Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1060-1063
ตอนที่ 1060
ร่ำลา
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังเตรียมตัวมาเป็นเวลาหนึ่งปี เมืองเนเวอร์วินเทอร์ในตอนนี้ก็เหมือนเรือรบติดอาวุธที่เดินหน้าด้วยความเร็วเต็มที่
เดือนแห่งปีศาจไม่สามารถขัดขวางการรวบรวมทรัพยากรจากเมืองต่างๆ ที่อยู่รอบเมืองหลวงแห่งใหม่นี้ได้ ทางสำนักบริหารเคยคิดว่าประชากร 1 แสนคนนั้นเป็นเป้าหมายที่ไม่มีทางเป็นจริงได้ แต่ผ่านไปแค่ปีเดียว ประชากรภายในเมืองก็เพิ่มขึ้นจนบรรลุเป้าหมายนี้ การเข้ามาของแรงงานใหม่จำนวนมากทำให้อุตสาหกรรมต่างๆ พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่โรงงานอุตสาหกรรมเคมีก็เพิ่มขึ้นกลายเป็น 4 แห่ง ส่วนโรงงานที่เกี่ยวกับการแปรรูปหรือประกอบเครื่องจักรนั้นมีจำนวนมากกว่า 10 แห่ง
จากตัวเลขที่จดบันทึกเอาไว้ ทุกเดือนทางสำนักบริหารต้องจ่ายเงินเดือนเกือบๆ 1 หมื่นเหรียญทอง ซึ่งในตอนแรกๆ ที่โรแลนด์มายังเมืองแห่งนี้ เงินรายได้ที่เยอะที่สุดนั้นเพียงแค่ 24,000 เหรียญทองเท่านั้น ซึ่งเป็นเงินที่ได้มาหลังจากบุกยึดป้อมปราการลองซอง พูดอีกอย่างก็คือเงินที่ดยุคแห่งดินแดนตะวันตกคนนั้นเก็บสะสมมาชั่วชีวิตพอที่จะจ่ายเงินเดือนได้แค่ 2 เดือนครึ่งเท่านั้น
เครื่องจักรไอน้ำ เรือกลไฟ น้ำหอมและเครื่องดื่มยุ่งเหยิงกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ทางเมืองเนเวอร์วินเทอร์ขายสินค้าเหล่านี้ไปยังฟยอร์ดกับสี่อาณาจักรใหญ่ผ่านทางหอการค้าร่วม เมื่อตัดเงินค่าจ้างที่ต้องจ่ายไปแล้ว เงินที่เหลือก็ล้วนแต่แปรสภาพกลายเป็นวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์งานฝีมือ เงินหมุนเวียนไปๆ มาๆ จนกลายเป็นสมดุลที่มีความละเอียดอ่อน ส่วนเงินสะสมที่อยู่ในคลังก็เริ่มลดน้อยลงไปด้วย
เรียกได้ว่านี่เป็นรูปแบบการพัฒนาที่ไม่มีความสมดุลเท่าไร แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสงครามแห่งโชคชะตาที่ใกล้เข้ามา โรแลนด์ไม่มีตัวเลือกให้เลือกมากนัก
ถ้าไม่เอาทรัพยากรไปทุ่มให้กับอุตสาหกรรมหนัก ปืนก็จะไม่สามารถยิงออกไปได้ ปืนใหญ่ก็จะไม่มีลูกกระสุนให้ใช้
มีแต่แบบนี้เท่านั้น เขาถึงจะติดอาวุธให้กับทั้งกองทัพได้
การเพิ่มกำลังพลในกองทัพจาก 8,000 เป็น 10,000 นั้นเป็นแค่เพียงพื้นฐาน กองทัพอากาศที่รับผิดชอบสั่งการโดยทิลลีก็กำลังอยู่ในช่วงการเตรียมตัวอยู่ นอกจากนี้ ‘กฎหมายเกณฑ์ทหาร’ และ ‘กฎหมายเคลื่อนกำลังพัล’ ก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการร่างกฎหมาย โดยกฎหมายทั้งสองข้อนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำสงครามให้กับเมืองเนเวอร์วินเทอร์ และเป็นการบังคับให้นักเรียน คนงานและชาวนาต้องฝึกระเบียบวินัยพื้นฐาน คล้ายๆ กับวิชาทหารในโลกสมัยใหม่ ถึงแม้จะไม่สามารถทำให้พวกเขาจับปืนลงไปในสนามรบได้ แต่ในเวลาเร่งด่วนที่ต้องการกำลังพลเข้าไปเสริมนั้นจะช่วยร่นระยะเวลาในการฝึกซ้อมลงได้
เนื่องจากเวลาในการปรากฏขึ้นมาของพระจันทร์สีแดงนั้นเกิดความคลาดเคลื่อนอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจมั่นใจได้ว่าสงครามแห่งโชคชะตาจะเริ่มขึ้นเมื่อไร ถ้าดีหน่อยก็อาจจะ 4 – 5 ปีหลังจากนี้ ถ้าเลวร้ายที่สุดก็อาจจะ 1 – 2 ปีหลังจากนี้ สำหรับโรแลนด์แล้ว เป้าหมายทางกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการเปลี่ยนแนวป้องกันให้กลายเป็นแนวโจมตีก่อนที่พระจันทร์สีแดงจะมาถึง เพื่อให้เปลวเพลิงแผดเผาในดินแดนของศัตรู
ด้วยเหตุนี้ปีศาจที่ปักหลักอยู่ตรงซากเมืองทาคิลาคือเสี้ยนหนามที่เขาต้องกำจัดทิ้ง
ความจริงการขนส่งเสบียงอาวุธและการเคลื่อนย้ายกำลังพลได้เริ่มไปตั้งแต่ช่วงปลายฤดูหนาวแล้ว
ซึ่งความได้เปรียบของการขนส่งด้วยรางเหล็กนั้นก็อยู่ที่ตรงนี้ ต่อให้ทั่วทั้งที่ราบลุ่มบริบูรณ์ในเต็มไปด้วยหิมะ แค่ขอเพียงทำความสะอาดรางเหล็กเสร็จ สิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ในการทำสงครามก็จะสามารถขนไปที่แนวหน้าได้อย่างต่อเนื่อง
เหล็กกล้าที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ผลิตได้ส่วนใหญ่ได้กลายเป็นรางเหล็กเส้นแล้วเส้นเล่า เส้นทางที่แอบซ่อนอยู่ในป่าเร้นลับได้ทำการติดตั้งเสร็จเรียบร้อย เรียกได้ว่าขอเพียงโรแลนด์สั่งการมาเพียงคำเดียว สงครามทางเหนือครั้งใหม่ก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ไม่ว่าจะเป็นกองทัพหรือว่าเมือง ก็ล้วนแต่อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมที่จะทำสงคราม
แต่ว่าก่อนหน้านั้นเขายังมีเรื่องที่ต้องทำอีกสองเรื่อง
……
วันที่สองหลังเดือนแห่งปีศาจสิ้นสุดลง โรแลนด์ก็ได้ตอบรับคำขอเข้าเฝ้าจากธันเดอร์
“ทำไมถึงกลับเร็วขนาดนี้ล่ะ?” เขาจัดชุดชายามบ่ายอย่างง่ายๆ ภายในห้องรับแขก อีกทั้งยังเชิญอันนาและมาร์จอรีมาด้วย สำหรับวาณิชหญิงที่ค่อนข้างเข้ากันได้ดีกับไลต์นิ่งคนนี้ สิ่งที่เขาช่วยเธอได้ก็มีเพียงเท่านี้ “อยากจะรีบกลับไปสำรวจทะเลชาโดว์เหรอ?”
