Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1046-1049
ตอนที่ 1046
ประกาศรับสมัครงานใหม่
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ปังๆๆๆ”
ฟ้าเพิ่งจะสว่างไม่นาน ด้านนอกบ้านพลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
“กู๊ด ตื่นยัง? พวกเราต้องไปแล้วนะ!”
“จะเสร็จแล้ว!”
กู๊ดกินข้าวต้มคำสุดท้ายพร้อมกับเช็ดปาก จากนั้นจึงมองไปทางเด็กผู้หญิงที่กำลังเก็บเตียงอยู่ “อย่างนั้นข้าไปล่ะ”
เด็กผู้หญิงเงยหน้าขึ้นมา “จะไม่ให้ข้าไปด้วยจริงๆ เหรอ?”
“ข้าเคยบอกกี่ครั้งแล้วว่าเจ้ายังเด็กเกินไป มันไม่มีงานที่เหมาะสำหรับเจ้า” กู๊ดพูดอย่างหงุดหงิด “เงียบเลย ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องที่วูล์ฟฮาร์ทอีก แต่เจ้าคิดว่า…ทำเรื่องแบบนั้นไปตลอดเหรอไง? รอข้าอยู่นี่แหะล เดี๋ยวเที่ยวข้าเอาอะไรอร่อยๆ กลับมาให้กิน”
เด็กหญิงตาเป็นประกาย “ป๊อบคอร์น…”
“แพงเกินไป แพนเค้กไข่ข้าว่าไม่เลวนะ อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่ชอบกินไข่กรอบๆ ที่ไข่แดงเยิ้มๆ?”
“อึก” สาวน้อยกลืนน้ำลาย
“อย่างนั้นอย่าซี้ซั้ววิ่งไปไหน เข้าใจไหม?” กู๊ดสั่งกำชับรอบสุดท้าย “เออใช่ เจ้าชื่ออะไร?”
“เรเชล”
“แล้วเจ้าควรจะเรียกข้าว่าอะไร?”
เธอลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตอบออกมาว่า “พี่…ชาย”
“ดีมาก อย่าเรียกผิดล่ะ” กู๊ดกระชับผ้าพันคอ ก่อนจะผลักประตูเดินออกไป อากาศอันอบอุ่นถูกลมหนาวพัดกระจายไปทันที ฤดูหนาวกลับมาอยู่ในสภาพที่เขาคุ้นเคยอีกครั้ง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ภาพที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาของเขาก็ยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
บ้านดินแถวแล้วแถวเล่าผุดขึ้นมา ดูแล้วคล้ายกับคลื่นที่ซัดสาดอยู่บนพื้นหิมะ เมื่อมองออกไป ทุกที่ล้วนแต่เต็มไปด้วยผู้คนและปล่องควัน ตัวเมืองที่อยู่ไกลออกไปดูเลือนลางท่ามกลางสายหมอก ราวกับว่ามันยังคงหลับใหลอยู่ในความฝัน แต่ที่ตรงนี้ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำกลับตื่นขึ้นมาแล้ว
คนที่เคาะประตูคือลุงบักกี้และแซงโก้ที่อยู่บ้านข้างๆ พวกเขาซึ่งยืนห่างออกไปอีกสิบกว่าก้าวกำลังยืนเร่งอยู่ “มัวงงอะไรอยู่ รีบตามมาเร็ว!”
“มาแล้ว!” เขาปิดประตู ก่อนจะย่ำตามทั้งสองคนไปบนพื้นหิมะ
เขตที่อยู่อาศัยชั่วคราวนั้นอยู่ห่างใจกลางเมืองเนเวอร์วินเทอร์ออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร ทั้งสามคนจำเป็นต้องรีบไปให้ถึงลานเมืองก่อนที่ประกาศรับสมัครงานครั้งใหม่จะประกาศออกมา โชคดีริมฝั่งแม่น้ำแดงมีการสร้างถนนหินที่มีความแข็งแรงขึ้นมาใหม่ ต่อให้ถูกหิมะกลบ พวกเขาก็ยังเดินได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องค่อยๆ เดินทีละก้าวเหมือนทางบนเขา ใช้เวลาแค่ประมาณ 15 นาทีพวกเขาก็ไปถึงลานเมืองได้แล้ว
ไม่นาน รอบๆ เขาก็มีเพื่อนร่วมทางเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ขนาดของเขตที่อยู่อาศัยชั่วคราวนั้นใหญ่เกินกว่าที่จะจินตนาการได้ กู๊ดถึงขนาดมองไม่เห็นว่าปลายแถวอยู่ตรงไหน จากคำบอกเล่าของลุงเพื่อนบ้าน เมื่อก่อนบ้านดินนั้นสร้างอยู่ในเมือง แต่เมื่อคนเยอะขึ้นเรื่อยๆ บ้านดินพวกนี้จึงถูกย้ายออกไปนอกเมือง เนื่องจากขนาดของมันขยายขึ้นทุกปี ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่ามันมีผู้อพยพอาศัยอยู่จำนวนเท่าไรกันแน่
แต่ว่ามีจุดหนึ่งเขามั่นใจได้ คนที่เดินอยู่บนถนนหินเหล่านี้ส่วนใหญ่ต่างก็กำลังไปหางานใหม่แน่นอน
“พวกเจ้าคิดยังว่าต่อไปจะทำอะไร?” บักกี้ถาม
“น่าจะเป็นงานสบายๆ หน่อย อย่างเช่นกวาดหิมะหรือไม่ก็เอาแซะน้ำแข็งออก…” แซงโก้พูดพร้อมเกาหัว “ใช้เวลาน้อย ได้เงินเร็ว ทำวันเดียวก็พอกินไปสองวัน อย่างน้อยฤดูหนาวนี้ก็ไม่ต้องกลัวอดแล้ว แต่แน่นอนว่าถ้ามีการจ้างงานแบบจำกัดจำนวนที่ดีกว่าข้าก็จะทำอันนั้น”
การจ้างงานแบบจำกัดจำนวนนั้นหมายถึงงานที่มีการจำกัดจำนวนคน เป็นงานพิเศษที่มีเงื่อนไขการรับสมัคร อีกทั้งยังได้ค่าจ้างที่สูงกว่างานทั่วๆ ไปมาก เมืองแห่งนี้มีกฎแปลกๆ อยู่เต็มไปหมด อย่างนั้นประกาศการจ้างงานทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องกับสำนักบริหารทั้งหมด ไม่มีงานไหนที่เป็นการจ้างส่วนตัว ทุกๆ สัปดาห์เจ้าหน้าที่จะมาทำติดประกาศใหม่ครั้งหนึ่ง รับสมัครทีก็หลายร้อยคน จำนวนการจ้างงานที่เยอะขนาดนี้ กู๊ดก็เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เพียงแต่ที่นี่นั้นมีเรื่องให้เขาต้องรู้สึกประหลาดใจอยู่เต็มไปหมด เมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ แล้ว เรื่องนี้กลับกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย
ประกาศรับสมัครงานทั้งหมดนั้นหลักๆ แล้วจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท นอกจากการจ้างงานแบบจำกัดจำนวนแล้ว อีกสองประเภทก็คือการจ้างงานระยะสั้นและการจ้างงานอย่างเป็นทางการ ซึ่งเงินค่าจ้างและชนิดงานของการจ้างงานอย่างเป็นทางการนั้นมีมากกว่าการจ้างงานระยะสั้น แต่เสียดายที่การจ้างงานแบบนี้จำเป็นต้องมีบัตรประชาชนหรือไม่ก็ใบประกาศจบการศึกษาขั้นพื้นฐานถึงจะสามารถสมัครได้ ผู้อพยพอย่างเขาจึงทำได้เพียงงานระยะสั้นเท่านั้น
การตัดสินใจของแซงโก้นั้นถือว่าสมเหตุสมผล งานเบาๆ ถึงแม้จะได้ค่าตอบแทนไม่สูง แต่เขาก็จะมีเวลาและแรงเหลือที่จะไปเรียนในชั้นเรียนขั้นพื้นฐานได้ ถ้าสามารถสอบผ่าน เขาก็จะได้รับฐานะพลเมืองของเมืองนี้อย่างเป็นทางการ
“เจ้าล่ะ?” แซงโก้มองมาทางเขา
“ค่าจ้างสูง” กู๊ดยักไหล่ “เหนื่อยหน่อยก็ไม่เป็นไร”
เพราะว่าเขายังมีอีกหนึ่งคนที่ต้องเลี้ยงดู
ในฐานะที่เป็นผู้อพยพที่เพิ่งมาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์ในฤดูหนาวปีนี้ การที่เขามีบ้านดินให้ได้หลบลมหนาวก็ถือเป็นเรื่องที่โชคดีมากแล้ว ส่วนเรื่องที่จะย้ายเข้าไปในเขตอาศัยที่สวยๆ พวกนั้น ทุกอาทิตย์ได้กินเนื้อแห้งซักมื้อ ตอนนี้เขายังไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนั้นเลย
สิ่งเดียวที่ทำให้กู๊ดรู้สึกเสียดายก็คืองานที่สำนักบริหารประกาศออกมานั้นล้วนแต่กำหนดอายุต่ำสุดเอาไว้ นั่นคือ 16 ปี เรเชลยังต้องรออีก 2 ปีถึงจะทำงานได้ ตอนนี้เธอหลุดพ้นออกมาจากความยากลำบากแล้ว เขาจะไม่ยอมให้เธอกลับไปเป็นแบบนั้นอีกเด็ดขาด
“เจ้าอย่าทำจนเหนื่อยเกินไปล่ะ” บักกี้พูดเตือน “อากาศหนาวๆ แบบนี้ ไปหน่วยพยาบาลทีมันไม่ใช่ถูกๆ นะ”
“วางใจได้ ร่างกายข้าแข็งแรงมาก!” กู๊ดตบหน้าอกตัวเอง เรื่องนี้เขาไม่ได้คุยโว เมื่อก่อนเขาเคยเกือบจะถูกเลือกให้เป็นผู้ติดตามของอัศวินแล้ว หากเป็นเพราะสถานะของเขาต่ำเกินไปล่ะก็…. “ลุง แล้วลุงจะทำอะไร?”
