่นสะเทือน จากนั้นส่ายหัว “ข้าอยู่ข้างนอกดีกว่า”


นี่เป็นความเร็วสูงสุดของแบล็คริเวอร์แล้วจริงๆ ด้วย


ถ้ายังเร่งความเร็วต่อไปทั้งๆ ที่รถสั่นแบบนี้ ต่อให้เตาเผายังรับไหว แต่ตัวรถไฟต้องตกรางแน่


“ข้ามองออกว่าเจ้ายังกังวลเรื่องสถานการณ์ทางนั้นอยู่….ในค่ายมีญาติหรือเพื่อนของเจ้าอยู่เหรอ?”


“อื้อ” ไลต์นิ่งตอบด้วยสีหน้ากังวล


“ข้าก็มี” เขาพูดพร้อมลูบเครา “แถมยังมีตั้งสองคนแหนะ!”


“เอ๋?” ไลต์นิ่งตกตะลึง เดิมเธอคิดว่าที่อีกฝ่ายยังใจเย็นอยู่แบบนี้นั้นเป็นเพราะว่าเขาไม่มีใครให้ต้องเป็นห่วง


“เมื่อก่อนข้าเคยทำงานในเมือง ทั้งชีวิตมีลูกสี่คน นอกจากคนโตที่ตายไปเพราะอากาศหนาวแล้ว คนอื่นๆ ล้วนแต่อยู่รอดจนกระทั่งฝ่าบาทวิมเบิลดันเสด็จมา” ชายแก่พูดพร้อมยิ้มเล็กน้อย “เมื่อก่อนพวกเขาไม่ได้ต่างอะไรจากโจรใต้ดินเลย ทั้งผอมทั้งอ่อนแอ แต่ว่าหลังจากที่เข้าไปอยู่ในกองทัพ พวกเขาก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นี่คือเหตุผลที่ทำให้ข้าเชื่อมั่นในกองทัพที่หนึ่งอย่างมาก กองทัพที่มีคนเหล่านี้อยู่ ไม่มีทางที่จะแพ้ง่ายๆ แน่”


อย่างนั้น…เหรอ? ไลต์นิ่งอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “อย่างนั้นอีกคนล่ะ?”


“ก็อยู่ในรถไฟนี่แหละ” เขาเคาะไปป์ “คนที่เห็นเจ้าคนแรกนั่นแหละ”


ชายแก่ชะงักไปเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกภูมิใจ “แล้วก็เพราะการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะฝ่าบาทวิมเบิลดัน ข้าก็เลยอยากทำอะไรเพื่อพระองค์บ้าง อีกอย่างอยู่ในเหมืองคนเดียวมันก็น่าเบื่อจะตาย มันคงจะมีความสุขมากกว่าถ้าได้ออกเดินทางไปทั่ว ต่อมาฝ่าบาททรงคัดเลือกคนที่เชี่ยวชาญในการควบคุมเครื่องจักรไอน้ำเพื่อมาตั้งเป็นทีมควบคุมรถไฟ ข้าก็เลยลงชื่อสมัคร คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายข้าจะถูกเลือก”


ที่แท้อีกฝ่ายไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่เธอคิดเอาไว้…ในขณะที่ไลต์นิ่งกำลังจะพูดอะไรออกมา โทรศัพท์ที่อยู่บนแท่นควบคุมพลันส่งเสียงดังขึ้นมา


“พ่อ ข้ามองเห็นสถานีหมายเลขหนึ่งแล้ว! ตรงนั้นเหมือนจะมีการต่อสู้จริงๆ ข้ามองเห็นแสงสว่างกับเปลวไฟ!” เสียงตื่นเต้นที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ แม้แต่ไลต์นิ่งที่อยู่นอกหน้าต่างก็ยังได้ยิน


“บอกกี่ครั้งแล้ว ที่นี่คือกองทัพ อย่าเรียกข้าว่าพ่อ!” ชายแก่ตะโกนใส่โทรศัพท์ “จับตาดูข้างหน้าต่อไป เดี๋ยวข้าจะเปิดหวูดบอกพวกเขาหน่อยว่ากองหนุนมาแล้ว!”


เขาพยักเพยิดหน้าให้ไลต์นิ่ง “เป็นยังไง ข้าบอกแล้วว่าพวกเขาไม่แพ้ง่ายๆ หน่อย” จากนั้นเขาหันหลังไปดึงเชือกที่อยู่ด้านหลังอย่างแรง ก่อนจะตะโกนเสียงดังว่า “ไปเลย เด็กๆ!”


“อูววววววว……..”


หลังจากนั้นไม่กี่นาที ท่ามกลางเสียงหวูดที่ดังยาว แบล็คริเวอร์พลันส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมลดความเร็วเข้าไปยังใจกลางสนามรบที่วุ่นวาย


เข็มหินที่ปักอยู่บนรางรถไฟถูกชนจนแตกละเอียด การกระทบกันของหินสีดำและเหล็กกล้าทำให้เกิดประกายไฟขึ้นมาตรงหัวรถสีดำ


บางทีอาจะเป็นเพราะความเร็วที่ลดลงของรถไฟจึงทำให้ศัตรูคิดว่ามันจะหยุดมันได้ ปีศาจสามสี่ตัวเข้ามาใกล้รางเหล็กเพื่อพยายามจะหยุดอสูรเหล็กกล้า แต่สุดท้ายพวกมันกลับถูกดูดเข้าไปใต้ล้อรถและถูกบดกลายเป็นเศษเนื้อ


ต่อให้มันจะช้าแค่ไหน มันก็ไม่ใช่สิ่งที่แรงของสิ่งมีชีวิตจะมาหยุดได้


ในขณะเดียวกัน ป้อมปืนกลที่ติดตั้งอยู่บนรถไฟก็เริ่มกราดยิงออกไปทั่ว ปีศาจที่บุกเข้าไปในค่ายถูกโจมตีกระหนาบหน้าหลังทันที พวกมันถูกโจมตีโดยแทบจะไม่มีโอกาสให้หลบซ่อนตัว ส่วนการโจมตีด้วยหอกกระดูกก็ไม่มีผลต่อแบล็คริเวอร์แม้แต่นิดเดียว


ในเวลานี้ ไลต์นิ่งได้บินเข้าไปในห้องปืนใหญ่


“ซิลเวีย เป้าหมายล่ะ?”


“อยู่ตรงหน้าของพวกเจ้า ระยะประมาณ 3,300 เมตร” ซิลเวียเองก็รู้ว่ารถไฟมาถึงแล้ว เธอรีบแจ้งพิกัดยิงทันที “พื้นที่เปิดโล่ง ไม่มีที่กำบัง!”


ไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำ ในตอนที่รถไฟหยุดนิ่ง มือยิงปืนใหญ่ก็รีบทำงานของตัวเองทันที


…..


ภายใต้การตรวจตราของซิลเวีย ตอนนี้กองกำลังหลักของศัตรูได้บีบเข้ามาอยู่ในระยะยิงของแนวป้องกันแล้ว


จำนวนของพวกมันไม่ได้เยอะเท่ากับศึกที่นอร์ธบาวด์เมื่อครั้งที่แล้ว พวกมันมีแค่ประมาณ 5,000 ตัว แต่พวกมันกลับเดินขบวนกันอย่างกระจัดกระจาย ทำให้ทั่วทั้งที่ราบเหมือนมีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด ดูแล้วทำให้เธอรู้สึกขนลุกยิ่งนัก


ส่วนตรงตำแหน่งที่ไกลออกไป การสอดแนมของดวงตาเวทมนตร์


บนพื้นเหมือนมีฉากสีดำทึบแสงปรากฏขึ้นมา ดวงตาแห่งเวทมนตร์ที่สามารถมองเห็นมุมอับได้ทุกมุมก็ยังไม่อาจมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังฉากสีดำได้ นั่นไม่ใช่การรบกวนที่เกิดขึ้นจากหินอาญาสิทธิ์ พื้นที่ปิดกั้นเวทมนตร์ที่เกิดจากหินอาญาสิทธิ์จะให้ความรู้สึกเหมือนดินแดนแห่งความตายอันเงียบงัน มีก็คือมี ไม่มีก็คือไม่มี มีขอบเขตชัดเจน แล้วก็ไม่มีการกระเพื่อม แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้เหมือนเป็นอะไรอย่างอื่น…มันเหมือนเป็นสิ่งที่มีชีวิต


และตอนที่เธอจะเข้านอน เธอจำได้ว่าที่ตรงนั้นมันไม่มีอะไรอยู่


เข็มเล่มยาวกับเสาหินที่ลอบโจมตีค่ายนั้นถูกยิ่งออกมาจากฉากสีดำ


นี่เป็นการต่อสู้ที่ซิลเวียรู้สึกกดดันมากที่สุด ตั้งแต่การซุ่มโจมตีไปจนถึงการโจมตีโดยไม่ให้รู้ตัวล้วนแต่เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด ทัศนวิสัยของเธอเหมือนถูกจำกัดเอาไว้ทุกทิศทุกทาง ทุกๆ ก้าวของปีศาจเหมือนกำลังตรงเข้ามาหาเธอ


ตอนนี้เธอไม่มีเวลามานั่งคิดแล้วว่าศัตรูเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ขนาดนี้โดยไม่มีซุ่มเสียงได้อย่างไร เพราะเธอต้องเอาสมาธิทั้งหมดทุ่มไปที่แบล็คริเวอร์


เนื่องจากมองไม่เห็นตำแหน่งที่แน่ชัดของเป้าหมาย เธอจึงได้แต่ต้องปรับพิกัดการยิงไปตามผลการยิงของปืนใหญ่


ภายใต้การรอคอยอย่างร้อนใจ ในที่สุดแบล็คริเวอร์ก็ส่งเสียงคำรามออกมา เปลวไฟอันร้อนแรงส่องให้เห็นร่างกายอันใหญ่โตของมันทันที ขณะเดียวกันก็ทำให้ค่ายทหารที่ตกอยู่ในความมืดสว่างขึ้นมาด้วย!


แต่สิ่งที่เร็วกว่าเสียงก็คือกระสุนปืนใหญ่


มันแหวกอากาศลอยเข้าไปหาฉากสีดำที่กำลังขยับเขยื้อนอยู่


…………………………………………………..




ตอนที่ 1086 การปะทะในชั่วระยะเวลาสั้นๆ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะเดียวกัน กองทัพปีศาจก็บุกเข้ามาหาค่ายทหารจากสองด้าน


พวกมันพุ่งเข้ามารวดเร็วอย่างมาก จากระยะ 1,500 เมตรจนมาถึงระยะ 1,000 เมตรนั้นใช้เวลาไม่ถึงสองนาที หากเป็นเวลากลางวัน นี่เป็นระยะที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ถึงแม้ซิลเวียจะแจ้งความเคลื่อนไหวให้ทราบในทันที แต่เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่มืดมิดในเวลากลางคืน ทำให้กองทัพที่หนึ่งไม่สามารถหยุดการบุกของศัตรูได้ในทันที


แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจมากกว่านั้นก็คือในตอนที่ลูกกระสุนหล่นลงใกล้ๆ ศัตรู พวกปีศาจจะย่อตัวลงแล้วใช้วิธีคลานไปข้างหน้าแทน ด้วยแขนขาที่แข็งแรง ทำให้พวกมันคลานได้ค่อนข้างเร็ว บวกกันขบวนทัพที่กระจัดกระจาย ทำให้อานุภาพของปืนกลลดลงอย่างเห็นได้ชัด


เท่าที่ซิลเวียจำได้ ทันทีที่เป้าหมายเข้ามาในระยะยิ่งของหน่วยปืนกล พวกมันจะเหมือนวิ่งชนกำแพงที่มองไม่เห็น กระสุนปืนพุ่งไปตรงไหน ศัตรูก็จะล้มลงไปนอนกองกับพื้นเหมือนกับต้นข้าวที่ถูกเกี่ยว ในระยะเวลาสั้นๆ กองทัพของศัตรูจะเสียหายอย่างหนัก ในจุดนี้ซิลเวียเคยเห็นมาแล้วจากศึกรวบรวมอาณาจักรและศึกที่เอาชนะศาสนจักร


แต่ครั้งนี้กระสุนส่วนใหญ่กลับบินเฉียดหัวของพวกปีศาจไป ถึงแม้กระสุนบางนัดจะตกใส่หัวของศัตรู แต่มันก็สร้างความเสียหายได้ไม่มากนัก


ถึงแม้เธอจะพูดเตือนแนวหน้าไปแล้ว แต่เนื่องจากพวกทหารมองไม่เห็นผลจากการยิง จึงทำให้พวกเขาไม่สามารถปรับการยิงได้มากนัก


แต่สิ่งที่ทำให้ซิลเวียรู้สึกโชคดีก็คือการโจมตีกลับอีกด้านหนึ่งนั้นได้ผลดีทีเดียว ฉากสีดำที่ศัตรูสร้างขึ้นมาสามารถบดบังดวงตาแห่งเวทมนตร์ได้ แต่ไม่สามารถกันกระสุนได้ สำหรับปืนใหญ่ป้อมแล้ว มันสามารถยิงกระสุนไปถึงระยะ 3,000 กว่าเมตรได้ในพริบตา พื้นดินสีดำถูกแสงไฟที่ระเบิดออกมาส่องจนสว่าง ในตอนที่เสาทรายต้นแรกพุ่งขึ้นมาจากในฉากดำ เธอมองเห็นว่ามีปีศาจกับเศษแขนขากระเด็นลอยขึ้นมาด้วย


เมื่อดูจากขนาดของพื้นที่อับสายตาและความถี่ในการยิงของศัตรูแล้ว ปีศาจแมงมุมที่อยู่ในฉากดำน่าจะตั้งเรียงเป็นแถวตอนลึก เพราะมีแต่วิธีนี้เท่านั้นถึงจะทำให้พวกมันเอาปีศาจแมงมุมใส่เข้าไปในพื้นที่เล็กๆ ได้มากที่สุดได้


“ยิงขยับไปข้างหน้าทีละ 20 เมตร ยิงต่อเนื่อง!” ซิลเวียตะโกนใส่รูนสดับ


“รับทราบ!”


ไม่ว่ายังไง เธอก็ต้องรีบบดขยี้การยิงระยะไกลของศัตรูก่อน ขอเพียงแนวป้องกันยังอยู่ ปีศาจก็จะไม่สามารถบุกเข้ามาได้ง่ายๆ ระยะทางยิ่งใกล้ อุปสรรคจากการต่อสู้ในเวลากลางคืนก็จะยิ่งน้อย ยิ่งไปกว่านั้นกองทัพที่หนึ่งยังมีวิธีรับมืออีกมาก ไม่ใช่แค่ต้องพึ่งหน่วยปืนกลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น


ถ้าแนวป้องกันพังทลาย อย่างนั้นกองทัพอาจต้องพบกับหายนะได้


ฟิชบอลกำลังวิ่งไปยังที่ตั้งปืนกลพร้อมกับสวดภาวนาขอให้เข็มหินอย่าได้ตกใส่หัวตัวเอง


ความจริงแล้วเขาก็ยังรู้สึกแปลกใจอย่างมากที่ตัวเองกล้าวิ่งออกมาจากหลุมเพลาะ เพราะหากเป็นเมื่อก่อน เกรงว่าเขาคงจะฉี่รดกางเกงพร้อมร่ำไห้ขอร้องผู้บังคับบัญชาแล้ว


บางทีอาจเป็นเพราะคำพูดที่บอกว่า ‘เจ้าไม่ใช่ไอขี้ขลาด’ ที่มอบความกล้าให้กับเขา หรือไม่ก็เป็นเพราะเสียงปืนใหญ่ที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังที่ทำให้เขามีความกล้าขึ้นมา ในที่สุดเขาจึงบังคับขาทั้งสองข้างของตัวเองได้ และทำให้เขาไม่ต้องกลายเป็นทหารคนแรกที่ถูกยิงตายเพราะหนีสงคราม ถึงแม้จะเป็นแค่หัวหน้าหมู่เล็กๆ แต่ถือว่าเขาเป็นผู้นำทีมอย่างเป็นทางการ ทว่าฟิชบอลรู้ดีว่าหากเป็นเวลาปกติ เขาไม่มีทางรับปากมาทำภารกิจที่มีความเสี่ยงสูงแบบนี้แน่ ต่อให้เงินค่าจ้างจะสูงแค่ไหนก็ตาม


เรียกได้ว่ากองทัพที่หนึ่งนั้นเป็นสถานที่ที่น่าเหลือเชื่อ ท่ามกลางเสียงปืนใหญ่ที่ดังสนั่น ขอเพียงมีใครซักคนวิ่งนำออกมาจากหลุมเพลาะ คนอื่นๆ ที่เหลือก็จะวิ่งตามออกมาอย่างไม่ลังเล ภายใต้บรรยากาศแบบนี้ ฟิชบอลรู้สึกว่าในหัวตัวเองหยุดคิดเรื่องผลดีผลเสียไปแล้ว ร่างกายของเขาตอนนี้เป็นเหมือนกับเครื่องจักรเครื่องหนึ่ง


“หัวหน้า สายกระสุนบรรจุเรียบร้อย!” ลูกน้องตะโกนเสียงดัง


ฟิชบอลสูดหายใจพร้อมกับกดปากกระบอกปืนกลแม็กซิมลงมา ถึงแม้เขาจะเป็นหน่วยปืนกลต่อต้านทางอากาศ แต่บนตัวปืนยังคงมีตัววัดระยะและเป้าสำหรับยิงในแนวระนาบอยู่ เขาสามารถปรับเปลี่ยนมาเป็นการยิมในแนวระนายได้ทุกเมื่อ ขณะเดียวกันแผ่นเหล็กที่ติดเอาไว้สองด้านของปืนกลหลักๆ แล้วเอาไว้เพื่อป้องกันหอกกระดูกที่ปาลงมาจากบนท้องฟ้า ทันทีที่เขาเปลี่ยนมาเป็นการยิงในแนวระนาบ นั่นก็หมายความว่าด้านหลังของเขาจะสูญเสียการป้องกันไป นอกจากพยายามเอาหัวไปแนบชิดแผ่นเหล็กเอาไว้แล้ว สิ่งที่เขาทำได้ก็มีแค่เพียงสวดภาวนาเท่านั้น


เพราะขอเพียงยังไม่ตายอยู่ในสนามรบ เขาก็ยังมีโอกาสได้รับการรักษาจากคุณหนูนาน่า


แต่สิ่งสำคัญก็คือการช่วยเหลือของหน่วยพยาบาลจะมีความเร็วมากพอ


ฟิชบอลคำรามออกมาเสียงดังพร้อมกับเหนี่ยวไกสาดกระสุนออกมาข้างหน้า เหมือนกับว่าเขาต้องการที่จะระบายความกลัวในจิตใจออกมาอย่างไรอย่างนั้น


หูของเขาได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา เขาแยกไม่ออกว่านั้นเป็นเสียงยิงของปืนใหญ่ป้อมหรือว่าเสียงการโจมตีของปีศาจแมงมุมกันแน่


บางครั้งบางคราวก็จะมีเข็มหินสีดำตกลงมาใกล้ๆ เขา หรือบางทีก็ชนเข้ากับแผ่นเหล็กที่ใช้ป้องกัน ความตื่นเต้นจากการที่เฉียดความตายมาหลายครั้งหลายคราวแบบนี้ทำให้เขาตกอยู่ในความรู้สึกด้านชา เขาไม่มีความคิดอื่นนอกจากสาดกระสุนออกไป


“ยิงหมดแล้ว เติมกระสุน!”


“มา มาแล้ว!”


……


“สายกระสุนใหม่ล่ะ?”


“อยู่นี่ขอรับ!”


…..


ในตอนที่เขาพอจะมองเห็นตัวศัตรู ปืนกลก็ส่งเสียงดังแคร่กออกมา กระสุนลังที่สามถูกยิงจนหมดแล้ว


“เอากระสุนมาอีกลัง!”


“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดเหรอ!”


“ไปไหนหมด?”


ฟิชบอลรีบหันหน้ามาทันที แต่เขากลับพบว่าทหารในหมู่อีกสองคนนั้นนอนลงไปกับพื้นแล้ว บนตัวพวกเขามีเข็มหินปักเอาไว้อยู่


เขาตกตะลึง จากนั้นจึงรีบตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “ทีมพยาบาล! มีคนบาดเจ็บ! ตรงนี้ต้องการความช่วยเหลือ!”


สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงแต่เสียงระเบิดที่ดังอย่างต่อเนื่อง


ในที่สุดปืนครกก็ทำการโจมตีกลับ กระสุนจำนวนร้อยกว่านัดลอยขึ้นฟ้า ก่อนจะตกลงในระยะ 400 – 800 เมตรเหมือนกับลูกเห็บ กองทัพปีศาจถูกแรงระเบิดฉีกจนตัวขาด!


พริบตานั้นเอง บนพื้นเหมือนมีดอกไม้เพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนเบ่งบานขึ้นมา แสงสว่างที่เจิดจ้าไม่เพียงแต่จะส่องให้เห็นตัวของศัตรูเท่านั้น แต่ยังส่องให้เห็นรอยคราบเลือดที่อยู่บนแผ่นเหล็กที่ติดอยู่บนปืนกลด้วย


…..


ในที่สุดจุดพลิกสถานการณ์ที่ซิลเวียรอคอยก็มาถึงแล้ว


ถึงแม้ปืนใหญ่จากแบล็คริเวอร์จะช่วยชะลอการโจมตีของปีศาจแมงมุมได้ แต่ศัตรูก็ยังไม่ยอมแพ้ ทุกๆ  4 – 5 นาทีมักจะมีเสาหิน 2 – 3 แท่งถูกโยนข้ามมา ซึ่งเสาแต่ละต้นนั้นสร้างความเสียหายที่ไม่น้อยให้กับกองทัพที่หนึ่ง ถึงแม้อกาธา ซาวีและมอลลี่จะพยายามช่วยป้องกันอย่างเต็มที่ แต่พวกเธอก็ไม่สามารถดูแลแนวป้องกันที่ยาวหลายร้อยเมตรอย่างทั่วถึงได้


สิ่งเดียวที่ซิลเวียทำได้ก็คืออาศัยช่วงจังหวะที่เธอไม่ได้สั่งการปืนใหญ่ แจ้งบอกกับทางแนวหน้าว่าตรงไหนต้องการความช่วยเหลือ


กระทั่งในรูนสดับมีเสียงเมซี่ดังขึ้นมา


“ที่นี่คือแนวยิงปืนใหญ่จิ๊บ! ปีศาจที่บุกเข้ามาถูกแม่มดทาคิลาจัดการหมดแล้ว ผบ.แวนนาบอกว่าอีกเดี๋ยวเขาก็พร้อมทำการยิงแล้ว ให้เจ้าแจ้งพิกัดมาได้เลยจิ๊บ!”


