Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1050-1055

 ตอนที่ 1050

 

ปริศนาที่ยากจะเข้าใจ

หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ ทิลลีก็เอารายชื่อผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดมาวางไว้บนโต๊ะทำงานของโรแลนด์


“เป็นยังไงบ้าง การรับสมัครราบรื่นดีไหม?” โรแลนด์รินชาให้อีกฝ่ายพร้อมถามออกไป เมื่อต้องเจอ ‘น้องสาว’ ในนามคนนี้ เขายังคงมีความรู้สึกผิดอยู่ในใจตลอด เธอไม่เหมือนกับอันนาที่เขาเป็นฝ่ายสารภาพทุกอย่างออกไปตรงๆ เพราะเธอถือว่าเป็นคนแรกที่มองออกว่าเขาไม่ใช่เจ้าชายลำดับที่สี่ตัวจริง ถึงแม้เขาจะรู้ว่าที่เธอช่วยปกป้องเขาในตอนที่พวกปีศาจมันบินมาโจมตีเนเวอร์วินเทอร์จะเป็นเพราะความสัมพันธ์ฉันมิตร แต่ความรู้สึกผิดภายในใจเขากลับไม่ได้ลดลงเลย


เพราะว่าเขาได้ยึดร่างของเจ้าชายลำดับที่สี่เอาไว้


ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปโดยไม่อธิบายอะไร แต่เมื่อเห็นว่าเธอก็ไม่ได้มาคาดคั้นอะไร ตัวเขากลับเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา


แต่คิดมันก็ส่วนคิด เขาคงไม่มีทางที่จะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกแน่ เพราะคนที่พยายามจะคาดคั้นหาคำตอบให้ได้ ส่วนใหญ่มักจะตายกลางทาง โรแลนด์รู้ในจุดนี้ดี


“นอกจากเรื่องจำนวนคนที่ไม่เป็นอย่างที่คาดเอาไว้แล้ว เรื่องอื่นๆ ล้วนแต่ไม่มีปัญหา” ทิลลีรับเอาแก้วชามาเป่าเล็กน้อย “คนที่คัดเลือกออกมาจากผู้อพยพนั้นมี 124 คน คนที่คัดเลือกออกมาจากชาวเมืองนั้นมี 73 คน รวมกันแล้วยังไม่ถึง 200 คน….ในตอนที่ต้องสู้กับปีศาจจริงๆ จำนวนคนแค่นี้คงจะทำอะไรไม่ได้มาก”


“เริ่มแรกมันก็ยากเสมอแหละ” โรแลนด์พลิกดูรายชื่อ “เอาไว้เมื่อมีตัวอย่างเมื่อไร การสมัครรอบที่สองจะต้องมีคนมาสมัครเยอะขึ้นแน่ เมื่อถึงตอนนั้นมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องของเมืองเนเวอร์วินเทอร์เท่านั้นแล้ว”


ถึงแม้มุมมองของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน แต่ความปรารถนาในการเสาะหาดินแดนอันกว้างใหญ่ของมนุษย์ยังคงฝังรากลึกอยู่ในกระดูก นับตั้งแต่ที่อารยธรรมเริ่มผลิใบขึ้นมา มนุษย์เราก็เริ่มมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเลียนแบบนกหรือการใช้บอลลูนในการสำรวจท้องฟ้าก็ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในยุคสมัยของเครื่องบิน ซึ่งเหล่านักสำรวจของสมาคมของแปลกนั้นคือตัวอย่างที่ดีที่สุด ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่กังวลใจว่าจะไม่มีใครมาสมัครกองทัพอากาศ


อย่างแรกเลยคือต้องผลิตกองทัพที่สามารถบินได้ขึ้นมาก่อน


แต่เขารู้ว่าการจะผลิตนักบินขึ้นมาซักคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย


ในยุคสมัยที่ระบบการควบคุมการบินยังไม่สมบูรณ์ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนักบินก็คือ…พรสวรรค์ การทดสอบเรื่องกลัวความสูง ความอดทนต่อการวิงเวียน การประสานงานของร่างกายนั้นเป็นแค่การทดสอบขั้นพื้นฐานที่ พวกการรับรู้ทิศทางบนอากาศ ความเข้าใจในการบิน หรือแม้กระทั่งความเร็วในการตอบสนองของร่างกายล้วนแต่จะเป็นตัวตัดสินว่าคนๆ นั้นเหมาะสมที่จะเป็นนักบินหรือไม่


ทหารเก่าของกองทัพที่หนึ่งนั้นมีความเชื่อฟังและความน่าเชื่อถือที่สูงมาก การจะเลือกเอาทหารที่ยอดเยี่ยมออกมาส่วนหนึ่งเพื่อจัดเป็นกองกำลังระดับหัวกะทินั้นยังพอไหว แต่ถ้าจะให้พวกเขาเปลี่ยนไปอยู่ในกองทัพอากาศนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก


ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่เขาขยายขอบเขตการคัดเลือกไปยังกลุ่มผู้อพยพด้วย


เรื่องความรู้นั้นสามารถเรียนรู้กันได้ แต่เรื่องพรสวรรค์ถ้าไม่มีก็คือไม่มี แทนที่จะไปฝืนคนที่ทำไม่ได้ให้พยายามบินให้ได้แล้ว สู้ไปหาคนที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมดีกว่า


จากตัวเลขที่รวบรวมว่าจะเห็นได้ว่าภายในหนึ่งสัปดาห์มีคนมาลงชื่อสมัคร 3,000 กว่าคน พอคัดเลือกมาแล้วก็มีคนที่ผ่านเกณฑ์เกือบ 200 คน แบบนี้ก็แสดงให้ว่าการที่ขยายการรับสมัครไปยังผู้อพยพนั้นถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง


เมื่อพลิกไปดูรายงานหน้าสุดท้าย โรแลนด์พลันรู้สึกแปลกใจขึ้นมา “มี 6 คนที่ไม่ผ่านการปฏิญาณตนเหรอ?”


“ปากไม่ตรงกับใจ ถูกเวเดอร์พาตัวไปสอบสวนล้วเพคะ” คนที่ตอบเขาคือไนติงเกล “ในนั้นมีอยู่สองคนที่เป็นพลเมืองของเนเวอร์วินเทอร์”


โรแลนด์ขมวดคิ้วขึ้นมา ตามหลักแล้วนี่ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพราะใจคนเราเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เขาเองก็ไม่ได้หวังจะให้คนเหล่านี้คิดเหมือนเดิมตลอดไป แต่ในตอนที่ต้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้จริงๆ เขาก็ยังอดรู้สึกผิดหวังขึ้นมาไม่ได้


เดิมพวกเขาเหล่านั้นสามารถติดตามเขาไปยังยุคสมัยใหม่ที่ดีกว่าเดิมได้


เรียกได้ว่าพวกเขามองเห็นธรณีประตูแห่งยุคสมัยใหม่แล้ว


แต่สุดท้ายพวกเขากลับเลือกที่จะละทิ้งมัน


“แล้วสอบสวนได้อะไรไหม?”


“เดิมหม่อมฉันคิดจะสอบสวนให้ทุกอย่างกระจ่างก่อนค่อยรายงานพระองค์เพคะ” ไนติงเกลพูดอย่างขี้เกียจ “พวกเขาต่างก็ถูกพวกพ่อค้าต่างถิ่นซื้อตัวไปเพคะ โดยพวกเขาหวังจะเข้ามาอยู่ในกองทัพ แล้วก็ค่อยสืบข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธของเราเพคะ หลังจากนั้นทางตำรวจก็รีบลงมือ แต่ก็คว้าน้ำเหลว พวกเขาจับมาได้แค่ผู้ช่วยพ่อค้าที่ยังอยู่ในโรงแรมเท่านั้น ดังนั้นหม่อมฉันก็เลยให้แอ๊คเซียฉายภาพย้อนกลับดู ก่อนจะเห็นว่ามีจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกส่งมาจากเมืองหลวงเก่า เมื่อดูจากเนื้อหาที่เขียนในจดหมายแล้ว เหมือนตัวการจะเป็นขุนนางเพคะ แต่ถึงยังไงตอนนี้พวกเราก็รู้ที่มาที่ไป รูปพรรณสัณฐานกับสถานะของอีกฝ่ายแล้ว ภาพเหมือนที่โซโรยาวาดออกมาก็ถูกส่งไปให้ทาซาแล้ว หม่อมฉันว่าเขาหนีไปไหนไม่ได้นานหรอกเพคะ”


เมื่อฟังถึงตรงนี้ โรแลนด์กลับหลุดหัวเราะออกมา ความรู้สึกไม่สบายใจในตอนแรกหายไปจนหมด เมื่อต้องเจอกับวิธีการสืบสวนแบบนี้ ไอพวกที่ก่อกบฏนี่ช่างน่าสงสารจริงๆ


“เอ่อ….มีปัญหาอะไรหรือเปล่าเพคะ?” ไนติงเกลกะพริบตา


“เปล่า เจ้าทำได้ดีมาก” โรแลนด์หุบยิ้มลง “ในเมื่อพวกเขาไม่ยอมเลิกรา เมืองทางเหนือก็พร้อมยินดีต้อนรับพวกเขา”


ดูเหมือนพวกขุนนางเก่าในอดีตจะยังไม่ยอมแพ้ ขอเพียงเขามีจุดอ่อนอะไร คนพวกนี้ก็จะพยายามเล่นงานเขาให้ได้ แต่นี่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแปลกใจอะไร เพราะขุนนางศักดินานั้นถือกำเนิดมาเกือบพันปีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นในสามอาณาจักรใหญ่ที่เหลือก็ยังมีขุนนางศักดินาอยู่ การจะทำให้ระบบนี้หายไปหมดนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จในวันหรือสองวัน


“เอาล่ะ” ทิลลีกระแอมขึ้นมา มากลับเข้าประเด็นเราได้แล้ว “ปัญหาเรื่องคนนั้นแก้ไขได้แล้ว แล้วเครื่องบินล่ะอยู่ไหน?”


“อันนี้น่ะเหรอ…เออใช่ ช่วงนี้อีฟลินทำเครื่องดื่มยุ่งเหยิงที่รสชาติยอดเยี่ยมมากขึ้นมา เจ้าอยากจะลองดูไหม?”


“เอ๋? เอาสิ….ไม่สิ!” ทิลลีได้สติกลับมา “เห็นๆ อยู่ว่ากำลังคุยกันเรื่องเครื่องบิน อย่าบอกนะว่าท่านยังสร้างเครื่องบินไม่เสร็จ?”


ถูกเผง


“ยังไงซะพวกเขาก็ต้องเรียนจากการอ่านเขียนแล้วก็ทฤษฎีพื้นฐานนี่นา ถ้าแค่จะสาธิตให้ดู ใช้เครื่องร่อนก็….”


