Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1036-1042

 ตอนที่ 1036

 

วันถัดมาหลังพิธีราชาภิเษก โรแลนด์ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ทุกคนเป็นครั้งที่สามในห้องประชุมของปราสาท


เนื้อหาหลักในการประชุมก็คือการจัดสรรอำนาจซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ทุกคนให้ความสนใจมาที่สุด


ในฐานะที่เป็นผู้สนับสนุนฝั่งที่ถูกต้อง นี่ย่อมต้องเป็นช่วงเวลาที่พวกเขารอคอยมานานอย่างไม่ต้องสงสัย การทำงานให้ผู้ปกครองดินแดนกับการทำงานให้พระราชานั้นเป็นคนละเรื่องกัน โดยเฉพาะหลายๆ คนที่เคยทำงานอยู่ในสำนักงานเมืองมาก่อนย่อมต้องเข้าใจแนวคิดการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางของราชาองค์ใหม่มาคร่าวๆ แล้ว การเลื่อนขั้นในครั้งนี้จึงมีความสำคัญสำหรับพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้เปลี่ยนจากคนที่ไม่มีใครรู้จักกลายเป็นเจ้าหน้าที่คนสำคัญของเกรย์คาสเซิล สิ่งที่พวกเขาต้องดูแลก็ไม่ใช่แค่ดินแดนตะวันตกเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป อิทธิพลของพวกเขาเรียกได้ว่ามากกว่าขุนนางใหญ่ๆ ในอดีตเสียอีก


โรแลนด์ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ความรู้สึก ‘ทะเยอทะยานที่จะปีนขึ้นไปบนฟ้า’ เช่นนี้เกิดขึ้นภายในใจของเจ้าหน้าที่ของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงพูดถึงเรื่องกฎเกณฑ์ตั้งแต่เริ่มประชุม “อันดับแรก ข้าขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่ได้รับเชิญให้มาเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารระดับสูงของเกรย์คาสเซิล ในเวลาหลายสิบปีต่อจากนี้ พวกเจ้าจะปกครองอาณาจักรแห่งนี้ไปด้วยกันกับข้า”


“มิกล้าพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” บารอฟพูดขึ้นมาเป็นคนแรก เขาเอามือทาบไว้บนหน้าอกพร้อมก้มตัวลง “การได้ทำงานให้ฝ่าบาทนับเป็นเกียรติของพวกกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ! ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ขอพระองค์ได้โปรดสั่งการมา พวกกระหม่อมจะพยายามทำเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ!”


ถึงแม้จะพูดถ่อมตัว แต่บนใบหน้าของหัวหน้าสำนักงานเมืองนั้นยิ้มจนหน้าย่นไปหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขารอคอยเวลานี้มานานมาก


โรแลนด์พยักหน้ายิ้มๆ หลังบอกให้ทุกคนนั่งลงแล้ว เขาจึงค่อยๆ พูดขึ้นมาว่า “แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องพูดให้ทุกคนเข้าใจก่อน ที่เรายึดอำนาจศักดินาคืนมาจากพวกขุนนางก็เพื่อที่จะให้คนที่มีความสามารถเข้ามาทำงานแทน และการจะรักษาความรุ่งเรืองของอาณาจักรๆ หนึ่งไว้มันก็ขึ้นอยู่กับว่ามีคนที่ีมีความสามารถอยู่กี่คนที่ต่อสู้เพื่อมัน ดังนั้นข้าจึงไม่อยากเห็นพวกเจ้ากลายเป็นขุนนางในอีกรูปแบบหนึ่ง”


“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ…” บารอฟรีบพูด “ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าคนรุ่นหลังจะมีความสามารถแบบเดียวกัน ทุกตำแหน่งจึงควรจะคัดเลือกเอาคนที่มีความสามารถที่สุดมารับผิดชอบพ่ะย่ะค่ะ”


หลายๆ คนแสดงออกว่าเห็นด้วยกับคำพูดของบารอฟทันที


ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า โรแลนด์มักจะรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่สำนักงานเมืองชุดนี้นั้นเปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้านี้ไม่น้อยทีเดียว แม้แต่คำพูดประจบประแจงก็ฟังดูรื่นหูขึ้น เมื่อมองไปในดวงตาของพวกเขาก็จะเห็นได้ถึงความเคารพยำเกรง ความรู้สึกแตกต่างนี้ทำให้เขาแอบรู้สึกดีอยู่ในใจ


นี่น่าจะเป็นประโยชน์ของการพิธีการล่ะมั้ง


ไม่แปลกที่ทำไมทอว์ฟิคกับการ์เซียถึงได้ทำสงครามกันจนวุ่นวายครึ่งค่อนอาณาจักรเพื่อตำแหน่งนี้


เพียงแต่โรแลนด์ไม่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในอารมณ์แบบนี้นานนัก ถึงแม้จะเป็นราชาที่อยู่สูงเหนือทุกคน แต่ดินแดนที่เขาปกครองก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งในทวีปอันกว้างใหญ่ไพศาล ถ้าเขาพึงพอใจแค่เท่านี้ อย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพวกผู้นำเกาะเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลจนไม่มีใครเคยได้ยินชื่อ


โลกนั้นกว้างใหญ่ เขาอยากจะเห็นมัน


“สิ่งที่เจ้าว่ามามันเป็นแค่หนึ่งในเรื่องที่เป็นพื้นฐานที่สุดเท่านั้น” โรแลนด์มองไปรอบๆ “ความจริงแล้วไม่มีใครที่จะรับประกันได้ว่าจะได้อยู่ในตำแหน่งได้ตลอดไปหรือเปล่า! ความยั่วยวนจากโลกภายนอก การหยุดนิ่งทางความคิด แล้วก็กิเลสที่ขยายตัวอยู่ในใจล้วนแต่สามารถดับอนาคตของคนๆ หนึ่งได้! พวกเจ้า….เองก็ไม่เว้นเหมือนกัน”


เมื่อเขาพูดเสียงดังขึ้น เหล่าเสนาบดีต่างพากันก้มหน้าลงไปทันที


“ดังนั้นการเข้ามาอยู่ในศูนย์กลางการปกครองนี้จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ในทุกปีความสามารถและผลงานของพวกเจ้าต้องถึงมาตรฐานที่กำหนดเอาไว้ หลังจากนั้นจะได้เลื่อนขั้นหรืออยู่ที่เดิม ข้าก็จะใช้มันเป็นตัวตัดสิน” โรแลนด์ชะงักไปเล็กน้อย “แต่แน่นอนว่ายังมีผลลัพธ์ที่เลวร้ายมากกว่านั้น อย่างเช่นคนที่รู้ตัวว่าไม่มีความสามารถ แต่กลับยังสร้างความเสียหายให้กับอาณาจักร คนๆ นั้นจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง แล้วก็ส่งไปให้ศาลตัดสิน!”


“ฝ่าบาท…” บารอฟถามขึ้นมาอย่างระมัดระวัง “ไม่ทราบว่าใครจะเป็นคนเขียนรายงานประเมินนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”


“ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนั้นเอง” โรแลนด์มองไปทางเขา “ยังมีคำถามอะไรไหม?”