“ข้าไม่เลือกอะไรทั้งนั้น ข้าแค่ไปเป็นเพื่อนพวกเจ้า”
“หา?” แซงโก้งุนงง
กลับกลายเป็นกู๊ดที่คิดขึ้นมาได้ “หรือว่าท่าน….”
“ฮ่าๆๆ ใช่” บักกี้หัวเราะแห้งๆ ขึ้นมา “หัวหน้าของทีมก่อสร้างที่ 6 อยากจะให้ข้าไปอยู่ในทีมของเขา สัญญาจ้างงานน่าจะส่งมาในวันสองวันนี้แหละ”
“นั่นมัน…ยอดไปเลย!” แซงโก้เพิ่งจะได้สติกลับมา “ถ้าเป็นการจ้างงานแบบประจำล่ะก็ ค่าจ้างก็จะเพิ่มขึ้นไปเกือบเท่านึงเลยใช่ไหม? อย่างนั้นอีกไม่นานท่านก็จะเก็บเงินก้อนแรกสำหรับซื้อบ้านได้ จากนั้นก็ได้บัตรประชาชน แล้วก็กลายเป็นพลเมืองของเมืองเนเวอร์วินเทอร์จริงๆ แล้วน่ะสิ!”
“จะให้ข้าไปเรียนหนังสืออีก ข้าคงเรียนไม่ไหวแล้วล่ะ” บักกี้โบกมือ “ยิ่งไปกว่านั้นข้ามาที่นี่เกือบสองปีแล้ว ตอนนี้เพิ่งจะมามองเห็นโอกาส นี่ก็เพราะว่าข้ามันโง่เกินไป พวกเจ้าอายุยังน้อย โอกาสย่อมต้องมีเยอะกว่าข้าแน่”
คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ได้ยินพวกเขาคุยกันต่างก็พากันเข้ามาแสดงความยินดี บนถนนดูคึกคักขึ้นมาทันที
นี่ทำให้กู๊ดรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร
สำหรับเขาแล้ว การที่่ได้บัตรประชาชนมาก็แค่ทำให้หางานที่ดีขึ้นได้เท่านั้น แต่ความคิดของคนพวกนี้เหมือนจะตรงข้ามกับเข้า สำหรับตัวเขา การที่ได้เป็นประชาชนของราชาอาณาจักรไหนๆ มันก็เหมือนกัน แต่เมื่อฟังจากสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นคุยกัน การที่ได้เป็นประชาชนของราชาอาณาจักรนี้เหมือนจะเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจอย่างมาก เผลอๆ อาจจะสำคัญกว่างานด้วยซ้ำ
ทั้งสามคนเดินคุยกันเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงลานเมืองของเมืองเนเวอร์วินเทอร์
ที่นี่มีคนกลุ่มหนึ่งมาถึงก่อนแล้ว แต่พวกเขาส่วนใหญ่ต่างก็เป็นประชาชนที่อยู่ในเมืองชั้นใน ซึ่งปกติพวกเขาก็ไม่ต้องมาแข่งกับพวกผู้อพยพที่อยู่ในเขตอาศัยชั่วคราว
ประกาศการจ้างงานใหม่แปะอยู่ตรงทิศใต้ของลานเมือง แล้วก็มักจะมีคนเดินเข้ามาถามพวกกู๊ดว่า “อยากให้อ่านให้ฟังไหม? แค่ 10 เหรียญทองแดงเท่านั้น”
“ไม่เป็นไร พวกเราอ่านออก” บักกี้เองก็ยิ้มๆ แล้วตอบกลับไป แต่ความจริงแล้วในพวกเขาสามคน มีแค่แซงโก้คนเดียวทั้งหมดที่รู้หนังสือ แถมยังรู้ไม่หมดด้วย
“เจ้าเด็กพวกนี้นี่….มีความสามารถแบบนี้ทำไมถึงไม่ไปหางานจริงๆ ทำ” กู๊ดบ่นเบาๆ “ค่าจ้างก็ได้เยอะกว่าเงินไม่กี่เหรียญทองแดงนี่ตั้งเยอะ”
“พวกเขาเป็นนักเรียนในโรงเรียนล่ะมั้ง อายุน่าจะไม่ถึงเกณฑ์ที่จะทำงานได้” แซงโก้มองดูรอบๆ
“อะไรนะ?”
“อืม…ข้าได้ยินมาตอนที่เข้างานกะกลางคืนน่ะ” เขาพูดเสียงเบาๆ “เพื่อที่จะพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำคัญของความรู้ พวกคุณครูมักจะบอกให้พวกเขาเอาสิ่งที่เรียนมาไปหาเงิน เหมือนวิธีนี้จะทำให้นักเรียนไปโรงเรียนกันเยอะขึ้นด้วย ถ้าไม่เป็นเพราะกลางวันต้องทำงาน ข้าเองก็อยากไปลองบ้างเหมือนกัน”
เอ่อ…แบบนี้ก็ได้เหรอ? กู๊ดมองดูคนที่รับจ้างอ่านแทนที่วิ่งไปวิ่งมาพวกนั้นอีกครั้ง คนพวกนั้นส่วนใหญ่ยังเป็นเด็กจริงๆ ถ้าเขาจำไม่ผิดล่ะก็ เรเชลเองก็อ่านหนังสือออกบ้างเหมือนกัน บางทีอาจจะให้นางมาทำงานแบบนี้ดูก็ได้?
“เฮ้ย พวกเจ้าดูนั่น!” จู่ๆ บักกี้ก็ชี้ไปยังมุมหนึ่งทางทิศใต้ของลานเมือง “คนแห่กันเข้าไปแล้ว!”
กู๊ดกับแซงโก้สบตากัน “หรือว่า….ประกาศจ้างงานแบบจำกัดจำนวน?”
“เร็ว พวกเราไปดูเร็ว!”
ทั้งสามคนรีบวิ่งเข้าไปตรงกลุ่มคนทันที สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือตรงนี้นอกจากจะมีเต็นท์หลังหนึ่งมาตั้งอยู่แล้ว ทางสำนักบริหารยังจัดเจ้าหน้าที่มาคอยพูดอธิบายด้วย
เมื่อฟังคำอธิบายจบ กู๊ดก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที
ที่นี่มีการเปิดรับสมัครงานแบบจำกัดจำนวนจริงๆ ด้วย แถมเงื่อนไขในการสมัครยังค่อนข้างน้อยด้วย ไม่จำเป็นต้องรู้หนังสือ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีบัตรชระชาชน สิ่งเดียวที่ต้องการก็คือร่างกายที่แข็งแรงและผ่านการทดสอบที่เกี่ยวข้อง ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าการทดสอบแปลกๆ พวกนั้นมันหมายความว่าอย่างไร แต่ขอเพียงเป็นการวัดกันในเรื่องของร่างกายแล้วล่ะก็ เขาก็ค่อนข้างมั่นใจในตัวเองอย่างมาก
สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจมากที่สุดก็คือนี่เป็นประกาศรับสมัครงานที่มาจากกองทัพ!