“ไม่ได้” ทิลลีพูดตัดบททันที “ต่อให้เป็นเครื่องร่อน แต่เครื่องร่อนที่ปรับปรุงแล้วกับเครื่องร่อนตัวต้นแบบมันก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แล้วนับประสาอะไรกับเครื่องบินล่ะ ถ้าข้าไม่เคยแม้แต่จะได้ลองขับมันด้วยตัวเอง แล้วข้าจะไปสอนคนพวกนั้นได้ยังไง? จริงอยู่ที่อีกนานกว่าคนเหล่านั้นจะได้บินจริงๆ แต่อย่างน้อยๆ ข้าก็ต้องใช้เวลาประมาณเดือนหนึ่งในการทำความเข้าใจความสามารถของเครื่องบิน แล้วก็ทำการปรับเปลี่ยนเนื้อหาในคู่มือ แถมนี่ยังไม่รวมถึงเวลาที่ต้องทำการแก้ไขเครื่องบินหลังจากนี้ด้วยนะ ในเมื่อท่านมอบหมายเรื่องนี้ให้ข้าเป็นคนจัดการแล้ว ข้าก็ย่อมมีหน้าที่ในการเร่งท่านให้ทำงานให้เสร็จ”


โรแลนด์เพิ่งจะเคยเห็นเจ้าหญิงลำดับที่ห้าจริงจังขนาดนี้เป็นครั้งแรก


เขามองออกเลยว่าเธอชื่นชอบ ‘เจ้าของเล่น’ ที่สามารถบินได้แล้วก็เหมาะกับความสามารถของตัวเองอันนี้จริงๆ


แต่ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือโรแลนด์ประเมินความยากในการสร้างเครื่องบินไว้ต่ำเกินไป นี่ขนาดเป็นเครื่องบินปีกสองชั้นที่เป็นเครื่องบินรุ่นเก่าที่สุด แถมสิ่งที่เพิ่มมาจากเครื่องร่อนก็มีแค่อุปกรณ์ให้กำเนิดพลังงานกับเชื้อเพลิงเท่านั้น แต่ระดับความซับซ้อนกลับเพิ่มขึ้นจากเดิมกลายเป็นเท่าตัว ขนาดเขามีข้อมูลจำนวนมากจากโลกแห่งความฝันเป็นแหล่งอ้างอิงยังยากขนาดนี้ ถ้าเกิดเขาออกแบบมันด้วยตัวคนเดียว เกรงว่า 3 – 4 ปีก็คงสร้างไม่เสร็จ


“ข้ารู้แล้ว” เขาส่ายหัวอย่างจนปัญญา “อีกสองสัปดาห์ข้าจะเอาเครื่องบินที่บินได้มาให้เจ้า”


“อย่างนั้นเราตกลงตามนี้” ทิลลียิ้มเล็กน้อย “แล้วก็ เครื่องดื่มยุ่งเหยิงรสเยี่ยมที่ท่านว่าล่ะ? ขอข้าลองชิมหน่อยได้ไหม”


….


“แปลก….” หลังเจ้าหญิงลำดับที่ห้าถือขวดเครื่องดื่มยุ่งเหยิงออกไปแล้ว ไนติงเกลจึงพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา


“ทำไมเหรอ?” โรแลนด์ถาม


“ก่อนหน้านี้เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นๆ นางจะเรียกพระองค์ว่าพี่ชายอยู่บ่อยๆ แต่พอเวลาอยู่กันตามลำพังกับพระองค์ นางแทบจะไม่ค่อยเรียกพระองค์เช่นนั้นเลย…นี่มันไม่แปลกหรือเพคะ?”


“อย่างนี้นี่เอง?” เขางุนงง “แต่ว่า…ทำไมล่ะ?”


“หม่อมฉันก็ไม่รู้เหมือนกันเพคะ”


ทั้งสองคนสบตากันพร้อมกับลูบคางตัวเอง ก่อนจะตกลงไปในปริศนาที่ยากจะเข้าใจนี้ด้วยกัน


…………………………………………………………..

 

 

 


ตอนที่ 1051

 

การค้นพบของอาซีม่า

ณ เขตภูเขาเคจเมาเธ่น ชายแดนฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรดอว์น


ยิ่งเดินลึกเข้าไปในเขา หนทางก็ยิ่งเดินได้ยากลำบากขึ้น ทุกที่ล้วนแต่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่และเถาวัลย์ที่พันเกี่ยวกันไปมา พุ่มไม้หนาๆ ซ้อนตัวเป็นชั้นๆ มีแต่ต้องมองผ่านรอยแยกระหว่างพุ่มไม้ขึ้นไปถึงจะมองเห็นทองฟ้าสีเทาหม่นๆ


สิ่งเดียวที่ทำให้อาซีม่ารู้สึกอุ่นใจนั่นคืออย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องเดินลุยหิมะที่หนาขึ้นมาจนถึงหัวเข่า ที่นี่ได้รับผลกระทบจากเดือนแห่งปีศาจน้อยมาก แล้วก็ไม่ได้มีหิมะปกคลุมเหมือนอย่างเทือกเขาสิ้นวิถีด้วย ไม่อย่างนั้นพวกเธอคงต้องรอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วค่อยกลับมาใหม่แน่


แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเธอจะเดินเลาะไปบนภูเขาได้ง่ายๆ


ในตอนที่ืยืนอยู่ตรงตีนเขา ภูเขาเคจเมาเธ่นนั้นเป็นเหมือนเนินที่ไม่ได้สูงชันอะไรนัก แต่หลังจากที่ได้เข้ามาจริงๆ เธอกลับพบว่าข้างในภูเขานั้นไม่มีทางเล็กๆ ให้เดินเลย เรียกได้ว่าไม่เหมาะกับกลุ่มเดินทางขนาดใหญ่ที่จะเดินผ่านเข้าไป วันแรกที่ขึ้นเขาไปพวกเธอเดินทางไปไม่ถึง 1 กิโลเมตรก็มีคนบาดเจ็บไปแล้ว 3 คน ในขณะที่ไม่รู้จะทำเช่นไร ฌอนที่เป็นองครักษ์ของราชาจึงต้องให้กองทัพตั้งค่ายพักอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ตรงตีนเขาก่อน ส่วนเขาก็เลือกเอามือดีออกมาเพื่อเดินทางต่อ


นาฟซึ่งเป็นคนนำทางในพื้นที่ โรสเซอร์ที่เป็นแม่มดอาญาสิทธิ์ มาลซึ่งเป็นผู้ประสานงานจากตระกูลโทคัต บวกกับเธอแล้วก็ฌอนรวมกันกลายเป็นทีมสำรวจแปลกประหลาด


ไม่แปลกประหลาดก็บ้าแล้ว!


แม่มดอาญาสิทธิ์บอกว่าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้มาดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของเธอ เพราะว่าเธอต้องเดินทางกับผู้ชายทั้งวัน คงมีหลายๆ เรื่องที่จัดการไม่สะดวก แต่อาซีม่ามั่นใจอย่างมากว่าขอเพียงเธอพยายามคิดหนี อีกฝ่ายจะต้องหักขาทั้งสองข้างของเธอทันทีแน่


ถึงแม้มาล โทคัตจะเป็นผู้ประสานงานจากอาณาจักรดอว์นส่งมา แต่อยู่ในป่าในเขาแบบนี้จะมีอะไรให้ประสานงาน? แทนที่จะรออยู่ในหมู่บ้าน ก็ดึงดันที่จะตามขึ้นเขามาให้ได้ เห็นได้ชัดว่าเขามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่ ถ้าไม่เป็นเพราะว่าเป็นคนของตระกูลโทคัต แล้วก็ระหว่างทางได้ให้ความช่วยเหลือพวกเธอไม่น้อยจริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าเขาคงจะถูกฌอนจับยัดใส่กระสอบแล้วโยนลงเขาไปแล้ว


ตัวทีมสำรวจนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ทีมสำรวจเหมืองแร่ที่ ‘ดูไม่มีพิษมีภัย’ นี้เรียกได้ว่าติดอาวุธอยู่ทุกซอกทุกมุมในร่างกาย แม้แต่พลั่วก็ยังใช้เป็นอาวุธได้ ในเวลาที่เจอกับอัศวินกลุ่มอื่นเดินผ่านมา พวกเขาก็ตั้งท่าเหมือนพร้อมจะโจมตีอีกฝ่ายทุกเมื่อ ดูแล้วไม่เหมือนคนงานธรรมดาๆ ที่ใช้ชีวิตอยู่ในระดับล่างแม้แต่น้อย


ยิ่งไปกว่านั้นคนเหล่านี้ก็ไม่มีใครรู้ด้วยว่าตัวเองกำลังหาอะไรอยู่ รวมไปถึงอาซีม่าด้วย ไม่ใช่ทั้งทองเงินแล้วก็ไม่ใช่ทองแดง ของสิ่งเดียวที่ใช้นำทางนั้นมีแค่เหรียญเล็กๆ ที่ทำมาจากอะไรก็ไม่รู้ในมือของเธอ


“เดี๋ยว…เดี๋ยวๆ” คนนำทางที่เดินอยู่ข้างหน้าชูมือขึ้นมาส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนหยุด “ระวัง ตรงนี้มีกับดัก!”


อาซีม่าได้ยินเสียงคลิกดังมาจากด้านหลังทันที เธอรู้ว่านั่นเป็นเสียงขึ้นนกพร้อมยิงของอาวุธปืน ในระยะเวลาเดือนกว่านี้ ฌอนได้เล่าเรื่องการรบที่เป็นตำนานของฝ่าบาทให้เธอฟังหลายครั้ง เธอเองก็พอจะรู้ถึงความสามารถในการต่อสู้ของทหารกลุ่มนี้บ้าง ความจริงแล้ว ถ้าเทียบกับโรสเซอร์ที่เป็นแม่มดเหมือนกับเธอ เธอพบว่าเธอชอบอยู่กับคนธรรมดามากกว่า


โรสเซอร์นั้นดูมีความสุขุมกว่ามาก แม้แต่ดาบเธอก็ไม่ได้ชักออกมา เธอเดินเข้าไปหาคนนำทางอย่างช้าๆ “โอ้? นี่มัน…กับดักหอกเหรอ?”


“ใช่ขอรับ” นาฟชี้ไปยังปลายยอดของต้นไม้ต้นหนึ่ง “มองเห็นไหมขอรับ หอกมันซ่อนอยู่ตรงนั้น ขอเพียงพวกเราเผลอไปเหยียบถูกกลไกเข้า เจ้าหอกพวกนั้นมันก็จะพุ่งมาแทงพวกเราจนพรุน!”


อาซีม่ามองตามนิ้วของเขาไป ก่อนจะเห็นท่อนไม้ปลายแหลม 3 – 4 ท่อนโผล่ออกมาพุ่มไม้ ราวกับว่ามันกำลังจ้องมองพวกเธออยู่ ขอเพียงมันพุ่งลงมา ทั้งหัว คอและอวัยส่วนสำคัญๆ จะต้องถูกมันปักเข้าแน่ นี่ต้องไม่ใช่กับดักที่ทำขึ้นมาเพื่อล่าสัตว์แน่ หากแต่เป็นกับดักที่วางเอาไว้เพื่อเล่นงานคน


“กลไกอยู่ตรงไหน?” ฌอนถามเสียงเบา


“ท่านมองไม่เห็นพวกมันหรอกขอรับ” นาฟส่ายหัว “เถาวัลย์ที่อยู่ใต้เท้าพวกเราแต่ละเส้นอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของกับดักได้ทั้งนั้น นอกจากจะเอาไฟมาเผาที่ตรงนี้ให้ราบ ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะทำลายมันได้ขอรับ


“อย่างนั้นทำยังไง?” มาลถามขึ้นมา


“คงต้องเดินอ้อมเท่านั้น นายท่าน”


“ไม่ พวกเจ้าถอยไปก่อน” จู่ๆ โรสเซอร์ก็พูดขึ้นมา “ให้ข้าลองดูหน่อย”


“ท่านว่า…อะไรนะขอรับ?” นาฟมองไปยังแม่มดอาญาสิทธิ์อย่างประหลาดใจ “นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น…”


แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ อีกฝ่ายก็ค่อยๆ เดินเข้าไปในพื้นที่กับดักแล้ว


พื้นหญ้าตรงนี้รกทึบอย่างมาก ถ้าไม่ตัดหญ้าทิ้ง ก็แทบจะมองพื้นที่อยู่ใต้เท้าไม่เห็นเลย โรสเซอร์เดินไปไม่ไกลเท่าไร อาซีม่าพลันได้ยินเสียง ‘ผึง’ ดังขึ้นมา เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างที่ถูกดึงจนขาด จากนั้นบนพุ่มไม้ก็มีเสียง ‘ฟิ่วๆๆๆๆ’ คล้ายกับงูที่กำลังส่งเสียงขู่


เชือกที่ไม่รู้แอบซ่อนอยู่ตรงไหนดีดตัวขึ้นมาทันที หอกไม้ที่อยู่บนยอดไม้พุ่งออกมา! ขณะเดียวกัน โรสเซอร์ก็ชักดาบออกมา!