ถึงแม้คนที่จะทำการตรวจสอบจริงๆ จะเป็นไนติงเกลของหน่วยรักษาความปลอดภัย แต่มันจะดีกว่าถ้าเขาบอกทุกคนไปว่าเขาจะเป็นคนจัดการเอง


“ไม่ กระหม่อม…ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


“ข้ารู้ว่าในใจของทุกคนกำลังคิดอะไรอยู่” เขาพูดต่อว่า “กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เดิมมันควรจะเป็นเวลาในการกอบโกยผลประโยชน์ แต่ถ้าหลังจากนี้เราต้องมานั่งห่วงหน้าพะวงหลัง แล้วก็พยายามอย่างหนักเพื่อไม่ให้คนจับได้ อย่างนั้นประโยชน์ของการเป็นเจ้าหน้าที่ส่วนกลางมันอยู่ตรงไหนล่ะ สิ่งที่ข้าอยากจะพูดก็คือจริงๆ แล้วเราสามารถทำให้ผลประโยชน์กับการทำงานนั้นมันไม่ขัดแย้งกันได้ ขอเพียงพวกเจ้าทำงานที่ข้ามอบหมายให้สำเร็จ ข้าก็ไม่รังเกียจที่พวกเจ้าจะไปหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง มันก็เหมือนกับการแบ่งขนมปัง ขนมปังยิ่งก้อนใหญ่ ต่อให้ได้รับส่วนแบ่งน้อยแค่ไหน มันก็ยังทำให้อิ่มท้องได้ แต่ถ้าขนมปังมันยิ่งเล็ก ต่อให้กินมันไปทั้งหมดคนเดียวมันก็ไม่มีทางอิ่มได้ ซึ่งคนที่ยิ่งยืนอยู่ใกล้ขนมปังก็จะยิ่งได้รับส่วนแบ่งได้ง่าย ข้าคิดว่าพวกเจ้าน่าจะเข้าใจหลักการอันนี้นะ”


ทรัพยากรที่เจ้าหน้าที่จะได้รับนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่เงินเดือนอย่างที่เห็นเท่านั้น แต่มันยังมีเส้นสายและอำนาจที่เป็นต้นทุนที่เหนือกว่าเงินเดือนอยู่ด้วย ถ้าแม้แต่แนวคิดนี้ก็ยังมองไม่เห็น เขาก็ไม่ต้องการคนแบบนี้มาทำงานอยู่ในสำนักงานเมือง


หลักการขับเคลื่อนด้วยท่อนไม้และหัวไชเท้านั้นได้รับการพิสูจน์มาแล้วในประวัติศาสตร์ ถึงแม้มันจะใช้แล้วค่อนข้างติดขัด แต่โรแลนด์ก็เริ่มรู้สึกเคยชินกับมันแล้ว


“ก่อนที่ข้าจะประกาศเรื่องการเลื่อนตำแหน่ง พวกเจ้าสามารถเลือกที่จะลาออกจากตำแหน่งได้ คนที่ลาออกจะได้รับเงินชดเชยก้อนใหญ่ จำนวนของมันมากพอจะให้เจ้าใช้ได้ทั้งชีวิต แต่ถ้าพวกเจ้าเลือกจะอยู่ต่อ พวกเจ้าก็ต้องจำเอาไว้ว่าบนหลังของพวกเจ้านั้นมีภาระหน้าที่อยู่ เอาล่ะ ตอนนี้ตัดสินใจได้!”


ไม่มีใครลุกขึ้น แม้แต่เคโม ชูอิลที่ตอนแรกร่ำร้องว่าอยากจะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้ากองอุตสาหกรรมเคมีก็ยังเลือกที่จะนิ่งเงียบ เห็นได้ชัดว่าการรับตำแหน่งมาสองปีทำให้เขารู้ว่าถ้าอยากจะขอเงินงบประมาณมาจากบารอฟ ตำแหน่งหัวหน้ากองนั้นคือสิ่งที่สำคัญมาก


“ดีมาก” โรแลนด์ยิ้มมุมปาก “อย่างนั้นต่อไปก็จะเป็นคำสั่งแต่งตั้งของทุกคน!”


เมื่อเทียบกับสำนักงานเมืองในอดีตแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดของระบบการปกครองใหม่ก็คือการเอาเมืองต่างๆ เข้ามาอยู่ในกรอบการดูแลด้วย


เขาจะใช้วิธีการแบ่งของยุคสมัยปัจจุบัน ด้วยการตั้งให้เมืองใหญ่ๆ เหล่านั้นเป็นมณฑล แล้วคอยดูแลอำเภอและหมู่บ้านที่อยู่รอบๆ คนที่ดูแลมณฑลคือผู้ว่าการมณฑล ระดับของตำแหน่งนั้นเท่าเทียมกับหัวหน้ากอง ทุกๆ มณฑลต้องมีการตั้งสำนักบริหารระดับมณฑลขึ้นมา ซึ่งจะอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักบริหารส่วนกลางของเมืองเนเวอร์วินเทอร์


การเปลี่ยนแปลงนี้มีประสบการณ์จากการตั้งสำนักงานเมืองหนึ่ง สอง สามก่อนหน้านี้เป็นฐานให้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ยุ่งยากเท่าไร เพียงแต่งานของหัวหน้าสำนักบริหารจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ในทางกลับกัน อำนาจของเขาก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย


บารอฟนั้นได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นหัตถ์พระราชาอย่างที่เขาหวังเอาไว้ นอกจากจะคอยดูแลกองการคลังแล้ว เขายังรับผิดชอบประสานงานกับทุกกองด้วย ในฐานะที่เป็นผู้บริหารกลุ่มแรกของเมืองชายแดน อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าสำนักงานเมืองที่ผลิตคนที่มีความสามารถขึ้นมาเยอะแยะมากมาย ตำแหน่งนี้จึงเหมาะกับเขามากที่สุด คำพูดที่พูดขึ้นมาเล่นๆ เมื่อ 4 ก่อน ในที่สุดตอนนี้ก็กลายเป็นจริงแล้ว


นอกจากสำนักบริหารส่วนกลางของเมืองหลวง กองทัพ หน่วยรักษาความปลอดภัย สโมสรแม่มดแล้ว โรแลนด์ยังได้ตั้งหน่วยงานขนาดใหญ่หน่วยงานใหม่ขึ้นมาด้วย นั่นคือ ‘กองบัญชาการเสนาธิการทหารใหญ่’


สิ่งที่กองบัญชาการเสนาธิการทหารใหญ่แตกต่างจากทีมที่ปรึกษาที่คอยให้คำแนะนำเรื่องการรบเพียงอย่างเดียวก็คือหน่วยงานนี้จะรับผิดชอบในการวางนโยบายนอกอาณาจักรด้วย ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ ‘การวางกลยุทธ์’ ทางกองบัญชาการเสนาธิการทหารใหญ่จะเป็นผู้รับผิดชอบในการวางแผนอย่างละเอียด เนื่องจากความแข็งแกร่งของเกรย์คาสเซิลที่ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งสงครามแห่งโชคชะตาที่คืบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเกรย์คาสเซิลกับอาณาจักรดอว์น วูล์ฟฮาร์ท อีเทอร์นอลวินเทอร์และฟยอร์ดหลังจากนี้จะต้องมีความใกล้ชิดกันมากขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งในส่วนนี้จำเป็นต้องมีหน่วยงานที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลมาคอยช่วยเขาควบคุมสถานการณ์


และคนที่จะมารับหน้าที่เป็นหัวหน้ากองก็คือไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือ เอดิธส์ เคนท์

 

 

 


ตอนที่ 1037

 

 การฆ่าฟันในที่ราบหิมะ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังประชุมแต่งตั้งเสร็จ ทุกคนก็ทำการปฏิญาณตนตามที่โรแลนด์บอก


เหล่าเจ้าหน้าที่เพิ่งจะเคยเห็นขั้นตอนแบบนี้เป็นครั้งแรก แต่ถึงแม้จะแปลกใจ สุดท้ายทุกคนก็ยังทำตามที่โรแลนด์บอกอย่างไม่ลังเล ยิ่งไปกว่านั้นหลายๆ คนยังจงใจยืดตัวตรงขึ้นมาด้วย


คำปฏิญาณที่ว่าคือ ‘จงรักภักดีต่ออาณาจักร รับผิดชอบหน้าที่อย่างเคร่งครัด’ ซึ่งก็ไม่มีอะไรพิเศษ คำพูดเหล่านี้พวกเสนาบดีต่างก็พูดกันอยู่บ่อยๆ แต่ในสถานการณ์ที่มีความเป็นทางการเช่นนี้ ทุกคนกลับรู้สึกเหมือนคำพูดเหล่านี้มันมีความหมายพิเศษขึ้นมาอย่างที่ไม่อาจมองข้ามได้


โรแลนด์รู้ว่าพวกเขากำลังหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว


“ในเมื่อพวกเจ้าผ่านพิธีรับตำแหน่งแล้ว อย่างนั้นเราก็มาเริ่มทำงานกันเถอะ” เขาลุกขึ้นจากที่นั่ง พร้อมกับเอามือตบไปยังแผนที่ขนาดใหญ่บนกำแพงด้านหลัง “กำจัดภัยคุกคามจากปีศาจออกไปจากที่ราบลุ่มบริบูรณ์ รักษาความปลอดภัยทางตะวันตกเฉียงเหนือของเนเวอร์วินเทอร์ เพื่อให้มนุษย์ได้กลับไปลงหลักปักฐานยังกลางทวีปอีกครั้ง นี่คือเป้าหมายหลักของเกรย์คาสเซิลในปีหน้า!”


