Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1079-1082

ตอนที่ 1079 เจตนาของปีศาจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ปีศาจอีกสามตัวที่เหลือทำการตอบสนองออกมาทันที พวกมันบังคับอสูรสยองแยกย้ายกันบินหนีกลับไปยังทิศทางเดิมที่พวกมันมา ก่อนจะหายลับไปจากขอบฟ้าในเวลาไม่นาน


ตอนที่มันถอยไป ปีศาจตัวหนึ่งยังหันกลับมาปาหอกกระดูกใส่หัวของอสูรสยองที่ถูกยิงจนปีกแหว่งไปข้างและกำลังร่วงตกลงมาด้วย


ถึงแม้แอนเดรียจะคอยจ้องมันอยู่ตลอด แต่เธอก็มองไม่เห็นโอกาสที่เหรียญที่สองจะตั้งขึ้นเลย


“หนีไปแล้วเหรอ?” ซาวีพูดอย่างแปลกใจ “พวกมันทำแบบนี้ทำไม?”


นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ปีศาจถอยไปโดยไม่สู้ ที่ผ่านมาเผ่าพันธุ์ที่ดุร้ายพวกนี้จะไม่ยอมพักจนกว่าจะได้ขย้ำเป้าหมาย แต่การที่พวกมันไม่โจมตี แล้วก็ไม่เหมือนกำลังมาสอดแนม หากแต่คอยบินวนอยู่ด้านบนแบบนี้นั้นทำให้พวกเธอรู้สึกค่อนข้างเหนือความคาดหมาย


“ไม่รู้สิ…” แอนเดรียปล่อยนิ้วออกจากปืน “ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันเหมือนจะรู้วิธีหลบการซุ่มโจมตีแล้วด้วย ดูเหมือนศัตรูจะเรียนรู้เร็วมากเลยนะเนี่ย เจ้าว่าไหม มอลลี่น้อย?” เธอยิ้มๆ แล้วมองไปทางมอลลี่ที่กำลังนวดหูอยู่


“ครั้งหน้าเจ้าบอกข้าให้เร็วหน่อยสิ” มอลลี่บ่นออกมา เสียงของปืนกระบอกนี้ไม่ได้เบาไปกว่าปืนใหญ่เท่าไรเลย เธอเกือบจะเอามืออุดหูไม่ทัน แต่ถึงแม้จะอุดแล้ว เสียงอันดังสนั่นของมันก็ยังทำให้ในหูของเธอมีเสียงดังหวึ่งๆ อยู่


“ขอโทษ ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่า ‘เส้นนำทาง’ มันจะปรากฏออกมาเร็วขนาดนี้ น่าจะเป็นเพราะความสามารถของข้าพัฒนาขึ้นไปอีกแล้วล่ะมั้ง” แอนเดรียกะพริบตา “เพื่อเป็นการขอโทษ ข้าจะชดเชยให้เจ้าเป็นพิเศษ เจ้าว่าไง?”


“เจ้าไม่ได้ตั้งใจซักหน่อย ช่างมันเถอะ” มอลลี่ส่ายหัว “เพราะการทำให้ศัตรูถอยหนีไปเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า”


“ข้าแบบนั้นข้าจะรู้สึกไม่สบายใจน่ะสิ”


“เอ่อ…” เธอมองดูดวงตาที่จริงจังของอีกฝ่าย สุดท้ายจึงได้แต่ต้องตอบรับออกมา “แล้วจะชดเชยด้วยอะไร?”


“เครื่องดื่มยุ่งเหยิงไง” แอนเดรียปิดปาก


“เจ้า…แน่ใจ?” มอลลี่ถามอย่างแปลกใจ เพราะตอนที่อยู่บนเกาะสลีปปิ้ง เธอรู้เพียงว่าอีกฝ่ายนั้นเกิดในตระกูลขุนนางที่สูงศักดิ์ ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถของเธอก็เป็นแม่มดสายต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างมาก สถานะเรียกได้ว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าแอชเชวเลย อีกทั้งปกติยังคอยอยู่ข้างกายท่านทิลลีตลอดเวลา ด้วยเหตุนนี้เธอจึงไม่ค่อยได้พูดคุยกับอีกฝ่ายเท่าไร แต่หลังจากที่มายังเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ช่องว่างระหว่างแม่มดสายต่อสู้กับแม่มดสายสนับสนุนนั้นได้สลายหายไปจนหมด เธอถึงได้พบว่าที่แท้อีกฝ่ายนั้นไม่ได้เย็นชาเหมือนอย่างที่ตัวเองคิด หากแต่เป็นคนที่สง่างามและเป็นมิตร


แต่เธอคิดไม่ถึงว่าแอนเดรียจะใจกว้างขนาดนี้!


“แน่นอน ปกติกฎเดิมคือเครื่องดื่มหนึ่งแก้วต่อไพ่หนึ่งเกม สิ่งที่ข้าจะชดเชยให้เจ้าเป็นพิเศษก็คือถ้าเจ้าแพ้ ข้าจะไม่ริบเครื่องดื่มของเจ้า แต่ถ้าข้าแพ้ เจ้าก็เอาเครื่องดื่มของข้าไป ว่ายังไง โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ นะ”


“อย่างนี้นี่เอง ถ้ามีแต่ได้ไม่มีเสีย มันก็น่า…. เดี๋ยวๆ ทำแบบนี้ไม่ได้!” มอลลี่ได้สติขึ้นมา “สุดท้ายเจ้าก็จะเล่นไพ่นั่นแหละ ถ้ามาแอบอู้แบบนี้ ข้า…”


“แต่เจ้ารับปากแล้ว เมื่อกี้นี้” แอนเดรียทำหน้าเหมือนจะบอกว่า ‘มันสายไปเสียแล้ว’ ออกมา “รออยู่นี่อย่าไปไหน ข้าไปรายงานสถานการณ์ที่กองบัญชาการก่อน เดี๋ยวมา!”


มอลลี่ยังไม่ได้ทันจะได้พูดเถียงออกไป อีกฝ่ายก็กระโดดลงไปจากกองอิฐ ก่อนจะวิ่งหายไปทางลานวางของอย่างรวดเร็ว


เธอมองดูแม็กกี้ที่ทำสีหน้าเหมือนเข้าใจเธอ ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าที่แม็กกี้บอกว่า ‘พวกนางบังคับข้ามาที่นี่’ มันหมายความว่ายังไง


…..