“กระหม่อมรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถปิดบังพระองค์ได้พ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์หัวเราะขึ้นมา “ทุกครั้งที่ได้ขับเจ้าเรือเหล็กนั่น กระหม่อมมักจะจินตนาการไปถึงภาพมันล่องฝ่าคลื่นลมในทะเลไปข้างหน้า ถ้าเป็นไปได้ กระหม่อมอยากจะขับไปมันยังเส้นทะเลตอนนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ล่องไปได้ครึ่งทางทุกคนคงต้องขาดข้าวขาดน้ำแน่” มาร์จอรี่ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ “นอกจากนี้พวกสมาคมหอการค้าที่ลงทุนกับท่านคงจะไม่ยินดีที่เห็นท่านทิ้งกองเรือของพวกเขาเอาไว้ข้างหลัง นอกเสียจากท่านไม่คิดที่จะกลับไปยังฟยอร์ดอีก”
“ฮ่าๆๆ ข้าก็แค่อยากแสดงความตื่นเต้นภายในใจให้ฝ่าบาทรับรู้เท่านั้น” เขาลูบคางตัวเอง” ก็เหมือนที่มาร์จอรีว่ามานั่นแหละพ่ะย่ะค่ะ การสำรวจครั้งนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของกระหม่อมเพียงคนเดียวเท่านั้น สำหรับฟยอร์ดแล้ว การบุกเบิกพื้นที่ทางทะเลใหม่นั้นหมายถึงโอกาสและเงินทอง ทำให้ไม่มีหอการค้าไหนที่จะไม่หวั่นไหวกับเรื่องนี้ นี่คงจะเป็นการสำรวจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟยอร์ดเลยก็ว่าได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจึงต้องรีบกลับไปเพื่อเตรียมตัวพ่ะย่ะค่ะ”
ดูเหมือนหลังจากที่ธันเดอร์ได้ทำการประกาศและเกณฑ์คนเพิ่มขึ้น การออกทะเลในครั้งนี้ก็ได้เปลี่ยนจากทีมเล็กๆ กลายเป็นกลุ่มขนาดใหญ่แล้ว โรแลนด์ยิ้มพร้อมจิบชา สมแล้วที่เป็นนักสำรวจที่มีชื่อเสียงที่สุดของฟยอร์ด เพียงแค่บอกความตั้งใจของตัวเองออกมาก็สามารถดึงเงินลงทุนมาได้จำนวนมหาศาลแล้ว “ดูเหมือนในเวลาไม่กี่เดือนนี้เจ้าจะควบคุมเรือได้คล่องแล้วสินะ”
“นี่เป็นเพราะฝ่าบาทอันนาพ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์หันไปทำความเคารพให้อันนา “การปรับปรุงแก้ไขตัวเรือของพระองค์นั้นมีส่วนช่วยอย่างมาก หากไม่เป็นเพราะกระหม่อมได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง กระหม่อมคงไม่มีทางเชื่อแน่ว่าเรือเหล็กที่ใหญ่โตแบบนี้จะมีความคล่องแคล่วมากกว่าเรือใบสามเสาพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเองก็อยากจะวานเจ้าเรื่องหนึ่งเหมือนกัน” อันนาพยักหน้า “ตอนที่ทดสอบเรือลำนี้ พวกเราแค่ทดสอบมันในพื้นที่ใกล้ๆ กับหาดน้ำตื้นเท่านั้น ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ ข้าอยากจะได้รายงานตอนที่มันเล่นอยู่ในทะเลจริงๆ ถ้ามีปัญหาอะไรก็ให้บันทึกเอาไว้ให้หมด จะดีที่สุดถ้าใช้หมึกกันน้ำแบบใหม่ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์กับเก็บมันเอาไว้ในถุงปิดผนึก แบบนี้ต่อให้ตกลงไปในน้ำมันก็จะไม่ได้รับความเสียหาย
น่าจะเป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูดขอร้องจริงจังแบบนี้ ธันเดอร์จึงตกตะลึงไปเล็กน้อยก่อนพูดยิ้มๆ ออกมาว่า “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวกระหม่อมจะจัดการเรื่องนี้ให้เองพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
โรแลนด์ลูบหัวอันนาอย่างเอ็นดู จากนั้นจึงหันมามองธันเดอร์ “ข้าเองก็มีเรื่องหนึ่งอยากจะวานเจ้าเหมือนกัน”
“ทรงรับสั่งมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าอยากจะจ้างนักสำรวจซักกลุ่มหนึ่ง”
“ไม่เกี่ยวกับการสำรวจครั้งนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์เข้าใจทันที
“ถูกต้อง” โรแลนด์วางถ้วยชาลง “ข้าอยากจะให้พวกเขาไปดูตรงแหลมเอนด์เลสซักหน่อย”
“กระหม่อมจำได้ว่าที่นั่นมันไม่มีอะไรเลยนอกจากทะเลทรายกับน้ำสีดำไม่ใช่เหรอเพคะ” มาร์จอรีพูดอย่างแปลกใจ
“ก่อนหน้านี้ข้าเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน…” โรแลนด์ยักไหล่ “แหลมเอนด์เลสแทบจะไม่มีความเสี่ยงอะไรเลย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเป็นนักสำรวจที่มีประสบการณ์มากก็ได้ พูดอีกอย่างก็คือเน้นจำนวนเป็นสำคัญ”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้อธิบายอะไรละเอียดนัก ธันเดอร์ก็ไม่ได้ไล่ถามต่อ “คนแบบนี้ที่ฟยอร์ดมีเยอะแยะพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าเกณฑ์ในการคัดเลือกของพระองค์…”
“ไม่มี” โรแลนด์ตอบ “ถึงจะบอกว่าเป็นนักสำรวจ แต่จริงๆ แล้วจะเป็นใครก็ได้ ขอเพียงเจอซากโบราณวัตถุอะไรใหม่ๆ ในแหลมเอนด์เลส ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามก็จะได้รางวัลทั้งหมด”
“ต่อให้เป็นแค่ก้อนอิฐจากซากโบราณสถานหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ถูกต้อง แต่สิ่งสำคัญคือมันต้องมาจากแหลมเอนด์เลส” เขาย้ำชัดว่า “ข้อมูลที่อยู่ในโบราณวัตถุยิ่งเยอะ รางวัลก็จะยิ่งมาก งานนี้มีผลในระยะยาว ขอเพียงข้ายังเป็นราชาของเกรย์คาสเซิล มันก็ยังมีผลอยู่”
“พระองค์ทรงออกปากรับรองเช่นนี้ เกรงว่าหลังจากนี้ที่ตรงนั้นคงเต็มไปด้วยคนแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ” มาร์จอรี่เอามือปิดปากเพราะหัวเราะออกมา “หม่อมฉันกำลังคิดว่าจะฉวยโอกาสนี้ไปเปิดร้านเหล้าที่ท่าเรือเรฟเวลรี่ดีหรือไม่?”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง” การกระตุ้นเศรษฐกิจตรงอ่าวน้ำมันนั้นเป็นหนึ่งในเป้าหมายของโรแลนด์เหมือนกัน เพราะว่าอารยธรรมที่อยู่ในภาพวาดนั้นมีประวัติศาสตร์อย่างน้อยๆ ก็ 1,400 กว่าปี ที่นั่นจะยังมีเศษซากอะไรหลงเหลืออยู่หรือเปล่าก็ยังไม่อาจทราบได้ การเสนอจ้างงานโดยมีรางวัลให้นั้นถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยทีเดียว
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์เอ่ยปาก “ในเมื่อเรือเหล็กผ่านการทดสอบลงทะเลแล้ว อย่างนั้นไม่ทราบว่ามันมีชื่อหรือยังพ่ะย่ะค่ะ?”