ความพ่ายแพ้ในสงครามแห่งโชคชะตาสองครั้งทำให้มนุษย์ต้องถอยร่นมายังขอบของทวีป ด้านหลังคือทะเล ไม่มีที่ให้พวกเขาถอยไปอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทรัพยากรสำหรับการดำรงชีวิตหรือในแง่ของแผนการรบแล้ว การบุกเข้าไปทางตะวันตกคือตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา


ถ้าอยากจะหลงหลักปักฐานในพื้นที่ราบอันกว้างใหญ่ไพศาล เขาก็จำเป็นต้องทำลายทาคิลาทิ้งไป เมื่อไม่มีสายแร่อาญาสิทธิ์ ปีศาจก็จะไม่สามารถตั้งเสาโอเบลิสก์ได้ ส่วนเกรย์คาสเซิลก็จะได้พื้นที่แนวหน้าที่ปลอดภัย หลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาหรือว่ารอคอยเวลาในการโจมตีกลับ พวกเขาก็จะมีความได้เปรียบอยู่ในมือ


เพราะว่ามนุษย์ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหมอกแดงในการเคลื่อนไหวเหมือนอย่างพวกปีศาจ


ในตอนที่ขุมกำลังทางเทคโนโลยีพัฒนาไปจนถึงระดับหนึ่ง ขอบเขตการโจมตีของอาวุธก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” ทุกคนต่างเอามือขึ้นมาทาบบนหน้าอกแล้วพูดพร้อมกัน


หลังการประชุมจบลง โรแลนด์เดินกลับมายังห้องทำงาน ชาแดงที่ไนติงเกลชงเอาไว้ให้วางอยู่บนโต๊ะเขาเรียบร้อย


“เหนื่อยหน่อยนะเพคะ”


เธอยังคงมีสีหน้าที่ดูสบายใจ ปลาแห้งที่คาบอยู่ในปากแสดงให้เห็นว่าอารมณ์ของเธอนั้นถือว่าดีทีเดียว


“เอ่อ…ขอบใจนะ” โรแลนด์ยกแก้วชาที่ส่งกลิ่นหอมขึ้นมา จู่ๆ ภายในหัวพลันคิดถึงคำพูดของอันนาเมื่อคืนนี้ขึ้นมา ทำให้เขาอดเหลือบมองดูไนติงเกลไม่ได้


อันนาไม่ได้พูดให้ฟังว่าข้อตกลงที่ว่ามันคืออะไร แต่ว่างานราชาภิเษกในตอนเช้ากับงานเลี้ยงแต่งงานที่จัดขึ้นในตอนเย็น ไนติงเกลก็อยู่กับทุกๆ คน ดูยังไงก็ไม่เหมือนว่าเธอได้ทำ ‘ข้อตกลง’ สำเร็จเลย


ความสงสัยอันนี้ทำเอาเขารู้สึกงุนงง


ยิ่งไปกว่านั้นโรแลนด์ยังแอบรู้สึกว่าถ้าถามไปตรงๆ ทั้งสองคนคงไม่มีทางให้คำตอบที่แท้จริงกับเขาแน่


“ทำไมหรือเพคะ?” ทันใดนั้นเอง เสียงไนติงเกลพลันดึงขึ้นข้างหูเขา “วันนี้หม่อมฉันดูสวยเป็นพิเศษเหรอเพคะ?”


“ไม่…เอ่อ” เขารีบดื่มชาลงไปเพื่อปกปิดสีหน้าตัวเอง “ข้าหมายถึง ก็ไม่เลว..”


“อย่างนั้นมัน ‘สวย’ หรือ ‘ไม่สวย’ ล่ะเพคะ?” อีกฝ่ายโน้มตัวลงมาพร้อมกับเอาหน้าเข้ามาใกล้เขา โรแลนด์ได้กลิ่นหอมจากผมของเธอ “พระองค์ใจเต้นแล้วนะเพคะ”


ยังไม่ทันที่เขาจะตอบอะไร ไนติงเกลก็หายตัวไปนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้นอน พร้อมกับคาบปลาแห้งเอาไว้ในปากด้วยสีหน้าทะเล้น


โรแลนด์รู้ว่าเธอกำลังหยอกเขาอยู่ เขาส่ายหัวออกมาอย่างเหนื่อยใจ แต่ขณะเดียวกับก็รู้สึกดีใจอยู่เหมือนกัน


ไม่ว่ายังไง อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่เขามั่นใจได้


อีกฝ่ายยังคงเป็นไนติงเกลที่เขาคุ้นเคยคนนั้น


……


บนท้องฟ้าเหนือดินแดนรกร้างในดินแดนตะวันตก


“ความเร็วตอนนี้เท่าไร?”


ไม่มีคำตอบ


หูของไลต์นิ่งมีแต่เสียงลมที่พัดอย่างรุนแรง แม้แต่จะอ้าปากก็ยังทำได้ลำบากมาก ถ้าฝืนพูดต่อไป เกรงว่าลิ้นคงต้องฉีกเหมือนถูกมีดบาดแน่ เธอจำต้องใช้ ‘การสอดประสานของพลังเวทมนตร์’ ออกมา


พริบตานั้นเอง ความหนาวเย็นที่เสียดเข้าไปในกระดูกก็หายไปทันที เสียงลมก็เบาลงจนอยู่ในระดับที่ยอมรับได้


“เมซี่ ความเร็วตอนนี้เท่าไร?” เธอถามอีกครั้ง


“เดี๋ยวข้าดูก่อนนะจิ๊บ!” อีกฝ่ายโผล่หัวออกมาจากในคอเสื้อของเธอ “น่าจะประมาณ 2 เท่าของเหยี่ยวเมอร์ลินจิ๊บ”


น่าจะเป็นเพราะสัญชาติญาณของสัตว์ เมซี่จึงมีความสามารถในการรับรู้เรื่องความเร็วที่ยอดเยี่ยมมาก เมื่อเทียบกับการคำนวนความเร็วจากพลังเวทมนตร์ที่ถูกใช้ออกไปแล้ว การพาเธอมาบินด้วยดูจะมีความสะดวกมากกว่า


“300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเหรอ?” ไลต์นิ่งถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ในตอนที่เหยี่ยวเมอร์ลินพุ่งไปหาเหยื่อของมันจากบนฟ้า ความเร็วของมันจะเร็วถึง 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ยากจะมีเป้าหมายไหนที่สามารถหลบการโจมตีนี้ไปได้ ตอนนี้เธอบินได้เร็วกว่าเหยี่ยวเมอร์ลินมาก แต่ภายในใจของเธอกลับไม่รู้สึกดีใจเท่าไร


300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง…นี่คือขีดจำกัดในการบินโดยไม่ใช้การสอดประสานของพลังเวทมนตร์