ณ กองบัญชาการ


ในเวลาครึ่งชั่วโมง ข้อมูลเกี่ยวกับ ‘การเจอศัตรูโดยไม่ได้คาดหมาย’ ครั้งนี้ทั้งหมดถูกรวบรวมมาวางไว้บนโต๊ะขวานเหล็ก


คนที่เจอศัตรูเป็นคนแรกสุดก็คือไลต์นิ่งกับเมซี่ที่บินเล่นอยู่นอกเขตเตือนภัย


ในตอนที่ทั้งสองคนกำลังบินไปบินมาอยู่ในชั้นเมฆ พวกเธอก็บังเอิญหลบพ้นสายตาของศัตรูได้พอดี หลังจากนั้นพวกเธอก็แอบบินตามอยู่ด้านหลังพวกปีศาจ แล้วก็ใช้รูนสดับแจ้งข่าวให้ทางซิลเวียทราบ


จากที่ไลต์นิ่งเล่ามา เส้นทางการบินของปีศาจเมื่อเอาไปพล็ตจุดบนแผนที่แล้วจะเห็นว่าเป็นเส้นตรงได้อย่างชัดเจน มันเชื่อมต่อระหว่างรางเหล็กกับซากเมืองทาคิลา พูดอีกอย่างก็คืออีกฝ่ายนั้นไม่ได้ทำภารกิจลาดตระเวนอยู่ หากแต่ตั้งใจพุ่งเข้ามาหากองทัพที่หนึ่งตั้งแต่แรก


เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกินเวลาประมาณ 15 นาที คนที่สังหารปีศาจได้มีเพียงแค่คุณหนูแอนเดรียเท่านั้น ปืนไรเฟิลต่อต้านอสูรสยองเป็นอาวุธเพียงหนึ่งเดียวที่ปลิดชีพเป้าหมายได้จากระยะนี้ หลังจากพวกมันตัวหนึ่งถูกยิงตายไป ปีศาจที่เหลือก็รีบถอยหนีทันที แถมยังบินซิกแซกไปมาในระหว่างที่ถอยเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกยิงด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าการบินแบบนี้นั้นใช้ได้ผลทีเดียว เพราะหลังจากนั้นแอนเดรียก็ไม่สามารถหาโอกาสลงมือได้อีก


ซิลเวียคอยจับตาดูอีกฝ่ายจนกระทั่งพวกมันบินออกนอกเขตเตือนภัยออกไป


ไลต์นิ่งกับเมซี่ก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวใดๆ


หลังจากนั้น 15 นาที สัญญาณเตือนก็หยุดลง


ขวานเหล็กวางรายงานในมือลงพร้อมกับถอนหายใจออกมา


นี่คือระบบรวบรวมข่าวสารการรบที่โรแลนด์กำหนดขึ้นมา โดยแต่ละหน่วยจะรายงานความเคลื่อนไหวของตัวเองให้ทางหน่วยเสนาธิการทหารใหญ่รับทราบ จากนั้นทางทีมที่ปรึกษาก็จะนำข้อมูลเหล่านั้นมาเรียบเรียงและวิเคราะห์เพื่อจัดลำดับเหตุการณ์การรบที่เกิดขึ้น เมื่อใช้คู่กับแผนที่และถาดทรายจำลองสนามรบ ทำให้กองบัญชาการของกองทัพสามารถเข้าใจสถานการณ์โดยรวมของการรบได้อย่างชัดเจน


ถึงแม้จะเคยฝึกซ้อมมาแล้วหลายครั้งก่อนออกรบ แต่การใช้งานครั้งแรกของระบบนี้ก็ยังทำให้ขวานเหล็กรู้สึกตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่เขามองเห็นการรบได้ชัดเจนขนาดนี้ เหมือนกับว่าตัวขึ้นไปอยู่บนเมฆแล้วมองลงมาดูสนามรบอย่างไรอย่างนั้น


ตอนอยู่ที่เมืองไอรอนแซนด์ ถึงแม้จะเป็นการต่อสู้ระหว่างคนหลายร้อยคนระหว่างเปล่า แต่มันก็อาจจะเกิดความวุ่นวายขึ้นได้ ถ้าอยากจะประเมินดูผลการสู้รบว่าเป็นอย่างไร ไม่เพียงแต่จะเสียเวลาและเสียกำลัง แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็เป็นแค่เพียงผลสรุปแบบคร่าวๆ เท่านั้น แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของศัตรูหรือการตอบโต้ของฝ่ายตัวเองก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในหัวของเขา ความรู้สึกที่มองเห็นการรบทั้งหมดชัดเจนเหมือนอยู่บนมือตัวเองเช่นนี้ทำให้ขวานเหล็กรู้สึกว่าการต่อสู้ระหว่างเผ่าของชาวโมเกนนั้นเป็นแค่เพียงการทะเลาะวิวาทธรรมดาๆ เท่านั้น


แต่แค่เข้าใจสถานการณ์การรบเพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่พอ สิ่งสำคัญที่เขาต้องทำหลังจากนี้ก็คือเข้าใจเจตนาของพวกปีศาจ


ขวานเหล็กมองไปยังเอดิธส์ที่ยืนจ้องมองแผนที่อยู่ เธอเป็นคนเดียวที่ไม่ได้เข้าไปคุยกับสมาชิกทีมที่ปรึกษาคนอื่น


สำหรับเรื่องที่เขาเอาเรื่องที่ตัวเองแอบคุยกับอีกฝ่ายไปรายงานให้โรแลนด์ทราบ ขวานเหล็กนั้นไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร เพราะฝ่าบาทคือคนที่เขาสาบานว่าจะจงรักภักดี ต่อให้ต้องทำผิดของไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือเขาก็จะทำ เพียงแต่ว่าเขายังรู้สึกเหมือนติดข้างอะไรบางอย่างอยู่ เขาเองได้เตรียมพร้อมที่จะโดนอีกฝ่ายเหน็บแหนมหรือว่าเมินเฉยใส่ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ อีกฝ่ายทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น ถึงแม้จะโดนฝ่าบาทลงโทษไปแล้ว แต่เธอก็ยังชวนเขาไปเขาให้มีส่วนร่วมกับทีมที่ปรึกษาอยู่ เพียงแต่เธอไม่ได้มาพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวอีก


ตอนนี้เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว เขาเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจความคิดของผู้หญิงจริงๆ สมัยที่เขาอยู่ที่ดินแดนทางใต้สุดก็เป็นแบบนี้


“เจ้าเห็นอะไรไหม?” ขวานเหล็กเดินมาข้างหลังเธอ


“ไม่มี” เอดิธส์ยักไหล่ “ข้าเองก็ไม่ใช่ปีศาจ แค่เห็นหน้ามันข้าจะไปรู้ได้ไงว่ามันคิดอะไร”


“เจ้าไม่ได้ไปคุยกับพวกเขา ข้าเลยนึกว่าเจ้าคิดอะไรได้แล้ว”


“การพูดคุยโดยขาดเบาะแสมันไม่มีประโยชน์อะไร เมื่อท่านไม่สามารถพิสูจน์ว่ามันจริงหรือไม่ มันมีแต่จะเพิ่มความกังวลให้ท่านเท่านั้น”


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นข้าก็จะถือว่ามันเป็นข้อสรุปของหน่วยเสนาธิการทหารใหญ่ แล้วก็รายงานให้ฝ่าบาททรงทราบ ขวานเหล็กพยักหน้า ถ้าแม้แต่ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือก็ยังไม่เข้าใจ อย่างนั้นเรื่องนี้ก็คงมาได้เพียงเท่านี้


“ได้ ทำตามที่ท่านว่านั่นแหละ” เอดิธส์ชะงักเล็กน้อย “แต่ว่า…”


“แต่ว่าอะไร?”