“เสร็จกัน…”คนนำทางหลับตาทันที เหมือนเขาไม่อาจทนดูจุดจบของผู้หญิงคนนี้ได้


แต่อาซีม่ากลับจ้องมองดูเหตุการณ์ทั้งหมด


เธอเห็นแม่มดอาญาสิทธิ์เอาสองมือจับดาบ แล้วฟันไปยังหอกไม้ที่พุ่งมาเหมือนตบแมลงวัน! การปะทะอย่างรุนแรงทำให้หอกไม้แตกละเอียด แต่ท่าทางของเธอกลับดูสบายๆ เหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรเลย


กระทั่งเธอหยุดเคลื่อนไหว พื้นหญ้ารอบๆ ตัวเธอก็เต็มไปด้วยเศษซากของกับดัก


“กับดักถูกกำจัดแล้ว” โรสเซอร์เก็บดาบเข้าฝัก ก่อนจะหันมาพูดพร้อมยักไหล่ “พวกเราเดินทางต่อเถอะ”


หลังรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นาฟก็ตกใจจนก้นกระแทกลงไปกับพื้น


…..


“อะฮ่า…ข้ารู้อยู่แล้วว่าทุกท่านต่างก็มีฝีมือไม่ธรรมดา สมแล้วที่เป็นคนจากเมืองหลวง!” หลังคนนำทางหายตกใจ เขาก็รีบเปลี่ยนคำพูดทันที “โดยเฉพาะนักรบท่านนี้ ฝีมือดาบของท่านนี้เรียกได้ว่าสุดยอดจริงๆ!”


“ไม่ต้องพูดมากแล้ว” โรสเซอร์พูดตัดบท “เจ้าอธิบายมาดีกว่าว่าทำไมในเขาถึงได้มีกับดักแบบนี้? หอกไม้พวกนั้นมันแทบจะใช้กับสัตว์ป่าไม่ได้เลยใช่ไหมล่ะ?”


นี่ก็เป็นคำถามที่อาซีม่าอยากจะถามเหมือนกัน


“ถูกต้องขอรับ พวกมันเป็นกับดักที่ทำขึ้นมาใช้กับคน” นาฟตอบ “ยิ่งเดินเข้าไปในเขา กับดักก็จะยิ่งเยอะขึ้น ด้วยเหตุนี้เขานี้จึงมีอีกชื่อว่าเขาแห่งกับดัก ซึ่งกับดักพวกนี้เป็นกับดักที่เจ้าเมืองคนก่อนๆ ทำเอาไว้ จุดประสงค์ของพวกมันก็เพื่อป้องกันคนจากอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท”


“วูล์ฟฮาร์ท?” ฌอนพูดทวน


“ใช่ขอรับ เทือกเขาที่ลากยาวตั้งแต่ชายทะเลไปจนถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์เก่า ถือว่าเป็นเส้นแบ่งตามธรรมชาติของสองอาณาจักร เนื่องจากภูมิประเทศของอาณาจักรดอว์นอยู่ต่ำกว่า ทำให้เหมือนว่ามันถูกขังเอาไว้ในกรง ด้วยเหตุนี้ภูเขานี้จึงได้ชื่อว่าเคจเมาเธ่น” นาฟพูดอธิบาย “แต่ปัญหามันอยู่ที่ลักษณะของภูเขา ตอนที่ตรงตีนเขาพวกท่านก็น่าจะสังเกตเห็นแล้วว่าทางทิศใต้ของภูเขานั้นเป็นเหมือนเนิน ดูเผินๆ แล้วสูงชัน แต่เวลาเดินจริงๆ กลับเดินได้ง่ายมาก นี่จึงทำให้มีพวกโจร นายพรานกับผู้อพยพจากอาณาจักรเพื่อนบ้านข้ามภูเขาเข้ามายังอาณาจักรดอว์น ตอนแรกพวกเขาก็แค่มาหาของป่าในภูเขา แต่ภายหลังพวกเขาก็เริ่มเข้ามาปล้นในหมู่บ้านจนชาวบ้านเดือดร้อนไปหมด เจ้าเมืองนั้นปวดหัวอย่างมาก สุดท้ายเขาจึงคิดวิธีที่จะแก้ปัญหาแบบเด็ดขาดขึ้นมา นั่นคือทิ้งภูเขาแห่งนี้ไป”


“อย่างนี้นี่เอง…” มาล โทคัตเข้าใจทันที “ตรงชายแดนที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยเหรอเนี่ย”


“ท่านเจ้าเมืองย่อมไม่อยากให้ราชาทรงทราบเรื่องนี้” นาฟพูดต่อ “อีกอย่างพวกเราก็ไม่เหมือนพวกคนจนที่อยู่ฝั่งนั้น ถ้าไม่มีภูเขาพวกเขาก็อยู่ไม่ได้ แต่พวกเราแค่เปลี่ยนงานก็ได้แล้ว หลังภูเขาถูกปิดไป เจ้าเมืองก็ส่งคนมาปลูกหญ้ากับเถาวัลย์ที่โตเร็ว แล้วก็วางกับดักพวกนี้เอาไว้ จนกระทั่งเขาเคจเมาเธ่นกลายเป็นสภาพแบบนี้


อย่างนั้นพวกเจ้าก็เปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นกรงจริงๆ ถึงแม้จะกันอีกฝ่ายได้ แต่มันก็กลายเป็นการขังตัวเองเอาไว้เหมือนกัน อาซีม่าคิดในใจ ถ้าหากเป็นฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดันละก็ พระองค์ต้องไม่มีทางทำแบบนี้แน่ สายตาของเขาคนนั้นมักจะมองออกไปไกล แม้แต่ตอนที่มอบหมายภารกิจให้เธอ สายตาเขาก็ยังไม่หยุดอยู่บนตัวเธอเลย


ไม่สิ ทำไมตัวเองถึงมาคิดถึงเขาในเวลานี้ได้?


อาซีม่าส่ายหัว


ฝ่าบาทเป็นแค่นายจ้างเท่านั้น


รีบทำภารกิจให้สำเร็จ แล้วกลับไปหาดอร์ริสต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่เธอควรทำ


….


แล้วก็เป็นอย่างที่คนนำทางว่าเอาไว้จริงๆ หลังจากนั้นพวกเธอก็ต้องเจอกับกับดักอีกมากมาย แต่มันไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับแม่มดอาญาสิทธิ์แม้แต่น้อย ในตอนที่ฟ้าเริ่มจะมืด อาซีม่าพลันมองเห็นลำแสงสีเขียวสว่างขึ้นมาจากเหรียญที่อยู่ในมือ!


ด้านหลังป่าทึบเองก็มีแสงสีเขียวสว่างขึ้นมา ระหว่างจุดทั้งสองมีลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนวิ่งไปวิ่งมากลายเป็นเหมืองสะพานสีเขียว


นี่มันปฏิกิริยาระดับแหล่งกำเนิด!


ในที่สุดเธอก็เจอแหล่งกำเนิดอีกแห่งแล้ว!


แต่หลังจากที่ทีมสำรวจเดินเข้าไปในป่าตามที่อาซีม่าบอก ทุกคนพลันรู้สึกตกตะลึงจนยืนนิ่งอยู่กับที่


มันเป็นสิ่งก่อร้างที่ถูกทิ้งร้างอยู่ตรงไหล่เขา ด้านในประตูหินที่ผุพังลึกจนมองไม่เห็นก้น บนเสาหินที่ตั้งอยู่สองฝั่งของประตูมีสัญลักษณ์แปลกๆ สลักเอาไว้เต็มไปหมด นี่แสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ


อาซีม่าเองก็ลืมตาโตอย่างตกใจ


ฝ่าบาทบอกให้เธอมาหาเหมืองหินชนิดพิเศษไม่ใช่เหรอ?


ทำไมแหล่งกำเนิดถึงมีซากโบราณสถานที่เหมือนถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานานแบบนี้ได้?


…………………………………………………………

 

 

 


ตอนที่ 1052

 

มาตรการป้องกัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“หึ ชักน่าสนุกแล้วสิ…” โรสเซอร์พูดเบาๆ


“เจ้าว่าอะไรนะ?” ฌอนมองมาที่เธอ “นี่มันน่าสนุกตรงไหน?”


“ข้าจะบอกพวกเจ้าก็ได้ คนธรรมดา” โรสเซอร์แสยะริมฝีปากหนาๆ ขึ้นมา “อารยธรรมใต้ดินเคยทิ้งซากโบราณสถานเอาไว้ทั่วทั้งพื้นทวีป ทาคิลาย่อมศึกษาพวกมันมาไม่น้อย แถมเจ้าสัญลักษณ์พวกนี้…” เธอเดินไปหน้าเสาหินที่ถูกแกะสลักเป็นลวดลายพร้อมกับปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนนั้นออก “ก็ไม่ใช่อักษรที่พวกมันใช้ แล้วก็ไม่ใช่ตัวหนังสือของสมาพันธ์ด้วย เมื่อคิดถึงประวัติศาสตร์ในอดีตของสี่อาณาจักรใหญ่แล้ว เจ้าไม่คิดว่ามันน่าสนใจหรอกเหรอ?”


อาซีม่าพบว่าตัวเองฟังไม่เข้าใจเลย ถึงแม้ความหมายของคำศัพท์แต่ละคำจะเข้าใจได้อย่างชัดเจน แต่พอจับพวกมันมารวมกัน เธอกลับไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงอะไร แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกดีหน่อยก็คือสีหน้าของมาลที่เกิดในตระกูลขุนนางกับนาฟที่เป็นคนนำทางนั้นก็ดูสับสนไม่ได้แพ้ตนเลย


ส่วนฌอนนั้นกลับทำสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่


“ข้าเคยได้ยินฝ่าบาทตรัสว่าเมื่อก่อนสี่อาณาจักรใหญ่นั้นเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่อยู่กันอย่างกระจัดกระจาย เป็นแค่เพียงมุมเล็กๆ มุมหนึ่งของพื้นทวีปเท่านั้น จริงๆ ประวัติศาสตร์ที่ว่าก็คือการที่ไม่มีประวัติศาสตร์ ถ้าโบราณสถานแห่งนี้คือสิ่งที่อารยธรรมทิ้งเอาไว้ระหว่างสงครามแห่งโชคชะตา อย่างนั้นมันก็หมายความว่า…”


เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาพลันตกตะลึงไปทันที


“ที่ตรงนี้เคยมีเผ่าพันธุ์ที่พวกเราไม่รู้จักอยู่อาศัยมาก่อน?”