ซิลเวียกำหมัดแน่น


“ได้เลย เจ้าอยู่ตรงนั้นอย่าไปไหน ข้าใช้รูนสดับแจ้งพิกัดเร็วกว่าโทรศัพท์!”


“เมซี่รับทราบจิ๊บ!”


หลังจากที่ปืนใหญ่ป้อมสี่กระบอกทำการยิงตอบโต้กลับไป การบุกของปีศาจก็หยุดลงทันที พวกเขายิงออกไปแค่สองรอบ ศัตรูก็ทำการถอยทันที เหมือนกับว่าพวกมันคาดการณ์เอาไว้แต่แรกแล้ว


เมื่อเสียงหวีดแสบแก้วหูดังไปทั่วท้องฟ้า กองทัพปีศาจก็ถอยกลับไปทันที ส่วนพวกปีศาจที่บุกขึ้นมาถึงแนวหน้าก็ถูกทิ้งเอาไว้ในสนามรบอย่างไร้เยื่อใย


…………………………………………………………………..



ตอนที่ 1087 แพ้กับชนะ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในตอนที่อันนาเดินลงมาในฐานบัญชาการชั่วคราวใต้ดิน บรรยากาศภายในห้องดูตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด


เมื่อเห็นเธอเดินลงมา ทุกคนต่างพากันลุกขึ้นพร้อมถวายคำนับให้เธอ “ถวายบังคมฝ่าบาท!”


ขวานเหล็กคุกเข่าลงไปข้างหนึ่ง “นี่เป็นความผิดของกระหม่อมเองที่ทำให้พระองค์ตกพระทัย แล้วก็ไม่สามารถมองแผนการของศัตรูออกจนถูกพวกมันเล่นงานจนปั่นป่วน ขอประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”


“พวกเจ้าไม่ต้องทำแบบนี้หรอก” อันนาโบกมือ คิดซะว่าข้าเป็นคนธรรมดาที่เป็นห่วงเรื่องการรบเหมือนกันก็พอ ข้าแค่อยากมาถามว่าสถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”


ถึงแม้จะกลายเป็นราชินีแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่ค่อนชินเวลาที่ต้องเจอสถานการณ์แบบนี้ โดยเฉพาะในตอนที่เป็นคนอื่นๆ อย่างเวนดี้และอกาธาทำความเคารพเธอ ถึงแม้เธอจะไม่เคยพูดเรื่องนี้ แล้วก็ไม่ค่อยแสดงความคิดที่อยู่ในใจต่อหน้าแม่มดคนอื่นๆ แต่ความจริงแล้วเธอกลับชื่นชบความรู้สึกเวลาที่เรียกกันเหมือนพี่เหมือนน้องมากกว่า


ในศึกครั้งนี้เช่นเดียวกัน ทันทีที่ถูกลอบโจมตี เธอก็ถูกแม่มดอาญาสิทธิ์เข้ามาประกบแล้วพาไปยังที่หลบภัย แต่ความจริงแล้วเธออยากจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกคนเหมือนอย่างเมื่อก่อนนี้ที่สู้กับพวกสัตว์อสูรในเดือนแห่งปีศาจมากกว่า


แต่อันนาก็รู้ว่าในเมื่อเธอรับเอาสถานะนี้มาแล้ว เรื่องบางเรื่องเธอก็ได้แต่ต้องเก็บเอาไว้ในใจ


เธอหวังเพียงว่าการปรากฏตัวของเธอจะทำให้ทุกคนใจเย็นลงได้


ขวานเหล็กลังเลเล็กน้อย “ฝ่าบาท สถานการณ์ไม่ค่อยดีพ่ะย่ะค่ะ”


“ให้ข้าฟังด้วยได้ไหม?”


“พ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมกำลังคุยกันเรื่องปัญหานี้พอดีพ่ะย่ะค่ะ” เขามองไปทางเฟร์ราน ชิลต์ อีกฝ่ายฝ่ายพยักหน้าพร้อมกับเปิดสมุดจดบันทึกในมือ


“จากรายงานที่หน่วยพยาบาลสรุปมาในตอนนี้ ทหารของกองทัพที่หนึ่งเสียชีวิตไป 200 กว่าคนในการลอบโจมตีครั้งนี้ มีผู้บาดเจ็บเกือบ 700 คนพ่ะย่ะค่ะ” เฟร์รานรายงานด้วยน้ำเสียงคร่ำเคร่ง


“แต่ว่าเนื่องจากเวลามีจำกัด นี่จึงเป็นแค่การสรุปแบบคร่าวๆ เท่านั้น ตัวเลขผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจริงๆ จะต้องมากกว่านี้แน่นอน เพราะว่าคุณหนูนาน่า…ไม่สามารถดูแลผู้บาดเจ็บได้มากขนาดนั้นพ่ะย่ะค่ะ”


200 กว่าคน นี่เกือบจะเสียหายเท่ากับตอนที่สู้กับศาสนจักรเลยนะเนี่ย แต่ว่านั่นเป็นศึกตัดสินที่กำหนดชะตาชีวิตของทั้งสองฝั่ง ทว่านี่เป็นศึกแรกหลังจากพวกเขาเคลื่อนพลขึ้นมาทางเหนือ กองทัพที่หนึ่งยังอยู่ห่างจากซากเมืองทาคิลาอีกไกลนัก


นี่จึงไม่แปลกที่ขวานเหล็กจะมีสีหน้าเคร่งเครียด


อันนาเคยเห็นภาพทหารบาดเจ็บนอนเรียงเป็นแถวยาวอยู่ในค่าย บนตัวเต็มไปด้วยคราบเลือด ในอากาศเองก็อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดกับเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ด้วยพลังเวทมนตร์ของนาน่า เธอไม่มีทางที่จะรักษาผู้บาดเจ็บทั้งหมดได้ในทีเดียวแน่นอน คนที่บาดเจ็บหนักอย่างเช่นแขนขาดขาขาดหรืออวัยวะภายในทะลักออกมา อย่างมากวันนึงเธอก็รักษาได้แค่ 5 –  6 คนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ถ้าอยากจะรักษาคนให้มากขึ้น เธอก็จำเป็นต้องเก็บพลังเวทมนตร์เอาไว้ในเวลาที่จำเป็นที่สุด


อย่างเช่นผู้บาดเจ็บที่ปอดถูกแทงทะลุ ท้องถูกกรีดจนลำไส้ทะลักออกมา เธอก็ทำการรักษาบาดแผลที่อันตรายถึงชีวิตบนอวัยวะภายในก่อน คนที่ดูแล้วอาการไม่ร้ายแรงแล้วก็จะทำการใส่ยาวิเศษเพื่อฆ่าเชื้อแล้วส่งไปให้หน่วยพยาบาลทำการเย็บแผลต่อ ส่วนคนที่ร้ายแรงก็จะปล่อยให้ปากแผลเปิดเอาไว้อย่างนั้นก่อน แล้วค่อยทำการรักษาต่อในวันถัดไป ในช่วงเวลานี้ก็จะใช้ยาที่ทำจากเฟิร์นนิทราและดอกโคลต์ฟุตในการบรรเทาอาการเจ็บปวดของผู้บาดเจ็บไปก่อน ส่วนทุกคนจะอยู่รอดจนถึงวันถัดไปได้หรือเปล่า หรือว่าจะมีอาการเสพติดที่คล้ายๆ กับน้ำยาแห่งความฝันหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ไม่ใช่ปัญหาที่ทีมพยาบาลจะไปดูแลได้


ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีความกดดันเช่นนี้ การจะจัดสรรพลังเวทมนตร์เมื่อใช้ในการรักษาอย่างเร่งด่วนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มันยากจะจินตนาการได้ว่าเด็กผู้หญิงที่แค่เห็นเลือดก็เวียนหัวที่เคยเรียนหนังสืออยู่กับเธอคนนั้น ตอนนี้จะเติบโตขนาดนี้แล้ว


“ข้าจะไปทูลกับฝ่าบาท ให้พระองค์กล่อมเลดี้สเปียร์มาช่วยแนวหน้า” อันนาพูดอย่างไม่เร่งร้อน “ถ้ามีนางอยู่ ทีมพยาบาลจะช่วยคนได้มากขึ้น เออใช้ แล้วปีศาจมันเข้ามาในค่ายโดนไม่มีซุ่มเสียงได้ยังไง?”


“หม่อมฉันคิดว่า…ศัตรูน่าจะใช้จุดบอดของดวงตาเวทมนตร์เพคะ” ซิลเวียดูเศร้าสร้อย “พวกอสูรสยองที่พวกมันส่งมาสอดแนมก่อนหน้านี้คงจะแค่เอาไว้หยั่งเชิงดูขอบเขตในการตรวจตราของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่ได้คิดถึงจุดนี้เลย…”


“พวกเราควรจะคิดได้ตั้งแต่แรกแล้ว” อกาธาพูดเหมือนโทษตัวเอง “หลังจากศึกที่เนินนอร์ธบาวด์ ปีศาจก็รู้แล้วว่าพวกเรามีซิลเวียอยู่ อสูรสยองพวกนั้นใช้การตอบโต้ของพวกเราในการวิเคราะห์ระยะทางคร่าวๆ ของดวงตาแห่งเวทมนตร์ หลังจากนั้นทัพของพวกมันก็รวมตัวกันอยู่นอกระยะการตรวจตราของซิลเวีย ก่อนจะฉวยโอกาสโจมตีพวกเราในตอนกลางคืน ช่วงเวลาที่พวกมันเลือกลงมือก็คือตอนที่สถานีหมายเลขหนึ่งเริ่มสร้าง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การป้องกันของค่ายอ่อนแอที่สุด”


“ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่นั่นมันไม่ใช่ความผิดของใคร” เฟร์รานพูดปลอบ “ถ้าอยากจะล่อลวงพวกปีศาจ พวกเราก็ต้องแสร้งทำเป็นมองไม่เป็นพวกอสูรสยองที่บินเข้ามาใกล้ แต่นี่มันขัดแย้งกับสิ่งที่พวกเราฝึกซ้อมในเวลาปกติ ต่อให้เรารู้ก่อนล่วงหน้าว่าพวกศัตรูมันจะทำแบบนี้ แต่มันก็ยากที่จะให้ทหารนับพันและคนงานแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้ พูดอีกอย่างก็คือช้าเร็วพวกศัตรูก็จะรู้เรื่องระยะการตรวจตราที่ว่าอยู่ดี ต่อให้ไม่ได้ซุ่มโจมตีที่สถานีหมายเลขหนึ่ง แล้วมันยังรอพวกเราอยู่ที่สถานีหมายเลขสอง หมายเลขสามได้”


“ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ระยะยิงของปีศาจแมงมุมอยู่ที่ประมาณ 2 – 3 กิโลเมตรใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการเคลื่อนที่ของมันยังค่อนข้างช้าด้วย จากนอกระยะการตรวจตราของซิลเวียจนมาอยู่ในระยะยิงน่าจะใช้เวลาค่อนข้างนาน หรือว่าที่พวกเราตรวจสอบไม่เจอพวกมันเป็นเพราะพวกมันโชคดี?” อันนาถามอย่างไม่เข้าใจ “ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องการรบเท่าไร ถ้าข้าพูดอะไรผิดไปก็ขอทุกคนอย่าได้ถือสา กองทัพที่หนึ่งมีวิธีในการสอดแนมของทางกองทัพอยู่ใช่ไหม? อย่างเช่นปล่อยบอลลูนขึ้นไปตรวจตราดูบ่อยๆ จากในค่าย”


“การสังเกตของงพระองค์ยอดเยี่ยมมากพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ขวานเหล็กพูดพร้อมเอามือทาบอก “กล่าวโดยสรุป แหล่งข่าวกรองเวลาที่ทำการรบของกองทัพที่หนึ่งจะแบ่งออกเป็นสามชั้น นอกจากคุณหนูซิลเวีย คุณหนูไลต์นิ่งกับคุณหนูเมซี่แล้ว แหล่งข่าวกรองชั้นสุดท้ายจะมาจากตัวกองทัพเอง แต่เวลาที่เผชิญหน้ากับปีศาจ แหล่งข่าวกรองของทางกองทัพนี้จึงแค่เอาไว้ใช้เสริมหรือใช้ในเวลาฉุกเฉินเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”


หลังฟังผู้บังคับบัญชาของกองทัพที่หนึ่งอธิบายจบ อันนาก็พอจะเข้าใจระบบข่าวกรองของกองทัพที่หนึ่งอย่างคร่าวๆ ในศึกรวบรวมอาณาจักรเกรย์คาสเซิลก่อนหน้านี้ ระบบข่าวกรองนี้ไม่มีข้อผิดพลาดอะไร แต่พอศัตรูกลายเป็นปีศาจ ความแตกต่างที่ยากจะชดเชยได้ก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้ากองทัพ


ความแตกต่างที่ว่าก็คือไม่ว่าจะเป็นสองเท้าหรือสี่เท้าก็ล้วนแต่เร็วสู้อสูรสยองที่มีสองปีกไม่ได้


นั่นก็หมายความว่าทันทีที่วิ่งเลยพื้นที่ช่วงหนึ่งไป หน่วยสอดแนมก็แทบจะไม่มีโอกาสได้กลับมา อย่าว่าจะส่งข่าวกลับมาเลย แม้แต่เอาชีวิตรอดกลับมาก็ยังเป็นไปได้ยาก อสูรสยองที่สามารถซ่อนตัวอยู่ในชั้นเมฆและรอโอกาสโจมตีนั้นมีความได้เปรียบมากกว่า บวกกับภูมิประเทศที่เป็นที่ราบของที่ราบลุ่มบริบูรณ์ยิ่งทำให้พวกมันกลายเป็นเหมือนนกอินทรีที่ล่าเหยื่อ


นี่ทำให้แหล่งข่าวกรองของกองทัพนั้นใช้ประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้ เผลอๆ แม้แต่จะช่วยซิลเวียก็ยังทำไม่ได้ด้วย ปีศาจบินได้สามารถเข้ามาในขอบเขตการตรวจตราของดวงตาเวทมนตร์ได้ทุกเมื่อ ถ้าพวกมันโฉบลงมาล่าพวกทหารที่ลาดตระเวนอยู่ด้านนอก ทางกองทัพที่หนึ่งนั้นไม่มีความสามารถที่จะไปช่วยเหลืออะไรได้เลย


ภายในหัวอันนามีคำพูดหนึ่งปรากฏขึ้นมาทันที


มันเป็นคำที่โรแลนด์มักจะพูดบ่อยๆ แล้วก็ทำสีหน้าซับซ้อนออกมา


‘ความสามารถในการควบคุมน่านฟ้า’


ฝ่ายที่สามารถควบคุมน่านฟ้าได้ก็คือฝ่ายที่ควบคุมสงครามได้


นอกจากนี้เขายังพูดอะไรที่ฟังดูไม่ค่อยเข้าใจ อย่างเช่นแบล็คริบบอน[1] อะไรทำนองนั้น


อันนาส่ายหัวสลัดความคิดฟุ้งซ่านนี้ไป “ถ้าฟังดูจากคำอธิบายนี้ ตอนนั้นปีศาจแบบแมงมุมก็น่าจะเข้ามาในแนวป้องกันชั้นที่สามแล้ว…เพราะเป็นเวลากลางคืนอย่างนั้นเหรอ?”


“ทัศนวิสัยที่ไม่ดีตอนกลางคืนเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” คนที่ตอบเธอคือเฟร์ราน ชิลต์ “จากที่ทางทีมที่ปรึกษาได้วิเคราะห์ดู….พวกกระหม่อมคิดว่าเจ้าสัตว์ประหลาดรูปร่างประหลาดนั้นน่าจะรอพวกเราอยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


อันนากระพริบตาอย่างแปลกใจ “เจ้าหมายความว่า…พวกมันซ่อนตัวอยู่ใต้ดินด้านหน้าเส้นทางของพวกเราอย่างนั้นเหรอ?”


“พ่ะย่ะค่ะ มีแต่วิธีนี้เท่านั้นถึงจะอธิบายได้ว่าทำไมสัตว์ประหลาดยักษ์พวกนั้นถึงเข้ามาในระยะยิงโดยที่พวกเราไม่รู้ตัวได้” เฟร์รานพูดด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง “กระหม่อมสอบถามคุณหนูซิลเวียแล้ว การมองทะลุสิ่งของจะทำให้สูญเสียพลังเวทมนตร์เพิ่มขึ้นอย่างมาก อีกทั้งขอบเขตในการตรวจตราก็ยังหดสั้นลงอย่างมากด้วย ตอนนี้เมื่อมาคิดดูแล้ว อสูรสยองพวกนั้นนอกจากจะมาหยั่งเชิงดูพวกเราแล้ว พวกมันยังมาดึงดูดความสนใจของคุณหนูซิลเวียด้วย เพราะถ้าต้องคอยจับตาดูแต่บนท้องฟ้าอยู่ตลอดเวลา นางก็จะไม่มีพลังเวทมนตร์ไปตรวจสอบดูการเปลี่ยนแปลงตรงใต้ดินพ่ะย่ะค่ะ”


พวกปีศาจถึงได้โจมตีเข้ามายังจุดต่างๆ ภายในค่ายได้อย่างแม่นยำในเวลากลางคืน?


ถ้าต่างฝ่ายต่างอยู่นิ่งๆ ความยากก็คงจะน้อยลงกว่านี้มาก ส่วนฉากดำที่ซิลเวียมองเห็นก็ไม่น่าจะเอาไว้ปิดบังทิศทาง หากแต่เอาไว้ปิดบังตอนที่ปีศาจแมงมุมคลานขึ้นมาจากใต้ดิน


ศัตรูไม่เพียงแต่จะรับมือกับแผนและวิธีการรบของกองทัพที่หนึ่งได้อย่างรวดเร็ว แต่พวกมันยังเชี่ยวชาญในเรื่องการใช้เวทมนตร์อย่างมากด้วย เมื่อคิดถึงว่าต้องทำสงครามกับศัตรูแบบนี้ หลายๆ คนจึงรู้สึกปวดหัวอย่างมากทีเดียว


นี่จึงไม่แปลกที่บรรยากาศภายในฐานบัญชาการจะตึงเครียดขนาดนี้


ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปต้องไม่ดีแน่


ถ้าโรแลนด์อยู่ที่นี่ เขาจะทำยังไงนะ?


ในขณะที่อันนากำลังคิดที่จะพูดให้กำลังใจทุกคน เอดิธส์พลันหัวเราะขึ้นมา


“อะไรกันเนี่ย พวกเราเพิ่งจะคว้าชัยชนะมาได้ไม่ใช่เหรอ ทำไมทุกคนถึงทำหน้าเหมือนว่าเราแพ้ยังงั้นล่ะ?” เธอยักไหล่ “หรือว่าข้าเข้าห้องผิด?”


……………………………………………………………………..


[1]แบล็คริบบอน ฉายาของเครื่องบินขับไล่ Chengdu J-20 ของจีน



ตอนที่ 1088 เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ท่านเอดิธส์….” เฟร์รานพูดเตือนขึ้นมา “ทหารเสียชีวิตไปตั้ง 200 กว่าคนเลยนะขอรับ ชัยชนะอะไรกัน…”


“แค่ 200 กว่าคน….เท่านั้น” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือพูดตัดบทอีกฝ่าย “แล้วปีศาจล่ะ? พวกที่บุกเข้ามาในค่ายมีประมาณ 50 ตัว รวมไปถึงปีศาจระดับสูงตัวนึงด้วย การตายของกองทัพที่หนึ่งล้วนแต่เป็นฝีมือพวกมัน ดูเผินๆ แล้วเหมือนพวกเราจะเสียเปรียบอย่างมาก แต่กองกำลังหลักของพวกศัตรูที่ตายอยู่ตรงแนวป้องกันอย่างต่ำๆ ก็มีมากกว่า 2,000 ตัว แถมนี่ยังเป็นแค่การประเมิณคร่าวๆ มันยังมีพวกปีศาจที่ถูกระเบิดจนเป็นชิ้นๆ ระหว่างหนีอีก ต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะรวบรวมตัวเลขที่แท้จริงออกมาได้ ข้าพูดถูกใช่ไหม คุณหนูซิลเวีย?”