“มีแน่นอน ข้าอยากจะตั้งชื่อให้มันว่าสโนวบรีซ”
“สโนวบรีซ…หรือพ่ะย่ะค่ะ” นักสำรวจนิ่งไปเล็กน้อย “เป็นชื่อที่เพราะจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ แต่มันจะดูอ่อนโยนเกินไปหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ ดูแล้วไม่ค่อยเข้ากับตัวเรือที่เป็นเหล็กของมัน?”
“แข็งอ่อนผสมกันมันถึงจะดีที่สุด” โรแลนด์ยิ้มมุมปากขึ้นมา “ที่สำคัญกว่านั้นก็คือข้าคิดว่าชื่อนี้มันจะนำเอาโชคดีมาให้เจ้าในการเดินทางครั้งนี้ด้วย”
…………………………………………………………………………
ตอนที่ 1061
งานแข่งกีฬา
โดย
Ink Stone_Fantasy
เสียงหวูดของเรือดังขึ้น ตัวเรือค่อยๆ เคลื่อนออกมาจากอ้าวน้ำตื้น
โจนที่ยืนอยู่ท้ายเรือกำลังร่ำลาเพื่อนทีมนักสำรวจ หลังอยู่ด้วยกันมาหนึ่งฤดูหนาว ความสัมพันธ์ของเธอกับเหล่าแม่มดก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก น่าจะเป็นเพราะว่าเธอไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกที่ถูกคนอื่นห่วงใยมาเป็นเวลานาน มิตรภาพที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้จึงดูเข้มข้นเป็นพิเศษ
ประโยคที่บอกว่า ‘แล้วเจอกันใหม่ยาาา’ ที่เธอพูดซ้ำไปซ้ำมาอย่างยากลำบากคือประโยคสุดท้ายที่เธอเรียนรู้ก่อนจะออกมา
สีหน้าของไลต์นิ่งดูค่อนข้างอ้างว้าง เธอมองไปทางท้ายเรือด้วยสายตาที่สับสน มีหลายครั้งที่โรแลนด์อยากจะบอกเธอว่าธันเดอร์อยู่บนเรือ แต่เมื่อคิดถึงคำขอของอีกฝ่าย สุดท้ายเขาก็เก็บความคิดนี้เอาไว้ในใจ
เมซี่เอามือมาปิดปาก ไหล่ของเธอกระตุกขึ้นมา ในดวงตามีหยดน้ำไหลซึม เธอไม่สามารถพูดคำร่ำลาออกมาได้ คงเพราะกลัวว่าเธอจะร้องไห้ออกมาทันทีที่เอ่ยปาก
มีเพียงโลก้าที่ดูสงบเยือกเย็น เธอใช้หางโอบเมซี่เอาไว้ มือข้างหนึ่งจับเมซี่เอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็โบกลาโจน การตายและการแยกจากคือเรื่องปกติสำหรับชาวโมเกน เธอเคยชินกับการจากลาแบบนี้มานานแล้ว
ในสายตาของโรแลนด์ เมื่อเทียบกับเจ้าหญิงลำดับที่สามของเผ่าไวลด์เฟลมที่มักจะไปไหนมาไหนตัวคนเดียวในตอนที่มาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์ในตอนแรกแล้ว โลก้าในเวลานี้นั้นแตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก ในจุดนี้บางทีแม้แต่ตัวเธอเองก็อาจจะไม่ได้สังเกต
ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่โรแลนด์ไม่ได้เอ่ยปากพูดออกไป
เมื่อมีเพื่อนแบบนี้อยู่ เขาเชื่อว่าซักวันไลต์นิ่งจะต้องกลับมาเป็นปกติแน่
ส่วนพี่น้องที่จากลากัน สุดท้ายก็จะได้กลับมาเจอกันอีก
…..
วันถัดมาหลังจากที่ธันเดอร์จากเมืองไป โรแลนด์ก็ประกาศข่าวเรื่องงานแข่งขันกีฬาสมัยแรกของเมืองหลวงใหม่ผ่านทางหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์
โดยรายการแข่งขันนั้นมีเพียงรายการเดียว นั่นก็คือวิ่งระยะไกล
ออกตัวจากเขตเมืองหลักของเนเวอร์วินเทอร์หรือเขตลองซอง ส่วนเส้นชัยนั้นอยู่ตรงกึ่งกลางของถนนหลวง ระยะทางทั้งหมด 28 กิโลเมตร คนที่เข้าเส้นชัยเป็น 10 คนแรกจะได้รับเงินรางวัล 100 เหรียญทองไปจนถึง 10 เหรียญทองลดหลั่นกันไป แถมคนที่เป็นผู้ชนะยังจะได้รับเหรียญที่ระลึกจากมือของราชาด้วย
ข่าวนี้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนตะวันตกทันที!
ทุกตรอกซอยซอยต่างก็พากันพูดคุยเรื่องการแข่งขัน กระแสความฮือฮาในเรื่องนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าการฉายหนังเวทมนตร์เลย
ถ้ามีเงิน 100 เหรียญทองล่ะก็ พวกเขาจะสามารถดาวน์บ้านที่มีทั้งน้ำ เครื่องทำความร้อนและไฟฟ้าในชุมชนที่อยู่ใกล้กับเขตเมืองที่สุดได้ นอกจากพวกชาวบ้านที่อพยพมายังที่นี่เป็นกลุ่มแรกสุดแล้ว บ้านในพื้นที่ตรงนี้คือความฝันของประชาชนจำนวนมากในเมืองเนเวอร์วินเทอร์
ถึงแม้เมืองหลวงแห่งใหม่จะไม่มีการแบ่งเมืองเป็นเขตชั้นในชั้นนอกเหมือนที่ผ่านมา อีกทั้งแต่ละเขตภายในเมืองก็ไม่มีการกั้นด้วยกำแพง แต่ผู้คนก็ยังหวังที่จะได้อยู่ใกล้ๆ ราชา
เมื่อก่อนเป้าหมายอันนี้จำเป็นต้องใช้เงินเก็บทั้งชีวิตในการทำให้มันกลายเป็นจริง แต่ตอนนี้กลับมีโอกาสที่จะทำให้มันเป็นจริงได้ในทันที!
นี่ไม่เหมือนกับรางวัลที่มอบให้คนที่ทำคุณงามความดีหรือเป็นวีรบุรุษในสงคราม โดยอย่างแรกนั้นส่วนใหญ่จะเป็นพวกบุคคลระดับปรมาจารย์ในสายอาชีพ ถึงแม้จะไม่ได้รับเงินทองเป็นรางวัล พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะเดือนร้อนในเรื่องเงิน ส่วนอย่างหลังนั้นจำเป็นต้องใช้ชีวิตเข้าแลก ต้องมีทั้งความกล้าแล้วก็โชค จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้
แล้วงานแข่งขันกีฬาล่ะ?
ขอเพียงวิ่งได้ก็พอ!
มีใครบ้างล่ะที่ไม่มีขา?
