Release That Witch 1075-1078
ตอนที่ 1075 หัวใจในวัยหนุ่ม
โดย
Ink Stone_Fantasy
“….” หลังอ่านจดหมายจบ ทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบ
ผ่านไปครู่ใหญ่ เบอร์นีจึงบ่นขึ้นมาอย่างเจ็บใจว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าไม่ควรไปตั้งความหวังอะไรกับเจ้าชายลำดับที่สี่คนนี้ ลองคิดถึงข่าวลือกับสถานที่ที่เขาไปตอนที่อยู่เมืองหลวงสิ ข้านึกว่าการขึ้นครองราชย์จะทำให้เขาเปลี่ยน….”
“ชู่วว” อีเกรโปดึงแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ “ระวังคำพูดหน่อย ขุนนางที่เข้าออกที่นี่ล้วนแต่เป็นคนที่สนับสนุนฝ่าบาทนะ ต่อให้ไม่ใช่ พวกเขาก็แสร้งทำเป็นสนับสนุนได้เหมือนกัน ถ้าถูกใครได้ยินเข้า เราจะเดือดร้อนเอาได้”
เรินต์แกนถอนหายใจออกมา “ชาตินี้พวกเราคงไม่มีทางได้ไปเหยียบเมืองหลวงใหม่แล้วล่ะ”
“อย่างนั้นก็ไม่ได้แย่อะไรนี่นา อยู่ที่นี่พวกเราก็ได้รับความนิยมอย่างมากไม่ใช่เหรอ?” อีเกรโปพูดปลอบ “พูดอีกอย่างก็คือนอกจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์แล้ว คณะละครเคแกนไปที่ไหนก็ล้วนแต่เรียกได้ว่าเป็นคณะละครเวทีชั้นหนึ่ง รายได้พอจะเลี้ยงดูตัวเองได้ไม่เป็นปัญหา”
“ช้าเร็วหนังเวทมนตร์ก็จะมายังเมืองหลวงเก่า” จู่ๆ เคแกนก็พูดขึ้นมา “หลายวันมานี้ข้าพลิกดูบทละครที่เมย์แสดงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าพบว่ามันมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่”
อีเกรโปตกตะลึง “พวกเรา…พวกเราก็ยังไปที่อื่นได้ อย่างเช่น อาณาจักรดอว์น อาจารย์ ขอเพียงท่านเอ่ยปาก โรงละครที่นั่นต้องยอมให้พวกเราไปพัก…”
เคแกนส่ายหัว “ข้าไม่ไปอาณาจักรดอว์น”
“อย่างนั้น…”
เคแกนเงยหน้าขึ้นมา “ข้าไปจะเมืองเนเวอร์วินเทอร์อีกครั้ง”
“อะไรนะ?”
“อาจารย์?”
ทั้งสามคนหน้าเปลี่ยนสีทันที
“เดินไปเมืองเนเวอร์วินเทอร์ครั้งหนึ่งอย่างน้อยต้องใช้เวลาเดือนนึง แล้วในช่วงนี้ทุกคนก็แทบจะไม่มีรายได้” อีเกรโปรีบพูดห้าม “ตัวพวกเรายังพอไหว แต่พวกนักแสดงหน้าใหม่กับเด็กฝึกหัดคงจะมีเงินไม่พอใช้แน่ แล้วมันก็จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของคณะละครด้วย”
เคแกนย่อมต้องรู้เรื่องนี้ การจะไปแสดงที่ต่างเมือง ถ้ามีโรงละครอยู่ตรงนั้นแล้วก็ถือว่าดีหน่อย ไม่อย่างนั้นพวกเขาต้องขนเอาอุปกรณ์ทุกอย่างไปด้วย ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
แต่เขาไม่ได้หมายความอย่างที่ทุกคนคิดกัน “ข้าไม่ได้พาคณะละครไปด้วย”
ครั้งนี้เหล่าลูกศิษย์ตกตะลึงไปนานกว่าเดิม “อย่างนั้น…ท่านจะไปทำอะไร?”
“ไปหาโอกาสที่จะได้แสดงหนังเวทมนตร์” เคแกนค่อยๆ พูด “ถึงแม้ฝ่าบาทจะตรัสว่าช้าเร็วหนังเวทมนตร์จะกลายเป็นที่แพร่หลาย แต่พระองค์ไม่ได้ระบุเวลาเอาไว้ชัดเจน… 10 ปี หรือว่า 20 ปี? ไม่ว่าจะพูดยังไง ข้าก็ไม่สามารถรอนานขนาดนั้นได้ ต่อให้ระยะเวลาสั้นๆ แค่ 5 ปี คณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์ก็จะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้พวกเราอยากจะไล่ตามยังไงมันก็ไม่มีทางทันแล้ว”
ถ้าอยากจะไล่ตามคลื่น ก็ต้องไล่ตั้งแต่ตอนที่มันเริ่มก่อตัว
“ปัญหาก็คือ ฝ่าบาททรงมีคณะสตาร์ฟลาวเวอร์อยู่แล้วน่ะสิ…” เบอร์นี่บ่น
“ตอนแรกคณะสตาร์ฟลาวเวอร์ก็มีแค่ดวงดาวกับดอกไม้สองคนเท่านั้น” เคแกนกวาดตามองเหล่าลูกนี้ “ยิ่งไปกว่านั้นความคิดของข้าก็ไม่เคยเปลี่ยนด้วย การแสดงที่ยอดเยี่ยมนั้นจำเป็นต้องอาศัยการฝึกซ้อมอย่างหนัก ถึงจะทำให้การแสดงอยู่ในระดับที่ดีที่สุดได้ ในเมื่อคณะสตาร์ฟลาวเวอร์ไม่สามารถดูแลละครทั้งหมดของฝ่าบาทได้อย่างทั่วถึง อย่างนั้นการที่พวกเราเข้าไปมันก็กลายเป็นการแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง ถ้าเราสามารถแสดงละครระดับล่างพวกนั้นได้ดีกว่าอีกฝ่าย ไม่แน่เราอาจจะมีโอกาสได้แสดงหนังเวทมนตร์ก็ได้”
“ท่านจะไปแสดง…ละครระดับล่างพวกนั้นเหรอ?” อีเกรโปพูดเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“ถ้าอยากจะได้อะไรบางอย่าง เราก็มักจะต้องยอมทิ้งบางอย่างไป” เขาพยักหน้า “แต่ว่าต่อให้เป็นละครระดับล่าง มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะแสดงแบบเล่นๆ ได้ เราต้องแสดงมันให้เต็มที่”
เคแกนชะงักไปเล็กน้อย “แน่นอน มันมีโอกาสที่ฝ่าบาทจะปฏิเสธคำขอนี้ อย่างนั้นข้าก็จะขอเข้าไปอยู่ในคณะสตาร์ฟลาวเวอร์ในนามของข้าคนเดียว พวกเจ้ามีใครอยากจะตามข้าไปไหม?”