“ข้าคิดว่าเรื่องนี้มันคงไม่จบง่ายๆ แบบนี้แน่ ถ้าศัตรูมันคิดที่จะมาเล่นงานเราจริงๆ อีกไม่กี่วันมันจะต้องมีความเคลื่อนไหวแน่”


หลังจากนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นเหมือนที่เอดิธส์คิดเอาไว้


เพียงแค่สองวัน ปีศาจก็ปรากฏตัวขึ้นตรงทิศตะวันออกเฉียงเหนืออีกครั้ง


ครั้งนี้ยังคงมีปีศาจคุ้มคลั่งแค่สี่ตัวเหมือนเดิม


แต่ครั้งนี้ พวกมันอยู่ห่างจากแนวหน้าไกลกว่าครั้งก่อน ถ้าใช้ตาเปล่ามองจะเห็นเป็นเพียงจุดดำเล็กๆ เท่านั้น


…………………………………………………………………


ตอนที่ 1080 สถานีใหม่

โดย

Ink Stone_Fantasy

“คุณหนูซิลเวียยืนยันมาแล้ว บริเวณรอบๆ ไม่มีปีศาจอื่นอยู่”


“ถ้าศัตรูโจมตีจากระยะนี้ พวกเราจะมีเวลาเตรียมตัวอย่างน้อย 5 นาที”


“5 นาทีก็เพียงพอให้หน่วยปืนกลต่อต้านทางอากาศได้เตรียมตัวแล้ว ระดับความอันตรายล่ะ?”


“ในกลุ่มศัตรูตอนนี้ไม่พบปีศาจระดับสูง ระดับความอันตรายต่อราชินีแทบจะเป็นศูนย์”


“ถ้าทำงานไปตามปกติ ความเสียหายที่มากที่สุดอาจจะมาจากคนเหยียบกัน เพราะกลุ่มคนงานขนย้ายรางเหล็กมีคนเป็นจำนวนมาก กระจายตัวได้ลำบาก ประเมินว่าจะมีผู้เสียชีวิต 1 – 2 คน”


ทุกคนภายในกองบัญชาการต่างยุ่งวุ่นวาย หลังเคราะห์ข้อมูลและทำการปรึกษากันซ้ำไปซ้ำมาแล้ว ข้อสรุปแต่ละอันก็ถูกติดขึ้นไปบนกระดาน นี่คือความเคยชินอย่างหนึ่งที่สมาชิกในทีมที่ปรึกษาค่อยๆ บ่มเพาะขึ้นมา เมื่ออยู่ต่อหน้าข้อมูลที่มีความซับซ้อนแล้ว ตัวหนังสือนั้นทำให้คนมองข้ามได้ยากกว่าคำพูด


“โดยสรุปแล้ว เฟร์ราน ชิลต์ทำความเคารพขวานเหล็กพร้อมพูดรายงาน “พวกเราคิดว่าการให้คนงานทำงานต่อจะได้ประโยชน์มากกว่าการหยุดทำงานแล้วก็คอยป้องกัน จริงอยู่ที่พวกปีศาจอาจจะรู้ถึงเป้าหมายของพวกเรา แต่เดิมนี่ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในแผนการของฝ่าบาทอยู่แล้ว ส่วนปีศาจ 4 ตัวนั้น พวกเราแค่คอยเฝ้าระวังเอาไว้ก็พอ”


จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้มา ข้อสรุปที่ออกมาก็คือ ‘ไม่มีอะไรน่ากลัว’


ถึงแม้หน้าที่ของทีมที่ปรึกษาคือช่วยวิเคราะห์และเสนอคำแนะนำ แต่คนที่มีอำนาจตัดสินใจในตอนสุดท้ายยังคงเป็นตัวขวานเหล็ก แต่ข้อสรุปอันนี้กลับเหมือนที่เขาคิดเอาไว้พอดี


กองทัพที่หนึ่งนั้นไม่ใช่กองทัพโบราณแบบเมื่อ 400 ปีก่อนอีก ต่อให้เป็นกองทัพแนวหน้าจำนวนแค่ 5,000 คนเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์แล้ว อาศัยเพียงแค่ปีศาจคุ้มคลั่งเพียงสี่ตัวนั้นไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ สำหรับแผนการของฝ่าบาทแล้ว ชีวิตคนงานเพียงคนสองคนแลกกับการบดขยี้ศัตรูนั้นไม่ถือเป็นความเสียหายด้วยซ้ำ


เพราะความเสี่ยงในการออกมาทำงานที่แผ่นดินรกร้างนั้นได้เขียนเอาไว้ในสัญญาตั้งแต่แรกแล้ว


ขวานเหล็กมองไปทางเอดิธส์ อีกฝ่ายไม่พูดอะไร


ในฐานบัญชาการ การเงียบนั้นหมายถึงการยอมรับ


“ข้าเข้าใจแล้ว อย่างนั้นก็ให้คนงานกลับมาทำงานเหมือนเดิม หน่วยปืนกลต่อต้านทางอากาศคอยเฝ้าระวังอยู่ที่เดิม คนอื่นๆ ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเอาไว้” ในตอนที่ขวานเหล็กกำลังออกคำสั่ง เอดิธส์พลันเอ่ยปากพูดขึ้นมา


แต่เธอไม่ได้พูดกับเขา หากแต่หันไปพูดกับอกาธาและฟิลลิส


“พวกท่านมีวิธีที่จะบดขยี้แมลงวันพวกนี้ในทีเดียวหรือเปล่า?”


“เจ้าหมายความว่า…เปิดฉากโจมตีก่อนเหรอ?” อกาธาถามพร้อมขมวดคิ้วขึ้นมา


“ถูกต้อง ข้ารู้สึกว่าการปล่อยให้พวกมันมาจับตาดูเราอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องดี” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือพยักหน้า “จากที่ข้ารู้มา สาวน้อยสองคนที่บินได้ต่างก็มีความสามารถในการต่อสู้อยู่เหมือนกันใช่ไหมล่ะ? ถ้ารวมกับคุณหนูจากอาณาจักรดอว์นไปอีกคนล่ะก็ บางทีพวกนางอาจจะกำจัดพวกมันได้ก็ได้ เรื่องนี้เกินกำลังของกองทัพที่หนึ่ง แล้วก็มีแต่พวกท่านถึงจะจัดการได้”


“นี่มัน…” อกาธาลังเลเล็กน้อย “ตามหลักแล้วพวกนางจะลงมือโจมตีได้โดยไม่มีอันตรายก็ต่อเมื่ออีกฝั่งมีปีศาจแค่สองตัว เพราะถ้าหากศัตรูเกิดขว้างหอกออกมาในระยะใกล้ๆ พวกนางก็ยากที่หลบหอกพวกนั้นได้ ต่อให้มีแอนเดรียช่วยอีกคน แต่พวกมันก็บยังเหลือปีศาจอยู่อีก 3 ตัว…”


เธอยิ่งพูดยิ่งช้าลง เพราะว่าแม้แต่ตัวเธอเองก็ยังรู้สึกว่าตัวเองกำลังฝืนพูดอยู่


ในเมื่อเป็นสงคราม มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีความเสี่ยง ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นศึกที่จะตัดสินชะตาชีวิตของมนุษย์ด้วย เพื่อที่จะทำให้มนุษย์มีชีวิตรอดต่อไปแล้ว แม่มดนับหมื่นต้องตายลงด้วยน้ำมือของปีศาจ ไลต์นิ่งเองก็ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษกว่าแม่มดคนอื่นๆ เหล่านั้นเลย


แต่ในความเป็นจริง เธอสามารถรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของไลต์นิ่งตั้งแต่เข้ามาในที่ราบลุ่มบริบูรณ์แล้ว ถึงแม้ไลต์นิ่งจะพยายามปกปิดมันเอาไว้ แต่อกาธาที่มีเคยผ่านสงครามแห่งโชคชะตามาก่อนก็ยังมองออก เธอรู้ว่านั้นเป็นความรู้สึกสับสนที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้เจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ และก็เป็นเพราะความแข็งแกร่งของศัตรูที่ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนไม่สามารถเอาชนะได้ ทำให้แม่มดจำนวนมากในกองทัพผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านการต่อสู้มาเป็นเวลานานก็ยังไม่อาจหลีกหนีความรู้สึกแบบนี้ไปได้ ถ้าอยากจะปรับสภาพจิตใจให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว นอกจากยากับพลังเวทมนตร์ ก็มีแต่ต้องค่อยๆ ฟื้นฟูสภาพจิตใจด้วยตัวเอง