ในสายตาของทุกคน ที่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความรักและความเมตตาที่ฝ่าบาททรงมีต่อประชาชน
สิ่งที่ทำคนรู้สึกยินดีมากกว่านั้นก็คือที่ผ่านมาพวกนโยบายดีๆ นั้นมักจะมีไว้ให้กับพลเมืองอย่างเป็นทางการของเมือง แต่งานแข่งขันกีฬาในครั้งนี้ ‘ประชาชนทุกคน’ สามารถมีส่วนร่วมได้
ไม่เพียงแต่คนของเมืองเนเวอร์วินเทอร์เท่านั้น แม้แต่พ่อค้าจากเมืองอื่นๆ ก็สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้
ดังนั้นการที่กิจกรรมอันใหม่นี้จะสร้างอิทธิพลได้มากขนาดนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แน่นอนว่าโรแลนด์ไม่ได้แค่ต้องการจะมานั่งดูว่าใครเร็วกว่าใครเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น ตัวการแข่งขันกีฬานั้นมีไว้เพื่อเพิ่มความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กระตุ้นให้ผู้คนท้าทายตัวเองและทุ่มเทเพื่อที่จะคว้าชัยชนะมาให้ได้ ในฐานะที่เป็นควันหลงจากวันฉลองชัย แล้วก็เป็นสัญญาณก่อนที่จะเริ่มทำสงคราม ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่จะกระตุ้นจิตใจคนได้ดีกว่าการแข่งขันกีฬาแล้ว
นอกจากนี้เขายังจัดการแข่งขันกีฬาขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์เล็กๆ อีกเรื่องหนึ่งด้วย
นั่นก็คือการประชาสัมพันธ์จักรยานอีกครั้ง
เขารู้สึกผิดกับนโยบายที่ล้มเหลวนี้มาตลอด มันคือสิ่งประดิษฐ์ที่ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลภาคภูมิใจ บารอฟเองก็ประชาสัมพันธ์อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังมีป้ายโปสเตอร์แขวนอยู่เต็มลานเมือง แต่ผลปรากฏว่าหลังจากผลิตไปได้สองร้อยกว่าคัน มันก็ต้องหยุดผลิตไปเนื่องจากขาดผลิตภาพในการผลิต โรงงานไม่เพียงแต่จะถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงงานประกอบเครื่องจักรไอน้ำ แต่จักรยานกว่าครึ่งยังถูกแจกจ่ายให้คนงานเป็นค่าจ้างด้วย
ภาพผู้คนขี่จักรยานไปมาระหว่างเขตต่างๆ อย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่เพียงแต่จะไม่เกิดขึ้น แถมมันยังทำให้สูญเสียทรัพยากรไปไม่น้อยจากการวางแผนไม่เหมาะสมด้วย อย่างเช่นเครื่องจักรที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อประกอบโครงจักรยานนั้นต้องถูกส่งกลับเข้าเตาหลอมใหม่ทั้งหมด ส่วนจักรยานที่เหลืออีกครึ่งก็ไม่สามารถส่งมอบให้กับกองทัพที่หนึ่งได้เนื่องจากมีขนาดเล็กเกินไป จักรยานที่เหลือทั้งหมดจึงถูกเก็บเอาไว้ในโกดัง
เรียกได้ว่าในบรรดาโครงการจำนวนมากที่เขาสร้างขึ้นมา มันเป็นโครงการเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ใดๆ เลย
เขาย่อมต้องพยายามคิดหาวิธีลบล้างความรู้สึกผิดตรงนี้ออกไปให้ได้
สถานการณ์ของเมืองในตอนนี้นั้นไม่เหมือนกับเมื่อสองสามปีก่อนแล้ว การขยายตัวอย่างรวดเร็วทำให้พื้นที่ของเมืองเพิ่มขึ้นอย่างมาก เขตชุมชนใหม่ๆ ถูกสร้างเรียงไปตามถนนหลวงของอาณาจักร ทำให้นับวันเขตชุมชนใหม่ๆ นั้นอยู่ไกลจากโรงงาน ท่าเรือและเหมืองออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ การเดินทางกลายเป็นเรื่องที่ทำให้เสียทั้งแรงและเวลา แต่ถนนที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่จะทำให้สามารถขี่จักรยานไปถึงสถานที่ที่ต้องการได้อย่างสบายๆ
อันดับต่อมาคือผลิตภาพของเมืองเนเวอร์วินเทอร์นั้นเพิ่มขึ้นสูงมากเช่นเดียวกัน บวกกับการที่มีแมลงยางและเครื่องจักรใหม่ๆ ทำให้สามารถถอดแม่มดออกจากการผลิตได้โดยที่ไม่ส่งผลกระทบใดๆ แม้แต่น้อย
และในเวลานี้ก็เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะทำการผลักดันรถจักรยาน
ขอเพียงให้กองทัพที่สองขี่จักรยานตามกลุ่มผู้เข้าแข่งขันไปเพื่อคอยบอกทางและคอยให้ความช่วยเหลือ ทุกคนก็ได้เห็นข้อดีของเข้าเครื่องมือที่ใช้แทนการเดินอันนี้อย่างแน่นอน
เมื่อเป็นแบบนี้ นโยบายที่ผิดพลาดที่สุดของเขาก็จะไม่มีอยู่ดี
โรแลนด์คิดอย่างมั่นใจ
….
“โอ้? นี่คือเมืองของชีคอย่างนั้นเหรอ?” กูเอลส์ เบิร์นเฟลมเดินออกมาจากห้องโดยสารของเรือและนวดแก้มของตัวเอง “จริงอยู่ที่เจ้าเรือหินนี่มีพลังมาก แต่เสียงมันก็ดังไปหน่อย ถ้าอยู่ในนั้นต่ออีก 2 – 3 วัน เกรงว่าข้าคงหูหนวกแน่”
“ท่านพ่อ…ท่านจะไม่ปิดรอยสักบนใบหน้ากับเปลี่ยนชุดหน่อยเหรอ?” โรฮานเดินตามมาจากด้านหลัง “คนตรงท่าเรือ…กำลังมองมาที่เรานะท่านพ่อ”
“แล้วทำไม ก็ให้พวกเขาดูไปสิ”
“แต่ว่า…”
“เจ้ากำลังกลัวว่าเราจะโดนดูถูกเหรอ?” กูเอลส์เหลือบตามองเขา “ถ้าแม้แต่ชาวโมเกนยังโดนดูถูกแบบนั้น อย่างนั้นลูกสาวของข้าจะอยู่ยังไง? ชีคบอกว่าในดินแดนของเขา ทุกคนต่างเหมือนกัน ข้าอยากจะดูเหมือนกันว่าเขาหลอกสามเทพหรือเปล่า”
เมื่อพูดถึงโลก้า เบิร์นเฟลม โรฮานก็หุบปากไม่พูดอะไรออกมาอีก
หัวหน้าเผ่าแอบส่ายหัว ดูเหมือนน้องสาวที่คลั่งไคล้การต่อสู้คนนั้นยังคงเป็นปมที่อยู่ในใจอีกฝ่าย
การเดินทางของท่าเรือเคลียร์วอเทอร์มาที่นี่นั้นไม่ใช่ความคิดเพียงชั่ววูบของกูเอลส์ หลังสงครามแก้แค้นที่ดำเนินมาเป็นเวลาสองเดือนจบลง สุดท้ายชาวทะเลทรายที่อพยพมาจากโอเอซิสเล็กๆ ก็ได้รับชัยชนะภายใต้การนำของไบรอัน เผ่าไวลด์เวฟกับเผ่าคัทโบนถูกกำจัดทิ้งไป ระบบหกเผ่าใหญ่ของเมืองไอรอนแซนด์กลายเป็นเพียงอดีต
เขานำเอาข่าวนี้มาแจ้งแทนไบรอัน
ความจริงเรื่องแบบนี้หัวหน้าเผ่าไม่จำเป็นต้องมาทำเอง แต่เนื่องจากติดทำสงคราม ทำให้เผ่าไวลด์เฟลมไม่ได้มาเข้าร่วมงานราชาภิเษกของชีค ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องเป็นคนเอาข่าวดีเรื่องที่ชนะสงครามมาเป็นของขวัญแสดงความยินดีให้ชีคเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ
ยิ่งไปกว่าสิ่งที่กูเอลส์สนใจอย่างมากก็คือตอนนี้โลก้าเป็นอย่างไรบ้าง?