ตอนที่ 1047
การทดสอบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในกลุ่มคนมีเสียงพูดคุยดังขึ้นมา
ปกติกองทัพนั้นจะเกณฑ์แต่เฉพาะคนที่เป็นพลเมืองอย่างเป็นทางการเท่านั้น แถมเงื่อนไขในการคัดเลือกก็เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ การประกาศรับสมัครทุกคนครั้งสุดท้ายนั้นคือตอนที่ีมีการทำสงครามแย่งชิงราชบัลลังก์กัน ทำไมจู่ๆ วันนี้ก็มาเปิดรับสมัครอย่างนี้ได้?
ถึงแม้จะเป็นกู๊ดที่เพิ่งจะอพยพเข้ามาใหม่ก็เคยได้ยินลุงบักกี้เล่าให้ฟังว่ากองทัพนั้นดูแลทหารดีขนาดไหน
ขอเพียงได้เข้าไปอยู่ในกองทัพที่หนึ่ง ก็เท่ากับว่าชีวิตนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่แล้ว ทั้งอาหารทั้งเสื้อผ้าล้วนไม่มีทางขาดแคลน แม้จะตายไปแล้วก็ยังมีบำเหน็จมอบให้กับครอบครัว ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่พวกเขากินก็ไม่ใช่แค่แผ่นแป้งข้าวสาลี แต่ยังมีพวกปลาแห้ง เนื้อแห้งกับเนยอีก แถมยังไม่จำกัดจำนวนด้วย! นอกจากเรื่องที่อาจจะต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงแล้ว งานนี้ก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นงานที่สมบูรณ์แบบ
ไม่สิ นี่แหละคืองานที่สมบูรณ์แบบ
ถ้าสิ่งที่ได้รับกลับมามีมากขนาดนี้ ชีวิตจะมีค่าเท่าไรล่ะ?
กู๊ดระหกระเหินอพยพมาจากวูล์ฟฮาร์ทมายังเกรย์คาสเซิล เขาได้เห็นความทุกข์ยากมามากมาย คนกลุ่มแล้วกลุ่มแล้วต้องล้มตายลงไประหว่างทาง นกกาพากันลงมาเริงระบำฉลองอยู่บนซากศพของพวกเขา…บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้มีค่ามากกว่าต้นหญ้าข้างทางเท่าไรเลย
ยิ่งไปกว่านั้นศาสนจักรที่ถล่มอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทไปกว่าครึ่งก็ยังพ่ายแพ้ให้กับราชาแห่งเกรย์คาสเซิล หากได้เข้าไปอยู่ในกองทัพที่แข็งแกร่งนี้ เผลอๆ อาจจะปลอดภัยกว่าการเป็นผู้ติดตามอัศวินเสียอีก
การได้เข้าไปอยู่ในกองทัพที่สองก็ไม่เลวเหมือนกัน ถึงแม้สวัสดิการที่ได้รับจะด้อยลงมาหน่อย แล้วก็อาจจะถูกส่งไปยังเมืองอื่นๆ แต่เรื่องความปลอดภัยนั้นเรียกได้ว่ามีมากกว่ากองทัพที่หนึ่ง เขาแทบจะไม่ได้ยินข่าวความเสียหายของกองทัพที่สองเลย
พูดอีกอย่างคือถ้าถูกเลือกเข้าไปอยู่ในกองทัพ ไม่ว่าจะถูกจัดให้ไปอยู่กลุ่มไหนก็ล้วนแต่เรียกได้ว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาที่มาจากอาณาจักรอื่นแล้ว
กู๊ดกับแซงโก้พากันตื่นเต้นขึ้นมา พวกเขามองไปทางบักกี้พร้อมกัน “ลุง!”
อีกฝ่ายดูลังเลอย่างเห็นได้ชัด หลังครุ่นคิดอยู่ครู่ สุดท้ายบักกี้ก็ยิ้มแห้งๆ ขึ้นมา “ข้าไม่ไปดีกว่า…หัวหน้าพยายามอย่างมากเพื่อที่จะจ้างข้า ข้าไม่อาจทำลายน้ำใจของเขาได้”
“ตอนนี้แค่ลงชื่อเท่านั้น จะผ่านหรือเปล่าก็ยังไม่รู้” แซงโก้พูดโน้มน้าว “ท่านรอผลออกมาก่อนค่อยตัดสินใจก็ได้นี่นา”
“ถึงตอนนั้นข้ากลัวว่าตัวเองจะหักใจไม่ได้น่ะสิ” บักกี้ส่ายหัว “พวกเจ้าไปเถอะ ข้าจะรอฟังข่าวดีของพวกเจ้าอยู่ตรงลานเมือง”
แซงโก้เหมือนอยากจะพูดอะไรอีก แต่กู๊ดกลับมาดึงแขนของเขาไว้ “ไปต่อแถวกันเถอะ”
เขามองกลับไปกลับมา สุดท้ายจึงพยักหน้าออกมา “อย่างนั้นพวกข้าไปสมัครก่อนนะ”
เนื่องจากในบรรดาผู้สมัครมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้หนังสือ พื้นที่ตรงนั้นจึงค่อนข้างวุ่นวายนิดหน่อย หลังลงชื่อเสร็จ เขาก็ถูกเจ้าหน้าที่ชุดดำพาไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ขณะเดียวกันชาวเมืองที่ทราบข่าวก็แห่กันสมัครกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนเจ้าหน้าที่ที่มาอธิบายต้องทำการปิดทางเข้ารับสมัคร อีกทั้งประกาศว่าพรุ่งนี้จะมาทำการรับสมัครต่อ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็ยังไม่ไปไหน หลายๆ คนยังคงปักหลักอยู่แถวๆ เต็นท์ เหมือนพวกเขาอยากจะดูว่าจะทำการทดสอบอย่างไร
นี่ทำให้กู๊ดรู้สึกว่าตัวเองโชคดีอย่างมากที่วันนี้มาเร็ว
ส่วนคนที่ลงชื่อเสร็จเรียบร้อยก็ถูกเจ้าหน้าที่พาเข้าไปในเต็นท์
เขาสังเกตเห็นว่าเต็นท์นั้นกว้างเกือบ 100 ก้าว ซึ่งกว้างพอที่จะรองรับผู้ที่ลงชื่อทั้งหมดได้ แต่คนที่เข้าไปครั้งหนึ่งกลับมีจำนวนไม่เกิน 10 คน นี่หมายความว่าการทดสอบคนจะซับซ้อนและยากลำบากกว่าที่เขาคิดเอาไว้
แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิด หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงร้อนโหยหวนดังออกมาจากในเต็นท์ นี่ทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่นอกเต็นท์สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
“นี่มัน…” แซงโก้หดคอลง “นี่คงไม่ใช้มาทดสอบว่าพวกเราทนโดนตีได้นานแค่ไหนหรอกนะ?”
“ถ้าทดสอบโดนตีจริงๆ เสียงร้องก็น่าจะดังออกมาเป็นช่วงๆ” กู๊ดพูดเสียงคร่ำเคร่ง “เสียงร้องดังต่อเนื่องแบบนี้ เหมือนพวกเขาตกใจกลัวมากกว่า”
“จะ จริงเหรอ? ทำไมเจ้าถึงรู้ละเอียดจัง…”
เพราะว่าข้าต่อยคนอื่นกับโดนคนอื่นต่อยประจำน่ะสิ เขาพูดออกมาเบาๆ ว่า “ข้าเองก็ได้ยินคนอื่นว่ามาเหมือนกัน”
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ภายในเต็นท์ก็มีเสียงอาเจียนดังออกมา
ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีทันที
“นี่มันทดสอบอะไรกันแน่เนี่ย?”
“เอ่อ…” กู๊ดพูดไม่ออก ใครมันจะไปรู้ล่ะเนี่ย!