“ยังไม่อาจสรุปเช่นนั้นได้” โรสเซอร์พูดอย่างตื่นเต้น “บางทีอารยธรรมใต้ดินอาจจะมีการแบ่งเป็นเผ่าพันธุ์ย่อยออกมา แล้วสร้างภาษาที่ไม่เหมือนกันออกมาก็ได้ นี่คือตัวแปรที่ยังไม่อาจรู้ได้ มีแต่ต้องเข้าไปดูข้างในถึงจะได้ข้อมูลมากกว่านี้”


“ท่านฌอน ตรงนี้เหมือนจะมีแผ่นหินอยู่แผ่นหนึ่งขอรับ” ทหารที่กำลังสำรวจดูประตูหินพลันตะโกนขึ้นมา “ข้างบนเหมือนจะมีตัวหนังสือของพวกเราเขียนอยู่ขอรับ”


ทุกคนเดินเข้าไปทันที


จากนั้นทุกคนจึงเห็นหินแกรนิตก้อนหนึ่งนอนอยู่ในพงหญ้า ด้านบนก้อนหินเต็มไปด้วยคราบตะไคร่ มีแต่มุมด้านหนึ่งที่มีร่องรอยว่ามันถูกสลักเอาไว้ ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็ยากที่จะมองเห็นมันได้ ทหารใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะทำความสะอาดมันเสร็จเรียบร้อย จากนั้นตัวหนังสือบนก้อนหินก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน


‘สถานที่นี้ต้องสาปจากพระเจ้า ถ้าเข้าไปต้องตาย’


หลังได้เห็นคำเตือนบนแผ่นหิน นาฟรู้สึกตกใจทันที


“หรือ หรือว่านี่คือ…วิหารต้อง…วิหารต้องสาปที่เล่าลือกัน?” เขาถอยหลังไปสองเก้าพร้อมพูดติดอ่าง


ฌอนกับแม่มดอาญาสิทธิ์สบตากัน “เจ้ารู้ประวัติของมันเหรอ?”


“ข้าเองก็ฟังคนอื่นเล่ามา นั่นมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน….” นาฟจ้องไปยังปากประตูที่ดำมืด ก่อนจะกลืนน้ำลายดังอึก “อย่างที่ข้าเล่าให้ฟังว่าเจ้าเมืองในพื้นที่ตอนนั้นได้เกณฑ์คนไปทำกับดักเพื่อกันไม่ให้คนจากอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทข้ามเขาเคจเมาเธ่นมา ว่ากันว่าตอนนั้นมีกองกำลังที่มีอัศวินเป็นผู้นำได้ออกไปปฏิบัติภารกิจ ในระหว่างที่ทำภารกิจได้เจอกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ดังนั้นอัศวินจึงออกคำสั่งให้หาที่หลบฝน ผลก็คือไปพบกับวิหารประหลาดแห่งหนึ่งเข้า”


“โอ้?” โรสเซอร์เลิกคิ้วขึ้นมา “หลังพวกเขาเข้าไปก็พบของมีค่าที่อยู่ด้านหลัง เหล่าชาวบ้านเกิดความละโมบจึงขโมยของมีค่าออกมา แต่กลับต้องเจอกับคำสาปของพระเจ้า จนสุดท้ายก็ตายลงอย่างน่าอนาถทีละคนใช่ไหม?”


“ท่าน ท่านก็เคยได้ยินเรื่องนี้เหรอขอรับ?” นาฟพูดอย่างตกใจ


“หึหึ” โรสเซอร์หัวเราะขึ้นมา “คนธรรมดานี่ไม่เคยพัฒนาไปไหนเลย เมื่อหลายร้อยปีก่อนใช้ลูกไม้นี้ ถึงตอนนี้ก็ยังใช้ลูกไม้เดิมๆ อยู่ ข้ากล้าพนันเลยว่าเจ้าเมืองเป็นคนสร้างข่าวลือนี้ขึ้นมา เพื่อที่เขาจะได้ฮุบเอาสมบัติที่อยู่ข้างในไปคนเดียว ส่วนแมลงที่น่าสงสารเหล่านั้นก็ถูกฆ่าปิดปากไปทีละคน”


“แต่…พวกเขาไม่ได้ตายทันทีนะขอรับ”


“อะไรนะ?” โรสเซอร์ขมวดคิ้วขึ้นมา


คนนำทางหดคอลงก่อนจะตอบออกมาอย่างระมัดระวัง “น่าจะผ่านไปประมาณ 10 ปี พวกเขาถึงจะค่อยๆ ตายกันไป อัศวินคนนั้นก็ตายเหมือนกัน ว่ากันว่าตอนที่พวกเขาตายนั้นทุกข์ทรมานอย่างมาก แม้แต่ผิวหนังบนใบหน้าก็หลุดลอกออกมา เผยให้เห็นเนื้อเละๆ ที่อยู่ด้านล่างผิวหนัง ดูแล้วน่าหวาดกลัวอย่างมาก ซึ่งนี่ก็เป็นที่มาของข่าวลือเรื่องคำสาป และเพื่อที่จะไม่ให้ข่าวลือแพร่ออกไปภายนอก เจ้าเมืองจึงห้ามไม่ให้ใครเข้าไปใกล้พื้นที่นั้นเด็ดขาด ดังนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าวิหารแห่งนั้นตั้งอยู่ที่ไหน”


“เจ้ามั่นใจ?” โรสเซอร์เดินเข้าไปหานาฟ พร้อมกับเอามือไปวางไว้บนไหล่ของอีกฝ่าย


เมื่อเห็นแขนที่มีขนาดใหญ่กว่าต้นขาของตัวเอง ใบหน้าของคนนำทางก็ขาวซีดขึ้นมากกว่าเดิม “ข้าก็ได้ยินมาจากในร้านเหล่านั่นแหละขอรับ ข้ารับรองว่าไม่ได้พูดโกหก! นายท่าน หากท่านไม่เชื่อ ท่านก็ลองไปถามคนอื่นดูก็ได้ ถ้ามีปัญหาอะไรล่ะก็ อย่างนั้นมันก็ต้องเป็นตัวข่าวลือที่มีปัญหาขอรับ!”


ถ้าผ่านไปนานขนาดนี้แล้วถึงตาย อย่างนั้นคำพูดที่ว่าฆ่าปิดปากก็ไม่อาจใช้ได้อีก อาซีม่าครุ่นคิด ถ้าอัศวินกับเจ้าเมืองจะร่วมมือกันฆ่าพวกชาวบ้าน มันก็ยังถือเป็นเรื่องที่เห็นได้บ่อยๆ แต่การที่กำจัดอัศวินทิ้งนั้นมันเป็นคนละเรื่องกัน อีกฝ่ายนั้นเป็นขุนนาง ต่อให้ตระกูลจะเล็กแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะลงโทษประหารใครได้ตามอำเภอใจโดยไม่ไต่สวนได้


หรือว่า….มันจะเป็นคำสาปของพระเจ้าจริงๆ?


“เอ่อ ถ้าไง…พวกเรากลับไปที่หมู่บ้านก่อนไหม เอาไว้สอบถามข้อมูลได้มากกว่านี้แล้วค่อยลงมือ?” มาล โทคันเสนอความคิดขึ้นมา


“แล้วค่อยลงมือ?” นาฟมองไปทางฌอนอย่างไม่อยากจะเชื่อ “หรือว่าพวกท่านตั้งใจจะมาหาวิหารต้องสาปนั้นแต่แรกแล้ว?”


“ไม่ใช่แบบนั้น แต่สิ่งที่พวกข้ากำลังตามหามันดันอยู่ในนั้นพอดี” โรสเซอร์ปล่อยนาฟ “ว่ายังไง? ในฐานะที่เป็นทหารที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัย ข้าคิดว่าท่านคงจะไม่หนีไปตอนนี้ใช่ไหม?”


“ไม่มีทางแน่นอน” ฌอนตอบอย่างสุขุม “ทำภารกิจที่ฝ่าบาททรงมอบหมายมาให้สำเร็จคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ตอนนี้เป้าหมายอยู่ตรงหน้าแล้ว ข้าย่อมไม่มีเหตุผลให้ถอยหลังกลับอีก”


“ดีมาก อย่างนั้นพวกเราก็เข้าไปดี ‘พระเจ้า’ ที่ว่ากัน” โรสเซอร์แสยะยิ้มออกมา


“แต่จะเข้าไปโดยไม่ป้องกันไม่ได้” ฌอนส่ายหัว “ความจริงฝ่าบาทเองก็ตรัสเอาไว้แล้วว่าตอนที่เข้าใจแหล่งกำเนิด เราอาจจะเจออันตรายได้”


“แม้แต่เรื่องนี้พระองค์ก็ทรงคาดการณ์เอาไว้เหรอ?”


“ถูกต้อง” ฌอนหันหน้ากลับไปพูดกับอาซีม่า “หลังเจ้าออกไปในคืนนั้น ฝ่าบาทสั่งกำชับเรื่องบางเรื่องกับข้าเป็นการส่วนตัว พระองค์ตรัสว่าพวกเราอาจจะเจอกับความเป็นไปได้สองสถานการณ์ ความเป็นไปได้หนึ่งคือแหล่งกำเนิดอยู่เหนือพื้นดิน หากเป็นแบบนั้นพวกเราก็ไม่ต้องทำอะไร แค่ปิดล้อมพื้นที่แล้วกลับไปรายงานที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็พอ ส่วนความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งคือแหล่งกำเนิดอยู่ในถ้ำใต้ดิน ถ้ำยิ่งลึก โอกาสในการเกิดอันตรายก็ยิ่งสูง ด้วยเหตุนี้ถ้าเจอกับเหตุการณ์ที่สอง สิ่งแรกที่พวกเราต้องทำคือทำการป้องกัน ถึงแม้ที่นี่จะไม่ใช่ถ้ำ แต่มันก็มีความคล้ายคลึงกัน”


พูดจบเขาก็ดีดนิ้วเรียกทหาร “เอาของออกมา”


ทหารสองคนปลดสัมภาระลงมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะล้วงเอาเสื้อคลุมยาวสีขาวออกมา 5 ชุด


โรสเซอรืคุกเข่าลงไปพลิกดูชุดอย่างอยากรู้อยากเห็น “นี่มันเสื้อหนังธรรมดาๆ ไม่ใช่เหรอ”


“ถ้าใส่หน้ากากเข้าไปด้วยก็ไม่ธรรมดาแล้ว” ฌอนหยิบชุดขึ้นมาชุดหนึ่ง แล้วเอาตัวเองใส่เข้าไปในชุด อาซีม่าพบว่าชุดหนังที่ว่าเป็นชุดที่ท่อนบนท่องล่างเชื่อมต่อกันเป็นชุดเดียว แม้แต่กระดุมซักเม็ดก็ไม่มี แทนที่จะบอกว่ามันเป็นเสื้อผ้า ควรจะบอกว่ามันเป็นถุงที่ตัดขึ้นมาเป็นรูปคนมากกว่า หลังสวมเสร็จเรียบร้อยก็เหลือเพียงแค่ใบหน้าที่โผล่ออกมาด้านนอก ทั้งมือและเท้าล้วนแต่ถูกหุ้มเอาไว้จนหมด รูปร่างดูแปลกประหลาดอย่างมาก


จากนั้นเขาก็เอาหน้ากากโปร่งใสมาสวมเข้าไป ส่วนตรงหน้ากากก็มีกระป๋องเหล็กขนาดประมาณกำปั้นติดเอาไว้อยู่ ดูแล้วเหมือนกับจมูกหมูไม่มีผิด


“เข้าไปข้างใน 5 คน คนที่เหลือเฝ้าอยู่ด้านนอก” ฌอนพูดเสียงอู้อี้ออกมาจากหน้ากาก “นอกจากคุณหนูอาซีม่ากับเลดี้โรสเซอร์แล้ว พวกเจ้ายังมีใครอยากจะเข้าไปอีก?”