หลังจากที่วิวัฒนาการความสามารถขึ้นมา เธอก็ใช้เวลาอย่างมากในการทำความคุ้นเคยกับความสามารถใหม่ของตัวเอง แล้วก็พยายามควบคุมเทคนิคการใช้การสอดประสานกันของพลังเวทมนตร์ พูดอีกอย่างก็คือขอเพียงเธออดทนต่อความไม่สบายต่างๆ ในขณะที่บินด้วยความเร็วสูงได้ เธอก็จะสามารถรักษาระดับการใช้พลังเวทมนตร์ให้อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดได้


ในด้านนี้โรแลนด์เองก็ได้ทำอุปกรณ์ให้เธอใหม่ทั้งหมด อย่างเช่นแว่นตากันลมที่ตัวเลนส์เป็นทรงโค้ง ชุดรักษาอุณหภูมิสองชั้นและกระเป๋าสะพายหลังที่มีแรงต้านน้อยกว่าเดิม เรียกได้ว่าลดภาระด้านน้ำหนักที่เธอต้องแบกรับไปได้มาก


สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอทำลายสถิติในการบินของตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านกายภาพที่ยังมีอยู่ ตอนนี้ดูเหมือนความเร็ว 300 กิโลเมตรจะเป็นขีดจำกัดที่เธอยากจะข้ามไปได้


และทันทีที่ใช้การสอดประสานของพลังเวทมนตร์ พลังเวทมนตร์เธอก็จะถูกใช้ออกไปอย่างรวดเร็ว


ไลต์นิ่งรู้สึกอิจฉาร่างกายอันแข็งแกร่งของแม่มดอมนุษย์ขึ้นมา


แต่แน่นอน นับตั้งแต่ที่ตื่นรู้ความสามารถขึ้นมา เธอก็รู้ว่าสิ่งที่เธอสามารถพึ่งได้นั้นมีเพียงแค่ความพยายามฝึกฝนเท่านั้น


บางทีหลังกลับไปเมืองเนเวอร์วินเทอร์ เธอคงต้องไปคำแนะนำจากโลก้าเรื่องการฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งแล้วล่ะ


“ระวังจิ๊บ!” จู่ๆ เมซี่ก็ตะโกนออกมาจากในอกของเธอ “พวกเราอยู่ห่างจากซากเมืองทาคิลาไม่ถึง 100 กิโลเมตรแล้วจิ๊บ!”


“อ้อเหรอ…” ไลต์นิ่งหลับตาลง ก่อนจะพยายามสัมผัสถึงปริมาณเวทมนตร์ที่ยังคงเหลืออยู่ในร่างกาย จากนั้นเธอจึงยิ้มมุมปากขึ้นมา “อย่างนั้นเราไปทำให้พวกปีศาจมันตกใจเล่นหน่อยดีกว่า”


หลังควบคุมพลังใหม่แล้ว สุดท้ายโรแลนด์ก็ตกลงที่จะให้เธอออกไปหาของกิน….ไม่สิ ออกไปสอดแนมต่างหาก ต่อให้เธอใช้ความเร็วในการบินที่ต่ำที่สุด เธอก็ยังเร็วกว่าพวกอสูรสยองที่โง่เง่าพวกนั้นมาก ขอเพียงจัดสรรพลังเวทมนตร์ให้ดี โอกาสที่เธอจะเจอกับอันตรายก็เรียกได้ว่าน้อยมาก


แต่ไลต์นิ่งไม่ได้พึงพอใจแต่เพียงเท่านี้ เธอยังจำการสำรวจดินแดนรกร้างครั้งแรกเมื่อสามปีก่อนได้ ตอนที่เธอถูกซากปีศาจที่ถูกแช่แข็งอยู่ในซากโบราณสถานทำให้ตกใจกลัวจนวิญญาณแทบจะออกจากร่าง ในฐานะที่เธอเป็นนักสำรวจ แต่เธอกลับพ่ายแพ้ให้กับความกลัว ความอับอายตรงนี้จำเป็นต้องทำการชดเชย!


ความหวาดกลัวเกิดจากความไม่รู้ สำหรับเธอในตอนนี้แล้ว ปีศาจมันไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่น่ากลัวอีกต่อไป


“ไลต์นิ่ง เปิดโหมดรบเต็มที่!”


เมื่อได้ยินประโยคนี้ เจ้านกพิราบก็รีบหดหัวเข้าไปในคอเสื้อทันที


สาวน้อยเริ่มเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะมีความคุ้มครองของการสอดประสานพลังเวทมนตร์อยู่ แต่เธอก็ยังสัมผัสได้ถึงเสียงลมที่ดังมากขึ้นเรื่อยๆ พื้นสีขาวกลายเป็นเหมือนน้ำนมข้นๆ ที่ไหลไปข้างหลังเร็วขึ้น


จนกระทั่งวินาทีนั้นมาถึง


หลังมีเสียงดังสนั่นขึ้นมา ทุกสิ่งรอบตัวพลันเงียบลง


เธอเหมือนไปปลดปล่อยพันธนาการทุกอย่างทิ้งไป ลมและหิมะได้ถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง ท้องฟ้ากลายเป็นสนามเด็กเล่นให้เธอได้โบยบินอย่างอิสระ


หากใช้คำพูดของฝ่าบาทล่ะก็ เธอได้กลายเป็นผู้นำทางของเสียงไปแล้ว


ไม่ว่าจะทำซ้ำกี่ครั้ง ไลต์นิ่งก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย


เธอถึงขนาดรู้สึกว่าตัวเองเกิดมาเพื่อสิ่งนี้


หลังจากนั้นไม่กี่นาที ซากเมืองทาคิลาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ


แต่สิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจก็คือ พื้นดินที่อยู่รอบๆ ซากเมืองเหมือนจะเปลี่ยนสีไปจากเดิม ดูเผินๆ แล้วเหมือนพื้นโคลนที่เกิดขึ้นหลังจากหิมะละลาย แต่ในตอนที่เธอมองลงไปดีๆ เธอถึงได้พบว่ามันคือก้อนเนื้อและเลือดที่ผสมกันเละเทะไปหมด! ฝูงสัตว์อสูรที่ดำทะมึนแห่กันเข้ามาหาเมืองทาคิลาจากอีกด้านหนึ่ง ราวกับสายน้ำที่โถมทะลักเข้ามายังแนวป้องกันของพวกปีศาจ


จากนั้นร่างกายพวกมันก็หลายสลายกลายเป็นชิ้นๆ

 

 

 


ตอนที่ 1038

 

ศัตรูที่มาจากขุมนรก

โดย

Ink Stone_Fantasy

“นี่มัน…” ไลต์นิ่งลืมตาโต แม้แต่ความเร็วในการบินก็ช้าลง


พวกสัตว์อสูรที่พากันถาโถมเข้าไปมีจำนวนนับหมื่นตัว พวกมันกลายเป็นเหมือนพรมสีดำที่ปูอยู่บนพื้นหิมะ ร่างกายที่ขยับเขยื้อนของมันทำให้เมซี่อดถึงนึกพวกมดที่รุมกินซากศพขึ้นมาไม่ได้


แต่ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกมันครั้งนี้ไม่ใช่ซากศพ หากแต่เป็นปีศาจที่ดุร้ายเช่นเดียวกัน