ไม่มีคนตอบ
ไม่รู้ว่าพวกเขายังตกตะลึงอยู่ หรือว่าพวกเขาไม่ยินยอมที่จะจากเมืองหลวงเก่าไป
หรือไม่ก็เป็นเพราะทั้งสองเหตุผล
เคแกนไม่รู้สึกแปลกใจ ความจริงแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกตกใจอย่างมากในตอนที่มีความคิดแบบนี้ผุดขึ้นมา ก็เหมือนกับที่อีเกรโปได้บอกมา ต่อให้ไปที่อาณาจักรดอว์น เขาก็ยังมีชื่อเสียงอย่างมากอยู่ แต่ตอนนี้เขากลับจะทิ้งสิ่งเหล่านี้ไป นี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายๆ แน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขาแก่แล้ว….ความจำก็ไม่ดีเหมือนก่อน แม้แต่ขาก็เดินเหินไม่คล่องแคล่วเท่าไร ไปอยู่บนเวทีจะแสดงอะไรได้? ปกติก็จะได้แต่บทตัวประกอบที่ไม่สำคัญเท่านั้น ต่อให้แสดงดีแค่ไหน แต่คนอื่นก็มองเหมือนเป็นเรื่องตลกอยู่ดี
เรียกได้ว่าตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจจะมาทำงานอยู่เบื้องหลังเวที เขาก็ไม่เคยคิดว่าตัวจะมีโอกาสได้กลับไปแสดงอีก ในเมื่อฝ่าบาทไม่ยอมรับละครของเขา ส่วนเขาเองก็เขียนละครอย่าง ‘เมืองใหม่’ หรือ ‘แดดยามเช้า’ ไม่ได้ อย่างนั้นก็มีแต่ต้องใช้ฐานะนักแสดงเข้าไปลองดูเท่านั้น
น่าเหลือเชื่อมากงั้นเหรอ?
เคแกนมองดูสีหน้าลูกศิษย์ เหมือนว่ากำลังอ่านความคิดพวกเขา
ถูกต้อง มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ หลังตัดสินใจเช่นนี้ออกมา ตัวเขากลับรู้สึกโล่งใจอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว
ตัวเองแก่แล้วจริงๆ แต่ที่น่าแปลกก็คือภายในใจเขารู้สึกเหมือนได้กลับไปยังเมื่อ 30 กว่าปีก่อน ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาตามครอบครัวเข้าไปในโรงละคร และได้ดูการแสดงละคร
ความตื่นเต้นที่เอ่อล้นขึ้นมาในใจตอนนี้เหมือนกับสมัยเขาหนุ่มๆ ไม่มีผิด
เขามีเหตุผลนับไม่ถ้วนที่จะหยุดตัวเอง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าโอกาสที่จะได้แสดงหนังเวทมนตร์ เหตุผลเหล่านั้นก็กลายเป็นเหมือนฟองอากาศ
“อีเกรโปติดตามข้ามานานที่สุด เขารู้เรื่องการดูแลคณะละครดี ตอนข้าไม่อยู่ ก็ให้เขาเป็นคนรับผิดชอบแทน” เคแกนมอบหมายงานด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ช่วงนี้ในคณะละครมีเด็กใหม่ที่มีพรสวรรค์เข้ามาหลายคน ให้พวกเขาออกไปแสดงบ่อยหน่อย ขอเพียงละครยังแสดงไปได้ตามปกติ ข้าเชื่อว่าคงไม่มีปัญหาอะไร”
“อาจารย์…” ทั้งสามคนเหมือนอย่างจะพูดอะไร แต่ก็ถูกเขาห้ามเอาไว้
เขาทำตามเสียงของหัวใจในวัยหนุ่ม
เสียงนั้นกำลังบอกกับเขาว่า
เขาอยากแสดงหนังเวทมนตร์
……
เมืองเนเวอร์วินเทอร์ ดินแดนตะวันตกของเกรย์คาสเซิล
เป็นไปอย่างที่โรแลนด์คิดเอาไว้ หลังจากที่ได้วัตถุดิบมาครบแล้ว การสร้างระเบิดนาปาล์มก็เป็นไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
ในเวลาเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ กองอุตสาหกรรมเคมีก็เอาระเบิดนาปาล์มที่ทำเสร็จเรียบร้อยมาวางไว้ตรงหน้าเขา
มันเป็นถังเหล็กที่สูงประมาณ 1 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 30 เซนติเมตร ตรงกลางของถังเหล็กมีดินปืนสำหรับจุดระเบิดบรรจุเอาไว้ แล้วก็มีฟิวส์เชื่อมเอาไว้
“ฝ่าบาท นี่คือ ‘เพลิงสวรรค์ถล่มเมือง’ ที่กระหม่อมออกแบบมาพ่ะย่ะค่ะ” เลทนินพูดแนะนำอย่างตื่นเต้น มันแบ่งออกเป็นทั้งหมดสามชั้น ได้แก่ชั้นผงหิมะชนิดพิเศษ ชั้นช่วยเหลือการเผาไม้และชั้นเชื้อเพลิง เพื่อที่จะทำให้พื้นที่การเผาไหม้กระจายออกไปได้ไกลมากขึ้น ทั้งสามชั้นนี้จึงไม่ใช่โครงสร้างห่อหุ้มแบบธรรมดา หากแต่เป็นเหมือนเห็ดกลับหัว ไฟจากผงหิมะจะพุ่งขึ้นยังชั้นช่วยเหลือการเผาไหม้และชั้นเชื้อเพลิงเหมือนกับภูเขาไฟพ่ะย่ะค่ะ! แล้วก็….”
น่าจะเป็นเพราะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่เขาจะมีโอกาสได้มาแทนที่เคโม อดีตหัวหน้าสมาคมนักเล่นแร่แปรธาตุแห่งเมืองหลวงเก่าคนนี้จึงอธิบายผลงานที่ตัวเองภาคภูมิใจไม่หยุด ซึ่งการออกแบบหลายๆ อย่างของเขาก็ทำให้โรแลนด์รู้สึกประทับใจจริงๆ นอกจากเรื่องโครงสร้างตัวจุดระเบิดแบบกำหนดทิศทางและการสนับสนุนการเผาไหม้แล้ว เขายังเสนอแนวคิดเรื่องตัวจุดระเบิดแบบหน่วงเวลาด้วย โดยจะใช้ประโยชน์จากเชื้อปะทุไฟฟ้าที่สามารถควบคุมได้อย่างแม่นยำ ทำให้ระเบิดสามารถระเบิดขึ้นตามลำดับที่ตั้งเอาไว้ได้ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสังหารด้วย ต้องยอมรับเลยว่าคนที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพเหล่านี้นั้นมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมทีเดียว
อย่างเช่นเลทนินที่ดูเหมือนจะเชี่ยวชาญในการใช้ผลิตภัณฑ์ทางเคมีมาสร้างเป็นระเบิดอย่างมากทีเดียว
สิ่งเดียวที่ทำให้โรแลนด์รู้สึกสงสัยก็คือสไตล์และกลิ่นอายของชื่อที่เขาตั้ง
แต่ว่าสิ่งเหล่านี้นั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะเมื่อมันถูกเอาไปติดตั้งให้กับกองทัพอย่างเป็นทางการ เขาต่างหากถึงจะเป็นคนที่มีสิทธิ์เด็ดขาดในการตั้งชื่อ
“อย่างนั้นตอนนี้มาทดสอบเพลิงสวรรค์ถล่มเมืองของเจ้ากันดีกว่า” โรแลนด์พูดยิ้มๆ
…………………………………………………………………..