เธอไม่เคยเขียนเรื่องความยากลำบากลงไปในจดหมายมาก่อน ดังนั้นเรื่องบางเรื่องเขาจึงต้องมาดูด้วยตาตัวเองจะดีกว่า
ที่นี่ไม่มีทั้งเหล้าไฟร์แลนเธิร์น แล้วก็ไม่มีหนอนทะเลทรายย่าง นางจะผอมลงหรือเปล่านะ?
ตอนที่ 1062
ข่าวสารจากเผ่าไวลด์เฟลม
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังเข้าไปในเมือง ผู้คนที่เดินไปเดินมาก็มากขึ้นถนัดตา
ถึงแม้จะมีหลายๆ คนคอยมองดูพวกเขา แต่มันก็แค่แวบเดียวเท่านั้น ทุกคนต่างก้าวเดินอย่างรวดเร็ว แทบจะมองไม่เห็นคนเดินลอยชายอยู่บนถนนเลย
“ท่านพ่อ ที่นี่มัน…” โรฮานมองซ้ายมองขวาอย่างประหลาดใจ
“อืม” เขาพยักหน้าเล็กน้อย
ภาพที่ดูวุ่นวายแบบนี้ กูเอลส์เพิ่มจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เขาเคยเดินทางไปยังเมืองในอาณาจักรทางเหนืออยู่หลายเมือง และสิ่งที่เมืองเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกประทับใจมากที่สุดก็คือความรุ่งเรือง ซึ่งนี่เป็นเอกลักษณ์ของอาณาจักรทางเหนือ ด้วยทรัพยากรและที่ดินที่มีมากกว่าดินแดนทางใต้สุด ทำให้พวกเขาสร้างเมืองใหญ่ๆ ออกมาได้เมืองแล้วเมืองเล่า สิ่งที่เมืองเหล่านั้นแตกต่างกันก็มีเพียงแค่ขนาดเท่านั้น เดิมเขาคิดว่าเมืองหลวงของชีคจะต้องใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาแน่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาเขาเอาไว้นั้นจะไม่ใช่ถนนหินสีดำที่ราบเรียบ แล้วก็ไม่ใช่บ้านเรือนที่ตั้งอย่างเป็นระเบียบ หากแต่เป็นผู้คนของที่นี่
ต่อให้เมืองจะใหญ่กว้างใหญ่แค่ไหน ปราสาทจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ตามหัวมุมถนนมักจะมีพวกคนเร่ร่อน ขอทานและโจรใต้ดินอยู่เสมอ เหมือนกับเป็นเครื่องประดับที่เมืองไม่อาจขาดได้
แต่เมื่อมาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์ เขาไม่เพียงแต่จะไม่เห็นภาพเหล่านั้น แต่บนใบหน้าของผู้คนยังดูมีชีวิตชีวาไม่เหมือนกับที่ผ่านมาเลย แม้แต่ในเผ่าใหม่ที่ได้ขยับขึ้นมาเป็นหกเผ่าใหญ่ก็ยังไม่มีภาพแบบนี้ให้เห็นบ่อยนัก
กูเอลคิดมาตลอดว่าชาวทะเลทรายนั้นไม่ได้ด้อยกว่าคนทางเหนือเท่าไร เผลอๆ อาจจะมีความแข็งขันมากกว่าเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่บีบบังคับด้วย ถึงแม้อาณาจักรทางเหนือจะมีความอุดมสมบูรณ์ แต่ชีวิตที่สุขสบายก็ทำให้พวกเขาลุ่มหลงอยู่ในความสุข ส่วนความกล้าและความมุ่งมันกลับลดน้อยถอยลง ถ้าไม่เป็นเพราะชาวทะเลทรายต้องมานั่งสู้กันเอง พวกเขาก็คงจะขยายเขตที่อยู่อาศัยของตัวเองได้ตั้งนานแล้ว
แต่ตอนนี้เขากลับไม่กล้าที่จะคิดแบบนั้นแล้ว
ความภาคภูมิใจและความเชื่อมั่นในตัวเองที่ออกมาจากใจแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะเสแสร้งขึ้นมาได้เลย
เมืองที่สร้างขึ้นมาจากประชาชนแบบนี้ เขาอย่าไปเป็นศัตรูด้วยจะดีที่สุด ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่มีอาวุธก็ตาม
“ท่านพ่อ ตอนนี้พวกเราจะไปหาโลก้าก่อน หรือว่าไปส่งจดหมายที่ปราสาทก่อนดี?” โรฮานไม่ได้มองลึกซึ้งเหมือนอย่างพ่อของตัวเอง เขาเพียงแค่รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อยเท่านั้น
“จะรีบทำไม ถ้าถูกชีคจัดให้พักอยู่ในปราสาท แล้วเราจะไปดูได้ยังไงล่ะว่าเขาทำตามสัญญาหรือเปล่า?” กูเอลส์ถลึงตา “พักข้างนอกสำรวจเมืองนี้ซักสองสามวันก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“แต่ว่า…”
“ข้าตัดสินใจแล้ว” เขาพูดตัดบท “หืม? คนพวกนั้นกำลังทำอะไร?”
เขาเห็นคนหนึ่งแห่กันไปมุงอยู่ตรงด้านหนึ่งของลานเมือง เสียงเอะอะโวยวายดังสลับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ดูแล้วครึกครื้นเป็นอย่างมาก
โรฮานมองตามเขาไป “น่าจะแย่งซื้อสินค้าลดราคาล่ะมั้ง?”
“เจ้าไปดูหน่อยสิ” กูเอลส์สั่ง
“ได้ ท่านพ่อ”
อีกฝ่ายดึงหมวกขึ้นมาคลุมศีรษะ ก่อนจะอาศัยร่างกายที่สูงใหญ่เบียดเสียดเข้าไปในกลุ่มคน
กูเอลส์มองดูแผ่นหลังของลูกชายที่สูงเกือบ 6 ฟุต ก่อนจะรู้สึกทอดถอนใจขึ้นมา ถ้าพูดกันถึงเรื่องร่างกายเพียงอย่างเดียวแล้วล่ะก็ เดิมเขาน่าจะเป็นนักรบที่ห้าวหาญที่สุดของเผ่า แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขากลับไม่ชื่นชอบการต่อสู้ สุดท้ายคนที่คอยค้ำจุนเผ่าเอาไว้กลับเป็นโลก้าที่ตอนที่เกิดมาดูจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งแม้แต่นิดเดียว และก็เป็นเพราะเหตุนี้ โลก้าจึงกลายเป็นผู้สืบทอดในสายตาของคนอื่นไปโดยปริยาย ส่วนโรฮานเองก็ถูกกดเอาไว้จนโงหัวไม่ขึ้น เห็นๆ อยู่ว่าเป็นพี่น้องกัน แต่พวกเขากลับไม่ค่อยได้พูดคุยกัน
ทว่าภายในใจของหัวหน้าเผ่ากลับรู้สึกผิดหวังอยู่นิดหน่อย
โดยเฉพาะในตอนที่โลก้าได้รับการยกย่องจากทุกคน แต่โรฮานกลับไม่มีท่าทีคัดค้านเลย
ชาวโมเกนนั้นชื่นชอบคนที่แข็งแกร่ง
ต่อให้ฝีมือการต่อสู้จะสู้คนไม่ได้ แต่จิตใจที่ไม่ยอมแพ้ก็ยังได้รับการยกย่องจากคนอื่น อย่างน้อยมันก็ดีกว่าการยอมแพ้โดยที่ยังไม่ได้สู้
ด้วยเหตุนี้หลังจากที่โลก้าจากไปแล้ว เขาก็ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะให้ลูกชายขึ้นมารับตำแหน่งหัวหน้าเผ่า
ถึงแม้โรฮานจะแสดงความสามารถในด้านอื่นๆ ออกมาได้ไม่เลว แต่ผู้ปกครองที่หวาดกลัวการต่อสู้จะค่อยๆ สูญเสียความได้เปรียบที่เขามีไปจากการลังเลไม่กล้าตัดสินใจ
ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่กูเอลส์พาลูกชายคนโตมาด้วย
เขาหวังจะให้อีกฝ่ายได้เปิดหูเปิดตาและเปลี่ยนแปลงตัวเอง
หลังผ่านไปไม่กี่นาที โรฮานก็แหวกฝูงคนอื่นออกมาพร้อมสีหน้าที่ดูแปลกๆ “ท่านพ่อ พวกเขาเหมือนกำลังลงชื่อเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาอยู่”
“แข่งกีฬา?” กูเอลส์ทำสีหน้าครุ่นคิด “มันคืออะไร?”
