Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1056-1058
ตอนที่ 1056
ผู้ที่ถูกจับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายใต้คุกใต้ดินที่มืดสลัว แสงไฟส่องคนที่ถูกแขวนอยู่บนกำแพง เงาที่สะท้อนไปบนกำแพงที่ดูแล้วเหมือนกิ่งไม้
ไม่มีการดิ้นรน ไม่มีเสียงร้องเจ็บปวดหรืออ้อนวอน ในตอนที่แส้ฟาดไปบนร่างกาย เงาดำถึงจะส่ายไปมาตามแรงเฉื่อย ขณะเดียวกันก็มีเสียงครางเบาๆ ในลำคอ
แต่เสียงครางเบาๆ นี้ก็ถูกเสียงแส้ที่ฟาดลงไปหลังจากนั้นกลบไปอย่างรวดเร็ว
“ผัวะๆ!”
“ผัวะ!”
ร่างกายที่โยกไปมากับแสงไฟที่วูบไหวซ้อนทับกันพอดี เสียงแส้ทึบๆ เหมือนจะเป็นเสียงเพียงเสียงเดียวในคุกใต้ดินแห่งนี้
หลังจากฟาดไปได้สิบกว่าที เอิร์ลโรแลนโซ่ถึงได้พูดขึ้นมา “พอ หยุดก่อน!”
“ขอรับ” ผู้ลงโทษรีบถอยไปด้านหลัง
แผ่นหลังของหญิงสาวที่ถูกแขวนอยู่กลายเป็นสีแดงเถือก รอยแส้ที่ไขว้กันไปมามีทั้งรอยใหม่และรอยเก่า เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกลงโทษ เมื่อดูจากปลายจมูกและท่อนแขนที่มีเหงื่อไหลออกมาแล้ว ความเจ็บปวดจากการฟาดด้วยแส้นี้ไม่ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ เพียงแต่อีกฝ่ายนั้นพยายามใช้แรงใจในการข่มเสียงร้องเอาไว้
“ว่าไง ยังไม่ยอมบอกเหรอว่าคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน?” เขาเดินเข้าไปหาหญิงสาว ก่อนจะยื่นมือไปจับคางอีกฝ่ายเชยขึ้นมา นั่นเป็นใบหน้าอันงดงามที่ยากจะหาได้ในกองทัพพิพากษา ถึงแม้จะถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินและถูกทรมาน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความงามนั้นลดลงเลย พูดอีกอย่างก็คือท่ามกลางแสงไฟที่ดูสลัว ผิวหนังที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อและดวงตาที่ยังมีเปลวไฟลุกโชนอยู่นั้นกลับทำให้เธอยิ่งดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น “ศาสนจักรล่มสลายไปแล้ว ฟาร์รีน่า เจ้าคิดจะเป็นศัตรูกับข้าไปถึงเมื่อไร? ถ้าไม่ทำเพื่อตัวเอง เจ้าก็น่าจะคิดถึงพวกเพื่อนที่ถูกจับพวกนั้นบ้างนะ”
ไอพวกสุนัขเร่ร่อน โรแลนโซ่คิดอย่างแค้นใจ วูล์ฟฮาร์ทก็กว้างใหญ่ขนาดนี้ ทำไมถึงต้องมาที่เกาะอาชดยุคด้วย หรือว่าการที่ัตัวเองสังหารทูตพวกนั้นมันยังไม่ชัดเจนพออีก? ในมือมีกองทัพอาญาสิทธิ์อยู่ ขอเพียงไม่ไปหาเรื่องกับเกรย์คาสเซิล พวกเขาจะไปใช้ชีวิตใหม่อยู่ที่ไหนก็ได้ ทำไมถึงต้องคิดจะมาฆ่าตัวเองด้วย? ถ้าไม่เป็นเพราะเมื่อก่อนนี้ตนได้ขอกองกำลังจากพระสังฆราชเมนเอาไว้ เกรงว่าหัวของเขาคงไปแขวนอยู่บนกำแพงเมืองแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หูข้างซ้ายที่ขาดไปของเขาพลันรู้สึกปวดขึ้นมาทันที
ในตอนที่กองทัพอาญาสิทธิ์ของทั้งสองฝ่ายกำลังสู้กัน หัวของเขาเกือบต้องขาดอยู่ใต้ดาบของฟาร์รีนา โชคดีที่ตอนนั้นเธอเหลือเรี่ยวแรงไม่เยอะเท่าไร ลูกน้องของเขาจึงมาขัดขวางการฟันของเธอเอาไว้ได้ สุดท้ายดาบจึงตัดหูของเขาออกไปเสี้ยวหนึ่ง
เรื่องที่ได้รับบาดเจ็บภายนอกมันก็เรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้โรแลนโซ่ยิ่งรู้สึกโมโหก็คือทหารอาญาสิทธิ์ 20 กว่าคนที่ตัวเองรักษาเอาไว้อย่างยากลำบาก ในตอนนี้กลับเหลืออยู่แค่ 2 – 3 คนเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนไหวได้ ส่วนคนที่เหลือถ้าไม่ตายในการสู้รบ ก็แขนขาดขาขาด การจะให้ทหารพิการเหล่านั้นลุกขึ้นมาสู้ใหม่แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้
นี่คือหลักประกันที่ทำให้เขาอยู่บนเกาะอาชดยุคได้!