ในตอนที่ผู้สมัครกลุ่มแรกถูกพาออกมา หัวใจของกู๊ดพลันเต้นขึ้นมาทันที คนสิบคนเหลืออยู่ในเต็นท์แค่เพียงคนเดียว นั้นก็หมายความว่าโอกาสในการถูกคัดออกนั้นสูงถึง 90%? ยิ่งไปกว่านั้นขาของพวกเขาทำไมถึงดูอ่อนแรงขนาดนั้น? เหมือนกับยืนไม่ค่อยจะไหวอย่างไรอย่างนั้น อย่างน้อยเมื่อดูจากร่างกายแล้ว คนเหล่านี้ก็น่าจะแข็งแรงอย่างมากเลยนี่นา
แต่เขาไม่มีเวลาจะไปนั่งคิดอะไรแล้ว
ทหารเรียกชื่อเขา “กู๊ด!”
“ขอรับ!” กู๊ดกำหมัดแล้วก้าวอาดๆ เข้าไปในเต็นท์
พื้นที่ด้านในนั้นไม่กว้างเท่าไร เหมือนจะมีการใช้ผ้ามาแบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนๆ ผู้เข้าสมัครแต่ละกลุ่มจะไปนั่งอยู่ตรงหน้าผู้ชายที่ใส่เครื่องแบบทหารคนหนึ่งตามลำดับ เพียงแต่ม้านั่งนี้ดูค่อนข้างแปลกไปหน่อย มันจำเป็นต้องเขย่งปลายเท้าเอาไว้ถึงจะนั่งลงได้ แถมตัวม้านั่งยังโคลงเคลงอย่างมากด้วย เรียกว่าเหมือนจงใจเอามาแกล้งคนชัดๆ แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจก็คือแซงโก้ก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
“ข้าคือผู้รับผิดชอบคุมการทดสอบในส่วนนี้” ชายในชุดทหารพูดขึ้นมา “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ชื่อของข้า เพราะว่าคนส่วนใหญ่จะตกการทดสอบอย่างรวดเร็ว แต่ถึงแม้จะผ่านการทดสอบหมด มันก็เป็นเพิ่งจะเป็นแค่เพียงก้าวแรกเท่านั้น ถ้าอยากจะเข้าไปอยู่ในกองทัพ พวกเจ้ายังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก!”
อย่างนั้นนี่คือการทดสอบเข้ากองทัพที่สองเหรอ…หรือว่าเป็นกองทัพที่ใหม่กว่ากองทัพที่สอง? กู๊ดคิดในใจ แต่ไม่ว่ามันจะคืออะไร ขอเพียงค่าจ้างสามารถทำให้เขากับเรเชลได้อยู่อย่างสุขสบาย เขาก็พร้อมจะลองดูทั้งนั้น
“ตอนนี้ข้าจะแจ้งกฎในการทดสอบ” อีกฝ่ายพูดขึ้นมา “ทุกคนต้องเอาเท้าทั้งสองข้างขึ้นไปวางไว้บนที่นั่ง และนั่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลา 5 นาที ไม่ว่าพวกเจ้าเห็นอะไร ก็ห้ามตกลงมาจากม้านั่งเด็ดขาด ถ้าเท้าทั้งสองข้างลงมาแตะพื้นก็ถือว่าตกการทดสอบเหมือนกัน เอาล่ะ เริ่มการทดสอบได้”
ทุกคนต่างสบตากัน “ง่ายๆ แค่นี้เหรอ?”
นายทหารหัวเราะหึหึออกมา เขาเดินไปดึงผ้าที่อยู่รอบๆ ขึ้นโดยไม่ตอบอะไร
จากนั้นลำแสงสีขาวแปลกประหลาดก็กลืนกินกู๊ดไปทันที
ในขณะที่เขารู้ตัวขึ้นมาอีกที เขาก็พบว่าตัวเองนั้นกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าที่สูงเหนือพื้นดินหลายสิบกิโลเมตร!
“อ๊ากกก……..อ๊ากกกกกกกกก……..!”
ข้างหูเขามีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันก็มีเสียงอะไรบางอย่างหล่นกระแทกพื้นดังตุ้บด้วย นี่ทำให้เกิดความแตกตื่นขึ้นมาไม่น้อยทีเดียว แม้แต่ตัวเขาก็ยังอยากจะยกเท้าขึ้นมาตะเกียกตะกายเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องร่วงตกลงไปจนกระดูกแหลกละเอียด แต่ความรู้สึกโยกเยกเล็กน้อยที่อยู่ด้านล่างร่างกายทำให้เขานึกขึ้นมาได้ทันที
เขายังนั่งอยู่บนม้านั่ง!
แต่ความน่ากลัวมันยังไม่จบลงเพียงเท่านี้
หลังลอยอยู่บนฟ้าได้ไม่นาน ชั้นเมฆก็เริ่มลอยขึ้นไปข้างบน นี่หมายความว่าเขากำลังตกลงไปด้านล่าง ความรู้สึกที่ร่วงตกลงไปข้างล่างด้วยความเร็วสูงนี้แทบจะไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ กู๊ดรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะกระเด็นหลุดออกมา! ในหัวเขากำลังส่งเสียงเตือนถึงความอันตรายขั้นสูงสุด แต่สัมปชัญญะกลับบอกเขาว่าก้นของเขายังคงนั่งอยู่บนม้านั่ง! ภายใต้ความคิดที่ขัดแย้งสองอันนี้ สิ่งสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขาก็คือใบหน้าของเรเชล….
….
หลังแสงสีขาวหายไป ภาพภายในเต็นท์ก็กลับมาสู่สายตาเขาอีกครั้ง
“ดีมาก” นายทหารปรบมือ “พวกเจ้าผ่านการทดสอบแรกแล้ว แถมคะแนนก็ดีกว่ากลุ่มที่แล้วไม่น้อยทีเดียว แต่ว่าหลังจากนี้ยังมีการทดสอบอีกหลายอย่าง หวังว่าพวกเจ้าจะอดทนจนถึงที่สุดได้นะ”
นี่เพิ่งจะ…อันแรกอย่างนั้นเหรอ?
กู๊ดกลืนน้ำลาย เขาพบว่าสองมือของตัวเองสั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง แผ่นหลังเองก็รู้สึกเย็นเหมือนพึ่งปีนขึ้นมาจากน้ำอย่างไรอย่างนั้น
บ้าเอ้ย!
การตกลงมาจากบนท้องฟ้านั้นไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการทดสอบ หลังจากนั้นภาพที่อยู่ตรงหน้าเขาก็พุ่งขึ้นพุ่งลงอยู่อีกหลายครั้ง แถมยังบินเลียดไปตามหน้าผาเหมือนพร้อมจะชนหน้าผาได้ทุกเมื่อ!
ง่ายเหรอ? เขาอดนึกถึงรอยยิ้มที่อีกฝ่ายยิ้มออกมาก่อนหน้านี้ไม่ได้…ไม่ ที่ตอนนี้เขายังนั่งอยู่บนม้านั่งได้ก็นับว่าพระเจ้าคุ้มครองเขาแล้ว!