ตอนที่ 1076 เปลวไฟของ “แมลง”
โดย
Ink Stone_Fantasy
สถานที่ทดสอบระเบิดนั้นอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่งในเทือกเขาสิ้นวิถีที่มีสภาพภูมิประเทศค่อนข้างราบเรียบ
มันถูกล้อมรอบด้วยยอดเขา ไม่มีผู้คน ถ้าไม่เดินเข้ามาทางอุโมงค์หรือลงมาจากบนท้องฟ้าก็ยากที่จะเข้ามายังที่นี่ได้ เรียกได้ว่าที่นี่เป็นที่ลับในภูเขา เหมาะแก่การที่จะใช้ทำเรื่องที่ไม่ต้องการให้คนอื่นรู้อย่างมาก
นี่ไม่ได้เป็นเพราะว่าระเบิดนาปาล์มนั้นเป็นความลับสุดยอดแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะว่าในกลุ่มที่ผู้ชมที่มาชมการทดสอบครั้งนี้มีผู้ชมพิเศษอยู่ด้วย
‘อา….อากาศที่นี่ดีจริงๆ ข้าได้กลิ่นดอกไม้กับกลิ่นดินที่อยู่ในนี้ด้วย’ เซลีนมุดออกมาจากซอกผนัง ก่อนจะสั้นหนวดทั้งตัว ‘ครั้งล่าสุดที่ได้เห็นท้องฟ้าสีครามก็น่าจะประมาณ 200 กว่าปีก่อนโน้น’
เลทนินตัวสั่นขึ้นมา เขามองไปทางโรแลนด์ สีหน้าดูหวาดกลัวทำอะไรไม่ถูก
ไม่ว่าใครถ้าได้มาเห็นสัตว์ประหลาดก้อนเนื้อขนาดยักษ์โผล่ออกมาจากใต้ดินก็คงรู้สึกหวาดกลัวทั้งนั้น ถ้าตอนนี้อยู่ในภาพยนตร์ล่ะก็ ฉากปรากฏตัวของสัตว์ประหลาดสุดคลาสสิคแบบนี้จะต้องมีดนตรีประกอบดังขึ้นมาแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นในหัวของเลทนินยังมีเสียงพูดแปลกๆ ดังขึ้นมาด้วย
เรียกได้ว่าการที่เขาไม่ตกใจกลัวจนลงไปนั่งกองกับพื้นก็คือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักบริหารที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งแล้ว
นี่คือเหตุผลที่โรแลนด์เลือกมาทำการทดสอบอาวุธในหุบเขา
“ไม่ต้องกลัว พวกนางเคยเป็นมนุษย์มาก่อน แต่เป็นเพราะปีศาจถึงได้ทำให้พวกนางกลายเป็นแบบนี้” เขาตบไปบนบ่าของนักเล่นแร่แปรธาตุ “เสียงที่เจ้าได้ยินก็เป็นการพูดคุยผ่านทางจิตสำนึกของพวกนาง ถ้าอยากจะพูดคุยกับพวกนาง เจ้าจะพูดออกไปตรงๆ หรือพูดอยู่ในใจก็ได้ทั้งนั้น เหมือนแบบนี้….”
เขาหันไปทางเซลีน “ด้วยความสามารถในการเคลื่อนไหวของร่างต้นแบบ ถ้าอยากจะออกมาดูท้องฟ้าก็ไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหมล่ะ? ขอเพียงอย่าถูกแสงอาทิตย์ส่องตรงๆ ก็พอ”
‘นั่นเป็นเพราะนางมักจะขังตัวเองอยู่ในห้องทดลองเพคะ’ พาซาร์มุดตามออกมาจากใต้ดิน ‘ช่วงนี้พวกแม่มดอาญาสิทธิ์มักจะเล่าสิ่งที่ได้เห็นในโลกแห่งความฝันให้หม่อมฉันฟังบ่อยๆ พวกนางบอกว่าที่นั่นมีคำศัพท์ที่เอาไว้เรียกคนแบบเซลีน เหมือนจะเรียกว่า…เนิร์ดใช่ไหมเพคะ?”
‘ข้าจำได้ว่ามันเป็นคำสามพยางไม่ใช่เหรอ?’ คนที่โผล่ขึ้นมาเป็นคนสุดท้ายคืออาลิเธียที่มาปีศาจระดับสูงมาด้วย
‘เจ้าจะให้ข้าพูดจริงๆ เหรอ?’
‘ก็ได้…’
โรแลนด์ยักคิ้วไปทางเลทนิน “เป็นยังไง พวกนางไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่คิดใช่ไหมล่ะ?”
“ชะ ใช่พ่ะย่ะค่ะ…” อีกฝ่ายฝืนยิ้ม
“จะว่าไป ถึงแม้พวกนางจะสูญเสียร่างกายที่เป็นมนุษย์ไป แต่พวกนางกลับได้รับชีวิตที่เหมือนจะเป็นอมตะมา ขณะเดียวกันร่างกายใหม่ของพวกนางยังทนความร้อนและก่อนกัดกร่อนได้ดีมากด้วย นี่หมายความว่าพวกนางสามารถสัมผัสกับสารเคมีหลายๆ ตัวได้โดยตรง หนวดจำนวนมากของพวกนางเองก็มีความรู้สึกที่ไวอย่างมาก ถึงแม้จะทำควบคุมการทดลองหลายๆ ก็ไม่เป็นปัญหา นั่นหมายความว่าร่างกายนี้เป็นร่างที่เหมาะสมที่สุดในการทำวิจัยทางเคมีแล้ว ว่าไง เจ้าอยากจะรู้จักมันมากกว่านี้ไหม?” โรแลนด์ยักไหล่
“อึก” ลูกกระเดือกของเลทนินขยับขึ้นมา ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดว่า “กระหม่อม…ว่าอย่าเพิ่งเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ถึงแม้ปากจะพูดเช่นนี้ แต่ในสายตาที่เขามองดูแม่มดระดับสูงของทาคิลาก็ไม่ได้มีความหวาดกลัวเหมือนอย่างในตอนแรกเท่าไร หากแต่มีความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มขึ้นมา
โรแลนด์ส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะเดินไปยังหน้าปีศาจระดับสูง
ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่มีขาทั้งสองข้าง แต่มันก็ยังถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา
เพราะว่านี่ยังคงเป็นร่างกายของทหารอาญาสิทธิ์
เขาย่อเข่าลงไปสบตากับอีกฝ่าย “ข้าจำได้ว่าเจ้าชื่อคาบรา…ดาบีใช่ไหม?”
เมื่อไม่มีการเชื่อมต่อทางวิญญาณ ต่อให้อยู่ในร่างกายของมนุษย์ ปีศาจก็ไม่สามารถความหมายในคำพูดได้ มันใช้สายตาในการแสดงความคิดของตัวเองออกมา ในสายตาของมันมีทั้งความแค้นและความเป็นศัตรู ถึงแม้จะพูดคุยกันไม่รู้เรื่องแต่ก็ยังเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายได้
โรแลนด์พูดต่ออย่างไม่ใส่ใจ “นี่คือโชว์ที่เตรียมเอาไว้ให้แกโดยเฉพาะ พวกแกเคยทำลายอาณาจักรมนุษย์ในดินแดนรุ่งอรุณไปกว่าครึ่ง ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกแกต้องชดใช้แล้ว ต่อไปแกคอยดูให้ดีๆ ล่ะ”
จากนั้นเขาก็พยักหน้าไปทางเลทนิน “เตรียมทดสอบได้”
เลทนินมองดูปีศาจ อาจจะรับคำโรแลนด์โดยไม่ถามอะไรอีก “พ่ะย่ะค่ะ…ฝ่าบาท!”
