Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1065-1074
ตอนที่ 1065
ผู้ชนะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ดูนั่น นั่นมันท่านแสงอรุณ!” ข้างถนนมีคนตะโกนขึ้นมา
“อยู่ไหนๆ?”
“คนที่วิ่งอยู่ข้างหน้าสุดไง!”
เมื่อเสียงตะโกนเตือนของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นมา ในกลุ่มผู้ชมพลันมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมาทันที
“ใช่เขาจริงๆ ด้วย! หลังจากที่ไม่ได้เป็นอาจารย์ ข้านึกว่าจะไม่ได้เห็นเขาแล้วซะอีกนะเนี่ย”
“ว้าย เขามองมาทางข้าด้วย!”
“อาจารย์เฟร์ราน สู้ๆ นะเจ้าคะ!”
ผู้ชายหน้าตาหล่อเหล่ารูปร่างสูงใหญ่คนปรากฏตัวขึ้นตรงปลายสุดของถนน ถึงแม้เขาดูแล้วค่อนข้างเหนื่อยล้า แต่ฝีเท้ายังคงก้าวต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุดและครองตำแหน่งอยู่หน้าสุดของขบวนนักวิ่ง สิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกชื่นชอบมากกว่านั้นก็คือทุกครั้งที่ส่งเสียงเชียร์ให้เขา เขาจะพยายามหันหน้ากลับมายิ้มให้ เวลาที่เจออดีตนักเรียน เขาก็มักจะโบกมือทักทาย ท่าทีที่อบอุ่นเป็นมิตรเช่นนี้ทำให้เขาได้ใจจากผู้สนับสนุนทุกคนไปทันที
ฮันนี่ที่ตามขบวนนักวิ่งมาด้วยเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ทั้งหมด
เฟร์ราน ชิลต์ เกิดในตระกูลอัศวิน เดิมเคยเห็นครูสอนระดับกลาง ต่อมาย้ายเข้าไปอยู่ในหน่วยบัญชาการเสนาธิการทหารใหญ่ มีฉายาว่าแสงอรุณ อืม…ถ้าเขาเป็นผู้ชนะจริงๆ พาดหัวข่าวควรจะเขียนยังไงดี?
“ ‘ตกตะลึง! ชายหนุ่มคนหนึ่งของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ทำเอาหญิงสาวนับหมื่นหลงใหลจนถอนตัวไม่ขึ้น’ เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?”
“เอ่อ…ท่านกำลังถามข้าเหรอ?” เวเดอร์ที่กำลังปั่นจักรยานพูดพร้อมหายใจหอบ “ที่บอกว่าจำนวนนับหมื่นมันไม่เยอะไปหน่อยเหรอขอรับ?”
เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวที่นิสัยและหน้าตาดูไม่ต่างอะไรจากเด็กผู้หญิงคนนี้ เวเดอร์ไม่กล้าที่จะดูแคลนเธอแม้แต่น้อย ในฐานะที่เป็นบุคคลสำคัญของกองประชาสัมพันธ์ ผู้บังคับบัญชาเหนือหัวเธอก็คือราชาของเกรย์คาสเซิลที่ขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจตั้งแต่อายุยังน้อย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้ยินมาว่าเธอมีความสัมพันธ์ที่สนิทแนบแน่นกับท่านเวนดี้ที่เป็นผู้รับผิดชอบสโมสรแม่มดด้วย ถ้าดูแลคนแบบนี้เหมือนเธอเป็นเด็กน้อยล่ะก็ สุดท้ายคนที่ซวยจะต้องเป็นเขาแน่
เวเดอร์ที่ไต่เต้ามาจากเป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่างของหน่วยลาดตระเวนอยู่หลายปีย่อมไม่มีทางทำผิดพลาดเช่นนี้แน่
ด้วยเหตุนี้ในตอนที่อีกฝ่ายมาหาตนและขอซ้อนจักรยานเพื่อจะไปดูการแข่งขันระยะใกล้ๆ เขาจึงรับปากอย่างไม่ลังเล เพราะยังไงซะในเวลาที่คาเตอร์ไม่อยู่ เขาก็จะช่วยดูแลเรื่องการรักษาความปลอดภัยแทน อย่างเช่นงานในการนำขบวนครั้งนี้ การให้อีกคนมาซ้อนจักรยานก็ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
นอกจากเรื่องคนที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังฮันนี่แล้ว สิ่งที่ทำให้เขากระตือรือร้นแบบนี้ยังมีเรื่องหนึ่ง ถ้าหน่วยรักษาความปลอดภัยอยากจะทำผลงานให้ดีและช่วยหยุดอันตรายที่จะมีต่อฝ่าบาทและอาณาจักรเอาไว้ เขาก็จำเป็นต้องรวบรวมข่าวกรองอย่างละเอียดให้มากที่สุด ซึ่งนี่ก็คือสิ่งที่อีกฝ่ายถนัด
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นในแง่ไหน การผูกมิตรกับแม่มดคนนี้ก็คือสิ่งที่จำเป็น
“ไม่ต้องไปสนใจเรื่องรายละเอียดมาก” ฮันนี่มุ่ยปาก “ถ้าเจ้าเห็นพาดหัวข่าวนี้ เจ้าอยากจะอ่านต่อลงไปไหมล่ะ?”
“อยากขอรับ” เวเดอร์ตอบตามตรง
“อย่างนั้นก็ดี” สาวน้อยผิวปากอย่างอารมณ์ดี
ทันใดนั้นเอง ในกลุ่มคนพลันมีเสียงที่แตกต่างกันไปดังขึ้นมา
“พวกเจ้ารู้สึกบ้างไหมว่าผู้ชายที่ตามอยู่ข้างหลังอาจารย์เฟร์ราน ก็หล่อ…ไม่เบาเลยนะ” หญิงสาวพูดพร้อมอามือป้องปาก
“เจ้าก็เห็นเหรอ? ข้าว่าเขาหล่อกว่าท่านแสงอรุณอีกนะ” คำพูดของเธอทำให้หลายๆ คนเริ่มถกเถียงกันขึ้นมา
“ข้ารู้จักเขา! นั้นมันท่านคาร์เตอร์ แลนนิส หัวหน้าอัศวินของฝ่าบาท! พวกเจ้าดูตราราชวงศ์ที่อยู่บนผ้าคลุมด้านหลังเขานั่น!”
“อย่างนี้นี่เอง สมแล้วที่เป็นท่านหัวหน้าอัศวิน!”
“เจ้าสีหน้าเขาดูเย็นชาไปหน่อยนะ เวลาเขามองมา มันเหมือนกับข้าไปติดเงินเขาไว้อย่างนั้นแหละ…”
“เจ้าอายุยังน้อย คนแบบนี้สิถึงจะมีเสน่ห์!”
“ดูนั่นเร็ว เขาไล่ตามขึ้นมาแล้ว!”
“ท่านอัศวิน สู้ๆ นะเจ้าคะ..”
คาร์เตอร์ แลนนิส โตมาจากตระกูลอัศวินเช่นเดียวกัน ในอดีตเคยอยู่ในกองทัพอัศวินของเมืองหลวง จากนั้นติดตามเจ้าชายลำดับที่สี่มายังเมืองชายแดน เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนยุคแรกๆ ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ฝีมือว่องไวและแข็งแกร่ง มีข่าวลือว่าเขามีความสามารถที่จะสู้กับแม่มดอมนุษย์ได้ แล้วก็เป็นหนึ่งในคนที่บุ๊คมองว่าจะเป็นผู้ชนะการแข่งขัน
ฮันนี่ด้านหนึ่งก็ฟังนกรายงานข่าวให้ฟัง อีกด้านหนึ่งก็จดบันทึกการแข่งขันลงไปในสมุด
คาร์เตอร์เร่งความเร็วขึ้นมาเรื่อยๆ ระยะห่างของทั้งสองคนค่อยๆ หดสั้นลง ไม่นานทั้งคู่ก็วิ่งตีคู่กันขึ้นมา
ส่วนผู้ชมก็เริ่มหันมาส่งเสียงเชียร์ให้กับคาร์เตอร์ จากที่ตอนแรกส่งเสียงให้แต่เฟร์รานเพียงอย่างเดียว
ดูเหมือนพาดหัวข่าวต้องเปลี่ยนอีกแล้ว
ฮันนี่ครุ่นคิดอยู่ครู่ ก่อนจะจรดปากกาลงไปบนสมุดอย่างตื่นเต้น
‘ใครจะเป็นผู้ชนะ? การแข่งขันระหว่างหนุ่มหล่อสองคน’
……..
คาเตอร์รู้สึกในปอดร้อนเหมือนกำลังมีไฟแผดเผา
เพื่อที่จะทำให้เมย์จำตนได้ เขาจึงเอาสายสะพายสีสันสดใสและผ้าคลุมห้อยไว้บนตัว แต่เครื่องประดับที่เดิมเบาหวิว ตอนนี้กลับหนักขึ้นมาเหมือนภูเขา โดยเฉพาะในตอนที่วิ่งโต้ลม เขารู้สึกเหมือนผ้าคลุมเหล่านี้กำลังดึงเขาเอาไว้อย่างนั้น
แต่เขาก็ไม่ยอมถอดมันออก
เพราะว่านี่เป็นผ้าที่เมย์เย็บขึ้นมาให้เขา
คาร์เตอร์อยากจะใส่มันวิ่งแซงเฟร์รานไปเข้าเส้นชัย
ถึงแม้เมย์จะไม่เคยพูดกับเขามาก่อน แต่เขากลับได้ยินเรื่องราวในอดีตบางเรื่องมาจากสมาชิกในคณะละครเวที ตอนที่ฝ่าบาทโรแลนด์ยังไม่เสด็จมายังดินแดนตะวันตก เฟร์รานเคยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วลองซอง ตอนนั้นแสงอรุณกับดวงดาวแห่งตะวันตกแทบจะถูกมองว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน ไม่ว่าใครต่างก็คิดว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาคงต้องลงเอยด้วยกัน ส่วนภรรยาของเขาเองก็เหมือนจะเคยแอบชอบเฟร์รานอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนกัน แต่ผลสุดท้ายกลับไม่เป็นเหมือนอย่างที่หลายๆ คนคิด เพราะคนที่เฟร์รานชอบนั้นกลับเป็นเอรินที่เป็นสมาชิกใหม่ของคณะละครเวที
ถึงแม้เมย์จะไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ แต่ภายในใจคาร์เตอร์ก็ยังแอบรู้สึกคับข้องใจอยู่
เป็นแสงอรุณแล้วยังไง
ที่เธอชอบอีกฝ่าย ก็เป็นเพราะว่าตัวเองซึ่งยอดเยี่ยมกว่ายังไม่ปรากฏตัวเท่านั้น
เขาอยากจะพิสูจน์ให้คนเหล่านั้นเห็นว่าเขาต่างหากคือคนที่เหมาะสมกับเมย์!
และสิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือเอาชนะเฟร์ราน ชิลต์ที่เป็นอัศวินเหมือนกัน
คาร์เตอร์เค้นเรี่ยวแรงออกมา สายตาจ้องมองไปยังคู่แข่งที่อยู่ห่างจากตัวเองไปไม่ถึงครึ่งช่วงตัว ก่อนจะเร่งความเร็วฝีเท้า
อัฒจันทร์ตรงเส้นชัยค่อยๆ ปรากฏขึ้นในสายตา
ถึงเวลาที่ต้องตัดสินแพ้ชนะแล้ว!
ทันใดนั้นเอง ด้านหลังเขาพลันมีเสียงฝีเท้าที่ดูเร่งรีบดังขึ้นมา
หรือว่าตอนนี้ยังมีคนไล่ตามขึ้นมาได้อยู่?
เป็นไปได้ยังไง! เพราะตอนที่การแข่งขันผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เขากับเฟร์รานก็ทิ้งทุกคนไว้ข้างหลังตั้งไกลแล้ว ต่อให้คนเหล่านั้นอยากจะเก็บแรงไว้ ก็ไม่น่ารอให้ถึงตอนนี้แล้วค่อยเร่งความเร็ว
เพราะแรงที่ต้องใช้เร่งความเร็วนั้นมากกว่าการวิ่งด้วยความเร็วคงที่มาก!
คาร์เตอร์มองไปด้านหลังอย่างตกใจ
เดี๋ยวๆ….นั่นมันอะไร?
เขาเห็นชายต่างถิ่นที่แต่งตัวแปลกๆ คนหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาทางเขาด้วยความเร็ว ระยะห่างระหว่างเขากับอีกฝ่ายนั้นกำลังหดสั้นลงอย่างรวดเร็ว เมื่อดูจากผิวหนังและรอยสักบนตัวแล้ว เขาน่าจะเป็นชาวโมเกน แต่…ไอหูยาวๆ ที่อยู่บนหัวกับหางที่แกว่งอยู่ด้านหลังนั่นมันอะไรกัน?
หรือว่าอีกฝ่ายใช้การแต่งตัวเหมือนสัตว์ป่านี้เพื่อรับพลัง?
ภาพอันน่าตกตะลึงนี้ทำเอาคาร์เตอร์ตัวสั่นขึ้นมา เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกอะไรบางอย่างที่น่ากลัวจับจ้องอยู่อย่างไรอย่างนั้น เขากัดฟันแล้ววิ่งตรงไปยังเส้นชัย!
ท่ามกลางเสียงตะโกนเชียร์ของผู้ชม ทั้งสามคนแทบวิ่งข้ามเส้นชัยไปพร้อมๆ กัน
ชนะ…ชนะแล้วเหรอ?
หัวหน้าอัศวินหายใจหอบพร้อมวิ่งต่อไปอีกสิบกว่าเมตรก่อนจะหยุดลง เขาไม่ได้สนใจดูคู่แข่ง หากแต่มองตรงไปยังอัฒจันทร์
ฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดันเองก็กำลังยืนขึ้นมา
“ยินดีกับพวกเจ้าด้วย ทุกคนไม่เพียงแต่จะเข้าเส้นชัยได้อย่างราบรื่น แต่ยังสามารถทำผลงานได้ยอดเยี่ยมอย่างมากด้วย!” เสียงของเขาดังไปทั่วทั้งถนนหลวงทันที “ถึงแม้การแข่งขันยังไม่จบลง แต่ผู้ชนะสามอันดับแรกก็ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว! ทั้งสามอันดับได้แก่….”
คาเตอร์กลืนน้ำลาย
“อันดับสาม คาร์เตอร์ แลนนิส”
เมื่อได้ยินผลที่ประกาศออกมา หัวหน้าอัศวินหลับตาลงอย่างเจ็บใจ บ้าเอ้ย สุดท้ายก็ยังช้าไปก้าวนึง…
“อันดับสอง โรฮาน เบิร์นเฟลม…ชายชาวโมเกน!”
โรแลนด์ชะงักไปเล็กน้อย เสียงพูดคุยของชาวบ้านดังขึ้นมา
“ส่วนคนที่เข้าเส้นชัยเป็นคนแรกคือซันฟลาวเวอร์จากเขตลองซอง! ปรบมือเป็นกำลังใจให้พวกเขาด้วย!”
เอ่อ…นางเป็นใคร?
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของทุกคน คาร์เตอร์กับอีกสองคนต่างกำลังยืนตกตะลึงอยู่กับที่
อีกด้านหนึ่ง ฮันนี่ปิดสมุดลง ก่อนจะกระโดดลงมาจากด้านหลังรถจักรยาน “รายงานข่าวของวันนี้เสร็จเรียบร้อย ขอบคุณเจ้ามากนะ”
“พวดหัวข่าวท่านคิดได้แล้วเหรอขอรับ?” เวเดอร์ถามอย่างสงสัย
“อื้อ ได้แล้ว” เธอยิ้มเล็กน้อย “ก็เขียนผลการแข่งขันลงไปก็พอ”
เพราะแค่นั้นก็เพียงพอจะดึงดูดความสนใจจากทุกคนได้แล้ว
‘งานแข่งขันกีฬาวันฉลองชัยสมัยแรกปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์ ผู้ชนะคือซันฟลาวเวอร์สาวน้อยวัย 12 ปี’
ตอนที่ 1066
ประกาศสงคราม
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ว้าว นี่มันสุดยอดจริงๆ เลย” บารอฟลูบหนวดตัวพร้อมอุทานชมเชยออกมา “ที่แท้แม้แต่การวิ่งก็ยังตื่นเต้นได้ขนาดนี้เลยนะเนี่ย!”
“ใช่ ตอนที่เห็นทั้งสามคนวิ่งตีคู่กันขึ้นมา ข้ารู้สึกหัวใจข้าเต้นเร็วมากขึ้นกว่าเดิม” เปโรที่เป็นผู้รับผิดชอบเขตลองซองพูดเสริมขึ้นมา “แต่เสียดายที่สุดท้ายมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับตราที่ระลึก น่าเสียดายจริงๆ”
“น่าเสียดายจริงๆ เหรอ?” หัวหน้าสำนักบริหารยิ้มขึ้นมา “คนที่ชนะเป็นนักแข่งจากเขตลองซองนะ ถ้าได้เป็นจุดสนใจของผู้คนนับหมื่นแบบนี้ เป็นข้า ข้าจะมาอีกหลายๆ ครั้งเลย”
“ที่ไหนกันล่ะท่าน คุณซันฟลาวเวอร์ก็แค่โชคดีเท่านั้น ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายล่ะก็ การแข่งขันกีฬาในวันฉลองชัยปีหน้า ท่านจะต้องสมหวังแน่นอน”
“งั้นเหรอ…ข้ากลัวว่ามันจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายน่ะสิ”
“ฮ่าๆๆๆ เรื่องที่เกิดบ่อยๆ มันก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายแล้วล่ะท่าน”
เอ่อ…แม้แต่ผลการแข่งขันก็ยังเอามาพูดเหน็บกันไปมาได้ สองคนนี้เข้ากันได้ดีจริงเชียว โรแลนด์เหลือบมองดูบารอฟกับเปโรที่กำลังคุยกันอย่างถูกคอ ภายในใจก็แอบคิดว่าทั้งสองคนนั้นอายุห่างกันตั้งเกือบยี่สิบปี แต่กลับดูไม่มีช่องว่างระหว่างอายุเลย สมแล้วที่คลุกคลีอยู่ในการเมืองมาหลายปี
เนื่องจากมีคนเข้าเส้นชัยไปแล้ว ทุกคนจึงเริ่มผ่อนคลายลง ด้านหนึ่งก็พูดคุยถึงเรื่องการแข่งขันไป อีกด้านหนึ่งก็รอให้คนที่เหลือเข้าเส้นชัย ต้องยอมรับเลยว่ากีฬาที่ท้าทายขีดจำกัดของมนุษย์เช่นนี้ช่างมีเสน่ห์ต่อมนุษย์เสียจริงๆ
บรรยากาศตรงกลุ่มแม่มดเองก็เป็นแบบนี้เช่นเดียวกัน
เมื่อมองดูเหล่าแม่มดที่เหมือนจะอยากลงไปวิ่งบ้าง โรแลนด์ก็อดยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้
การที่ไม่ให้แม่มดเข้าร่วมการแข่งขันก็เป็นเพราะว่าความสามารถที่แตกต่างกันเกินไประหว่างแม่มดกับคนธรรมดา เพื่อที่จะไม่ทำให้คนธรรมดาต้องสูญเสียความมั่นใจ เขาจึงได้กำหนดกฎแบบนี้ขึ้นมา ไม่ใช่แค่แม่มดที่มีพลังเวทมนตร์เท่านั้น แม้แต่แม่มดทาคิลาก็ถูกห้ามลงแข่งด้วยเช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าอีกไม่นานเขาคงต้องจัดการแข่งขันระหว่างแม่มดขึ้นมาเสียแล้ว
ไม่รู้ว่าตอนที่พวกเธอเอาพลังเวทมนตร์ไปใช้ในการแข่งขัน มันจะกลายเป็นภาพแบบไหน
“การแข่งขันกีฬาในโลกนั้นก็เป็นแบบนี้เหรอเพคะ?” เสียงของอันนาดังขึ้นมาขัดความคิดของเขา “ในช่วงแรกของการแข่งขัน พระองค์ดูเหมือนจะใจลอยอย่างมากนะเพคะ”
“เพราะว่ามันไม่มีผู้บรรยายกับการถ่ายทอดสดน่ะสิ” โรแลนด์อุทานออกมา
“พระองค์ทรงหมายถึงสิ่งที่ทำให้คนสามารถติดตามการแข่งขันได้ตลอดเวลาเหรอเพคะ?” อันนาตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “เช่นนั้นมันต้องทำยังไงเหรอเพคะ?”