การที่พวกขุนนางของวูล์ฟฮาร์ทยังไม่มีคิดบัญชีกับเขา ไม่ได้เป็นเพราะเขาเปลี่ยนฝักเปลี่ยนฝ่ายจากมุขนายกมาเป็นขุนนางแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะว่าเขามีนักรบอาญาสิทธิ์อยู่ในมือ ทำให้ขุนนางพวกนั้นไม่กล้าลงมือสุ่มสี่สุ่มห้า ถ้าข่าวนี้แพร่กระจายออกไป เกรงว่าตำแหน่งเอิร์ลของเขาคงจะรักษาไว้ไม่อยู่แน่
โรแลนโซ่อยากจะฉีกอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ เพื่อระบายความโกรธภายในใจ
แต่เขากลับไม่สามารถทำแบบนั้นได้
อย่างน้อยก็ก่อนที่จะรู้เงื่อนงำของคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าศาสนจักรจบสิ้นลงหรือยัง แต่ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องจบสิ้นแน่นอน….เอิร์ลโรแลนโซ่ ไม่สิ ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าคนทรยศถึงจะถูก” ผ่านไปครู่หนึ่ง ฟาร์รีน่าจึงพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา “คิดๆ ดูแล้วนักรบอาญาสิทธิ์ที่เจ้ามีอยู่ในมือนั้นเป็นความผิดของข้า แต่ว่าตอนนี้เจ้าเองก็เหลือนักรบอาญาสิทธิ์ให้ใช้อยู่ไม่เท่าไรแล้วใช่ไหมล่ะ? ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่รีบร้อนที่จะมาถามหาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แน่ เจ้าอยากจะรู้ความลับในการสืบทอดตำแหน่งของพระสังฆราช แล้วก็วิธีในการสร้างกองทัพอาญาสิทธิ์ขึ้นมาเพื่อปกป้องตำแหน่งอันน่าสมเพชของเจ้า…”
“ผัวะ!”
เสียงตบหน้าดังขึ้นมาขัดจังหวะการพูดเยอะเย้ยของเธอ
“ในเมื่อเจ้ารู้ดีว่าข้าต้องการอะไร อย่างนั้นก็บอกข้ามาซะดีๆ จะดีกว่า!” โรแลนโซ่กัดฟัน “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้งหนึ่ง คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน?”
เลือดสดๆ ไหลออกมาจากมุมปากของฟาร์รีน่า “ข้าไม่รู้…”
“อย่างนั้นก็นับว่าน่าเสียใจจริงๆ” เอิร์ลมองไปทางผู้ลงโทษ “ตัดขามาให้ข้าข้างหนึ่ง ของใครก็ได้ ข้าจะให้เพื่อนของนังนี่….”
“เลิกแสดงได้แล้ว” ถึงแม้ฟาร์รีน่าจะดูอ่อนแรงอย่างมาก แต่น้ำเสียงของเธอกลับเต็มไปด้วยความดูถูก “ยังจำนิ้วมือที่เจ้าเอามาให้ข้าดูครั้งที่แล้วได้ไหม? เลือดมันแข็งจนเปลี่ยนสีไปหมดแล้ว เจ้ายังคิดจะใช้มันมาขู่ข้าอีกเหรอ? ดูเหมือนการเป็นมุขนายกจะทำให้เจ้าใช้ชีวิตสบายเกินไปจนลืมความแตกต่างระหว่างคนเป็นกับคนตายไปหมดแล้วสินะ นั่นมันเป็นนิ้วที่ตัดออกมาจากศพใช่ไหมล่ะ? เจ้าฆ่าพวกเขาไปหมดตั้งแต่แรกแล้ว เจ้าคนทรยศ!”
โรแลนโซ่สีหน้าเคร่งเครียดทันที
“ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่ได้เป็นแม้กระทั่งผู้รักษาการณ์พระสังฆราช ข้าจะไปมีโอกาสได้เห็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไง บางทีท่านทัคเกอร์อาจจะรู้ แต่เขาก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ข้าฟังมาก่อน ดังนั้นบนโลกนี้ไม่มีใครที่จะรู้วิธีสร้างนักรบอาญาสิทธิ์ขึ้นมาอีกแล้ว”
“เจ้าโกหก!” เขาทำหน้าดุร้าย “ทัคเกอร์ให้เจ้ามาที่วูล์ฟฮาร์ท หรือว่าไม่ใช่เพื่อสร้างศาสนจักรขึ้นมาไป จากนั้นก็กลับไปแก้แค้นให้เฮอร์มีส? ถ้าไม่มีคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ศาสนจักรจะเอาอะไรไปสู้กับเกรย์คาสเซิล?”
“หึๆ…” ฟาร์รีน่าหัวเราะออกมา “ถึงจะมีกองทัพอาญาสิทธิ์ก็ใช่ว่าจะสู้กับเกรย์คาสเซิลได้ ท่านผู้รักษาการณ์พระสังฆราชแค่อยากจะรักษาชีวิตของทุกคนเอาไว้ เพื่อให้คนที่เหลือได้ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุข”
“น่าขันสิ้นดี! เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเหรอ?” เอิร์ลคำรามอยู่ในลำคอ “ในเมื่อจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบ แล้วทำไมต้องมาโจมตีเกาะอาชดยุคด้วย? แถมยังไม่ใช่เพื่อเงิน เสบียง ชุดเกราะกับอาวุธ! ทัคเกอร์เอานักรบอาญาสิทธิ์ให้เจ้า แต่เจ้าบอกว่าเขาแค่ต้องการให้พวกเจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างสงบเหรอ? นี่มันตลกจริงๆ!”
“เจ้าไม่เชื่อมันก็แล้วแต่เจ้า เพราะความจริงมันเป็นเช่นนั้น” ฟาร์รีน่าพูดอย่างไม่สนใจ “ข้าอยากจะบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง ถ้าตอนแรกเจ้าไม่ฆ่าทูตพวกนั้น แล้วก็เลือกที่จะปฏิเสธแบบดีๆ พวกทีพวกข้าก็อาจจะไม่มาที่เกาะอาชดยุคแห่งนี้ก็ได้ แต่สุดท้ายเจ้ากลับทำเรื่องที่ชั่วช้าที่สุดออกมา สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือพวกทรยศที่ตีสองหน้า!”
“เจ้า…”
“เจ้าทำลายความเชื่อใจของสมเด็จอะพอลเลอัน แล้วก็ไม่คู่ควรที่จะได้ใช้ชีวิตที่เหลือจากการเสียสละตัวเองของท่านทัคเกอร์ด้วย” เธอพูดอย่างหนักแน่น “จริงอยู่ที่ข้ารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเอง แต่ช้าเร็วพวกขุนนางของวูล์ฟฮาร์ทก็ต้องรู้เรื่องที่เจ้าสูญเสียทหารอาญาสิทธิ์ไป ถึงแม้จะถอดชุดของศาสนจักรออก เจ้าก็ไม่มีทางกลายเป็นพวกเดียวกับพวกเขาได้! เจ้ามันก็เป็นแค่คนทรยศเท่านั้น ความตายอยู่ไม่ไกลจากเจ้าเท่าไรหรอก!”