กู๊ดหันหน้าไปมองข้างๆ เขาเห็นบนที่นั่งทั้งสิบที่ว่างลงกว่าครึ่ง ส่วนแซงโก้ก็หายไปไหนไม่รู้
ตอนที่ 1048
หัวหน้าผู้คุมสอบที่เหนือความคาดหมาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
เขาตกใจจนตกลงไปบนพื้นหรือว่าถูกคนชนจนตกลงมา
ถ้าหากแยกแยะทิศทางไม่ถูก มันก็อาจจะเกิดเหตุการณ์ลนลานจนชนคนอื่นตกลงมาจากม้านั่งได้ เพราะว่าที่นั่งของทุกคนไม่ได้กระจายกันออกไป การนั่งให้ถึงตอนสุดท้ายนั้นต้องอาศัยโชคช่วยนิดหน่อย
กู๊ดบอกไม่ถูกว่าตัวเองควรจะรู้สึกดีใจหรือว่าเสียใจดี จริงอยู่ที่ยิ่งมีคู่แข่งน้อย เขาก็จะยิ่งมีโอกาสมาก แต่ในการทดสอบตอนสุดท้ายเขาก็ได้แต่ต้องลุยต่อไปคนเดียว นายทหารพาคนที่ผ่านการทดสอบเข้าไปในอีกพื้นที่หนึ่งโดยไม่ปล่อยให้เขาได้มีเวลาคิด
พื้นที่ทดสอบรอบที่สองไม่ได้ใหญ่ไปกว่าตอนแรกเท่าไร ตรงกลางยังคงมีเก้าอี้วางอยู่ 10 ตัว แต่ลักษณะการวางเก้าอี้ครั้งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
พวกมันถูกตั้งเป็นวงกลม โดยตัวเก้าอี้นั้นถูกยึดเอาไว้บนเหล็กวงกลม ด้านล่างเหล็กวงกลมมีขาตั้งอยู่ เหมือนว่ามันจะสามารถหมุนได้
“นั่งลงไปตามลำดับ” ผู้คุมการทดสอบพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “กฎในการทดสอบรอบที่สองยังคงเหมือนกับรอบแรก นั่นคือนั่งอยู่บนเก้าอี้ ห้ามตกลงมาข้างล่าง”
ครั้งนี้ไม่มีใครกล้าพูดว่าง่ายอีกแล้ว
ทุกคนปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ตามเลขที่ของตัวเองอย่างระมัดระวัง
ทันทีที่ผู้คุมสั่งเริ่มการทดสอบ นายทหารสองคนที่ตอนแรกยืนเฝ้าอยู่ก็เดินเข้ามาผู้เข้าสอบ ก่อนจะจับแท่งเหล็กที่อยู่ด้านหลังเก้าอี้แล้วเริ่มผลักมัน เรื่องราวเป็นไปอย่างที่กู๊ดคิดเอาไว้ เจ้าเก้าอี้เริ่มหมุนขึ้นมาอย่างช้าๆ!
ตอนแรกทุกคนก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกไม่ค่อยสบายก็เริ่มทะลักขึ้นมา
แต่ทหารก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดมือ พวกเขากลับหมุนเร็วขึ้นทันทีที่ได้รับคำสั่ง ภายในเต็นท์มีเสียงของเก้าอี้ที่กำลังหมุนด้วยความเร็วสูงดังขึ้นมา ภาพตรงหน้ากู๊ดเริ่มเลือนราง
โลกหมุน!
นี่คือความรู้สึกเพียงอย่างเดียวที่หลงเหลืออยู่ในหัวเขาตอนนี้
ผลกระทบจากการทดสอบแรกยังไม่ทันหายไป ในเวลานี้ความรู้สึกวิงเวียนอย่างรุนแรงก็มาทำให้เขาท้องไส้ปั่นป่วน น้ำย่อยเกือบจะทะลักออกมาจากคอของเขา!
นี่มันทดสอบอะไรกัน? กองทัพต้องการจะเกณฑ์สัตว์ประหลาดเหรอไง?
เขากัดฟันพยายามจะมองไปยังทหารที่หมุนเก้าอี้อยู่ แต่เขากลับเห็นว่าทหารทั้งสองคนจงใจมองขึ้นไปบนเพดานของเต็นท์ โดยพยายามที่จะไม่มองดูตัวเก้าอี้ตรงๆ พวกเขาใช้แค่สองมือหมุนเก้าอี้ไปเรื่อยๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากการหมุนนี้
นี่….นี่มันไม่ยุติธรรม!
เขาตะโกนออกมาในใจ ยิ่งไปกว่านั้นผู้คุมสอบก็แค่บอกว่าให้นั่งบนเก้าอี้ไปจนจบ แต่เขาไม่ได้บอกว่านานเท่าไร ถ้าเกิดต้องหมุนอยู่อย่างนี้ชั่วโมงนึง เขาคงเวียนหัวตายอยู่บนเก้าอี้แน่!
การเพ่งยิ่งทำให้เวียนหัวหนักขึ้นกว่าเดิม กู๊ดไม่อาจสะกดน้ำย่อยที่พุ่งขึ้นมาจากในท้องได้แล้ว น้ำย่อยพุ่งออกมาจากปากของเขา
“พรืด……!”
กลิ่นเปรี้ยวพุ่งขึ้นไปในรูจมูกของเขาทันที
และการอ้วกออกมาของเขาครั้งนี้ก็เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของปฏิกิริยาลูกโซ่ คนอื่นๆ ต่างก็อ้วกออกมาตามๆ กัน ภายในเต็นท์เต็มไปด้วยกลิ่นสะอิดสะเอียนทันที พวกเศษน้ำย่อยเศษอาหารกระเด็นมาติดบนหน้าเขา
“ข้า ข้าไม่ไหวแล้ว!”
“หยุด…หยุดก่อน! อ็อก…ข้าไม่ไหวแล้ว!”
ในที่สุดกู๊ดก็รู้แล้วว่าทำไมด้านนอกเต็นท์ถึงได้ยินเสียงคนอาเจียน
นี่มันเอาคนมาทรมานชัดๆ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือจุดประสงค์ของการทดสอบนี้มันคืออะไร? นี่เป็นการสมัครเขากองทัพจริงๆ งั้นเหรอ หรือแค่จับพวกเขามาแกล้งเล่นๆ?
ทุกๆ การหายใจเป็นไปอย่างยากลำบาก เขารู้สึกว่าตัวเองพร้อมจะยอมแม้ได้ทุกเมื่อ แต่จนกระทั่งเก้าอี้หยุดหมุนลง เขาก็ไม่ได้ปล่อยมือตัวเองออกมาจากพนักพิงเก้าอี้
ผู้ที่ผ่านการทดสอบเหลือแค่ 3 คน
บนใบหน้าทหารมีสีหน้าชื่นชมออกมา “ทำได้ดีมาก พวกเจ้าเข้าใกล้การผ่านเกณฑ์เข้าไปอีกก้าวแล้ว! พักผ่อน 5 นาที หลังการทดสอบรอบที่สามเริ่มขึ้น ความยากจะค่อยๆ ลดลง ขอเพียงพวกเจ้าตั้งใจก็จะสามารถผ่านได้”
แต่ว่าตอนนี้ไม่มีใครที่จะเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายอีก ทุกคนต่างมีทีท่าระมัดระวัง หลังใช้แขนเสื้อเช็ดใบหน้าแล้ว พวกเขาก็เดินเข้าไปยังพื้นที่อีกส่วนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เพียงแต่ครั้งนี้ กู๊ดพบว่านายทหารไม่ได้พูดโกหก
การทดสอบในรายการที่สามนั้นคือการมุดผ่านเข้าไปในอุโมงค์วงกลม โดยพวกเขาแค่ต้องใช้มือและเท้าในการกลิ้งตัวเองจากปลายด้านหนึ่งไปยังปลายอีกด้านหนึ่งของอุโมงค์เท่านั้น
ไม่มีใครตกการทดสอบ
การทดสอบรายการที่สี่นั้นก็คือการพลิกดูภาพแปลกๆ บนภาพนั้นมีสีที่คล้ายๆ กันระบายอยู่เต็มไปหมด พวกเขาต้องบอกให้ได้ว่ามีสัตว์อะไรแอบอยู่ในภาพเหล่านั้น
ทุกคนผ่านหมดเหมือนเดิม
แต่ความสงสัยภายในใจกู๊ดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น
การทดสอบรายการที่ห้านั้นคือการถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดเพื่อตรวจร่างกาย การทดสอบรายการที่หกคือให้ชี้ทิศทางของลูกธนูในกระจกเงา
ถึงแม้แต่ละคนจะตอบไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนก็ยังผ่านหมด
ในขณะที่เขากำลังรอการทดสอบรายการต่อไป นายทหารกลับพาทั้งสามคนออกมาจากเต็นท์ ในเวลากู๊ดถึงได้พบว่าตรงประตูหลังของเต็นท์ใหญ่ยังมีเต็นท์เล็กอยู่อีกหลังหนึ่ง เจ้าหน้าที่ชุดดำปิดล้อมพื้นที่นี้เอาไว้อย่างแน่นหนา เหมือนว่าด้านในนั้นมีบุคคลสำคัญอยู่
“นายท่าน นี่พวกเรา…” มีคนอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
นายทหารคนนั้นยิ้มมุมปากขึ้นมา “ลืมแสดงความยินดีกับพวกเจ้าไปเลย การทดสอบจบสิ้นลงแล้ว พวกเจ้าผ่านการคัดเลือกรอบแรกแล้ว ตอนนี้รออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวจะมีคนมารับพวกเจ้าไป”
“นี่เป็นแค่การทดสอบรอบแรกเหรอขอรับ? แล้วเรื่องสวัสดิการที่บอกเอาไว้บนป้ายประกาศ…” กู๊ดยังไม่ทันถามจบก็ต้องหุบปากลงทันที จบแล้ว กองทัพคงไม่ต้องการคนที่ต้องการแต่เงินแน่ เหมือนกับอัศวินที่พูดถึงแต่เรื่องเกียรติยศ การที่เขารีบพูดออกมาแบบนี้ ในสายตาของอีกฝ่ายคงมองว่าเขาเป็นไอพวกโลภมากแน่
แต่นายทหารคนนั้นก็ไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาแต่อย่างใด หากแต่มองเขาอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “เจ้าต้องการเงินมากเหรอ?”