สัตว์ประหลาดโครงกระดูกที่มีร่างกายใหญ่โตกว่าหอคอยในเมืองทาคิลาค่อยๆ ขยับเขยื้อนอยู่ท่ามกลางฝูงสัตว์อสูร ดูแล้วเหมือนกำลังถูกดันโดยฝูงศัตรูที่กำลังโถมโจมตีเข้ามา แต่ใต้เท้าของมันแต่ละข้างล้วนแต่มีซากศพของสัตว์อสูรที่ถูกเหยียบจนเละอยู่หลายตัว เมื่อเทียบกับขนาดร่างกายอันใหญ่โตของมันแล้ว ขาที่คดงอทั้งสี่ข้างของมันนั้นเป็นเหมือนกิ่งไม้เล็กๆ แต่สาวน้อยรู้สึกถ้าเธอลงไปดูใกล้ๆ ล่ะก็ เกรงว่าขาทั้งสี่ข้างของเจ้าสัตว์ประหลาดคงจะต้องใหญ่กว่าหอนักเวทย์ของอกาธาแน่


ปีศาจคุ้มคลั่งจำนวนมากเกาะอยู่ตรงส่วนท้องของสัตว์ประหลาด แล้วก็ปาหอกลงไปใส่พวกสัตว์อสูรที่อยู่ด้านล่าง ส่วนพวกสัตว์อสูรก็ทำได้เพียงแต่บุกตะลุยไปข้างหน้าโดยไม่สามารถทำอะไรพวกปีศาจได้


‘ปรสิตเวทมนตร์’


เธอนึกถึงคำเรียกนี้ขึ้นมาทันที


ปีศาจรูปร่างแปลกประหลาดที่อยู่ระหว่างสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต มันไม่มีรูปร่างที่แน่นอน เป็นเหมือนก้อนเนื้อที่อาศัยอยู่ระหว่างโครงกระดูกกับหินสีดำ แล้วก็อาศัยพลังเวทมนตร์ในการเคลื่อนไหวหรือโจมตี มีความเป็นไปได้สูงว่าปีศาจแมงมุมที่ปรากฏตัวตรงเนินนอร์ธบาวด์ตอนที่ทำศึกครั้งที่แล้วกับปีศาจขนาดยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้อาจจะเป็นปีศาจชนิดเดียวกัน


ไม่ว่าจะมีเขี้ยวเล็บแหลมคมแค่ไหน หากชนใส่ก้อนหินก็ล้วนแต่มีจุดจบแบบเดียวกัน สัตว์อสูรที่ไม่รู้จะทำยังไงจึงได้แต่ต้องวิ่งอ้อมเจ้าสัตว์ประหลาดโครงกระดูกนั้นไป แล้วโจมตีเข้าใส่กองกำลังปีศาจที่อยู่ด้านหลังแทน


เมื่อไม่มีปีศาจยักษ์ที่เป็นเหมือนกำแพงคอยปกป้อง ตามหลักแล้วมันก็ควรจะเป็นศึกที่ยากลำบาก


บางทีถ้าอยู่ต่อหน้ามนุษย์ที่ไม่มีอาวุธตอบโต้ พวกสัตว์อสูรที่อยู่ในสภาพคุ้มคลั่งอาจจะได้เปรียบ แต่เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าปีศาจคุ้มคลั่งที่มีทั้งความเร็วและพละกำลังที่เหนือมนุษย์ เห็นได้ชัดว่าพวกสัตว์อสูรไม่สามารถทำอะไรพวกปีศาจได้ ถึงแม้ในหมู่พวกมันจะมีสัตว์อสูรพันธุ์ผสมอยู่หลายตัว แต่ทางฝั่งปีศาจก็เอาผู้นำนรก อสูรแห่งสงครามกับปีศาจแมงมุมมาวางไว้ตรงแนวหน้าเหมือนกัน ความเร็วในการสังหารพวกพันธุ์ผสมของพวกมันแทบจะไม่ได้ด้อยกว่ากองทัพที่หนึ่งเท่าไรเลย เห็นๆ อยู่ว่าพวกสัตว์อสูรนั้นมีจำนวนมากกว่าพวกปีศาจอยู่หลายเท่า แต่พวกปีศาจกลับเป็นฝ่ายที่ครองความได้เปรียบ


น่าจะเป็นเพราะความเร็วในการบินที่ช้าลง เมซี่จึงโผล่หัวออกมาใหม่ เมื่อได้เห็นภาพที่น่าตกใจที่อยู่ตรงหน้า เธอจึงอดสูดปากขึ้นมาไม่ได้


“สัตว์อสูรกำลังสู้กับพวกปีศาจเหรอจิ๊บ?”


“ปีนี้ที่เนเวอร์วินเทอร์เงียบสงบก็น่าจะเป็นเพราะเหตุนี้” ไลต์นิ่งทำเป็นพูดอย่างสุขุม “แต่มีจุดหนึ่งที่แปลกอย่างมาก แม่มดของทาคิลาเคยบอกเอาไว้ว่าพวกสัตว์อสูรมักจะบุกเข้ามาเพราะมรดกของพระเจ้าไม่ใช่เหรอ? ถ้าข้าเป็นราชาของพวกปีศาจ ข้าไม่มีทางเอามรดกมายังที่ๆ รกร้างว่างเปล่าแบบนี้แน่ พูดอีกอย่างก็คือพวกมันแห่มาที่ีนี่เพราะเหตุผลอื่น เสียดายที่ซิลเวียมากับพวกเราไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงได้ข้อมูลกลับไปเยอะแน่”


เมซี่เหลียวหน้ามาถาม “อย่างนั้นเจ้ายังจะสร้างเซอร์ไพรส์ให้พวกมันอยู่หรือเปล่า?”


“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว!” ไลต์นิ่งตอบอย่างไม่ลังเล “ตอนนี้พวกเราอยู่ใกล้ซากเมืองทาคิลาขนาดนี้ อสูรสยองยังไม่เข้ามาหาพวกเราเลย นี่ก็แสดงกว่าพวกมันกำลังทุ่มสมาธิอยู่กับพวกสัตว์อสูรอยู่ สำหรับพวกเราแล้ว นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีอย่างมาก”


ปีศาจกับพวกสัตว์อสูรนั้นคือศัตรูของฝ่าบาทโรแลนด์อย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าหากสามารถทำให้สัตว์ประหลาดพวกนี้เสียหายมากขึ้นได้ มันก็จะเป็นผลดีต่อแผนการรบหลังฤดูใบไม้ผลิอย่างแน่นอน


เธอค่อยๆ คำนวณพลังเวทมนตร์ภายในร่างกาย ถ้าหากบินด้วยความเร็วเหนือเสียง เธอน่าจะบินได้ประมาณ 3 – 4 นาที เพื่อความปลอดภัยแล้ว ถ้าเหลือพลังเวทมนตร์เอาไว้ครึ่งหนึ่งสำหรับหนีน่าจะเรียกได้ว่าปลอดภัยแน่นอน ส่วนพลังเวทมนตร์ที่เหลือสำหรับบินอีกสองนาทีก็ใช้สำหรับป่วนแนวป้องกันของพวกปีศาจ ดังนั้นเธอจึงต้องเลือกตำแหน่งที่จะบินลงไปดีๆ


สาวน้อยมองไปยังสัตว์ประหลาดโครงกระดูก


เจ้าตัวประหลาดขนาดยักษ์นี้มองไกลๆ แล้วเหมือนกับม้านั่งที่มีขาบิดเบี้ยว ร่างกายของมันเหมือนทำขึ้นมาจากกระดูกหินสีดำ ดูแล้วคล้ายกับเครื่องร่อนที่ฝ่าบาททรงสร้างขึ้นมาตรงชายฝั่งทะเลตะวันออก เรียกได้ว่าเป็นเป้าหมายที่เหมาะแก่การที่เธอจะบินโฉบลงไป


จากผลการทดสอบความสามารถ ยิ่งเธออยู่ห่างจากพื้นน้อยเท่าไร ความเสียหายที่เกิดขึ้นในตอนที่บินก็จะยิ่งมาก ถ้าสามารถบินเฉียดศัตรูไปได้ อย่างนั้นปีศาจคุ้มคลั่งที่อยู่บนท้องของสัตว์ประหลาดโครงกระดูกจะต้องได้รับผลกระทบไม่น้อยแน่นอน