โรแลนโซ่สูดหายใจ เขาพยายามระงับอารมโกรธภายในใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าพยายามยั่วโมโหข้าเพื่อให้ข้าฆ่าเจ้า เจ้าจะได้ไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลของคัมภีร์ศักดิ์ิสิทธิ์ใช่ไหม วางใจได้ ข้าไม่หลงกลง่ายขนาดนั้นหรอก ข้าจะบอกอะไรให้ ที่นี่ไม่ได้เก็บแต่พวกอาวุธที่เอาไว้ถล่มอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทเอาไว้เท่านั้น แต่ที่นี่ยังมีเครื่องทรมานที่เอาไว้ใช้สอบปากคำพวกแม่มดด้วย ไม่รู้ว่าถ้าเทียบกับแม่มดพวกนั้นแล้ว เจ้าจะทนไปได้นานซักเท่าไร?”
เขามองดูเท้าที่เปลือยเปล่าของอีกฝ่าย “ข้าว่าเริ่มจากเล็บเท้าของเจ้าก็แล้วกัน…ตอนที่มันถูกถอดออกมาทีละเล็บๆ ข้าอยากจะดูว่าเจ้ายังจะตอบเหมือนก่อนหน้านี้ไหม”
…..
หลังกลับมาถึงปราสาท เอิร์ลก็ระงับความโกรธเอาไว้ไม่อยู่ กาน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะถูกเขากวาดตกลงมาบนพื้นจนหมด!
บัดซบ บัดซบ บัดซบ นังฟาร์รี นังบัดซบ!
ถึงแม้เขาจะแสดงออกถึงความมั่นใจอย่างมาก แต่เขาก็รู้ว่าเธอซึ่งเติบโตมาจากในกองทัพพิพากษานั้นมีจิตใจที่เข้มแข็งแค่ไหน การจะล้วงความลับออกมาจากปากเธอเกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย
อยู่ดีๆ จะให้เขาไปปิดเส้นทางการเดินเรือของอาชดยุคแล้วหยุดการค้าขายก็ไม่ได้ ทำแบบนั้นจะยิ่งทำให้น่าสงสัยขึ้นไปใหญ่ แต่ถ้ายังทำการค้าขายต่อไปเหมือนเดิม พวกพ่อค้าเหล่านั้นก็จะเป็นหูตาอย่างดีให้กับพวกขุนนาง เขาต้องรีบเสริมกำลังเข้าไปแทนที่ทหารอาญาสิทธิ์ที่เสียหายไปก่อนที่อะไรๆ มันจะแย่จนไม่อาจแก้ไขได้!
แต่ข้อมูลสำคัญของแผนการนี้กลับอยู่ในมือของคนที่ต้องการจะฆ่าเขา
นี่มันน่าแค้นใจจริงๆ!
ทันใดนั้นเอง พ่อบ้านคนหนึ่งของเขาเดินเข้ามา “นายท่าน ช่วงนี้ข้าได้ยินข่าวที่น่าสนใจข่าวหนึ่ง…”
“ไม่ฟัง ไม่มีอารมณ์!” โรแลนโซ่พูดตัดบท
พ่อบ้านมองดูเศษภาชนะที่แตกอยู่บนพื้น ก่อนจะสะกดอารมณ์แล้วพูดต่อว่า “บางทีมันอาจจะช่วยแก้ปัญหาที่ท่านกำลังเจออยู่ในตอนนี้ได้นะขอรับ”
“อะไรนะ?” เขาเงยหน้าขึ้นมาทันที “เจ้าว่ามาซิ?”
นับตั้งแต่ที่เขาสถาปนาตัวเองกลายเป็นเอิร์ลและปกครองเกาะอาชดยุคแห่งนี้ เหล่าสาวกที่ติดตามเขาก็กลายเป็นสมาชิกในตระกูลของเขา พ่อบ้านที่ชื่อแฮกริดคนนี้เองก็เป็นหนึ่งในคนที่เขาไว้วางใจ เขาซึ่งเป็นหนึ่งในอดีตบาทหลวงย่อมต้องมีแผนการอะไรอยู่ในหัวแน่นอน “ช่วงนี้ตรงชายแดนของอาณาจักรดอว์นเหมือนจะวุ่นวายนิดหน่อย คล้ายกับว่ามีคนพยายามจะเข้าไปในภูเขาเคจเมาเธ่น”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเรา?” โรแลนโซ่ขมวดคิ้ว “ไม่ว่าฝั่งไหนได้ครอบครองเขาเคจเมาเธ่น เกาะฮาชดยุคก็ไม่ได้ประโยชน์แม้แต่น้อย”
“สิ่งที่น่าสนใจมันไม่ใช่เรื่องนี้ หากแต่อยู่ที่คนที่เป็นแกนนำของเรื่องนี้ขอรับ…” แฮกริดชะงักไปเล็กน้อย “นายท่าน ข้าได้ยินมาว่าคนที่พยายามจะเข้าไปในภูเขาเคจเมาเธ่นคือคนของราชาแห่งเกรย์คาสเซิลขอรับ”
ตอนที่ 1057
สมบัติโบราณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ราชา…แห่งเกรย์คาสเซิล!