หลังทุกอย่างเตรียมพร้อม ทุกคนก็เข้าไปหลบในอุโมงค์ค์ เหลือเพียงปีศาจที่ยังนั่งพิงอยู่ตรงผนังถ้ำ
“นับถอยหลัง 10, 9, 8….1 จุดระเบิด!”
ทหารที่รับผิดชอบเปิดตัวจุดระเบิด
พริบตานั้นเอง ตรงกลางหุบเขาพลันมีเปลวไฟสีแดงพวยพุ่งขึ้นมา มันไม่เหมือนกับระเบิดจำนวนมากที่จุดขึ้นมาในตอนที่แสดงการฝึกซ้อมปืนใหญ่ก่อนหน้านี้ เปลวไฟครั้งนี้ไม่ถือว่าสว่างมากนัก ดูแล้วเหมือนจะออกสลัวๆ นิดหน่อยด้วยซ้ำ บริเวณรอบๆ เปลวไฟถูกควันไฟสีดำจำนวนมากห่อหุ้มเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นระดับเสียงหรือความสั่นสะเทือนก็ล้วนแต่ไม่อาจสู้ระเบิดได้
แต่จากนั้นไม่นานทุกคนก็รับรู้ได้ถึงความพิเศษของมัน
เมื่อมองผ่านรูที่ใช้สังเกตการณ์ออกไป ทุกคนต่างมองเห็นได้อย่างชัดเจน ควันไฟสีดำที่พวยพุ่งขึ้นมาไม่จางหายไป หากแต่ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไปเหมือนกับผ้าทึบแสง แทนที่จะบอกว่ามันเป็นฝุ่นควัน ควรจะว่ามันเป็นเหมือนลาวาที่ติดไฟมากกว่า กระแสอากาศที่ร้อนแรงผลักเชื้อเพลิงให้ลอยสูงขึ้นไป ก่อนจะแผ่กระจายออกมาเหมือนร่ม
ในตอนที่ร่มกางออกมาจนหมด แสงไฟสีแดงที่ส่องสว่างไม่เพียงแต่จะไม่หายไป แต่มันกลับสว่างโชติช่วงขึ้นมายิ่งกว่าเดิม แถมยังทำให้เชื้อเพลงที่ลอยตกลงมากลายเป็นเหมือนน้ำตกแห่งเปลวเพลิง!
โรแลนด์รู้ว่านั้นคือผงอลูมีเนียมและไอรอนออกไซด์ที่อยู่ในชั้นช่วยเผาไหม้ถูกเผาไหม้ขึ้นมา
พลังงานความร้อนที่ถูกปล่อยออกมาจากขั้นตอนนี้ทำให้เกิดการระเบิดต่อเนื่องครั้งที่สอง ขั้นตอนนี้กินเวลานานหลายวินาที
ฝนเพลิงตกกระจายลงมา พื้นที่ที่ฝนเพลิงตกลงมามีเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นมาใหม่ทันที ถึงแม้จะทิ้งระยะห่างเอาไว้พอสมควรแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงลมร้อนที่โถมเข้ามา
สุดท้ายแรงโน้มถ่วงก็ทำให้ควันไฟกับเปลวไฟแยกออกจากกัน โดยควันไฟนั้นสลายหายไปในอากาศ ส่วนเปลวไฟนั้นลุกไหม้อยู่เต็มพื้น เดิมตรงกลางหุบเขานั้นมีทั้งต้นไม้และลำธาร แต่ตอนนี้เหลือเพียงแค่ทะเลเพลิงที่ส่งเสียงดังเปรี๊ยะปร๊ะ ส่วนสัตว์ทดลองที่เอาไปวางไว้ล่วงหน้า โรแลนด์คิดว่าคงไม่ต้องไปดูแล้วว่าสภาพเป็นอย่างไร
ส่วนอีกด้านหนึ่งของอุโมงค์ อาลิเธียม้วนหนวดหลักขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ถ้าในยุคสมัยทาคิลามีอาวุธแบบนี้ก็คงจะดี!
เป็นเพราะหมอกแดงที่ทำให้บริเวณรอบๆ หอสังเกตการณ์ของพวกปีศาจกลายเป็นที่โล่งๆ อาศัยเพียงแค่ฟืนไม่กี่ท่อนนั้นไม่มีทางที่จะขจัดออกแดงออกไปได้เลย ถึงแม้แม่มดจะคิดหาวิธีในการสร้างแหล่งกำเนิดไฟที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นมา แต่ถ้าไม่มีพลังเวทมนตร์มันก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่อาวุธชนิดนี้กลับทำให้เธอมองเห็นความหวังที่จะกำจัดหอสังเกตการณ์ของพวกปีศาจได้อย่างรวดเร็ว ขอเพียงขนมันเข้าไปได้ พวกเธอก็จะเปิดทางให้กับกองทัพที่ตามมาข้างหลังได้
ส่วนเพื่อนร่วมรบของเธอก็ไม่จำเป็นต้องคอยถ่วงเวลาให้กับกองทัพของคนธรรมดา แล้วตายด้วยน้ำมือของปีศาจกับหมอกแดงอีก
เธอเหมือนจะมองเห็นภาพหอเก็บหมอกแดงที่ถูกเปลวไฟปกคลุมจนกลายเป็นเสาเพลิงที่ลุกโชน
การสื่อสารทางวิญญาณที่ได้ยินแต่เฉพาะร่างต้นแบบวิ่งผ่านเข้าไปในหัวแม่มดระดับสูงทั้งสามคนอย่างรวดเร็ว พวกเธอไม่จำเป็นต้องพูดอะไรก็สามารถเข้าใจอารมณ์และความคิดของอีกฝ่ายได้ทันที
ในระหว่างที่พูดคุยกัน อาลิเธียแอบเหลือบมองดูผู้ชายคนธรรมดาคนนั้น ก่อนจะแอบทอดถอนใจออกมา…น่าเสียดายจริงๆ ที่เขาไม่ได้เกิดในยุคสมัยเมื่อ 400 ปีก่อน
เปลวไฟยังคงลุกไหม้ต่อเนื่องไปอีก 4 ชั่วโมงกว่าจุดมอดดับลง
ภายในหุบเขาหลงเหลือแต่เพียงเศษขี้เถ้า ไม่มีอะไรให้ไฟแผดเผาได้อีก
โรแลนด์เดินออกมาจากอุโมงค์ เขารู้สึกเหมือนตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในฤดูร้อนอย่างไรอย่างนั้น อากาศร้อนจำนวนมหาศาลกองรวมกันอยู่ตรงนี้ ทำเอาหุบเขากลายเป็นเหมือนพื้นที่เรือนกระจก
เขามองไปยังปีศาจที่นั่งพิงอยู่ตรงผนังถ้ำ เนื่องจากมีการจัดการเก็บกวาดตั้งแต่แรกแล้ว เปลวไฟจึงไม่ได้ลามมาจนถึงตัวปีศาจ อีกทั้งร่างกายของทหารอาญาสิทธิ์ก็ไม่สามารถรับรู้ถึงคลื่นความร้อนได้ ตามหลักแล้วมันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
แต่สายตาของอีกฝ่ายกลับเอาแต่จ้องมองไปยังพื้นที่ที่ลุกไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าย สีหน้าดูสับสน
นี่คงเป็นสิ่งที่พวกพาซาร์อยากจะเห็น
ทางทาคิลาไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะยอมอ่อนข้อหรือยอมแพ้
พวกเธอเพียงแค่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้ว่า
ตอนนี้แมลงที่พวกมันเคยดูถูกเอาไว้ มีพลังที่พร้อมจะบดขยี้พวกมันแล้ว
…………………………………………………………
ตอนที่ 1077 แนวหน้าของที่ราบลุ่ม
โดย
Ink Stone_Fantasy
“รางเหล็กพวกนี้คือส่วนสุดท้ายของวันนี้แล้ว” ลีฟโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ครึ่งตัว “รบกวนเจ้าด้วยนะ”
“ข้าจัดการเอง!” มอลลี่ตบหน้าอกตัวเอง จากนั้นจึงผิวปากออกมา “ออกมาได้แล้ว ผู้ช่วยวิเศษของข้า มอมอตา!”