“เป็นการแข่งขันที่ชีคจัดขึ้นมา ได้ยินว่าเพื่อจะหาคนที่วิ่งได้เร็วที่สุดในโลก” โรฮานพูดอธิบาย “ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ได้ที่หนึ่งยังจะได้รางวัล 100 เหรียญทองด้วย คนถึงได้มาลงชื่อกันเยอะขนาดนี้”
“อะฮ่า อย่างนั้นมันก็เหมือนกับการต่อสู้ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เหรอ? แค่ไม่มีเลือดเท่านั้น” กูเอลส์ยิ้มขึ้นมา “ดูเหมือนชีคจะเรียนรู้จากชาวทะเลทรายมาไม่น้อยเหมือนกันนะเนี่ย เงื่อนไขการลงชื่อคืออะไร? ในเมื่อหาคนที่เร็วที่สุดในโลก อย่างนั้นพวกเราก็น่าจะลงแข่งได้”
“พวกเรา?” โรฮานตกตะลึง “ท่านพ่อ ท่านจะลงแข่งด้วยเหรอ?”
“ใช่น่ะสิ ข้าเคยเป็นนักรบยอดเยี่ยมที่เดินทางไปครึ่งทะเลทรายโดยที่ทิ้งอูฐเอาไว้ข้างหลังเลยนะ ถ้าเทียบกันเรื่องกำลังเท้าแล้วข้าไม่เคยแพ้ใครมาก่อน!” กูเอลส์ลูบเคราตัวเอง “ทำไม เจ้าคิดว่าข้าแก่แล้วงั้นเรอะ? รีบพาข้าไปลงชื่อเร็ว!”
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถหยุดได้ โรฮานจึงได้แต่ต้องรับปาก “ตรงนั้นคนเยอะ ข้าไปคนเดียวดีกว่า”
“ไม่เป็นไร”
“ท่านพ่อ…”
“หืม?” กูเอลส์กวาดตามองดูเขา “เจ้ามีอะไรที่ยังไม่ได้บอกข้าหรือเปล่า?”
“เอ่อ…” โรฮานลังเลอยู่ครู่ ก่อนจะพูดเสียงเบาๆ ออกมาว่า “ข้าเห็นน้องสาม”
“อยู่ในกลุ่มคนเหรอ?”
“ไม่ใช่” ลูกชายส่ายหัว “นางอยู่…บนภาพวาด ใส่ชุดที่ไม่ปกปิดร่างกาย แล้วก็มีคนมามุงดูกับชี้ๆ ไปที่นาง…”
“อะไรนะ!” กูเอลส์ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที หรือว่าชีคกำลังดูหมิ่นเธอ? ครั้งที่แล้วหลังจากที่เขียนจดหมายมาหาโลก้า เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็มีความเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขายังนึกว่าฝ่าบาทนั้นดูแลโลก้าเป็นอย่างดี ถ้าหากโลก้าต้องยอมโดนดูหมิ่นเพื่อรักษาสถานะของเผ่าไวลด์เฟลมเอาไว้ อย่างนั้นเขายอมที่จะไม่ย้ายมาอยู่ในที่ๆ อุดมสมบูรณ์พวกนั้นก็ได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาจึงเดินเข้าไปในฝูงคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ภาพวาดที่โรฮานพูดถึงนั้นแขวนอยู่ตรงด้านหนึ่งของลานเมือง ดูแล้วช่างสะดุดตาอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ได้มีแค่ภาพด้วย ในตอนที่กูเอลส์เห็นมัน ร่างกายเขาพลันหยุดนิ่งไปทันที
นี่มัน…โลก้างั้นเหรอ?
เขาเพิ่งจะเคยเห็นบุตรสาวที่ดูงดงามขนาดนี้เป็นครั้งแรก เธอยืนอยู่บนพื้นหิมะที่ขาวโพลน ผ้าคลุมสีขาวและชุดผ้าปักดอกบนร่างกายของเธอที่พลิ้วไปตามสายลม นั่นเป็นชุดสำหรับสวมใส่ในวังซึ่งโลก้าไม่เคยใส่มาก่อน ตอนที่อยู่ในทะเลทราย เธอมักจะสวมเสื้อแขนสั้นและกางเกงผ้าที่เหมาะสมสำหรับการต่อสู้ หน้าอกและมือเท้าของเธอมักจะมีผ้าพันเอาไว้ ถ้าไม่เปื้อนฝุ่นก็เปื้อนเลือด ในเวลาที่ไม่ได้ต่อสู้ เธอก็มักจะสวมเสื้อคลุมเอาไว้อย่างมิดชิดเพื่อปกปิดร่างกายที่แปลกประหลาดของตัวเอง
เสื้อผ้าที่ไม่มีอะไรปกปิดที่โรฮานบอกก็หมายถึงเรื่องนี้
โลก้าเปิดเผยใบหูและหางของตัวเองออกมา ยิ่งไปกว่านั้นยังเหมือนกว่าเธอจงใจที่จะดึงดูดความสนใจของคนอื่นด้วย หูข้างหนึ่งของเธอมีตุ้มหูผลึกคริสตัลสีแดงติดเอาไว้อยู่ ประกายที่ดูงดงามของมันทำให้ภาพวาดดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ส่วนคำพูดของชาวบ้านที่พูดคุยกันก็ไม่ใช่คำด่าหรือคำพูดรังเกียจ หากแต่เป็นคำพูดชมเชยเสียมากกว่า นี่เป็นสิ่งที่ทำให้กูเอลส์รู้สึกแปลกใจมากที่สุด นอกจากนี้ในการพูดคุยของพวกชาวบ้าน กูเอลส์เหมือนจะได้ยินคำศัพท์ใหม่คำหนึ่ง นั่นคือ ‘หนังเวทมนตร์’
อย่างนี้นี่เอง
‘ในอาณาจักรเกรย์คาสเซิล ทุกคนต่างเหมือนกัน’ นี่คือสิ่งที่ชีคทำอย่างนั้นเหรอ?