 

 

 


ตอนที่ 1053

 

แหล่งกำเนิดแสง

โดย

Ink Stone_Fantasy

คนนำทางกับผู้ประสานงานรีบปฏิเสธคำเชิญนี้ทันที โดยเฉพาะคนนำทางนั้นที่รีบถอยหลังไปอยู่ห่างๆ จากประตูทางเข้า ถ้าไม่เป็นเพราะมีทหารคอยจับตาดูอยู่ เกรงว่าเขาคงจะวิ่งหนีไปนานแล้ว


โรสเซอร์กลับไม่เลือกที่จะสวมชุดแปลกๆ นั้น “ข้าไม่จำเป็นต้องใส่ เก็บเอาไว้เป็นชุดสำรองแล้วกัน”


“เจ้ามั่นใจ?” ฌอนขมวดคิ้วถาม


“ความสามารถในการต้านทานและความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองของนักรบอาญาสิทธิ์นั้นแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดามาก เชื่อโรคและพิษปกติไม่สามารถทำอะไรข้าได้ ข้าไม่คิดว่าโรคที่ทำให้คนธรรมดามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกสิบปีจะทำอะไรร่างกายนี้ได้” เธอยักไหล่ “ในทางกลับกัน ชุดนี่มันกลับจะทำให้ข้าเคลื่อนไหวไม่สะดวก การรับรู้ต่างๆ ลดลง การสวมใส่มันในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยก็ไม่ต่างอะไรกับการมัดมือมัดเท้าตัวเองไว้ ดังนั้นข้าไม่ใส่ดีกว่า อีกอย่างถ้าสมมติพวกเราเจอปัญหาอะไรในนั้นจริงๆ ถ้ามีชุดสำรองอีกชุดหนึ่งก็จะทำให้คนข้างนอกเข้าไปช่วยเหลือเราได้ ถึงแม้โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นมันจะเป็นไปได้น้อยมากก็ตาม”


นี่ฟังดูมีเหตุผลอย่างมาก แม่มดอาญาสิทธิ์นั้นพึ่งพาการมองเห็นกับการได้ยินในการรับรู้สู้สภาพแวดล้อมรอบๆ การฝึกซ้อมมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปีทำให้พวกเธอสามารถวิเคราะห์ความชื้นและความยืดหยุ่นของดินได้จากเสียงฝีเท้าที่เหยียบลงไปบนพื้นดิน ในจุดนี้อาซีม่าเคยเห็นมาระหว่างทางแล้ว


และก็ด้วยเหตุนี้ ชุดป้องกันที่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นกับการได้ยินของคนธรรมดาแค่เพียงเล็กน้อยนี้ มันอาจจะส่งผลกระทบต่อแม่มดอาญาสิทธิ์มากกว่าที่คิดก็ได้


“แต่ถ้าเกิด…มันคือคำสาปของพระเจ้าจริงๆ ล่ะ จะทำยังไง?” อาซีม่าถามอย่างกังวลขึ้นมา


โรสเซอร์ยิ้มขึ้นมา รอยยิ้มของเธอยังคงดูดุร้ายเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าชุดหนังนี้จะป้องกันคำสาปของพระเจ้าได้จริงหรือเปล่า แต่ถ้าเกิดมันมีจริงๆ อย่างนั้นก็ให้มันเข้ามา ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่าหลังจากที่ชาวทาคิลานับล้านถูกฝังอยู่บนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ พระเจ้ายังจะสาปอะไรพวกเราได้อีก!”


“ข้าเข้าใจแล้ว” ฌอนนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะพยักหน้าขึ้นมา “อย่างนั้นพวกเราออกเดินทางกันเถอะ”


อาซีม่าสูดหายใจ ก่อนจะเดินตามองครักษ์เข้าไปในประตูหิน


ภายในซากโบราณสถานไม่ได้อับชื้นเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ ดินโคลนที่ทะลักมาจากข้างนอกกินพื้นที่กว่าครึ่งของอุโมงค์ทางเดินไป ตอนแรกทุกคนได้แต่ต้องก้มตัวเดินเข้าไป แต่เมื่อเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ทางเดินก็ค่อยๆ กว้างขึ้น ถึงแม้จะยังต้องเดินก้มๆ อยู่ แต่ระดับควานชันของเนินก็ลดลงกว่าเดิมเยอะ


ในขอบเขตการส่องสว่างของคบเพลิงสามารถมองเห็นว่าผนังทั้งสองด้านของทางเดินนั้นเสียหายอย่างหนัก รากไม้และพวกเถาวัลย์จากด้านนอกเลื้อยเข้ามาตามรอยแตกบนผนังจนขวานทางเดินเต็มไปหมด โรสเซอร์ที่เดินอยู่หน้าสุดใช้ขวานคอยฟันพวกรากไม้กับเถาวัลย์ทิ้งเพื่อให้ทุกคนเดินได้สะดวก ถ้าไม่มีแม่มดอาญาสิทธิ์คอยเปิดทางให้ละก็ เพียงแค่เดินลงเดินมานี้คงต้องใช้เวลาครึ่งค่อนวันแน่


“จริงอยู่ที่ที่นี่ถูกทิ้งร้างมานาน แต่มันไม่ได้ถูกปิดตายเหมือนอย่างที่นาฟบอก” จู่ๆ ฌอนก็พูดขึ้นมา “อย่างน้อยที่นี่ก็น่าจะเคยมีคนไปๆ มาๆ อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง”


“เจ้าเห็นอะไร?” โรสเซอร์ถามอย่างแปลกใจ


“บนกำแพงมีช่องสำหรับเสียบคบเพลิงอยู่” เขาชี้ไปบนกำแพง “ลวดลายช่องเหล่านั้นดูชัดเจนกว่าคนกำแพง แสดงให้เห็นว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นมาช่วงเวลาที่แตกต่างกันมาก ถ้าที่ีนี่เป็นแค่ที่หลบฝนชั่วคราวจริงๆ พวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องปักคบเพลิงไว้บนกำแพงทุกๆ สิบก้าวใช่ไหมล่ะ?”


ถูกต้อง มีแต่ต้องตอนต้องเข้าออกที่นี่บ่อยๆ ในระยะยาวถึงจะต้องทำที่ปักคบเพลิงขึ้นมา


“เหอะ ก็อย่างที่ข้าบอกไง ขอเพียงมีสมบัติ มีหรือที่เจ้าเมืองของที่นี่จะไม่สนใจ?” โรสเซอร์หัวเราะหึหึขึ้นมา “คนนำทางคนนั้นอาจจะไม่ได้พูดโกหก หากแต่เป็นตัวข่าวลือที่ถูกเติมแต่งเข้าไป”


“สิ่งที่ข้ากังวลก็คือสิ่งที่ฝ่าบาททรงให้พวกเราตามหา อาจจะเป็นสมบัติที่เขาพูดมาน่ะสิ…” ฌอนพูดเสียงคร่ำเคร่ง “ถ้าข้างในมันมีแหล่งกำเนิดที่ว่าอยู่เป็นจำนวนมาก ช่วงเวลาร้อยกว่าปีมานี้มันถูกขนออกไปแล้วเท่าไร แล้วก็ถูกขนออกไปที่ไหน? จากที่ฝ่าบาทตรัสมา สิ่งนั้นมันเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างแสงของพระอาทิตย์ พวกเราจะปล่อยให้มันตกไปอยู่ในมือของคนอื่นไม่ได้เด็ดขาด”


“คำถามนี้คงต้องรอให้คุณหนูอาซีม่าพาพวกเราไปถึงแหล่งกำเนิดก่อนถึงจะตอบได้” จู่ๆ ร่างกายของโรสเซอร์พลันหยุดชะงักลง “….ข้าว่าพวกเราอยู่ห่างจากเป้าหมายไม่ไกลเท่าไรแล้ว”


ในที่สุดพื้นโคลนใต้เท้าก็สิ้นสุดลง เผยให้เห็นบันไดหินที่แอบซ่อนอยู่ด้านล่าง


ความเร็วในการเดินของทุกคนเร็วขึ้นมากกว่าเดิมทันที


หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง จู่ๆ พื้นทางเดินที่ก่อนหน้านี้ถูกแสงไฟส่องจนสว่างพลันถูกความมืดกลืนกินไปจนหมด เหมือนกับว่าตรงนั้นมันมีกำแพงสีดำมากั้นเอาไว้อยู่อย่างไรอย่างนั้น


“นั่นมัน…” อาซิม่าพูดขึ้นมาอย่างตกใจ


“โพรงขนาดใหญ่” โรสเซอร์ถือคบเพลิงเดินเข้าไปในความมืด ก่อนจะหายวับไปกับตา


จากนั้นก็เป็นฌอน


“ระวังใต้เท้านะ” ทหารที่คอยระวังอยู่ด้านหลังพูดเตือนขึ้นมา


“อื้อ” อาซีม่าสูดหายใจ ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปในความมือ ตอนที่เธอรับปากฝ่าบาทโรแลนด์ก่อนหน้านี้ เธอคิดกับตัวเองมาตลอดว่าเธอนั้นเป็นคนกล้าหาญ แต่ตอนนี้ดูแล้ว ความกล้าของเธอยังห่างชั้นกับฌอนและโรสเซอร์อีกมาก บางทีอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เธอไม่ยอมตัดสินใจที่จะออกมาจากเกาะสลีปปิ้งเสียที


‘พูดไปพูดมาก็แค่คนอ่อนแอเท่านั้นแหละ’


คำพูดของไนติงเกลดังขึ้นมาในหูเธออีกครั้ง


แต่ครั้งนี้ มันกลับไม่ได้เป็นแค่คำพูดเสียดสีเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังมีความหมายอื่นแฝงอยู่ด้วย


ความมืดกักขังเธอเอาไว้


หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ดวงตาของเธอจึงเริ่มเคยชินกับความมืด คบเพลิงของสองคนที่อยู่ข้างหน้าสะท้อนเข้ามาในดวงตาของเธออีกครั้ง เพียงแค่แสงไฟเหมือนจะดูสลัวกว่าเดิม มันเหมือนเป็นแค่แสงสีแดงส้มหม่นๆ เท่านั้น


“นี่คือชั้นใต้ดินของซากโบราณสถานเหรอ?” โรสเซอร์สำรวจดูรอบๆ ขณะเดียวกับบนหัวก็มีเสียงสะท้อนดังไปมา “ก็ไม่ค่อยใหญ่เท่าไร กว้างสูงไม่เกิน 200 ก้าว”