ลูกบอลสีน้ำเงินลูกหนึ่งลอยออกมาจากกลางอากาศ แถมยังขยายใหญ่จนสูงขึ้นไปถึงยอดไม้อย่างรวดเร็ว มันยื่นแขนที่เหมือนจะโปร่งใสออกมาแล้วโกยเอารางเหล็กที่วางกองอยู่บนพื้นขึ้นมา ก่อนจะกลืนมันลงไปในท้อง แต่ว่ารางเหล็กนั้นใหญ่เกินไป การจะกลืนมันเอาไว้ในตัวทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ปลายทั้งสองด้านของรางเหล็กจึงโผล่ออกมานอกตัวผู้ช่วยวิเศษ ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับลูกบอลถูกแทงอย่างไรอย่างนั้น
“มอมอ…ตา? ข้าจำได้ว่าครั้งที่แล้วเข้ายังเรียกมันว่ามอมอคาอะไรอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”
“จริงเหรอ?” มอลลี่เอียงหัวตอบ “แต่ว่านั่นมันไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือต้องตะโกนมันออกมา ถึงจะทำให้ดูมีพลังใช่ไหมล่ะ?”
“เอ่อ” ลีฟคิดเล็กน้อย “ลูน่าเป็นคนบอกเจ้าเหรอ?”
“เอ๋ ท่านรู้ได้ยังไง?” มอลลี่ถามอย่างสงสัย “แถมนางยังชวนข้าเข้าทีมนักสืบของนางด้วยนะ”
หลังจากที่หนังเวทมนตร์ฉายออกมาไป ภาพโลก้าส่งเสียงคำราม ก่อนจะแปลงกายเป็นหมาป่ายักษ์แล้วกระโจนออกไปสู้กับศัตรูเผื่อช่วยน้องสาวทำให้ทุกคนต่างรู้สึกประทับใจอย่างมาก หลังจากนั้นการตะโกนออกมาเสียงดังในขณะที่ใช้พลังจึงกลายเป็นที่นิยมในหมู่แม่มดเด็กๆ โดยมีทีมนักสืบของลูน่าเป็นแกนนำ ความจริงนี่มไม่ใช่ความลับอะไรในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ แต่พี่ลีฟอยู่แต่ในป่าเร้นลับ ครั้งล่าสุดที่ปรากฏตัวก็คือในงานราชาภิเษกของฝ่าบาท การที่เธอรู้เรื่องดีขนาดนี้จึงทำให้มอลลี่รู้สึกเหนือความคาดหมายไปบ้าง
“เพราะว่า…ไม่ ไม่มีอะไร” ลีฟกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ามองไปทางเมืองเนเวอร์วินเทอร์ “มีของส่งเข้ามาในป่าอีกแล้ว เดี๋ยวข้าไปดูก่อนนะ”
ถึงแม้มอลลี่อยากจะรู้คำตอบอย่างมาก แต่เธอก็พยายามสะกดความรู้สึกสงสัยภายในใจตัวเองเอาไว้ พร้อมกับโบกมือไปทางลีฟ
อีกฝ่ายหายตัวแวบเข้าไปในต้นไม้เหมือนกับวิญญาณ
ได้ยินว่าความสามารถอันนี้ทำให้อีกฝ่ายสามารถเคลื่อนจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งของป่าเร้นลับได้ในพริบตา ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในป่า ก็ไม่มีทางที่ลีฟจะไม่รู้ ส่วนต้นไม้นับหมื่นๆ ต้นก็กลายเป็นแหล่งให้เธอใช้ดูดซับพลังเวทมนตร์ ด้วยเหตุนี้เธอจึงสามารถควบคุมต้นไม้ให้ขนเอาวัสดุก่อสร้างไปยังแนวหน้าได้ตลอดเวลา ประสิทธิภาพการขนย้ายของผู้ช่วยวิเศษนั้นไม่อาจเทียบได้เลย
นี่คือความแข็งแกร่งของการวิวัฒนาการเหรอ
ไม่รู้ว่าเมื่อไรตัวเองถึงจะแข็งแกร่งได้เหมือนพี่ลีฟบ้าง มอลลี่คิดอย่างอิจฉา เธอมาอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้ 4 – 5 เดือนแล้ว หนังสือก็อ่านออกเขียนได้ไม่เป็นปัญหา เอาไว้เมื่อเรียนเรื่องกฏธรรมชาติจบ ก็น่าจะถึงตาเธอได้วิวัฒนาการบ้างแล้ว
เธอปีนขึ้นไปบนหัวผู้ช่วยวิเศษ ก่อนจะบังคับมอมอตาเดินออกไปนอกป่า
เมื่อออกมาจากป่า ภาพคนงานกำลังทำงานกันอย่างขมักเขม้นพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ
“หนึ่ง สอง สาม ยก!”
“ไปทางซ้ายอีกหน่อย!”
“วางลงช้าๆ วางลงช้าๆ!”
คนงานเกือบพันคนกำลังยืนล้อมอยู่สองข้างของรางเหล็กที่ต่อขยายออกไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อสร้างสถานีหมายเลขศูนย์ขึ้นมาอย่างขมักเขม่น มันเป็นทั้งสถานีที่เชื่อมต่อไปยังซากเมืองทาคิลาและเป็นสถานีปลายทางที่ปกป้องผืนป่า ป้อมปืนสี่ป้อมทั้งอยู่ตรงสี่มุมของสถานี โดยมีหลุมเพลาะและสิ่งกีดขวางเชื่อมต่อพวกมันเข้าด้วยกัน คนงานที่ใส่ชุดสีสันแตกต่างกันเดินเข้าไปข้างใน ถ้าไม่เป็นเพราะรู้เรื่องแผนการของฝ่าบาทอยู่ก่อนแล้ว เธอคงไม่มีทางเชื่อมโยงภาพที่อยู่ตรงหน้าเข้ากับสงครามได้แน่
“เฮ้ นั่นมันคุณหนูมอลลี่ใช่หรือเปล่า? ขอบคุณที่มาช่วยนะ!”
“วันนี้ต้องรบกวนเจ้าอีกแล้วนะ คนงานต่างยุ่งกันมากๆ เลย”
“คุณหนูมอลลี่ เครื่องจักรไอน้ำตรงนี้มันล้มลงมา เจ้าช่วยพวกเรายกหน่อยได้ไหม?”