เขาหมุนตัวกลับมาแล้วตีโรฮานไปทีหนึ่ง “ครั้งหน้าอย่าตื่นตูมแบบนี้อีก น้องเจ้าไม่ใช่สัตว์ประหลาดซักหน่อย นางก็แค่เผยร่างที่เป็นหมาป่าเท่านั้นเอง”
“ข้าไม่ได้คิดแบบนั้นซักหน่อย…” อีกฝ่ายเอามือกุมหัวพร้อมพูดอย่างน้อยใจ
“เอาเป็นว่า ไปลงชื่อสมัครการต่อสู้ศักดิ์…การแข่งขันกีฬานั้นก่อนแล้วกัน” กูเอลส์บอก “จากนั้นก็ไปถามดูหน่อยว่าจะซื้อตั๋วดูหนังเวทมนตร์ได้ที่ไหน ไม่ว่าราคามันจะเท่าไร เจ้าก็ต้องซื้อมาให้ข้าให้ได้ เข้าใจไหม?”
………………………………………………..
ตอนที่ 1063
เริ่มการแข่งขัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่นานวันแข่งขันก็มาถึง
ถึงแม้งานแข่งขันกีฬาในวันฉลองชัยสมัยแรกจะจัดขึ้นอย่างเร่งรีบและเรียบง่าย ไม่มีทั้งพิธีเปิดและผู้บรรยาย แต่สำหรับชาวบ้านในเมืองแล้วมันก็ยังเป็นการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่อยู่ดี
ผู้คนแห่กันมาที่ถนนหลวงตั้งแต่ฟ้าเพิ่งสางเพื่อมาจับจองที่นั่งกัน เนื่องจากหิมะยังไม่ละลาย แทบจะทุกคนจึงถือเก้าอี้ไม้เล็กๆ หรือเสื่อหนังไว้คนละอัน คนที่ยกขบวนมาทั้งครอบครัวก็ไม่ใช่น้อยๆ ภาพผู้คนที่เดินขบวนกันออกมานี้ทำเอาเหล่าพ่อค้าต่างถิ่นพากันตกตะลึง ส่วนพ่อค้าเร่ที่คาดการณ์สถานการณ์ล่วงหน้าเอาไว้ก็เดินแบกของกินกับเครื่องดื่มเอาไว้เต็มหลังพร้อมตะโกนเร่ขาย
ส่วนเส้นชัยของการแข่งขันนั้นอยู่ตรงกึ่งกลางของถนนหลวง เมื่อถึงเวลาเที่ยง ผู้คนก็แห่กันมารายล้อมตรงบริเวณเส้นชัยจนเต็มไปหมด คร่าวๆ แล้วน่าจะมีประมาณหมื่นคน แถมยังมีคนทยอยมาจากทั้งสองที่อย่างต่อเนื่องด้วย นี่ทำให้โรแลนด์สัมผัสได้ถึงความชื่นชอบที่มีต่อกิจกรรมสันทนาการของคนในสมัยนี้อีกครั้ง เพราะการที่จะเดินเข้ามา 28 กิโลเมตรนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย เขากำหนดเวลาการแข่งขันเอาไว้ตอนบ่ายสองก็เพื่อให้ประชาชนได้มีเวลาเตรียมตัว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าความกระตือรือร้นของประชาชนที่มีต่อกิจกรรมนี้จะมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
ในฐานะที่เป็นราชาของเกรย์คาสเซิล เขาย่อมไม่ต้องลงไปเบียดเสียดอยู่กับพวกชาวบ้าน ก่อนหน้านการแข่งขันหนึ่งวัน ทางกองโยธาธิการได้สร้างอัฒจันทร์รับชมการแข่งขันที่สามารถบรรจุคนได้ 100 คนขึ้นมา เพื่อให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้ใช้ชมการแข่งขัน ส่วนบริเวณรอบๆ ก็เป็นแนวป้องกันของกองทัพที่หนึ่งที่จะยืนกันฝูงชนออกจากอัฒจันทร์
“ฝ่าบาท นี่คือรายชื่อผู้เข้าร่วมการแข่งขัน มีทั้งหมด 1,462 คนเพคะ” บุ๊คหอบเอากระดาษปึกหนึ่งเดินเข้ามา “แต่เนื่องจากเวลาในการลงชื่อที่มีจำนวน ในนั้นจึงมีแค่เพียงข้อมูลอย่างคร่าวๆ ถ้าหากพระองค์ให้เวลาหม่อมฉันอีกสองวัน….”
“ไม่เป็นไร” โรแลนด์โบกมือ “การแข่งขันกีฬามันก็เหมือนกับการตีเหล็กที่ต้องตีตอนร้อนๆ ถ้าเราเลื่อนเวลาออกไปอีก มันจะทำให้เสียความตั้งใจเดิมในการจัดงานครั้งนี้ขึ้นมาได้
เขาพลิกดูรายชื่อ ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายนั้นพูดถ่อมตัวเกินไป ข้อมูลที่อยู่บนนั้นมีทั้งเขตที่อยู่อาศัยละเอียด แต่ยังมีสภาพความเป็นอยู่อย่างคร่าวๆ แล้วก็ประวัติการทำงานด้วย การที่สามารถรวบรวมข้อมูลมาได้เยอะขนาดนี้ในเวลาสั้นๆ ก็คงจะมีเพียงบุ๊คเท่านั้นที่ทำได้
ในรายชื่อ เขาเห็นชื่อที่น่าสนใจอยู่หลายชื่อ
อย่างเช่นฮิวโก้เพื่อนเก่าของเขา
เบลน้องของลูเซีย
แล้วก็อดีตหัวหน้าสมาคมเล่นแร่แปรธาตุทั้งสามคน
ถึงแม้การแข่งขันกีฬาครั้งนี้จะไม่มีแม่มดเข้าร่วม แต่โอกาสที่พวกเขาจะเอาชนะได้นั้นก็ริบหรี่อย่างมาก ส่วนใหญ่มาแข่งก็เพื่อจะมีส่วนร่วมเท่านั้น
ส่วนคนที่มีหวังจะได้รางวัล ส่วนใหญ่จะอยู่ในรายชื่อหน้าแรก
สายตาของโรแลนด์หยุดอยู่ที่ชื่อของอัศวินแสงอรุณเฟร์ราน ชิลต์และหัวหน้าอัศวินคาร์เตอร์ แลนนิส “เจ้าคิดว่าคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้จะเป็นแชมป์เหรอ?”
บุ๊คเสยผมตัวเองยิ้มๆ แล้วก็ไม่ได้ตอบอะไรออกมา แต่สีหน้าของเธอได้แสดงคำตอบออกมาให้เห็นแล้ว
“ฝ่าบาท ได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” บารอฟที่นั่งอยู่ด้านล่างพูดเตือนขึ้นมา
“อืม” โรแลนด์วางรายชื่อลงพร้อมกับยกหูโทรศัพท์ที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา “อย่างนั้นก็เริ่มการแข่งขันได้”
…..