โรแลนโซ่ตัวสั่นขึ้นมา
ชายหนุ่มที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็สามารถเปลี่ยนจากผู้ปกครองเมืองชายแดนที่ไม่มีใครรู้จักกลายเป็นผู้ปกครองเกรย์คาสเซิลได้ ภายในศาสนจักรไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของเขา ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลอะไรก็ล้วนแต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงได้ก้าวขึ้นมามีอำนาจเร็วขนาดนี้ แม้แต่ศาสนจักรที่เคยเอาชนะไปทั่วทั้งทวีปก็ยังพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเขา
ที่โรแลนโซ่ตัดสินใจหักหลังศาสนจักรเร็วขนาดนี้ เหตุผลหลักๆ ก็เป็นเพราะโรแลนด์ วิมเบิลดัน ในสายตาของเขา ศาสนจักรกับเกรย์คาสเซิลกลายเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้แล้ว ถ้าเขายังอยู่ในฐานะมุขนายกต่อไป เขาอาจจะต้องจบชีวิตลงได้ทุกเมื่อ ถ้าไม่ถอนตัวออกมาตอนนี้แล้วจะให้รอถึงเมื่อไร?
เพียงแต่อีกฝ่ายเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ตามหลักแล้วควรจะสนใจแต่เรื่องภายในอาณาจักรของตัวเอง แต่ตอนนี้อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะยื่นมือเข้ามายุ่งในอาณาจักรดอว์นกับวูล์ฟฮาร์ท แต่ยังทำอย่างเอิกเกริกจนทุกคนรู้กันหมดด้วย นี่ทำให้เขารู้สึกอยากรู้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไร
“เจ้ามั่นใจเหรอ?” เอิร์ลมองดูแฮกริด “เล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดซิ!”
“ความน่าเชื่อถือของข่าวนี้ไม่มีปัญหาแน่นอนขอรับ ข้าทำการยืนยันมาจากหลายๆ แหล่งข่าวแล้ว” อีกฝ่ายพูดอย่างมั่นใจ “อย่างแรกคือคนที่มาปักหลักอยู่ในภูเขาเคจเมาเธ่นนั้นมาจากเกรย์คาสเซิล การแต่งกายของพวกเขาล้วนแต่เหมือนกัน นี่ต้องเป็นคนที่กองทัพแปลกๆ นั่นส่งมาอย่างไม่ต้องสงสัย อันดับต่อมาคือแต่ละเมืองภายในอาณาจักรดอว์นได้รับคำสั่งให้เกณฑ์นักโทษประหารไปรวมกันที่เคจเมาเธ่น ยิ่งไปกว่านั้นมีคนบอกว่าพวกเขาจะไปทำงานให้กับราชาแห่งเกรย์คาสเซิลขอรับ!”
“เคจเมาเธ่น…นักโทษประหาร…” โรแลนโซ่เดินไปเดินมา จู่ๆ ดวงตาเขาพลันเป็นประกาย “หรือว่าเขามาเพื่อหาเจ้าสิ่งนั้น…”
“เป็นไปได้สูงขอรับ นายท่าน” แฮกริดพยักหน้า “ไม่สิ…ควรจะบอกว่า ใช่แน่นอนขอรับ”
“แต่ทำไมเขาถึงรู้เรื่องนี้ได้?”
“เขารู้ก็ไม่แปลก คนที่ค้นพบโบราณสถานในตอนแรกก็แค่อาศัยโชคของตัวเองเท่านั้น ข้าคิดมาตลอดว่าบางทีโบราณสถานพวกนั้นมันอาจจะไม่ได้ตั้งอยู่โดดๆ หากแต่ก่อนหน้านั้นพวกมันอาจจะมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างระหว่างกันอยู่ ซึ่งโรแลนด์ก็บังเอิญไปรู้ถึงความลับนั้นก่อนคนอื่นพอดี
ถึงแม้จนถึงท้ายที่สุดทางศาสนจักรจะไม่สามารถหาสาเหตุที่จู่ๆ เจ้าชายลำดับที่สี่ก็แข็งแกร่งขึ้นมาได้ แต่ภายในศาสนจักรต่างก็มีข่าวลือไปต่างๆ นาๆ ถ้าโยนพวกคำพูดไร้สาระอย่างเช่นเขาเป็นพระเจ้าแปลงกายมา หรือเป็นทูตของพวกปีศาจทิ้งไปแล้ว ก็มีคำอธิบายหนึ่งที่หลายๆ คนเชื่อถือกัน นั่นคือเขาได้รับการสืบทอดจากในโบราณสถานซักแห่ง แล้วก็ได้รับพลังที่น่าเหลือเชื่อมา
ถึงแม้สามอัครภิมุขจะไม่เห็นด้วยกับความคิดอันนี้ แต่ก็มีสาวกจำนวนไม่น้อยที่คิดว่ามันเป็นเรื่องจริงๆ ซึ่งโรแลนโซ่เองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะเอาชนะเมืองศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไง?
ซึ่งเมื่อพูดถึงภูเขาเคจเมาเธ่น ก็ไม่มีซากโบราณสถานไหนที่จะน่าเหลือเชื่อไปกว่าวิหารต้องสาปแล้ว
ในปีที่กองทัพอาญาสิทธิ์ได้กรีฑาทัพไปบดขยี้อาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท ขุนนางของวูล์ฟฮาร์ทถ้าไม่สู้ตายก็ยอมแพ้ ถึงราชินีเคลียร์วอเทอร์จะจับมือกับราชาแห่งวูล์ฟฮาร์ทก็ยังไม่อาจหยุดการโจมตีของศาสนจักรได้ ในฐานะที่เป็นอดีตมุขนายกของเกาะอาชดยุค เขาก็ได้มีส่วนร่วมกับงานสนับสนุนและงานเก็บกวาดส่วนใหญ่ด้วย เขาเอาของที่ยึดมาได้ส่งไปแนวหน้าหรือไม่ก็เก็บรวบรวมเอาไว้ และในปฏิบัติการค้นหาของมีค่าในคลิฟริดจ์ครั้งหนึ่ง เขาก็ได้ไปรู้เรื่องเกี่ยวกับตำนานเมื่อร้อยกว่าปีก่อนโดยบังเอิญเข้า
ว่ากันว่ามีชาวนากลุ่มหนึ่งได้แอบขโมยเอาสมบัติออกมาจากในวิหารต้องสาปในเขาเคจเมาเธ่น จากนั้นพวกเขาก็ทยอยตายไปทีละคน สมบัติเองก็ตกมาอยู่ในมือของขุนนางในพื้นที่ บรรพบุรุษของเอิร์ลแห่งคลิฟริดจ์มีความสนใจในเรื่องนี้มาก เขาคิดว่าสิ่งที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ทั้งหมดไม่ใช่คำสาป หากแต่มีความเกี่ยวข้องกับของที่เอาออกมาจากในวิหาร ด้วยเหตุนี้หลังจากพยายามอยู่นาน สุดท้ายเขาจึงซื้อสมบัติกลับมาจากอาณาจักรดอว์นได้ส่วนหนึ่ง
หลังใช้ชีวิตคนสิบกว่าคนมาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนในการศึกษามันแล้ว เอิร์ลแก่คนนั้นก็ได้พบกับอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดาจริงๆ เจ้าของสิ่งนั้นดูแล้วเหมือนไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่มันกลับปล่อยลำแสงที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งผลของมันก็มีความคล้ายกับคำสาปอย่างมาก เขาถึงขนาดเรียกมันว่าอาวุธที่สามารถฆ่าคนได้โดยที่ไม่ทันรู้ตัว!