“เอ่อ…” ซิลเวียลังเลเล็กน้อย “ศพของพวกศัตรูที่ดวงตาแห่งเวทมนตร์มองเห็นน่าจะประมาณนี้เหมือนกัน”


“เลดี้อกาธา ข้าเดาว่าเมื่อ 400 ปีก่อน ท่านไม่เคยสั่งการในสงคราม แล้วก็ไม่เคยเข้าร่วมสงครามด้วยตัวเองใช่ไหม?” เอดิธส์มองไปทางแม่มดน้ำแข็ง


อีกฝ่ายขมวดคิ้วขึ้นมา “ช่วงเวลาที่มีสงครามแห่งโ๙คชะตา การต่อสู้กับปีศาจเป็นวิชาบังคับที่แม่มดทุกคนในสมาพันธ์ต้องเรียน ถึงแม้เมื่อก่อนข้าจะเป็นนักวิจัยอยู่ในสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับ แต่ข้าก็เคยสู้กับศัตรูระหว่างทางที่ไปค้นหาซากโบราณสถาน…”


“ข้าหมายถึงสงคราม” เอดิธส์โน้มวตัวลงมาเล็กน้อย สีหน้าดูดุร้าย


“เอดิธส์…” ขวานเหล็กพูดเตือน


“ทำไม?” จู่ๆ อันนาพลันถามขึ้นมา การเข้ามาของเธอทำให้ความสนใจของทุกคนถูกดึงกลับมาอีกครั้ง “ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนี้ จากที่ข้ารู้มา ตอนที่เจ้าเป็นหัวหน้าอัศวินอยู่ที่ดินแดนทางเหนือ เจ้าก็ไม่เคยทำศึกใหญ่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”


ถ้าเป็นคนอื่นถามคำถามนี้ขึ้นมาคงไม่ต่างกับการราดน้ำมันลงไปบนกองเพลิงแน่ แต่พอคำพูดนี้ออกมาจากปากอันนา ทุกคนกลับรู้สึกใจเย็นอย่างน่าประหลาด ดูเหมือนทุกคนไม่ได้มีความรู้สึกอยากจะโต้เถียงอะไรกันเลย


น่าจะเป็นเพราะดวงตาที่ใสบริสุทธิ์และจริงจังของอันนาที่ทำให้ทุกคนคิดอะไรอย่างอื่นไม่ออก


เอดิธส์ทำสีหน้ากลับมาเป็นปกติ ก่อนจะเอามือขึ้นมาทาบที่หน้าอกแล้วพูดว่า “พระองค์ตรัสถูกต้องเพคะ หม่อมฉันไม่เคยเข้าร่วมรบศึกใหญ่ แต่ที่นี่มีคนที่เคยอยู่…” เธอชะงักไปเล็กน้อย “เมื่อดูจากสีหน้าของนางแล้ว ทุกคนก็จะรู้เองว่าผลการรบครั้งนี้มันเป็นอย่างไร”


นาง?


ทุกคนมองตามสายตาไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือไป ตรงหัวมุมของโต๊ะยาว ฟิลลิสซึ่งเป็นตัวแทนของทางทาคิลากำลังยกถ้วยชาขึ้นมาด้วยสีหน้าเหม่อลอย เธอยิ้มมุมปาก ในดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ประเดี๋ยวก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบทีหนึ่ง เหมือนกำลังลิ้มรสชาติอันหอมหวานของเครื่องดื่มอยู่ สำหรับแม่มดทาคิลาแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้บ่อยนัก พวกเธอที่สูญเสียประสาทการรับรสไป กินอาหารเพียงแค่เพื่อความอยู่รอดเท่านั้น ปกติแทบจะไม่เคยเห็นพวกเธอทำสีหน้าดื่มด่ำแบบนี้เลย


ในเวลานี้ทุกคนถึงได้สังเกตเห็นว่าเมื่อครู่นี้ทุกคนกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด แต่ความสนใจของฟิลลิสกลับไม่ได้อยู่ที่การประชุมเลย ขนาดตอนนี้กลายเป็นเป้าสายตาของทุกคน เธอก็ยังใจลอยอยู่


กระทั่งเวนดี้ที่อยู่ข้างๆ ดันเธอเบาๆ ฟิลลิสถึงได้สติกลับมา


“โอ้? พวกท่านคุยกันถึงไหนแล้ว?” แม่มดอาญาสิทธิ์กระแอมเล็กน้อย “เมื่อกี้ข้ากำลังคิดถึงเรื่องสำคัญบางอย่างอยู่ ก็เลยไม่ได้ฟังที่ทุกคนคุยกัน ทำไมเหรอ ฝ่าบาทมีทรงมีอะไรอยากจะถามหม่อมฉันหรือเปล่าเพคะ?”


“….” ทุกคนเงียบไปทันที


เห็นๆ อยู่ว่ากำลังเหม่อ แต่กลับบอกทุกคนได้หน้าตาเฉยว่ากำลังคิดเรื่องสำคัญอยู่ ที่แท้แม่มดโบราณเมื่อ 400 กว่าปีก่อนก็มีเรื่องบางเรื่องที่คล้ายกับคนในยุคสมัยนี้เหมือนกัน


“พรึด”


ไม่รู้ว่าใครเป็นคนหัวเราะออกมาก่อน หลังจากนั้นทุกคนก็พากันหัวเราะตามออกมา บรรยากาศตึงเครียดภายในห้องประชุมพลันหายไปไม่น้อย


“ดูเหมือนข้าคงไม่ต้องถามแล้ว” อันนาส่ายหน้ายิ้มๆ


เอดิธส์ลุกขึ้นมาแล้วมองไปรอบๆ “ฝ่ายที่เสียหายมากกว่าคือปีศาจ ฝ่ายที่วิ่งหนีไปก็คือปีศาจ ส่วนพวกเรายังยืนอยู่ตรงนี้ สถานีหมายเลขหนึ่งก็ยังปลอดภัยดี แล้วจะบอกว่าเราแพ้ได้ยังไงล่ะ? ฝ่าบาทโรแลนด์เคยตรัสกับข้าเอาไว้ว่าสิ่งที่เป็นตัวชี้วัดแพ้ชนะก็คือการทำเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้เป็นจริงได้หรือไม่ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่สามารถทำสิ่งที่พวกมันต้องการให้เป็นจริงได้ นอกจากนี้ข้ายังกล้าพูดเลยว่าผู้บัญชาการของพวกปีศาจได้ทำผิดพลาดอย่างมหันต์”


“ผิด…พลาด?” ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนต่างรู้สึกแปลกใจ การลอบโจมตีในครั้งนี้เรียกได้ว่ามีรายละเอียดเยอะแยะมากมายให้ครุ่นคิด ถือได้ว่าเป็นการซุ่มโจมตีที่ประสบผลสำเร็จอย่างมาก ไม่ว่าดูยังไงก็ไม่เหมือนเป็นความผิดพลาดเลย ทุกคนต่างรู้ดีว่าปีศาจนั้นสามารถวิเคราะห์และวางแผนเพื่อรับมือกับพลังเวทมนตร์ได้อย่างแม่นยำ เพราะพวกมันทำสงครามกับพลังเวทมนตร์มาเป็นเวลาเกือบพันปีแล้ว แต่นี่พวกมันกลับสามารถวางแผนรับมือกับอาวุธปืนได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้พวกปีศาจไม่เคยเห็นอาวุธปืนมาก่อนเลย การต่อสู้แบบจริงจังก็มีแค่ศึกที่นอร์ธบาวด์ก่อนหน้านี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น


ถึงแม้จะไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ แต่ในใจทุกคนก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัวต่อปีศาจขึ้นมา พวกมันไม่เหมือนกับศัตรูอื่นๆ ที่พวกเขาเคยเจอมา ถึงแม้เผ่าพันธุ์มนุษย์จะค่อยพ่ายแพ้อย่างราบคาบบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ อาณาจักรแม่มดถูกทำลายย่อยยับ แต่นั่นมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ประวัติศาสตร์นั้นคือสิ่งที่บิดเบือนและจางหายไปตามกาลเวลา มันไม่สามารถทำให้ผู้คนเข้าใจและรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานั้นแบบตรงๆ ได้


จนกระทั่งสงครามครั้งนี้เกิดขึ้น ทุกคนถึงได้สัมผัสกับมุมๆ หนึ่งที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมของประวัติศาสตร์


พวกมันไม่ใช่สิ่งที่พวกสัตว์อสูรที่วิ่งเพ่นพ่านไปมาบนแผ่นดินรกร้างจะเทียบได้เลย


ถ้าโยนพลังเวทมนตร์กับร่างกายที่แข็งแกร่งทิ้งไป พวกมันก็คือเป็น ‘อารยธรรม’ ที่มีสติปัญญาสูงมาก


มันรู้เรื่องราวทุกอย่าง….ไม่เว้นแม้กระทั่งมนุษย์


ในตอนที่ข้ออ้างที่ว่า ‘เป็นเพราะปีศาจได้รับกำลังและพลังเวทมนตร์มาจากพระเจ้า ถ้าปีศาจไม่มีสิ่งเหล่านี้ มนุษย์ก็ไม่มีทางหวาดกลัวเผ่าพันธุ์ป่าเถื่อนพวกนี้’ ถูกฉีกทำลายลง ในตอนที่มนุษย์พบว่าหัวสมองที่มนุษย์ภาคภูมิใจไม่อาจสู้อีกฝ่ายได้ ความรู้สึกเจ็บปวดนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้


ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มสงสัยในตัวเอง แล้วก็มีบางคนที่ครุ่นคิดถึงถึงปัญหาของทางฝั่งปีศาจขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ในตอนที่ได้ยินเอดิธส์พูดแบบนี้ขึ้นมา ทุกคนจึงอดรู้สึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้


“ผิดพลาดตรงไหนเหรอ?” อันนาถามขึ้นมาทันที


“ผิดตรงที่หยิ่งผยองเกินไปเพคะ ฝ่าบาท” เอดิธส์ตอบเสียงหนักแน่น “พวกมันคิดจะสร้างความวุ่นวาย พยายามยึดแนวยิงปืนใหญ่ แล้วก็ใช้กองทัพเข้ามาบดขยี้….ถ้าพวกเราเป็นกองทัพอัศวินหรือเป็นกองทัพสมัยโบราณ พวกเราคงจะพังพินาศไปแล้ว แต่กองทัพที่หนึ่งนั้นไม่ได้เป็นแบบนั้น พวกมันมองเห็นแค่การเปลี่ยนแปลงของอาวุธ แต่กลับมองข้ามการเปลี่ยนแปลงของคนไป นี่คือความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของศัตรู!”


ทุกคนตกตะลึงทันที


“ตั้งแต่เริ่มโจมตีจนกระทั่งหนีไป ปีศาจที่พวกมันส่งเข้ามามีแค่ 50 กว่าตัว นี่หมายความว่าสำหรับพวกมันแล้ว แผนโจมตีอันใหม่นี้ถือว่าทำได้ค่อนข้างยากลำบากเหมือนกัน พวกมันควรจะพยายามส่งปีศาจทั้งหมดเข้ามาพร้อมกันเพื่อที่จะสร้างความเสียหายให้ได้มากที่สุดมากกว่า แต่พวกมันกลับทำยังไงล่ะ? พวกมันส่งปีศาจ 50 ตัวกระจายไปยัง 4 พื้นที่ ได้แก่ที่พักทหาร หลุมเพลาะสองเส้น แล้วก็แนวยิงปืนใหญ่” เอดิธส์พูดช้าๆ ชัดๆ “ผู้บัญชาการของพวกปีศาจนั้นไม่ได้โง่แน่นอน อย่างนั้นสาเหตุที่มันสั่งการแบบนี้ก็เห็นได้อย่างชัดเจน พวกมันคิดว่าขอเพียงส่งปีศาจเข้ามา 10 กว่านั้นก็จะสามารถเล่นงานมนุษย์ได้ การดูถูกศัตรูอย่างเปิดเผยเช่นนี้ไม่เรียกว่าหยิ่งผยองหรอกเหรอเพคะ?”


อันนาเข้าใจความหมายในคำพูดของอีกฝ่ายทันที เธอกำมือแน่นขึ้นมา “ถ้าพวกมันไม่ทำผิดพลาดเช่นนี้…ถ้าพวกมันมองมนุษย์เป็นศัตรูที่เท่าเทียมกับพวกมัน…”


“อย่างนั้นพวกมันคงจะไม่ส่งปีศาจเข้ามาแค่ 50 ตัว หากแต่จะทุ่มกำลังอย่างเต็มที่เพื่อบดขยี้พวกเราเพคะ” เอดิธส์พยักหน้าพร้อมพูดอย่างมั่นใจ “สมมติว่าศัตรูส่งปีศาจทั้ง 50 ตัวเข้าไปในที่พักทหาร อีกทั้งในนั้นยังมีปีศาจระดับสูงอยู่อีกตัวหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ให้กองทัพหลักรอคอยอยู่ข้างนอกไม่เคลื่อนไหว ส่วนปีศาจแมงมุมโจมตีเสร็จแล้วก็ถอยไป สถานการณ์มันจะกลายเป็นอย่างไร?”


อันนารู้สึกแผ่นหลังเย็นยะเยือกขึ้นมา


ที่เสียทหารไปแค่ 200 กว่าคนเป็นเพราะศัตรูแยกกันลงมือ บวกกับการต่อสู้แบบผลัดกันรุกผลัดกันรับเพื่อชิงพื้นที่ช่วยซื้อเวลาให้กับกองทัพที่หนึ่ง ถ้าศัตรูทุ่มกำลังทั้งหมดที่มีตั้งแต่แรกและยอมสังเวยปีศาจระดับสูงซักตัวหนึ่งเพื่อแลกกับการฆ่าล้างมนุษย์ อย่างนั้นจำนวนผู้บาดเจ็บและล้มตายคงจะมากขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่าแน่นอน….


“ทหารเราอาจจะตาย 500, 1,000….หรือว่า 2,000? แน่นอน สุดท้ายพวกมันก็ต้องถูกพวกเราบดขยี้ สถานีที่หนึ่งก็ยังอยู่รอดปลอดภัย แต่มันก็ยากที่จะบอกได้เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วฝั่งไหนจะชนะ” เอดิธส์ผายมือ “แค่ที่น่าเสียดายก็คือความหยิ่งผยองทำให้พวกมันพลาดโอกาสนี้ไป แล้วก็ทำให้กองทัพที่หนึ่งได้เรียนรู้อะไรอีกหลายๆ อย่างด้วย อย่างเช่นบ้านพักทหารต้องทหารเอาไว้ใต้ดิน หลังคานอกจากจะต้องป้องกันเข็มหินได้แล้ว มันยังต้องทนต่อแรงสั่นสะเทือนจากการโจมตีของปืนใหญ่และปืนกลด้วย ถ้าศัตรูไม่ทำผิดพลาดแบบนี้ พวกเราก็คงไม่สามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้โดยจ่ายค่าตอบแทนไปเพียงเล็กน้อยขนาดนี้ไม่ใช่เหรอ?” เธอชะงักไปเล็กน้อย “สรุปแล้วก็คือสงครามนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น สหายทุกท่าน”


……………………………………………………………………….



ตอนที่ 1089 พระผู้สร้าง

โดย

Ink Stone_Fantasy

การเชื่อมต่อกับโลกแห่งจิตสำนึกเป็นเรื่องที่เปลืองพลังเป็นอย่างมาก


ถ้าจะใช้คำอะไรมาบรรยายแล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็ต้องเป็นความแสบร้อนและความวุ่นวาย


ความแสบร้อนที่ว่านั้นมาจากแหล่งกำเนิดเวทมนตร์ ถึงแม้มันจะเป็นแหล่งของพลังทั้งหมดทั้งมวล และจุดหมายปลายทางของสรรพสิ่ง แล้วก็เป็นฐานที่ทำให้โลกแห่งความฝันคงอยู่ แต่การจะเข้าไปใกล้มันโดยไม่มีการยกระดับนั้นไม่ได้ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตาย


ส่วนความวุ่นวายนั้นก็มาจากตัวของจิตสำนึก


เมื่อตื่นรู้พลังเวทมนตร์ไปได้ถึงระดับหนึ่งก็จะมีการทิ้งรอยประทับของจิตสำนึกเอาไว้บนแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์


จิตสำนึกจำนวนนับไม่ถ้วนจะไปรวมกันอยู่บนนั้นเหมือนเป็นมหาสมุทรที่ปกคลุมพื้นดิน บางจิตสำนึกก็จมลงไปยังก้นมหาสมุทร ยากที่จะตามหามันกลับมาได้อีก ส่วนบางจิตสำนึกก็ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ


ความแตกต่างของจิตสำนึกทั้งสองแบบนั้นอยู่ที่ว่าตัวจิตสำนึกจะรู้ถึงจุดนี้หรือไมj


ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในคุณลักษณะที่เอาไว้แยกระหว่างพวกชั้นต่ำกับชั้นสูง


จิตสำนึกที่จมอยู่ด้านล่างคือพวกที่ตายแล้ว ไม่มีค่าใดๆ อีก ส่วนจิตสำนึกที่ลอยอยู่นั้นแสดงให้เห็นว่าเคยมายังโลกแห่งจิตสำนึกแล้ว ต่อให้เคยเห็นแค่เพียงแวบเดียว มันก็ยังแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อยู่


เฮคซอดคือหนึ่งในผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องโลกแห่งจิตสำนึก


มันไม่เพียงแต่จะได้รับการยอมรับจากแหล่งกำเนิดเวทมนตร์ แต่มันยังมีความสามารถในการเชื่อมต่อกับโลกแห่งจิตสำนึกด้วย


นี่ทำให้มันสามารถหาข้อมูลที่มีค่าบางอย่างได้


แต่ว่าเรื่องแบบนี้มันไม่เหมาะกับการที่จะทำบ่อยๆ


จิตสำนึกมักจะมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน การอยู่ในนั้นเป็นเวลานานจะทำให้จิตสำนึกของตัวเองปนเปื้อนได้ง่าย บวกกับการเคลื่อนไหวอยู่ในนั้นเหมือนกับการเดินอยู่ในกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก หากไม่ระวังจะทำให้หลงทิศทางได้ง่าย มีปีศาจจำนวนมากที่เข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึกแล้วไม่สามารถกลับออกมาได้ มันไม่อยากที่จะทำผิดพลาดเหมือนอย่างปีศาจเหล่านั้น


เมื่อโยนเหตุผลทั้งสองข้อทิ้งไป เหตุผลที่สำคัญกว่านั้นก็คือแฮคซอดไม่ชอบที่นี่


ต่อให้เชื่อมต่อเข้ากับโลกแห่งจิตสำนึกเก่งแค่ไหน แต่จิตสำนึกที่ลอยอยู่ด้านบนมหาสมุทรก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น


เมื่อสูญเสียร่างกายที่คอยค้ำจุนไป ช้าเร็วจิตสำนึกก็ต้องจมลงไปในแหล่งกำเนิดเวทมนตร์ ส่วนด้านบนก็จะมีผู้ตื่นรู้ใหม่เข้ามาแทนที่ ภาพเหตุการณ์เหล่านี้คอยย้ำเตือนว่าตัวมันไม่ใช่อมตะ ถ้าไม่ได้รับการยกระดับจนถึงที่สุดแล้ว มันก็ยังมีโอกาสที่จะดับสูญได้อยู่ การรับรู้ถึงจิตสำนึกที่ไหลทะลักออกมาก็เหมือนกับว่ามันกำลังมองดูความตายของตัวเองอยู่ นี่จึงยากที่มันจะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในทะเลแห่งจิตสำนึกได้


ทันใดนั้นเอง แฮคซอดพลันพบเข้ากับกลิ่นที่คุ้นเคย


นี่มัน….คาบราดาบีเหรอ?”


มันค่อนข้างแปลกใจ


ทำไมอีกฝ่ายถึงดูอ่อนแอขนาดนี้? เหมือนกับว่ากำลังตายอย่างไรอย่างนั้น


ต่อให้แมลงพวกนั้นฆ่ามัน มันก็ไม่น่าจะมีสภาพเป็นแบบนี้นี่นา เพราะว่านั่นเป็นจิตสำนึกของผู้ที่ถูกยกระดับ ในฐานะที่เป็นแม่ทัพผู้กล้าของกองทัพตะวันตก การตายไม่มีทางทำให้จิตสำนึกของมันหายไป มันน่าจะมีหลงเหลือเพียงพอให้ตัวเองได้ใช้ค้นหาข้อมูลถึงจะถูก


แต่คาบราดาบีที่อยู่ตรงหน้า…ไม่เพียงแต่จะดูไม่เหมือนผู้ที่ถูกยกระดับ แต่มันยังดูอ่อนแอกว่าแมลงตัวเมียด้วยซ้ำ ด้วยพลังเวทมนตร์ที่อีกฝ่ายมีอยู่ในตอนนี้ จริงๆ มันไม่ควรจะเข้ามาในโลกแห่งจิตสำนึกได้ด้วยซ้ำ


เฮคซอดจินตนาการว่าตัวเองค่อยๆ ยื่นมือทั้งสองข้างไปจับจิตสำนึกนี้เอาไว้


“ท่ายสกายลอร์ด” จากนั้นก็มีเสียงหนึ่งปลุกมันให้ตื่นขึ้นมาจากโลกแห่งจิตสำนึก “ท่านจักรพรรดิเรียกท่านขอรับ”


มันหันหน้ากลับไปมององครักษ์ “ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อนไป”


“ขอรับ”


เฮคซอดปล่อยเศษชิ้นส่วนสืบทอดที่กำลังส่องแสงสีแดงอย่างอ่อนแรง ก่อนจะบินขึ้นไปยังยอดหอคอยแห่งการถือกำเนิด


นับตั้งแต่ที่ได้ชิ้นส่วนสืบทอดทางอารยธรรมส่วนหนึ่งมา การศึกษาวิจัยพลังเวทมนตร์ของพวกมันก็เรียกได้ว่าก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อพวกมันมีการคิดค้นระบบการอยู่อาศัยแบบพึ่งพาอาศัยกันขึ้นมา พวกมันก็เริ่มไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหินเวทมนตร์อีก แม้แต่หอคอยแห่งการถือกำเนิดนี้ก็มีพลังอะไรหลายๆ อย่างที่เมื่อก่อนนี้ไม่มี อย่างเช่นการขยายผลของพลังเวทมนตร์ให้รุนแรงขึ้น หรืออย่างเช่นทำให้สามารถเชื่อมต่อกับหอคอยแห่งการถือกำเนิดหออื่นได้


โดยเฉพาะอย่างหลังที่ให้ราชาซึ่งกระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ สามารถพูดคุยกับจักรพรรดิได้โดยตรง


บนยอดหอคอยมีหมอกแดงอยู่หนาแน่นมากที่สุด ความรู้สึกเปียกชื้นแบบนี้ได้พัดเอาความรู้สึกไม่ดีจากการเชื่อมต่อโลกแห่งจิตสำนึกออกไป เฮคซอดวางมือลงบนตัวหอคอยพร้อมกับรวบรวมสมาธิ


‘สกายลอร์ดรายงานตัวขอรับ ท่านจักรพรรดิ’


‘แผนการเป็นยังไงบ้าง?’ เสียงของจักรพรรดิค่อยๆ ดังขึ้นมา ‘เวลาเหลืออยู่ไม่เท่าไรแล้ว’


‘อาณาจักรซีสกายมีความเคลื่อนไหวหรือขอรับ?’ มันถามขึ้นมาทันที


‘ถูกต้อง แถมยังดูอันตรายอย่างมากด้วย หลายฝ่ายแนะนำว่าให้ถอยก่อน เพราะว่าพระผู้สร้างให้จะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อไรที่มันใช้การได้ เราก็จะเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีกลับใส่พวกมัน แทนที่จะตั้งรับเพียงอย่างเดียว’


พระผู้สร้าง!