“ข้า…”
“ไม่เป็นไร เพราะเรื่องที่กองทัพที่หนึ่งได้สวัสดิการสูงนั้นเป็นเรื่องที่รู้กันไปทั่วเนเวอร์วินเทอร์ ความจริงตอนแรกข้าก็มาเข้ากองทัพเพราะเหตุผลนี้เหมือนกัน” อีกฝ่ายยักไหล่ “คำตอบคือถูกต้อง เงินสนับสนุนการศึกษา เงินสมทบค่าครองชีพ แล้วก็มีเงินเดือนที่เขียนเอาไว้บนประกาศจะทำการจ่ายตามที่ได้เขียนเอาไว้ การคัดเลือกหลังจากนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าพวกเจ้าจะได้เดินไปทางไหน ไม่ใช่ว่าทางกองทัพจะใช้มันมาเป็นข้ออ้างให้การหักเงินเดือนของเจ้า ก็เหมือนกับที่ข้าได้บอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ ถ้าอยากจะกลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งของกองทัพจริงๆ พวกเจ้ายังมีอีกหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้
กู๊ดรู้สึกเหมือนถูกความโชคดีมาโอบล้อมเอาไว้ทันที เขา…ถูกเลือกแล้วงั้นเหรอ? เงินเดือนที่มากกว่าลุงบักกี้ เงินสมทบค่าครองชีพที่พอจะเลี้ยงดูตัวเขาและเรเชลจะกลายเป็นจริงอย่างนั้นเหรอ? พริบตานั้น กู๊ดพลันรู้สึกว่าความยากลำบากที่เจอมาในเต็นท์นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย เมื่อนึกย้อนไปแล้วมันกลับทำให้เขามีความสุขนิดหน่อยด้วยซ้ำ
“ขะ ขอบคุณมากขอรับนายท่าน!” เขารับคำนับอย่างตื่นเต้น “ข้าจะพยายามเข้ากองทัพที่หนึ่งให้ได้ขอรับ!”
อีกสองคนที่เหลือก็มีสีหน้าตื่นเต้นเช่นเดียวกัน พวกเขาเองก็โค้งตัวเลียนแบบกู๊ด
“แต่ว่าข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกพวกเจ้า จริงอยู่ที่หลายๆ คนนั้นเข้ามาในกองทัพเพราะหวังจะได้รับสวัสดิการเหล่านี้ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาอยู่ในกองทัพจริงๆ นั้นกลับไม่ใช่เงินเดือน” นายทหารยิ้มๆ ขึ้นมาอย่างไม่ถือสา “ที่นี่มีอะไรหลายอย่างที่คุ้มค่าให้วิ่งไล่ตาม เมื่อถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะรู้เองว่าความคิดในตอนแรกของพวกเจ้านั้นมันไม่มีค่าให้พูดถึงเลย” เขาชะงักไปเล็กน้อย เหมือนกำลังนึกถึงเรื่องอะไรที่ควรค่าให้นึกถึงอยู่ “เอาล่ะ ด้านหลังยังมีหลายคนกำลังรอทดสอบอยู่ ไว้มีโอกาสค่อยคุยกันใหม่”
ที่แท้อีกฝ่ายนั้นไม่ใช่คนที่เย็นชาอย่างที่คิด
กู๊ดรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมา “นายท่าน ในเมื่อพวกเราผ่านการทดสอบแล้ว ตอนนี้ท่านบอกชื่อของท่านให้พวกเรารู้ได้หรือยังขอรับ?”
“ข้าชื่อแวนนา”
นายทหารพูดจบก็หมุนตัวเดินเข้าไปในเต็นท์ใหญ่
…..
หลังจากนั้นผู้ผ่านการทดสอบก็ทยอยกันเดินออกมาจากประตูด้านหลังเต็นท์ แล้วเข้ามาอยู่ในแถวของผู้ผ่านการทดสอบก่อนหน้านี้
กระทั่งตอนบ่าย การทดสอบถึงได้สิ้นสุดลง
กู๊ดลองนับจำนวนดู วันนี้มี ‘กองกำลังสำรอง’ ที่ผ่านการคัดเลือกทั้งหมด 16 คน
ทหารล้อมพวกเขาเอาไว้ตรงกลาง ก่อนจะพาเข้าไปในเต็นท์หลังสุดท้าย
การตกแต่งภายในเต็นท์นั้นเรียบง่ายอย่างมาก นอกจากโต๊ะตัวหนึ่งแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย แต่เหล่าทหารกลับดูค่อนข้างตื่นเต้น กู๊ดรู้สึกว่านายทหารคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตัวเองนั้นหายใจเร็วขึ้น
“โอ้? นี่คือยอดอัศวินที่พวกเขาเลือกออกมาเหรอ?” ผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะมองมาที่พวกเขาอย่างตื่นเต้น สายตาเหมือนกำลังพยายามตรวจสอบพวกเขาอยู่
กู๊ดใจสั่นขึ้นมาทันที เมื่อกี้เขาว่าอะไรนะ? อัศวิน?
หรือว่าที่กองทัพที่หนึ่งอยากจะรับสมัครคืออัศวิน!
จะเป็นไปได้ยังไง?
นั่นมันเป็นตำแหน่งของขุนนางที่มีชาติตระกูลถึงจะมีได้ไม่ใช่เหรอ
คนอย่างเขา แม้แต่ผู้ติดตามอัศวินก็อาจจะเป็นไม่ได้ด้วยซ้ำ!
“อัศวินอากาศเหรอ? แค่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นคำที่พี่ชายข้าคิดขึ้นมา” จากนั้นเสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังเข้ามาในหูเขา “แต่สำหรับพวกเขามันยังเร็วไปที่จะมาถึงจุดนี้ พวกเราค่อยๆ ก็แล้วกัน เออใช่ พวกเจ้ามาทางนี้ให้หมด เปิดที่ว่างตรงกลางให้พวกเขาหน่อย”
“แต่ว่า…” นายทหารที่เป็นหัวหน้าลังเลขึ้นมา
“ไม่เป็นไร ด้านหลังข้ามีคนคอยคุ้มครองข้าอยู่”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง”
องค์…หญิง?
ยังไม่ทันที่จะได้ทำความเข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น คนที่อยู่ตรงหน้าก็ขยับเข้ามา ภาพผู้หญิงที่มีใบหน้างดงามคนหนึ่งสะท้อนเข้ามาในดวงตาของกู๊ด เธอมีดวงตาเป็นประกายเหมือนอัญมณี ใบหน้าขาวเนียนกว่าหิมะ ขอเพียงได้สบตา ก็จะไม่มีทางลืมเลือนแน่นอน ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ เขาก็อยากจะจ้องมองแบบนี้ตลอดไป
แต่เขาก็พยายามฝืนตัวเองให้เบือนสายตาหลบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มหน้าลงไปอย่างเคารพ
เพราะผมยาวสีเทาของผู้หญิงคนนั้นได้แสดงให้เห็นถึงสถานะของเธอ
ถึงแม้จะเป็นผู้อพยพมาใหม่อย่างเขาก็ยังรู้ว่าสีๆ นี้มันหมายถึงอะไร
นี่คือสัญลักษณ์ของราชวงศ์เกรย์คาสเซิล
ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ มีผู้หญิงเพียงคนเดียวที่มีสายเลือดนี้
นั่นคือน้องสาวของฝ่าบาทโรแลนด์…ทิลลี วิมเบิลดัน
“ถวายบังคมองค์หญิง!”