เพื่อที่จะเอาชนะปีศาจแล้ว อกาธาไม่สนใจว่าจะมีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน ขอเพียงได้ประโยชน์มากพอ ต่อให้เป็นแผนการที่อาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาเธอก็ไม่มีทางถอย ในจุดนี้เธอกับแม่มดทาคิลาคนอื่นๆ ต่างคิดเหมือนกัน


แต่ไลต์นิ่งนั้นไม่เหมือนกัน การบังคับให้เธอออกไปสู้กับปีศาจในสภาพแบบนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับการให้เธอไปตายเลย


ตัวอกาธานั้นอาจจะไม่กลัวความเสี่ยง แต่เธอไม่สามารถส่งให้อีกฝ่ายไปลงนรกด้วยมือของตัวเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะพี่น้อง


หลังจากที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ เธอก็พบว่าตัวเธอเปลี่ยนไปจากเดิมเพราะแม่มดกลุ่มนี้


“อย่างนั้นเหรอ…” เอดิธส์เลิกคิ้วขึ้นมา เธอไม่ได้พูดดึงดันที่จะให้พวกไลต์นิ่งออกไปสู้ “แล้วถ้าแค่ไล่พวกมันออกไปล่ะ? ใช้เรืออาร์คเวทมนตร์พรางตัวเอาไว้ แล้วให้คุณหนูจากอาณาจักรดอว์นหาโอกาสลงมือ ต่อให้จัดการได้ตัวเดียวก็ไม่เป็นไร ข้าคิดว่ายังไงก็ดีกว่าปล่อยให้พวกมันมาคอยดูพวกเราได้ตามใจชอบ”


อกาธากับขวานเหล็กสบตากัน “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ข้าจะแจ้งหน่วยจู่โจมพิเศษ”


….


ในเวลาสิบกว่าวันหลังจากนั้น ปีศาจกับกองทัพที่หนึ่งเหมือนจะ ‘รู้ใจ’ กันขึ้นมา


ทุกๆ วันจะมีอสูรสยองกลุ่มหนึ่งมาคอยบินไปบินมาอยู่นอกแนวป้องกัน บางครั้งก็จะเพิ่มเป็น 2 – 3 กลุ่ม ทิศทางในการปรากฏตัวก็ไม่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าด้วยการตรวจตราของซิลเวีย พวกมันจึงไม่สามารถแอบทำอะไรได้ ยังไม่ทันที่พวกมันจะได้เข้ามาใกล้ กองทัพที่หนึ่งก็ไปดักรอพวกมันเอาไว้ก่อนแล้ว


และก็น่าจะเป็นเพราะไม่มีโอกาสให้โจมตีแม้แต่น้อย พวกปีศาจจึงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากบินไปบินมา


ในตอนแรกพวกคนงานยังรู้สึกหวาดกลัวปีศาจอยู่ แต่พอผ่านไปไม่กี่วัน ทุกคนเหมือนจะเคยชินกับสถานการณ์แบบนี้ไปเสียแล้ว พวกเขากลับไปทำงานกันอย่างขันแข็งเหมือนอย่างเก่า เพราะว่า ‘ภัยอันตราย’ นั้นอยู่อีกด้านหนึ่งของขอบฟ้า แต่เงินค่าจ้างนั้นกลับอยู่ตรงหน้า


สิ่งเดียวที่ดูแปลกออกไปจากเดิมในช่วงเวลานี้นั้นมาจากแอนเดรีย


ทุกครั้งที่ปีศาจถูกยิงตกลงมา พวกคนงานจะพากันระเบิดเสียงเฮออกมาดังสนั่น


เหตุการณ์แบบนี้ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า บางวันก็ไม่มีเสียงเฮเลย บางวันก็มีเสียงเฮดังขึ้นมาสองสามครั้ง


ถึงแม้ทุกคนจะไม่รู้ถึงการมีอยู่ของหน่วยจู่โจมพิเศษ แต่ทุกคนรู้ว่านี่ต้องเป็นการตอบโต้จากทางกองทัพอย่างแน่นอน


พวกคนงานถึงกับมีเกมการพนันแบบใหม่ขึ้นมา


นั่นก็คือทายจุดจบของพวกปีศาจ


วันนี้จะมีปีศาจมากี่ตัว แล้วจะมีปีศาจได้กลับไปกี่ตัว เกมแก้เบื่อแบบนี้กลายเป็นที่นิยมของทุกคน


เนื่องจากการก่อสร้างคืบหน้าไปอย่างราบรื่น ไม่นานกองทัพที่หนึ่งก็เคลื่อนที่เข้าไปยังจุดเชื่อมต่อที่สองของรางเหล็ก


ตามแผนการรบแล้ว รางเหล็กที่ไม่มีป่าเร้นลับคอยปกป้องจะมีการตั้งสถานีเอาไว้ทุกๆ ระยะ 50 กิโลเมตร ป้อมคอนกรีตแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับประกันว่ากองทัพที่หนึ่งจะสามารถรับมือกับกองทัพปีศาจที่มีจำนวนมากกว่าหลายเท่าได้ ขณะเดียวกัน ขณะเดียวกันทัพหลักกับทัพหน้าก็ยังคอยประสานงานกันด้วย กองหนุนที่อยู่ด้านหลังก็จะยิ่งทำงานได้สะดวกมากขึ้นด้วย


รางเหล็กที่อยู่ระหว่างสถานีสองสถานีจะให้รถไฟหุ้มเกราะที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่บนรางคอยคุ้มกัน ต่อให้ถูกศัตรูโจมตีใส่รางจนพังเสียหาย การสร้างมันขึ้นมาใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร


เรียกได้ว่าเมื่อมีสถานีเหล่านี้แล้ว การที่ศัตรูจะกำจัด ‘แบล็กริเวอร์’ ทิ้งในระยะเวลาสั้นๆ นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย พวกมันเป็นเหมือนกับตะปูที่ทำให้กองทัพที่หนึ่งสามารถปักหลักอยู่บนที่ราบแห่งนี้ได้


และสิ่งที่พวกเขาจะทำในตอนนี้ก็คือการการตอกตะปูเหล็กตัวที่สองลงไป —- ‘สถานีหมายเลขหนึ่ง’


……………………………………………………….