เฮคซอดตกตะลึง


สุดยอดอาวุธในตำนาน ในที่สุด…ก็จะกลายเป็นจริงแล้วเหรอ?


สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระไปยังทั่วทุกมุมโลกได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสายแร่หินเวทมนตร์ นี่เคยเป็นเป้าหมายที่ปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนต่างเฝ้าปรารถนา และตอนนี้มันก็ใกล้จะกลายเป็นจริงแล้ว


มันเป็นทั้งของขวัญจากพระเจ้า แล้วก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าพวกมันเข้าใกล้แหล่งกำเนิดเวทมนตร์เข้าไปอีกก้าว


สกายลอร์ดใช้จิตสำนึกในการแสดงความชื่นชมต่อจักรพรรดิ


‘แล้วคำตอบของเจ้าล่ะ?’


‘กองทัพตะวันตกเจอเรื่องที่ไม่คาดคิดนิดหน่อยขอรับ’ เดิมเฮคซอดอยากจะตอบไปว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เพราะจักรพรรดิได้รับความกดดันจากทางอาณาจักรซีสกาย มันไม่ควรจะไปเพิ่มความลำบากใจอะไรให้เขา แต่มันก็ควรจะจงรักภักดีต่อจักรพรรดิ การไปคิดแทนจักรพรรดินั้นคือสิ่งที่มันไม่ควรทำ ‘แม่ทัพของข้ารายงานว่า ….’ มันชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจใช้คำเรียกอย่างเป็นทางการ เพราะนี่ก็เป็นคำเรียกที่อีกฝ่ายใช้เรียกตัวเองในอดีต ‘มนุษย์พวกนั้นแตกต่างไปจากเมื่อ 400 ปีก่อนอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องการทำสงคราม ทัพหน้าของเราได้รับความเสียหายนิดหน่อย แต่ว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแผนการของพวกเราขอรับ’


หลังฟังรายงานจบ จักรพรรดิก็นิ่งไปเล็กน้อย ‘ผลจากการวิวัฒนาการเหรอ?’


‘ไม่เกี่ยวกับการวิวัฒนาการขอรับ เหมือนจะเป็นการใช้อาวุธกับธาตุในธรรมชาติมากกว่า อย่างเช่นไฟที่พวกเราไม่ชอบ’


‘ไม่ใช่แม้กระทั่งพลังเวทมนตร์?’


‘เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้นขอรับ เดิมแม่ทัพของข้าคิดจะจับมนุษย์เหล่านั้นกลับมาเป็นๆ แล้วก็ยึดอาวุธของพวกมันมาซักสองสามชิ้นเหมือนกับเมื่อก่อนนี้ แต่เสียดายที่ไม่สำเร็จ’ เฮคซอดพูด ‘มันแนะนำให้ข้าส่งกำลังส่วนหนึ่งไปเพิ่มให้ทางทัพตะวันตก หรือไม่ก็ใช้โลกแห่งจิตสำนึกในการหาสาเหตุที่แท้จริงขอรับ’


‘มีผู้ที่ถูกยกระดับยกอยู่ในมือของมนุษย์เหรอ?’ จักรพรรดิพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ‘ถึงแม้ข้าจะคิดเอาไว้แล้วว่าช้าเร็วมันก็ต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นหลังจากที่เราผ่อนปรนเรื่องเงื่อนไขของผู้ที่จะทำการยกระดับ แต่นี่มันค่อนข้างจะเร็วไปหน่อยนะ ข้าจำได้ว่าแม่ทัพของกองทัพตะวันตกเป็นลูกน้องที่เจ้าภาคภูมิใจ แถมยังมีฉายาว่าแม่ทัพอัจฉริยะด้วย เจ้าแน่ใจนะว่ามันไม่ได้ละเลยหน้าที่?’


เฮคซอดรับก้มหน้าลงทันที


‘แล้วเจออะไรไหม?’


‘ไม่เจออะไรเลยขอรับ พลังเวทมนตร์ของมันก็อ่อนแรงจนแทบจะไม่มี สภาพแบบนี้ข้าไม่สามารถหารายละเอียดอะไรได้’ มันลังเลเล็กน้อย ‘แต่ว่า..’


‘แต่ว่าอะไร?’


‘วินาทีที่ข้าสัมผัสกับจิตสำนึกของมัน ข้าเหมือนจะมองเห็นเปลวไฟที่สว่างอย่างมาก…ข้าน่าจะมองผิดไปเองขอรับ’


‘ถ้าเป็นไฟจริงก็ไม่ต้องไปสนใจมัน’ จักรพรรดิตอบ ‘ถึงแม้พวกเราจะไม่ค่อยใช้มัน แต่เราก็รู้จักมันมากพอ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เราเรียนรู้มาจากพวกมนุษย์มันก็กลายเป็นอดีตไปนานแล้ว ส่วนคำขออันแรกนั้น ข้าขอปฏิเสธมันแทนเจ้าเอง การโจมตีของอาณาจักรซีสกายต่างหากถึงเป็นสิ่งสำคัญ ข้าไม่สามารถแบ่งกองทัพให้เจ้ามากไปกว่านี้ได้ เจ้าเองก็ห้ามเคลื่อนทัพที่มีอยู่ในตอนนี้ออกไปจนหมด อย่าลืมซะล่ะ ตอนนี้ชิ้นส่วนสืบทอดที่เกี่ยวพันถึงการยกระดับของเผ่าพันธุ์อยู่ในการดูแลของเจ้านะ!’


‘ข้าทราบแล้วขอรับ’


‘ดีมาก ระวังอย่าให้แผนการผิดพลาดล่ะ ทันทีที่พระผู้สร้างเสร็จสมบูรณ์ พวกเราจะกลายเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด’ เสียงของจักรพรรดิค่อยๆ หายไปในหัวของเฮคซอด


…………………………………………………………….



ตอนที่ 1090 ผู้มาเยือนที่เหนือความคาดหมาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

อาณาจักรดอว์น ตีนเขาเคจเมาเธ่น เมืองธอร์น


รถม้าค่อยๆ ขับผ่านไปบนถนน ก่อนจะไปหยุดอยู่หน้าคฤหาสน์ของเจ้าเมือง


“ถึงแล้ว ไสหัวลงมา เร็วๆ หน่อย!” ชายที่แต่งตัวเหมือนผู้คุมสะบัดแส้ในมือพร้อมตะโกนเสียงดัง “ถ้าอยากจะมีชีวิตอยู่ก็ทำตัวดีๆ อีกเดี๋ยวนายท่านถามอะไร พวกเจ้าก็ตอบไปตามนั้น เข้าใจไหม!”


คนที่เดินลงมาจากรถส่วนมากใส่เสื้อผ้าขาดๆ ใบหน้าขาวซีด มือทั้งสองข้างถูกเชือกมัดเอาไว้ ดูแล้วเหมือนกับตั๊กแตนอย่างไรอย่างนั้น พวกเขาล้วนแต่เป็นนักโทษ แถมยังเป็นนักโทษชั้นต่ำที่สุดด้วย


ภาพเหตุการณ์แบบนี้กลายเป็นเรื่องปกติของเมืองธอร์น เมืองเล็กๆ ที่ปกติไม่มีใครสนใจเริ่มคึกคักขึ้นมาตั้งแต่ทีมค้นหาของอาณาจักรเกรย์คาสเซิลมาประจำอยู่ที่นี่ ไม่เพียงแต่จะมีคาราวานพ่อค้าเดินทางมาอย่างไม่ขาดสาย แต่ยังมีตัวแทนที่เจ้าเมืองต่างๆ ส่งมาอีกเป็นจำนวนมากด้วย พวกเขาถ้าไม่พักโรงแรมในเมือง ก็ไปตั้งเต็นท์อยู่นอกเมือง ทำให้เมืองเล็กๆ แห่งนี้ดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นจากเดิมอีกเท่าหนึ่งในระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือนกว่า


“ท่านมาล คนพวกนี้เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?” ฟอรินต์ เชฟฟิลด์จากเมืองเมเปิลซองคือหนึ่งในนั้น เขาถูมือแล้วมองมาที่มาล โทคัตซึ่งเป็นตัวแทนขุนนางใหญ่ของเมืองกลอรี ก่อนจะพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ร่างกายแข็งแรง ไม่มีอะไรเสียหาย เป็นของชั้นดีที่ข้าเลือกมาจากคุกเองกับมือเลยขอรับ เห็นพวกมันผอมแห้งอย่างนี้ แต่ความจริงแล้วพวกมันดุร้ายมากนะขอรับ ขอเพียงให้ข้าวพวกมันสองมื้อ พวกมันก็ทำงานตามที่ท่านต้องการได้แล้วขอรับ”


“พอได้แล้ว” มาลโบกมืออย่างหงุดหงิด ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีนามสกุลของเจ้าเมืองเมเปิลซอง แต่เพียงแค่ดูสีหน้าท่าทาง มาลก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่มีค่าพอให้ตัวเองต้องไปใส่ใจนัก “คนที่อยากจะซื้อนักโทษไม่ใช่ข้า หากแต่เป็นท่านฌอน หัวหน้าองครักษ์ของราชาเกรย์คาสเซิลท่านนี้ต่างหาก”


อย่างนี้นี่เอง” ฟอรินต์ทำความเคารพอีกครั้ง “พอได้ยินคำสั่งจากราชาแห่งดอว์น ท่านเจ้าเมืองของข้าก็รีบตอบสนองทันที เขาสั่งการให้ข้ารีบเตรียมตัวออกเดินทางโดยเร็วที่สุดก็เลยเกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้ ขอใต้เท้าได้โปรดอภัย”


“ไม่เป็นไร” ฌอนเดินไปที่หน้านักโทษแล้วกวาดตามองดู เมื่อเทียบกับนักโทษกลุ่มแรกๆ ที่ราชาแห่งดอว์นส่งมาแล้ว นักโทษเหล่านี้ดูจะมีคุณภาพต่ำกว่าเยอะ แต่ว่าตอนนี้วิหารต้องสาปได้เริ่มทำการขุดเต็มกำลังแล้ว ทำให้มีความต้องการแรงงานจำนวนมาก เขาจึงไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืดกับเรื่องนี้ ขอแค่สามารถใช้งานได้ก็พอ


ในขณะที่เขาเดินทางถึงตรงกลางแถวนักโทษ จู่ๆ ก็มีนักโทษคนหนึ่งคุกเข่าลงตรงหน้าเขา “นายท่าน ข้าถูกปรักปรำ ได้โปรดปล่อยข้าด้วยเถอะ นายท่าน!”


เนื่องจากทั้งสองมือถูกเชือกมัดล่ามเอาไว้กับนักโทษคนอื่นๆ ด้วย อีกฝ่ายพยายามจะก้มหัวลงไป แต่ก็ถูกกำแพงมนุษย์รั้งเอาไว้ เขาจึงได้ต้องคุกเข่ายืดตัวตรงพร้อมขอร้องอ้อนวอน


“เจ้าอยากตายเหรอ!” ผู้คุมทำสีหน้าดุร้าย ถ้าไม่เป็นเพราะยังมีขุนนางใหญ่ยืนอยู่อีกสองคน เกรงว่าเขาจึงเอาแส้ฟาดอีกฝ่ายไปแล้ว


“ถูกปรักปรำยังไง?” ฌอนหยุดฝีเท้า


“ข้าไม่ได้ฆ่าคนกับปล้นขอรับ ข้าเพียงแค่ขโมยไก่เพื่อนบ้านแค่สองสามตัวเท่านั้น!” นักโทษรีบตอบ” ในเมืองเมเปิลซอง โทษอันนี้เพียงแค่ถูกโบยหรือไม่ก็ถูกเนรเทศเท่านั้น ไม่มีทางที่โทษจะหนักจนถึงตายนะขอรับนายท่าน!”


“เป็นแบบนั้นจริงเหรอ?” ฌอนมองฟอรินต์


อีกฝ่ายรีบพูดขึ้นมาว่า “ทั้งใช่แล้วก็ไม่ใช่ขอรับใต้เท้า ก่อนที่จะตอบรับคำสั่งของราชาแห่งดอว์นหนึ่งวัน ทางเอิร์ลเชฟฟิลด์ได้ทำการแก้ไขกฎหมายภายในเมืองนิดหน่อยขอรับ เพื่อเป็นการสู้กับพวกโจรใต้ดินที่เหิมเกริม โทษทั้งหมดภายในเมืองจึงถูกเพิ่มให้หนักขึ้นไปอีก โทษขโมยของก็เหมือนกันขอรับ”


“อะ อะไรนะ?” นักโทษลืมตาโต “ขโมยไก่แค่ไม่กี่ตัวต้องถูกประหารชีวิตเลยเหรอ?”


“มีอะไรเข้าใจยากนักเหรอ?” ฟอรินต์กวาดตามองเขา “ภายในอาณาจักรเกิดสงครามขึ้นมา เพื่อที่จะปราบปรามพวกที่ก่อความไม่สงบ เมืองเมเปิลซองเองก็เสียหายไปไม่น้อยเหมือนกัน บวกกับมีชาวบ้านที่อพยพออกนอกเมืองมากขึ้น ถ้าไม่เพิ่มโทษ แล้วจะกำราบพวกสวะอย่างพวกเจ้าได้อย่างไร? วันนี้เจ้าขโมยไก่ของเพื่อนบ้าน ไม่แน่เพื่อนบ้านอาจจะต้องอดตายเพราะเหตุนี้ก็ได้ แล้วนี่มันต่างอะไรกับการฆ่าคนล่ะ! ข้าว่านี่มันก็เป็นโทษที่เหมาะสมกับเจ้าแล้ว”


“นายท่าน ข้า…”


นักโทษอยากจะพูดแก้ต่าง แต่ฌอนก็พูดตัดบทเข้าขึ้นมา “ในเมื่อมีโทษติดตัวอยู่ อย่างนั้นก็คิดซะว่านี่เป็นการทำงานเพื่อชดใช้โทษแล้วกัน” เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียงดังขึ้น “ข้าว่าพวกเจ้าน่าจะรู้แล้ว ขอเพียงทำงานไปสิบปี ไม่ว่าจะเป็นโทษอะไรก็จะได้รับการอภัยโทษทั้งหมด นี่คือคำสัญญาของราชาแห่งเกรย์คาสเซิลและราชาแห่งดอว์น! อย่าได้คิดหนีซะล่ะ นี่คือโอกาสเพียงหนึ่งเดียวของพวกเจ้า”


หลังส่งสัญญาณให้คนพานักโทษออกไปแล้ว ฟอรินต์ก็เดินยิ้มๆ เข้ามา “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านต้องรับพวกมันเอาไว้ทั้งหมด ตามสัญญาที่ตกลงเอาไว้ หนึ่งคนก็เท่ากับ…”


“หนึ่งเหรียญทอง รวมทั้งหมด 106 เหรียญทอง ถูกต้องใช้ไหม?” ฌอนตอบ


“ใช่แล้วขอรับ!” ฟอรินต์ตาเป็นประกายขึ้นมา


“ไปเอาที่ปราสาทเจ้าเมือง ข้างในจะมีคนคอยต้อนรับเจ้า”


“ขอรับ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละขอรับ!” เขาพูดหน้าตายิ้มแย้ม


“แล้วก็” ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังหันหลังไป ฌอนพลันพูดขึ้นมาว่า “อย่าให้เรื่องแบบนี้เกิดเป็นครั้งที่สองล่ะ”


“ท่านหมายความว่า…” ฟอรินต์งุนงง


“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าเมืองเมเปิลซองเพิ่งจะแก้กฎหมายเมื่อหนึ่งวันก่อนหน้านี้จริงหรือเปล่า ตามสัญญาที่ระบุเอาไว้ นักโทษจำเป็นต้องรู้ถึงเป้าหมาย อีกทั้งรางวัลและการลงโทษในการเดินทางครั้งนี้ ถ้าคราวหน้ามีเหตุการณ์ที่มีคนไม่รู้ว่าตัวเองถูกตัดสินโทษประหารแล้วมานั่งร้องโวยวายว่าตัวเองถูกปรักปรำแบบนี้อีก ข้าจะตัดเงินเจ้า” ฌอนพูดเสียงเข้ม


เขาไม่สนใจที่จะไปนั่งทำตัวเป็นผู้พิพากษาที่ตัดสินโทษด้วยความเป็นธรรม อีกทั้งก็ไม่ได้มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอะไรคนพวกนี้ด้วย สำหรับเขาแล้ว การทำภารกิจที่ฝ่าบาทโรแลนด์มอบหมายมาให้สำเร็จคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ขณะเดียวกันก็พยายามไม่ให้พวกพ่อค้าและขุนนางที่โลภมากมาทำให้ชื่อเสียงขอฝ่าบาทต้องเสียหาย


“ข้า….เข้าใจแล้วขอรับ” ฟอรินต์ก้มหน้าตอบ “ครั้งหน้าข้าจะระวังมากกว่านี้ขอรับ”


หลังอีกฝ่ายออกไป มาลก็ยักไหล่ขึ้นมาแล้วพูดว่า “ลำบากเจ้าแย่เลยนะ”


“ทำงานให้ฝ่าบาท ไม่มีอะไรต้องรู้สึกลำบาก”


“งั้นเหรอ?” มาลมองไปทางเมืองเล็กๆ ที่ยิ่งดูเบียดเสียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “ขนาดแค่ซื้อตัวนักโทษประหารยังต้องละเอียดขนาดนี้ นี่ควรจะบอกว่าฝ่าบาทวิมเบิลดันทรงจงใจให้เป็นเช่นนี้…หรือว่าเป็นความเห็นอกเห็นใจของพระองค์มาตั้งแต่เกิด? ข้าได้ยินพี่ชายข้าบอกว่า อายุของพระองค์ใกล้เคียงกับข้า แต่พระองค์กลับกลายเป็นราชาที่ไร้คู่ต่อกร ปกติแล้วคนที่เป็นราชามักจะไม่มีความเห็นใจเช่นนี้ ตอนนี้แม้แต่องครักษ์ของพระองค์ก็ยังเป็นเหมือนอย่างพระองค์ด้วย ข้าชักอยากจะขอเข้าเฝ้าพระองค์ดูซักครั้งแล้วสิ”


“ด้วยสถานะของสามตระกูลใหญ่ๆ ถ้าอยากจะขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทนั้นไม่ได้เรื่องที่ยากลำบากอะไร” ฌอนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยๆ “นอกจากนี้ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะไม่พูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าองครักษ์คนนั้น”


“ไม่เห็นเป็นไรเลย เทียบกับการพูดกันตรงๆ แล้ว เจ้ายิ่งไม่ชอบการปิดบังไม่ใช่เหรอ?” มาลพูด


ฌอนมองออก ที่แท้ชายคนนี้ก็ถือเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย สมแล้วที่เป็นลูกชายคนรองของตระกูลโทคัต นิสัยเขาค่อนข้างคล้ายกับโอโร โทคัตทีเดียว


การจะรับมือกับคนแบบนี้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือทำเป็นไม่สนใจ


เขาหันหลัง ในขณะที่กำลังคิดจะเดินไปที่ลานวางของของกองทัพที่หนึ่ง พลันมีทหารนายหนึ่งรีบวิ่งเข้ามา


“ท่านฌอน มีคนแปลกหน้าคนหนึ่งอยากจะขอพบท่าน เขาบอกว่าตัวเองรู้เรื่องเบาะแสของสมบัติขอรับ”


ฌอนขมวดคิ้ว นับตั้งแต่ที่ข่าวการเสาะหาสมบัติแพร่กระจายออกไป ทุกๆ สองสามวันก็จะมีคนมาบอกว่าตัวเองรู้เรื่องเกี่ยวกับสมบัติ เพียงแต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครที่รู้จริง คนพวกนั้นต่างเป็นพวกหลอกลวงที่มาเพื่อเงินทั้งนั้น “ข้าบอกแล้วไง ถ้าไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนก็ยังไม่ต้องมาแจ้งข้า”


“แต่คนนั้นๆ ต้องการข้อเข้าพบท่านให้ได้ขอรับ” นายทหารตอบ “ยิ่งไปกว่านั้นเขายังบอกอีกฝ่ายตัวเองเป็นผู้รอดชีวิตกลุ่มสุดท้ายของเฮอร์มีส นอกจากเบาะแสของสมบัติแล้ว เขายังรู้ที่อยู่ของสาวกศาสนจักรคนอื่นๆ ด้วย พวกเราก็เลยคุมตัวเขาเอาไว้ขอรับ”


เฮอร์มีส…ศาสนจักร?


ฌอนหรี่ตา “เข้าใจแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี่แหละ”


………………………………………………………………….



ตอนที่ 1091 ความรักที่สิ้นหวัง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภายในเต็นท์ ฌอนมองชายที่ถูกมัดอยู่บนเก้าอี้อย่างละเอียด ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่ได้หลบสายตาหรือว่าตะโกนโวยวายแต่อย่างใด เขาเองก็มองดูฌอนด้วยสายตาเยือกเย็นเหมือนกัน


ความเงียบแบบนี้ไม่เหมือนกับสีหน้าของคนที่กำลังจะขายความลับเลย ตอนที่ยังอยู่ที่เมืองหลวงเก่า ฌอนเคยเห็นคนที่มาขายหรือหักหลังเพื่อนจำนวนมาก ถึงแม้การหักหลังกันของศัตรูจะทำให้ตัวเองได้ประโยชน์ แต่ท่าทีน่าเกลียดที่เกิดจากความละโมบ การใส่ร้ายและความหิวกระหายในอำนาจนั้นกลับทำให้เขารู้สึกรังเกียจ


นี่ทำให้ภายในใจหัวหน้าองครักษ์เกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมานิดหน่อย


หลังจ้องตากันอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงถามขึ้นมาว่า “ชื่ออะไร?”