หลังจากที่ตื่นรู้เป็นแม่มดชั้นสูง เธอก็ถูกฝ่าบาทบังคับเรียนเรื่องทฤษฎีในการบินด้วยความเร็วสูงเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเธอยังเข้าใจด้วยว่าในตอนที่เธอบินทะลุกำแพงเสียง พลังที่ระเบิดออกมามันมีความเกี่ยวข้องกับขนาดตัวอย่างมาก ถ้าสมมติคนที่บินด้วยความเร็วเหนือเสียงในวันที่ตื่นรู้วันนั้นคือเมซี่ เกรงว่าชาวเมืองทั้งเมืองคงได้เจอกับหายนะแน่


ด้วยเหตุนี้สาวน้อยจึงไม่ได้คิดที่จะสร้างความเสียหายให้กับปีศาจ


เธอเพียงแค่อยากให้ปีศาจมันหยุดโจมตีลงชั่วคราวก็พอ


เนื่องจากพื้นที่ด้านล่างของสัตว์ประหลาดโครงกระดูกเหมือนเป็นพื้นที่แห่งความตาย พวกสัตว์อสูรขึ้นได้แต่ต้องวิ่งอ้อมมันไป ทำให้ความเร็วของพวกมันลดลงอย่างมาก หากไม่มีเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์นี้คอยยืนขวางอยู่ พวกปีศาจที่ยืนอยู่ด้านหลังคงต้องเจอกับความกดดันอย่างหนักแน่


ต่อให้สุดท้ายแผนการไม่สำเร็จ มันก็ไม่ได้มีผลกระทบใดๆ กับเธอ


หลังทำการตัดสินใจแล้ว ไลต์นิ่งก็จับหัวเมซี่ยัดกลับเข้าไปในอกเสื้อ จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปหาสัตว์ประหลาดโครงกระดูกตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด!


วินาทีนั้นเอง เธอโยนสิ่งที่โรแลนด์เคยสั่งเอาไว้ทิ้งไปจนหมด


ไม่มีใครไล่ตามเสียงได้ นี่คือเวลาที่โชว์เทคนิคการบินที่แท้จริงให้อีกฝั่งได้ดูแล้ว!


ระยะห่าง 4 – 5 กิโลเมตรหดสั้นลงในพริบตา ในตอนที่เธอมาถึงด้านบนสนามรบ เธอก็ได้เข้ามาสู่ดินแดนที่ไร้ซึ่งเสียงแล้ว


แต่ว่านั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอคนเดียวเท่านั้น


ทว่าสำหรับพวกปีศาจ ตอนนี้จู่ๆ พวกมันก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องดังครืนๆ ลงมาจากบนฟ้า อีกทั้งยังลงมาใกล้พื้นเรื่อยๆ นั่นคือผลจาการปะทะกันของคลื่นกระแทกที่เกิดขึ้นก่อนและหลัง ในตอนที่ไลต์นิ่งบินเลียดเหนือสัตว์ประหลาดโครงกระดูกขึ้นไป 5 เมตร คลื่นกระแทกที่ระเบิดออกมาทำให้หิมะที่กองอยู่บนตัวมันกลายเป็นหมอกสีขาวฟุ้งกระจายขึ้นมาทันที จนตั้งมันทั้งตัวแทบจะถูกหมอกสีขาวปกคลุมจนมิด  เสียงระเบิดที่ดังสนั่นแก้วหูทำให้ปีศาจส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด!


แต่เธอไม่ได้เหลียวกลับไปมองผลงานตัวเองแม้แต่น้อย เพราะบนสนามรบยังมีเป้าหมายแบบเดียวกันรอเธออยู่อีก 5 ตัว


ในตอนที่เธอกำลังจะบินเข้าไปหาสัตว์ประหลาดโครงกระดูกตัวที่ 3 จู่ๆ สถานการณ์พลันเปลี่ยนไป!


บนแผ่นหลังอันราบเรียบของสัตว์ประหลาดพลันมีปีศาจรูปร่างเหมือนคนปรากฏขึ้นมาตัวหนึ่ง ไม่มีใครทันสังเกตเห็นว่ามันมาจากไหน แต่วินาทีที่มันยืนอยู่ตรงนั้น มันได้ดึงเอาความสนใจทั้งหมดของเธอไปที่ตัวมัน ถึงแม้ระยะห่างของเธอกับมันจะอยู่ไกลกันมาก แต่ไลต์นิ่งกลับรู้สึกตัวแข็งขึ้นมา แม้แต่นิ้วมือก็ยังสั่นขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้


มันคือปีศาจตัวหนึ่ง แต่มันกลับมีรูปลักษณ์ภายนอกที่เหมือนคนมาก นอกจากผิวหนังที่เป็นสีน้ำเงินแล้ว ส่วนที่เหลือของมันแทบจะไม่ต่างจากมนุษย์เลย หน้าตาของมันดูดีอย่างมาก ดวงตาสีเหลืองทองของมันก็ดูลึกกว่าความขุมนรกที่ลึกที่สุด เพียงแค่สบตากับมัน ไลต์นิ่งก็เหมือนเป็นกบที่ถูกงูพิษจ้องมองดูอยู่ เธอรู้สึกได้ถึงความรู้สึกหวาดกลัวตามสัญชาตญาณจากก้นบึ้งหัวใจ


นี่มันตัวอะไร!


เธอสามารถรับรู้ได้ถึงพลังเวทมนตร์ที่แผ่ออกมาจากตัวอีกฝ่าย ระดับความแข็งแกร่งของพลังเวทมนตร์ของมันทำให้โลกรอบๆ ตัวมันเกิดการบิดเบี้ยวขึ้นมา ความรู้สึกกดดันที่ว่ารุนแรงจนเหมือนจะจับต้องได้ เห็นๆ อยู่ว่ากำลังบินด้วยความเร็วสูง แต่เธอกลับเหมือนตกลงไปโคลนเหนียวๆ และค่อยๆ เข้าไปใกล้มันอย่างช้าๆ


หนี!


รีบหนีเร็ว!


จิตสำนึกภายในหัวกำลังเตือนเธอว่าอย่าบินเข้าไปต่อ เธอต้องรีบหนีไปตอนนี้!


แต่ร่างกายของเธอกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าเธอไม่สามารถควบคุมมันได้


ส่วนปีศาจตัวนั้นก็ค่อยๆ ยกแขนขวามาทางเธอ


ทันใดนั้นเอง ตรงหน้าอกของเธอพลันมีความรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงแผ่ขึ้นมา!


เหมือนกับว่ามีคนเอาตะปูทิ่มเข้าไปในร่างกายของเธอ


เมซี่เป็นคนทำ!


หลังความเจ็บปวดไหลไปทั่วทั้งร่างกาย แขนขาของเธอก็กลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของเธออีกครั้ง แม้แต่เวลาก็กลับมาเดินเป็นปกติด้วย


ไลต์นิ่งเชิดหน้าบินขึ้นไปด้านบนทันที จากนั้นเธอใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดบินหนีอีกฝ่ายกลับไปยังเมืองเนเวอร์วินเทอร์

 

 

 


ตอนที่ 1039

 

จดหมายที่ต้องตัดสินใจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฝ่าบาท นี่คือสถานการณ์ทางการเงินของสัปดาห์นี้พ่ะย่ะค่ะ” บารอฟพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นพร้อมกับเก็บรายงานที่อยู่ในมือ “สรุปแล้วก็คือตัวเลขด้านต่างเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้พ่ะย่ะค่ะ จะบอกว่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็คงจะได้ หากเป็นเมื่อก่อน นี่เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์เลยพ่ะย่ะค่ะ!”