ตอนที่ 1081 ค่ำคืนที่เงียบสงัด

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังตกกลางคืน ทั่วทั้งค่ายตกอยู่ในความเงียบ


เหล่าคนงานที่วุ่นมาทั้งวันพากันเข้านอนไปเรียบร้อยแล้ว แม่มดเองก็เหมือนกัน


แต่ไลต์นิ่งกลับไม่รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย


เธอเป็นแบบนี้มาเกือบครึ่งเดือนแล้ว พูดอีกอย่างก็คือนับตั้งแต่ที่ออกมาจากป่าเร้นลับ เธอก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา บาดแผลที่ถูกเมซี่จิกเองก็เริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมา ราวกับว่ามันกำลังเตือนเธอถึงสิ่งที่เธอเจอในวันนั้น


ไลต์นิ่งไม่รู้ว่าความเจ็บปวดนี้เป็นเพราะเธอคิดไปเองหรือเปล่า เธอพยายามที่จะหาอะไรมาเบี่ยงเบนความสนใจแล้ว แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ผล บาดแผลนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันไม่ได้หายไป แล้วก็ไม่ได้ขยายใหญ่ขึ้น มันเป็นเหมือนกับรอยแดงที่ฝังแน่นอยู่ในหน้าอกเธออย่างไรอย่างนั้น


ความรู้สึกสับสนนี้ทำให้เธอใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทุกวันต้องรอให้ถึงตี 3 – 4 กว่าเธอจะได้นอน แต่ถึงแม้จะนอนหลับลงไป เธอก็ยังเอาแต่ฝันร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงเพียงแค่นิดเดียวก็ทำให้เธอสะดุ้งตื่นแล้ว


ไลต์นิ่งมองดูเมซี่ที่นอนกางแขนกางขาอย่างสบาย ก่อนจะถอนใจออกมาเบาๆ


เธอเอาผ้าห่มที่อีกฝ่ายสลัดทิ้งขึ้นมาห่มให้ใหม่ ส่วนตัวเองก็ลงมาจากเตียงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง


ค่ายของแม่มดตั้งอยู่กึ่งกลางของค่ายทหาร รอบๆ มีแม่มดอาญาสิทธิ์คอยเฝ้าระวังอยู่ เธอบินออกมาอย่างเงียบๆ สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ตรงรางรถไฟที่กำลังสร้างอยู่


แสงจันทร์ที่ส่องสว่างสาดลงมายังพื้นใต้เท้าเธอ รางเหล็กทั้งสองด้านสะท้อนแสงจันทร์ออกมาเป็นแถบสีเงิน ลมยามค่ำคืนพักผ่านที่ราบที่ถูกความมืดเข้าปกคลุม มันไม่เพียงแต่จะนำพาเอาเสียงเสียดสีกันของพุ่มไม้มา หากแต่ยังมีเสียงนกกับเสียงแมลงด้วย หากเป็นเมื่อก่อน ไลต์นิ่งคงมีความสุขที่ได้มาเห็นภาพแบบนี้ แต่ตอนนี้เธอกลับไม่มีใจที่จะมานั่งชื่นชมมันเลย


เธอไม่กล้าแม้กระทั่งจะมองไปทางทาคิลา สัตว์ประหลาดที่อยู่ในแผ่นดินอันมืดมิดตัวนั้นเหมือนกำลังจ้องมองมาที่เธออยู่ตลอดเวลา แค่เธอเหลือบมองไป บากแผลตรงหน้าอกก็จะคอยย้ำเตือนเธอขึ้นมาว่านี่คือเรื่องจริง


ไลต์นิ่งมองดูหมอนรางรถไฟใต้เท้าตัวเองที่ค่อยๆ เลื่อนถอยไปด้านหลังท่อนแล้วท่อนเล่า ในปากเธอพลันเต็มไปด้วยความรู้สึกขมขื่น


ในการฝึกซ้อมเพื่อฟื้นฟูเป็นระยะเวลาเดือนกว่า เธอพยายามอย่างหนักเพื่อสยบความกลัวในจิตใจ แล้วก็บินข้ามกำแพงเมืองเตี้ยๆ ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ออกมาได้ เดิมเธอคิดว่าขอเพียงมุ่งมั่นเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ต่อให้เธอไม่สามารถเผชิญหน้ากับปีศาจระดับสูงตรงทาคิลาได้ แต่อย่างน้อยเธอก็น่าจะฟื้นฟูกลับไปอยู่ในสภาพเดิมได้


แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับทำลายความคิดนี้ลงจนแหลกละเอียด เธอไม่เพียงแต่จะไม่สามารถใช้พลังที่ตื่นรู้ขึ้นมาได้ แต่เวลาบินเธอมักจะรู้สึกเหมือนมีอะไรมามันมือมัดเท้าเอาไว้ แต่แม้เวลาเจอกับปีศาจธรรมดา เธอก็ยังสูญเสียความกล้าเหมือนอย่างในเวลาปกติไป


ไม่อย่างนั้นไม่ว่าพวกปีศาจมันจะมีแผนอะไร เธอกับเมซี่ก็สามารถจัดการกับเจ้าปีศาจสี่ัตัวนั้นได้สบายๆ


แต่เสียดายที่ตอนนี้เธอกลับกล้าเพียงแต่บินตามพวกมันอยู่ข้างหลังโดยไม่อาจทำอะไรได้


เรียกได้ว่าเธอกำลังเป็นตัวถ่วงทุกคนอยู่


เมื่อคิดถึงตรงนี้ไลต์นิ่งพลันรู้สึกเหมือนน้ำตารื้นออกมาเล็กน้อย


ถึงเธอจะพยายามปิดบังยังไง เธอก็ไม่สามารถปิดบังทุกคนไปตลอดได้


ต่อให้เป็นคนที่ซื่อบื้อเหมือนอย่างเมซี่ ช่วงนี้อีกฝ่ายก็ยังรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของเธอ


คงจะมีซักวันที่เธอโยนตัวเองที่ขี้ขลาดทิ้งไป แล้วก็บินขึ้นไปยังที่ๆ สูงกว่าเดิมได้


เมื่อถึงตอนนั้น เธอควรจะทำยังไง?


“เรานี่มันไร้ค่าจริงๆ” ไลต์นิ่งนั่งคู้ลงไปพร้อมเอาหัวซุกลงไปที่เข่า “คนกลัวปีศาจจนหัวหดยังจะมีคุณสมบัติอะไรไปเป็นหัวหน้าทีมนักสำรวจอีก ถ้าพวกนางรู้เข้าคงจะต้องหัวเราะเยาะเราแน่….ปกติเอาแต่บอกว่าตัวเองเป็นนักสำรวจที่ยิ่งใหญ่ แต่สุดท้ายกลับอ่อนแอกว่าใครๆ”


‘นั่นน่ะสิ’ ภายในใจเหมือนมีเสียงตอบกลับมา ‘ช้าเร็วพวกนางจะต้องหัวเราะเยาะเจ้าแน่’


“แต่ข้าไม่อยากให้ถึงวันนั้น…” เสียงของเธอเริ่มสั่นขึ้นมา


‘ใครใช้ให้เจ้าชอบพูดจาอวดตัวเองล่ะ? ถ้าไม่อยากเห็นพวกนางหัวเราะเยาะเจ้า ก็มีแต่ต้องออกไปจากที่นี่ ไปอยู่ในที่ๆ ไม่มีใครรู้ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่มีทางหนีพ้นหรอก’


“มีแต่ต้องหนี…ไปจากที่นี่อย่างนั้นเหรอ?”


“ทำแบบนั้นไม่ได้นะ” จู่ๆ พลันมีเสียงคนพูดขึ้นมา


“เอ๋?” ไลต์นิ่งตกใจ เธอรีบเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเห็นคนๆ หนึ่งที่คุ้นหน้ายืนอยู่ไม่ไกล ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องลงมา หูยาวๆ กับหางที่เป็นพวงของอีกฝ่ายดูสะดุดตาอย่างมาก “…โลก้า?”