“โจ” ชายคนนั้นตอบ “เจ้าคือผู้บังคับบัญชาของที่นี่หรือเปล่า? ‘ที่นี่’ ที่ข้าพูดไม่ได้หมายถึงเจ้าเมืองของเมืองเมเปิลซองหรือที่ไหน หากแต่หมายถึงผู้รับผิดชอบกองทัพของเกรย์คาสเซิล”


“นั่นมันสำคัญด้วยเหรอ?”


“ถ้าไม่ใช่ ข้าก็จะไม่พูดอะไรทั้งนั้น เพราะว่า…พูดไปมันก็ไม่มีประโยชน์”


น่าสนใจดีนี่


ฌอนค่อยๆ โน้มตัวลง “ข้าคือหัวหน้าองครักษ์ของฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดันแห่งเกรย์คาสเซิล แล้วก็เป็นหัวหน้าทีมสำรวจของเกรย์คาสเซิลด้วย เจ้าเรียกข้าว่าฌอนก็ได้ ในเมื่อเจ้าได้เจอคนที่เจ้าอยากเจอแล้ว อย่างนั้นก็พูดเรื่องเบาะแสของสมบัติได้แล้วใช่ไหม?”


“ถ้าพวกท่านดั้นด้นมาถึงภูเขาเคจเมาเธ่นเพื่อวิหารต้องสาปแล้วล่ะก็ อย่างนั้นสิ่งที่พวกท่านตามหาจะต้องเป็นลูกบาศก์เวทมนตร์แห่งการบูชายัญแน่นอน” โจพูดออกมาตรงๆ “และเจ้าสิ่งนี้ ตอนนี้ก็อยู่ในมือของโรแลนโซ่ เอิร์ลของเกาะอาชดยุค!”


ฌอนรู้สึกแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย เดิมเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะพูดเรื่องเงื่อนไขก่อน จากนั้นก็ค่อยให้เบาะแสออกมาส่วนหนึ่งแบบอ้อมค้อม ส่วนเรื่องว่าจริงหรือไม่จริงก็ยังต้องไปเสียเวลานั่งตรวจสอบอีก  แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายกลับพูดออกมาตรงๆ จนหมด  “เจ้าเคยเห็น…ของสิ่งนั้นเหรอ?”


“ไม่เคย แต่สำหรับศาสนจักรแล้ว นั่นไม่ใช่ความลับอะไร” โจเล่าเรื่องที่ศาสนจักรบุกไปปล้นอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทออกมาแบบคร่าวๆ “ตอนนั้นเพื่อจะแสดงความดีความชอบของตัวเอง โรแลนโซ่ที่รับผิดชอบหน้าที่นี้ได้โอ้อวดเรื่องสมบัติที่ว่านี้ในรายงาน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของศาสนจักรจำนวนไม่น้อยต่างรู้เรื่องนี้ แต่หลังจากนั้นมันก็ไม่ได้รับความสนใจอะไรจากเมืองเฮอร์มีส”


“อย่างนี้นี่เอง ในช่วงเวลาร้อยกว่าปีมานี้สมบัติตกไปอยู่ในอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท จากนั้นศาสนจักรก็บังเอิญมาเจอมันเข้า นี่ถือเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือทีเดียว” ฌอนลูบคางตัวเอง “แต่ว่าทำไมเจ้าถึงมาบอกข้าล่ะ? ถ้าเอาข้อมูลนี้ไปขายให้กับเจ้าเมืองคนอื่นๆ เจ้าน่าจะได้ประโยชน์มากกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?”


โจสูดหายใจ “นายท่าน ท่านเคยได้ยินเรื่อง…กองทัพอาญาสิทธิ์ไหม?”


“แน่นอน กองทัพลับที่ศานจักรภาคภูมิใจ” ฌอนทำสีหน้าเหมือนล้อเลียน “แต่เสียดายที่กองทัพเหล่านั้นถูกกองทัพที่หนึ่งของฝ่าบาทโรแลนด์บดขยี้ในศึกสันเขาโคลด์วินด์ไปแล้ว”


“อย่างนั้นก็ดี” แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ทำสีหน้าเจ็บแค้นออกมา “ข้าจะไม่ได้ต้องพูดอ้อมค้อมให้มาก ในมือโรแลนโซ่ตอนนี้มีกองทัพอาญาสิทธิ์อยู่ นอกจากราชาแห่งเกรย์คาสเซิลแล้วก็ไม่มีใครกล้าที่จะลงมือกับเกาะอาชดยุค”


“โอ้?” ฌอนเลิกคิ้วขึ้นมา “ข้านึกว่าสัตว์ป่าในร่างคนพวกนี้จะตายไปในดงกระสุนที่สันเขาโคลด์วินด์หมดแล้วนะเนี่ย เขายังมีทหารอาญาสิทธิ์อยู่เท่าไร?”


“สิบ…ไม่สิ ประมาณห้าคน” โจลังเลเล็กน้อย “ยังไงซะก็เหลืออยู่ไม่เยอะ”


“ถ้าอยากจะโจมตีปราสาท แค่ห้าคนก็ถือว่าน่ากลัวอย่างมากแล้ว” ฌอนยิ้มๆ ก่อนจะพูดต่อว่า “อย่างนั้นเจ้าอยากจะได้อะไรจากข้า? พูดอีกอย่างก็คือข้อมูลอันนี้มีค่าเท่าไร?”


“ไม่ ข้าแค่อยากจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป” โจพูดเสียงเบาๆ “ศาสนจักรไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเกรย์คาสเซิลอีกต่อไปแล้ว แต่พวกสาวกที่หนีตายมาพวกนั้นยังไม่ยอมเลิกรา โรแลนโซ่ก็กำลังคิดที่จะเล่นงานพวกท่านอยู่ คนของเขาน่าจะเข้ามาในเมืองธอร์นเรียบร้อยแล้ว ข้าไม่อยากซวยไปกับพวกเขาด้วย ถ้า…” เขาชะงักไปเล็กน้อย “ถ้าข้อมูลนี้สามารถใช้ได้ ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลน่าจะเว้นโทษให้ข้าได้ใช่ไหม?”


ทำแบบนี้เพื่อจะมีชีวิตรอดต่อไปจริงๆ งั้นเหรอ?


ฌอนวางแขนทั้งสองข้างลงบนโต๊ะพร้อมกับใช้มือเท้าค้างเอาไว้ นี่คือท่าทางที่ฝ่าบาทโรแลนด์มักจะทำเป็นประจำเวลาสอบถามปัญหา ถึงแม้เขาจะไม่มีความสามารถเหมือนอย่างไนติงเกล แต่บางครั้งมันก็ไม่จำเป็นต้องใช้พลังเวทมนตร์มาแยกแยะว่าเรื่องไหนจริงไม่จริง


อย่างน้อยเขาก็มองไม่เห็นความคิดที่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปบนตัวชายที่ชื่อโจคนนี้เลย โดยเฉพาะในตอนที่มองตากันก่อนหน้านี้ ในดวงตาของเขาคู่นั้นเหมือนจะตัดสินใจอย่างแน่วแน่มาแล้ว


บางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าความตั้งใจแน่วแน่ของเขามันได้สะท้อนออกมาให้เห็นผ่านทางสายตา


“แค่นี้เหรอ?”


“ชะ…ใช่”


“เช่นนั้นข้าจะให้คนพาเจ้าไปยังเมือเนเวอร์วินเทอร์”


“เอ๋?” โจรู้สึกแปลกๆ “ทำไมถึงต้องไปเมืองเนเวอร์วินเทอร์ด้วย?”


ฌอนลุกขึ้นยืน “ข้าไม่มีสิทธิ์ที่จะอภัยโทษให้เจ้า แล้วก็ไม่สามารถทำเป็นไม่สนใจสาวกที่กลับตัวได้ด้วย ดังนั้นการส่งเจ้าไปยังเมืองเนเวอร์วินเทอร์จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่ต้องกังวล ความเมตตาและความยุติธรรมของฝ่าบาทนั้นเป็นที่รู้ดีกันไปทั่วทั้งเกรย์คาสเซิล สโมสรแม่มดเองก็มีวิธีที่จะยืนยันความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่เจ้าให้มา ถ้าเจ้าไม่ได้พูดโกหก อย่างนั้นเจ้าก็จะได้รับการตัดสินที่เป็นธรรม การได้รับเว้นโทษนั้นเป็นเพียงแค่ขั้นแรกเท่านั้น ถ้าเจ้าโชคดี เผลอๆ เจ้าอาจจะได้รางวัลด้วย


“นะ นายท่าน…แล้วสมบัตินั่น…” โจอยากจะลุกขึ้นมา แต่เชือกที่มัดอยู่บนตัวเขาทำให้เขาไม่อาจขยับตัวได้


“ถ้ามันอยู่ในมือเอิร์ลโรแลนโซ่จริงๆ อย่างนั้นช้าเร็วมันก็ต้องเป็นของฝ่าบาท ยิ่งไปกว่านั้นสมบัตินั่นมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าด้วยไม่ใช่เหรอ?” ฌอนผายมือ “ไม่มีอะไรต้องกังวล ถึงแม้ระยะทางจากนี่ไปยังเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะค่อนข้างไกล แถมก่อนหน้าที่ข้อมูลจะได้รับการยืนยันเจ้าจะต้องถูกจำกัดการเคลื่อนไหวเอาไว้ แต่ทั้งหมดนี้จะต้องได้รับการชดเชยอย่างแน่นอน เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลว่าศาสนจักรจะมาทำอะไรเจ้าอีก” เขามองไปทางทหาร “เอาตัวเขาไป”


“ไม่ นายท่าน เดี๋ยวก่อน…” โจสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ความสุขุมอย่างในตอนแรกพลันถูกทำลายลง สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความลนลานและความสิ้นหวัง เขาพยายามฝืนยันตัวขึ้นมา ก่อนจะล้มคว่ำลงไปกับพื้น “ขอร้องท่านล่ะ อย่าส่งข้าไปเมืองเนเวอร์วินเทอร์เลย!”


ในน้ำเสียงของเขาแฝงเอาไว้ด้วยความเศร้าสร้อยอย่างที่ยากจะจินตนาการได้ ราวกับว่าการแสดงออกก่อนหน้านี้ของเขาล้วนแต่เป็นการเสแสร้ง อารมณ์สิ้นหวังเช่นนี้ทำให้ฌอนต้องหยุดฝีเท้าลง….เห็นๆ อยู่ว่าไม่กลัวแม้กระทั่งความตาย แต่ตอนนี้กลับทำสีหน้าเช่นนี้ออกมา นี่ทำให้เขารู้สึกไม่เข้าใจจริงๆ


“ทำไม?” เขาหมุนตัวกลับมา “หรือจะบอกว่าสิ่งที่เจ้าต้องการมันไม่ใช่แค่นี้?”


“ขอท่านได้โปรด…ช่วยฟาร์รีน่าด้วย ได้โปรดเถอะนายท่าน!” โจกัดเศษดินที่อยู่บนพื้นพร้อมตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง “ไม่มีเวลาเหลือแล้ว นาง…นางไม่มีเวลาเหลือแล้ว…”


สุดท้ายชายคนนั้นก็ร่ำไห้ออกมา


นี่น่าจะเป็นความจริงแล้วล่ะมั้ง…ฌอนครุ่นคิด


เขาเดินเข้าไปหาโจที่กำลังร้องไห้จนตัวสั่น ก่อนจะตบไหล่เขา “ฟาร์รีน่าคือใคร แล้วทำไมถึงไม่มีเวลา…ข้าว่าตอนนี้พวกเราคงจะคุยกันดีๆ ได้แล้วล่ะนะ”


….


กระทั่งอีกฝ่ายสงบสติอารมณ์และเล่าเรื่องราวทุกอย่างออกมา ฌอนถึงได้เข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่


จุดเริ่มต้นทุกอย่างนั้นเกี่ยวข้องกับความรัก


อีกฝ่ายต่างหากที่เป็นสาวกของศาสนจักรที่หนีตายออกมา ส่วนอดีตมุขนายกก็กลายเป็นศัตรูของพวกเขา ในตอนที่หมดหนทอง การที่โจตัดสินใจมาหากองทัพที่หนึ่งของเกรย์คาสเซิลซึ่งเป็นอดีตศัตรูคู่อาฆาตของศาสนจักรจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะพวกเขานั้นเกลียดคนทรยศมากกว่าศัตรู ขณะเดียวกันเขาเองก็รู้ถึงเหตุผลที่ภายในใจของอีกฝ่ายมีความมุ่งมั่นโดยไม่หวั่นแม้กระทั่งความตาย เพราะโจไม่เคยคิดว่าตัวเขาจะสามารถปิดบังกองทัพที่หนึ่งไปได้ตลอด บางทีในสายตาของเขาอาจจะมองว่าการที่ตัวเองกับฟาร์รีนาถูกส่งขึ้นไปบนแท่นประหาร ยังไงก็ดีกว่าถูกทรมานโดยฝีมือโรแลนโซ่


ถ้าค่อยๆ ปล่อยให้ข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ไม่แน่หลังจากนี้อีกสองสามเดือนมันอาจจะได้ผลอย่างที่ต้องการก็ได้ แต่ด้วยเวลาที่คับขันทำให้เขาเลือกที่จะเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยง ถึงแม้โรแลนโซ่จะไม่มีทางทรมานฟาร์รีน่าให้ถึงตาย เพื่อที่เขาจะได้รีดข้อมูลเกี่ยวกับคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์จากเธอ แต่ด้วยความอดทนและความสามารถในการฟื้นฟูของร่างกายมนุษย์ที่มีขีดจำกัด ถ้าจะรออีกครึ่งปีแล้วค่อยให้เกรย์คาสเซิลเคลื่อนไหว เกรงว่าถึงตอนนั้นทุกอย่างก็คงจะสายไปเสียแล้ว


เดิมทีความขัดแย้งภายในศาสนจักรนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฌอน แต่เมื่อมีความรักเข้ามาเกี่ยว ข้อมูลที่ว่านี้ก็มีความน่าเชื่อถือขึ้นมาทันที


หลังจากนี้ขอเพียงหาตัวสายสืบที่โรแลนโซ่ส่งมาให้เจอ ทุกอย่างก็จะได้รับการยืนยัน


“ข้าเข้าใจแล้ว เอาไว้จับคนพวกนั้นมาได้ ข้าจะรีบรายงานฝ่าบาททันที” ฌอนค่อยๆ พูด “ใช้นกส่งจดหมาย”


……………………………………………………………………..



ตอนที่ 1092 หมายจับ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เจ้าก็เลยคิดจะช่วยมัน?” มาล โทคัตขมวดคิ้ว “เศษเดนของศาสนจักรเนี่ยนะ?”


หลังคุมตัวโจออกไป หัวหน้าองครักษ์ก็รีบเรียกทูตจากเมืองกลอรีเข้ามาทันที ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง เขาไม่กังวลว่าสามตระกูลใหญ่จะละโมบอยากได้สมบัติ เพราะไม่มีใครรู้วิธีการใช้ที่แท้จริงของมัน ถ้ามันมีพลังแข็งแกร่งอย่างที่ว่าจริงๆ อย่างนั้นมันคงไม่มีทางหลุดรอดออกไปจากอาณาจักรดอว์นตั้งแต่แรกแล้ว


“ช่วยหรือไม่ช่วย เรื่องนั้นข้าเป็นคนตัดสินใจเอง” ฌอนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “คำสั่งที่ข้าได้รับมาคือพยายามหาเบาะแสของสมบัติให้ได้เร็วที่สุด ตอนนี้เมื่อมีเบาะแสที่ดูน่าเชื่อถือปรากฏขึ้นมา ข้าก็ย่อมต้องทำการยืนยันว่ามันจริงหรือไม่จริง ส่วนหลังจากนี้จะใช้วิธีไหนก็ต้องให้ฝ่าบาทเป็นคนตัดสินพระทัย” เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะมองดูอีกฝ่าย “อย่างนั้นเจ้ามีแผนอะไรไหม ท่านทูต?”


กองทัพที่หนึ่งนั้นแข็งแกร่งไร้ผู้ต่อต้าน แต่นั่นก็ต้องมีศัตรูให้พวกเขาสู้ การจะหาพวกสายสืบที่หลบซ่อนอยู่เงามืดนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาถนัด ดังนั้นเรื่องนี้ให้ทางสามตระกูลใหญ่เป็นคนจัดการจึงมีความเหมาะสมมากกว่า


“บอกตามตรง ข้าอยากจะทำเป็นไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มากกว่า” มาลยักไหล่ “ถ้าไม่เป็นเพราะศานจักร พี่แอนเดรียก็คงไม่ถูกไล่ออกไปจากอาณาจักรดอว์น ไม่แน่ตอนนี้อาจจะกลายเป็นภรรยาของพี่…..อะแฮ่มๆ แต่ว่าในเมื่อท่านเอ่ยปากมา ข้าก็มีแต่ต้องช่วยเต็มที่ ถึงแม้ช่วงนี้ภายในเมืองจะมีคนเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าอยากจะหากลุ่มคนที่มีความพิเศษซักกลุ่มมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”


“กลุ่มคนพิเศษ?”


“ถูกต้อง เส้นทางบนเขาเคจเมาเธ่นถูกปิดเอาไว้ ถ้าอยากจะข้ามจากวูล์ฟฮาร์ทมาที่นี่ เส้นทางที่สั้นที่สุดก็คือทางทะเล นั่นก็คือทุกคนต้องผ่านอ่าวคอรอล เมืองท่าที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองธอร์น” มาลกางนิ้วมือออกมา “คนที่มาจากทางตะวันออกมีอยู่ 10 – 15 คน บางทีอาจจะมีคนที่มีสำเนียงของวูล์ฟฮาร์ทหรือไม่ก็รูปแบบการแต่งตัวที่เหมือนชาววูล์ฟฮาร์ทอยู่ ถ้าใช้ข้อมูลนี้ไปทำการคัดกรองดู ก็จะทำให้กลุ่มเป้าหมายหดเล็กลงเหลือ 2 – 3 กลุ่ม อย่างมากก็ไม่เกิน 5 กลุ่ม”


“เพราะวาเมืองที่อยู่ทางตะวันออก…มีแค่อ่าวคอรอลเหรอ?” ฌอนพูดเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ก็เหมือนกับคนที่เดินทางจากทางตะวันออกมายังเมืองเนเวอร์วินเทอร์นั้นอาจจะมีคนที่เดินทางมาจากที่ต่างๆ ของเกรย์คาสเซิล แต่พวกที่เดินทางจากตะวันตกมายังเมืองเนเวอร์วินเทอร์ส่วนใหญ่ก็จะมีแค่ปีศาจเท่านั้น “พอหาคนพวกนี้ออกมาได้ก็ค่อยจับพวกเขามาสอบสวน?”


“ถูกต้อง” มาลพยักหน้า “สายสืบที่ท่านต้องการหามีความเป็นไปได้สูงที่จะอยู่ในคนกลุ่มนี้”


“ปัญหาอยู่ที่ว่าใครจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้?”


“จะมีใครรู้จักเมืองเล็กๆ นี้ดีกว่าพวกโจรใต้ดินอีกล่ะ? แค่ให้เงินพวกมันก็แก้ไขปัญหาได้แล้ว” มาลพูดยิ้มๆ พร้อมเอามือขึ้นมาทาบที่ท่าอก “เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของสามตระกูลใหญ่ ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ทางตระกูลโทคัตจะเป็นคนรับผิดชอบเอง”


…..


ในโรงแรมเล็กๆ ที่อยู่ชานเมืองธอร์น แฮกริดผู้เป็นพ่อบ้านของเอิร์ลแห่งเกาะอาชดยุคกำลังปัดยุงอย่างหงุดหงิด


โรงแรมบ้านี่ทุเรศจริงๆ เลย แม้แต่มุ้งซักหลังก็ยังไม่มี เขาคิดอย่างหงุดหงิด ฤดูร้อนยังมาไม่ถึงยังบินกันว่อนขนาดนี้ นี่ถ้าผ่านไปอีกซักสองเดือนจะนอนยังไงเนี่ย?


แต่จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้ถึงสาเหตุที่ลูกบาสก์เวทมนตร์แห่งการบูชายัญเปล่งแสงออกมา


เขาเริ่มจะไม่แน่ใจแล้วว่าราชาแห่งเกรย์คาสเซิลส่งคนมาที่นี่เพื่อหาสมบัติในวิหารต้องสาปจริงๆ หรือไม่


ก็ลองดูสิว่าช่วงนี้พวกเขาทำอะไร?