“เรื่องนี้ถ้าจะอธิบายก็ค่อนข้างซับซ้อนหน่อย” เขายิ้มๆ “เจ้ายังจำโทรทัศน์ที่ข้าเคยพูดถึงได้ไหม…”
ถึงแม้จะไม่มีการบรรยายและการถ่ายทอดสดเหมือนอย่างโลกยุคหลัง แต่การแข่งขันครั้งนี้ก็เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ เสียงตอบรับจากผู้ชม ความหลากหลายของผู้เข้าแข็งขัน การแข่งขันที่ยอดเยี่ยม ผลการแข่งขันที่เหนือความคาดหมาย ไม่ว่าจะเป็นคาร์เตอร์ที่สวมผ้าคลุมอัศวินหรือว่าชาวโมเกนที่คอสเพลย์เป็นหมาป่าสาวก็ล้วนแต่สามารถกลายเป็นประเด็นให้คนพูดถึงได้
และจากข้อมูลที่บุ๊คได้มาทำให้โรแลนด์รู้ว่าประวัติของซันฟลาวเวอร์ที่เป็นแชมป์นั้นค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว เธอเคยเป็นโจรใต้ดินคนหนึ่ง หลังลองซองถูกปลดปล่อย เธอก็กลายเป็นคนส่งจดหมายดีเด่น ทั้งวันต้องวิ่งไปกว่าตามตรอกซอกซอยในเมืองลองซอง และก็ด้วยงานนี้ที่ทำให้เธอสามารถคว้าชัยชนะในการแข่งขันมาได้
ถึงแม้ถ้าพูดถึงเรื่องพละกำลังเพียงอย่างเดียว ซันฟลาวเวอร์จะไม่สามารถเทียบกับอีกสามคนได้เลย แต่ผู้ชนะยังไงก็คือผู้ชนะ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเทียบกับผลการแข่งขันนี้แล้ว สิ่งที่โรแลนด์ส่งใจมากกว่าก็คืออิทธิพลของการแข่งขันที่มีต่อประชาชน ซึ่งชัยชนะของซันฟลาวเวอร์นั้นสามารถทำให้ผู้คนคิดไปถึงคำขวัญที่บอกว่าการทำงานนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้ และนี่ก็คือตัวอย่างที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ต้องการ
….
ในขณะที่ขอบฟ้าถูกย้อมด้วยสีแดง งานแข่งขันกีฬาสมัยแรกก็ใกล้จะปิดฉากลง
ชาวบ้านทยอยกันมารวมตัวกันด้านล่างอัฒจันทร์จนกลายเป็นเหมือนทะเลมนุษย์ ทุกคนต่างเงยหน้ารอคอยพิธีมอบรางวัลที่กำลังจะเริ่ม
แต่สำหรับโรแลนด์แล้ว หลังจากนี้ต่างหากถึงจะเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของการแข่งขันในครั้งนี้
เขายืนขึ้นมาพร้อมพยักหน้าไปทางเอคโค่ ก่อนจะเดินไปยืนอยู่หน้ารั้วของอัฒจันทร์
เมื่อต้องเผชิญหน้าสงครามที่สำคัญก็จำเป็นต้องมีการปลุกใจผู้คน และถ้าคิดจะพูดเมื่อปลุกความเชื่อมั่นในตัวผู้คนขึ้นมา ก็ไม่มีช่วงเวลาจะดีไปกว่าตอนนี้อีกแล้ว
เขาค่อยๆ กวาดตามองดูประชาชน จนกระทั่งภายในพื้นที่เงียบเสียงลง
“ประชาชนทุกคน สิ่งที่พวกเจ้าเพิ่งจะได้เห็นนั้นคือการแข่งขันที่เป็นเหมือนปาฏิหาริย์ ในเวลาเกือบ 4 ชั่วโมง คนจำนวนมากได้อาศัยสองเท้าของตัวเองในการเดินเป็นระยะทาง 28 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางครึ่งหนึ่งของถนนหลวงพอดี”
“บางทีคนที่มาจากที่อื่นอาจจะไม่รู้ถึงความหมายของมัน ในอดีตถ้าอยากจะเดินทางจากป้อมปราการลองซองมายังเมืองชายแดน อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลา 3 วัน อีกทั้งยังต้องเดินทางต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืนด้วย ถ้าในตอนนั้นมีคนบอกว่าสามารถอาศัยสองเท้าของตัวเองเดินทางมาถึงที่หมายได้ในเวลาวันเดียว เกรงว่าคงต้องถูกคนอื่นหัวเราะเยาะแน่ แต่ตอนนี้พวกเจ้าก็ได้เห็นคำตอบนั้นด้วยตาตัวเองแล้ว!”
“ไม่ว่าจะเป็นการเปิดภูเขาสร้างถนน หรือว่าการวิ่งโดยไม่หยุด นี่คือผลจากการก้าวข้ามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าของพวกเจ้า ข้าเชื่อว่าทุกคนคงจะรู้แล้ว ที่จริงคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ที่พูดๆ กันมันก็เป็นแค่โซ่ตรวนที่เอาไว้ให้เราทำลาย และการแข่งขันนี้็เป็นหลักฐานยืนยันที่ดีที่สุด!”
ด้านล่างอัฒจันทร์มีเสียงเฮดังกระหึ่มขึ้นมา
โรแลนด์เงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นมาบอกให้ทุกคนเงียบลง จากนั้นจึงพูดต่อว่า “ตอนนี้ พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหม่ นั่นก็คือปีศาจ ความจริงแล้วสงครามได้ดำเนินมาถึงช่วงเวลาสำคัญแล้ว! หลังจากนี้กองทัพที่หนึ่งจะเคลื่อนพลออกไปยังที่ราบลุ่มบริบูรณ์เพื่อเปิดฉากโจมตีใส่ปีศาจที่เมืองทาคิลาเป็นครั้งที่สอง”
“ศัตรูเหล่านี้โหดร้ายทารุณและกระหายในการฆ่าฟัน เขี้ยวเล็บของพวกมันเคยทำให้อาณาจักรมนุษย์ที่รุ่งเรืองต้องกลายเป็นเศษซากที่เต็มไปด้วยเลือด ผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนต้องตายด้วยมือพวกมัน โครงกระดูกจำนวนมหาศาลมากพอที่จะเอามาถมจนเต็มเมืองเนเวอร์วินเทอร์กองเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น!”
“ดังนั้นพวกเราจึงต้องลุกขึ้นสู้ ก่อนที่หายนะมันจะมาเยือนพวกเรา!”
“พวกเราจะรบกับมันบนพื้นดิน พวกเราจะรบกับพวกมันในทะเล พวกเราจะรบกันมันบนท้องฟ้า เราจะรบจนกว่าจะไม่มีปีศาจเหลืออยู่ แล้วก็ไม่มีพื้นที่ให้ศัตรูของมนุษย์ได้อยู่อาศัยอีก!”
“ข้าดีใจอย่างมากที่ได้เห็นชาวโมเกนมาเข้าร่วมการแข่งขัน แล้วก็ยังมีคนที่จะมาจากฟยอร์ดและอาณาจักรอื่นอีก…นี่หมายความว่าทุกคนได้วางอคติและการแบ่งแยกลง แล้วก็เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และข้ากล้าพูดได้เลยว่าหลังจากนี้เรื่องแบบนี้มันจะกลายเป็นปกติ! สำหรับพวกปีศาจแล้ว เผ่าพันธุ์ อายุ เพศและความเชื่อของมนุษย์ล้วนแต่ไม่มีความหมาย การฆ่าล้างคือสิ่งเดียวที่พวกมันสนใจ ดังนั้นที่ไม่ใช่สงครามของเกรย์คาสเซิลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่เป็นสงครามของมนุษย์ทุกคนด้วย”
“ประชาชนของข้า ในตอนที่พวกเจ้าหวาดกลัวศัตรู ไม่กล้าที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าหรือคิดอยากจะถอยหลัง ขอให้ทุกคนคิดถึงปาฏิหาริย์ในวันนี้เอาไว้ ขอเพียงพวกเจ้าเดินตามความเชื่อและมุ่งมั่นให้ถึงที่สุด สุดท้ายพวกเราก็ต้องได้รับชัยชนะแน่นอน!”
“ตอนนี้ ขอให้ผู้ชนะสิบอันดับแรกก้าวออกมารับเกียรติยศที่พวกเจ้าสมควรจะได้รับ!” โรแลนด์พูดเสียงดัง
เสียงตะโกนโห่ร้องดังสนั่นขึ้นมาเป็นเวลานานไม่ยอมหยุด ก่อนจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแสงอาทิตย์ยามเย็นบนท้องฟ้า
“สมแล้วที่เป็นชีค…” กูเอลส์ที่อยู่ด้านล่างอัฒจันทร์สูดหายใจลึกๆ “พูดซะจนข้าอยากจะใส่ชุดเกราะออกไปรบอีกครั้งเลย” เขามองไปทางโรฮานแล้วพูดว่า “พร้อมจะขึ้นไปรับรางวัลหรือยัง?”
“ท่านพ่อ แต่ว่าข้า…” อีกฝ่ายกัดริมฝีปาก สีหน้าดูเสียใจ
“ไม่ได้เป็นผู้ชนะน่ะเหรอ?” กูเอลส์ยิ้มมุมปากขึ้นมา เขาเอามือขยี้หัวลูกชายตัวเองอย่างแรง “แต่เจ้าก็พยายามเต็มที่แล้วไม่ใช่หรือไง? แค่นั้นมันก็พอแล้ว ไปเถอะ ยืดตัวตรงขึ้นมา ให้ทุกคนได้เห็นความสง่างามของผู้สืบทอดของเผ่าไวลด์เฟลม!”
โรฮานตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย เขามองดูพ่อของตัวเองเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายเขาก็เพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น
ครั้งนี้ เขาไม่ได้ปิดบังหูแล้วก็หางที่เขาสวมอยู่อีก
ท่ามกลางแสงสีทองที่ทอประกายอยู่บนท้องฟ้า ภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของกูเอลส์ก็คือภาพลูกชายที่ดูแข็งแกร่งและมั่นใจ เหมือนกับโลก้าอย่างไรอย่างนั้น
ตอนที่ 1067
คนที่ไล่ตามปาฏิหาริย์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พระเจ้า นั่นเจ้าจริงๆ ด้วย!”
ในตอนที่ซันฟลาวเวอร์ถือถุงเงินเดินลงมาจากอัฒจันทร์ หูของเธอพลันได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
เธอหันหน้าไป ก่อนจะยิ้มมุมปากขึ้นมา “เฮ้ ไทเกอร์คลอว์!”
“ฮ่าๆๆ ไม่เจอกันนานเลยนะ ซันฟลาวเวอร์!” ชายหนุ่มตัวใหญ่กอดเธอเอาไว้ ก่อนจะตบไปที่หลังของเธออย่างแรง “ตอนที่ฝ่าบาททรงประกาศชื่อเจ้าออกมา ข้ายังนึกว่าเป็นคนที่ชื่อซ้ำกันซะอีก คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเอาชนะหัวหน้าอัศวินกับท่านแสงอรุณได้ ทำเอาข้ารู้สึกตกใจจริงๆ เดี๋ยวๆ….นี่เจ้าอ้วนขึ้นเหรอ?”
ซันฟลาวเวอร์ผลักเขาออก ก่อนจะต่อยเข้าไปที่หน้าอกของเขาทีหนึ่ง “เงียบไปเลย ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนที่มีแต่หนังกับกระดูกแล้ว แบบนี้ต่างหากถึงจะเรียกว่าปกติ!”
“ไม่ ข้าหมายถึงอ้วนนิดหน่อยก็ดีแล้ว” ไทเกอร์คลอว์ผิวปาก “อย่างน้อยก็ค่อยดูเหมือนผู้หญิงหน่อย” เขากวาดตามองดูซันฟลาวเวอร์อีกรอบหนึ่ง “แต่เอาจริงๆ นะ ตัวเจ้าใหญ่ขึ้นจริงๆ…ตอนที่อยู่บนอัฒจันทร์ข้าไม่แน่ใจเลยว่าใช่เจ้าหรือเปล่า”
“งั้นเหรอ?” เธอยักไหล่ “ก็แค่ผมยาวขึ้นนิดหน่อย กินเยอะขึ้นหน่อยเท่านั้น เจ้าเองก็ตัวใหญ่ขึ้นเหมือนกันนี่”
“ข้าทำงานอยู่ในลานก่อสร้างทุกวันน่ะสิ!” อีกฝ่ายเบ่งกล้ามขึ้นมา
“แฮ่ก…แฮ่ก…ซันฟลาวเวอร์ รอข้าด้วย” ดอนมุดออกมาจากฝูงคนพร้อมกับพูดหายใจหอบ “เอ๋ นี่มันไทเกอร์คลอว์ไม่ใช่เหรอ!”
“เจ้าดูสิ เจ้านี่แทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย ยังผอมเหมือนเดิม” ไทเกอร์คลอว์กอดเขาเอาไว้แน่นเหมือนกัน “อย่าบอกข้านะว่าเจ้าวิ่งมา”
“แค่ก แค่กๆ…เบาหน่อย” ดอนยิ้มแห้งๆ “ข้านั่งรถม้าของขบวนสินค้าของเถ้าแก่มาต่างหาก ถ้าไม่เป็นเพราะซันฟลาวเวอร์บังคับข้ามา ข้าก็ไม่อยากจะมาที่นี่หรอก”
“เจ้าเป็นพ่อค้าแล้วเหรอ?”
“ก็แค่เด็กรับใช้เท่านั้น” เขาเกาหัวอย่างเขินๆ
“เจ้านี่มันอ่านออกเขียนได้” ซันฟลาวเวอร์เบะปาก “ตอนอยู่ในชั้นเรียนก็เรียนได้เร็วกว่าคนอื่น หลังสอบผ่านก็ถูกสมาคมหอการค้าแห่งหนึ่งจ้างไป วันๆ เอาแต่นั่งทำบัญชีอยู่ในห้อง สบายจะตาย”
“อย่างนี้นี่เอง แต่เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าคิดถึงพวกเจ้าจริงๆ” ไทเกอร์คลอว์หัวเราะขึ้นมา “ไป พวกเราไปดื่มฉลองให้ซันฟลาวเวอร์กันที่เนเวอร์วินเทอร์ดีกว่า!”
“ได้มันก็ได้อยู่หรอก แต่ว่า…” ดอนมองซ้ายมองขวา “เขี้ยวงูล่ะ? หรือว่าเขาไม่ได้ลงแข่งด้วย?”
ซันฟลาวเวอร์รู้สึกใจเต้นขึ้นมาทันที
ความจริงเธออยากจะถามคำถามนี้แต่แรกแล้ว แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะแสดงออกมากเกินไป ในเวลานี้เธอจึงแกล้งทำเป็นหยอกเหมือนไม่ได้คิดอะไร “คงไม่ใช่ว่าเขาถูกเจ้าทิ้งไว้ข้างหลัง แล้วกลับบ้านไปก่อนหรอกนะ?”
“เขาน่ะเหรอ…ไปสร้างทางรถไฟอยู่ในป่าเร้นลับโน่น” ไทเกอร์คลอว์ตอบ “ถึงแม้ค่าจ้างจะดี แต่ถ้าไม่ระวังก็อาจต้องเอาชีวิตไปทิ้งก็ได้ แบบนั้นหาเงินได้เยอะแล้วมีประโยชน์อะไร? เมื่อก่อนแม้แต่ท่อน้ำก็ยังเคยอยู่มาแล้วเลย ตอนนี้มีบ้านให้อยู่กลับไม่พอใจ บอกว่าจะเอาบ้านสองห้องอะไรนั่น ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่”
เพราะว่านั้นมันเป็นที่อยู่อันแสนอบอุ่นสำหรับครอบครัว ไม่ใช่แค่ที่ๆ เอาไว้หลบลมหลบฝนน่ะสิ ซันฟลาวเวอร์คิดในใจอย่างเจ็บปวด “ก็เพื่อเปเปอร์น่ะสิ”
“เปเปอร์?” ไทเกอร์คลอว์พูดงงๆ
“เฮ้ อย่าบอกนะว่าแม้แต่เปเปอร์เจ้าก็ลืมไปแล้ว” ดอนกระทุ้งเขาไปทีหนึ่ง “นางเป็นเพื่อนของเรานะ”
“ข้ารู้ แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับนาง?” ไทเกอร์คลอว์พูดอย่างงุนงง “ตอนนี้เปเปอร์เข้าไปอยู่ในสโมสรแม่มด นางพักอยู่ในเขตปราสาท ไม่มีความจำเป็นต้องให้เราซื้อบ้านให้นี่นา ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเขี้ยวงูนี่ก็แปลก มีโอกาสได้เจอเปเปอร์ตั้งหลายครั้ง แต่กลับไม่กล้าเข้าไปทักนาง แถมยังลากข้าไปหลบด้วย จนถึงตอนนี้นางยังไม่รู้เลยว่าพวกเรามาที่นี่แล้ว”
“อะไรนะ?” ซันฟลาวเวอร์ตกตะลึง “หรือว่าที่ผ่านมาสองปีกว่า พวกเจ้าไม่เคยไปเจอเปเปอร์เลย?”