“อื้อ ทำดีมาก” โรแลนด์นั่งพิงไปบนเก้าอี้ สีหน้าของเขาดูเยือกเย็นกว่าเมื่อเทียบกับสีหน้าของอีกฝ่าย เขาย่อมต้องรู้ว่าคำว่าปาฏิหาริย์ที่บารอฟพูดมานั้นมันหมายความว่าอะไร การที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเดือนแห่งปีศาจ แถมประชากรและเศรษฐกิจยังเติบโตมากกว่าฤดูใบไม้ร่วงและใบไม้ผลิ ราวกับว่าหิมะที่อยู่นอกหน้าต่างนั้นไม่ได้มีผลอะไรเลย สำหรับคนในยุคสมัยนี้แล้ว รายงานฉบับนี้เรียกได้ว่าทำลายความรู้ที่พวกเขามีอยู่แต่เดิมลงจนหมด


เพราะเมื่อฤดูหนาวมาถึง กิจกรรมของมนุษย์นั้นต้องเปลี่ยนจากการเก็บสะสมมาเป็นการใช้ออกไปเหมือนกับการจำศีล การที่เศรษฐกิจไม่ดีจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เมืองชายแดนเมื่อก่อนนี้เรียกได้ว่าถูกละทิ้งไม่มีใครสนใจ แม้แต่คนก็ยังไม่มี แล้วจะไปมีการค้ากับการผลิตได้อย่างไร


แต่เขากลับรู้ว่าการจำศีลจริงๆ แล้วมีไว้เพื่อปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ ที่มนุษย์สามารถยืนอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้ก็เป็นเพราะพวกเขามีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ซึ่งเรือซีเมนต์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ลม แล้วก็ไม่มีความเหนื่อยล้านั้นได้ทำลายอุปสรรคเรื่องที่มีหิมะทับถมลง ระบบทำความร้อนกับหน่วยพยาบาลก็แก้ปัญหาความกังวลให้กับผู้คน การทำงานอยู่ในโรงงานก็ไม่จำเป็นต้องกลัวลมหนาว ในตอนที่ข้อจำกัดของธรรมชาติค่อยๆ ถูกขยายออกไป สุดท้ายช้าเร็ววันนี้ก็ต้องมาถึง


นอกจากนี้พิธีราชาภิเษกกับการสถาปนาเมืองหลวงใหม่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัวเลขต่างๆ ในสถิติเพิ่มขึ้น ผู้คนมักจะชอบเดินทางมายังสถานที่ที่มีความคึกคัก ไม่ว่าจะกี่พันปีจุดนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนไป


ตอนนี้แม่น้ำแดงที่ดูกว้างขวางเริ่มดูแน่นขึ้นมานิดหน่อย เมื่อปีที่แล้วเรือซีเมนต์ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ผลิตมามีมากกว่า 500 ลำ รูปแบบของมันก็เปลี่ยนแปลงไปหลายรูปแบบ จากตอนแรกที่เป็นแค่เพียงเรือขนส่งแบนๆ เท่านั้น ตัวเรือที่สามารถขนย้ายสินค้าและผู้คนได้อย่างรวดเร็วผ่านทางรูที่ทำเอาไว้นั้นได้รับคำชื่นชมจากสมาคมหอการค้าใหญ่ๆ ไม่น้อย บวกกับโอกาสทางการค้าจากการที่มีคนจำนวนมากอพยพมา จึงทำให้ท่าเรือของเมืองต่างๆ มีเรือซีเมนต์ปรากฏอยู่เต็มไปหมด


หลังจากที่ข่าวขึ้นครองราชย์แพร่กระจายออกไป ทุกๆ วันจะมีคนเดินทางมาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ผ่านทางแม่น้ำประมาณ 500 – 600 คน เมื่อหนึ่งปีก่อนบารอฟคิดว่าประชากร 1 แสนคนนั้นเป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้ยาก แต่ตอนนี้ประชากรรวมภายในดินแดนตะวันตกมีเกือบ 2 แสนคน โดย 90% ในนั้นอาศัยอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์


ซึ่งนี่ก็ทำให้เมืองหลวงใหม่นั้นแตกต่างไปจากเมืองอื่นๆ ในสมัยก่อน มันไม่มีทั้งกำแพงเมืองอันใหญ่โต แล้วก็ไม่มีการแบ่งเขตเป็นเมืองชั้นนอกเมืองชั้นใน หากแต่ใช้ถนนที่เป็นวงๆ ในการแบ่งเมืองเป็นชั้นๆ ขยายออกไปเรื่อยๆ เหมือนกับป่าที่สร้างขึ้นมาจากตึกที่อยู่อาศัยอย่างไรอย่างนั้น


เนื่องจากรูปแบบของบ้านเรือนนั้นคล้ายๆ กัน แล้วก็ไม่มีสิ่งก่อสร้างที่ดูวิจิตรตระการตา ทำให้เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อยเหมือนกัน


แต่ว่าเมื่อคำพูดเหล่านี้ไปถึงหูโรแลนด์ เขากลับมองว่ามันเป็นคำชมอย่างหนึ่ง


ถ้าไม่เป็นเพราะแบบนี้ เมืองเนเวอร์วินเทอร์จะรองรับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของประชากรได้อย่างไร? เพราะประชากร 2 แสนคนนั้นเท่ากับจำนวนประชากรรวมของเมืองอื่นๆ ถ้าขืนยังจะให้สร้างกำแพงเมืองขึ้นมาล้อมเอาไว้ แล้วสร้างโบสถ์ใหญ่ สร้างหอนาฬิกากับพระราชวังขึ้นมาอีก เกรงว่าคงต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีแน่


ประชากรคือฐานของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคของอุตสาหกรรม เป็นสิ่งที่รับประกันว่าจะสามารถขยายโรงงานออกไปได้มากขึ้น แล้วก็เป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง ส่วนเรื่องความสวยงามอะไรนั้นเขาไม่เคยคิดถึงมันเลยแม้แต่น้อย


พูดอีกอย่างก็คือสำหรับเขาแล้ว ปล่องควันที่ปล่อยควันร้อนๆ ออกมานั้นยังสวยงามกว่าพระราชวังเสียอีก


เมื่อคิดถึงความล่าช้าในการแพร่กระจายของข่าวสารแล้ว การเจริญเติบโตในปีหน้าน่าจะเร็วจนน่าตกใจมากกว่านี้อีก


“ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจะได้รับรางวัลอย่างที่เจ้าสมควรจะได้”


“การได้เป็นหัตถ์ของพระองค์นั้นถือเป็นรางวัลที่ดีที่สุดของกระหม่อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเพราะแผนการอันชาญฉลาดของพระองค์ กระหม่อมเพียงแต่ทำตามคำสั่งของพระองค์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” บารอฟลูบเคราอย่างภูมิใจ


โรแลนด์ส่ายหัวยิ้มๆ ขึ้นมา “เจ้ายังมีเรื่องอื่นจะรายงานอีกไหม?”


“เอ่อ…พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” หัวหน้าสำนักบริหารหยิบเอาจดหมายสองฉบับออกมาจากในเสื้อ “ถึงแม้จดหมายสองฉบับนี้จะส่งมาที่สำนักบริหาร แต่กระหม่อมคิดว่ามีเพียงพระองค์เท่านั้นที่จะตัดสินพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ”


“โอ้?” โรแลนด์รับเอาจดหมายมา ชื่อคนที่ส่งจดหมายฉบับมานั้นค่อนข้างคุ้นตา เหมือนกับว่าเขาเคยได้จากที่ไหนมาก่อน “เคแกน เฟส?”