จากข่าวที่ลูกน้องของเขารวบรวมมา ทีมสำรวจของเกรย์คาสเซิลมาถึงเมืองธอร์นตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อน จากนั้นพวกเขาก็เริ่มสร้างถนน แล้วก็เกณฑ์นักโทษประหารท่าทางดูน่ากลัวมา วิหารที่ตั้งอยู่ตรงไหล่เขาถูกพวกเขาขุดทั้งวันทั้งคืน ทุกๆ วันจะมีก้อนหินถูกขนลงมาจากบนเขา ก่อนจะเอามาวางไว้ยังที่โล่งๆ ที่มีคนคอยเฝ้าอยู่ตลอดเวลา


ถ้าบอกว่าพวกเขาทำเช่นนี้เพื่อต้องการจะหาสมบัติที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินก็ยังพอจะเป็นไปได้ แต่ในความเป็นจริง พวกทหารของเกรย์คาสเซิลดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับก้อนหินพวกนี้มากกว่าสมบัติเสียอีก เขาเคยแอบสอดแนมดูอยู่ไกลๆ ก่อนจะเห็นว่าก้อนหินที่ถูกขนออกมาจากในวิหารจะถูกนำเอาไปตากให้แห้งก่อน จากนั้นก็จะถูกขนใส่รถม้าเพื่อส่งต่อไปยังอ่าวคอรอล


แฮกริดไม่เข้าใจจริงๆ ว่าราชาแห่งเกรย์คาสเซิลจะเอาก้อนหินสีดำพวกนี้ไปทำอะไร


เขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อขโมยก้อนหินจากในวิหารมาสองสามก้อน ก่อนจะสั่งให้คนเอาก้อนหินพวกนั้นกลับไปให้เอิร์ลโรแลนโซ่ แต่ผลสุดท้ายมันก็เป็นเหมือนที่เขาคิดเอาไว้ ลูกบาศก์เวทมนตร์ไม่ได้มีพลังตอบสนองอะไรออกมาเลย


สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญในการกระตุ้นให้สมบัติโบราณตอบสนองจะต้องเป็นของสิ่งอื่นแน่


“นายท่าน พวกเราพาคนที่ท่านต้องการมาแล้วขอรับ” ลูกน้องคนหนึ่งเลิกผ้าม่านตรงประตูออก ก่อนจะรายงานเขา


“ให้เขาเข้ามา” แฮกริดรีบกระชับคอเสื้อ ก่อนจะนั่งตัวตรง


“ขอรับ!”


จากนั้นชายคนหนึ่งที่ท่าทางดูเหมือนชาวนาก็ถูกผลักเข้ามาในห้อง เขาคุกเข่าลงไปกับพื้น ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างระมัดระวัง “นายท่าน ข้าชื่อนาฟ ไม่ทราบว่าท่านอยากจะขึ้นเขาหรือขอรับ? ขอเพียงไม่ข้ามยอดเขาไป ไม่ว่าที่ไหนข้าก็จะพาท่านไป….”


“ได้ยินว่าตอนแรกที่คนของเกรย์คาสเซิลมาถึงที่นี่ คนนำทางให้พวกเขาก็คือเจ้า?” แฮกริดพูดตัดบท


“ชะ ใช่ขอรับ…นายท่าน”


“ตุบ”


แฮกริดโยนถุงผ้าเล็กๆ ลงตรงหน้าเขา “ในนี้มีเงินอยู่ 20 เหรียญทอง ขอเพียงเจ้าสามารถบอกให้สิ่งที่ข้าสนใจได้ เงินนี่ก็จะเป็นของเจ้า”


“ดะ ได้ขอรับ นายท่าน ข้าจะบอกท่านทุกอย่างเลยขอรับ!” นาฟรีบรับคำอย่างตื่นเต้น


“ลองเล่าเรื่องในตอนนั้นมาอย่างละเอียดซิ ห้ามตกหล่นแม้แต่นิดเดียว” แฮกริดมองดูชายที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงเท้าอย่างดูถูก ก่อนจะเอนหลังพิงไปบนเก้าอี้


ในขณะที่นาฟเล่าถึงตอนที่คณะสำรวจเดินขึ้นเขาเคจเมาเธ่น แฮกริดพลันลืมตาโตขึ้นมา “เดี๋ยวๆ เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ?”


“แม่มดที่ชื่ออาซีม่าคนนั้น…”


“ไม่ ประโยคหลัง!”


“เอ่อ นางถือเหรียญเอาไว้ในมือเหรียญหนึ่งพร้อมพูดไปเดินไป”


“เหรียญ?” แฮกริดถามต่อ “เป็นเหรียญแบบไหน?”


ดูแล้วเหมือนเหรียญธรรมดาๆ ไม่เหมือนเหรียญเงิน แล้วก็ไม่เหมือนเหรียญทองแดง” นาฟครุ่นคิด “ใช่แล้วขอรับ บนเหรียญไม่มีลวดลายใดๆ แม้แต่น้อย คล้ายกับแผ่นเหล็กที่ถูกขัดจนเรียบอย่างไรอย่างนั้น”


“แม่มดคนนั้นชูมันเอาไว้ตลอดเหรอ?” แฮกริดรู้สึกเหมือนตัวเองจับประเด็นสำคัญได้แล้ว


“ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้นขอรับ” คนนำทางพูดเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ “พอฟังท่านพูดแบบนี้ ข้าก็นึกขึ้นมาได้เหมือนกัน แม่มดคนนั้นจะเป็นคนชี้ทิศทางในการเดินให้กับคนพวกนั้น และทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนทิศทาง แม่มดก็ชูเหรียญขึ้นมา แล้วก็เหมือนกับจ้องมองอะไรบางอย่างขอรับ”


บ้าเอ้ย คนพวกนี้มันรู้เรื่องสมบัติจริงๆ ด้วย!


แฮกริดกำหมัด  “แล้วแม่มดที่ชื่ออาซีม่าคนนั้นล่ะ…ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”


“ข้า ข้าไม่รู้ขอรับ” นาฟส่ายหัว “หลังจากนั้นไม่กี่วันนางก็ออกไปจากเมืองธอร์น น่าจะ…กลับไปยังเกรย์คาสเซิลแล้วขอรับ”


ถ้าแค่ไม่กี่วัน อย่างนั้นอีกฝ่ายคงจะออกจากเคจเมาเธ่นไปตั้งแต่ก่อนที่ตัวเองจะออกเดินทางแล้ว แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของลูกบาศก์เวทมนตร์ยังคงไม่หยุด นั่นก็หมายความว่า…เหรียญนั่นยังอยู่ที่นี่? แฮกริดคิดอย่างดีใจ อย่างนั้นของสิ่งนั้นอาจจะไม่ใช่เหรียญ หากแต่เป็น ‘กุญแจ’ ที่ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลหามาจากซากโบราณสถานอื่น ในเมื่อเป็นของสำคัญ อย่างนั้นมันก็ต้องอยู่ที่ตัวหัวหน้าของทีมสำรวจแน่


ข้อมูลตรงนี้เขาสืบมาได้ตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้คนที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในทีมสำรวจของเกรย์คาสเซิลมีอยู่สองคน ได้แก่ฌอนที่เป็นผู้บังคับบัญชากับมาลที่เป็นทูตของสามตระกูลใหญ่


เมื่อเทียบกับบุตรชายคนรองของตระกูลขุนนางแล้ว องครักษ์ของพระราชาดูเหมือนจะถูกล่อลวงได้ง่ายกว่า ปราสาทจำนวนมากในโลกนี้มักจะถูกโจมตีมาจากด้านในเสมอ


ถ้าอยากจะล้วงข้อมูลมาจากเขาต้องใช้เงินเท่าไร?


500…หรือว่า 1,000 เหรียญทอง?


แต่แฮกริดรู้ดีว่าไม่ว่าต้องจ่ายเท่าไร ขอเพียงได้รู้ความลับของลูกบาสก์เวทมนตร์ ท่านเอิร์ลก็ต้องยินดีจ่ายแน่นอน


ขอเพียงติดต่อกับผู้บังคับบัญชาคนนั้นได้ คำตอบที่ตัวเองต้องการก็อยู่ไม่ไกลแล้ว


แฮกริดตื่นเต้นขึ้นมาทันที


ถ้าเขาได้ ‘กุญแจ’ นั้นมา เขาจะต้องได้รับการชื่นชมจากท่านเอิร์ลอย่างมากแน่ เผลอๆ ตัวเองอาจจะได้กลายเป็นผู้นำแทนก็ได้? เพราะไม่มีใครกำหนดเอาไว้นี่นาว่ามีแต่คนที่เป็นผู้นำเท่านั้นถึงจะใช้งานลูกบาสก์เวทมนตร์ได้


ในขณะที่เขากำลังฝันหวานอยู่นั้น ด้านนอกประตูพลันมีเสียงฝีเท้าที่ฟังดูเร่งรีบดังขึ้นมา


“เดี๋ยวๆ พวกเจ้าเป็นใคร…”


“อ๊าก!”


หลังจากนั้นก็มีกระแทกดังปึงปัง ยังไม่ทันที่แฮกริดจะได้คิดอะไร ประตูพลันถูกถีบจนเปิดออก แขกที่ไม่ได้รับเชิญที่แต่งตัวเหมือนหน่วยลาดตระเวนแห่กันเข้ามาในห้องพร้อมกับจับตัวเขากดลงไปกับพื้น


แฮกริดพยายามขัดขืน “ข้า ข้าเป็นพ่อค้าที่ถูกกฎหมายนะ พวกเจ้าทำแบบนี้กับข้าไม่ได้! ถ้าพวกเจ้าต้องการเงิน ข้าให้พวกเจ้าได้นะ”


“ท่านเจ้าเมืองธอร์นสงสัยว่าพวกเจ้าซ่อนคนของศาสนจักรเอาไว้ ดังนั้นเจ้าต้องไปเข้ารับการสอบสวนเดี๋ยวนี้” อีกฝ่ายพูดอย่างไม่ลังเล “ถ้ามีอะไรจะพูด ก็เอาไว้ไปพูดต่อหน้าท่านก็แล้วกัน!”


………………………………………………………..



ตอนที่ 1093 เดินทางสู่โลกใหม่

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เกาะทวินดราก้อนไม่ได้ครึกครื้นแบบนี้มานานแล้ว”


ธันเดอร์ยืนอยู่ด้านบนหอคอยสะพานเดินเรือ ‘สโนวบรีซ’ สายตามองดูท่าเรือที่มีเสียงดังโหวกเหวกพร้อมพูดอุทานออกมา


คนจำนวนหลายพันมารวมกันอยู่ที่ีนี่ กล่องสินค้ากล่องแล้วกล่องเล่าถูกขนขึ้นเรือ เมื่อมองลงมาจากที่สูงจะเหมือนกับมดที่เดินเรียงกันเป็นแถว เสียงตะโกนและเสียงซ่าๆ ของคลื่นที่กระแทกหาดทรายผสมปนเปกัน กลายเป็นเหมือนลำนำก่อนที่จะออกเดินทาง


ส่วนอีกด้านหนึ่งของท่าเรือนั้นมีเรือสำเภาที่จอดติดๆ กันอยู่ เสากระโดงเรือที่ตั้งเรียงรายดูแล้วเหมือนกับยอดเขาที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด


ธงสัญลักษณ์ที่โบกสะบัดไปตามลมแสดงให้เห็นว่าเรือลำนั้นเป็นของใคร อ่าวเครสเซนมูน เกาะซันเซต เมืองแชลโล่ววอเทอร์….สมาคมหอการค้าที่ทรงอิทธิพลของฟยอร์ดเหล่านี้ต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่เพื่อรอเวลาออกเดินทาง


ครั้งล่าสุดที่ธันเดอร์ได้เห็นภาพเหตุการณ์แบบนี้ก็คือตอนที่เขาอายุ 22 ปี โดยตอนนั้นเป็นวันที่เหล่านักสำรวจที่รวมตัวกันขึ้นมากำลังจะออกเดินทางไปยังทะเลชาโดว์


“ไม่ใช่แค่ทวินดราก้อน” มาร์จอรีที่อยู่ข้างๆ พูดยิ้มๆ ขึ้นมา “น่าจะบอกว่าทั้งฟยอร์ดต่างวุ่นวายขึ้นมาเพราะข่าวที่ท่านนำกลับมา เส้นทางเดินเรือที่ดูเหมือนไม่มีค่า ตอนนี้กลับกลายเป็นจุดรวมตัวที่เป็นที่นิยม ทั้งปลอดภัยและสงบ แล้วก็ยังมีโอกาสได้กลายเป็นนักสำรวจด้วย เรียกได้ว่าเด็กที่เกิดขึ้นมาในยุคนี้ถือว่าโชคดีอย่างมากทีเดียว”


ธันเดอร์ยิ้มมุมปากขึ้นมา


เขารู้ว่าอีกฝ่ายนั้นพูดถึงเส้นทางเดินเรือที่จะตรงไปยังท่าเรือเรฟเวลรี่


‘ขอเพียงหาวัตถุแปลกประหลาดที่อยู่ในแหลมเอนด์เลสเจอ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลก็จะมอบรางวัลให้’ หลังข่าวนี้ถูกนำกลับมายังฟยอร์ด ทุกคนก็พากันแตกตื่นขึ้นมาทันที


สำหรับทุกคนแล้ว คำว่า ‘นักสำรวจ’ นั้นมีแรงดึงดูดที่น่าแปลกประหลาด มันไม่เพียงแต่จะหมายถึงชื่อเสียงเกียรติยศ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวยด้วย แต่การจะค้นพบเส้นทางเดินเรือหรือเกาะใหม่ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันจำเป็นต้องใช้กำลังคนเป็นจำนวนมาก แถมยังอาจจะต้องเจออันตรายจนไม่มีโอกาสรอดชีวิตกลับมาด้วย


แต่ข่าวการจ้างงานของราชาแห่งเกรย์คาสเซิลกลับเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ไปจนหมด เส้นทางเดินเรือจากฟยอร์ดไปยังแหลมเอนด์เลสนั้นเป็นเส้นทางที่ทุกคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ซึ่งการที่มีเมืองท่าเกิดขึ้นมาใหม่ก็หมายถึงโอกาสทางการค้า ถึงแม้จะไปแล้วไม่เจออะไร แต่อย่างน้อยก็สามารถไปซื้อขายสินค้าได้ ยังไงก็ไม่มีทางขาดทุน


แต่ถ้าหาอะไรเจอขึ้นมาจริงๆ อย่างนั้นก็เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว


ยิ่งไปกว่านั้นในข่าวนี้ยังบอกเอาไว้อย่างชัดเจนว่าโบราณวัตถุเหล่านี้อาจจะเกี่ยวข้องกับความลับอันยิ่งใหญ่ของสามเทพ ขอเพียงสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการไขปริศนานี้ได้ นั่นก็เท่ากับว่าจะมีโอกาสได้กลายเป็นนักสำรวจกิตติมศักดิ์ของเกรย์คาสเซิล ถึงแม้เกรย์คาสเซิลที่เป็นอาณาจักรบนภาคพื้นทวีปจะมีมาตรฐานของนักสำรวจที่แตกต่างจากเกาะฟยอร์ด แต่ทางฟยอร์ดก็ยังให้ความสำคัญกับเกียรติยศอันนี้อย่างมาก


เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับสามเทพที่พวกเขาศรัทธา


และก็เป็นเพราะข่าวที่ธันเดอร์นำกลับมามีแรงดึงดูดขนาดนี้ จึงทำให้มีคนบางกลุ่มที่แสดงความสงสัย เพียงแต่ความสงสัยอันนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อความกระตือรือร้นที่จะเดินทางไปยังดินแดนทางใต้สุดของเหล่าพ่อค้า ชื่อเสียงของราชาแห่งเกรย์คาสเซิลนั้นเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งฟยอร์ดตั้งแต่ตอนที่เครื่องดื่มยุ่งเหยิงกับน้ำหอมกลายเป็นที่นิยมไปทั้งตลาด สินค้าจำนวนมากจากเนเวอร์วินเทอร์และเรือจักรไอน้ำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทำให้ชื่อเสียงของโรแลนด์ วิมเบิลดันยิ่งโด่งดังมากขึ้น แล้วก็ทำให้หลายๆ คนพากันจำภาพเมืองเนเวอร์วินเทอร์ที่ร่ำรวยเอาไว้ในใจ


อีกทั้งการทั้งสมาคมหอการค้าร่วมก็ยิ่งทำให้ผู้คนมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น


ในเมื่อผู้จ้างงานคือราชาของอาณาจักร แถมยังเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งอย่างมากด้วย อย่างนั้นถ้าเปิดราคาสูงหน่อยก็คงไม่ใช่เรื่องผิดอะไรใช่ไหมล่ะ?


หลังข่าวนี้แพร่กระจายออกมา ทุกคนที่ยังว่างงานอยู่ในฟยอร์ดต่างก็มีความเคลื่อนไหวขึ้นมา ทำให้เกาะต่างๆ แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายที่มีประสบการณ์และความกล้าก็จะพยายามหาทางไปเข้าร่วมกันธันเดอร์ ส่วนฝ่ายที่ชอบความปลอดภัยและหวังว่าตัวเองจะโชคดีก็จะกางใบเรือมุ่งหน้าไปยังแหลมเอนด์เลสเพื่อพยายามแย่งทำเลในการทำการค้า


ถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง ธันเดอร์ไม่มีทางนึกภาพออกแน่ว่าอาณาจักรที่อยู่คนฟากของทะเลจะมีอิทธิพลต่อฟยอร์ดได้ขนาดนี้


เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อปีสองปีมานี้เอง


“ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเจ้านั่นแหละ” เขาทอดตามองออกไปยังเส้นขอบฟ้าสีเงิน “ถ้าไม่เป็นเพราะเจ้ามาคอยดูแลสมาคมหอการค้าแทนข้า ข้าก็คงไม่ได้ออกไปสำรวจอย่างเต็มที่ครั้งแล้วครั้งเล่า บอกตามตรง ตัวข้านอกจากเรื่องสำรวจทะเลแล้ว ข้าก็ไม่มีข้อดีอะไรอย่างอื่นเลย แม้แต่เป็นพ่อที่ดีก็ยังทำไม่ได้ หลายปีมานี้ภาระต่างๆ ก็โยนมาให้เจ้า ข้าติดค้างเจ้าเยอะมากจริงๆ…”


“ท่านน่าจะรู้ว่าข้าเต็มใจทำสิ่งเหล่านี้” มาร์จอรีเอามือวางไปบนหลังมือของเขา “ถ้ามาบอกว่าติดค้างกับคนที่ไม่หวังผลตอบแทน มันจะทำร้ายจิตใจกันเกินไปหน่อยหรือเปล่า? ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็ใกล้จะออกเดินทางแล้วด้วย คำพูดแบบนี้พูดให้น้อยหน่อยจะดีกว่า”


“มาร์จอรี…” ธันเดอร์หันมาสบตาอีกฝ่าย


“แน่นอน จะบอกว่าไม่ต้องการสิ่งตอบแทนเลยก็ดูจะไม่ถูกซักเท่าไร ความจริงข้าน่ะ…ยังมีสิ่งอื่นที่ต้องการอยู่” มาร์จอรีกะพริบตา “ดังนั้นท่านก็คิดซะว่าข้าทำไปเพราะสิ่งอื่นก็แล้วกัน อย่าได้รู้สึกว่าติดค้างอะไรข้าเลย”


ธันเดอร์ย่อมต้องรู้ว่าสิ่งที่เธอต้องการคืออะไร


ก่อนหน้านี้ตอนที่เห็นภาพเธอสนิทสนมกับไลต์นิ่ง เขายังไม่รู้สึกแปลกอะไร


แต่ตอนนี้พอมาคิดๆ ดูแล้ว เขาพบว่าตัวเองเคยชินกับการที่มีอีกฝ่ายอยู่ด้วยไปเสียแล้ว


ที่น่าแปลกก็คือ ในตอนที่เขาออกไปเสี่ยงภัย ไม่ว่าจะเจอพายุหรือคลื่นลมอะไร เขาก็ไม่เคยมีความลังเลมาก่อน แต่ในเรื่องนี้เขากลับรู้สึกยากที่จะเอ่ยปากออกมาได้


ในตอนที่ธันเดอร์กำลังลังเลว่าจะพลิกมือกลับมากุมมืออีกฝ่ายเอาไว้หรือไม่ เสียงตะโกนของผู้ช่วยของเขาพลันดังขึ้นมา


“หัวหน้า…!” อีกฝ่ายยืนอยู่ตรงระเบียงสะพานเดินเรือ เขาเงยหน้าตะโกนขึ้นมา “พวกพ่อค้าต่างเตรียมตัวกันพร้อมแล้ว พวกเขากำลังรอให้หัวหน้าออกคำสั่ง!”


ธันเดอร์กระแอมเล็กน้อย “รู้แล้ว! ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!”


“รับทราบ!”


เขาสูดหายใจพร้อมมองมาที่มาร์จอรี “ข้าต้องไปแล้วล่ะ”


“ไปเถอะ” มาร์จอรียิ้มพร้อมพยักหน้า “ไปทำในสิ่งที่ท่านถนัดที่สุด เหมือนอย่างที่ฝ่าบาทตรัสเอาไว้…”


“อื้อ” ธันเดอร์พูดต่อ “….ไปยังโลกใหม่”


….


เขาเดินลงมาจากด้านบนหอคอย จากนั้นเดินทะลุสะพานเดินเรือออกไปยืนอยู่ตรงหัวเรือ พร้อมกับมองดูผู้คนที่ยืนอยู่ตรงท่าเรือ


ด้านล่างมีเสียงเฮดังขึ้นมาทันที


ธันเดอร์โบกมือ “คิดว่าทุกคนคงจะรู้ถึงเส้นทางการเดินเรือที่พวกเราจะไปในครั้งนี้แล้ว จนถึงตอนนี้ สถานที่ที่ไกลที่สุดที่เราเคยเดินทางไปจากฟยอร์ดก็คือทะเลชาโดว์ แต่สำหรับทะเลน้ำวนแล้ว นี่เป็นเพียงก้าวเล็กๆ ที่เพิ่งจะเดินออกไปจากประตูเท่านั้น ครั้งนี้พวกเราจะข้ามผ่านทะเลชาโดว์ออกไป ล่องผ่านเส้นทะเลอันน่าเหลือเชื่อ มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ไกลออกไปทางฝั่งตะวันออก —- ดินแดนที่ยังไม่เคยมีมนุษย์คนไหนย่างกรายเข้าไปมาก่อน!”