ไทเกอร์คลอว์ส่ายหัวอย่างจนปัญญา
“พรืด….ฮ๋าๆๆๆๆ” ซันฟลาวเวอร์หัวเราะลั่น “เขานี่มันซื่อบื้อจริงๆ!” ไม่รู้ทำไม เธอพลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมา แม้แต่เท้าก็รู้สึกเบาขึ้นกว่าเดิม
“ซันฟลาวเวอร์ เบาๆ หน่อย” ดอนรีบพูดขึ้นมา “คนอื่นกำลังมองเราอยู่นะ”
แต่ซันฟลาวเวอร์ก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เธอกลับโบกไม้โบกมือให้กับคนอื่นที่เดินอยู่ คนชาวบ้านเหล่านั้นก็พากันส่งยิ้มให้เธอ
ผู้คนต่างมองว่าเธอเป็นสาวน้อยแชมเปี้ยน
“มีชื่อเสียงนี่มันดีจริงๆ…” ไทเกอร์คลอว์อุทานออกมา “เมื่อสองปีก่อน ข้านึกไม่ออกเลยว่าเราจะมีวันนี้ได้”
“เทียบกับชื่อเสียงแล้ว เงิน 100 เหรียญทองนี่ต่างหากที่สำคัญกว่า” ดอนมีมุมมองที่ต่างออกไป “ถ้าเอามันมาทำการค้าล่ะก็ รายได้ต้องดีกว่าไปทำงานแน่ ต่อให้เราทำอะไรไม่เป็น เราก็ยังหาหอการค้าร่วมลงทุนก็ได้ ถ้าเกิดทุกอย่างไปได้ดี เราก็นอนรอรับเงินได้เลย”
“ไม่ ข้าจะซื้อบ้าน” ซันฟลาวเวอร์พูดตัดบท “ที่เมืงชายแดน”
“เอ๋?” ดอนงุนงง “แต่โอกาสแบบนี้มันไม่ได้หาง่ายๆ นะ! ถ้าเกิดเราเริ่มทำจากศูนย์ เจ้ารู้ไหมว่าต้องใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะเก็บเงินได้ 100 เหรียญทอง!”
“ข้ารู้ แต่ข้าตัดสินใจแล้ว” ซันฟลาวเวอร์ตอบอย่างไม่ลังเล
“แล้วงานของเจ้าจะทำยังไง?”
“ดังนั้นข้าจะซื้อจักรยานอีกคันหนึ่ง” เธอพูดสิ่งที่เธอคิดออกมาว่า “เจ้าก็เห็นแล้วนี่นา เจ้าจักรยานนั้นขี่แล้วสบายแค่ไหน ถ้ามีจักรยาน ภายในวันเดียว…ไม่สิ ภายในช่วงเช้าข้าก็ไปถึงเขตลองซองได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นจดหมายที่ส่งระหว่างสองที่ก็มีจำนวนเยอะมากด้วย ไม่แน่ข้าอาจจะได้เงินเยอะขึ้นก็ได้”
“เจ้า…” ดอนมองเธออยู่นาน สุดท้ายถึงถอนใจออกมาเหมือนยอมแพ้ “แล้วแต่เจ้าล่ะกัน ยังไงซะข้าก็ไม่เคยพูดกล่อมเจ้าได้อยู่แล้ว”
ซันฟลาวเวอร์ยิ้มขึ้นมา แต่ภายในใจกลับนึกย้อนไปถึงเมื่อสองปีก่อน
นั่นคือวันจากลา
ทั้งสี่คนยืนอยู่ที่ท่าเรือ เธอเคยถามเขี้ยวงูว่า ‘พวกเจ้าจะกลับมาไหม’ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา
ในตอนนั้นเธอรู้สึกว่าชาตินี้เธอคงจะไม่ได้เจออีกฝ่ายแล้ว
เมืองชายแดนกับป้อมปราการลองซองอยู่ไกลกันขนาดนี้ ต่อให้รวมกันเป็นเมืองเดียว เธอก็ยังมองว่ามันไกลกันอย่างมากอยู่ดี
เพราะที่ๆ ไกลที่สุดที่พวกเขาเคยได้ก็คือกองขนะที่อยู่นอกเมืองลองซอง
เมืองชายแดน ในความคิดเธอนั้นคือสถานที่ที่ไกลจนไม่อาจไปถึงได้
แต่ด้วยความเย้ายวนของเงินรางวัลจากการแข่งขัน ซันฟลาวเวอร์ถึงได้ก้าวเข้ามาเหยียบบนถนนหลวงของอาณาจักรเป็นครั้งแรก และเพื่อที่จะสร้างความกล้าให้ตัวเอง เธอยังได้บังคับให้ดอนมาด้วย
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าระยะห่างระหว่างสองที่นั้นได้เปลี่ยนแปลงความเชื่อที่มีอยู่เดิมของเธอไป เมื่อเทียบกับการคว้าอันดับหนึ่งมาแล้ว สิ่งที่ทำให้ซันฟลาวเวอร์รู้สึกแปลกใจมากกว่าก็คือที่แท้เธอไม่ได้อยู่ไกลจากเขี้ยวงูเหมือนอย่างที่เธอคิดเอาไว้เลย ไม่มีทั้งทางภูเขาที่ต้องเดินอ้อม แล้วก็ไม่มีถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ถนนหินสีดำให้เชื่อมต่อระหว่างสองที่เป็นเส้นตรง นี่เป็นครั้งแรกของเธอที่คิดว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นเมืองอย่างแท้จริง
ในเมื่อเป็นแบบนี้ แล้วทำไมเธอยังต้องรอให้อีกฝ่ายกลับมาล่ะ?
แค่ตัวเองไปหาอีกฝ่ายก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?
ก็เหมือนกับที่ฝ่าบาทตรัสเอาไว้
คำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ บางทีอาจจะเป็นโซ่ตรวนที่เอาไว้ให้เราทำลาย ถ้าไม่ลองดู แล้วจะรู้ได้ยังไงว่ามันใช่ปาฏิหาริย์หรือเปล่า?
“ไปหาร้านเหล้ากัน ข้าเลี้ยงพวกเจ้าเอง” ซันฟลาวเวอร์ตบถุงเงิน
“โว้ว!” ไทเกอร์คลอวกำหมัดแน่น “เสียดายที่เจ้าเขี้ยวงูมันไม่มาสนุกกับเราด้วย”
“อย่าลืมกลับไปเก็บเงินที่โรงแรมก่อน” ดอนพูดเตือน เอาไปแค่ 4 – 5 เหรียญทองก็พอแล้ว!”
“รู้แล้วน่า” ซันฟลาวเวอร์พูดยิ้มๆ
เธอไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร แต่เธอก็อยากจะลองดู
เพราะเธอชื่นชอบความรู้สึกที่ได้ไล่ตามปาฏิหาริย์แบบนี้แล้ว
ตอนที่ 1068
ปฏิบัติการคบเพลิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เช้าวันถัดมาหลังงานแข่งขันกีฬาจบลง ในตอนที่โรแลนด์ก้าวเข้ามาในห้องประชุม เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ พากันลุกขึ้นยืนทำความเคารพ
“นั่งลงเถอะ” เขาเดินไปยังเก้าอี้ของตัวเอง ก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าทุกคนคงจะรู้อยู่แล้วว่าข้าเรียกพวกเจ้ามาทำไม….สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว!”
“นี่ไม่ได้เป็นเกี่ยวพันถึงกองทัพเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นับแต่นี้ไป ข้าอยากจะให้ผู้รับผิดชอบของทุกๆ หน่วยงานมีความเข้าใจอย่างคร่าวๆ ในเรื่องทิศทางและสถานการณ์ของสงคราม แล้วก็แสดงศักยภาพของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่เพื่อรับมือกับการทำสงครามในครั้งนี้!” เขาพูดช้าๆ ชัดๆ “ตั้งแต่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก่อตั้งขึ้นมาจนถึงตอนนี้ ทุกคนต่างทำผลงานได้ดีมาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสงครามแห่งโชคชะตา ทุกอย่างที่เราทำมาอาจจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ ถ้าไม่ยึดเอาซากเมืองทาคิลามา หมอกแดงก็จะปกคลุมไปทั่วทั้งทวีป เมื่อถึงตอนนั้นปีศาจก็แข็งแกร่งจนไม่สามารถหยุดมันได้ ดังนั้นศึกครั้งนี้เราต้องชนะเท่านั้น!”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” บารอฟและคนอื่นๆ ตอบรับขึ้นมา
“ดีมาก” โรแลนด์มองไปทางเอดิธส์ “ต่อไปทางหน่วยบัญชาการเสนาธิการทหารใหญ่จะมาอธิบายถึงแนวทางกลยุทธ์ในการทำสงครามอย่างละเอียด”
“เพคะ ฝ่าบาท” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือลุกขึ้นทำความเคารพ “หม่อมฉันขออนุญาตใช้แผนที่ประกอบในการอธิบายนะเพคะ”
เธอเดินไปด้านล่างโรแลนด์ แล้วเคาะไปยังแผนที่ที่อยู่ด้านหลัง หลังผ่านการแก้ไขและเพิ่มเติมมาหลายครั้ง แผนที่นี้ก็แทบจะเก็บรายละเอียดของแผ่นดินรกร้างเอาไว้จนหมด เมืองเนเวอร์วินเทอร์จากที่ตอนแรกเป็นจุดกึ่งกลางของแผนที่ ตอนนี้กลายเป็นจุดเล็กๆ จุดหนึ่งที่อยู่ริมขอบแผนที่เท่านั้น ไม่ว่าใครได้ดูแผนที่นี้ก็จะรับรู้ได้ถึงความเล็กของที่อยู่อาศัยของมนุษย์ และนี่ก็เป็นหนึ่งในความตั้งใจเริ่มแรกของโรแลนด์
เขาอยากจะให้เหล่าเสนาบดีของตัวเองมองโลกให้กว้างมากกว่าเดิม ไม่ใช่เอาแต่ลุ่มหลงอยู่กับผลประโยชน์เล็กน้อยของตัวเอง
“อันดับแรก สงครามครั้งนี้จะไม่เหมือนกับสงครามครั้งผ่านๆ มาของเรา มันจะเป็นสงครามที่กินระยะเวลายาวนาน” เอดิธส์พูดตรงๆ “ข้าอยากให้ทุกคนรู้ว่าเราไม่อาจจบสงครามได้อย่างรวดเร็วเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว”
กลยุทธ์บดบังทัศนวิสัยที่เคยใช้ตอนทำศึกนอร์ธบาวด์นั้นไม่สามารถใช้ซ้ำได้แน่นอน ระยะห่างระหว่างป่าเร้นลับกับเมืองทาคิลานั้นไกลกว่าหอสังเกตการณ์ที่ถูกทำลายไปก่อนหน้า เวลาที่ต้องใช้ในการปูรางเหล็กอย่างน้อยๆ ก็เป็นเดือน ดังนั้นจึงไม่มีทางที่ปีศาจจะไม่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของกองทัพอย่างแน่นอน
บนที่ราบลุ่มบริบูรณ์อันกว้างใหญ่ ศัตรูมีความได้เปรียบในเรื่องความคล่องตัวที่มากกว่า ด้วยเหตุนี้โรแลนด์จึงล้มเลิกความคิดที่จะคว้าชัยชนะจากการลอบโจมตี แล้วเปลี่ยนมาใช้วิธีเคลื่อนทัพไปเผชิญหน้ากับปีศาจตรงๆ
ซึ่งแผนการนี้ทุกคนต่างก็รู้กันอยู่ก่อนแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครที่ดูแปลกใจ
มีเพียงบารอฟที่ถามขึ้นมาว่า “อย่างนั้นพวกเจ้าได้ประเมินระยะเวลาเอาไว้หรือเปล่า?”
“นี่ขึ้นอยู่กับการตอบโต้ของปีศาจ” เอดิธส์พูดอย่างไม่ลนลาน “ทางทีมที่ปรึกษาได้วานให้แม่มดทาคิลาจำลองเหตุการณ์ขึ้นมาหลายครั้ง สมมติว่าปีศาจบุกโจมตีเข้ามาอาทิตย์ละครั้ง อีกทั้งขนาดในการบุกโจมตีของปีศาจในแต่ละครั้งก็มีความใกล้เคียงกับศึกนอร์ธบาวด์ล่ะก็ อย่างนั้นพวกเราก็จะสามารถเอาปืนใหญ่ป้อมไปวางไว้ตรงหน้ามันได้ในเวลา 3 เดือน”
“แต่พวกมันไม่ได้โง่ พวกมันไม่มีทางหลงกลซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอก”
“ถูกต้อง ข้าคิดว่าไม่นานปีศาจจะต้องรู้แน่ว่ารางเหล็กมันเอาไว้ทำอะไร แล้วก็สังเกตเห็นถึงป่าเร้นลับที่ตั้งอยู่ด้านหลังด้วย แต่พวกเราก็ไม่ใช่ว่าไม่มีการเตรียมตัว เพราะว่าในสงครามนั้นมีตัวแปรที่ไม่แน่นอนมากมาย ดังนั้นข้าจึงอยากให้ทางสำนักบริหารจัดเตรียมทรัพยากรเอาไว้รับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด”
“สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด…” บารอฟขมวดคิ้วขึ้นมา
“รบกันตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงฤดูหนาว จนกระทั่งเดือนแห่งปีศาจรอบใหม่มาถึง” เอดิธส์ตอบ
“อย่างนั้นมันก็เท่ากับแพ้ไม่ใช่เหรอ?” บารอฟแสยะยิ้มออกมา “นี่ัมันไม่เป็นไปตามพระประสงค์ของฝ่าบาท”
“ขอเพียงไปถอนทัพ สงครามก็ไม่ถือว่าสิ้นสุด อย่างมากก็เรียกได้ว่ายื้อไว้เท่านั้น” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือยิ้มเล็กน้อย “เมื่อหิมะละลายในปีถัดไป เราก็บุกต่อ” เมื่อเห็นหัวหน้าสำนักบริหารทำสีหน้าแย่ เธอจึงพูดเสริมต่อว่า “แต่ความเป็นไปได้ที่จะเกิดสถานการณ์แบบนี้มีไม่สูงนัก เพราะว่าความเร็วในการฟื้นตัวของปีศาจไม่อาจสู้ความเร็วในการผลิตกระสุนได้ ข้าเองก็แค่คิดเผื่อเอาไว้เท่านั้น”
บารอฟนิ่งเงียบไปครู่ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าต้องการให้รวบรวมเสบียงจากเมืองต่างๆ เพื่อมาเป็นเสบียงสำรอง เมล็ดพันธุ์ทองคำหมายเลขสองได้แจกจ่ายไปทั่วทั้งอาณาจักรแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดคาด ผลผลิตในปีนี้น่าจะได้ไม่น้อยทีเดียว ถ้าเก็บรวบรวมพวกมันมาก็น่าจะพอให้กองทัพที่หนึ่งได้กินไปปีนึง”
“ไม่มีปัญหา” เซนจ์ ดาลีหัวหน้ากองการเกษตรตอบ “อีกเดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายแจ้งไปยังสำนักงานเมืองของแต่ละที่”
“กองอุตสาหกรรมเคมีก็ต้องทำการปรับเปลี่ยนเหมือนกัน” บารอฟพูดต่อ “พยายามผลิตดินปืนและระเบิดให้เพียงพอต่อความต้องการ”
“คนงานก็มีอยู่เท่านี้ นอกเสียจากต้องลดการผลิตน้ำหอมกับสบู่ลง” เคโม ซูอีลหัวหน้ากองอุตสาหกรรมเคมีพูด
“บางทีพวกเราอาจจะยืมตัวนักเล่นแร่แปรธาตุจากอาณาจักรเพื่อนบ้านให้มาช่วยทางเกรย์คาสเซิล…” เขามองไปทางโรแลนด์ “กระหม่อมได้ยินมาว่าที่อาณาจักรดอว์นก็มีการเล่นแร่แปรธาตุเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ที่เมืองกลอรีทั้งหมด แต่ถ้าได้ฝ่าบาทออกหน้า ราชาแห่งดอว์นคนนั้นน่าจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นเขาคงจะไม่คิดเรื่องระยะเวลาในการยืมตัวนักเล่นแร่แปรธาตุด้วย นอกจากนี้…กองทัพที่หนึ่งยังมีกำลังพลประจำอยู่ที่เคจเมาเธ่นอีกร้อยกว่าคน เช่นนี้เราก็น่าจะยืมตัวนักเล่นแร่แปรธาตุจากอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทและอีเทอร์นอลวินเทอร์มาได้อีกพ่ะย่ะค่ะ”
“ตามหลักแล้วไม่มีปัญหา” โรแลนด์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เขียนแผนออกมาตามที่เจ้าว่า”
ท่าทีของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกชื่นชมอย่างมาก
ในช่วงแรกของการรวมอาณาจักร เขาเคยคิดว่าอาจจะต้องใช้เวลา 2 – 3 ปีกว่าปีระบบการปกครองแบบใหม่จะแสดงประสิทธิภาพของมันออกมาได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงความคิดที่ฝังแน่นอยู่ในหัวนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบาก เวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา คนเหล่านี้เคยชินกับกฎเกณฑ์ที่ว่าอำนาจในการตัดสินเรื่องทุกเรื่องในดินแดนจะตกเป็นของผู้นำดินแดน และผู้นำดินแดนแต่ละที่จะไม่ก้าวก่ายกัน การที่จะบอกให้พวกเขาเปิดหูเปิดตาแล้วมองดินแดนอื่นเป็นหมากให้ใช้งานนั้นถือเป็นเรื่องที่ยากมาก
แต่เขาก็พบว่าตัวเองนั้นประเมินความเย้ายวนของอำนาจต่ำไป
หลังจากที่อำนาจที่อยู่ในมือขยายใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ต่อให้ไม่รู้ถึงแก่นแท้ในการเปลี่ยนแปลงของมัน เขาพวกเขาก็พยายามที่จะใช้มัน บารอฟนั้นคือคนที่ทำมันได้ดีที่สุด
เขาไม่เพียงแต่จะมองเห็นอาณาจักรดอว์น แต่เขายังคิดไปถึงการใช้อิทธิพลของกองทัพที่หนึ่งด้วย ทำให้มีโอกาสในการเอาทรัพยากรมาจากสถานที่ที่อยู่ไกลออกไป
กระทั่งทุกคนคุยกันจบแล้ว เอดิธส์จึงพูดต่อว่า “แต่การทำลายฐานที่มั่นของปีศาจเพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่พอ เนื่องด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเราจึงจำเป็นต้องพยายามกำจัดศัตรูให้สิ้นซากทั้งหมด ดังนั้นก่อนจะเปิดฉากการโจมตีครั้งสุดท้าย พวกเราจำเป็นต้องตัดทางหนีของศัตรูทั้งหมด ทั้งทางอากาศและภาคพื้นดิน ซึ่งในจุดนี้ก็มีแต่แม่มดเท่านั้นที่ทำได้”
“เหตุผล…บางอย่าง?” บารอฟพูดอย่างงุนงง “การอ้อมไปด้านหลังจะทำให้พวกนางมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นไม่ใช่เหรอ?”