ผู้ช่วยวิเศษที่อมรางเหล็กเอาไว้ค่อยๆ เดินผ่านกลุ่มคนเข้าไป คนงานพากันทักทายเธอหรือไม่ก็ขอความช่วยเหลือจากเธออยู่ตลอดเวลา เธอมาที่นี่ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ แต่หลายๆ คนก็จำชื่อเธอได้แล้ว
ถึงแม้หน้าที่หลักๆ ของมอลลี่คือป้องกันไม่ให้ซีกัลเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่ขอเพียงมีคนขอความช่วยเหลือจากเธอ เธอก็เต็มใจที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เหมือนกับตอนที่เธออยู่ที่เกาะสลีปปิ้ง
เวลาที่เห็นคนอื่นยิ้มขอบคุณให้ มอลลี่มักจะรู้สึกได้ถึงความสุข
สิ่งที่ทำให้เธอมีความสุขมากกว่านั้นก็คือบนเกาะสลีปปิ้งนั้นมีแค่แม่มดกับชาวฟยอร์ดจำนวนเล็กน้อยที่จะแสดงความขอบคุณต่อเธอ นอกจากเรื่องขนถ่ายสินค้าแล้ว สิ่งที่เธอช่วยได้นั้นมีอยูไม่เยอะเท่าไร แต่ที่นี่ทุกคนปฏิบัติกับเธอเหมือนเธอเป็นคนดัง ที่ๆ ต้องการให้เธอช่วยเหลือก็มีอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด ก็เหมือนกับคำกล่าวที่ว่ายิ่งได้รับคำขอบคุณก็จะยิ่งมีความสุข ขอเพียงซีกัลไม่ขึ้นบิน เธอก็จะพาผู้ช่วยวิเศษเดินไปเดินมาตามรางรถไฟตลอดทั้งวัน
หลังออกมาจากสถานีหมายเลขศูนย์ ภาพตามทางก็เปลี่ยนไป
ควันไฟเป็นสายๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้ามอลลี่
นั่นคือร่องรอยที่รถไฟทิ้งเอาไว้
ความจริงอสูรเหล็กพวกนี้ต่างหากที่เป็นผู้ช่วยหลักจริงๆ ของลีฟ พวกมันขนเอาของเข้ามาในป่าเพื่อส่งไปยังแนวหน้าของสนามรบโดยไม่หยุด เมื่อกับว่าพวกมันไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าอย่างไรอย่างไร พวกรางเหล็กที่ตัวเธอขนมานี้เป็นแค่ส่วนเล็กน้อยเท่านั้น
เสียดายที่เธอได้ยินองค์หญิงทิลลีบอกว่าเจ้ารถไฟพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างขึ้นมาได้ง่ายๆ ตอนนี้เมืองเนเวอร์วินเทอร์มีเพียงแค่ 2 – 3 คันเท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ซีกัลต้องบินไปๆ มาๆ ระหว่างเมืองเนเวอร์วินเทอร์กับแนวหน้าอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าสงครามบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์จะเป็นอย่างไร ด้านหลังก็ต้องคอยรักษาการผลิตเอาไว้
เมื่อยิ่งเข้าไปใกล้ปลายสุดของรางเหล็กๆ ทหารที่ใส่ชุดเครื่องแบบเหมือนกับก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ
หลังผ่านการสังเกตมาเป็นเวลาอาทิตย์หนึ่ง มอลลี่ก็พอจะแยกออกแล้วว่าพวกไหนเป็นทหารใหม่ พวกไหนเป็นทหารที่เคยผ่านการรบมาหลายครั้ง คนที่นั่งอยู่ที่พื้นคอยฟังครูฝึกสอน แล้วก็มักจะเหลือบมองดูเธอเป็นระยะๆ นั้นคือพวกแรก ส่วนคนที่ตั้งใจเช็ดถูอาวุธที่อยู่ในมือ แล้วก็มองเธอผ่านๆ เหมือนไม่ได้สนใจนั้นมักจะเป็นพวกหลัง
“พวกเจ้าดูละเอียดแล้วใช่ไหม นี่คือชนิดของพวกปีศาจที่พวกเรารู้จักในตอนนี้!” ครูฝึกคนหนึ่งเคาะไปบนภาพที่ติดอยู่บนกระดานดำแผ่นเล็กๆ “พวกที่เจอบ่อยที่สุดก็คือปีศาจคุ้มคลั่ง รูปร่างบึกบึน แขนมีขนาดใหญ่โต สามารถขว้างหอกกระดูกได้อย่างแม่นยำ แต่ไม่สามารถขว้างติดต่อกันได้ นอกเสียจากมันจะกลายเป็นหมาจนตรอกจริงๆ!”
“ฮ่าๆๆ…” เหล่าทหารหัวเราะขึ้นมา
“หัวเราะอะไร!” ครูฝึกตะคอก “เอาไว้พอถึงตอนนั้นจริงๆ กลัวว่าพวกเจ้าจะกลัวจนฉี่ราดกางเกงตัวเองไปเสียก่อน ต่อให้พวกเจ้าจะวิ่งหนีหรือยอมแพ้ก็ไม่สามารถแลกเอาชีวิตที่น่าสงสารของพวกเจ้ากลับคืนมาได้ วิธีที่ถูกต้องวิธีเดียวก็คือเล็งปืนไปที่พวกมันแล้วเหนี่ยวไก กำจัดมันก่อนมันจะฆ่าเจ้า! เข้าใจไหม?”
“รับทราบ!” ทุกคนตอบพร้อมกัน
“อย่างนั้นดูรูปต่อไป” เขาชี้ไปยังรูปภาพอีกรูปหนึ่ง “สัตว์ประหลาดที่มีลูกตาอยู่ตรงหน้าผากชนิดนี้ชื่อว่าปีศาจแห่งความกลัว ถึงแม้จะมีจำนวนไม่เยอะเหมือนพวกแรก แต่ความสามารถของมันกลับแข็งแกร่งกว่ามาก ขอเพียงพวกมันมองเห็นพวกเจ้า พวกมันก็จะทำให้พวกเจ้าหวาดกลัวจนไม่อาจขยับได้ แล้วก็ทำได้แค่นั่งรอให้พวกมันมาฆ่าเจ้า การโจมตีทางด้านจิตใจแบบนี้สามารถถูกหินอาญาสิทธิ์ป้องกันได้ คนที่ขึ้นไปรบในแนวหน้าจะได้รับแจกหินอาญาสิทธิ์ทุกคน แต่ก็มีโอกาสที่พวกเจ้าจะไปเจอมันโดยไม่ได้สวมหินอาญาสิทธิ์เอาไว้เหมือนกัน”
“อย่างนั้นต้องทำยังไงขอรับ?”
“สวดภาวนาขอพรจากย่าของพวกเจ้า หรือไม่ก็คิดถึงคนหรือของที่พวกเจ้ารัก เอาเป็นว่าปกติพวกเจ้าเอาชนะความกลัวยังไง พอถึงตอนนั้นพวกเจ้าก็ทำแบบนั้นนั่นแหละ!”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ มอลลี่จึงพบว่ามีคนมองมาทางเธอ
ส่วนเธอก็กะพริบตาพร้อมส่งยิ้มให้อีกฝ่าย
“เฮ้ย พวกเจ้ากำลังมองอะไร!” ครูฝึกตะโกนเสียงดัง “ถ้าไม่อยากเรียนก็ไสหัวกลับไปแบกปูนที่ไซต์ก่อสร้างไป!”