“ข้าเคยเห็นดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลจากในโบราณสถานตรงทะเลชาโดว์ ดูแล้วไม่ได้เล็กไปกว่าดินแดนของสี่อาณาจักรใหญ่เลย มันอยู่ที่ไหนกันนะ? จะอยู่ทางตะวันออกของเส้นทะเลหรือเปล่า? นี่เป็นคำถามที่ทำให้ข้าตื่นเต้นอย่างมาก และครั้งนี้พวกเราก็จะไปหาคำตอบนั้นกัน ถ้ามันมีอยู่จริงๆ เช่นนั้นชาวฟยอร์ดก็จะได้บอกลาแผ่นดินเคบๆ แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีที่ให้อยู่อาศัยอีก! ขณะเดียวกันความร่ำรวยที่มันนำมาให้เราบางทีอาจจะมากกว่าเส้นทางเดินเรือที่พวกเรามีอยู่ในตอนนี้รวมกันเสียอีก และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ข้ายินดีต้อนรับคนที่มีความสามารถทุกคนมาเข้าร่วมทีมของข้า ผลตอบแทนที่มากมายขนาดนี้ ต่อให้มีคนเยอะกว่านี้ก็ยังพอแบ่ง!”


เขาชะงักไปเล็กน้อย กระทั่งเสียงเฮของผู้คนหายไป เขาจึงพูดต่อว่า “แต่ถ้าโยนเงินเทองกับชื่อเสียงทิ้งไป สิ่งที่ข้าต้องการนั้นคืออีกสิ่งหนึ่ง นั้นก็คือการที่ฟยอร์ดถูกบันทึกลงไปบนประวัติศาสตร์! ในบันทึกประวัติศาสตร์ของสี่อาณาจักรใหญ่นั้นไม่ค่อยพูดถึงพวกเรา ฟยอร์ดนั้นไม่มีทั้งตระกูลขุนนางที่สืบทอดมาเป็นร้อยปี แล้วก็ไม่มีกษัตริย์ที่สูงส่ง พวกเราเป็นเหมือนเกาะที่อยู่โดดเดี่ยวห่างไกลออกมาจากแผ่นดิน นอกจากพ่อค้าแล้วก็แทบจะไม่มีอิทธิพลอะไรเลย”


“แต่สถานการณ์มันจะไม่เป็นแบบนี้ไปตลอด ในตอนที่พวกเราบุกเบิกแผ่นดินแห่งใหม่เพื่อมวลมนุษย์ ประวัติศาสตร์จะจารึกพวกเรา จารึกเหล่านักสำรวจทุกคนที่ก้าวไปบนเส้นทางโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัว! ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะรู้ว่าการเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่การเปลี่ยนแปลงปัจจุบันเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการกำหนดอนาคตของพวกเราด้วย!”


“กางใบเรือขึ้นมา เหล่าสหาย” ธันเดอร์ชูมือขึ้นมา “ก้าวสู่โลกใหม่ เดินหน้าเต็มกำลัง!”


ผู้คนที่จำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านล่างพากันชูมือตามขึ้นมา ก่อนจะส่งเสียงตะโกนดังก้องไปทั่วทั้งท้องฟ้า


“ก้าวสู่โลกใหม่ เดินหน้าเต็มกำลัง!”


……………………………………………………………………………



ตอนที่ 1094 หนังสือมอบผลประโยชน์

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมืองเนเวอร์วินเทอร์ เกรย์คาสเซิล


โรแลนด์นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานพร้อมคุยโทรศัพท์ที่ต่อตรงมาจากแนวหน้าของที่ราบลุ่มบริบูรณ์


แต่จะบอกว่าเป็นแนวหน้าก็คงไม่ถูกนัก เพราะด้วยความเร็วในการสลายตัวของสัญญาณโทรศัพท์ ระยะทางที่โทรคุยได้ในในตอนนี้อย่างมากมันก็แค่จากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ไปถึงป้อมปราการลองซองเท่านั้น ก่อนที่เครื่องขยายสัญญาณจะถูกประดิษฐ์ขึ้นมา นี่ถือเป็นขีดจำกัดของโทรศัพท์มือหมุน


แต่มันไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีวิธีในการทำลายขีดจำกัดนี้


วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือให้ลีฟทำหน้าที่เป็น ‘คนโอนสาย’ ด้วยพลังหัวใจแห่งป่าของเธอ จิตสำนึกของเธอสามารถครอบคลุมไปทั่วทั้งป่าเร้นลับที่ถูกพลังควบคุมอยู่ได้ นั้นหมายความว่าความเร็วในการส่งข้อมูลของเธอจะเร็วกว่าไลต์นิ่งที่บินด้วยความเร็วเสียงเสียอีก ขอเพียงแนวหน้าโทรหาลีฟ แล้วให้ลีฟต่อสายหาโรแลนด์ ในอีกแง่หนึ่งก็ถือว่าเป็นการโทรคุยแบบเรียลไทม์แล้ว


“สถานการณ์ในตอนนี้ยังถือว่าราบรื่นพ่ะย่ะค่ะ” ลีฟกดเสียงต่ำ เธอพยายามพูดโดยเลียนแบบน้ำเสียงของขวานเหล็ก “สถานการณ์เป็นไปอย่างที่พระองค์ทรงคาดการณ์ไว้ ภายหลังปีศาจได้เปิดฉากโจมตีใส่รางเหล็กอีกสองสามครั้ง แต่ว่านั่นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการขนส่งมากนัก เมื่อไม่มีปีศาจแมงมุม พวกมันก็ได้แต่ต้องพุ่งโจมตีลงมาจากบนฟ้า แล้วก็ใช้พละกำลังของมันในการขยับรางเหล็ก แถมยังต้องรีบถอยไปในตอนที่แบล็คริเวอร์เข้ามาใกล้ แต่ทางกองโยธาธิการก็สามารถซ่อมรางเหล็กที่เสียหายได้อย่างรวดเร็วพ่ะย่ะค่ะ”


“ดูเหมือนรถไฟหุ้มเกราะจะแสดงประสิทธิภาพอย่างควรจะเป็นของมันออกมาแล้วสินะ”


“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือหรือการปกป้องรางเหล็ก มันก็สามารถทำหน้าที่เป็นปืนป้อมปืนใหญ่ขนาดเล็กได้พ่ะย่ะค่ะ แต่ที่น่าเสียดายคือจำนวนของรถไฟยังคงมีจำนวนน้อยเกิดไป ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ กระหม่อมอยากจะให้ทุกๆ เส้นทางระหว่างสถานีมีแบล็คริเวอร์อยู่หนึ่งคันพ่ะย่ะค่ะ”


“เจ้าคิดง่ายเกิดไป” โรแลนด์ยิ้มมุมปาก “นอกจากรถไฟหุ้มเกราะแล้ว รถไฟขนของก็ยังก็ทำการผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งงานในส่วนนี้ยังต้องพึ่งพาแม่มดอยู่ ตอนนี้ผลิตออกมาได้สองคันก็ถือว่าดีมากแล้ว ขยายแนวรบไปข้างหน้าเรื่อยๆ แล้วกัน พยายามเข้าประจำตำแหน่งโจมตีให้ได้ก่อนกลางฤดูร้อน”


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”


ลีฟตอบเสียงเหน่อ


ความจริง….เจ้าไม่ต้องเลียนแบบกระทั่งเสียงขึ้นจมูกก็ได้


โรแลนด์กระแอม “เออใช่ จนถึงตอนนี้ปีศาจยังไม่มีทีท่าว่าจะบุกโจมตีครั้งใหญ่ใช่ไหม?”


เมื่อสัปดาห์ก่อนตอนที่เขาถูกไนติงเกลปลุกกลางดึกและได้รับแจ้งเรื่องที่ค่ายของกองทัพที่หนึ่งถูกลอบโจมตี เขารู้สึกตกใจไปพักใหญ่เลยทีเดียว โชคดีที่อันนาบอกเขาว่าความเสียหายไม่รุนแรง อีกทั้งเอดิธส์ยังออกหน้าทำให้ทุกคนสงบลง โรแลนด์ถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้น


ความจริงแล้วการทำศึกในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีแสงไฟหรือมีแสงไฟน้อยนิดนั้นเป็นจุดอ่อนของกองทัพที่หนึ่ง การมองไม่เห็นเป้าหมายจะทำให้ประสิทธิภาพของอาวุธปืนลดลง ส่วนกระสุนส่องวิถีก็ยังไม่สามารถผลิตขึ้นมาได้ การชี้เป้าหมายส่วนใหญ่จึงต้องพึ่งพาพลังของแม่มด คิดไม่ถึงเลยว่าการบุกโจมตีครั้งแรกของปีศาจจะเลือกลงมือในเวลากลางคืน พวกมันไม่เพียงแต่จะรู้เรื่องพลังของซิลเวียอย่างละเอียด แต่มันยังรู้ถึงเรื่องความสามารถในการโจมตีของอาวุธปืนด้วย มันจึงใช้วิธีกระจายกำลังบุกเข้ามา ปีศาจบางตัวรู้จักหมอบคลานเพื่อหลบกระสุน โชคดีที่สุดท้ายแล้วศัตรูไม่มีอาวุธที่จะใช้ต่อกรกับอาวุธปืนได้ บวกกับกองทัพที่หนึ่งรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินตามที่ฝึกซ้อมได้เป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์คงออกมาแย่กว่านี้


“ถ้าหากเป็นการโจมตีที่เหมือนการลอบโจมตีในเวลากลางคืนอย่างครั้งที่แล้วล่ะก็ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีวี่แววที่จะเป็นอย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ” ลีฟถ่ายทอดคำพูด “คุณหนูซิลเวียจะแบ่งเวลาไปตรวจตราดูสถานที่สำคัญๆ ตามแนวหน้าของรางรถไฟประมาณวันละ 1 – 2 ชั่วโมง ขณะเดียวกันบางครั้งก็จะมีการนั่งเรืออาร์คเวทมนตร์และซีกัลขึ้นไปสอดแนมโดยไม่มีการกำหนดเวลาที่แน่นอนด้วย อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ทุกอย่างยังคงปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”


“แล้วกองบัญชาการเสนาธิการทหารใหญ่ว่ายังไงบ้าง?”


“พวกเขาคิดว่ามีความเป็นไปได้สองอย่าง หนึ่งคือพวกมันสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของพวกเรา ทำให้ไม่สามารถใช้แผนเดิมบุกโจมตีเราได้อีกครั้ง สองคือกองทัพของพวกปีศาจมีจำกัด ทำให้ไม่สามารถโหมบุกเข้ามาสองครั้งติดในเวลาสั้นๆ ได้พ่ะย่ะค่ะ”


“งั้นเหรอ?” โรแลนด์เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ สิ่งที่เขารู้สึกกังวลมากที่สุดจากเหตุลอบโจมตีเมื่อครั้งนี้แล้ว นอกจากจะมีเรื่องความสามารถในการเรียนรู้ของพวกปีศาจที่น่าตกใจอย่างมากแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่เขากังวลก็คือปีศาจระดับสูงบุกเข้ามาในฐานะหน่วยจู่โจมด้วย


เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น


ตอนนี้เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว นับตั้งแต่ที่เจอปีศาจระดับสูงครั้งแรกในศึกด้านหลังภูเขาหิมะ เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็สู้กับปีศาจชนิดพิเศษนี้มาสี่ครั้งแล้ว เมื่อหลายร้อยปีก่อนนั้น ปีศาจระดับสูงจะทำหน้าที่เป็นเหมือนแม่ทัพใหญ่ สมาพันธ์ต้องเคลื่อนกองทัพผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์ออกไปเอาชนะกองทัพของศัตรูให้ได้ก่อนถึงจะมีโอกาสได้สังหารปีศาจระดับสูง แต่ตอนนี้สถานะของพวกมันเหมือนจะตกต่ำลงมาอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันความถี่ในการโผล่หน้าออกมาก็สูงขึ้นอย่างมาก นี่ไม่ใช่ข่าวดีเลย


ถ้าเป็นกองทัพพิเศษที่มีดีแค่เรื่องพละกำลังอย่างกองทัพอาญาสิทธิ์ โรแลนด์ก็ยังพอจะวางแผนจัดการได้ แต่ถ้าถูกปีศาจระดับสูงที่มีความสามารถแตกต่างกันไปมากมายบุกเข้ามาในค่าย พวกเขาก็คงทำได้เพียงสวดภาวนาขอให้พระเจ้าคุ้มครองเท่านั้น


ในเมื่อไม่มีวิธีรับมือโดยเฉพาะ สิ่งที่โรแลนด์คิดออกก็มีแต่การรับมือแบบครอบจักรวาลเท่านั้น อย่างเช่นใช้อาวุธปืนที่นับวันจะมีอานุภาพร้ายแรงขึ้นบดขยี้พวกศัตรูก่อนที่พวกมันจะยกทัพบุกออกมา


“ปีศาจมันไม่มีทางนั่งมองดูฐานบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ของพวกมันถูกมนุษย์บุกเข้าไปเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรแน่ เฝ้าระวังต่อไป อย่าเปิดช่องให้พวกมันฉวยโอกาสโจมตีได้”


“พ่ะย่ะค่ะ!” ลีฟพูดเสียงขึงขัง จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ฝ่าบาท ขวานเหล็กวางสายไปแล้วเพคะ”


“ฟู่วว…” โรแลนด์ถอนหายใจออกมาเบาๆ “อย่างนั้นคนที่จะรายงานคนต่อไปคือใคร?”


“ท่านคาร์ล ฟอร์เบิร์ต หัวหน้ากองโยธาธิการเพคะ”


กองโยธาธิการ? เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ตอนนี้ทั้งวัสดุและคนงานต่างก็มีอยู่พอเพียง งานก่อสร้างไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่นา “ต่อสายเข้ามา”


“ฝ่าบาท” ลีฟเลียนแบบเสียงของคาร์ล ถึงแม้เสียงของเธอจะไม่ได้แนบเนียนจนแทบจะแยกไม่ออกเหมือนอย่างเอคโค่ แต่เมื่อมีเสียงกิ่งไม้ขยับและเสียงใบไม้ที่เสียดสีกันสอดประสานขึ้นมามันก็ยังพอฟังดูคล้ายๆ อยู่ “ช่วงนี้ทีมก่อสร้างเจอปัญหานิดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากหน่วยอื่นๆ ในสำนักบริหารพ่ะย่ะค่ะ”


ดูเหมือน…ลีฟจะชื่นชอบการเลียนแบบเสียงแบบนี้ไปแล้วสินะ


ส่วนสิ่งที่หัวหน้ากองโยธาธิการรายงานมาก็ไม่มีอะไรซับซ้อน หลังจากถูกลอบโจมตีในคืนนั้น คนงานจำนวนมากต่างก็ตกใจกลัว ขวัญและกำลังใจลดลงอย่างเห็นได้ชัด บวกกับการสร้างรางเหล็กเป็นโครงการระยะยาว หัวหน้าคนงานหลายคนพบว่าลูกน้องตัวเองมีอาการเอื่อยเฉื่อย คาร์ลอยากจะให้มีการเปลี่ยนผลัดกันซักครั้ง หรือไม่ก็ให้ญาติพี่น้องได้มาพบกันเพื่อเรียกขวัญคนงาน


การจะให้เปลี่ยนตัวคนงานทั้งหมดนั้นเป็นไปได้ยาก เพราะว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะยินดีมาทำงานเสี่ยงเพื่อเงินค่าจ้างที่สูง ด้วยเหตุนี้โรแลนด์จึงมองไปยังวิธีที่สอง “ญาติพี่น้องเหรอ? ข้าจำได้ว่าคนงานที่สมัครเข้ามาก่อสร้างรางรถไฟเกือบ 70% ล้วนแต่เป็นผู้อพยพ ในบรรดาพวกเขาเหล่านั้นมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีครอบครัวที่สมบูรณ์ ถ้าเราอนุญาตให้ญาติพี่น้องมาเยี่ยม ข้าเกรงว่ามันอาจจะส่งผลกระทบให้แย่ลงได้”


“ในจุดนี้กระหม่อมก็เคยคิดอยู่เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ” ลีฟที่เป็นสื่อกลางพูดตอบขึ้นมา “ก่อนออกเดินทาง ทางทีมก่อสร้างรางรถไฟเคยให้เหล่าคนงานเซ็นหนังสือมอบผลประโยชน์เอาไว้ กระหม่อมคิดว่าบางทีพวกเราอาจจะใช้ชื่อผู้รับผลประโยชน์ที่อยู่บนหนังสือมอบผลประโยชน์มาแทนญาติได้ ในเมื่อพวกเขายอมมอบผลประโยชน์ทุกอย่างให้กับอีกฝ่าย อย่างนั้นคนเหล่านั้นก็ต้องเป็นคนที่สำคัญสำหรับพวกเขาอย่างมากแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ในอีกแง่หนึ่งก็เหมือนกับเป็นคนรักนั่นแหละพ่ะย่ะค่ะ”


“นี่เป็นแผนที่ฟังดูใช้ได้เลย” โรแลนด์ครุ่นคิดเล็กน้อย “อย่างนั้นก็เอาตามนี้แหละ เดี๋ยวข้าจะให้บารอฟเป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้”


…………………………………………………………………..



ตอนที่ 1095 สิ่งที่คิดอยู่ในใจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจบการสนทนากับทางแนวหน้า ไนติงเกลก็เอาห่วงจดหมายลับสีขาวเงินมาวางบนโต๊ะเขา


นี่เป็นที่รัดจดหมายที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับนกส่งจดหมาย โดยมันทำขึ้นมาจากแผ่นอลูมิเนียมสองแผ่น ข้างในสามารถใส่ม้วนจดหมายขนาดเท่าฝ่าบาทได้หนึ่งแผ่น เมื่อเทียบกับการเอาผ้าไปมัดไว้กับขานกอย่างในตอนแรกแล้วถือว่าดูดีกว่ามาก ยิ่งเมื่อมี ‘กระดาษชนิดบางพิเศษ’ ที่โซโรยาทำขึ้นมา ทำให้นกสามารถบรรทุกจดหมายลับได้มากขึ้นกว่าเดิม


หลังจากที่ระยะทางในการส่งจดหมายเพิ่มมากขึ้นมากกว่า 500 กิโลเมตร เปอร์เซ็นต์การเกิดอุบัติเหตุของนกส่งจดหมายก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่อาจมองข้ามได้ ด้วยเหตุนี้สำนักบริหารของแต่ละท้องที่จึงมีการตั้งจุดพักสำหรับนกส่งจดหมายขึ้นมา นอกจากนี้ยังมีการตีหมายเลขลงไปบนห่วงเพื่อใช้ในการคัดแยกจดหมายลับ ขอเพียงมองดูก็จะรู้ว่านี่เป็นจดหมายที่ส่งมาจากไหนและจะส่งไปที่ไหน


ส่วนตัวหนังสือ D ที่อยู่บนห่วงรัดจดหมายก็หมายความว่ามันถูกส่งมาจากอาณาจักรดอว์น ในตอนที่โรแลนด์กำหนดระบบตัวอักษรแบบนี้ขึ้นมาเนื่องจากเหตุผลทางความลับ เขาเลือกใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษแทนสัญลักษณ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสี่อาณาจักรเพื่อความสะดวกของตัวเขาเอง


“ส่งมาจากเมืองธอร์นอาณาจักรดอว์นงั้นเหรอ?” เขาเลิกคิ้ว “เจ้ารับมันมาเมื่อไร?”


“เมื่อ 10 นาทีก่อนหน้านี้ฮันนี่เอามันมาส่งให้หม่อมฉันเพคะ” ไนติงเกลตอบ “แต่หม่อมฉันเห็นพระองค์กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ก็เลยไม่อยากรบกวนพระองค์เพคะ”


หรือว่าที่ซากโบราณสถานเคจเมาเธ่นจะเจออะไรใหม่ๆ? โรแลนด์แกะที่รัดจดหมายออกมา ก่อนจะเอาจดหมายออกมากางอ่าน


เนื้อหาในจดหมายค่อนข้างยาว เขาใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะเข้าใจสถานการณ์ที่หัวหน้าองครักษ์ของเขาพบเจอมาในช่วงนี้


“คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่ศาสนจักรมาขอความช่วยเหลือจากทางเกรย์คาสเซิล” โรแลนด์วางจดหมายลงพร้อมกับทอดถอนใจออกมา ถึงแม้จะรู้ว่าทันทีที่ทิ้งเฮอร์มีสไป พวกเขาจะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีก แต่ว่าพวกเขาก็ยังสามารถไปสร้างอิทธิพลในสถานที่ที่อยู่ห่างไกลซักที่ได้อยู่ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นอดีตมุขนายกของศาสนจักรเสียเองที่ทำลายผู้อพยพกลุ่มสุดท้ายเหล่านั้นของศาสนจักร


“มีเบาะแสของพวกสุนัขรับใช้ศาสนจักรพวกนั้นแล้วเหรอเพคะ?” ไนติงเกลถามอย่างสงสัย


“ถ้าบนจดหมายบอกเอาไว้ไม่ผิดล่ะก็ ศาสนจักรแทบจะล่มสลายจนไม่เหลือแล้ว” โรแลนด์ส่งจดหมายให้อีกฝ่าย “ความหวังสุดท้ายของพวกเขากลับเป็นฝ่ายหักหลังพวกเขาเสียเอง”


ไนติงเกลมองไปทางเขาหลังอ่านจดหมายจบ “อย่างนั้นพระองค์คิดจะทำยังไงเหรอเพคะ?”