“เพราะว่าคำสาป” โรแลนด์พูดต่อ “ในศัตรูมีปีศาจระดับสูงอยู่ตัวหนึ่งที่สามารถใช้คำสาปเวทมนตร์จากในระยะไกลได้ หลักการใช้งานของมันก็ยังไม่อาจรู้ได้ชัดเจน แต่มีความเป็นไปได้สูงว่ามันจะคล้ายๆ กับผ้าคลุมดำที่เป็นแม่มดของศาสนจักร ถ้าปล่อยให้มันหนีไปได้ ต่อให้กองทัพที่หนึ่งชนะก็คงชนะโดยมีความเสียหายที่หนักมาก”
ภายในห้องประชุมมีเสียงอุทานตกใจขึ้นมา
เพียงแค่การสบตาก็สามารถสังหารกองทัพที่หนึ่งไปได้ 700 กว่าคน เรียกได้ว่าเป็นความเสียหายที่รุนแรงที่สุดนับแต่ก่อตั้งกองทัพขึ้นมา ทำให้ทุกคนต่างจดจำชื่อผ้าคลุมดำได้เป็นอย่างดี
ถ้าปีศาจสามารถใช้คำสาปผ่านทางดวงตาได้เหมือนกัน อย่างนั้นการกำจัดมันก่อนจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
โรแลนด์มองไลต์นิ่งที่นั่งก้มหน้าอยู่ตรงปลายโต๊ะ ก่อนจะถอนใจออกมา
เขาเดาความรู้สึกภายในใจของอีกฝ่ายออก
การที่ให้พี่น้องคนอื่นๆ ต้องไปเสี่ยงเพื่อตัวเอง ต่อให้คนอื่นไม่ว่าอะไร แต่เธอก็คงจะรู้สึกผิดอย่างมาก
แต่ตอนนี้มันไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
โรแลนด์ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ “สรุปแล้ว เป้าหมายในการออกรบครั้งนี้ก็คือทำลายเสาโอเบลิสก์ให้สิ้นซากก่อนที่สงครามแห่งโชคชะตาจะมาถึงและตัดกำลังในการรบของพวกปีศาจ ปฏิบัติการนี้จะชื่อว่า ‘คบเพลิง’ มันจะเป็นทั้งไฟที่ดับแสงแห่งความหวังของพวกปีศาจและส่องสว่างไปบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ ขอให้ทุกคนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะขยายเขตแดนให้กับเกรย์คาสเซิล!”
ทุกคนต่างยืนขึ้นทำความเคารพ
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
ตอนที่ 1069
ในนามของอัศวินอากาศ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองเนเวอร์วินเทอร์ ลานฝึกบิน
“เร็ว เร็ว! เดินเร็วๆ รักษาสมดุลของร่างกายเอาไว้!”
“ขาเจ้าอ่อนปวกเปียกกว่าเด็กอีก!”
“ทิศทาง ระวังทิศทางของเจ้าเอาไว้!”
“เฮ้ย เจ้าเดินไปทางไหนเนี่ย? ข้าน่าจะเอาเตาไฟมาตั้งไว้ทั้งสองข้างจริงๆ”
“จะอ้วกก็ไปอ้วกที่อื่น อย่ามาอ้วกใส่แผ่นไม้ ไม่งั้นข้าจะให้เจ้าเลียมันให้หมดเลย!”
“คนต่อไป กู๊ด!”
“ขอรับ!” กู๊ดตั้งสติขึ้นมา เขาสูดหายใจพร้อมเดินไปที่เก้าอี้หมุน
สีหน้าเยือกเย็นของอีเกิลเฟสที่เป็นครูฝึกสะท้อนเข้ามาในตาของเขา
แม้จะแค่สบตากัน แต่กู๊ดก็ยังรู้สึกเย็นยะเยือก ได้ยินว่าเดิมอีกฝ่ายเป็นผู้บังคับบัญชาของกองรักษาการณ์ดินแดนทางเหนือ หลังจากย้ายกลับมาเมืองเนเวอร์วินเทอร์ เขาก็เข้าร่วมการตรวจสอบภายในกองทัพและกลายมาเป็นหนึ่งในทีมกำลังสำรองอัศวินอากาศ นี่หมายความว่าเขาไม่เพียงแต่จะเคยผ่านศึกสู้กับศาสนจักรมาแล้ว แต่เขายังทิ้งวันหยุดที่ควรจะมี แล้วมาทำการฝึกซ้อมใหม่ทั้งหมด
พูดอีกอย่างคือเขาไม่เพียงแต่จะโหดร้ายกับคนอื่น แต่ยังโหดร้ายกับตัวเองด้วย
การที่ถูกคนแบบนี้จ้องมองทำให้เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล
ในขณะที่เขาเพิ่งนั่งลง ฟินกิ้นและฮายส์ซึ่งเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันก็เดินเข้ามาหาเขา
บนใบหน้าพวกเขา กู๊ดมองเห็นสีหน้าของเพื่อนที่เหมือนจะบอกว่านายเสร็จฉันแน่
จากนั้นเก้าอี้ก็ถูกหมุนอย่างรวดเร็ว
นี่คือการฝึกซ้อมที่น่าปวดหัวมากที่สุดนับตั้งแต่ที่เขาเข้ามาอยู่ในกองกำลังสำรอง ตรงหน้าเก้าอี้มีแผ่นไม้ที่ยาวห้าเมตร กว้างหนึ่งฝ่ามือวางอยู่แผ่นหนึ่ง โดยครูฝึกเรียกมันว่าสะพานลอย ซึ่งเขาจะถูกหมุนอยู่ประมาณครึ่งนาที จากนั้นก็ต้องขึ้นไปเดินบนแผ่นไม้
ปกติแล้วไม่ว่าใครก็สามารถเดินข้ามมันได้สบายๆ แต่พอถูกหมุนไปแล้ว ร่างกายจะเหมือนศูนย์เสียจุดศูนย์ถ่วงไป ภาพที่อยู่ตรงหน้าหมุนไปมา อย่าว่าแต่สะพานลอยเลย แม้แต่จะยืนนิ่งๆ อยู่กับที่ก็ยังทำได้ยาก ปกติอีเกิลเฟสจะแบ่งการฝึก 10 ครั้งให้เป็น 1 เซต คนที่ทำคะแนนได้แย่จะถูกลงโทษให้ ‘ล้างห้องน้ำ’ หรือ ‘ตัดหญ้า’อะไรทำนองนั้น หรือไม่ก็ต้องฝึกทั้งวันในวันหยุดพักผ่อน
กู๊ดเคยถูกลงโทษมาแล้วครั้งหนึ่ง
ผลปรากฏว่าคนอื่นๆ ได้กินอาหารเย็นอย่างมีความสุข แต่เขาต้องมานั่งอ้วกอยู่ในห้อง
เขาไม่อยากจะเจอประสบการณ์แย่ๆ แบบนั้นเป็นครั้งที่สองแล้ว
“หยุด!”
สิ้นเสียงคำสั่ง เก้าอี้ก็หยุดหมุนทันที กู๊ดพยายามฝืนความรู้สึกวิงเวียนในหัวเอาไว้ ก่อนจะกระโดดลงมาจากเก้าอี้
“เร็ว! อย่ามัวงง เดินไป!”
เขากัดฟัน เงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเดินโงนเงนขึ้นไปบนแผ่นไม้ แล้วเดินไปยังปลายอีกด้านหนึ่ง หลังฝึกซ้อมมาสิบกว่าวัน เขาก็พบเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ อย่างหนึ่ง นั่นก็คือการจ้องมองดูตรงเท้าของตัวเองกลับจะทำให้เสียสมดูลได้ง่าย สิ่งที่ควรทำก็คือมองตรงไปข้างหน้า แล้วใช้การจดจำของร่างกายในการควบคุมเท้าของตัวเอง
ตอนที่เท้าสัมผัสได้ถึงพื้นแข็งๆ กู๊ดก็รู้ทันทีว่าตัวเองได้เดินผ่านสะพานลอยมาเรียบร้อยแล้ว
“สะ สุดยอดไปเลย…”
“เท้าไม่หลุดออกมาจากแผ่นไม้เลย!”
“เขาเป็นคนแรกเลยใช่หรือเปล่า?”
ด้านหลังมีเสียงพูดคุยดังขึ้นมาทันที
เขาหมุนตัวกลับไปมองอีเกิลเฟส ส่วนอีกฝ่ายก็ยิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย “ดีมาก ดูเหมือนพวกเจ้าจะไม่ได้โง่จนช่วยอะไรไม่ได้”
“แต่ว่า!” ครูฝึกชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป “จนถึงตอนนี้กลับมีแค่คนเดียวที่ผ่าน ผลงานอันนี้เรียกได้ว่าแย่ที่สุดในบรรดาทุกหมู่! องค์หญิงทิลลีเคยตรัสเอาไว้ คนที่จะเป็นอัศวินอากาศได้มีเพียงแค่หยิบมือเดียว ถ้าพวกเจ้าไม่อยากถูกคนอื่นเขี่ยทิ้งแล้วกลับไปทำงานเป็นกรรมกรตลอดชีวิต พวกเจ้าก็จงตั้งใจฝึกให้หนักขึ้นเป็นเท่าตัว พัก 5 นาที แล้วฝึกใหม่อีกเซต!”
ทุกคนส่งเสียงโอดครวญออกมาทันที
“เฮ้ เจ้าทำได้ยังไงน่ะ?” ฟินกิ้นเดินเข้ามาหากู๊ดพร้อมเล่นหูเล่นตา
“จำการก้าวของเท้าเอาไว้ แล้วก็คิดเสมือนว่าตัวเองไม่ได้เวียนหัว จากนั้นก็เดินไปธรรมดา”
“คิดแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?” ฮายส์เองก็เดินเข้ามา “อย่างนั้นมันก็เท่ากับหลอกตัวเองน่ะสิ?”
ทั้งสองคนต่างก็เป็นผู้สมัครที่ผ่านการทดสอบในกลุ่มเดียวกับกู๊ด ด้วยเหตุนี้แค่ไม่กี่วันพวกเขาจึงสนิทกัน บวกกันอัศวินอากาศจะทำการแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละ 3 คน พวกเขาจึงได้อยู่ด้วยกัน ตอนนี้พวกเขาแทบจะกลายเป็น ‘สหายร่วมรบ’ ที่ตัวติดกัน
“เจ้าจะไปสนใจทำไมล่ะว่าหลอกตัวเองหรือเปล่า แค่ผ่านการฝึกก็พอแล้ว” กู๊ดเขกหัวอีกฝ่าย “ปกติแล้วคนยิ่งฉลาดก็จะยิ่งหลอกตัวเองได้ยาก แต่พวกเจ้าน่าจะทำได้ง่ายๆ”
“พอเลย” ฟินกิ้นพูดเหมือนไม่ยอมรับ “ผ่านแค่ครั้งเดียวเอง อย่าได้ใจไปหน่อยเลย”
“พนันกันไหม เดี๋ยวเซตต่อไป ข้าสามารถเดินผ่านได้สาม….ไม่สิ ห้าครั้ง!”
“ถ้าเจ้าทำได้ ข้าจะเป็นคนซักเสื้อผ้าของอาทิตย์นี้เอง!”
“กางเกงในก็นับ?”
“เอ่อ…”
“พวกเจ้าไม่ต้องเถียงกันแล้ว” ฮายส์พูดแทรก “สิ่งที่ข้าอยากรู้ก็คือการฝึกพวกนี้มันจะทำให้เรากลายเป็นอัศวินอากาศได้จริงๆ เหรอ?”
ทั้งสองคนเงียบไปทันที คำถามนี้ก็เป็นความสงสัยของสมาชิกทุกคนในกองกำลังสำรองเหมือนกัน ทั้งเดินผ่านสะพานไม้ กลิ้งไปข้างหน้า แยกแยะทิศทางลม…แทนที่จะบอกว่ากำลังฝึกอัศวิน มันเหมือนพวกเขากำลังเล่นกายกรรมมากกว่า องค์หญิงที่บอกว่าจะมาฝึกสอนให้ก็ไม่เห็นเสด็จมา กลายเป็นว่าพระองค์ทรงสอนเหล่าทหารของกองทัพที่หนึ่ง จากนั้นก็ให้พวกเขามาเป็นคนคุมการฝึกแทน
บวกกับการฝึกซ้อมค่อนข้างลำบาก พวกเขาต้องฝึกตั้งแต่เช้ายันเย็น ตอนกลางคืนก็ต้องมานั่งเรียนการอ่านการเขียน ถ้าไม่เป็นเพราะองค์หญิงทิลลีเคยให้สัญญาเอาไว้ เกรงว่าคนด้วยใหญ่คงสงสัยแล้วว่าเรื่องอัศวินอากาศนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่
แต่ด้วยท่าทีที่เข้มงวดของครูฝึก ทำให้ไม่มีใครที่จะถามเรื่องนี้ออกมาตรงๆ
“ใครจะไปรู้ล่ะ” ผ่านไปครู่หนึ่งฟินกิ้นจึงยักไหล่ขึ้นมา “อย่างน้อยอาหารการกินของที่นี่ก็ถือว่าดีมาก ไม่เพียงแต่จะได้กินเนื้อทุกคน แต่สุดสัปดาห์ยังมีอาหารพิเศษด้วย”
“ข้าคิดว่า…องค์หญิงไม่มีทางหลอกพวกเราหรอก” กู๊ดพูดเสียงเข้มขึ้นมา “วันนั้นพวกเราต่างก็ได้หนังสือไปคนละห่อไม่ใช่เหรอ น้องสาวของข้าบอกข้าว่ามีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อทฤษฎีการบินอะไรเนี่ยแหละ…นั่นเป็นหนังสือที่องค์หญิงทรงเขียนขึ้นมา เอาไว้พวกเราอ่านเขียนได้แล้ว บางทีพวกเราอาจจะเข้าใจก็ได้ว่าทำไมถึงต้องฝึกแบบนี้”
“เจ้านี่มันมองโลกในแง่ดีจริงๆ” ฟินกิ้นยิ้มขึ้นมา
“ถ้าไม่คิดแบบนี้ ข้าคงตายไประหว่างทางที่เร่ร่อนอยู่ข้างนอกแล้ว”
“เอาล่ะ หมดเวลาพักแล้ว!” ทันใดนั้นเอง เสียงของอีเกิลเฟสก็ดังกลบเสียงพูดคุยของทุกคน “มาตั้งแถวแล้วฝึกตามลำดับก่อนหน้านี้อีกครั้ง!”
“รับทราบ…” ทุกคนตอบรับอย่างอ่อนเพลีย
แต่ทันใดนั้นก็มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น
จู่ๆ ประตูห้องฝึกซ้อมก็ถูกเปิดออก ผู้ชายใส่เครื่องแบบทหารคนหนึ่งเดินเข้ามา ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูอีเกิลเฟสสองสามประโยค
อีเกิลเฟสพยักหน้า หลังทำวันทยหัตถ์กับอีกฝ่ายแล้ว เขาก็หันหน้ามามองทุกคน
“ขอแสดงความยินดีด้วย การฝึกซ้อมหลังจากนี้ยกเลิก พวกเจ้าพักต่อได้”
ฟินกิ้นกับฮายส์ถอนหายใจออกมา มีเพียงกู๊ดเท่านั้นที่กลั้นหายใจ เขามองเห็นรอยยิ้มแปลกๆ บนใบหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน ในนั้นมีทั้งการเย้ยหยัน ล้อเล่น และ…มีความสุขที่ได้เห็นคนอื่นทรมาน?
“แต่ไม่ใช่ที่นี่” อีเกิลเฟสพูดต่อ “อย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้นะว่าพวกเจ้าแอบไปบ่นอะไร แต่เสียดายที่ต่อให้ข้าอธิบายยังไง หัวสมองทื่อๆ ของพวกเจ้าก็ไม่มีทางเข้าใจอยู่ดี แต่วันนี้โชคของพวกเจ้ามาถึงแล้ว พวกเจ้ากำลังจะได้เห็นความหมายที่แท้จริงของอัศวินอากาศด้วยตาของพวกเจ้าเอง”
ความหมายที่แท้จริง….ของอัศวินอากาศ?
กู๊ดรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา
“ตามข้ามา” อีเกิลเฟสค่อยๆ กวาดตามองทุกคน “อย่าตกใจกลัวจนเยี่ยวรดกางเกงล่ะ
ตอนที่ 1070
ปีกที่โบยบิน (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทุกคนเดินออกมาจากโรงฝึก แล้วเดินเลียบถนนซีเมนต์ไปทางใต้
ตลอดทั้งเส้นทางจะเห็นบ้านอิฐแดงที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ บางหลังก็สร้างเสร็จแล้ว บางหลังก็กำลังสร้างอยู่ จากที่ฟินกิ้นเล่าให้ฟัง เมื่อหนึ่งปีก่อนที่นี่ยังเป็นแค่ที่โล่งๆ ติดทะเลเท่านั้น นอกจากต้นไม้แห้งๆ แล้วก็ไม่มีอะไรเลย แต่ตอนนี้ทีมก่อสร้างได้เปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็น ‘เมืองในเมือง’
มันมีกำแพงล้อมรอบ ถึงแม้จะไม่สูง แต่ก็พอจะบดบังสายตาจากด้านนอกได้ ส่วนป้ายเตือน ‘ห้ามปีน /ฝ่าฝืนจะโดนยิง’ ที่ติดเอาไว้บนกำแพงก็ทำให้พวกสอดรู้สอดเห็นล้มเลิกความคิดไป
ภายในกำแพงมีทั้งหอพัก โรงอาหาร ลานอเนกประสงค์ โรงฝึก ห้องเรียน….ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่แค่ที่เดียว ตอนแรกกู๊ดใช้เวลาอยู่หนึ่งวันเต็มๆ ถึงได้เข้าใจความหมายของคำศัพท์แปลกๆ เหล่านี้ พูดง่ายๆ ก็คือไม่ว่าจะกินเรียนนอนก็ล้วนแต่อยู่ในกำแพงทั้งหมด การดูแลด้วยระบบปิดที่ครูฝึกพูดถึงน่าจะหมายความเช่นนี้
เรื่องสุดท้ายก็คือสถานที่แห่งนี้ใหญ่อย่างมาก เขามาอยู่ที่นี่หลายสัปดาห์แล้ว แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นว่าปลายกำแพงอยู่ที่ไหน แต่แน่นอน นี่น่าจะเป็นเพราะนักเรียนถูกจำกัดขอบเขตในการทำกิจกรรมเอาไว้ด้วย ถ้าไม่ได้รับอนุญาต อย่างมากพวกเขาก็ได้แค่เดินทางไปกลับระหว่างหอพักกับลานอเนกประสงค์เท่านั้น
และทั้งหมดนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมาในเวลาปีเดียว
สำหรับกู๊ดที่เพิ่งจะอพยพมายังดินแดนตะวันตกแล้ว ถึงแม้มักจะได้ยินคนอื่นอยู่บ่อยๆ ถึงความเร็วในการก่อสร้างอันน่าตกใจของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ แต่เขาก็ยังไม่เคยได้เห็นมันกับตาตัวเอง ทว่าหลังจากที่ได้เข้ามาใน ‘เมืองในเมือง’ แห่งนี้ เขาก็เข้าใจแล้วว่าอะไรกันแน่ถึงเรียกว่าเร็ว
ก่อนหน้านี้หนึ่งสัปดาห์ยังเป็นลานทางใต้โล่งๆ แต่ตอนนี้กลับมีตึกเหลี่ยมๆ สีแดงตั้งเรียงเป็นแถว
หากเป็นเมืองอื่น ความเร็วในการก่อสร้างนี้เรียกได้ว่าน่าเหลือเชื่ออย่างมาก
หลังเดินทะลุกำแพงสนามมาแล้ว ภายในกลุ่มก็มีเสียงพูดคุยดังขึ้นมา
ที่นี่คือสถานที่ที่ปกติพวกเขาห้ามเข้ามา
วันนี้ทุกคนถึงได้เห็นหน้าตาของที่แห่งนี้ว่าเป็นเช่นไร มันเป็นที่โล่งๆ ที่กว้างใหญ่ ไม่มีกำแพงหรือสิ่งก่อสร้างใดๆ มาบดบัง ตรงหน้าคือท้องฟ้าและเมฆสีขาว ไกลออกไปคือทะเลน้ำมันที่ไกลสุดลูกหูลูกตา สายลมหนาวเย็นพัดเข้ามา ทำให้กู๊ดรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
ต้องยอมรับเลยว่า ในตอนที่เขาได้เห็นบ้านอิฐสีแดงตั้งเรียงเป็นแถว จากนั้นจู่ๆ ก็ได้มาเห็นภาพแบบนี้ เขาพลันรู้สึกเหมือนว่าโลกนี้มันใหญ่ขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
“แปลก…ข้าก็นึกว่าที่นี่มันจะมีอะไรที่สุดยอดอยู่” ฮายส์บ่นขึ้นมาเบาๆ “ก็แค่ที่โล่งๆ ไม่ใช่เหรอ?”