เพียงแต่ว่าหลังจากใช้ไปได้ไม่กี่ครั้ง มันก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรออกมาอีก เหมือนกับว่าพลังงานในตัวมันถูกใช้ไปจนหมดอย่างไรอย่างนั้น กลายเป็นวัตถุธรรมดาๆ ที่ทำอะไรไม่ได้ ถึงแม้เอิร์ลแก่จะส่งคนไปเสาะหาที่ชายแดนหลายครั้ง อีกทั้งเขายังเสี่ยงเข้าไปในวิหารด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่เจอวิธีที่จะทำให้มันกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม ดังนั้นเขาจึงเอาเรื่องราวเหล่านี้จดลงไปในบันทึกของตระกูล โดยหวังว่าคนรุ่นหลังจะหาคำตอบของมันได้ ส่วนของประหลาดชิ้นนั้นก็ถูกสืบทอดต่อๆ กันมาในฐานะของล้ำค่าของตระกูล จนกระทั่งหลังจากนั้นอีกร้อยกว่าปี คลิฟริดจ์ได้ถูกศาสนจักรเอาชนะได้ มันถึงได้เปลี่ยนเจ้าของอีกครั้ง
ตอนนั้นถึงแม้เจ้าของสิ่งนี้จะทำให้โรแลนโซ่รู้สึกสนใจ แต่เรื่องบันทึกของตระกูลบอกเอาไว้ว่ามันใช้การไม่ได้ก็เป็นเรื่องจริงๆ หลังจากลองใช้งานแต่ก็ไม่เป็นผลอยู่หลายครั้ง สุดท้ายเขาจึงเอาสมบัติเหล่านั้นโยนเข้าไปเก็บไว้ในโกดังเพื่อรอให้เมืองศักดิ์สิทธิ์มาเอามันไปจัดการ
เพราะสิ่งที่เขียนเอาไว้ในบันทึกของตระกูลนั้นไม่แน่ว่าจะเป็นจริงทั้งหมด ขุนนางที่ชอบคุยโวเรื่องสายเลือดของตัวเองที่สืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนาน หรือคุยโวว่าตัวเองนั้นร่ำรวยมหาศาลนั้นมีอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด ถ้าทุกคนพูดเรื่องนี้ ศาสนจักรจะสามารถเอาชนะวูล์ฟฮาร์ทกับอีเทอร์นอลวินเทอร์ได้ง่ายๆ ขนาดนี้ได้ยังไง
แต่หลังความพ่ายแพ้ในศึกสันเขาโคลด์วินด์ สถานการณ์ของศาสนจักรก็ย่ำแย่ลงอย่างมาก ของที่ยึดมาได้ล้วนแต่ไม่มีใครสนใจ เขาเองก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ตอนนี้เมื่อพ่อบ้านพูดขึ้นมา โรแลนโซ่ถึงได้นึกขึ้นมาได้
ถ้าราชาแห่งเกรย์คาสเซิลมาเพื่อค้นหาสมบัติในวิหารต้องสาปจริงๆ อย่างนั้นความน่าเชื่อถือของวัตถุประหลาดนั่นก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เอิร์ลรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา “เจ้าว่าต่อไปซิ!”
“ขอรับ นายท่าน” แฮกริดพูดต่อว่า “สมมติโรแลนด์ วิมเบิลดันได้ข่าวเรื่องสมบัติมาจากโบราณสถานที่อื่นๆ อย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะรู้วิธีใช้งานสมบัตินั้น เผลอๆ เขาอาจจะมีวิธีทำให้มันกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมก็ได้ ถ้าพวกเราสามารถสืบเอาข้อมูลตรงนี้มาได้ อย่างนั้นเราก็จะมีหลักประกันที่มาแทนที่นักรบอาญาสิทธิ์”
ถูกต้อง อาวุธที่สามารถปล่อยคำสาปได้! พลังของมันจะต้องทำให้ขุนนางของวูล์ฟฮาร์ทพากันกลัวจนถอยไปแน่ ส่วนเกาะอาชดยุคก็จะมีเวลาไปหาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เพิ่ม
โรแลนโซ่กระทืบเท้า “ตามข้าไปที่โรงเก็บของ เดี๋ยวนี้เลย!”
“นายท่าน?”
“ข้าต้องไปดูให้แน่ใจว่าของสิ่งนั้นมันยังอยู่บนเกาะอาชดยุค ในเมื่อมันมีความสำคัญขนาดนี้จริงๆ อย่างนั้นเราก็ไม่อาจปล่อยให้ทหารธรรมดาๆ มาเฝ้ามันได้”
….