คนๆ นั้นรีบหันหน้ากลับไปทันที
เทียบกับพวกทหารเก่าแล้ว ทหารใหม่ดูน่ารักกว่าตั้งเยอะ
มอลลี่มุ่ยปาก ก่อนจะควบคุมผู้ช่วยวิเศษเดินต่อไปข้างหน้า
หลังเดินไปได้ไม่กี่ร้อยเมตร เธอก็มองเห็นปลายสุดของทางรถไฟ ทั้งคนงาน ทหาร แม่มดต่างก็มารวมกันอยู่ที่นี่เพื่อที่จะสร้างเจ้ารางเหล็กออกไปให้ไกลมากขึ้น
ส่วนคนที่ดูสะดุดตาที่สุดในกลุ่ม ก็คือหญิงสาวผมยาวสีบลอนด์ที่สวมชุดทำงาน
ฝ่าบาทอันนา วิมเบิลดัน ราชินีแห่งเกรย์คาสเซิล
………………………………………………………………
ตอนที่ 1078 เสียงปืนในที่ราบลุ่ม
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่ว่าจะเป็นส่วนสูง เสื้อผ้าหรือว่าใบหน้า อันนาล้วนแต่ไม่ใช่คนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาแม่มด เพื่อความสะดวกในทำงานแล้ว เธอมัดผมของตัวเองเป็นหางม้า ถึงแม้ชุดทำงานของเธอจะเป็นชุดเดียวที่โรแลนด์ออกแบบให้ แต่เขาเหมือนจะไม่ได้คิดถึงเรื่องความสวยงามเท่าไรนัก ตรงแขนเสื้อกับปกเสื้อถูกมัดเอาไว้แน่น ยิ่งไปกว่านั้นการทำงานอยู่ข้างนอกเป็นเวลานานก็ทำให้บนเสื้อผ้ามีฝุ่นเกาะอยู่เต็มไปหมด ดูแล้วค่อนข้างมอมแมมทีเดียว ดูยังไงก็ไม่มีทางเชื่อมโยงเธอเข้ากับราชินีแห่งเกรย์คาสเซิลได้เลย
แต่ภายในใจมอลลี่กลับรู้สึกอิจฉาอย่างมาก
เพราะว่าต่อให้ไม่รู้ถึงสถานะของอีกฝ่าย เธอก็ยังมองออกว่าอันนานั้นต้องเป็นคนที่สำคัญอย่างแน่นอน คนที่ยืนอยู่ข้างอันนาล้วนแต่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ อย่างเช่นคาร์ล ฟอร์เบิร์ตที่เป็นหัวหน้ากองโยธาธิการ หรือเอดิธส์ เคนท์ที่เป็นผู้รับผิดชอบหน่วยบัญชาการเสนาธิการทหารใหญ่…ทั้งทิศทาง ความเร็วในการต่อสร้างและแผนการก่อสร้างของรางเหล็ก ล้วนแต่ต้องทำการปรึกษากับอันนาก่อนถึงจะตัดสินใจได้ พูดอีกอย่างก็คือต่อให้เธอไม่ใช่แม่มด เธอก็ยังเป็นจุดสนใจของทุกคนอยู่ดี
ถึงแม้มอลลีจะฟังสิ่งที่คนเหล่านั้นคุยกันไม่เข้าใจ แต่มอลลี่ก็ยังรู้สึกว่าอันนาที่ยืนส่องกล้องส่องทางไกลอยู่บนที่สูง ในมือถือแผ่นที่แล้วก็คอยชี้โน่นชี้นี่ให้ทุกคนดูนั้นช่างเท่จริงๆ
โดยเฉพาะดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นที่ส่องประกายออกมาในเวลาที่เธอใจจดใจจ่ออยู่กับงาน เรียกได้ว่ามันเหมือนกับอัญมณีไม่มีผิด
เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ ไม่ว่าจะเป็นทหารใหม่หรือว่าทหารเก่าก็ล้วนแต่แสดงความเคารพเธอผ่านทางสายตาโดยไม่รู้ตัว
มอลลี่ครุ่นคิด สุดท้ายจึงตัดสินใจไม่ไปรบกวนอันนา หากแต่บังคับให้ผู้ช่วยวิเศษเดินหลบกลุ่มคนออกมา แล้วตรงไปยังพื้นที่ที่ใช้วางของ
“เจ้าจะไปในป่าอีกเหรอ?” ในขณะที่เธอเพิ่งจะวางรางเหล็กลง ซาวีก็โผล่หัวออกมาจากกองอิฐ
มอลลี่รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาทันที
เธอวิ่งไปดูตรงกองอิฐ ก่อนจะเห็นไพ่ที่เธอคุ้นเคยวางกองอยู่บนพื้น
“เฮ้ นี่มันมอลลี่น้อยไม่ใช่เหรอ” แอนเดรียแสยะยิ้ม
ด้านข้างเธอยังมีแม็กกี้ที่เหมือนจะทำอะไรไม่ถูกยืนอยู่อีกคน
“พวกเจ้าแอบมาอู้เล่นไพ่กันอยู่ตรงนี้เหรอเนี่ย!” มอลลี่มุ่ยปากพูดขึ้นมา “ถ้าคนอื่นรู้เข้า พวกเขาจะมองมนตร์แห่งสลีปปิ้งยังไง? ข้าจะไปบอกท่านทิลลี!”
“พะ…พวกนางบังคับข้ามาที่นี่” แม็กกี้ก้มหน้าพร้อมพูดอย่างรู้สึกผิด
“ใครแอบอู้?” ซาวีไม่ยอมรับ “อิฐพวกนี้ข้าเป็นคนขนลงมาจากรถไฟทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นตอนนี้พวกคนงานยังต้องมานั่งขนอิฐอยู่เลย ทำงานเสร็จแล้วก็พักผ่อนซักหน่อย มันอู้ตรงไหน?”
“งานกับชายามบ่ายนั้นสำคัญเท่าๆ กัน การที่สามารถทำทั้งสองอย่างได้นั้นถือเป็นเรื่องที่ดี” แอนเดรียสางผมสีทองที่ส่องประกาย “ยิ่งไปกว่านั้นแม็กกี้ก็ทำให้ไม่มีใครมาเห็นพวกเราด้วย เพราะว่าข้าไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้เดือดร้อนไปถึงท่านทิลลีแน่นอน เรื่องนี้เจ้าสบายใจได้ เออใช่ เจ้าจะมาเล่นด้วยกันไหม? ยังไงเล่นสี่คนมันก็สนุกกว่าสามคน”
“ไม่มี….” ในขณะที่มอลลี่กำลังจะพูดแย้งออกไป เสียงสัญญาณเตือนก็ดังขัดขึ้นมาทันที
“อู…อู….อู…”
เสียงสัญญาณสั้นๆ สามครั้ง หมายความว่าเจอศัตรู!