“เจ้ามองเห็นขอบของมันเหรอ?” ฌอนถาม


“สำหรับพวกเราแล้วนี่ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ขอเพียงอยู่ใต้ดินมากกว่าร้อยปี ถ้าไม่เคยชินกับสภาพแวดล้อมก็คงกลายเป็นคนตาบอด”


ตอนนี้อาซีม่าถึงได้เข้าใจแล้วว่า ‘โพรงขนาดใหญ่’ ที่อีกฝ่ายพูดเตือนในตอนแรกนั้นหมายความว่ายังไง หลังจากที่เดินผ่านอุโมงค์เข้ามาเรื่อยๆ จนถึงที่นี่ พื้นที่ด้านในก็ค่อยๆ กว้างขึ้น แสงไฟก็ไม่สามารถส่องไปถึงผนังหินได้ ด้วยเหตุนี้แสงไฟจึงดูสลัวมากขึ้นมากกว่าเดิม อีกทั้งตรงปากอุโมงค์กับในโพรงนั้นมีทางเลี้ยวแบบหักศอกอยู่ จึงทำให้คนที่เดินอยู่ข้างหน้าดูเหมือนจู่ๆ ก็หายตัวไป


“แหล่งกำเนิดอยู่ห่างจากเราอีกไกลไหม?” โรสเซอร์หันมาถามเธอ


อาซีม่ารีบหยิบเอาเหรียญโลหะออกมาจากกระเป๋า พริบตาลำแสงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเธอทันที! ตั้งแต่เพดานถ้ำจนถึงใต้เท้าล้วนแต่มีจุดแสงสีเขียวกระจายอยู่ทั่วทุกที่จนทำให้เธอมองเห็นเค้าโครงของซากโบราณสถานทั้งหมด มันเหมือนเป็นโลกที่อยู่ในจินตนาการ โพรงถ้ำใต้ดินที่เดิมมืดจนมองไม่เห็นขอบพลันสว่างชัดเจนขึ้นมาถนัดตา ภายใต้จุดแสงนับหมื่นนับพันนี้ เธอสามารถมองเห็นรูปร่างของก้อนหินบนพื้นได้อย่างชัดเจน!


ผนังที่อยู่รอบๆ เต็มไปด้วยจิตรกรรมฝาผนังเรืองแสงแปลกๆ มันเป็นภาพที่เธอไม่สามารถใช้คำพูดบรรยายออกมาได้ เนื้อหาภายในภาพทั้งดูสับสนและบ้าคลั่ง มันไม่ใช่ภาพที่มนุษย์เป็นคนวาดขึ้นมาแน่นอน และด้านล่างรูปภาพบนผนังก็มีกรงเหล็กตั้งเรียงเป็นแถว ข้างในมีโครงกระดูกกองเป็นภูเขา ไม่รู้ว่ามีกี่ชีวิตที่อยู่ขังเอาไว้ในกรง ก่อนจะตายลงอย่างสิ้นหวัง


ห่างจากพวกเขาออกไปประมาณร้อยก้าว พื้นดินยุบตัวลงไปข้างล่างกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ ลำแสงที่สว่างเจิดจ้าพุ่งขึ้นมาจากในหลุมตอบรับกับเหรียญที่อยู่ในมือของเธอ แต่ความสว่างของมันมีมากกว่าเหรียญหลายเท่า


เธอเพิ่งจะเคยเห็นภาพแบบนี้เป็นครั้งแรก!


“อาซีม่า?” เมื่อเห็นเธอไม่ตอบ ฌอนจึงหมุนตัวกลับมา “เจ้าเป็นหรือเปล่า?”


อาซีม่ารู้สึกลำคอของตัวเองแห้งผาก เธอเลียริมฝีปาก ก่อนจะตอบออกมาอย่างยากลำบากว่า “พวกเรา…มาถึงแล้ว”


“หืม? เจ้าบอกว่าเราเจอแหล่งกำเนิดแล้วเหรอ?” โรสเซอร์ถาม “มันอยู่ไหนล่ะ?”


“ตอนนี้พวกเรา…อยู่ในแหล่งกำเนิด”


แม่มดพูดเสียงเบาๆ

 

 

 


ตอนที่ 1054

 

สถานที่แห่งการบูชายัญ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฝ่าบาท มีจดหมายด่วนมาจากทางอาณาจักรดอว์นพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์เดินเข้ามาในห้องทำงาน ก่อนจะเอาห่อหนังแกะขนาดใหญ่ห่อหนึ่งวางไว้บนโต๊ะทำงานของโรแลนด์ “ได้ยินคนส่งจดหมายบอกว่าฌอนเป็นคนให้เขามาส่งพ่ะย่ะค่ะ”


“โอ้” โรแลนด์ตาสว่างขึ้นมาทันที เขาวางแปลนออกแบบเครื่องบินปีกสองชั้นที่อยู่ในมือลงทันทีพร้อมกับลุกขึ้นมา “รีบเปิดมันออกมาดูเร็ว”


ทีมสำรวจเดินทางออกจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ไปเกือบสองเดือนแล้ว จดหมายฉบับล่าสุดที่เขาได้รับคือตอนที่ทีมสำรวจกำลังจะข้ามชายแดนเกรย์คาสเซิล หลังรู้ว่าแหล่งกำเนิดนั้นไม่ได้อยู่ในอาณาจักร โรแลนด์ก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะว่าการสกัดและขนส่งแร่นั้นเป็นกระบวนการที่จะใช้เวลายาวนาน ซึ่งกองทัพที่หนึ่งนั้นมีข้อจำกัดในเรื่องความคล่องตัว ยิ่งอยู่ห่างจากเขตแดนของตัวเองเท่านั้น แผนการก็จะยิ่งควบคุมได้ยาก


ตอนนี้เมื่อมีข่าวแจ้งกลับมา เขาย่อมต้องรู้สึกสนใจเป็นพิเศษ


แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกก็คือห่อหนังแกะนี่มันค่อนข้างจะใหญ่ไปหน่อย แทบจะทำให้เขานึกถึงพัสดุในโลกสมัยใหม่ขึ้นมา ไม่ว่าทางโน้นจะเจออะไร แค่ส่งจดหมายมาฉบับนึงก็สามารถรายงานรายละเอียดต่างๆ ได้แล้ว ทางทีมสำรวจไปเจออะไรเข้ากันแน่ ถึงได้ทำให้ฌอนต้องส่งห่อของขนาดใหญ่ขนาดนี้กลับมา?


“ข้างในเป็นกระดาษเพคะ” น่าจะเป็นเพราะมองเห็นถึงความรู้สึกสงสัยของเขา ไนติงเกลเดินเข้ามากระซิบที่ข้างหู


“กระดาษ?” โรแลนด์หันหน้ากลับไปถามเบาๆ “หรือว่าความสามารถของเจ้าจะพัฒนาจนมองทะลุสิ่งของได้แล้ว?”


“หม่อมฉันก็อยากให้เป็นเช่นนั้นเพคะ แต่เสียดายที่ไม่ใช่” ไนติงเกลพูด “ตอนที่องครักษ์เดินเข้ามา หม่อมฉันก็แค่ยื่นมือไปคลำดูในห่อของเพคะ”


อย่างนี้นี่เอง การเฝ้าระวังของเธอนี่ช่าง….เดี๋ยวๆ โรแลนด์พลันนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา อย่าบอกนะว่าตอนที่อีฟลินเอามาเครื่องดื่มยุ่งเหยิงอันใหม่มามอบให้เขา หรือว่าจะไปเป็นตอนที่พ่อครัวเข็นรถเข็นของว่างเข้ามา เธอก็ยื่นมือเข้าไป ‘คลำ’ แบบนี้เหรอ?


จะว่าไปแล้ว ช่วงนี้ชาตอนบ่ายก็เหมือนจะได้น้อยลงหรือเปล่า?


“ฝ่าบาท ด้านในมีแต่กระดาษพ่ะย่ะค่ะ” คำพูดขององครักษ์ดังแทรกความคิดเขาขึ้นมา “ยิ่งไปกว่านั้นกระดาษส่วนใหญ่ยังมีหมึกฉาบเอาไว้เต็มเลยพ่ะย่ะค่ะ”


นี่มันเป็นวิธีรายงานแบบใหม่เหรอ? โรแลนด์หรี่ตา “หรือว่าไม่มีจดหมายที่อ่านได้เลย?”


“รอเดี๋ยวนะพ่ะย่ะค่ะ…” หลังองครักษ์เทของที่อยู่ในห่อหนังแกะออกมาจดหมาย เขาถึงได้พบอะไรบางอย่าง “ด้านล่างสุดมีจดหมายปิดผนึกอยู่ฉบับหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”


“เอามาให้ข้า”


“แล้วกระดาษที่เปื้อนหมึกพวกนี้…”


“เอามันวางไว้บนพื้น” เขาสั่งกำชับ “ฌอนไม่มีทางที่จะส่งของที่ไม่มีประโยชน์กลับมาแน่”


“พ่ะย่ะค่ะ!”


โรแลนด์เดินกลับมานั่งที่เก้าอี้พร้อมกับกางจดหมายออก


เมื่อดูจากวันที่แล้ว มันถูกส่งออกมาเมื่อประมาณอาทิตย์ครึ่งก่อนหน้านี้ ตัวจดหมายนั้นมีความยาวจนน่าประหลาดใจ โดยมันมีความยาวถึงสิบกว่าหน้า เขาคิดจินตนาการไม่ออกเลยว่าทีมสำรวจไปเจออะไรเข้าถึงต้องเขียนจดหมายออกมายาวขนาดนี้ บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้อีกฝ่ายใช้วิธีส่งจดหมายด่วนมา แทนที่จะรอให้เข้ามาในดินแดนทางเหนือของเกรย์คาสเซิลก่อนแล้วค่อยให้นกส่งจดหมายกลับมา


‘ฝ่าบาท คุณหนูอาซีม่าเจอแหล่งกำเนิดที่พระองค์ต้องการแล้วพ่ะย่ะค่ะ มันอยู่ตรงชายแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือที่เชื่อมต่อระหว่างอาณาจักรดอว์นกับอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท คนในพื้นที่เรียกมันว่าเคจเมาเธ่นพ่ะย่ะค่ะ’


คำพูดประโยคแรกของฌอนทำให้โรแลนด์รู้สึกเบาใจ


ยังดี ในที่สุดการเดินทางครั้งนี้ก็ไม่ได้สูญเปล่า เขตเหมืองยังอยู่ในอาณาจักรดอว์นก็หมายความว่าเขาสามารถให้ตระกูลควินน์ควบคุมกระบวนการขุดแร่ได้ ถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายสูง แต่มันก็ดีกว่าถูกทางอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทหรืออาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์เข้ามาขัดขวาง


ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดของอีกฝ่ายก็ไม่ได้ดูร้อนใจอะไร นี่ทำให้เขายิ่งอยากรู้ว่าเนื้อหาครึ่งหลังในจดหมายมันคืออะไร


‘เพียงแต่ว่ามันไม่ได้อยู่ในถ้ำ หากแต่อยู่ในซากโบราณสถานที่เก่าแก่มากๆ แห่งหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นก็คือมันไม่ได้เป็นของอารยธรรมใต้ดิน แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแม่มดของทาคิลาด้วยพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมเคยสงสัยว่ามันอาจจะเป็นสิ่งก่อสร้างของพวกปีศาจที่อยู่ใต้ทะเลลึก แต่การค้นพบของคุณหนูแม่มดก็ได้ปฏิเสธการคาดเดานี้ไปพ่ะย่ะค่ะ’


‘ฝ่าบาท นี่คือซากโบราณสถานของเผ่าพันธุ์ที่พวกเราไม่เคยรู้จักมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ’


โรแลนด์ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที


เผ่าพันธุ์ใหม่ที่ไม่รู้จัก แถมยังปรากฏอยู่ในดินแดนของสี่อาณาจักรใหญ่?


นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่สมาพันธ์ก็ไม่เคยพูดถึงมาก่อน


ถึงแม้จะบอกว่าในอดีตดินแดนแห่งนี้ทั้งยากจนและล้าหลัง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกนางจะมองข้ามพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ในแนวรบไป ถ้าเกิดมีความเคลื่อนไหวอะไรแปลกๆ ไม่มีทางที่พวกแม่มดจะไม่สังเกตเห็น


พูดอีกอย่างก็คือถ้าข้อสรุปอันนี้ถูกต้อง อย่างนั้นเวลาที่พวกมันอยู่ ณ ที่ตรงนั้นก็เก่าแก่กว่าอารยธรรมใต้ดินเสียอีก


ปัญหาสำคัญนั้นอยู่ที่ว่า ทำไมเผ่าพันธุ์นี้ถึงสนใจแร่ยูเรเนียม?


เขาอ่านลงไปต่อ


‘คนที่สร้างที่นี่ได้ทิ้งภาพวาดจำนวนมากเอาไว้บนกำแพงหินในชั้นใต้ดิน สิ่งที่อยู่ในภาพวาดนั้นมีสัตว์ประหลาดประเภทต่างๆ ที่ไม่เหมือนกับที่พวกเราเคยเห็นมาก่อน เมื่อดูจากเนื้อหาในภาพวาด เลดี้โรสเซอร์กับกระหม่อมต่างคิดว่าสิ่งก่อสร้างนี้อาจจะเป็นสถานที่ที่ใช้ในการลงโทษพ่ะย่ะค่ะ’


‘มันไม่ใช่แค่ตั้งอยู่ในแหล่งกำเนิดสายแร่เท่านั้น แต่คนที่สร้างมันขึ้นมายังเผาแร่ให้เป็นก้อนๆ แล้วเอามาสร้างเป็นกำแพงกับพื้นทางเดินด้วยพ่ะย่ะค่ะ อาซีม่าได้ตรวจสอบดูแล้ว พบว่าทุกซอกทุกมุมของซากโบราณสถานนั้นล้วนแต่มีธาตุที่เหมือนกันอยู่ แม้แต่ภาพวาดบนผนังก็ใช้แร่จำนวนมากในการวาดมันขึ้นมา ส่วนพื้นที่รอบๆ ชั้นใต้ดิน พวกกระหม่อมยังเจอกรงกับโครงกระดูกสีขาวเป็นจำนวนมาก ซึ่่งในภาพวาดบนผนังก็วาดภาพเหล่านี้เอาไว้เหมือนกัน’


‘พวกมันเหมือนจะเอาศัตรูจำนวนมากมาขังเอาไว้ที่นี่ ในนั้นไม่ได้มีเพียงเผ่าพันธุ์อื่นเท่านั้น แต่ยังมีพวกเดียวกันเองด้วย จากนั้นพวกมันก็ใช้พลังของแหล่งกำเนิดในการทรมานอีกฝ่าย เหมือนกับว่าการทำแบบนี้จะทำให้พระเจ้าของพวกมันมีความสุขอย่างไรอย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ’


‘กระหม่อมพยายามที่จะลอกรูปที่อยู่บนผนังเหล่านั้นออกมา แล้วให้คนส่งจดหมายของตระกูลโทคัตเอาไปส่งที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ เพียงแต่ปริมาณชุดป้องกันนั้นมีจำนวนจำกัด บวกกับภาพวาดมีขนาดใหญ่ ตอนนี้ความคืบหน้าจึงค่อนข้างช้า ภาพที่พระองค์ได้เห็นนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของมัน กระหม่อมคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีก 1 – 2 เดือนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ’


‘นอกจากนี้กระหม่อมค่อนข้างเป็นห่วงเลดี้โรสเซอร์ นางเข้าไปในชั้นใต้ดินโดยไม่ได้สวมชุดป้องกัน ไม่รู้ว่านางจะได้รับอันตรายอย่างที่พระองค์ตรัสเอาไว้หรือเปล่า ในอดีตคนในพื้นที่ได้ค้นพบซากโบราณสถานแห่งนี้ ผลคือพวกเขาติดเชื้อโรคแปลกๆ ในระหว่างสำรวจ มีหลายคนที่เสียชีวิตลงไป ด้วยเหตุนี้มันจึงได้ชื่อวัดต้องสาป อีกทั้งเมื่อดูจากเป้าหมายในการใช้เป็นสถานที่ทรมานของโบราณสถานแห่งนี้แล้ว กระหม่อมคิดว่าอันตรายที่ว่าน่าจะยังมีอยู่พ่ะย่ะค่ะ’


“แย่แล้ว” เมื่ออ่านถึงตรงนี้ โรแลนด์พลันพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา


“ทำไมเหรอเพคะ” ไนติงเกลที่อยู่ในหมอกมายาถามขึ้นมา “ต่อให้แม่มดอาญาสิทธิ์ต้องคำสาป แค่เปลี่ยนร่างกายก็แก้ปัญหาได้แล้วไม่ใช่เหรอเพคะ?”


“ที่ข้าเป็นห่วงไม่ใช่แม่มดอาญาสิทธิ์ หากแต่เป็นฌอนกับอาซีม่า” เขาส่ายหัวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง “ตามแผนแล้ว พวกเขาไม่ควรที่จะอยู่ในเขตเหมืองนานขนาดนี้”


ไม่ว่าจะเป็นแร่ยูเรเนียมหรือว่ายูเรเนียมเสริมสมรรถนะ รังสีที่เกิดจากการสลายตัวของมันจะมีอนุภาคแอลฟ่าเป็นหลัก ซึ่งมันยากจะทะลุผิวหนังแล้วสร้างความเสียหายต่อร่างกายของมนุษย์ได้ แต่มันไม่ได้หมายความว่าภายในเขตเหมืองจะไม่มีอันตราย เมื่อคิดถึงว่าธาตุกัมมันตรังสีเหล่านี้คงอยู่มาเป็นเวลาหลายร้อยล้านปี ธาตุบางส่วนในนั้นได้อาจจะกลายสภาพเป็นธาตุที่มีอันตรายไปแล้ว อย่างเช่นเรดอน ซึ่งหากเป็นแบบนั้นสภานการณ์ก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้น


ครึ่งชีวิตของเรดอนนั้นแค่ 3.8 วัน โดยตัวมันมีลักษณะเป็นแก๊ส จึงทำให้ถูกดูดซึมเข้าร่างกายและทำให้ร่างกายได้รับพิษจากรังสีได้ง่าย ชุดป้องกันที่เขาเตรียมเอาไว้ให้ทีมสำรวจนั้นถูกออกมาเพื่อให้ในการสำรวจในตัวเหมือง ชุดคลุมแบบห่อหุ้มทั้งตัวสามารถป้องกันธาตุที่มีพิษหลายชนิดที่เกิดจากแร่ยูเรเนียมสลายตัวได้ หน้ากากถ่านกัมมันก็สามารถดูดซับแก๊สเรดอนและแก๊สพิษอื่นๆ ได้ ขอเพียงไม่อยู่ในเขตเหมืองนานเกินไปก็แทบจะไม่มีอันตรายใดๆ


แต่ถ้าไปอยู่ในนั้นเป็นระยะเวลานานเกินไปมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เนื่องจากการดูดซับของอนุภาคคาร์บอนนั้นมีจำกัด นั้นหมายความว่าคนที่เข้าไปทำการลอกภาพบนผนังในถ้ำมีโอกาสที่จะหายใจเอาแก๊สเรดอนเข้าไปเกินกว่ามาตรฐาน และทำให้ได้รับรังสีไอออไนซ์ที่มากเกินไป


“พวกเขาต้องรีบออกมาจากซากโบราณสถานเดี๋ยวนี้” โรแลนด์หยิบปากกากับกระดาษมาจากบนโต๊ะ “เรียกฮันนี่มา ให้นางรีบเอาจดหมายฉบับนี้ไปส่งให้พวกเขาโดยเร็วที่สุด”

 

 

 


ตอนที่ 1055

 

ภาพอันน่าตกตะลึง

โดย

Ink Stone_Fantasy

นอกจากจะเรียกอาซีม่ากับโรสเซอร์กลับออกมาแล้ว เขายังเขียนแผนการจัดการหลังจากนั้นเอาไว้ด้วย


การจะขุดเอาแร่ยูเรเนียมออกมาอย่างปลอดภัยนั้นเป็นเรื่องที่เปลืองทั้งแรงและเวลา เขาไม่เพียงแต่จะต้องกำหนดขั้นตอนการทำงานอย่างละเอียดและจัดตั้งจุดตรวจสอบขึ้นมา แต่เขายังต้องอบรมคนงานให้เข้าใจรายละเอียดในการทำงานของตัวเอง และปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด


และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสงครามที่ใกล้เข้ามาทุกที เขาย่อมไม่คิดที่จะทำตามวิธีปกติ


เหมืองทิศเหนือนั้นเป็นตัวอย่างที่ดีอย่างมาก


เขาคิดจะขอซื้อตัวนักโทษประหารชีวิตมาจากเอิร์ลควินน์ จากนั้นก็จับพวกนั้นยัดเข้าไปในโบราณสถาน ไม่มีเงินเดือนและวันหยุด แล้วก็ไม่ต้องมีมาตรการป้องกันใดๆ ด้วย เพียงแค่ให้สัญญาว่าถ้าทำครบสิบปีก็จะถูกปล่อยตัว เขาเชื่อว่าคนเหล่านั้นจะต้องตัดสินใจได้อย่างถูกต้องแน่นอนว่าจะเลือกอะไรระหว่างถูกแขวนคอกับโอกาสในการรอดชีวิต


ส่วนเจ้าเมืองในแต่ละที่ก็ย่อมยินดีที่จะแลกชีวิตของนักโทษไร้ค่าเหล่านี้กับเงินรายได้ก้อนหนึ่ง


ด้วยเหตุนี้ทหารร้อยกว่าคนของทีมสำรวจก็จะรับผิดชอบแค่การตรวจตราและเฝ้าระวัง เรื่องมาตรการในการป้องกันต่างๆ ก็จะลดลงมากกว่าเดิม


ซึ่งฌอนนั้นคือคนที่เหมาะที่จะเป็นคนดูแลงานนี้ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


ในช่วงสุดท้ายของจดหมาย โรแลนด์ยังเขียนสั่งให้ฌอนไปสืบหาดูว่า ‘สมบัติ’ ที่คนเมื่อร้อยกว่าปีก่อนขนออกมาจากโบราณสถานนั้นอยู่ที่ไหนด้วย