“เอ่อ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ” กูเอลส์ที่ใส่กางเกงต่อสู้สไตล์ชาวโมเกนยืนอบอุ่นร่างกายอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้เข้าแข่งพร้อมกับถามขึ้นมา “เมืองของชีคแบ่งออกเป็นสองเขตใหญ่ใช่ไหม? ในเมื่อชีคจะให้คนวิ่งมาเจอกันตรงกลาง แล้วเขาจะรู้ได้ยังไงว่าทุกคนจะเริ่มออกตัววิ่งพร้อมกัน? สิ่งที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้ศักดิ์ิสิทธิ์ก็คือความยุติธรรม ถ้าไม่มีความยุติธรรม มันไม่เพียงแต่จะไม่มีเกียรติ แต่มันยังอาจจะทำให้ชีคเสื่อมเสียชื่อเสียงด้วย”
ใครจะไปรู้ล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้มันสำคัญตรงไหน “ท่านพ่อ…” โรฮานเอ่ยปากออกมาอย่างยากลำบาก “ท่านเอาที่คาดผมบนหัวออกก่อนได้ไหม? แล้วก็ขนมิ้งค์ที่รัดอยู่ตรงเอวอีก…”
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่จ่ายเงินก้อนใหญ่ไปดู ‘หัวใจแห่งหมาป่า’ มา พ่อของตัวเองจะเหมือนกับโดนมนตร์สะกดอย่างไรอย่างนั้น ด้านหนึ่งก็เอาพูดถึงความงดงามของลูกสาวตัวเอง อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่ในอดีตเขาเคยบังคับให้ลูกสาวต้องปิดบังตัวเองเพื่อไม่ได้ถูกคนอื่นว่าร้าย อีกฝ่ายบอกว่าตัวเองทั้งโง่เขลาและอ่อนแอ ทำให้โลก้าต้องเจอกับความทุกข์ที่มันไม่ใช่ความผิดของเธอ ทำให้เธอพลาดช่วงอายุที่ดีที่สุดของเทพีไป เรียกได้ว่าเขาไม่ได้ทำหน้าที่พ่อที่ดีเลย
เอาล่ะ ต่อให้ทั้งหมดนี้มันเป็นความจริง แต่มันก็ไม่ถึงกับต้องเอาที่คาดผมเย็บมือมาคาดเอาไว้บนหัว แล้วก็เอาหนังสัตว์มาทำเป็นหางแบบนี้หรือเปล่า!
ท่านเป็นหัวหน้าเผ่าไวลด์เฟลมนะ! โรฮานตะโกนอยู่ในใจ ถ้าข่าวนี้แพร่ไปถึงท่าเรือเคลียร์วอเทอร์ เขาจะไปเจอหน้าผู้นำของเผ่าอื่นได้ยังไง?
“ข้าทำแบบนี้เพื่อชดเชยให้นาง เจ้าไม่ต้องพูดมากแล้ว” กูเอลส์ทำสีหน้าจริงจัง “ความกล้าและไม่หวาดกลัวที่นางแสดงอยู่ในหนังเวทมนตร์ทำให้ข้ารู้สึกอับอาย ข้าสอนนางว่าไม่ต้องสนใจสายตาคนอื่น มุ่งมั่นไปบนเส้นทางที่ตัวเองเลือกก็พอ แต่ตัวข้ากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น ถ้าอยากจะให้คนอื่นเลิกนินทา แทนที่จะปิดบังจุดอ่อนของตัวเอง สู้เปิดเผยมันออกมาดีกว่า ถ้ามีคนรับสภาพข้านตอนนี้ได้ อย่างนั้นโลก้าในตอนที่แปลงเป็นหมาป่าก็จะไม่ใช่สัตว์ประหลาดอีก”
“…” โรฮานอ้าปาก เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดกล่อมยังไงดี
“เมื่อกี้ข้าได้ยินว่าพวกเจ้าสงสัยในความยุติธรรมของฝ่าบาทเหรอ?” ทันใดนั้นด้านข้างพลันมีเสียงคนดังขึ้นมา “เจ้าคนต่างถิ่น พวกเจ้าไม่รู้อะไร ฝ่าบาททรงสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่สุดยอดที่สามารถทำให้ทั้งสองที่อยู่ห่างกันเป็นสิบๆ กิโลเมตรเชื่อมต่อกันได้เหมือนพูดคุยกันตรงหน้า! พวกเจ้าเห็นของที่แขวนอยู่บนหัวไหม?”
โรฮานมองตามมือของอีกฝ่ายขึ้นไปด้านบน ก่อนจะเห็นด้านบนต้นไม้ที่ริมทางมีของลักษณะเหมือนกรวยอยู่สองอัน ผิวสีดำของมันดูยังไงก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับการส่งเสียงเลย
“นั่นมันเรียกว่าลำโพง! มันสามารถขยายเสียงให้ดังขึ้นได้หลายสิบเท่า ในตอนที่มันเชื่อมเข้ากับโทรศัพท์ หรือก็คือเจ้าสิ่งที่ทำให้ทั้งสองที่สามารถติดต่อกันได้ มันก็จะทำให้พวกเราได้ยินสัญญาณจากฝ่าบาทพร้อมกับคนที่อยู่ในเขตลองซอง” คนๆ นั้นอธิบายอย่างภูมิใจ
“ว้าว! อย่างนี้นี่เอง!” กูเอลส์ปรบมือ “ในเมื่อมีความยุติธรรมอย่างนี้ อย่างนั้นข้าก็ต้องเอาจริงหน่อยแล้ว!”
“แต่ว่าคุณลุงคนนี้ ร่างกายลุงนี้แข็งแรงจริงๆ เลยนะ…ฤดูหนาวเพิ่งผ่านไปก็ใส่เสื้อสั้นขนาดนี้แล้ว ไม่หนาวเหรอ?” เขามองดูกูเอลส์อย่างประหลาดใจ “แล้วก็ยังมีที่คาดผมหูแมวนี่อีก”
จบแล้ว….โรฮานหลับตาลง อีกฝ่ายจะต้องพูดเยอะเย้ยแน่ ซึ่งผลที่ออกมาก็จะมีแค่สองแบบ คือพ่อของตัวเองอดทนเอาไว้ หรือไม่ก็พ่อโมโหจนอัดอีกฝ่ายลงไปกองกับพื้น หากเป็นแบบนั้นก็จะทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูไม่ดีในสายตาชีค
“เจ้ากำลังเลียนแบบเจ้าหญิงหิมะใช่ไหม? แจ๋วไปเลย…” คนๆ นั้นพูดต่อว่า “บอกข้าหน่อยได้ไหมว่าไปซื้อมาจากไหน?”
เอ๋!?
โรฮานรู้สึกไม่กล้าที่จะเชื่อหูตัวเอง
“ฮ่าๆๆๆ อันนี้น่ะเหรอ…”
ในขณะที่กูเอลส์กำลังจะตอบ จู่ๆ กรวยสีดำที่ถูกเรียกว่าลำโพงก็มีเสียงซ่าๆ ดังขึ้นมา
“สวัสดีทุกคน…ซ่า…ข้าคือโรแลนด์ วิมเบิลดัน”
เหล่าชาวบ้านที่กำลังพูดคุยกันเงียบลงทันที
“ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงจะรู้เรื่องกฎการแข่งขันดีแล้ว แต่ข้าอยากจะย้ำให้ทุกคนฟังอีกครั้งหนึ่ง ผลการแข่งขันนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด นี่คือการท้าทายตัวเราเอง ขอเพียงพยายามอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะวิ่งจนถึงเส้นชัยหรือไม่ ทุกคนก็ถือเป็นผู้ชนะที่ยอดเยี่ยมที่สุด ดังนั้นอย่ามัวคิดที่จะไปฉวยโอกาสหรือขัดขวางคนอื่นๆ ขอให้ทุกคนสนใจอยู่ที่สองเท้าของตัวเอง ใช้พลังของตัวเองในการเอาชนะ”
“ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ที่เส้นชัย หวังว่าทุกคนจะทำผลงานได้ดี”
“อย่างนั้นข้าขอประกาศให้”
“การแข่งขัน…เริ่มขึ้น ณ บัดนี้!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น