ทุกคนต่างคุกเข่าลงไป
ตอนที่ 1049
รางวัลของเจ้าหญิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ลุกขึ้นเถอะ” ทิลลีพูดเสียงราบเรียบ “ข้ารู้ว่าในใจพวกเจ้าตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยความสงสัยว่าทำไมกองทัพถึงทำลายกฏด้วยการรับสมัครคนที่ไม่ใช่พลเมืองเข้ามาในกองทัพ ทำไมการคัดเลือกถึงแปลกๆ เช่นนี้ แล้วก็…ทำไมข้าถึงมาเป็นคนอธิบายเรื่องเหล่านี้ ความจริงปัญหาเหล่านี้พูดไปแล้วค่อยข้างซับซ้อน เอาไว้หลังจากนี้พวกเจ้าก็จะค่อยๆ เข้าใจมันเอง ดังนั้นตอนนี้ข้าจะไม่อธิบายอะไรละเอียดนัก ข้าจะอธิบายให้ฟังอย่างคร่าวๆ ซักสองสามเรื่อง”
“อันดับแรก กองทัพที่พวกเจ้าเข้าร่วมนั้นไม่ใช่กองทัพที่หนึ่ง แล้วก็ไม่ใช่กองทัพที่สอง หากแต่เป็นกองทัพใหม่ที่พี่ชายข้าตังขึ้นมา มันไม่เหมือนกับกองทัพใดๆ ก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุนี้การคัดเลือกจึงมีความพิเศษมากกว่า”
คำพูดนี้สร้างเสียงฮือฮาขึ้นมาเล็กน้อย เพราะโอกาสในการก้าวหน้าของกองทัพใหม่นั้นมีมากกว่า แล้วก็ไม่มีทางถูกกำจัดออกไปได้ง่ายๆ สำหรับพวกเขาซึ่งไม่มีต้นทุนอะไรแล้ว การที่ได้ไปก้าวหน้าอยู่ในกองทัพใหม่นั้นนับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ต่อให้โง่แค่ไหนก็ต้องเข้าใจเหตุผลนี้
“แต่ว่าสถานะของพวกเจ้าในตอนนี้ยังเป็นแค่กำลังสำรองเท่านั้น” องค์หญิงพูดต่อ “แล้วก็เป็นเพราะความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงของมัน ทำให้ข้าไม่มีอะไรที่จะมาใช้อ้างอิงได้ นั่นก็หมายความว่าทุกอย่างต้องเริ่มต้นจากศูนย์ อุปสรรคที่ต้องเจอนั้นต้องมากกว่าที่จินตนาการเอาไว้แน่นอน ถ้าจะเปรียบเทียบกันให้ได้ล่ะก็ การทดสอบที่พวกเจ้าเจอมาก่อนหน้านี้นั้นเรียกได้ว่าไม่มีค่าให้พูดถึงเลย ตอนนี้คนที่ยืนอยู่ตรงนี้มี 16 คน แต่คนที่จะได้กลายเป็นอัศวินอากาศจริงๆ นั้นเกรงว่าคงจะมีแค่ 1 – 2 คนเท่านั้น หรือไม่ก็…ไม่มีเลยซักคน”
กู๊ดตกใจ
ที่เขาตกใจนั้นไม่ใช่เพราะความยากของมัน หากแต่เป็นเพราะคำพูดในครึ่งแรกของอีกฝ่าย
เขาจะได้เป็นอัศวินจริงๆ ด้วย!
ถึงแม้เขาจะยังไม่รู้ว่า ‘อัศวินอากาศ’ กับอัศวินในอดีตมันต่างกันอย่างไร แต่การที่คนธรรมดาที่เกิดมาในครอบครัวยากจนได้รับโอกาสแบบนี้นั้นก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากแล้ว!
ส่วนเรื่องที่บอกว่ายากมากนั้น?
นั่นก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ!
เขารู้สึกภายในใจมีไฟลุกโชนขึ้นมาทันที
แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องตกตะลึงนั้นยังมีอีก
“นอกจากนี้เนื่องจากคนที่รู้ว่ากองทัพใหม่นั้นคืออะไร เกรงว่าทั่วทั้งเมืองนี้…ไม่สิ ควรจะบอกว่าบนโลกนี้มีแต่ข้ากับพี่ชายของข้าเท่านั้นที่รู้ว่ามันคืออะไร อีกอย่างโรแลน์นั้นไม่มีเวลาที่จะมาดูแลเรื่องนี้ ดังนั้นหลังจากนี้ข้าจะเป็นคนสอนพวกเจ้าเอง”
คำพูดนี้เหมือนเป็นสายฟ้าที่ฟาดลงมา ทำเอากู๊ดยืนตกตะลึงไปทันที
องค์หญิงจะมาเป็นคนสอนพวกเขาเอง?
พูดอีกอย่างก็คือพวกเขามีโอกาสที่จะได้กลายเป็นอัศวินที่เจ้าหญิงแห่งเกรย์คาสเซิลอวยยศให้?
ต่อให้ไม่มีที่ดิน แล้วก็ไม่ได้เป็นขุนนาง นี่ก็ยังถือเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับพวกเขาที่เป็นผู้อพยพเข้ามาใหม่
คนอื่นๆ เองก็ตกตะลึงไม่แพ้เขาเหมือนกัน
ถ้าไม่เป็นเพราะว่ากลัวจะเสียมารยาทจนทำให้เจ้าหญิงไม่พอพระทัย ทุกคนคงจะตะโกนกันออกมาแล้ว
เสียงหายใจที่ฟังดูกระชั้นของคนข้างๆ นั้นคือสิ่งยืนยันที่ดีที่สุดว่าทุกคนตื่นเต้นแค่ไหน
“ผู้ที่ผ่านการทดสอบทั้งหมดจะไปทำการฝึกซ้อมกันตรงชายหาดน้ำตื้น พวกเจ้าจะมีที่อยู่ใหม่กับบัตรประชาชน นับจากนี้พวกเจ้าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวงใหม่” ทิลลียกมือขึ้นมาบอกให้ทุกคนเงียบลงก่อน “แต่จำเอาไว้ว่าถึงแม้ตอนนี้พวกเจ้าจะเป็นกำลังพลสำรอง แต่พวกเจ้าก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพเหมือนกัน ดังนั้นพวกเจ้าต้องระวังความประพฤติของพวกเจ้าให้ดี การถอนตัวกลางคันจะถูกมองว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่ การกระทำใดๆ ที่เป็นการทำผิดต่อคำสั่งกองทัพจะต้องถูกจับตัวมาลงโทษ เข้าใจไหม!”
“พ่ะย่ะค่ะ…เจ้าหญิง!” ถึงแม้จะถูกคำเตือนที่ฟังดูรุนแรงทำให้ตกใจจนเสียงตอบเบาลง แต่ก็ไม่มีใครที่จะทำหน้าเสียใจออกมาแม้แต่คนเดียว
“ดีมาก สุดท้ายก็เป็นการกล่าวคำปฏิญาณตนต่อราชาแห่งเกรย์คาสเซิล” ทิลลีมองไปทางผู้ชายตัวใหญ่ที่อยู่ข้างโต๊ะ “เวเดอร์”
อีกฝ่ายเอามือขึ้นมาทาบที่หน้าอกพร้อมพยักหน้า ก่อนจะล้วงเอาม้วนกระดาษสีขาวออกมาจากหน้าอกมากางออก “ตอนนี้ทุกคนพูดตามข้า”
คำปฏิญาณนั้นเข้าใจง่ายมาก
เรียกได้ว่าเป็นการพูดออกมาตรงๆ
อย่างเช่นประโยคที่ว่า “ข้าไม่มีเจตนาร้ายต่อฝ่าบาทโรแลนด์ และไม่มีความคิดอคติต่อแม่มด”
ใครจะไปกล้าล่ะ!
เมื่อคิดถึงข่าวลือที่ว่าตัวเจ้าหญิงก็เป็นแม่มดคนหนึ่งเหมือนกัน กู๊ดก็พูดเสียงดังขึ้นมามากกว่าเดิมเมื่อปฏิญาณตนถึงตรงนี้ ราวกับว่าถ้าพูดเสียงเบาๆ แล้วมันจะไม่สามารถแสดงความจงรักภักดีในใจตนออกมาได้
หลังจากปฏิญาณตนเสร็จ ทหารก็เดินเข้ามาแจกถุงสัมภาระให้พวกเขาคนละใบ
“นับแต่นี้เป็นต้นไป พวกเจ้าคือสมาชิกคนหนึ่งของกองทัพ” ทิลลียิ้มเล็กน้อย “การรับสมัครในรอบแรกน่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ หลังจากนั้นการฝึกซ้อมจึงจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ส่วนของที่อยู่ในห่อสัมภาระนั้นคือรางวัลของข้า แล้วก็เป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องเรียนรู้เป็นอันดับแรกด้วย”
…..