“อะแฮ่มๆ” หมาป่าสาวกระแอม “บอกไว้ก่อนนะ ข้าไม่ได้จงใจมาแอบฟังเจ้าพูดอยู่คนเดียวหรอกนะ”


ในเวลานี้เธอถึงได้สังเกตเห็นว่าทั้งตัวโลก้าเต็มไปด้วยเหงื่อที่กำลังส่องประกายอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ผิวสีน้ำตาลอันเป็นเอกลักษ์ของชาวโมเกนเหมือนเป็นหินที่ถูกอาบด้วยน้ำค้างยามเช้าอย่างไรอย่างนั้น


“อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้เจ้ากำลัง…ฝึกอยู่?”


“ใช่น่ะสิ ข้าไม่ได้มีพลังที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิดเหมือนพวกแม่มดอมนุษย์ ต่อให้แปลงร่างกลายเป็นหมาป่าทะเลทราย ข้าก็ต้องใช้การฝึกเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแกร่ง ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่ต่อสู้เลย แค่วิ่งไม่กี่ก้าวก็คงเหนื่อยแล้ว” โลก้าผายมือพร้อมพูดต่อว่า “ช่วงนี้ปีศาจมันรอโจมตีเรา ข้าเองก็รับปากชีคเอาไว้แล้วว่าจะไม่ออกไปจากค่ายโดยพลการ ในเมื่อตอนกลางวันไม่ได้ขยับร่างกาย ข้าก็ได้แต่ต้องมาชดเชยในเวลากลางคืนเท่านั้น”


“อย่างนั้นเหรอ…” จู่ๆ ไลต์นิ่งก็เหมือนคิดขึ้นมาได้ เธอรีบหายใจพร้อมเอาสองมือปิดหน้า “เจ้าได้ยิน…ทั้งหมดเลยใช่ไหม?”


คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะหูของหมาป่านั้นดีกว่าใคร


เธอรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที


“อันนั้นก็…” โลก้าชะงักไปเล็กน้อย “ข้าไม่เคยปลอบคนมาก่อน ดังนั้นตอนนี้ข้าก็คงปลอบเจ้าไม่ได้เหมือนกัน ข้าเพียงแต่อยากจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับพ่อของข้าให้เจ้าฟัง”


“ถึงแม้เขาจะเกิดมาในเผ่าไวลด์เฟลม แล้วก็รับสืบทอดนามสกุลเบิร์นเฟลมมา แต่ในตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าเขาจะกลายเป็นหัวหน้าเผ่าได้ เพราะว่าในบรรดาผู้สืบทอดทั้งแปดคน เขาเป็นคนที่มีจุดอ่อนเด่นชัดที่สุด นั่นคือกลัวคนแปลกหน้า ไม่กล้าที่จะแข่งล่าสัตว์คนเดียว ซึ่งนั่นเป็นกิจกรรมสำคัญในการเลือกหัวหน้าเผ่าของชาวโมเกน เพราะว่าหัวหน้าเผ่านั้นไม่ได้เป็นเพียงผู้ที่ปกครองภายในเผ่าเท่านั้น แต่เขายังจะเป็นต้องแผ่อิทธิพลออกไปข้างนอกด้วย แต่ละเผ่าจะส่งคนหนุ่มที่ยอดเยี่ยมที่สุดของตัวเองออกมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเผ่า”


ไลต์นิ่งตกตะลึง…เธอไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม? คนที่กลัวคนแปลกหน้าที่อีกฝ่ายพูดถึงคนนั้นเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งจะแต่งตัวแปลกๆ และกลายเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นๆ ในงานแข่งขันกีฬาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ แถมยังทำให้ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงรู้สึกสนใจอย่างมากด้วย  หรือว่าความจริงแล้วโลก้ามีพ่ออีกคนหนึ่ง?


“ความจริงตอนที่เขาบอกเรื่องนี้กับข้า ข้าเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน ตอนนั้นข้าก็เลยไปถามปู่ข้า” โลก้ายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้ามานั่งยองๆ อยู่ข้างเธอ “แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงๆ ข้าถามปู่ว่าทำไมถึงมอบตำแหน่งหัวหน้าเผ่าให้พ่อ ปู่ตอบข้าว่า ถ้าตัวคนเดียว บางทีกูเอลส์อาจจะทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ขอเพียงมีคนในเผ่าอยู่ด้วย เขาจะกลายเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็อย่าปล่อยให้มีเหตุการณ์ที่เขาต้องอยู่คนเดียวเกิดขึ้นก็พอ ซึ่งตามปกติแล้ว เวลาอยู่ในเผ่าทุกคนก็จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มกันอย่างแน่นแฟ้นอยู่แล้ว เมื่อเทียบกันแล้ว การล่าสัตว์เพียงครั้งเดียวมันจะไปพิสูจน์อะไรได้ล่ะ?”


ไลต์นิ่งใจสั่นขึ้นมา


“ความจริงสิ่งที่พ่อกับพี่ชายข้าทำในเมืองเนเวอร์วินเทอร์….ข้าเองก็มีความสุขเหมือนกัน” หูของโลก้าลู่ตกลงมา “เพราะว่าพ่อข้ายอมทำในสิ่งที่เขาไม่มีวันจะทำ…ถึงแม้มันจะค่อนข้างขายหน้าก็ตาม”


เอ่อ อย่างนั้น….เหรอ? ตอนนั้นข้าเห็นเจ้าปล่อยให้พวกเขารออยู่ในโถงปราสาท ส่วนตัวเจ้าก็วิ่งกลับไปที่ตึงแม่มด แถมยังบอกว่าไม่อยากจะเจอพวกเขาอีกแล้วนะ


“ข้าคิดว่าปู่ของเขาก็คงอยากจะบอกข้าเหมือนกันว่าความกล้านั้นมาจากใจของตัวเอง แล้วก็มาจากคนอื่นได้ด้วย” โลก้าค่อยๆ พูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงต้องเอาแต่สนใจความกล้าของตัวเองด้วยล่ะ? เช่นเดียวกัน ถ้าเพื่อนในทีมนักสำรวจตกอยู่ในอันตราย เจ้าจะทิ้งพวกนาง แล้วหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวเหรอ?”


ไลต์นิ่งเงียบไปครู่ “…ขอบคุณนะ”


“ข้าบอกแล้ว นี่ไม่ใช่การปลอบ ข้าก็แค่เล่าเรื่องให้ฟังเท่านั้น” หมาป่าสาวหัวหน้ามา “ดังนั้นเจ้าไม่ต้องขอบคุณหรอก อีกอย่าง ไอทีมนักสำรวจนี่ก็สนุกดีออก…ในเมื่อเจ้าเป็นคนลากข้าเข้ามา อย่างนั้นเจ้าก็ต้องรับผิดชอบข้าด้วย”


เธอรู้สึกเหมือนในตามีน้ำตากำลังจะเอ่อล้นออกมาอีกครั้ง เธอแสร้งทำเป็นขยี้ตาเพราะลมแรง ในขณะที่เธอกำลังสูดหายใจเตรียมจะพูดตอบ จู่ๆ อีกฝ่ายพลันหมุนตัวมาแล้วเอามืออุดปากของเธอไว้


“ชู่ว…”


“ทำไมเหรอ?” กระทั่งโลก้าเอามือออก ไลต์นิ่งจึงถามเสียงเบาๆ ขึ้นมา


“เจ้าได้ยินเสียงอะไรไหม?”


เสียง? เธอเงยหน้าขึ้นมาพร้อมพยายามตั้งใจฟัง แต่นอกจากเสียงลมแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรอย่างอื่นเลย


เดี๋ยว…แล้วเสียงนกเสียงแมลงก่อนหน้านี้ล่ะ?