เพราะว่าข้อสงสัยสองสามข้อในจดหมายที่ฌอนส่งมานั้นทำให้เขารู้สึกสนใจจริงๆ


เผ่าพันธุ์ที่ไม่เคยถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์นี้มีความศรัทธาแปลกๆ ต่อธาตุที่ปล่อยรังสีได้ พวกมันไม่เพียงแต่จะเอาแร่มาเผาแล้วเอาไปสร้างเป็นวัดสำหรับบูชายัญ แล้วก็ใช้มันในการทรมารศัตรู แต่เหมือนว่าพวกมันจะกินแร่เข้าไปด้วย ซากศพที่มีแสงสีเขียวที่อาซีม่าพบนั้นคือหลักฐานยืนยัน ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าสาเหตุในการดับสูญของพวกมันมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับความศรัทธานี้หรือเปล่า แต่การเรียกพวกมันว่าเผ่ากัมมันตรังสีก็ดูจะเหมาะสมทีเดียว


โลกนั้นกว้างใหญ่ไพศาล การจะมีอารยธรรมอะไรปรากฏออกมาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร สิ่งที่น่าแปลกจริงๆ ก็คือไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปในเขตเหมืองแร่ หรือว่าการเอาแร่มาทำเป็นอิฐก็ล้วนแต่ไม่อาจส่งผลให้เกิด ‘เนื้อเน่า’ ได้ เพราะต่อให้อาศัยอยู่ในถ้ำนั้นหรือว่าได้รับรังสีที่เกิดจากการสลายตัวของแร่ทั้งภายในและภายนอกเป็นเวลานาน ผลที่เกิดขึ้นก็แค่ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นเท่านั้น เดิมอยู่ได้ถึงอายุ 80 ปี ก็อาจจะเหลือแค่ 60 ปี


เพราะประสิทธิภาพของนิวไคลด์ที่ปล่อยออกมาจากการสลายตัวธรรมชาตินั้นต่ำมาก


คนโชคร้ายที่ตายอย่างน่าอนาถที่เขียนเอาไว้นจดหมายนั้นดูไม่เหมือนว่าตายจากการเป็นมะเร็งหรือว่าภาวะแทรกซ้อนจากการกลายพันธุ์ แต่เหมือนพวกเขาได้รับผลกระทบจากการปล่อยรังสีอย่างรุนแรงมากกว่า


แต่การที่จะทำแบบนั้นนั้นจำเป็นต้องทำให้วัสดุนิวเคลียร์ที่มีความบริสุทธิ์สูงอยู่ในระดับค่าวิกฤติ ถึงจะทำให้เกิดกระแสนิวตรอนและรังสีแกมม่าในปริมาณมหาศาลได้ในพริบตา เพียงแต่มันดูไม่เหมือนว่าระดับเทคโนโลยีของเผ่ากัมมันตรังสีจะทำแบบนั้นได้


โรแลนด์ไม่ตัดความเป็นไปได้ที่ว่าข่าวลือนั้นอาจจะเป็นเรื่องจริง แต่การตายของชาวบ้านในตอนนั้นน่าจะมีหลายคนที่รู้เรื่อง ถ้านั่นเป็นเรื่องจริงล่ะก็ ปัญหาก็น่าจะอยู่ที่ตัว ‘สมบัติ’ เหล่านั้น


แล้วก็มีแต่แบบนี้เท่านั้น ถึงจะทำให้โบราณสถานที่ว่าใช้เป็นแท่นบูชายัญสำหรับตัดสินโทษได้ ไม่อย่างนั้นถ้าคนที่ถูกขังอยู่ในนั้นสามารถอยู่ได้เป็นสิบปีกว่าจะตาย แท่นบูชายัญนี้คงต้องสร้างให้สูงเป็นตึกคอนโดเลยถึงจะสามารถบรรจุคนได้เยอะขนาดนั้น


แต่เสียดายที่เวลาร้อยกว่าปีนั้นนานเกินกว่าที่แอ็คเซียจะฉายภาพย้อนกลับได้ ตอนนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้ว่าตอนนั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ดังนั้นเขาจึงมีแต่ต้องให้ฌอนลองพยายามดูเท่านั้น


เขาแอบรู้สึกว่าความจริงที่อยู่เบื้องหลังข่าวลือนี้คงจะมีอะไรที่มากกว่านั้น


…..


หลังฮันนี่เอาจดหมายไปแล้ว โรแลนด์ก็เดินกลับมาที่โต๊ะทำงานแล้วมองดูกองกระดาษที่พวกฌอนใช้ลอกภาพจากบนกำแพงมา


ถึงแม้ในภาพหมึกที่บิดเบี้ยวจะเต็มไปด้วยสิ่งที่ดูแปลกประหลาดและน่าเหลือเชื่อ แต่เขาก็ยังแยกแยะส่วนที่เป็นองค์ประกอบหลักและองค์ประกอบรองของรูปภาพอย่างคร่าวๆ ได้ องค์ประกอบหลักส่วนใหญ่จะอยู่กึ่งกลางของรูปภาพ มีเค้าโครงที่ใหญ่และประณีต แสดงถึงผู้ดูแลโบราณสถานแห่งนี้ ส่วนองค์ประกอบรอบๆ นั้นมีขนาดเล็กกว่ามากและกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมุมของรูปภาพ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดูจากใบหน้าอันดุร้ายของพวกมัน เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดและความหวาดกลัว


นี่น่าจะเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญา ที่มักจะเอาตัวเองไปอยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ล่ะมั้ง


แล้วก็เป็นเหมือนอย่างที่ฌอนว่าไว้ ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบหลักหรือว่าองค์ประกอบรองของภาพก็ล้วนแต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับปีศาจ สัตว์อสูรหรือพวกอารยธรรมใต้ทะเลเลย รูปร่างของพวกมันดูแปลกประหลาดอย่างมาก บางตัวก็ดูเหมือนคบไม้ขีดไฟที่แยกแยะส่วนที่เป็นแขนขาหัวหางไม่ออก ส่วนบางตัวก็เหมือนโปรโตซัวที่ยืดหดตัว อวัยวะทั้งร่างกายแอบซ่อนอยู่ในหัวทั้งหมด


เนื้อหาในภาพวาดเองก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการลงโทษไปเสียทั้งหมด บางรูปนั้นเป็นการบรรยายถึงการรบกันระหว่างองค์ประกอบหลักและองค์ประกอบรองของภาพ พวกที่เป็นองค์ประกอบหลักเหมือนจะสามารถใช้ร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้นในการบินได้ แล้วก็ใช้ความได้เปรียบจากความคล่องตัวในการอยู่บนอากาศโจมทีไปที่แนวหลังของศัตรู ทำให้กลายเป็นการโจมตีกระหนาบหน้าหลัง แนวป้องกันที่สูงใหญ่นั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย เมืองกลายสภาพเป็นทะเลเพลิง พวกองค์ประกอบรองถูกไล่สังหารจนราบคาบ


ขอเพียงแยกแยะออกว่าใครเป็นใครก็ยังพอจะคาดเดาถึงเรื่องราวที่บรรยายอยู่ในบันทึกนี้ได้


“หืม?” จู่ๆ สายตาโรแลนด์ก็หยุดอยู่ที่ภาพๆ หนึ่ง


“ทำไมหรือเพคะ?” ไนติงเกลสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา


“เจ้าไม่รู้สึกบ้างเหรอว่าเหตุการณ์ที่อยู่ในภาพนี้เหมือนจะเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน?” เขาเดินไปที่หน้าม้วนภาพแล้วคุกเข่าลงไป นั่นเป็นภาพที่บรรยายถึงช่วงสุดท้ายของสงครามเอาไว้ พวกไม้ขีดไฟจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวเหมือนต้องการจะสู้ตาย แต่สุดท้ายพวกมันก็ยังถูกศัตรูเล่นงานจนย่อยยับ เลือดไหลรวมกันเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ บางส่วนที่มีชีวิตรอดก็หนีไปยังริมทะเล แต่สุดท้ายก็ถูกเผ่าพันธุ์องค์ประกอบหลักของภาพสังหารจนหมด ซากศพกองอยู่ในทะเลกลายเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ


“เอ่อ…” ไนติงเกลครุ่นคิดอยู่นาน “นอกจากเรื่องที่ว่าใช้น้ำหมึกค่อนข้างเยอะแล้ว มันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากภาพอื่นนี่เพคะ?”


โอเค ความสามารถในการต่อสู้กับความสามารถในการชื่นชมศิลปะนี่ช่างแตกต่างกันจริงๆ เลย โรแลนด์กุมขมับ “เจ้าช่วยหยิบเอาแผนที่ของดินแดนทางใต้สุดมาให้หน่อย”


“เพคะ” อีกฝ่ายรีบทำตาม เธอหยิบเอาแผ่นที่ปึกหนาๆ ส่งให้เขา ขณะเดียวกันก็ยื่นปลาแห้งมาให้เส้นหนึ่งด้วย


โรแลนด์งับปลาแห้งเข้าไป ส่วนมือก็เคลื่อนไหวไม่หยุด ไม่นานเขาก็เจอแผนที่มุมสูงของส่วนที่เป็นแหลมเอนด์เลส


ตอนนั้นเพื่อที่จะได้กำหนดตำแหน่งของท่าเรือเรฟเวลรี่ เขาจึงได้ให้ไลต์นิ่งกับเมซี่วาดแผนที่อย่างละเอียดออกมา ด้วยเหตุนี้เขาจึงจำมันได้ ในตอนที่เอาทั้งสองมาวางคู่กัน เขาพลันรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที ร่างกายเขาเหมือนมีสายฟ้าแล่นผ่าน ปลายนิ้วรู้สึกชาขึ้นมา


เส้นโครงร่างของภาพทั้งสองซ้อนทับกับพอดี!


ถึงแม้จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปบ้าง แต่ชายขอบส่วนใหญ่ของส่วนที่เป็นพื้นดินกับทิศทางของทะเลน้ำวนนั้นแทบจะเหมือนกัน ความเหมือนเรียกได้ว่ามีมากกว่า 80%!


นี่มันเป็น…เรื่องบังเอิญอย่างนั้นเหรอ?


“เอ่อ สถานที่ที่อยู่ในภาพคือดินแดนทางใต้สุดเหรอเพคะ?” ไนติงเกลเองก็สังเกตเห็นจุดที่มันแปลกๆ “ที่นั่นมันเป็นที่อยู่ของชาวทะเลทรายไม่ใช่เหรอเพคะ?”


โรแลนด์ไม่ได้ตอบ หากแต่รีบกวาดตามองดูม้วนภาพที่เหลือ


และในตอนที่เขาดูภาพที่สองรองจากสุดท้าย เลือดในตัวเขาก็เหมือนจะจับตัวแข็งขึ้นมาทันที


เขาเห็นภาพเผ่าพันธุ์ที่เป็นองค์ประกอบหลักสิบกว่าตัวยืนล้อมเป็นวงกลมขนาดใหญ่อยู่บนแท่นสูง ส่วนตรงกลางวงกลมก็มีวัตถุที่เป็นปริซึมหลายหน้าชิ้นหนึ่งลอยอยู่ บนผิวของวัตถุมีหนวดรูปร่างแปลกๆ จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังขยับไปมา เหมือนกับงูที่อยู่บนหัวเมดูซ่า


ฌอนที่ไม่เคยเห็นมันด้วยตาตัวเองย่อมต้องไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในภาพคืออะไร


แต่โรแลนด์รู้ดี


มันคือ ‘มรดกของพระเจ้า’

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)