เพื่อไม่ให้ข่าวแพร่กระจายออกไป โรแลนโซ่จึงพาพ่อบ้านเข้าไปหาสมบัติในโรงเก็บของด้วยตัวเองอยู่ครึ่งค่อนวัน หลังคลุกฝุ่นอยู่นาน ในที่สุดเขาก็เจอสมบัติที่ถูกห่อเอาไว้อย่างดีอยู่ตรงมุมๆ หนึ่งของโรงเก็บของ
เอิร์ลเองก็รู้สึกดีใจที่ตัวเองไม่ได้เรียกบุคคลมที่สามให้มาช่วย
หลังเปิดห่อผ้าออก เขาก็มองเป็นความแตกต่างของ ‘สมบัติ’ ที่ว่า
เมื่อเทียบกับสมบัติอื่นๆ ที่เอาออกมาจากโบราณสถานอย่างเช่นไข่มุกแบล็คเพิร์ล หรือรูปปั้นแกะสลักที่มีความงดงามแล้ว มันดูแล้วเหมือนกับก้อนหินก่อนหนึ่งมากกว่า รูปร่างสี่เหลี่ยม กว้างยาวไม่เกินฝ่ามือ ผิวนอกดูหยาบๆ แม้แต่หินแกรนิตที่ผ่านการขัดมาสองครั้งก็ยังดูเรียบเนียนกว่ามันเลย ถ้าไม่เป็นเพราะหินสีน้ำเงินที่ฝังเป็นลวดลายอยู่บนตัวมันแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงไม่มีใครอยากจะเอามันกลับมาแน่
เอิร์ลแก่ของคลิฟริดจ์คนนั้นก็เคยบอกเอาไว้ในบันทึกของตระกูลว่าในบรรดาสมบัติทั้งหมดที่ซื้อกลับมา มันมีราคาถูกที่สุด
แต่ตอนนี้ลวดลายสี่เหลี่ยมๆ บนก้อนหินกำลังมีไฟสว่างวาบไปมา แสงสีน้ำเงินที่ดูอ่อนโยนไหลจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งราวกับว่ามันกำลังชี้นำทางอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งสองคนสบตากัน ก่อนจะพากันแสดงสีหน้ายินดีออกมา!
จู่ๆ ก้อนหินที่ไม่มีการตอบสนองใดๆ มาเกือบร้อยปีพลันมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา อีกทั้งคนของโรแลนด์ก็ยังปรากฏตัวขึ้นที่วิหารต้องสาปด้วย ถ้าบอกว่าทั้งสองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกันก็ดูจะน่าเหลือเชื่อไปหน่อย
ถ้าบอกว่าคำพูดเมื่อครู่นี้เป็นแค่เพียงการคาดเดา อย่างนั้นหลังจากที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ ความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ก็เพิ่มขึ้นกลายเป็น 80 – 90%!
โรแลนด์รู้วิธีในการทำให้มันกลับมาใช้งานได้ใหม่จริงๆ ด้วย!
“เจ้าต้องไปที่เคจเมาเธ่น” โรแลนโซ่เก็บก้อนหินเข้าไปในอกอย่างระมัดระวัง “นอกจากเจ้าแล้ว ข้าไม่ไว้ใจใครอีก เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงหาวิธีใช้เจ้าสมบัตินี่มาได้ก็พอ”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ขอนายท่านโปรดวางใจได้” แฮกริดเอามือขึ้นมาทาบที่อก
“แล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องระวังให้ดี” เอิร์ลสั่งกำชับ “ห้ามให้ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ในเมื่อเขาสามารถขยี้ศาสนจักรได้ เช่นนั้นเขาก็สามารถบดขยี้พวกเราได้ง่ายๆ เหมือนมดปลวกเช่นเดียวันกัน เจ้าต้องเก็บความลับนี้ไว้ จนกว่าจะทำให้สมบัตินี้มีพลังที่จะต่อกรกับเขาได้…ชะตาของเกาะอาชดยุคอยู่ในมือของเจ้าแล้วนะ”
ตอนที่ 1058
ไม่อยากนึกเสียใจอีก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในร้านเหล้าแห่งหนึ่งตรงท่าเรือของเกาะอาชดยุค
โจนั่งแกว่งแก้วเหล้าในมืออย่างร้อนใจ สายตาของมองไปยังประตูทางเข้าอยู่ตลอดเวลา
เขาไม่เคยรู้สึกว่าเวลาเดินช้าขนาดนี้มาก่อน
ความรู้สึกเสียใจ หวาดกลัว ปวดใจ สับสนผลัดกันปรากฏขึ้นมาในใจเขา แต่ตัวเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากนั่งรอต่อไป
กระทั่งตอนที่ผู้ชายที่ใส่ชุดคลุมสวมหมวกคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านเหล้าแล้วนั่งลงข้างโจ เขาถึงได้รู้สึกโล่งใจออกมา แต่หลังจากนั้นเขาก็ยิ่งรู้สึกร้อนใจมากขึ้นกว่าเดิม
“ตอนนี้….นางเป็นยังไงบ้าง?”
โจมองดูริมฝีปากของอีกฝ่าย ภายในใจกลัวว่าจะได้ยินคำตอบที่แย่ที่สุดอันนั้น
“ยังมีชีวิตอยู่ขอรับ”
คำตอบของอีกฝ่ายทำให้เขาหายใจได้อีกครั้ง
“แต่สถานการณ์ของท่านฟารีน่าไม่ค่อยจะดีเท่าไร” คนที่เดินเข้ามาถอดหมวกคลุมศีรษะออก ก่อนจะพูดด้วยสีหน้ากังวลต่อว่า “มุขนายกเหมือนจะอยากได้อะไรบางสิ่งจากนาง ทุกวันเขาจะให้คนไปทรมานนาง บางครั้งข้ายืนอยู่ตรงห้องโถงยังได้ยินเสียงกรีดร้องของนางน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าช้าเร็วนางคงจะทนไม่ไหวขอรับ”
นี่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาคิดเอาไว้แล้ว โจบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก หลังจากที่เขารู้ว่าการบุกโจมตีปราสาทล้มเหลว คนที่มียังมีชีวิตอยู่ล้วนแต่ต้องเจอกับความเจ็บปวด ซึ่งฟารีน่าที่เป็นหัวหน้ากลุ่มย่อมต้องเจ็บปวดมากกว่าคนอื่นแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าคนทรยศนั้นอยากจะรู้ว่าคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน เขาย่อมต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เธอเปิดปากให้ได้แน่นอน
ขอเพียงเธอยังมีชีวิตอยู่ก็ถือว่าดีแล้ว
ถึงแม้ภายในใจเขาจะพูดเช่นนี้ แต่นิ้วมือของเขาก็ยังจิกลงไปในฝ่ามือ เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าถ้าช่วยฟารีน่าไม่ได้มันจะเป็นยังไง เผลอๆ บางทีการตายอาจจะกลายเป็นความปรารถนาอย่างหนึ่งของเธอก็ได้….