“ตรงนั้น…เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังเข้ามา” โลก้าตั้งหูแล้วหันมองไปทางทิศตะวันออก “เสียงหวีดนี่มัน….ระวัง!”


เธอกอดไลต์นิ่งเอาไว้แล้วกลิ้งตัวไปอีกด้านหนึ่ง!


ในขณะเดียวกันก็มีเสียงระเบิดดังสั่นสะเทือนขึ้นมาเหนือหัวทั้งสองคน!


………………………………………………….



ตอนที่ 1082 การต่อสู้อันวุ่นวายภายใต้ความมืด

โดย

Ink Stone_Fantasy

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?


ไลต์นิ่งรู้สึกเพียงแค่โลกหมุน กระทั่งตอนที่เธอตั้งสติได้ เธอถึงได้เห็นว่ารอบตัวเธอมีเข็มยาวสีดำใหญ่ประมาณนิ้วมือปักอยู่เต็มไปหมด ผลึกหินที่ไม่สะท้อนแสงเหล่านี้เหมือนเป็นมีดสีดำที่ปักกระจัดกระจายอยู่รอบรางรถไฟ


หลังจากนั้นก็มีเสียงระเบิดแบบเดียวกันดังมาจากทางค่ายอีกสองสามครั้ง


นี่มัน…ลอบโจมตี!


ศัตรูกำลังใช้ปีศาจแมงมุมแอบโจมตีค่ายทหาร!


ในตอนที่เธอคิดได้ถึงจุดนี้ เสียงระเบิดระลอกที่สองก็ดังขึ้นมาแล้ว แต่ว่าครั้งนี้เสียงดูทึบกว่าครั้งแรกอย่างเห็นได้ชัด แถมยังไม่ได้มาจากอากาศ หากแต่มาจากการสั่นสะเทือนของพื้นดินที่อยู่ใต้เท้า เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังย่ำลงไปบนพื้นอย่างแรง


“แย่ แย่แล้ว…” โลก้าอุทานออกมา “ตรงนั้นมันเป็นแนวยิงปืนใหญ่”


ลอบโจมตีปืนใหญ่ภายใต้ความมืดที่ไม่มีแสงไฟคอยนำทาง แล้วก็ไม่สามารถระบุตำแหน่งได้อย่างชัดเจน นี่มันใช่ฝีมือของพวกปีศาจจริงๆ เหรอ?


ยิ่งไปกว่านั้นทำไมจนถึงตอนนี้ยังไม่มีเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นมาเลย?


“พวกเราต้องไปเตือนทุกคน!” เนื่องจากไลต์นิ่งแอบออกมาเดินเล่นตัวคนเดียว เธอจึงไม่ได้ใส่ชุดสำหรับบินออกมาด้วย รูนสดับที่เอาไว้ติดต่อก็ไม่ได้พกติดตัวมา นอกจากบินไปก็ไม่มีวิธีอื่นอีก ในเวลานี้เสียงระเบิดที่ดังมาจากในค่ายฟังดูถี่ขึ้นมากกว่าเดิม เธอคว้าตัวโลก้าเอาไว้ แต่เธอกลับดึงอีกฝ่ายขึ้นมาจากพื้นไม่ได้


“เจ้า…” ไลต์นิ่งหันหน้ากลับไป ก่อนจะต้องตกใจเมื่อเห็นว่าที่ต้นขาของโลก้าถูกเข็มเล่มหนึ่งแทงทะลุเข้าไป ตรงปากแผลมีเลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาจนกางเกงกลายเป็นสีแดง


เธอรู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมาทันที


ถ้าโลก้าไม่ช่วยเธอเอาไว้ล่ะก็…


“มัวคิดอะไรอยู่” โลก้าแยกเขี้ยวออกมา “ต่อให้ไม่เจอเจ้า ข้าก็ต้องถูกโจมตีอยู่ดี ไม่แน่อาจจะหนักกว่านี้ก็ได้…อย่างน้อยรอบๆ เข็มหินก็ไม่มีเลือดของปีศาจอยู่ นี่ถือว่าแค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้น”


บาดเจ็บภายนอกอะไร เห็นๆ อยู่กว่ากระดูกหักไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเลือดไหลออกมาเยอะขนาดนี้ ไม่แน่เส้นเลือดใหญ่อาจจะถูกแทงทะลุก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ไม่สามารถดึงเข็มออกมาได้ แต่ถ้าทิ้งเธอเอาไว้ที่นี่แล้วไปพานาน่ามา? เกิดปีศาจแมงมุมมันโจมตีมาอีกครั้งหนึ่ง โลก้าก็จะกลายเป็นเป้านิ่งที่ได้แต่นอนอยู่เฉยๆ บนพื้น!


ไลต์นิ่งรู้สึกในหัวมีความคิดนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมา เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำยังไงดี


“ฟังข้านะ” โลก้ากดไหล่ของเธอเอาไว้ “เจ้าต้องไปแจ้งไอรถที่มันวิ่งไปวิ่งมาบนรางเหล็ก…”


“เจ้าหมายถึงแบล็คริเวอร์เหรอ?” ไลต์นิ่งตกตะลึง “แต่ว่า…”


“ตอนนี้ต่อให้ไม่มีสัญญาณเตือน แต่ถ้าไม่ใช่คนหูหนวก ตอนนี้พวกเขาก็น่าจะได้ยินเสียงโจมตีแล้ว” หมาป่าสาวหอบหายใจเล็กน้อย ก่อนจะฝืนพูดต่อว่า “สิ่งสำคัญคือการโจมตีกลับหลังจากนี้ ถ้าข้าฟังไม่ผิดล่ะก็ อย่างน้อยๆ การโจมตีครึ่งหนึ่งของพวกศัตรูกำลังมุ่งเป้าไปที่ปืนใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นฟังดูแล้วเหมือนจะไม่ได้การยิงเข็มหินธรรมดาๆ ด้วย ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ตรงนั้นเป็นยังไงบ้าง แต่ถ้าเกิด….ถ้าเกิดตรงนั้นถูกศัตรูโจมตีจนเสียหายแล้วล่ะก็ พวกเราก็จะไม่มีอาวุธที่เอาไว้จัดการอีกฝ่ายอีก เจ้ารู้ใช่ไหมว่ามันหมายความว่ายังไง”


หมายความว่าปีศาจแมงมุมจะสามารถยิงเข็มหินสีดำใส่ค่ายทหารได้โดยไม่ต้องกลัวอะไร แล้วแนวป้องกันก็จะไม่มีที่ไหนที่ปลอดภัยอีก


ไลต์นิ่งพยักหน้า


“ฟู่ว…อย่างนั้นก็รีบไปเถอะ…” โลก้าผลักเธอ “ถึงที่นี่จะถูกโจมตีเป็นที่แรก แต่ความจริงแล้วมันไม่มีอะไรอันตราย…การโจมตีเมื่อกี้มันไม่ได้จะโจมตีเรา เจ้าดูนั่น…”


ไลต์นิ่งมองตามนิ้วของอีกฝ่ายไป ก่อนจะเห็นซากหอสังเกตการณ์ที่สร้างขึ้นจากไม้ที่ตั้งอยู่ตรงปลายสุดของรางรถไฟเหนืออยู่เพียงครึ่งเดียว เหมือนกับถูกความมืดกลืนกินไปอย่างไรอย่างนั้น


“เพราะฉะนั้นไม่ต้องสนใจข้า รีบไปหาแบล็กริเวอร์เร็ว” หมาป่าสาวกัดฟันตะโกน “ตอนนี้มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ทำได้!”