ถูกต้อง ที่โล่งๆ นอกจากถนนหินสีดำที่ใหญ่กว่าถนนหลักในเมืองเนเวอร์วินเทอร์แล้ว มันก็ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดๆ เลย
การที่บอกให้มันเป็นพื้นที่หวงห้ามนั้นทำให้หลายๆ คนรู้สึกไม่เข้าใจ
“บางทีอาจกลัวว่าพวกเราจะชมวิวเพลินจนเดินตกทะเลไปล่ะมั้ง” ฟินกิ้นยิ้มขึ้นมา “แต่ข้ากลับคิดว่าถ้าย้ายเอาห้องเรียนมาอยู่ที่นี่ ความตั้งใจเรียนของข้าอย่างน้อยๆ จะต้องเพิ่มขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์แน่”
“อย่างเจ้าเพิ่มขึ้นอีกกี่เท่ามันก็ไม่มีประโยชน์หรอก?” คนที่อยู่ข้างๆ หัวเราะเยาะขึ้นมา
“เฮ้ เจ้าคิดจะท้าข้าเหรอ?” ฟินกิ้นถลึงตาใต้ “จะแข่งคะแนนสอบกันไหมล่ะ?”
“หยุดเถียงกันก่อน พวกเจ้าดูนั่น” กู๊ดเลิกคิ้ว “มีคนมาถึงก่อนเราแล้ว”
“นั่นมันหมู่อื่น…” คำพูดของฮายส์ทำเอาทั้งกลุ่มเงียบลงทันที ถึงแม้จะไม่เคยสัมผัสตรงๆ แต่พวกเขาก็ได้ยินครูฝึกพูดอยู่หลายครั้งถึงความยอดเยี่ยมของอีกฝ่าย ทั้งเรื่องที่ฝึกซ้อมเสร็จจนหมดภายในวันเดียว พอตกกลางคืนยังขอออกมาฝึกซ้อมเองอีก อ้วกจนเปรอะไปทั้งตัวก็ยังยืนหยัดที่จะนั่งอยู่บนเก้าอี้หมุน…สรุปแล้วก็คือทั้งอดทนและมุ่งมั่น ส่วนพวกเขานั้นเหมือนเป็นพวกซื่อบื้อที่ทำให้พรสวรรค์สูญเปล่า ทำอะไรก็ล้วนแต่ด้อยกว่าอีกฝ่าย
นี่ทำให้พวกเขามองอีกฝ่ายเป็นเหมือนศัตรูทันที
“เงยหน้าขึ้นมา”
“อย่าหลบสายตา ถ้าหลบสายตาก็เท่ากับแพ้!”
ทุกคนต่างปลุกขวัญตัวเองขึ้นมา
ส่วนสีหน้าของคนเหล่านั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเขาเท่าไร
เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามา คนเหล่านั้นต่างก็ทำหน้านิ่งแล้วจ้องมองดูพวกเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ดูแล้วไม่ได้มีความรู้สึกของนักเรียนที่ยอดเยี่ยมเลย
จนกระทั่งพวกเขาเดินผ่านไปแล้ว บรรยากาศตึงเครียดถึงได้หายไป
“พอแล้ว รออยู่ตรงนี้นี่แหละ” อีเกิลเฟสสั่งให้ทุกคนหยุดเดิน “แต่จำเอาไว้อย่าง อีกเดี๋ยวไม่ว่าจะเห็นอะไร ห้ามไม่ให้เดินออกจากที่ ฝ่าบาทและองค์หญิงทิลลีจะเสด็จมา ถ้าเคลื่อนไหวโดยพลการจะถูกมองว่าเป็นอันตราย จุดจบจะเป็นอย่างไรพวกเจ้าคงจะรู้ดีนะ”
ฝ่าบาท…จะเสด็จมาเหรอ?
ไม่ พระองค์น่าจะเสด็จมาแล้ว กู๊ดสังเกตด้านหน้าอาคารขนาดใหญ่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งมีทหารของกองทัพที่หนึ่งและตำรวจยืนล้อมอยู่เต็มไปหมด มีแต่ตอนที่ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลเสด็จมาเท่านั้น ทั้งสองหน่วยถึงจะออกมาอารักขาพร้อมกัน
ดูเหมือนอัศวินอากาศจะไม่ใช่ธรรมดาๆ ซะแล้ว
กู๊ดตั้งหน้าตั้งตารอสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
ส่วนรอยยิ้มแปลกๆ ของอีเกิลเฟสก่อนหน้านี้ก็ถูกเขาลืมไปจนหมด
….
ภายในโรงเก็บเครื่องบินนั้นมีภาพที่แตกต่างกันออกไป
‘ซีกัล’ ซึ่งเป็นเครื่องร่อนขนาดใหญ่หมายเลขหนึ่งนั้นกำลังรอการปล่อยตัว
นี่เป็นเครื่องร่อนบรรทุกคนที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างเป็นทางการหลังจากที่ทิลลีควบคุมเครื่องร่อนตัวทดสอบได้อย่างชำนาญแล้ว เมื่อเทียบกับเครื่องร่อนในตอนทดสอบที่มีแต่โครงอย่างง่ายๆ กับปีกบางๆ แล้วมันไม่เพียงแต่จะมีขนาดที่ใหญ่กว่ากับปีกที่หนากว่า แต่มันยังมีการหุ้มผิวเอาไว้ด้วย นอกจากนี้มันยังมีการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยเหลืออื่นๆ เข้าไปอีกหลายอย่าง เช่น ช่องที่อยู่ตรงด้านข้าง ที่นั่ง และประตูทางด้านหลัง สรุปแล้วก็คือเจ้าซีกัลนี้คือเครื่องบินที่สมบูรณ์แบบ
เครื่องร่อนที่เคยปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่จะเอาไว้ใช้เสริมกำลังในตอนที่เครื่องบินลำเลียงมีจำนวนไม่พอ โดยมันจะใช้วัสดุอย่างง่ายๆ ในการสร้าง โครงไม้กับผ้าใบคือสิ่งที่เห็นได้บ่อยๆ เพราะต่อให้เป็นรูก็ไม่กระทบต่อการบิน ซึ่งเมื่อเทียบกับเครื่องร่อนอย่างหยาบๆ เหล่านั้นแล้ว การสร้างของซีกัลป์นั้นเรียกว่าถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น มีอัลลอยและเหล็กที่มีความแข็งแรงเป็นโครงสร้างพื้นฐาน ชิ้นส่วนใหญ่ๆ นั้นสามารถประกอบเข้าด้วยกันได้โดยไม่ต้องใช้การสลักเกลียวหรือการเชื่อม ชิ้นส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้างหลักก็มีรูเล็กๆ อยู่เต็มไปหมดเพื่อที่จะได้ลดน้ำหนักลงให้มากที่สุด ชั้นเคลือบเวทมนตร์ก็ทำให้ไม่เกิดการรั่วของอากาศในตอนที่ความดันอากาศภายในและภายนอกต่างกันมาก ตรงใต้ท้องมีการติดเกราะเหล็กสำหรับตอนร่อนลง ขอเพียงไม่ตีลังกา ต่อให้เครื่องตกลงมา คนที่อยู่ในเครื่องก็ไม่เป็นอะไร
เพราะว่าคนที่โดยสารอยู่ในเครื่องก็คือแม่มด
ในฐานะที่เป็นเครื่องต้นแบบเพียงเครื่องเดียวในเนเวอร์วินเทอร์ การเน้นความปลอดภัยมากหน่อยก็ไม่มีอะไรเสียหาย
“อย่างนั้น…หม่อมฉันขึ้นเครื่องก่อนนะเพคะ” อันนาจูบที่แก้มของโรแลนด์เบาๆ “เจอกันพรุ่งนี้นะเพคะ”
“ระวังตัวด้วยนะ อย่าฝืนเกินไป” โรแลนด์สั่งกำชับอย่างจริงจัง “ถ้าเจอปีศาจ ต้องป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อนนะ”
เธอยิ้มเล็กน้อย “ทราบแล้วเพคะ พระองค์ตรัสหลายสิบรอบแล้วเพคะ”
“วางพระทัยได้เพคะ หม่อมฉันจะปกป้องนางเองเพคะ” ฟิลลิสพูดอย่างหนักแน่น
ผ่านไปครู่หนึ่งโรแลนด์ถึงจะปล่อยมืออันนา จากนั้นจึงพยักหน้าเล็กน้อย “ไปเถอะ ข้าจะรอพวกเจ้ากลับมา”
หลังการก่อสร้างรางเหล็กสร้างมาถึงจุดเลี้ยวในแผน กองทัพที่หนึ่งก็จะบุกเบิกที่ริมมาขึ้นมาเพื่อใช้เป็นสนามบิน ระยะห่าง 500 กิโลเมตรทำให้ไม่มีวิธีไหนที่จะไปกลับได้ภายในวันเดียวนอกจากเมซี่ ด้วยเหตนี้เครื่องร่อนจึงมีความสำคัญขึ้นมาอย่างมาก
ซีดัลนั้นถูกออกแบบมาให้รองรับผู้โดยสารได้ 20 คน นอกจากตัวทิลลีและเวนดี้ที่เป็นนักบินแล้ว มันยังสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้อีก 18 คน หรือไม่ก็บรรทุกของได้อีกหนึ่งตัน (หลังถอดเก้าอี้ออก) ความเร็วในการบินขึ้นอยู่กับพลังเวทมนตร์ของเวนดี้ แต่ถึงแม้จะบินด้วยความเร็วต่ำ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันก็ยังสามารถไปกลับระหว่างเมืองเนเวอร์วินเทอร์กับแนวหน้าสนามรบได้มากกว่าสองรอบภายในวันเดียว สำหรับยุคสมัยนี้แล้ว นี่ถือเป็นวิธีการขนส่งที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดแล้ว
ตอนที่ 1071
“ทำไม ไม่วางใจเหรอ?” หลังทุกคนขึ้นเครื่องไปหมดแล้ว ทิลลีจึงเดินเข้ามาหาโรแลนด์
“เจ้าดูออกเหรอ?”
“ไปแค่วันเดียวเอง แต่ท่านพูดซะเหมือนต้องจากกันไปนาน ดูไม่ออกก็แปลกแล้ว” เธอยักไหล่ “ท่านกำลังสงสัยในฝีมือของข้า หรือสงสัยในความสามารถของอันนา?”
เมื่อเจอกับคำถามแบบนี้ โรแลนด์พลันยิ้มแห้งๆ ขึ้นมาทันที
โครงสร้างของซีกัลป์นั้นไม่มีอะไรซับซ้อน นอกจากพวกคันบังคับกับหางเสือแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกที่นั่งที่เอาไว้บรรทุกคน ความซับซ้อนของมันก็ไม่ได้มากไปกว่าเครื่องร่อนตัวต้นแบบซักเท่าไร ด้วยฝีมือในการประกอบของอันนาแล้ว เป็นไปได้ยากที่จะเกิดปัญหา
หลังสร้างเสร็จเรียบร้อยมันก็ถูกทดสอบอีกหลายครั้ง แถมยังจำลองเหตุการณ์เครื่องตกด้วย แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เป็นที่น่าพึงพอใจอย่างมาก ทิลลีนั้นมีความสามารถในการบังคับอันสุดยอด ส่วนเวนดี้เองก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก เธอมักจะทำให้เครื่องกลับมารักษาสมดุลได้ทุกเมื่อ
และเพื่อความปลอดภัยในการเดินทางครั้งนี้ คนที่โดยสารไปด้วยยังมีซาวีกับมอลลีด้วย เผื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังรู้สึกกังวล
การเอาแม่มดระดับสุดยอดของเนเวอร์วินเทอร์จำนวนหนึ่งไปรวมอยู่ในเครื่องบินใหม่ล่าสุด แถมยังเดินทางไปยังใจกลางดินแดนรกร้างที่อยู่ห่างออกไป 500 กิโลเมตร แค่นี่ก็เพียงพอให้เขารู้สึกเป็นกังวลแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ยังมีงานอีกจำนวนมากรอเขาอยู่ เขาก็คงจะนั่งเครื่องไปพร้อมพวกเธอแล้ว
หลังถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาจึงมองทิลลีแล้วพูดว่า “ข้าว่ามันไม่ใช่การสงสัย แต่เป็นเพราะข้าเป็นห่วงมากเกินไปมากกว่า ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะได้อยู่ในยุคสมัยใหม่อย่างปลอดภัยหลังสงครามแห่งโชคชะตาจบลง
ทั้งสองคนสบตากันอยู่เสี้ยววินาที ก่อนที่ทิลลีจะเบือนหน้าไปอีกทาง “ข้ารู้แล้ว ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น…ถ้าเป็นข้า ข้าก็คงนั่งไม่ติดเหมือนกัน”
เธอหมุนตัวเดินขึ้นเครื่องโดยไม่รอให้โรแลนด์ตอบ
“อย่างนั้นข้าไปล่ะ พี่ชาย”
…..
หลังประตูห้องโดยสารปิดลง องครักษ์คนหนึ่งก็เดินเข้ามา “ฝ่าบาท ด้านนอกเตรียมพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
โรแลนด์สูดหายใจแล้วสั่งการไปว่า “เริ่มได้”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
สิ้นเสียงคำสั่ง ทุกอย่างก็เริ่มขึ้นตามขั้นตอน
“เปิดตัวล็อก!”
“รันเวย์เคลียร์!”
“ทุกคนออกห่างจากรันเวย์!”
“เปิดประตูโรงเก็บ!”
ในตอนที่ประตูโรงเก็บเครื่องบินค่อยๆ เปิดออก แสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างก็สาดเข้ามาด้านในจนสะท้อนให้เห็นพื้นรันเวย์
คนส่งสัญญาณยกธงสีเขียวขึ้นมา
“ซีกัล ขึ้นบินได้!”
ในเวลาเดียวกัน เสียงหวูดก็ดังไปทั่วทั้งลานบิน
โรแลนด์รู้สึกได้ถึงลมที่พัดขึ้นมา
นั่นเป็นความรู้สึกที่น่ามหัศจรรย์ เขายืนอยู่ในตำแหน่งที่เดิมไม่ควรจะมีลมพัด แต่เขากลับยังรู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดผ่านแก้มของเขาไป
ความจริงการจะมองว่าซีกัลนั้นเป็นแค่เครื่องร่อนธรรมดาแล้วเอามันไปเปรียบเทียบกับเครื่องร่อนอื่นๆ ดูจะไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไร เพราะสิ่งที่เครื่อ‘ร่อนอื่นๆ ต้องครุ่นคิดอย่างหนักกว่าจะได้มา ซีกัลกลับมีมันมาตั้งแต่เริ่มเลย
กระแสอากาศที่ไม่เป็นไปตามกฎการไหลปรากฏขึ้นตรงด้านหลังของปีกข้าง สายลมเบาๆ ผลักปีกที่เงยขึ้นเหมือนมือที่มองไม่เห็น พลังแบบนี้ดูแล้วเหมือนจะไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่โรแลนด์รู้ว่านั่นเป็นผลจากการควบคุมของเวนดี้ สายลมที่พัดกระจายออกมาทั้งอ่อนโยนและนุ่มนวล แต่เมื่อเข้าไปใกล้ๆ ปีกกลับสัมผัสได้ถึงสายลมอันรุนแรงที่ทำให้คนยากจะเดินต่อไปข้างหน้าได้
พูดอีกอย่างก็คือภายในขอบเขตพลังของเวนดี้ ทั้งทิศทางและความเร็วจะเป็นไปอย่างที่เธอต้องการ
นี่หมายความว่าซีกัลไม่จำเป็นต้องใช้ปีกสองชั้นเพื่อรักษาการบิน แล้วก็สามารถทำการบินในลักษณะที่เครื่องร่อนอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ อย่างเช่นการออกตัวหรือร่อนลงแนวดิ่งได้เลย ที่ปกติเครื่องร่อนจำเป็นต้องทำความเร็วก่อนออกตัวนั้นก็เพื่อทำให้ได้รับแรงยกที่มากขึ้น ถ้าสามารถทำให้เครื่องบินได้รับแรงยกตั้งแต่แรกเลย เช่นนั้นความเร็วก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น
การที่เครื่องบินสามารถบินขึ้นได้สบายๆ แบบนี้ ในสายตาของคนที่อยู่ในแวดวงการบินคงเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงอย่างมาก แต่ในสายตาของคนนอกกลับมองว่ามันขาดสีสันไปหน่อย
แล้วจะมีอะไรที่น่าตกตะลึงไปกว่าการที่ได้เห็นเครื่องบินหนักหลายตันลอยขึ้นไปอยู่บนหัว ก่อนจะค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไปแล้วบินหายไปจากสายตาล่ะ?