เธอรีบมองไปทางตะวันออกเฉียงเหนือทันที แต่นอกจากทุกโล่งๆ ที่มีแต่หญ้ากับหิมะที่ยังละลายไม่หมดแล้ว เธอก็มองไม่เป็นอะไรอย่างอื่นอีก
“คนที่เจอศัตรูถ้าไม่ใช่ไลต์นิ่งก็เป็นซิลเวีย สัญญาณเตือนที่ส่งมาจากระยะทางที่ไกลขนาดนั้นเจ้าไม่มีทางมองเห็นหรอก” ซาวีพูดเตือน
“แย่แล้ว…ฝ่าบาทอันนา!” ทันใดนั้นมอลลี่ก็นึกถึงราชินีแห่งเกรย์คาสเซิลที่อยู่ตรงรางรถไฟขึ้นมา เธอได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่าความสามารถของอันนานั้นมีความสำคัญอย่างมากต่อฝ่าบาทโรแลนด์และเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องพาอีกฝ่ายกลับไปอย่างปลอดภัยให้ได้
เธอเพิ่งจะวิ่งไปได้สองก้าวก็ถูกซาวีจับมือเอาไว้
“ต้องมีคนคอยคุ้มครองฝ่าบาทอันนาอยู่แล้ว ตอนนี้เจ้าไปก็ช่วยอะไรไม่ได้” อีกฝ่ายส่ายหัว “ต่อให้เป็นปีศาจบินได้ อย่างน้อยๆ มันก็ต้องใช้เวลา 10 – 15 นาทีกว่าจะมาถึงที่นี่ เวลาเท่านี้เพียงพอให้พวกพระองค์ไปหลบได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตามกฎการป้องกันความเสี่ยง หากไม่มีภารกิจการรบที่ได้รับมอบหมายเอาไว้ สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อเจอกับการโจมตีอย่างกะทันหันก็คือปกป้องตัวเองก่อน จากนั้นค่อยไปรวมกับกองทัพที่หนึ่ง แม่มดทาคิลาหรือไม่ก็หน่วยรบอื่นๆ”
“ดังนั้นเจ้าไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น คอยคุ้มครองข้าอยู่ที่นี่เนี่ยแหละ” แอนเดรียแบกปืนยาวขึ้นไปยืนอยู่บนยอดกองอิฐตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ “หลังจากนี้คืองานของข้าแล้ว”
ทุกอย่างเป็นเหมือนอย่างที่ซาวีบอกมา ในตอนที่มอลลีปีนขึ้นไปบนกองอิฐ เธอก็พบว่าตรงพื้นที่ก่อสร้างนั้นไม่มีใครอยู่เลย ภาพคนงานที่ทำงานกันอย่างขมักเขม่นก่อนหน้านี้เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ภายในหลุมเพลาะมีหัวคนกำลังขยับอยู่ ปืนสีดำถูกเอามาตั้งไว้ รถไฟเองก็หยุดวิ่ง ภายในพื้นที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟัน
“ซิลเวีย เจ้าเป็นคนเจอศัตรูเหรอ?” แอนเดรียหยิบรูนสดับออกมาจากในหน้าอก “มีกี่ตัว?”
“…ไม่ ไลต์นิ่งเป็นคนส่งสัญญาณเตือน” ผ่านไปครู่หนึ่งถึงจะมีเสียงอีกฝ่ายดังตอบกลับมาจากในรูน “ศัตรูเหมือนจะมีแค่อสูรสยองที่แบกปีศาจคุ้มคลั่งมาด้วย 4 ตัว มันกำลังตรงไปทางด้านขวาของเจ้า ไม่มีร่องรอยของปีศาจระดับสูง”
“แค่ 4 ตัวเหรอ? เหมือนจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญนะ”
“ก็อาจจะ แต่ก็ห้ามประมาทเด็ดขาด” ซิลเวียสั่งกำชับ” อีก 5 นาทีเจ้าก็น่าจะเห็นพวกมันแล้ว”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ปีศาจก็ปรากฏตัวออกมาเหมือนกับนัดเอาไว้ จุดดำสี่จุดบนท้องฟ้าสีครามดูสะดุดตาอย่างมาก ขณะเดียวกันพวกมันก็สังเกตเห็นรางเหล็กที่ปรากฏอยู่บนที่ราบ แต่ที่น่าแปลกก็คือศัตรูไม่ได้พุ่งลงมาโจมตีในทันที หากแต่บินวนเป็นวงกลมอยู่ในระยะไกล
“พวกมันกำลังลังเลอะไร?” ซาวีขมวดคิ้ว “นี่มันไม่ใช่สไตล์ของพวกปีศาจเลย”
“เจ้ายิงถูกมันได้ไหม?” มอลลีถาม
“ไม่ได้ ระยะไกลเกินไป” แอนเดรียยักไหล่ “ต่อให้โยนเหรียญขึ้นไปทั้งหมด ก็ไม่มีเหรียญไหนที่จะตั้งขึ้นมาเลย แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธี…”
มอลลี่มองข้ามคำพูดที่เธอฟังไม่รู้เรื่องไป “วิธีไหน?”
“อย่างเข่น…เปลี่ยนปืนที่มีขนาดลำกล้องใหญ่กว่าเดิม” เธอยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะชี้ไปยังด้านข้างของกองอิฐ “ข้าขอใช้งานผู้ช่วยวิเศษของเจ้าหน่อยได้ไหม?”
ในเวลานี้มอลลี่ถึงได้สังเกตเห็นว่าตรงนั้นมีปืนที่มีขนาดยาวจนน่าตกใจวางอยู่กระบอกหนึ่ง เพียงแค่ลำกล้องของมันก็ยาวเมตรกว่าแล้ว ขณะเดียวกันเธอเองก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที ด้วยกำลังของเธอเพียงคนเดียว ไม่มีทางที่จะแบกอาวุธที่หนักขนาดนี้ได้แน่นอน
“หรือว่า…ตอนที่เล่นไพ่ เจ้าพกเจ้านี่มาด้วย?”
“แม็กกี้เป็นคนช่วยข้าขนมา” แอนเดรียพูด “ยิ่งไปกว่านั้นการที่พกอาวุธที่มีโอกาสจะได้ใช้งานติดตัวมาด้วยนั้นเรียกได้ว่าเป็นพื้นฐานของคนที่เป็นนักรบนะ”
มอลลี่ไม่พูดอะไรอีก เธอยกมือเรียกผู้ช่วยวิเศษออกมา ก่อนจะให้มันแบกปืนยักษ์เอาไว้บนหัว ขณะเดียวกันเธอก็สั่งมอมอตาให้ย่อตัวลงจนกลายเป็นเหมือนเบาะทรงวงรี
“น่าเสียดายจริงๆ ที่ปฏิบัติการครั้งที่แล้วไม่ได้พาเจ้าไปด้วย” แอนเดรียขึ้นไปนั่งลองจับปืน “ที่ตั้งปืนอันนี้นั่งสบายกว่าแอชเชสตั้งเยอะ เงยปากกระบอกปืนขึ้นหน่อย ใช่ แบบนี้แหละ”
“ตอนนี้ล่ะ?” มอลลี่ปรับรูปร่างผู้ช่วยวิเศษ
“พอดีเลย เออใช่ เจ้าช่วยหดแขนมันหน่อยได้ไหม? เอาให้เล็กเท่านิ้วมือเลย”
“ไม่มีปัญหาหรอก…แต่ว่าถ้าทำแบบนั้นมันจะยกของหนักไม่ได้นะ”
“ไม่เป็นไร ทำแบบนี้แหละ” แอนเดรียเอาแขนของผู้ช่วยวิเศษที่หดเล็กลงขึ้นมาอุดหู จากนั้นจึงจับกระบอกปืน “เจ้าเองก็อย่าลืมอุดหูล่ะ!”
พอพูดจบ เธอก็เหนี่ยวไกปืนทันที
เสียงระเบิดดังสนั่นออกมาจากปากกระบอกปืน!
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ปีศาจตัวหนึ่งก็กลายเป็นหมอกเลือดกลางอากาศ
……………………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น