เธอพูดถูก ถ้าอยากจะไปแจ้งรถไฟหุ้มเกราะที่วิ่งไปวิ่งมาระหว่างแนวหน้ากับสถานีหมายเลขศูนย์ก็ไม่มีวิธีไหนที่จะเร็วกว่าบินแล้ว


ไลต์นิ่งกำหมัดแน่น ก่อนจะหันมาเหลือบดูอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงฝืนบังคับตัวเองให้หมุนตัวกลับไป แล้วทะยานขึ้นฟ้าบินไปทางค่ายทหาร


ในเวลานี้มีเสียงปืนดังกระจัดกระจายขึ้นมา


เหมือนกับที่โลก้าบอกเอาไว้ ทั่วทั้งค่ายตื่นขึ้นมาแล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าศัตรูมาจากทางไหน แต่ก็ไม่มีใครที่จะนั่งอยู่เฉยๆ รอความตายแน่นอน


ในค่ายของแม่มดก็เช่นเดียวกัน


แม่มดอาญาสิทธิ์นั้นเป็นนักรบที่มีการตอบสนองเร็วที่สุด พวกเธอไม่เพียงแต่จะใช้เวลานอนไม่นาน แต่เวลานอนยังไม่จำเป็นต้องถอดชุดเกราะออกด้วย ในเวลานี้พวกเธอกำลังวิ่งรับมือการโจมตีไปมาอยู่ในค่าย ไลต์นิ่งบินเข้าไปในห้อง ก่อนจะเห็นเมซี่ที่กำลังวิ่งไปวิ่งมาอย่างร้อนใจ


“เจ้าไปไหนมาจิ๊บ!” อีกฝ่ายพุ่งเข้ามากอดเธอเอาไว้ทันที “ทำไมจะออกไปถึงไม่บอกข้าซักหน่อยล่ะจิ๊บ!”


“ขอโทษนะ” ไลต์นิ่งรู้สึกผิดขึ้นมาทันที เดิมเธอคิดว่าเมซี่เป็นคนซื่อบื้อที่ไม่รู้ว่าความกลัวคืออะไร แต่ดูเหมือนความจริงมันจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมซี่ไม่ได้เก็บความกลัวที่มีต่อปีศาจระดับสูงเอาไว้ในใจนานนัก แต่มันไม่ได้หมายความว่าเธอจะลืมเพื่อนของเธอ “เรื่องนี้เดี๋ยวเอาไว้ค่อยคุยกัน ตอนนี้ข้าจำเป็นต้องออกไปหาแบล็คริเวอร์ก่อน!”


“ข้าไปด้วยจิ๊บ!”


“ไม่ได้ ที่นี่ยังต้องการเจ้า” ถึงแม้ในใจอยากจะให้อีกฝ่ายไปด้วย แต่สุดท้ายไลต์นิ่งก็พูดปฏิเสธออกไป “ซิลเวียแค่คนเดียวไม่สามารถดูแลทั้งค่ายได้ ยิ่งมีคนที่สามารถสอดแนมปีศาจได้เยอะเท่าไรก็ยิ่งดี!”


สู้มัน! เธอจะไม่เป็นตัวถ่วงทุกคนอีก


“แล้วก็ ก่อนหน้านั้นข้ามีเรื่องหนึ่งให้เจ้าไปทำ” ไลต์นิ่งสวมวชุดสำหรับบินอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เปิดผมเมซี่ขึ้นมาแล้วประคองแก้มของเธอเอาไว้ “เจ้าต้องรับปากข้าว่าเจ้าจะทำให้ได้ นี่เป็นหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของทีมนักสำรวจ”


“จิ๊บ?” เมซี่กะพริบตา


“ไปหานาน่า แล้วพาทางไปที่ปลายสุดของทางรถไฟ โลก้ากำลังนอนบาดเจ็บหนักอยู่ตรงนั้น เจ้าต้องพานางกลับมาให้ได้ เข้าใจไหม?”


เมซี่ผงกหัวอย่างแรง “จิ๊บ!”


“อย่างนั้นฝากเจ้าด้วยล่ะ” ไลต์นิ่งเอาหน้าผากไปชนกับหน้าผากของเธอเบาๆ ก่อนจะบินออกไปจากห้อง


เมื่อบินสูงขึ้นเรื่อยๆ เธอก็รู้ถึงสาเหตุที่ไม่มีเสียงสัญญาณเตือน


หอสังเกตการณ์ห้าหอที่ตั้งอยู่ด้านนอกแนวป้องกันถูกโจมตีจนไม่เหลือเลยซักหอ เห็นได้ชัดว่าการโจมตีครั้งแรกของศัตรูนั้นพุ่งเป้าไปที่หอสังเกตการณ์เหล่านี้ เดิมหอสังเกตการณ์เหล่านี้ควรจะเป็นป้อมปราการซีเมนต์ที่แข็งแรง แต่สถานีหมายเลขหนึ่งเพิ่งจะทำการสร้าง อย่าว่าแต่เรื่องสร้างป้อมปราการเลย แม้แต่ลวดเหล็กที่อยู่รอบๆ หลุมเพลาะก็ยังไม่ได้ทำการติดตั้งด้วยซ้ำ


แต่สิ่งที่ทำให้ไลต์นิ่งรู้สึกไม่สบายใจกว่านั้นก็คือ เสียงปืนที่ดังขึ้นมานั้นดังมาจากในค่าย นั่นก็หมายความว่าพวกทหารกำลังสู้กับศัตรูอยู่ในค่าย แต่จนถึงตอนนี้ทั่วทั้งแนวป้องกันไม่ได้มีร่องรอยว่าจะถูกบุกโจมตีเลย ถึงแม้การโจมตีของศัตรูยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แต่มันก็เป็นการโจมตีระยะไกลเพียงอย่างเดียว พวกเขากำลังสู้อยู่กับใครกันแน่?


แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เธอก็ยิ่งรู้ว่าหน้าที่ของตัวเองสำคัญแค่ไหน


ใช่…ข้าคือไอขี้ขลาด


ใช่…ข้าแพ้ให้กับปีศาจระดับสูง


แต่ข้าก็ยังมีสิ่งที่ตัวข้าทำได้อยู่


นั่นก็คือบิน!


กลัวก็ปล่อยให้มันกลัวไปสิ


ข้าไม่มองไปทางเหนือก็พอ


แม้แต่ปีศาจธรรมดาก็ไม่ต้องไปมองมัน


ตอนนี้แค่ก้มหน้ามองทางรถไฟแล้วบินไปก็พอ ไม่มีเหตุผลที่ต้องหนีอีกแล้ว!


ไลต์นิ่งเร่งความเร็วบินเลียบ ‘แบล็คริเวอร์’ ไปทางป่า


เร็วขึ้น เร็วขึ้นอีก!


ภายในใจของเธอกำลังเร่งพลังเวทมนตร์ ไม่นานความรู้สึกคุ้นเคยที่ไม่เคยได้สัมผัสมาเป็นเวลานานก็ทะลักออกมาในใจของเธอ ในตอนที่กรงที่กักขังตัวเธอไว้ถูกทำลายลง โลกทั้งใบก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง


ในที่สุดเธอก็ได้เข้าไปสู่ดินแดนที่ไร้เสียงอีกครั้งแล้ว!


…………………………………………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)