บ้าเอ้ย! ทำไมตัวเองถึงต้องรับปากเธอได้วย โจคิดอย่างเสียใจ เขาไม่ควรจะปล่อยให้ฟาร์รีน่าแยกไปสู้ตามลำพัง ส่วนตัวเองก็หนีออกมาเลย เขาควรจะสู้ตายกับทุกคนอยู่ในปราสาท อย่างน้อยช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเขาก็ยังได้อยู่ข้างเธอ
“นายท่าน…” คนๆ นั้นลังเลเล็กน้อย “ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านมุขนายกกำลังหาอะไรอยู่กันแน่? ถ้าท่านมีมันอยู่ ท่านก็ให้เขาไปเถอะขอรับ อย่างน้อยท่านฟาร์รีน่าจะได้ไม่ต้อง…”
มันไม่ใช่มุขนายก มันคือคนทรยศ! โจกัดฟัน “สิ่งที่เขากำลังตามหาไม่ได้อยู่ที่ข้า ของสิ่งนั้นมันสูญหายไปพร้อมกับวิหารในเฮอร์มีสแล้ว”
เมื่อพูดถึงเฮอร์มีส สีหน้าอีกฝ่ายก็ดูเศร้าสร้อยขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงคุ้มครองพวกเราด้วย….” เขาบ่นพึมพำ
ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี โจคิด ตอนที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ใหม่ยังอยู่ ตัวเองนั้นเป็นคนที่มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาทหารพิพากษาหนุ่ม ที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเป็นทหารที่ยอดเยี่ยมของกองทัพ เขาไม่มีวันมองสาวกธรรมดาๆ อยู่ในสายตาเลย แต่ในวันนี้เมื่อมุกนายกและบาทหลวงพากันทรยศต่อศาสนจักร คนเดียวที่เขาพึ่งพาได้กลับเป็นสาวกที่ธรรมดาเสียยิ่งกว่าธรรมดาคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีต่อศาสนจักรกลับลึกซึ้งไม่แพ้สาวกในระดับสูงเลยด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงไม่มีทางที่จะเป็นฝ่ายเข้ามาหาตัวเองในเวลาแบบนี้แน่
เขาไม่พอใจที่โรแลนโซ่ทรยศต่อศาสนจักรแล้วมาอาศัยอยู่บนเกาะอาชดยุคในฐานะเอิร์ล แต่ด้วยฐานะอันต่ำต้อยของเขา ทำให้เขาไม่กล้าที่จะขัดขืน แต่ในตอนที่กำลังต่อสู้เขาไปบังเอิญเห็นหน้าของคนที่เข้ามาโจมตี หลังจากนั้นเขาจึงได้เที่ยวตามหาในละแวกปราสาท นี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมดที่ทำให้ทั้งสองคนได้เจอกัน
โจไม่ต้องกังวลด้วยซ้ำว่านี่จะเป็นแผนร้ายของโรแลนโซ่ เพราะตอนนี้ตัวเขาไม่มีค่าพอให้อีกฝ่ายลงมือทำอะไรอีก ถ้าคนๆ นี้เป็นคนที่คนทรยศมันส่งมาจริงๆ การพบเจอสองสามครั้งก็คงทำให้อีกฝ่ายมองออกว่าเขานั้นไม่มีค่าอะไรให้เสียเวลาด้วยอีก แล้วก็คงกำจัดเขาทิ้งไป
แต่เสียดายที่ในอดีตอีกฝ่ายนั้นเป็นแค่สาวกธรรมดาๆ แล้วตอนนี้เขาก็เป็นแค่คนใช้ระดับล่างคนหนึ่ง เขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากคอยแจ้งข่าวเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
“ข้าต้องกลับแล้ว” หลังนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มก็ดึงหมวกขึ้นมาคลุมศีรษะ “ถ้าออกมาจากปราสาทนานเกินไป พ่อบ้านจะสงสัยเอาได้ หลังจากนี้อีก 3 วันค่อยเจอกัน พวกเรายังจะเจอกันที่นี่หรือเปล่า?”
“อา…” โจได้สติคืนมา “เจอกันที่นี่แล้วกัน ถ้ามีอะไรเปลี่ยนแปลง ข้าจะให้คนไปส่งข่าวเจ้า”
“ข้าทราบแล้ว” เขาชะงักไปเล็กน้อย “นายท่าน ท่านอย่าเพิ่งท้อละขอรับ ถ้าจะมีใครช่วยท่านฟาร์รีน่าได้ คนๆ นั้นก็คือท่านนะขอรับ”
ข้าเหรอ? ไม่…ข้าทำอะไรไม่ได้เลย
ภายในหัวเขามีแต่ความมืดที่มองไม่เห็นโอกาสและความหวังใดๆ เลย ไม่ว่าจะสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าอย่างไร เขาก็ไม่ได้รับการตอบกลับจากพระเจ้าแม้แต่นิดเดียว
โจพยักหน้าอย่างสิ้นหวัง
“เออใช่” อีกฝ่ายเดินไปได้สองก้าวก็หันหน้ากลับมา “ช่วงนี้ในปราสาทเกิดเรื่องๆ หนึ่ง บาทหลวงแฮกริดที่เป็นหนึ่งในคนสนิทของมุขนายกพาคนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ข้าได้ยินคนเลี้ยงม้าบอกว่าเหมือนพวกเขาจะข้ามชายแดนเคจเมาเธ่นไป ข้าคิดว่าข่าวนี้…อาจจะช่วยท่านได้”
น่าจะเป็นเพราะการปลอบประโลมในคำพูดที่ดูชัดเจนเกินไป ทำให้เมื่อพูดถึงตอนหลัง แม้แต่เสียงของเขาก็พลอยเบาลงไปด้วย
ถูกต้อง เจ้าเมืองส่งคนไปยังที่ต่างๆ นั้นเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก ต่อให้ตำแหน่งที่ตั้งของเคจเมาเธ่นจะค่อนข้างพิเศษ แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเกาะอาชดยุคเลย ถ้าหากโรแลนโซ๋ไม่พาทหารอาญาสิทธิ์ออกไปจากปราสาท การจะบุกเข้าไปในคุกใต้ดินเพื่อช่วยฟาร์รีน่าก็ไม่ได้ต่างอะไรกับฝันกลางวัน
“อื้อ ขอบใจนะ”
“ไม่ต้องขอบคุณขอรับ นายท่าน…” เขาเอามือขึ้นมาทาบหน้าอกพร้อมโค้งตัวเล็กน้อย “สิ่งที่ข้าทำให้พวกท่านได้ก็มีเพียงเท่านี้”
เคจเมาเธ่นเหรอ….ช่วงนี้เหมือนจะได้ยินชื่อนี้ค่อนข้างบ่อยจริงๆ โจเอาเหล้าที่อยู่ในแก้วกรอกเข้าไปในปากจนหมด เพื่อให้ความขมมันกระจายไปเต็มปาก แต่ทันใดนั้นเขากลับตกตะลึงขึ้นมาทันที
เดี๋ยวๆ….เคจเมาเธ่นเหรอ?