เมื่อคิดถึงสีหน้าของทิลลีตอนที่เสนอความคิดนี้อย่างตื่นเต้น โรแลนด์จึงส่ายหน้ายิ้มๆ ออกมา
ดูเหมือนเธอจะมองว่าซีกัลนั้นเป็นของเล่นของเธอ แล้วก็อยากจะเอามันไปอวดให้คนอื่นดูจนทนไม่ไหวแล้ว
……
“อูวววววว……อูววววว……”
ในขณะเดียวกับที่เสียงหวูดดังขึ้นมา กู๊ดก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงตรงปลายสุดของถนนหินสีดำ เหล่าทหารพากันกระจายตัวออก ประตูเหล็กของอาคารขนาดใหญ่เปิดออก จากนั้น ‘นกยักษ์’ สีเทารูปร่างแปลกๆ ตัวหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนที่ออกมา มันหมุนวนเป็นรอบเล็กๆ ก่อนจะวิ่งตรงมาทางที่พวกเขาอยู่
“เฮ้ย พวกเจ้าดูนั่น นั่นมันอะไร?” เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่สังเกตเห็นเจ้านกยักษ์ตัวนั้น
“รถไฟเหรอ? ไม่เหมือนแฮะ…บนพื้นก็ไม่ได้มีรางเหล็กด้วย”
“น่าจะเป็นเครื่องจักรที่ฝ่าบาททรงประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ล่ะมั้ง?”
“หรือว่าที่ท่านอีเกิลเฟสบอกก็คือเจ้านี่?”
“มันเหมือนจะตรงมาหาพวกเรานะ”
เดี๋ยวๆ เขาเหมือนจะเคยเห็นเจ้านี่จากที่ไหนมาก่อน! กู๊ดครุ่นคิด ทันใดนั้นภายในหัวเขาเหมือนมีแสงสว่างวาบขึ้นมา ในหนังสือที่องค์หญิงทิลลีพระราชทานให้เขาพวกนั้นนั้นมีหน้าปกหนังสือเล่มหนึ่งที่มีรูปคล้ายๆ เจ้านี่ไม่ใช่เหรอ? เหมือนนกแต่ก็ไม่ใช่นก ปีกสองชั้นที่ยาวใหญ่ ที่แล้วก็คล้ายๆ กับมันอยู่เหมือนกัน
แต่เมื่อคิดอีกเล็กน้อย เขาก็รู้สึกว่าเจ้าสองสิ่งนี้ไม่เหมือนกัน ไม่เพียงแต่จะมีจำนวนปีกที่ต่างกัน แต่บนหน้าปกหนังสือนั่น อย่างน้อยเขาก็ยังมองเห็นคนขับ แถมยังพอจะเข้าใจสาเหตุที่เจ้าสิ่งที่อยู่ในภาพสามารถลอยอยู่ในอากาศด้วย เพราะโครงสร้างที่ใหญ่กว่าตัวคนไม่เท่าไรพร้อมปีกขนาดยักษ์สองชั้นของมัน ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมันก็เหมือนกับว่าวที่ขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้น ถึงแม้จะรู้ว่าสิ่งที่ฝ่าบาทและองค์หญิงให้ความสำคัญจะต้องไม่ใช่ของธรรมดาๆ แน่ แต่เขาก็ยังพอจะนึกภาพมันบินอยู่บนฟ้าได้อยู่
แต่เจ้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้จัดอยู่ในจำพวกที่เขาไม่มีวันจะเข้าใจได้
ถ้าเอาทหารที่อยู่รอบๆ มาเปรียบเทียบจะเห็นได้ว่าเจ้าสิ่งนั้นมีขนาดใหญ่กว่าตัวคนมาก นอกจากปีกแล้ว ลำตัวกลมๆ ของมันก็ถูกห่อหุ้มเอาไว้อย่างแน่นหนา ตรงส่วนท้องที่ยืดยาวเหมือนจะสามารถใส่ของได้เยอะแยะ รูปร่างแบบนี้อย่าว่าแต่บินเลย แม้แต่จะคลานไปบนพื้นก็ยังยาก
แต่ทันใดนั้นเอง กู๊ดก็พบว่าความคิดของตัวเองมันน่าขันแค่ไหน
เจ้านกยักษ์เริ่มเร่งความเร็ว
ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วของมันยังเร็วกว่าม้าในตอนที่วิ่งเสียอีก แถมไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแม้แต่น้อยด้วย
เหล่าทหารที่ส่งเสียงพูดคุยกันในตอนแรกพากันเงียบโดยไม่รู้ตัว
เสียงคำรามของมันค่อยๆ ขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“พระเจ้า…” ฟินกิ้นกลืนน้ำลาย “มันกำลังจะชนพวกเราแล้ว”
นี่คือสิ่งที่เหล่ากองกำลังสำรองต่างรู้สึกเหมือนกัน
ตามหลักแล้ว ขอเพียงอยู่เฉยๆ ทั้งสองฝ่ายไม่มีทางที่จะชนกันจริงๆ ได้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ร่างกายของทุกคนก็ยังสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเผชิญหน้ากับอสูรยักษ์ที่สามารถเหยียบตัวเองจนบี้แบนได้โดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี
และเจ้าสิ่งที่กำลังพุ่งเข้ามาก็คืออสูรยักษ์ที่ว่า
พวกเขาตัวเล็กกว่าล้อของมันด้วยซ้ำ
เมื่อมันเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เสียงหวีดร้องก็เกือบจะกลายเป็นเสียงคำราม บนพื้นมีความรู้สึกสั่นสะเทือนเบาๆ ว่ากันว่าเวลาอัศวินบุกโจมตี เพียงแค่เสียงเท้าม้าก็พอจะทำให้ศัตรูหวาดกลัวจนขวัญเสียได้แล้ว แต่เมื่อเทียบกับสัตว์ประหลาดที่กำลังจะทับมาที่ตัวเองเหมือนกับภูเขานี้ กู๊ดพลันพบว่าอัศวินนั้นดูไม่มีความน่ากลัวอะไร
เขาพลันนึกถึงรอยยิ้มแปลกๆ บนหน้าอีเกิลเฟสขึ้นมา
ครูฝึก…เคยเห็นมันมาก่อนแล้วเหรอ?
ยังไม่ทันที่จะได้ครุ่นคิดอย่างละเอียด สายลมอันรุนแรงพลันพัดเข้ามา!
ในระยะเวลาสั้นๆ มันสามารถวิ่งไปบนถนนได้หลายร้อยเมตร ก่อนจะพุ่งผ่านกลุ่มคนที่ยืนอยู่สองข้างทางไป
ภายใต้กระแสลมที่ปะทะเข้ามา กู๊ดไม่สามารถควบคุมเท้าทั้งสองข้างของตัวเองได้ ขาของเขาอ่อนเปลี้ยจนคุกเข่าลงไปบนพื้น บางทีในสายตาคนอื่นอาจจะมองว่านี่เป็นการหลบตามสัญชาตญาณก่อนที่สายลมอันรุนแรงจะปะทะเข้ามา
เขาไม่ได้สนใจที่จะลุกขึ้นยืน หากแต่หันมองไปทางด้านหลัง
ทว่าภาพที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นกลับทำให้เขาต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง!
เขาเห็นเจ้าอสูรยักษ์เชิดหน้าขึ้น สองเท้าของมันลอยขึ้นจากพื้น ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าสีน้ำเงิน แสงอาทิตย์สะท้อนไปบนปีกของมัน กลายเป็นประกายระยิบระยับอยู่บนฟ้า
นี่คือ…อัศวินอากาศอย่างนั้นเหรอ?
กู๊ดกำหมัดแน่นขึ้นมา
เขาอยากจะขับเจ้าสัตว์ประหลาดนี่…ต่อให้เขาต้องเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างก็ตาม!
……………………………………………………………
ตอนที่ 1072
กระทั่งซีกัลหายไปในขอบฟ้าแล้ว โรแลนด์จึงหันกลับมา
“บางครั้งข้าก็อยากจะสร้างหอบัญชาการเอาไว้ตรงแนวหน้าของสนามรบเลย” เขาพูดเบาๆ “เอามันไปตั้งไว้ในที่ๆ ทุกคนสามารถมองเห็นได้ จะได้เรียกขวัญกำลังใจ แล้วข้าก็จะได้เหมือนเข้าไปรบในสงครามแห่งโชคชะตาด้วยตัวเองด้วย ต่อไปเวลานักประวัติศาสตร์จะบันทึกประวัติศาสตร์ จะได้มีอะไรไว้อวดหน่อย”
“พระองค์สนใจเรื่องนั้นด้วยเหรอเพคะ?” ในอากาศเองก็มีเสียงตอบกลับมาเบาๆ เหมือนกัน “ยิ่งไปกว่านั้นก่อนที่จะได้บันทึกประวัติศาสตร์ พระองค์คงต้องทนฟังเสียงบ่นของเวนดี้กับบุ๊คจนกว่าพระองค์จะยอมรับว่าตัวพระองค์คิดผิดแล้วก็ล้มเลิกความคิดนั้นไปเพคะ หม่อมฉันเคยโดนมาแล้วเพคะ นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรับได้เลยเพคะ พระองค์อย่าทำให้พวกนางบ่นดีกว่าเพคะ”
โรแลนด์หลุดยิ้มออกมา “นั่นสินะ”
การต่อสู้กับปีศาจนั้นอาจจะกินเวลาหลายเดือนหรืออาจจะหลายปี เขาเองก็ต้องพยายามปรับตัวเข้ากับสภาพแบบนี้ให้ได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาจึงมองไปที่องครักษ์ที่อยู่อีกด้านหนึ่ง “เรียกคนอื่นๆ เข้ามา เดี๋ยวข้าจะไปเมืองชายแดนที่สามซักหน่อย”
อีกฝ่ายรีบทำความเคารพทันที “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท! กระหม่อมจะไปแจ้งหน่วยอารักขาพ่ะย่ะค่ะ!”
เคโม ชูอีลแจ้งมาว่าการวิจัยแมลงยางนั้นมีความคืบหน้าใหม่
ตอนนี้ได้เวลาที่ตรวจสอบดูซักหน่อย
“ไปกันเถอะ” เขาหันไปด้านข้างพร้อมพยักหน้า จากนั้นก็เดินออกไปจากประตูโรงเก็บเครื่องบิน
……
หลังแน่ใจแล้วว่าของเหลวจากแมลงยางนั้นมีประโยชน์อย่างมาก แม่มดทาคิลาจึงทำการเปิดถ้ำใหม่เพื่อใช้สำหรับเลี้ยงพวกมัน อีกทั้งยังรับผิดชอบเป็นคนเลี้ยงดูพวกมันในเวลาว่างด้วย
เพราะการจะหาคนธรรมดาที่ทั้งสามารถเผชิญหน้ากับหนอนกลืนกินและใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำแมลงได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บวกกับการทำงานอยู่ใต้ดินเป็นเวลานานจะทำให้สภาพจิตใจของคนเหล่านั้นมีปัญหาได้ง่าย การเลี้ยงดูแมลงยางทั้งหมดจึงกลายเป็นความรับผิดชอบของทางทาคิลา ส่วนคนงานนั้นรับผิดชอบแค่เรื่องการขนส่งและแปรรูปยางเท่านั้น
เรียกได้ว่านี่เป็นอีกครั้งที่โรแลนด์ประเมินผิด เขาประเมินความอดทนในการทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คับแคบของมนุษย์สูงเกินไป
แมลงยางนั้นเกลียดแสงสว่าง ชื่นชอบความชื้น แล้วก็เคลื่อนไหวตามเสียง ต่อให้ไม่มีความสามารถในการโจมตี แต่การที่ต้องมานั่งฟังเสียงซู่ๆ ซ่าๆ ตลอดทั้งวันก็อาจจะทำให้คนเป็นบ้าได้
เขาไม่สามารถจัดหาอุปกรณ์สื่อสารและอุปกรณ์ให้แสงสว่าง ไม่สามารถตั้งกฎการเปลี่ยนเวรอย่างละเอียด แล้วก็จัดทำคู่มือการทำให้จิตใจสงบสำหรับคนงานทุกคนได้ ไม่ใช่ว่าเขาทำไม่ได้ แต่เป็นเพราะประสิทธิภาพที่ได้กลับมามันไม่คุ้มกับเงินที่เสียไป โรงงานจำนวนมากที่อยู่ด้านนอกนั้นต้องการแรงงานคน ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเอาแรงงานจำนวนมากมาเสียไปกับการเลี้ยงแมลงยางเพียงเพื่อที่จะทำให้การเลี้ยงแมลงยางอยู่ในรูปแบบที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแม่มด ด้วยเหตุนี้เขาจึงให้แรงงานคนธรรมดาไปทำงานสนับสนุนที่สบายขึ้นหน่อย
ส่วนไพรซ์ ดีซาเองก็ไม่ได้ว่าง เขาเขียนคู่มือเลี้ยงดูและคู่มือผลิตยางออกมาในเวลาว่าง ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับยางของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ที่ผุดขึ้นมาเยอะแยะเหมือนดอกเห็ดก็เป็นความดีความชอบของเขาเหมือนกัน
ขนาดของปศุสัตว์ที่ใหญ่ขึ้นทำให้มีตัวอย่างในการทดสอบน้ำยางเพิ่มมากขึ้น แล้วก็เป็นเพราะฐานการวิจัยเหล่านี้ โรแลนด์จึงตัดสินใจให้เคโม ชูอีลเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อดำเนินแผนการขั้นต่อไป
หลังลงมาใต้ดิน พาซาร์ก็เข้ามาต้อนรับ ‘ถวายบังคมเพคะ ฝ่าบาท คนของพระองค์ตอนนี้อยู่ในห้องทดลองแมลงยางเพคะ ให้หม่อมฉันไปแจ้งพวกเขาไหมเพคะ?’
“ไม่ต้อง เจ้าพาข้าไปก็พอ” โรแลนด์พูดยิ้มๆ “เออใช่ ข้าได้ยินว่าเซลีนสร้างลานเลี้ยงแมลงขึ้นมาใหม่ แถมยังใหญ่กว่าเดิมใช่ไหม?”
‘ใช่เพคะ มันอยู่ตรงข้ามกับห้องทดลองเพคะ’ พาซาร์ผงกหนวดหลัก ‘มันเป็นการประยุกต์มาจากผลการศึกษาล่าสุดของสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับ แล้วก็ยืมแนวคิดมาจากโลกแห่งความฝันด้วยเพคะ พระองค์อยากจะทอดพระเนตรมันหน่อยไหมเพคะ?’
“โอ้?” เขาตื่นเต้นขึ้นมาทันที “เอาสิ”
‘อย่างนั้นเชิญเสด็จตามหม่อมฉันมาเลยเพคะ’
หลังเดินทะลุอุโมงค์ยาวเส้นหนึ่งมา พาซาร์ก็พาโรแลนด์มายืนอยู่ตรงหน้าถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
ตรงปากถ้ำมีรั้วเหล็กติดตั้งเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าเพื่อป้องกันไม่ให้แมลงหลบหนีออกมา หลังเดินผ่านประตูเล็กบานหนึ่งเข้าไปในถ้ำ เขาก็ต้องตกตะลึงไปเล็กน้อย สภาพแวดล้อมภายในถ้ำเหมือนลอกแบบมาจากโบราณสถานในภูเขาหิมะเลย มีทั้งพืชเรืองแสง ระบบน้ำและเห็ดขนาดยักษ์ แต่ว่าทั้งสามสิ่งนั้นถูกจัดให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย พืชเรืองแสงตั้งเรียงไปตามผนังถ้ำและสายน้ำกลายเป็นเหมือนไฟถนน ส่วนเห็ดที่เป็นอาหารหลักของพวกแมลงนั้นเป็นพืชที่มีจำนวนเยอะที่สุด ดอกเห็ดขนาดใหญ่แทบจะปิดพื้นเอาไว้จนมิด แมลงยางจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังปีนป่ายไปบนเห็ด ภายใต้แสงสลัวๆ เขามองเห็นแค่ร่างกายสีขาวที่กำลังขยับเขยื้อนไปมา พวกมันกำลังกัดกินเห็ดอย่างมีความสุข เสียงกัดที่ดังระงมทำเอาโรแลนด์นึกถึงหนอนไหมที่เขาเลี้ยงไว้ในสมัยเด็ก
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมากกว่านั้นก็คือขนาดของถ้ำ
เมื่อดูจากพืชเรืองแสงที่เรียงยาวจนมองไม่เห็นว่าปลายสุดอยู่ตรงไหนแล้ว เกรงว่าที่นี่คงมีขนาดใหญ่กว่าโถงหลักของเมืองชายแดนที่สามเสียอีก เดิมเขาคิดว่าสถานที่เลี้ยงแมลงยางแห่งใหม่นั้นจะเป็นแค่ถ้ำไม่กี่ถ้ำที่เชื่อมต่อถึงกัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนมันจะไม่ใช่แบบนั้นเสียแล้ว จุดแสงสีน้ำเงินที่ตั้งเรียงเป็นระเบียบและระบบน้ำที่เหมือนบ่อน้ำทำให้เขารู้สึกเหมือนที่นี่เป็นโรงงานขนาดใหญ่
‘ที่นี่ตั้งอยู่ตรงริมเทือกเขาสิ้นวิถีพอดีเพคะ ความลึกของมันอยู่ในระนาบเดียวกับพื้นของเมืองเนเวอร์วินเทอร์เพคะ’ พาซาร์เอ่ยปากอธิบาย ‘ถ้าเปิดถ้ำจากทางทิศใต้ มันก็ห่างจากถนนหลักของอาณาจักรเพียงแค่ 1,000 เมตรเท่านั้นเพคะ’
นี่หมายความว่าลานเลี้ยงแมลงที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้ห่างจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์เพียงแค่กำแพงกั้นเท่านั้นเหรอ ถ้าเขาจำไม่ผิดล่ะก็ จากระยะทางที่เดินมาเมื่อครู่นี้ ที่นี่น่าจะห่างจากเขตเมืองไม่ถึงสองกิโลเมตร ด้านนอกกำแพงถ้ำน่าจะเป็นเขตที่อยู่อาศัยชั่วคราวของผู้อพยพพอดี
โรแลนด์ถามออกมาเหมือนกำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง “เพื่อสะดวกในการขนส่งของเหลวเหรอ?”
‘ใช่เพคะ’ พาซาร์ยกหนวดหลักขึ้นมา ‘ฝ่าบาท เชิญพระองค์ทอดพระเนตรทางใต้เพคะ’
เขาหันมองไปตามที่อีกฝ่ายชี้ ก่อนจะเห็นทางด้านล่างของผนังเหมือนจะมีรางน้ำขนาดใหญ่อยู่เส้นหนึ่ง เหมือนกับเป็นเส้นทางหนีที่จงใจทิ้งเอาไว้ให้แมลงยางอย่างไรอย่างนั้น
“มันคืออะไร?”