“ในเมื่อพ่อบ้านของเอิร์ลแห่งเกาะอาชดยุครับสารภาพมาหมดแล้ว เบาะแสของสมบัติในซากโบราณสถานเองก็มีแล้ว ช้าเร็วข้าก็ต้องส่งคนเข้าไปในวูล์ฟฮาร์ทอยู่ดี” โรแลนด์เคาะโต๊ะเบาๆ ก่อนจะพูดว่า “ลูกบาสก์เวทมนตร์แห่งการบูชายัญทำปฏิกิริยากับแผ่นยูเรเนียมความบริสุทธิ์สูง อย่างนั้นภาพที่อยู่บนผนังถ้ำคงไม่ใช่แค่ภาพวาดศิลปะธรรมดาๆ เสียแล้ว ไม่ว่ามันจะใช้ทำอะไร มันก็ควรจะอยู่ในการดูแลของเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะดีที่สุด ส่วนเรื่องฟาร์รีน่าที่เป็นผู้รักษาการณ์พระสันตะปาปาที่ถูกจับเอาไว้คนนั้น…” เขาชะงักไปเล็กน้อย “พาตัวกลับมาสอบสวนพร้อมกับโจก็แล้วกัน”


“หม่อมฉันรู้อยู่แล้วว่าพระองค์ต้องตอบแบบนี้เพคะ” ไนติงเกลยิ้มๆ


“ข้านึกว่าเจ้าจะไม่ชอบคำตอบนี้เสียอีก” โรแลนด์พูดอย่างระมัดระวัง “เพราะว่าศาสนจักรเคยทำร้ายพวกเจ้าอย่างโหดร้ายทารุณ”


“จริงอยู่ที่หม่อมฉันเคยเกลียดศาสนจักรมาก จะกระทั่งพาลเกลียดพวกมนุษย์ไปด้วย” ไนติงเกลพูดเปิดอก “แต่หลังจากที่ได้รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังแผนการทั้งหมดคืออควาเรียสซึ่งเป็นแม่มดเหมือนกัน อีกทั้งนางยังทำไปเพื่อความอยู่รอดของแม่มดด้วย ความคิดของหม่อมฉันก็เลยเปลี่ยนไปจากเดิม จะบอกว่าเกลียดก็คงไม่ใช่ มันกลับกลายเป็นความรู้สึกว่านางทั้งน่าสงสารและน่าเศร้าใจ ยิ่งไปกว่านั้นศาสนจักรที่เมืองสตาร์ฟอลสร้างขึ้นมาก็ล่มสลายไปแล้ว ต่อให้หม่อมฉันอยากจะล้างแค้นก็ไม่รู้จะไปล้างแค้นกับใครแล้วเพคะ”


“เอ่อ…เจ้าเคยเกลียดมนุษย์ด้วยเหรอ?” โรแลนด์ถามอย่างแปลกใจ


“ใช่น่ะสิเพคะ” ไนติงเกลถลึงตาใส่เขา “การตื่นรู้ไม่ใช่สิ่งที่หม่อมฉันจะไปควบคุมได้ หม่อมฉันเองก็ไม่เคยเอามันไปทำเรื่องที่ไม่ดี แล้วทำไมหม่อมฉันถึงต้องถูกไล่ล่าเหมือนหมูเหมือนหมาด้วยล่ะเพคะ? พวกมันไม่ได้มองหม่อมฉันเป็นพวกเดียวกัน แล้วทำไมหม่อมฉันต้องทำเหมือนพวกมันเป็นพวกเดียวกันด้วย นี่น่าจะเป็นความคิดของหม่อมฉันในตอนนั้น ยิ่งไปกว่านั้นหม่อมฉันยังมั่นใจด้วยว่าพี่น้องแม่มดส่วนใหญ่ก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน”


“ตอนนั้นเจ้าจึงได้ถือมีดแล้วมาปรากฏตัวอยู่ในห้องนอนของข้าอย่างนั้นเหรอ?”


“ตอนนั้นหม่อมฉันควบคุมพลังได้ดีแล้วเพคะ” ไนติงเกลหลุดขำออกมา “ความคิดที่รังเกียจมนุษย์เช่นนี้มันเกิดมาแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเพคะ แต่เรื่องที่หม่อมฉันเกลียดพวกขุนนางนั้นเป็นเรื่องจริงแน่นอนเพคะ ถ้าไม่เป็นเพราะว่าอันนาอยู่ในมือพระองค์ หม่อมฉันคงไม่อดทนนั่งคุยกับพระองค์เป็นแน่…พระองค์ทรงลืมฉายาของหม่อมฉันก่อนหน้านี้ไปแล้วเหรอเพคะ?”


ข้าไม่ได้ลืมซักหน่อย นักฆ่าแห่งเงามืด มัจจุราชที่ทำให้ขุนนางทั่วทั้งเมืองหลวงเก่าต่างหวาดผวา


“อย่างนั้นที่เจ้าทำเป็นยั่วยวนข้าในตอนนั้น…”


“แกล้งทำเพคะ” ไนติงเกลพูดพร้อมเอามือปิดปาก “ถ้าทำให้พระองค์ทรงเผยธาตุแท้ออกมาได้ ก็จะทำให้อันนางยิ่งเข้าใจว่าขุนนางเป็นคนยังไงกันแน่ แต่เสียดาย…”


เสียดายอะไร? เจ้าเสียดายที่ทำให้อันนาออกไปจากเมืองชายแดนไม่ได้ หรือว่าเสียดายที่ยั่วยวนข้าไม่สำเร็จ? โรแลนด์พูดอย่างเคืองๆ ว่า “ดูเหมือนตอนนั้นข้าจะโชคดีทีเดียวนะเนี่ย”


“ตอนที่ในใจมีแต่ความเกลียด คนเราก็มักจะทำได้ทุกอย่างนั่นแหละเพคะ” ไนติงเกลตบ่าเขา “แต่หลังจากนั้นไม่นานหม่อมฉันก็พบว่าที่แท้ในหมู่ขุนนางก็ยังมีคนอย่างพระองค์อยู่ หม่อมฉันเลยคิดว่าบางทีลองเชื่อใจพระองค์ดูก็คงไม่เลวเหมือนกันเพคะ”


“ข้าควรจะขอบคุณเจ้าสินะ?”


“ไม่เป็นไรเพคะ” เธอพูดเหมือนตัวเองถูกอย่างมั่นใจ “ส่วนหลังจากนั้นที่เราพบว่าในบรรดาแม่มดยังมีแม่มดผู้บริสุทธิ์เหมือนอย่างซีโร่อยู่ ความคิดที่ไม่โตเหล่านั้นก็เลยไม่มีเหลืออยู่แล้วเพคะ”


“งั้นเหรอ…เจ้าก็ลำบากเหมือนกันนะเนี่ย” โรแลนด์ทอดถอนใจ


“ทำไมหม่อมฉันถึงรู้สึกว่าพระองค์ดูหดหู่ล่ะเพคะ?” ไนติงเกลโน้มตัวลงมา เส้นผมของเธอปรกลงมาตรงหน้าผากเขา “ถึงก่อนหน้านี้จะแกล้งทำ แต่ไม่ได้หมายความว่าหลังจากนั้นจะแกล้งทำเหมือนกันนะเพคะ อย่างเช่น…ตอนนี้”


พอพูดจบ เธอก็หายตัวไปในหมอกมายา ก่อนไปปรากฏตัวอยู่บนเก้าอี้นอนพร้อมกะพริบตาให้เขาอย่างทะเล้น


โรแลนด์ลุกขึ้นมาอย่างหมั่นเขี้ยว ในขณะที่กำลังจะเข้าไปสั่งสอนเธอให้รู้สักหน่อยว่าใครกันแน่ที่เป็นราชาแห่งเกรย์คาสเซิล โทรศัพท์ภายในห้องพลันดังขึ้นมา


บารอฟจากสำนักบริหารโทรเข้ามา


เขาส่งสายตาให้ไนติงเกลเหมือนจะบอกว่า ‘เจ้ารอก่อนเถอะ’ จากนั้นจึงรับโทรศัพท์ขึ้นมา


“ฝ่าบาท” เสียงบารอฟดังขึ้นมาทันที “มีแขกพิเศษจากเมืองหลวงเก่าคนนึงบอกว่าอยากจะขอเข้าเฝ้าพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”


แขกที่ทำให้หัตถ์ของพระราชาพามาเข้าเฝ้าด้วยตัวเองได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นได้บ่อยๆ เลย “โอ้? เขาเป็นใคร?”


“ท่านเคแกน เฟส ปรมาจารย์ด้านการแสดงละครเวที่พ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของบารอฟฟังดูค่อนข้างตื่นเต้น


ทำไมเป็นเขาอีกแล้วล่ะ? โรแลนด์ขมวดคิ้ว เขาปฏิเสธอีกฝ่ายไปอย่างชัดเจนในจดหมายแล้วไม่ใช่เหรอ? “ข้ายังมีธุระที่ต้องจัดการอีกมาก ถ้าเขาไม่มีเรื่องสำคัญอะไร…”


“มีพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” บารอฟรีบเล่าถึงจุดประสงค์ของอีกฝ่ายทันที


“เจ้าแน่ใจ?” โรแลนด์งุนงงเล็กน้อย


“พ่ะย่ะค่ะ เขาเป็นคนพูดออกมาเองเลยพ่ะย่ะค่ะ!” หัวหน้าสำนักบริหารพูดอย่างมั่นใจ


เมื่อได้ยินเช่นนี้ โรแลนด์พลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาทันที หลังครุ่นคิดเล็กน้อย เขาก็เปลี่ยนความคิดที่มีก่อนหน้านี้ไป “ข้าจะไปพบเขาที่ห้องรับแขกของปราสาท เจ้าไปจัดการให้หน่อย”


…………………………………………………………



ตอนที่ 1096 แนวที่ถนัด

โดย

Ink Stone_Fantasy

โรแลนด์เดินเข้าไปในโถงรับแขก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอหน้าปรมาจารย์ด้านการแสดงผู้มีชื่อเสียง เส้นผมเกือบครึ่งหัวของเขาเป็นสีขาว ใบหน้ามีหนาวเคราปกคลุม บนร่างสวมใส่ชุดสูทสีดำดูเรียบร้อย ปกเสื้อไม่มีรอยย่นแม่แต่นิดเดียว เรียกได้ว่าเหมือนตัวละครที่เดินออกมาจากในภาพวาดไม่มีผิด เต็มไปด้วยกลิ่นอายของคนในยุคสมัยนี้


ถ้าเอาภาพของเขาไปแขวนไว้บนกำแพงห้องเรียน พร้อมกับมีคำพูดคนดังอีกซักสองประโยคอยู่ด้านล่าง คงจะดูเข้ากันทีเดียว


ถึงแม้อายุจะมากแล้ว แต่สายตาของอีกฝ่ายกลับยังดูเปล่งประกาย หลังก้มตัวทำความเคารพแล้ว สายตาของเขาก็จ้องมองมาที่โรแลนด์โดยไม่มีทีท่าว่าจะหลบสายตาแม้แต่น้อย เห็นได้ว่าว่าสำหรับปรมาจารย์ด้านการแสดงคนนี้แล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เจอเชื้อพระวงศ์


“ฝ่าบาท เขาคือท่านเคแกน เฟสพ่ะย่ะค่ะ” บารอฟถูมือพูดแนะนำ “เขาเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในด้านการแสดงละครเวทีของเกรย์คาสเซิล ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั้งสี่อาณาจักรใหญ่ ตอนที่อยู่เมืองหลวงเก่า กระหม่อมเองก็ไปชมการแสดงของคณะละครเคแกนอยู่บ่อยๆ พ่ะย่ะค่ะ”


ดูเจ้าสิ…โรแลนด์แอบเบะปาก เป็นถึงหัตถ์พระราชาแล้ว สำรวมหน่อยไม่ได้หรือไง


“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทวิมเบิลดัน” เคแกนพูดพร้อมเอามือขึ้นมาทาบที่หน้าอก “กระหม่อมเหมือนจะรู้ถึงสาเหตุที่พระองค์ไม่ยอมทอดพระเนตรละครเรื่องใหม่ของกระหม่อมแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ”


“โอ้?” โรแลนด์ดังลงไปบนเก้าอี้ “ไหนลองว่ามาซิ”


“พระองค์….ทรงดูอ่อนเยาว์อย่างมากพ่ะย่ะค่ะ” เคแกนค่อยๆ ตอบ “อ่อนเยาว์จนหม่อมฉันคาดคิดไม่ถึง”


“เจ้าจะบอกว่าคนที่ไม่มีประสบการณ์จะไม่สามารถดูละครที่เจ้าแต่งได้อย่างนั้นเหรอ?” ถ้าเป็นตอนแรกๆ ที่เขากลายเป็นผู้ปกครองเมืองชายแดน บางทีเขาคงจะรู้สึกไม่พอใจที่ได้ยินคำตอบแบบนี้ แต่ตอนนี้เขาอยู่ในตำแหน่งนี้มานานแล้ว คำพูดแบบนี้จึงยากที่จะทำให้โรแลนด์ใส่ใจได้


แต่ว่าน้ำเสียงที่ดูเบาลงยังคงแสดงให้เห็นถึงท่าทีของเขา


บารอฟที่อยู่ข้างๆ แอบส่งสายตาให้เคแกน


“ไม่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ที่กระหม่อมบอกว่าอ่อนเยาว์นั้นไม่ได้หมายถึงอายุ หากแต่เป็นจิตใจพ่ะย่ะค่ะ” เคแกน เฟสส่ายหัว “มันไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ แล้วก็ไม่ได้จบที่หนึ่งร้อย กระหม่อมเคยเจอขุนนางที่กำลังอยู่ในวัยหนุ่มมาเยอะแยะมากมาย แต่จิตใจของพวกเขากลับเชื่องช้าเหมือนคนแก่ ส่วนพวกขุนนางแก่ๆ ก็ไม่แน่ว่าจะต้องมีจิตใจที่แก่เสมอไป” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็หัวเราะเยาะตัวเองขึ้นมา “เดิมกระหม่อมคิดว่าตัวเองอ่อนเยาว์มากแล้ว แต่เมื่อได้มาเจอพระองค์ หม่อมฉันถึงได้รู้ว่าที่แท้มันไม่มีขอบเขต”


“ข้าควรจะคิดว่านี่เป็นคำชมใช่ไหม?” โรแลนด์เลิกคิ้วขึ้นมา


“ความอ่อนเยาว์ของจิตใจนั้นไม่สามารถใช้คำว่าดีหรือไม่ดีมาวัดได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เคแกนไม่ได้พูดรับคำอย่างที่ควรจะเป็น “ความอ่อนเยาว์ของจิตใจจะมาพร้อมกับความทะเยอะทะยาน ความกล้า ความอยากรู้อยากเห็น…มันทำให้คนๆ หนึ่งก้าวต่อไปข้างหน้าได้ แล้วก็ทำให้คนๆ หนึ่งสูญเสียความเป็นตัวเองไปได้เหมือนกัน บางครั้งอาจจะนำเอาภัยพิบัติมาสู่ตัวเองได้ ดังนั้น…”


“อะแฮ่มๆ ท่านเคแกน..!” บารอฟพูดตัดบท


“เอ่อ ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแค่พูดไปเรื่อยเท่านั้น” ปรมาจารย์ด้านการแสดงได้สติคืนนี้ “อายุมาก เจอคนมามาก ก็มักจะมีความคิดแปลกๆ ปรากฏขึ้นมา ขอพระองค์ได้โปรดอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


“ไม่เป็นไร” โรแลนด์โบกมือ ภายในใจเริ่มรู้สึกประทับใจเคแกนขึ้นมาหน่อย “กลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า ข้าได้ยินบารอฟบอกว่าเจ้าคิดจะรับแสดงละครที่ข้าเขียน หรือไม่ก็เข้าไปอยู่ในคณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์อย่างนั้นเหรอ? ทำไมล่ะ?”


เคแกนตอบออกมาตรงๆ ว่า “กระหม่อมอยากจะทำความเข้าใจหนังเวทมนตร์ให้มากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”


อย่างนี้นี่เอง หลังถูกตัวเองปฏิเสธกลับไป เขาก็คิดจะใช้วิธีนี้มาทำให้เป้าหมายของตัวเองเป็นจริงอย่างนั้นเหรอ


“ต่อให้ต้องแสดงละครที่เจ้าดูถูกพวกนั้นน่ะเหรอ?”


“กระหม่อมไม่ได้ดูถูกละครเหล่านั้นพ่ะย่ะค่ะ..” เขาอธิบาย “กระหม่อมเพียงแต่รู้สึกว่าการแสดงละครนั้นจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งกายและใจ นักแสดงถึงจะสามารถก้าวหน้าไปได้โดยไม่หยุด ไม่เช่นนี้มันก็จะสิ้นเปลืองเวลาและความสามารถ แล้วก็เป็นการทำให้ผู้ชมผิดหวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


“แต่ผู้ชมที่จะมาดูเจ้าแสดงนั้นไม่ใช่ขุนนาง ข้าเองก็ไม่มีเวลาที่จะเจ้าฝึกซ้อมนานขนาดนั้น ถ้าเข้าไปอยู่ในคณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์ เจ้าก็อาจจะถูกบีบให้แสดงละครที่เจ้าบอกว่าไม่สมบูรณ์ แบบนี้ชื่อเสียงของปรมาจารย์ด้านการแสดงก็จะเสียไปทันที ถึงแม้จะเช่นนี้เจ้าก็ยังยินดีที่จะขึ้นแสดงเหรอ?”


“ฝ่าบาท กระหม่อม…”


“ดังนั้นเรื่องที่จะเข้าไปอยู่ในคณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์ข้าว่าอย่าดีกว่า” โรแลนด์ย่อมไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสพูดว่ายินดี “ส่วนละครที่ข้าจะให้ขึ้นแสดงหลังจากนี้ก็ต้องการฐานผู้ชมจำนวนหนึ่ง นั่นจึงจำเป็นต้องให้ทางคณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์เป็นคนแสดง ข้าเกรงว่าในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้คงจะไม่มีบทที่เหมาะจะให้เจ้าแสดงได้”


ครั้งนี้กลายเป็นบารอฟที่ส่งสายตาให้โรแลนด์


“แต่ว่า…” เขาทำเป็นมองไม่เป็นสายตาของหัวหน้าสำนักบริหาร “มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเลย”


“เชิญพระองค์ตรัสมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” ร่างกายของเคแกนโน้มลงมาข้างหน้าเล็กน้อย


“ความจริงแล้ว ข้าวางแผนที่จะเขียนบทละครที่เกี่ยวกับความรักขึ้นมาเรื่องหนึ่ง โดยมันจะสะท้อนให้เห็นถึงดอกไม้แห่งความรักที่เกิดขึ้นในยุคสมัยอันมืดมิด ซึ่งจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ศาสนจักรกำลังทำให้สังคมที่วุ่นวายกลับสู่ความสงบอีกครั้ง” โรแลนด์อธิบายความคิดเขาอย่างช้าๆ “ได้ยินว่าเจ้าถนัดเรื่องละครเกี่ยวกับความรักกับการกอบกู้ช่วยเหลือมากที่สุด ดังนั้นก็ถือว่าละครเรื่องนี้เป็นการทดสอบเจ้าก็แล้วกัน ถ้าเจ้าสามารถทำให้มันประสบความสำเร็จได้ อย่างนั้นตอนที่ถ่ายหนังเวทมนตร์ครั้งต่อไป ข้าอาจจะตอบรับคำขอของเจ้าก็ได้ ว่ายังไง?”


หลังจากที่ยึดเมืองศักดิ์สิทธิ์เก่าได้ เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็ป่าวประกาศออกไปว่าคนที่อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทั้งหมดนั้นคือพระสันตปาปาตัวปลอม ส่วนพระสันตะปาปาตัวจริงนั้นถูกฆ่าตายไปนานแล้ว ตอนนี้ผู้รักษาการณ์แทนพระสันตะปาปาคนใหม่สนับสนุนเกรย์คาสเซิลอย่างเต็มที่เพื่อช่วยกันหยุดยั้งสงครามแห่งโชคชะตาที่จะมาถึง


หลังป่าวประกาศไปหนึ่งปีกว่า ประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นมาใหม่นี้ก็กลายเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ยอมรับกัน ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องขยับขึ้นไปอีกขั้น นั่นก็คือเปิดเผยสงครามแห่งความเชื่อและจุดกำเนิดของศาสนจักร เมื่อถึงตอนนั้นศาสนจักรที่กำเนิดขึ้นมาใหม่ก็จะแตกต่างไปจากศาสนจักรที่คอยทำร้ายแม่มดเหมือนอย่างในอดีต และกลายเป็นส่วนหนึ่งในอำนาจทางการเมืองของเนเวอร์วินเทอร์


“พระองค์หมายความว่าละครเรื่องนี้เป็นละครที่ดัดแปลงมาจากเรื่องจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เคแกนพูดงึมงำขึ้นมา “กระหม่อมขอเจอหน้าสองคนที่อยู่ในเรื่องนี้ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”


“ตอนนี้พวกเขายังอยู่ที่อาณาจักรดอว์น ทีมช่วยเหลือยังไม่ได้ออกเดินทางไปช่วยเหลือพวกเขาเลย” โรแลน์ยักไหล่ “แล้วก็ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเข้าใจถึงความหมายของคำว่าดัดแปลงนะ…”


“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เคแกนพยักหน้า “บทละครที่กระหม่อมเขียนขึ้นมาก็ล้วนแต่เขียนขึ้นมาจากเรื่องเล่าของราชวงศ์ นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนชื่อตระกูลและชื่อนามสกุลของตัวละครด้วย แต่ว่า…”


“แต่ว่าอะไร?”


เคแกนลังเลเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นก็เหมือนตัดสินใจได้ “ฝ่าบาท สำหรับกระหม่อมแล้วนี่เป็นสิ่งที่กระหม่อมยังไม่เคยลองทำมาก่อน ถ้าหากเป็นไปได้ กระหม่อมอยากจะเข้าร่วมทีมช่วยเหลือของพระองค์เพื่อเก็บข้อมูลปฏิบัติการครั้งนี้ทั้งหมดตลอดการเดินทาง ซึ่งนั่นจะเป็นประโยชน์ต่อการซ้อมการแสดงอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ”


“ถึงแม้ต้องไปวูล์ฟฮาร์ทน่ะเหรอ?”


“กระหม่อมไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถคิดรายละเอียดต่างๆ ออกมาโดยที่ไม่มีข้อมูลอยู่ในหัวได้ แล้วก็ไม่อยากทำให้โอกาสที่พระองค์พระราชทานมาให้ต้องสูญเปล่าไปด้วย” เคแกนพูดตรง “ขอพระองค์โปรดวางพระทัย ร่างกายของกระหม่อมยังแข็งแรงอยู่พ่ะย่ะค่ะ แล้วก็ยังมีลูกศิษย์ที่ติดตามกระหม่อมมาด้วย กระหม่อมไม่ไปถ่วงการทำงานของทีมช่วยเหลือแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”


………………………………………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)