ในตอนที่กู๊ดกลับมายังลานเมือง ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว คนที่มาสมัครเข้ารับการทดสอบพากันแยกย้ายกันไปหมด ลุงบักกี้กับแซงโก้เองก็ไม่อยู่แล้วเหมือนกัน
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ไม่ว่าใครก็คงจะคิดไม่ถึงว่าการทดสอบจะใช้เวลานานขนาดนี้ พวกเขายังมีคนที่บ้านที่ต้องดูแล ไม่มีทางที่จะมายืนรอเขาอยู่ที่ลานเมืองได้ตลอดหรอก
ในเวลานี้เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากอีก หากแต่กอดห่อสัมภาะระเอาไว้แน่น แล้วรีบตรงกลับบ้านของตัวเอง
ความดีใจโบยบินไปมาอยู่ในใจเขา ทั่วทั้งร่างกายเหมือนมีเรี่ยวแรงที่ไม่มีวันใช้หมดหลั่งไหลออกมา ต่อให้ลมหนาวจะพัดเข้ามา เขาก็ไม่รู้สึกถึงความหนาวแม้แต่น้อย หิมะใต้เท้าส่งเสียงดังฉึบฉับๆ พื้นถนนที่ถูกคนนับร้อยนับพันเหยียบย่ำกลายเป็นสีน้ำตาลดำ บางทีพรุ่งนี้หิมะสีขาวก็คงจะตกลงมากลบถนนใหม่อีกครั้ง แต่ตอนนี้มันกำลังเป็นตัวนำทางให้เขากลับไปที่บ้าน
เมื่อมุดเข้าไปในบ้านดินเตี้ยๆ ที่อบอุ่น เขาก็เห็นเรเชลกับต้มข้าวต้มอยู่พอดี
“ขอโทษทีที่กลับมาช้า วันนี้ข้า….”
“ข้ารู้แล้ว” เด็กหญิงพูดตัดบทขึ้นมาห้วนๆ “ลุงที่อยู่บ้านข้างๆ บอกข้าแล้วว่าท่านได้งานดีๆ มางานหนึ่ง”
ยังไม่ทันทีเขาจะได้ตอบอะไร อีกฝ่ายก็ยื่นมือขวามาหาเขา
“ของกินล่ะ?”
“เอ่อ…อะไรนะ?”
“เฮ้ ท่านบอกแล้วว่าจะเอาแพนเค้กไข่มาให้ข้านี่นา!” เรเชลมุ่ยปากอย่างไม่พอใจ
กรรม ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย กู๊ดรีบพูดขึ้นมาว่า “ครั้งหน้า ครั้งหน้าเจ้าจะได้กินมันอาทิตย์ละอันเลย! ไม่สิ สองอันเลย!”
“สองอัน?” เรเชลถามอย่างสงสัย “จริงเหรอ?”
“แน่นอน งานนี้มันไม่ใช่งานธรรมดาๆ นะ แถมข้ายังได้เจอเจ้าหญิงด้วยนะ!” กู๊ดถอดรองเท้าที่เปียกชื้นออก ก่อนจะม้วนขากางเกงขึ้นแล้วเอาเท้าไปอังอยู่ตรงเตาไฟ จากนั้นก็หยิบเอาห่อสัมภาระเล็กๆ ออกมาจากในหน้าอก “ดูนี่ นี่คือของที่พระองค์พระราชทานให้ข้า”
“ข้างในมันมีอะไรเหรอ?” ความอยากรู้อยากเห็นของสาวน้อยเข้ามาแทนที่ความไม่พอใจที่มีอยู่แต่เดิม
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แกะออกมาดูดีกว่า” กู๊ดแกะเชือกรัดออก ก่อนจะตกตะลึงไปเล็กน้อยเมื่อเห็นของข้างใน “นี่มัน….”
“หนังสือเหรอ?” เรเชลพูดต่อ
เขาเอาของที่อยู่ข้างในออกมาจนหมด ก่อนจะพบว่ามันเป็นหนังสือกองหนึ่ง บนหน้าปกมีภาพที่ไม่เหมือนกัน ดูแล้วมีความประณีตสวยงามอย่างมาก แต่เสียดายที่เขาอ่านหนังสือไม่ออกเลยแม้แต่ตัวเดียว
“เจ้า…ช่วยข้าดูหน่อยได้ไหมว่ามันคืออะไร?” ในเวลาแบบนี้ เขาได้แต่ต้องขอความช่วยเหลือจากเรเชลเท่านั้น
เด็กหญิงยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ “ข้าก็ไม่รับประกันหรอกนะว่าจะอ่านออกหมด เอ่อ หนังสือเล่มนี้คือเทคนิค…อ่านเขียน เล่มนั้นคือการจำศัพท์…อย่างรวดเร็ว เล่มที่สามคือ…”
พวกนี้คือหนังสือที่แซงโก้ใช้เรียนเหรอ? ส่วนรูปภาพที่อยู่บนหน้าปกที่แท้ก็เป็นเหมือนคำนิยามเนื้อหาในเนื้อหาอย่างหนึ่ง อย่างเช่นบนหน้าปกหนังสือ ‘เทคนิคอ่านเขียน’ ก็เป็นรูปปากกาขนนก ส่วนบนหนังสือ ‘การจำศัพท์อย่างรวดเร็ว’ ก็เป็นรูปตัวหนังสือเล็กๆ ใหญ่ๆ ….
ไม่รู้ว่าทำไมกู๊ดถึงได้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เดิมเขาคิดว่าด้านในอาจจะมีสิ่งของที่เจ้าหญิงทรงพระราชทานให้ผู้ผ่านการทดสอบไว้เป็นรางวัล ไม่จำเป็นต้องล้ำค่าอะไรมาก ต่อให้เป็นจดหมายฉบับหนึ่งมันก็ยังเป็นสัญลักษณ์ของเกียรติยศได้
ถ้าคนอื่นรู้เข้า เกรงว่าเขาคงต้องถูกหัวเราะเยาะแน่ เจ้าหญิงจะเอาหนังสือเรียนระดับต้นที่เห็นได้ทั่วไปมามอบให้เขาเป็นรางวัลได้ยังไง?
แต่กู๊ดก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
ก็จริง ในเมื่ออยากจะเป็นอัศวิน อย่างนั้นเขาก็ต้องอ่านหนังสือออก
เขายังมีอะไรอีกหลายอย่างให้เรียนรู้จริงๆ
ทันใดนั้นเอง หน้าปกหนังสือเล่มหนึ่งก็ดึงดูดสายตาของเขาเอาไว้
สิ่งที่อยู่ในภาพนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มันดูคล้ายว่าวขนาดใหญ่ แล้วก็คล้ายนกยักษ์ที่กางปีกบิน มันมีปีกสองคู่ ขนาดของปีกดูแล้วใหญ่กว่าคนหลายเท่า ส่วนผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้านบนก็ดูแล้วเหมือนองค์หญิงอย่างมาก! พื้นทะเลที่อยู่ใต้เท้าเธอส่องประกายระยิบระยับ พื้นทวีปที่ควรจะกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาปลายเป็นพื้นดินเล็กๆ ที่อยู่ตรงขอบ
มุมมองนี้เหมือนกับภาพที่เขาเห็นในการทดสอบรอบแรกเลย
เขารู้สึกเหมือนการหายใจของตัวเองช้าลงไปทันที
“เรเชล….บนหนังสือเล่มนี้เขียนว่าไง?”
“หืม ขอข้าดูหน่อย” เรเชลยื่นหน้าเข้ามา “ปฏิบัติ….กับ….การบิน….อืม ใช่แล้ว!” เธอปรบมือ ก่อนจะอ่านมันตั้งแต่ต้นใหม่อีกครั้ง “หนังสือเล่มนี้ชื่อ ‘คู่มือปฏิบัติและทฤษฎีการบิน’”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น