‘พื้นที่สำหรับสกัดน้ำยางเพคะ’ พาซาร์อธิบาย ‘เซลีนใช้ประโยชน์จากจุดเด่นของพวกแมลงที่มักจะวิ่งเข้าหาเสียง นางขุดอุโมงค์ที่แคบลงเรื่อยๆ ขึ้นมาเส้นหนึ่ง ขอเพียงส่งเสียงจากปลายอีกด้านหนึ่งของอุโมงค์ พวกมันก็จะมุดตามเสียงเข้าไปเพคะ แต่ด้วยความกว้างของอุโมงค์ พอถึงตรงปลายอีกด้านหนึ่งมันก็จะโผล่ออกมาได้แค่หัว ส่วนลำตัวของมันจะติดอยู่ในอุโมงค์เพคะ’
“จากนั้นล่ะ?” ไนติงเกลที่ยืนอยู่ข้างๆ ถามขึ้นมา
‘หลังจากนั้นพวกเราก็จะเปิดแกนเวทมนตร์ที่ถูกติดตั้งอยู่ตรงปลายอีกด้านหนึ่งของอุโมงค์’ พาซาร์พูดอธิบาย ‘มันถูกปรับให้กลายเป็นรูปแบบใบมีด ปกติพายุใบมีดนี้จะถูกใช้ในการป้องกันศัตรูในพื้นที่แคบๆ แกนเวทมนตร์จะปล่อยลำแสงเวทมนตร์ออกมาจนเต็มพื้นที่อุโมงค์ แล้วก็ฉีกทุกอย่างที่ขวางหน้าเป็นชิ้นๆ ซึ่งอุโมงค์ยาวเส้นนั้นก็คือทางที่ลำแสงเวทมนตร์วิ่งผ่าน’
‘แมลงจะถูกตัดเป็นชิ้นๆ ของเหลวที่อยู่ในท้องของมันจะไหลผ่านรางน้ำไปรวมกัน เช่นนี้เราก็ไม่จำเป็นต้องไปไล่ฆ่ามันทีละตัว เราสามารถรวบรวมของเหลวเป็นจำนวนมากได้ด้วยการฆ่าเพียงครั้งเดียว’ เธอชะงักไปเล็กน้อย ‘ระยะทาง 1,000 เมตรที่เหลือทิ้งเอาไว้ก็เพื่อใช้ในการรวบรวมของเหลว จากที่เซลีนคิดเอาไว้ คนงานจะสามารถเดินจากนอกภูเขาเข้ามาในพื้นที่สำหรับสกัดน้ำยางได้ แต่นอกจากรางน้ำกับแอ่งน้ำที่ใช้รวบรวมของเหลวแล้ว พวกเขาจะไม่เห็นอะไรอย่างอื่น เช่นนี้จะทำให้สะดวกในการเก็บรวบรวมน้ำยาง แล้วก็ไม่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวด้วย’
“……”
โรแลนด์พูดไม่ออกไปทันที
เขาไม่มีอะไรจะเสริมอีก
ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ในตอนนี้ วิธีนี้เรียกได้ว่าสมบูรณ์อย่างมาก เมื่อคิดถึงกระบวนการตั้งแต่การเลี้ยงดูไปจนถึงการเก็บรวบรวมน้ำยาง ถ้าเขาสร้างโรงงานยางเอาไว้ที่ด้านนอกภูเขาขึ้นมาอีก นั่นก็เท่าเป็นการรวมการผลิตและการแปรรูปเข้าไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะรูปแบบการฆ่าที่ดูเหมือนโรงเชือดในยุคสมัยปัจจุบัน ไม่เสียทีที่ไปเรียนรู้แนวคิดมาจากโลกแห่งความฝัน
เพียงแต่การเอาแกนเวทมนตร์อันล้ำค่ากับผลงานการวิจัยทั้งชีวิตของเซลีนมาใช้เป็นมีดเพื่อฆ่าสัตว์แบบนี้มันจะเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนหรือเปล่า
ต่อให้หาผู้ถูกเลือกไม่เจอแล้วก็ไม่สามารถกระตุ้นทัณฑ์สวรรค์ได้ พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้นี่นา…
ไม่สิ โรแลนด์พลันพบปัญหาบางอย่าง
“ลานเลี้ยงแมลงนี้สามารถรองรับแมลงได้กี่ตัว?”
‘ประมาณหมื่นตัวเพคะ แต่ว่าด้วยความเร็วในการขยายพันธ์ของมัน คาดว่าต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งปีถึงจะสามารถขยายพันธ์ได้จนเต็มลานเลี้ยงแห่งนี้เพคะ’
“อย่างนั้นศพแมลงหลังจากที่เอาของเหลวออกมาแล้วล่ะ?” เขาถามคำถาม “พวกเจ้าคิดจะขนมันไปไว้ที่ไหน?”
นี่เป็นปัญหาที่ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว โรแลนด์เคยดูสารคดี ฟาร์มเลี้ยงไก่ในยุคสมัยปัจจุบันจะผลิตมูลไก่ออกมาวันละหลายร้อยตัน ถ้าจัดการไม่ดี ก็จะทำให้เกิดมลพิษทางน้ำอย่างรุนแรงได้ ทันทีที่ขนาดของฟาร์มใหญ่ขึ้น รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ล้วนแต่สามารถสร้างปัญหาขนาดใหญ่ได้
ตอนนี้ยังสามารถใช้แม่มดอาญาสิทธิ์มาขนซากของพวกแมลงได้ แต่เมื่อไรที่แมลงมีจำนวนเป็นหมื่นตัว การจะฆ่ามันนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่มันจะเกิดปัญหาในตอนที่จัดการเก็บกวาด ถ้าไม่สามารถจัดการซากศพได้ทันเวลา การเอามันกองไว้ในถ้ำนั้นจะต้องส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงแน่
‘วางพระทัยได้เพคะ ฝ่าบาท’ พาซาร์ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ‘พวกฟรานจัดการได้เพคะ ความจริงหนอนกลืนกินสามตัวใช้พลังไปเยอะมากตอนที่ขุดถ้ำขึ้นมาใหม่เพคะ’
“อ็อก…” หลังจากเข้าใจคำพูดนี้ ไนติงเกลพลันส่งเสียงคลื่นไส้ออกมาทันที
เอ่อ…โอเค
ในที่สุดตอนนี้โรแลนด์เข้าใจแล้วว่าทำไมตรงทางเข้าถึงต้องติดตั้งรั้วขนาดใหญ่เอาไว้ทั้งๆ ที่มีประตูเล็กอยู่
เหมือนมันจะเอาไว้ให้แม่มดทั้งสามเข้ามากินอาหารสินะ
…………………………………………………………….
ตอนที่ 1073
หลังชมลานเลี้ยงแมลงเสร็จ โรแลนด์ก็มายังห้องทดลองแมลงยาง
ห้องนี้มีขนาดเพียง 30 กว่าตารางเมตรกลายเป็นเหมือนห้องทดลองของพวกแม่มด ตรงข้างกำแพงมีถังที่บรรจุน้ำยางตั้งเรียงเป็นแถว ของเหลวเหมือนเจลลี่สีขาวกระจัดกระจายอยู่เต็มห้อง ในหม้อใหญ่ใบหนึ่งมีเศษยางไหม้ที่กำลังส่งกลิ่นเหม็นออกมา ไม่มีใครรู้ว่าเขาโยนอะไรลงไปในนั้นบ้าง
ส่วนช้อนยาวที่ใช้ในการทดลอง ถังไม้กับแท่งไม้ที่เอาไว้คนก็ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนห้องทดลองของแม่มดเข้าไปใหญ่ จะขาดก็แต่คางคกกับค้างคาวเท่านั้น
“ฝ่าบาท” เคโม ชูอิลพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพ “สิ่งที่พระองค์ทรงต้องการ กระหม่อมคิดว่ากระหม่อมหาเจอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
แต่โรแลนด์กลับสังเกตเห็นใบหน้าที่ขาวซีดของเขากับนิ้วมือที่มีผ้าพันแผลพันเอาไว้ “เจ้าได้รับบาดเจ็บเหรอ?”
“เรื่องเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีอะไรร้ายแรง” เขาโบกมือ จากนั้นก็เอาถ้วยที่มีของเหลวสีแดงอ่อนส่งมาให้โรแลนด์ “ฝ่าบาท เชิญทอดพระเนตรดูนี่พ่ะย่ะค่ะ”
เคโมคว่ำแก้ว แต่ของเหลวกลับไม่หกกระจายออกมา มันค่อยๆ ไหลลงมาตามแก้ว ก่อนที่จะโป่งเป็นฟองอากาศเหมือนฟองสบู่อยู่ตรงปากแก้ว
โรแลนด์ตาเป็นประกาย เขายื่นมือจะไปจับของเหลวที่เป็นเหมือนเจลลี่ แต่หัวหน้านักเล่นแร่แปรธาตุกลับห้ามเขาไว้
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” เขาเก็บเอาแก้วกลับไป “เจ้าสิ่งนี้มันมีฤทธิ์กัดกร่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจำได้ว่าของเหลวจากแมลงยางมันไม่มีพิษไม่ใช่เหรอ” โรแลนด์เลิกคิ้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เอามันมาทำบรรจุภัณฑ์ใส่ของกินกับหลอดดูดแน่
“แต่ถ้ามันผสมเข้ากับเลือด คุณสมบัติของมันจะเปลี่ยนไปพ่ะย่ะค่ะ”
“เลือด?” โรแลนด์งุนงง เขามองดูนิ้วเคโม “หรือว่าแผลบนมือของเจ้าก็เพื่อการทดลอง..”
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ อันนี้มันเป็นอุบัติเหตุพ่ะย่ะค่ะ” เคโมลูบเคราตัวเองพร้อมพูดยิ้มๆ ออกมา “ต่อให้กระหม่อมจะบ้าแค่ไหน แต่กระหม่อมก็ไม่มีทางเอาตัวเองไปทดลองหรอกพ่ะย่ะค่ะ เส้นทางแห่งเคมีนั้นยังอีกยาวไกล กระหม่อมอยากจะเดินไปให้ไกลกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ”
หลังฟังอีกฝ่ายอธิบาย ในที่สุดโรแลนด์ก็เข้าใจกระบวนการการค้นพบยางแบบใหม่
ของเหลวจากตัวแมลงยางจะแข็งตัวเมื่อผสมเข้ากับของเหลวที่ออกมาจากต่อมในร่างกายของแมลง แถมเมื่อผสมในสัดส่วนที่แตกต่างกัน มันก็จะทำให้เกิดยางชีวภาพที่มีความแข็งแตกต่างกัน แต่เมื่อแข็งตัวแล้ว มันก็จะไม่สามารถกลายสภาพกลับเป็นของเหลวได้
ตอนแรกเคโมใช้ประสบการณ์จากการทดลองทางเคมีของตัวเองด้วยการใส่ธาตุหรือน้ำกรดต่างๆ ลงไปในน้ำยาง สุดท้ายมันก็ไม่เกิดผลใดๆ
หลังจากนั้นเขาก็ลองเอาพวกเกลืออนินทรีย์ที่มีความซับซ้อนหรือพวกสารประกอบอินทรีย์ใส่ลงไป ถึงแม้ในระหว่างการทดลองจะมีการค้นพบยางลักษณะพิเศษที่น่าสนใจหลายแบบ แต่มันก็ยังไม่ใช่ยางในแบบที่โรแลนด์ต้องการ
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น
ในตอนที่เขากำลังตัดเส้นยางที่ไม่ใช้แล้ว เขาไม่ระวังจนโดนมีดบาดเข้าที่นิ้ว เลือดของเขาไหลออกมาจากนิ้วแล้วหยดลงไปในน้ำยางตัวอย่างที่กำลังรอการแข็งตัวอยู่ ภายในแก้วนั้นมีควันสีขาวพุ่งออกมาจำนวนมากทันที แล้วก็ทำให้เห็ดเบิร์ดคิสที่อยู่ในน้ำยางละลายกลายเป็นน้ำสีเหลือง
สุดท้ายของเหลวที่อยู่ในแก้วก็กลายเป็นเจลที่เหมือนจะแข็งตัวแต่ก็ไม่แข็ง
“จุดเด่นที่สุดของมันก็คือมันสามารถรักษาคุณลักษณะของวัตถุที่ใส่ลงไปผสมได้พ่ะย่ะค่ะ” เคโมเอาเจลลี่ที่แข็งตัวโยนเข้าในไปในเตาไฟ มันมีแสงสว่างวาบออกมาทันที เปลวไฟพุ่งสูงขึ้นไปหลายฟุต ไม่เหมือนกับชิ้นยางก่อนหน้านี้ที่จะค่อยๆ กลายเป็นสีดำจนสุดท้ายกลายเป็นขี้เถ้า “หม่อมฉันใส่น้ำมันเข้าไปในนั้นหนึ่งช้อนโต๊ะพ่ะย่ะค่ะ ถ้าเอาน้ำมันไปเผาโดดๆ บางทีอาจจะไม่ได้ผลเช่นนี้ เรียกได้ว่ามันดีกว่าสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการอีกพ่ะย่ะค่ะ!”
ถึงแม้เสียงของหัวหน้านักเล่นแร่แปรธาตุจะฟังดูเหนื่อยล้า แต่ในน้ำเสียงของเขากลับแฝงเอาไว้ด้วยความตื่นเต้น ในดวงตาของเคโมที่กำลังมองดูแสงไฟเหมือนมีเปลวไฟกำลังลุกโชนอยู่ เห็นได้ชัดว่าในหัวเขากำลังคิดภาพเวลาที่เอาเจลลี่พวกนี้ไปใช้งานในปริมาณมาก
ระเบิดนาปาล์มคือสิ่งที่โรแลนด์พยายามจะสร้าง
เดิมมันคือการเอาน้ำมันเบนซินไปผสมกับสารที่ทำให้แข็งตัว เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงที่เป็นของเหลวที่มีจุดวาบต่ำ อีกทั้งยังติดไฟง่ายและระเบิดง่ายแล้ว มันไม่เพียงแต่จะมีความปลอดภัยในการใช้งานมากกว่า แต่มันยังมีอานุภาพที่รุนแรงกว่าด้วย ระเบิดนาปาล์มสามารถสร้างความเสียหายได้เป็นวงกว้างในพริบตา ทันทีที่ตัวติดไฟก็ยากที่จะดับได้ ขณะเดียวกันเปลวไฟอันร้อนแรงยังทำให้ออกซิเจนเกิดการเผาไหม้ไปอย่างรวดเร็ว และทำให้คนขาดอากาศหายใจจนตาย
ในตอนที่เห็นของเหลวจากแมลงยางมีคุณสมบัติที่สามารถแข็งตัวได้ เขาก็คิดถึงเรื่องที่จะเอามันไปใช้ทำระเบิดนาปาล์มทันที
เพราะว่าหมอกแดงนั้นกลัวไฟ
ในยุคสมัยทาคิลา สิ่งที่ทำให้สมาพันธ์ปวดหัวมากที่สุดก็คือหอสังเกตการณ์ที่สร้างเสร็จเรียบร้อย หมอกแดงที่ขยายอาณาเขตออกมาทำให้กองทัพผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์บุกเข้าไปได้ลำบาก พวกเธอได้แต่ต้องใช้แม่มดที่มีความสามารถในการสกัดหรือกำจัดหมอกแดงค่อยๆ พาทุกคนเดินเข้าไป ภารกิจทำลายหอเก็บหมอกแดงจะตกเป็นหน้านี้ของกองทัพมนุษย์ธรรมดา ในสงครามที่ผ่านๆ มา กองทัพผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์มักจะต้องเสียหายอย่างหนักจากการที่ไม่มีความคล่องตัว ส่วนคนธรรมดานั้นยิ่งเสียหายหนักมากกว่า
แล้วก็เป็นเพราะต้องใช้กำลังคนอย่างมากในการทำลายหอเก็บหมอกแดง ทำให้กำลังของสมาพันธ์ต้องอ่อนแอลงในทุกครั้งที่ปีศาจสร้างหอสังเกตการณ์ขึ้นมา กระทั่งสมาพันธ์ไม่อาจต้านทานได้แล้ว สุดท้ายถึงถูกพวกปีศาจโถมโจมตีเข้ามาจากทุกด้าน
ถ้ามีความสามารถในการจุดไฟได้ตามใจชอบ ความน่ากลัวของหอสังเกตการณ์ก็จะลดลงอย่างมาก หมอกแดงที่ต้องใช้ในการดำรงชีวิตก็จะกลายเป็นเชือกที่รัดคอพวกมันเอง
น่าจะเป็นเพราะรู้สึกฝังใจอย่างมากกับการพ่ายแพ้ในสงคราม พวกพาซาร์ถึงได้ให้ความสำคัญกับแมลงยางขนาดนี้ โดยเฉพาะอาลิเธียที่ต้องแรกยังบ่นเรื่องที่จะเอาแมลงแปลกๆ มาเลี้ยงในเมืองชายแดนที่สาม แต่หลังจากที่เขาอธิบายแนวคิดเรื่องระเบิดนาปาล์มให้ฟัง ท่าทีของเธอก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แม้แต่น้ำเสียงที่พูดถึงแมลงก็เปลี่ยนไปด้วย
ตอนนี้โรแลนด์ไม่จำเป็นต้องฝืนไปสู้กับปีศาจในระยะใกล้ ก่อนที่พวกปีศาจจะถูกกำจัดไปหมดสิ้น เขาไม่มีวันปล่อยให้กองทัพที่หนึ่งออกไปจากขอบเขตความคุ้มครองของปืนใหญ่แม้แต่ก้าวเดียว ด้วยเหตุนี้ระเบิดนาปาล์มจึงเหมือนเป็นวิธีสนับสนุนการโจมตีอย่างหนึ่ง ถึงแม้ไม่มีมันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแผนการรบโดยรวม แต่ถ้ามีก็จะช่วยให้กองทัพประหยัดกระสุน แล้วก็ลดภาระในการผลิตให้กับกองอุตสาหกรรมเคมีได้
สิ่งที่เคโมค้นพบนั้นย่อมเป็นเรื่องดี แต่ปัญหาก็คือ…
“แต่เลือดมันไม่ใช่วัตถุดิบที่จะหาได้ง่ายๆ”
“วางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เคโมตอบ “มันไม่จำเป็นต้องใช้เลือดมนุษย์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ…เลือดของสัตว์อื่นๆ อย่างวัวหรือแกะก็ทำให้คุณสมบัติของมันเปลี่ยนไปได้เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ ในจุดนี้กระหม่อมได้ทำการทดสอบดูแล้ว เพียงแต่สิ่งสำคัญก็คือมันต้องเป็นเลือดสดๆ ที่เพิ่งออกมาจากตัวสัตว์พ่ะย่ะค่ะ”
นี่ทำให้โรแลนด์รู้สึกเบาใจได้ไม่น้อย แต่จากนั้นปัญหาที่สองก็ตามมา “ทำไมถึงต้องเป็นเลือด?”