ภายในหัวของโจมีความคิดถึงแล่นขึ้นมาเหมือนสายฟ้าที่ผ่าลงมาท่ามกลางความมืด
บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสในการพลิกสถานการณ์!
…..
หลังกลับมายังที่พักอาศัยชั่วคราวนอกเมือง โจก็มองไปยังหนังสือปกดำเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ
นั่นคือคำสั่งเสียของทัคเกอร์ซึ่งเป็นผู้รักษาการพระสันตปาปาองค์สุดท้ายทิ้งเอาไว้ก่อนที่เขาจะกระโดดกำแพงฆ่าตัวเอง
นี่ไม่ใช่คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่บันทึกเกี่ยวกับวิธีการสร้างกองทัพอาญาสิทธิ์ หากแต่เป็นคำสั่งเสียของทัคเกอร์ก่อนที่เขาจะตาย ในหนังสือ เขาเขียนเกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์กับปีศาจ แล้วก็ที่มาของสงครามแห่งโชคชะตา ซึ่งความลับที่น่าตกตะลึงนี้ทำให้ทัคเกอร์ตัดสินบอกให้ทุกคนหนีออกไปจากเฮอร์มีส
ทั้งหมดจบสิ้นลงแล้ว
ปล่อยวางภาระ ใช้ชีวิตอย่างสงบ
และก็น่าจะเป็นเพราะการเสียสละอันนี้ จึงทำให้ฟาร์รีนาไม่ยอมที่จะนั่งมองเรื่องนี้อยู่เฉยๆ โจรู้ดี แต่โจรู้ดีว่านอกจากเรื่องความรู้สึกเศร้าเสียใจต่อการล่มสลายของศาสนจักรแล้ว สิ่งที่ภายในใจฟาร์รีน่าอยากเห็นก็คือโรแลนด์ วิมเบิลดันและอาณาจักรของเขาลงนรกไปก่อนศาสนจักร
แต่ตอนนี้ โอกาสในการพลิกสถานการณ์กลับอยู่บนตัวของราชาผู้ทำลายศาสนจักรคนนี้
โจไม่ได้หวังจะให้เกรย์คาสเซิลเข้ามาช่วย
การจะให้คนเหล่านั้นยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือคนของศาสนจักรที่กำลังเดือดร้อนนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เขาจึงได้แต่ต้องหันเป้าหมายมายังพวกสาวกทรยศบนเกาะอาชดยุค
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สนใจข่าวที่ว่าคนของเกรย์คาสเซิลเข้ามาในพื้นที่ภูเขาเคจเมาเธ่น ภายในร้านเหล้ามีข่าวลือต่างๆ นาๆ เยอะแยะมากมาย ส่วนศาสนจักรก็ไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกับเกรย์คาสเซิลอีก กระทั่งคำพูดของสาวกคนนั้นที่ทำให้เขาพลันคิดขึ้นมาได้ ในอดีตโรแลนโซ่เคยรับผิดชอบเรื่องการเก็บรวบรวมของมีค่าที่ยึดมาได้จากเมืองต่างๆ ของวูล์ฟฮาร์ท ซึ่งข่าวเรื่องสมบัติของเคจเมาเธ่นที่อยู่ในตำนวนก็ไม่ใช่ความลับอะไร ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมมันถึงไม่ถูกขนย้ายมาที่เฮอร์มีส โจก็ไม่รู้แน่ชัดเหมือนกัน แต่ว่าในจุดนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เรื่องสำคัญก็คือราชาแห่งเกรย์คาสเซิลกำลังมองหาของอย่างเดียวกันอยู่หรือไม่
พวกขุนนางวูล์ฟฮาร์ทอาจจะกลัว แต่โรแลนด์ไม่
ไม่มีใครที่จะต้านทานกองทัพที่น่ากลัวอันนั้นได้
ขอเพียงสามารถยืมมืออีกฝ่ายในการกำจัดคนทรยศได้ เขาก็มีโอกาสช่วยฟาร์รีน่าออกมา
และถึงแม้ฟาร์รีนาจะโชคร้ายถูกโรแลนด์จับไปอีก แต่มันก็ยังดีกว่าที่จะปล่อยให้เธอถูกทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
โจสูดหายใจ
ถ้าสุดท้ายแล้วเรื่องราวมันกลายเป็นแบบนั้นจริงๆ เขาจะไม่มัวหลบซ่อนอยู่อีกต่อไป
อย่างน้อยในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ตัวเองก็ยังได้อยู่ข้างกายเธอ
เพราะว่า…เขารักเธอมาโดยตลอด
ครั้งนี้ เขาไม่อยากจะมานั่งเสียใจอีก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น