“อันนี้…” เคโมพูดไม่ออกทันที
‘หม่อมฉันคิดว่าบางทีอาจจะเกี่ยวกับตัวของแมลงก็ได้เพคะ’ พาซาร์ตอบ ‘ถึงแม้พวกมันจะไม่มีการควบคุมของสัตว์ประหลาดหลายตาตัวนั้นแล้ว แต่สัญชาตญาณของมันยังคงมีอยู่ นั่นก็คือการไล่จับและเก็บเหยื่อเอาไว้ บางทีเลือดสดๆ อาจจะเป็นเงื่อนไขอย่างหนึ่งในการไล่จับเหยื่อก็ได้เพคะ’
สมมติฐานนี้ดูสมเหตุสมผลทีเดียว เขาคิดในใจ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่สัตว์ประหลาดหลายตาต้องการนั้นไม่ใช่อาหาร อย่างนั้นจะเก็บเหยื่อเอาไว้ในสภาพเดิมหรือเปลี่ยนให้มันเป็นเหมือนเจลลี่ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรสำหรับพวกมัน
“อย่างนั้นก็เริ่มการทดสอบอาวุธให้เร็วที่สุดแล้วกัน” โรแลนด์สั่งกำชับ “ในเมื่อมีวัตถุดิบอย่างที่ต้องการแล้ว ขั้นตอนต่อไปน่าจะใช้เวลาไม่เยอะ หลังจากนี้เจ้าให้นักเล่นแร่แปรธาตุจากเมืองหลวงเก่ามาเป็นคนรับผิดชอบต่อก็ได้ เพราะเจ้าก็เป็นคนบอกเองว่าเส้นทางแห่งเคมีนั้นยังอีกยาวไกล เจ้าต้องพักผ่อนก่อนถึงจะถูก”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เคโมเอามือขึ้นมาทาบที่หน้าอก
‘หม่อมฉันมีความคิดหนึ่งเพคะ’ จู่ๆ พาซาร์พลันพูดขึ้นมา
“อะไรเหรอ?” โรแลนด์มองไปทางเธอ
“บางทีเราน่าจะพาแขกพิเศษคนหนึ่งไปดูการทดสอบอาวุธด้วยเพคะ’ เธอค่อยๆ โบกหนวดหลัก
โรแลนด์เข้าใจทันทีว่าแขกพิเศษที่พาซาร์พูดถึงนั้นคือใคร “เจ้านั่นยังมีชีวิตอยู่อีกเหรอ?”
ในเมื่อไม่สามารถล้วงความลับมาได้มากนักในตอนที่ทำการสะท้อนวิญญาณ โรแลนด์ก็ไม่ได้หวังจะได้ข้อมูลอะไรมาจากปีศาจอีก ตอนนี้มันตกอยู่ในมือแม่มดทาคิลา ถ้าไม่ฆ่าตัวตายก็คงถูกทรมานจนตาย เขานึกว่าอีกฝ่ายกลายเป็นผีไปตั้งนานแล้ว
“มันไม่เลือกกินเพคะ ขอเพียงเอาอาหารให้มัน มันก็จะกินจนหมด ไม่เหลือแม้แต่นิดเดียว” พาซาร์อธิบาย
นี่แสดงให้เห็นว่ามันไม่มีความคิดอยากจะตายแม้แต่น้อย
ไม่ยอมแพ้แล้วก็ไม่ยอมสารภาพ
มันกำลังรอวินาทีที่มนุษย์ดับสูญ แล้วตัวมันเองได้รับอิสระอีกครั้ง
ต่อให้ความหวังจะริบหรี่ แต่มันก็ยังรอ
เพราะรู้สึกว่าการตายด้วยน้ำมือของแมลงมันน่าขายหน้าเหรอ?
“เข้าใจแล้ว” โรแลนด์ยิ้มมุมปาก “อย่างนั้นก็พามันไปด้วย”
………………………………………………………………………..
ตอนที่ 1074
ณ โรงละครในเขตเมืองชั้นในของเมืองหลวงเก่า
ด้านนอกห้องมีเสียงปรบมือดังสนั่น นั่นหมายความว่าการแสดงอันยอดเยี่ยมได้จบลงแล้ว
ส่วนการอ่านของเคแกน เฟสเองก็มาถึงช่วงท้ายแล้วเหมือนกัน
เขาถอดแว่นตาออก แล้วนวดดวงตาที่เมื่อยล้าของตนเล็กน้อย จากนั้นเอาบทละครวางกลับเข้าไปในชั้นหนังสือ
ชื่อเรื่องบนสันหนังสือคือ ‘หัวใจแห่งหมาป่า’
ไม่ใช่เท่านั้น บทละครที่วางอยู่ตรงตำแหน่งที่หยิบถนัดมือที่สุดบนชั้นหนังสือยังมี ‘บันทึกของแม่มด’, ‘เมืองใหม่’, ‘แดดยามเช้า’ หนังสือเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของขวัญที่เมย์มอบให้เขาก่อนจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์มา ถึงแม้หลายๆ คนในคณะละครจะคิดว่านี่เป็นการเยาะเย้ย แต่เขาก็รับมันมาทั้งหมด แล้วยังเอามาพลิกอ่านดูอยู่หลาบรอบ
นี่ไม่ได้เป็นเพราะตัวบทละครนั้นยอดเยี่ยม คนที่แต่งมันขึ้นมาเป็นมือใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย การบรรยายเหตุการณ์ก็ทื่อ แต่ที่เขาเอามันมาอ่านอยู่หลายรอบ นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่มีเรื่องอื่นให้ทำอีก
เคแกนพบว่าตัวเองนั้นสูญเสียความกระหายในการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ขึ้นมา
เขาหยิบปากกาขึ้นมา ภายในหัวมีภาพที่อยู่ในหนังเวทมนตร์ปรากฏขึ้นมา
ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อน สิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัวควรจะเป็นเวทีในโรงละคร
ตอนนี้เขาพบว่าตัวเองไม่สามารถคิดถึงเรื่องตำแหน่งการยืนของนักแสดงกับการจัดวางฉากหลังได้อีก มันก็เหมือนกับการที่เราไม่อาจพึงพอใจในความหวานของน้ำค้างได้อีก หลังจากที่ได้ชิมน้ำผึ้ง ในหนังเวทมนตร์ โลกทั้งใบสามารถกลายเป็นเวทีการแสดงได้ ผู้ชมและนักแสดงจะไม่มีระยะห่างระหว่างกันอีก ภาพอันน่าตกตะลึงนี้ได้เปิดประตูบานใหม่ให้กับเขา แต่หลังจากนั้นเขาก็ถูกกันเอาไว้อยู่นอกประตูบานนนั้น
ถึงแม้จะเหลือบดูข้างในแค่เพียงแวบเดียว แต่เคแกนก็ไม่สามารถถอนตัวจากมันได้
พูดให้ชัดก็คือไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะสร้างผลงานใหม่ขึ้นมา หากแต่ทุกความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวล้วน เขามักจะคิดไปถึงเรื่องหนังเวทมนตร์ทั้งหมด อย่างเช่นการซูมภาพรอยยิ้มในตอนที่เจ้าชายเจอกับองค์หญิงเป็นครั้งแรก หรือฉากหลังอันโดดเดี่ยวที่ค่อยๆ ถอยห่างออกไปในตอนที่ทั้งสองคนแยกจากกัน…ความคิดทำนองนี้แทบจะเอ่อล้นออกมาอยู่ตลอดเวลา
หนังเวทมนตร์ทำให้เขามีความคิดที่อยากจะลองทำนั่นทำนี่เยอะแยะเต็มไปหมด แต่ไม่มีความคิดไหนที่เกี่ยวข้องกับละครเวทีเลย
และก็เป็นเพราะความคิดที่ขัดแย้งกันนี้ที่ทำให้เคแกน เฟสรู้สึกทุกข์ทรมานอย่างมาก
มีแต่ตอนที่อ่านบทละคร เขาถึงจะลืมเรื่องพวกนี้ไปได้ชั่วคราว
แต่เขาเองก็รู้ว่านี้เป็นแค่การผ่อนคลายชั่วคราวเท่านั้น
เมย์ไม่ยอมบอก สำนักบริหารเองก็ไม่ตอบกลับ….นั่นก็หมายความว่าเมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้ปิดประตูใส่เขาแล้ว เขารู้ว่าตัวเองจะต้องทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้ไปจนกว่าจะหาทางเข้าใจหนังเวทมนตร์ได้
ทันใดนั้นเอง ด้านนอกพลันมีเสียงเคาะประตูของสาวใช้ดังขึ้นมา “นายท่าน มีจดหมายส่งมาถึงท่านเจ้าค่ะ”
เคแกนหลับตาแล้วนั่งพิงไปบนเก้าอี้ “วางไว้ข้างนอกนั่นแหละ เดี๋ยวข้าไปอ่านเอง”
หลังละครเวทีจบลง พวกลูกศิษย์ของเขาอย่างเรินต์แกน อีเกรโปมักจะเข้ามาในห้องหนังสือเพื่อคุยเรื่องการแสดงและขอคำชี้แนะจากเขา เขาคิดจะใช้เวลานี้ในการปรับอารมณ์ตัวเองเสียหน่อย
“แต่ว่า….บนจดหมายฉบับหนึ่งมันมีตราประทับของราชวงศ์เกรย์คาสเซิลอยู่ด้วยนะเจ้าคะ ท่านถ้าเป็นจดหมายที่ส่งมาจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ให้รีบเอามาให้ท่าน…..”
สาวใช้ยังพูดไม่ทันจบ เคแกนก็เปิดประตูห้องออกมา
“จดหมายอยู่ไหน?”
สาวใช้ที่กำลังตกใจส่งจดหมายปึกหนึ่งให้เขาอย่างลนลาน จากนั้นก็มองดูปรมาจารย์ด้านการแสดงหยิบเอาจดหมายฉบับนั้นไป ก่อนจะส่งจดหมายที่เหลือทั้งหมดกลับมาให้เธอ
จากนั้นประตูห้องก็ถูกปิดลง
เคแกนกลับมายังโต๊ะหนังสือ เขารีบแกะจดหมายออกอ่านอย่างร้อนใจ
นี่เป็นจดหมายที่ราชาวิมเบิลดันเขียนให้เขา!
หรือว่าในที่สุดอีกฝ่ายจะรู้เรื่องที่คณะละครเคแกนเดินทางไปยังเมืองเนเวอร์วินเทอร์เพื่อแสดงละครในพิธีราชาภิเษกแล้ว?
ถ้าสามารถติดต่อกับราชาแห่งเกรย์คาสเซิลได้ อย่างนั้นเขาก็ยังมีหวังเรื่องหนังเวทมนตร์น่ะสิ?
เขาพยายามสะกดความตื่นเต้นภายในใจ ก่อนจะกางจดหมายออกอ่าน
…..
“วันนี้ได้ดอกกุหลาบมากี่ดอกล่ะ?” อีเกรโปถามหยอกขึ้นมาในระหว่างที่กำลังเดินไปห้องหนังสือ
“สิบกว่าดอกมั้ง ข้าไม่ได้นับ” เรินต์แกนยักไหล่ “ยังไงซะมันก็น้อยกว่าเมื่อก่อน แต่ข้าก็ไม่ได้สนใจหรอก”
“ถ้าคนที่ชอบเจ้าได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ หัวใจพวกเขาคงแตกสลายแน่” อีเกรโปหัวเราะขึ้นมา “ที่ได้ดอกไม้น้อยลงมันก็ช่วยไม่ได้ ก็ฝ่าบาททรงจับขุนนางครึ่งหนึ่งไปทำงานที่เหมืองหมดแล้ว ที่นี่เองก็กลายเป็นเมืองหลวงเก่า คนที่มีเวลาว่างมาดูละครก็ย่อมต้องน้อยลงกว่าเมื่อก่อน แต่ขอเพียงเมืองยังอยู่ ทุกอย่างต้องค่อยๆ กลับไปเป็นเหมือนเดิมแน่”
“แต่ข้าว่ายังมีคนส่งดอกไม้มาให้ก็ถือว่าดีมากแล้ว” เบอร์นี่พูด “คณะละคร 6 คณะ ตอนนี้เหลือแค่ 3 คณะ หวังว่าพวกเราคงไม่กลายเป็นหนึ่งในนั้นหรอกนะ”
สีหน้าเรินต์แกนดูเศร้าใจขึ้นมา “นั่นสิ สงครามครั้งนั้นมันเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างไปมากทีเดียว…”
“อะแฮ่มๆ เลดี้ทั้งสอง ความจริงพวกเราเองก็ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้นะ” อีเกรโปกระแอมออกมา “ที่คณะละครเคแกนเติบโตได้เร็วขนาดนี้ก็เป็นเพราะว่าคนจากคณะละคร 3 คณะนั้นย้ายมาอยู่กับเราไม่ใช่เหรอ? การเปลี่ยนขั้วอำนาจนั้นเราไม่อาจไปควบคุมมันได้ แต่ในประวัติศาสตร์มันก็มีการเปลี่ยนอำนาจแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง ทุกคนก็ยังอยู่รอดมาได้ไม่ใช่เหรอ? เอาเป็นว่าอย่าท้อ อาจารย์กำลังรอพวกเราอยู่นะ อย่าทำให้อาจารย์เห็นสีหน้าท้อแท้ของพวกเราล่ะ”
เมื่อพูดถึงเคแกน เฟส ทุกคนก็พยักหน้าขึ้นมาทันที ถูกต้อง นับตั้งแต่ที่กลับมาจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ อาจารย์ก็เหมือนจะแก่ไปมากกว่าเดิม เป็นเพราะเมย์นั่นแหละที่ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลของหนังเวทมนตร์ แถมยังอ้างว่าอาจจะเป็นการเปิดเผยความลับได้ ในเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาก็มีแต่ต้องพยายามให้มากขึ้นกว่าเดิม
“อาจารย์ พวกข้ามาแล้ว”
อีเกรโปผลักประตูเข้าไป แต่เขาก็ต้องตกตะลึงไปเล็กน้อย
บรรยากาศภายในห้องเหมือนจะแปลกไปจากเดิม
เคแกน เฟสไม่ได้นั่งรอพวกเขาอยู่ที่เบาะเหมือนอย่างทุกที่ หากแต่ยืนสีหน้าเหม่อลอยอยู่ตรงโต๊ะทำงาน ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงจะมองมาพวกอีเกรโป “…เข้ามาสิ”
“อาจารย์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?” เบอร์นี่เองก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของอีกฝ่าย
“เมืองเนเวอร์วินเทอร์ส่งจดหมายมา เป็นจดหมายจากฝ่าบาท” เคเกนหยิบจดหมายที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาส่งให้ทุกคน “พวกเจ้าลองอ่านดู”
“ดะ..ได้เหรออาจารย์?”
“อื้อ ไม่เป็นไร”
หลังได้รับอนุญาต อีเกรโปก็รับเอาจดหมายมา
คนอื่นๆ ล้อมวงเข้ามาทันที
เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังของทุกคน เคแกนก็แอบถอนใจออกมา เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้พวกเขากำลังคิดเหมือนกับตัวเองตอนที่รับเอาจดหมายมาอ่าน พวกเขาคิดว่าฝ่าบาททรงรู้เรื่องที่มีคนแอบขัดขาไม่ให้พวกเขาขึ้นแสดง จนทำให้พวกเขาต้องกลับมาเมืองหลวงเก่าโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ในเมื่อตอนนี้ฝ่าบาททรงรู้เรื่องแล้ว อย่างนั้นคนๆ นั้นจะต้องโชคร้ายอย่างแน่นอน
เขาเดาถูกแค่ในช่วงแรกของจดหมาย แต่กลับเดาผิดในช่วงหลัง
จริงอยู่ที่ฝ่าบาทพอพระทัยในความอยากรู้อยากเห็นของเขา ในจดหมายก็มีการอธิบายหลักการทำงานคร่าวๆ ของหนังเวทมนตร์เอาไว้ ฝ่าบาททรงอธิบายว่าหนังเวทมนตร์นั้นใช้ ‘เครื่องมือ’ อย่างหนึ่งที่แม่มดเป็นคนสร้างและกระตุ้นขึ้นมาในการบันทึกภาพเรื่องราวต่างๆ แต่การจะสร้าง ‘เครื่องมือ’ ที่ว่านั้น แค่แม่มดอย่างเดียวนั้นยังไม่พอ มันจะต้องใช้โบราณวัตถุบางอย่างด้วย ซึ่งของเหล่านี้ล้วนแต่หายากอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ ‘เครื่องมือ’ ที่ว่านี้จึงมีจำนวนน้อยมากเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่ามันเป็นของที่ประเมินค่าไม่ได้ แล้วก็หาซื้อที่ไหนไม่ได้ด้วย
อีกฝ่ายนั้นเขียนบอกว่าตรงๆ ว่า ‘ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามที่อันตรายอย่างมาก ทรัพยากรจากที่ต่างๆ จำเป็นต้องถูกใช้เพื่อความอยู่รอดของเกรย์คาสเซิลเป็นอันดับแรก หนังเวทมนตร์เองก็เช่นเดียวกัน คิดว่าพวกเจ้าคงได้เห็นแล้วว่ามันสร้างความตกตะลึงได้มากแค่ไหน มันความความสำคัญอย่างมากในเรื่องการประชาสัมพันธ์ ดังนั้นต้องขอโทษด้วยที่ไม่อาจอนุญาตให้นำมันไปใช่ในละครที่ไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายของอาณาจักรได้’
‘แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นเช่นนี้ไปตลอด หลังจากที่อาณาจักรกลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง ในตอนนั้นหนังเวทมนตร์ก็จะกลายเป็นละครชนิดใหม่ที่ทุกคนสามารถถ่ายทำได้ เมื่อถึงตอนนี้ ข้าคิดว่าเจ้ากับคณะละครของเจ้าคงจะเตรียมผลงานดีๆ เอาไว้’
ถ้าเพียงเท่านี้ อย่างมากเขาก็คงแค่รู้สึกจนปัญญาเท่านั้น
แต่เสียดายที่ฝ่าบาททรงไม่ได้คิดเช่นนั้นจริงๆ
เขาได้รับแจ้งจากทางสำนักบริหารตั้งแต่แรกแล้ว และคนที่ปฏิเสธคณะละครของเขาก็คือตัวฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดัน
นี่ต่างหากที่เป็นสิ่งที่ทำให้เคแกนรู้สึกปวดใจมากที่สุด
การไปแสดงละครเวทีในงานราชาภิเษกนั้นเป็นความต้องการของเขาเพียงฝ่ายเดียว
ความจริงอีกฝ่ายไม่ได้มองละครเวทีที่คณะละครเคแกนเตรียมมาอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ถ้าแม้แต่ละครเรื่องใหม่ที่เขาตั้งใจทำขึ้นมายังไม่อาจทำให้ราชาสนใจได้ อย่างนั้นคำพูดที่บอกว่า ‘ผลงานดีๆ’ ที่บอกเอาไว้ในจดหมายก็คงเป็นแค่เพียงคำพูดตามมารยาทเท่านั้น
เขาไม่เพียงแต่จะคิดเข้าข้างตัวเอง แต่เขายังทำร้ายเมย์ทางอ้อมด้วย
………………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น