“ท่านเคแกนนั้นเป็นปรมาจารย์ด้านการแสดงละครเวทีของเมืองหลวงเก่า เขาเคยพาคณะละครเวทีของตัวเองมาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์เพื่อจะแสดงให้พระองค์ทอดพระเนตรในพิธีราชาภิเษก แต่ตอนนั้นพระองค์ก็ได้ปฏิเสธไปพ่ะย่ะค่ะ” บารอฟพูดเตือนขึ้นมา


โรแลนด์นึกออกทันที ครั้งแรกเขาได้ยินชื่อนี้มาจากวาณิชหญิงมาร์จอรี ตอนนั้นเขาถูกนางถามว่าใครคือคนที่สนิทที่สุดตอนอยู่ที่เมืองหลวง เขาจึงได้พูดชื่อของมือวิเศษฮิวโก้ขึ้นมา ผลคือเขารู้สึกอับอายอย่างมาก และในตอนก่อนที่งานราชาภิเษกจะเริ่มขึ้น เจ้าหน้าที่ของทางสำนักบริหารก็ได้รายงานเขาเรื่องนี้จริงๆ แถมยังได้เอาบทละครมาให้เขาดูด้วย แต่เขากวาดตาดูไปไม่เท่าไรก็ปฏิเสธคำขอของอีกฝ่ายไป เพราะหนังเวทมนตร์ที่โลก้าแสดงนำนั้นเป็นละครสำคัญที่เขาทำการเตรียมตัวมาเป็นเวลานานแล้ว อีกทั้งเขารู้สึกว่าละครรักๆ ใคร่ๆ ที่ไร้รสชาติของอีกฝ่ายนั้นค่อนข้างน่าเบื่อ


“ก่อนเขาไปเขาได้ทิ้งจดหมายฉบับนี้เอาไว้ ถึงแม้กระหม่อมจะรู้ว่าไม่จำเป็นต้องมารบกวนพระองค์ด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้….ทว่าอันที่จริงเขาก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงมายาวนาน พระองค์จะทรง…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสียงของหัวหน้าสำนักบริหารก็เบาลงเรื่อยๆ เหมือนเขาอยากจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ไม่กล้าพูด


โรแลนด์เองก็ฟังออกเหมือนกัน


วันที่ที่ระบุเอาไว้บนจดหมายนั้นผ่านมาเกือบอาทิตย์หนึ่งแล้ว แต่บารอฟกลับเพิ่งเอามาให้ตัวเองตอนนี้ นี่แสดงให้เห็นถึงความลำบากใจของอีกฝ่าย เจ้าชายลำดับที่สี่นั้นไม่ชื่นชอบละครเวทีแบบเดิมๆ การปฏิเสธไปอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ยิ่งเป็นการย้ำชัดในเรื่องนี้ บารอฟคงกลัวว่าเขาจะหงุดหงิด ก็เลยเพิ่งเอามาให้เขาดูในตอนนี้ เพื่อให้เขาได้อ่านจดหมายที่ปรมาจารย์ด้านการแสดงเขียนขึ้นมาหน่อย


โรแลนด์มองออกว่าบารอฟนั้นค่อนข้างเคารพนับถือเคแกน เฟสทีเดียว


พูดอีกอย่างก็คือไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นมาร์จอรีก็ดี หรือหัวหน้าอัศวินก็ดี คนที่มาจากเมืองหลวงเก่าเหมือนจะค่อนข้างให้ความสำคัญกับปรมาจารย์ด้านการแสดงคนนี้ทีเดียว


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นอ่านดูหน่อยก็แล้วกัน


โรแลนด์ยักไหล่ แล้วรับเอาจดหมายมาอ่านดู


เนื้อหาในจดหมายเป็นการสอบถามเกี่ยวกับวิธีทำหนังเวทมนตร์


เคแกนเขียนเอาไว้ในจดหมายว่าตอนแรกเขาไปถามทางคณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์ แต่เมย์กลับบอกว่าทางคณะละครของเธอรับผิดชอบในเรื่องการแสดงเท่านั้น คนที่ทำให้มันกลายเป็นภาพมายาจริงๆ ก็คือสโมสรแม่มด ส่วนเรื่องรายละเอียดนั้นอาจจะถือว่าเป็นความลับ เธอจึงไม่อาจตอบโดยพลการได้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเขียนจดหมายไปสอบถามทางสโมสรแม่มดอีกฉบับ แต่ผลก็คือถูกปฏิเสธกลับมาอย่างรวดเร็ว เหตุผลก็เป็นเพราะห้ามมีการส่งจดหมายโดยตรงภายในเขตปราสาท สุดท้ายเขาจึงได้แต่ต้องไปหาสำนักบริหาร โดยหวังจะให้ทางสำนักบริหารเป็นตัวแทนในการสอบถามให้เขา


ท่าทีที่กัดไม่ปล่อยของอีกฝ่ายนั้นทำให้โรแลนด์ค่อนข้างแปลกใจ ตามปกติแล้ว ยิ่งถ้าเป็นคนที่เป็นผู้นำในสายอาชีพใดอาชีพหนึ่ง เวลาที่ถูกล้มความคิดที่มีอยู่เดิม พวกเขาก็จะยิ่งรู้สึกเสียกำลังใจอย่างมาก แต่ในตัวหนังสือของเคแกนกลับเต็มไปด้วยความปรารถนาที่มีต่อหนังเวทมนตร์ ไม่ได้มีความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังแม้แต่น้อย


“ข้ารู้แล้ว” โรแลนด์นิ่งไปครู่ก่อนจะตอบออกมา “เดี๋ยวข้าจะเขียนตอบเขากลับไปเอง”


เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นละครเวทีหรือหนังเวทมนตร์ก็ล้วนแต่เป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ทั้งหมด เขาไม่มีเวลา แล้วก็ไม่มีสมาธิเหลือที่จะไปถ่ายเรื่องราวความรักในวังแบบเก่าๆ อีก เขาคิดว่าควรจะอธิบายไปตรงๆ เพื่อให้อีกฝ่ายตัดใจซะ


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” บารอฟถอนหายใจออกมา


“แล้วอีกฉบับล่ะ?” โรแลนด์ถามพร้อมกับกางจดหมายออก ในเมื่อเป็นจดหมายที่ส่งมาให้สำนักบริหาร ตัวหัวหน้าสำนักบริหารก็น่าจะคัดเลือกมาแล้ว


“เป็นจดหมายของพ่อค้าคนหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ เขาบอกว่าตัวเองชื่อวิคเตอร์ โลธา”


“ในที่สุดครั้งนี้ก็ไม่ได้มาติดต่อเรื่องถุงนมกับป๊อนคอร์นแล้วเหรอ?” โรแลนด์พูดยิ้มๆ


“พ่ะย่ะค่ะ เขาอยากจะขอซื้อฝ้ายพ่ะย่ะค่ะ” บารอฟพยักหน้า


“ฝ่าย?” โรแลนด์หยุดมือทันที “แต่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ไม่ได้ผลิตของแบบนี้นี่นา”


“ดังนั้นเขาจึงอยากจะจ้างให้คุณหนูลีฟของสโมสรแม่มดผลิตมันขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ” บารอฟตอบ

 

 

 


ตอนที่ 1040

 

 แผนของวิคเตอร์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในฐานะที่เป็นคนที่มีความดีความชอบในเรื่องการผลิตเสบียงมากที่สุด เรื่องราวของลีฟจึงถูกเอาไปวาดลงใน ‘บันทึกของแม่มด’ หนังสือนิทานแบบนี้มีขายอยู่ในตลาด การที่พ่อค้าจากนอกเมืองจะรู้เรื่องราวของเธอจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร


แต่การที่ต้องการจะร่วมมือทำงานด้วยการระบุชื่อมาแบบนี้ เขาเพิ่งจะเคยเจอเป็นครั้งแรก คนในสี่อาณาจักรใหญ่นั้นไม่เหมือนกับพวกฟยอร์ดที่ออกเดินทางไปทั่ว พวกเขาค่อนข้างมีอคติกับแม่มดเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากศาสนจักร แต่ตอนนี้กลับมีคนที่เป็นฝ่ายเข้ามาหาแม่มดเอง โรแลนด์จึงค่อนข้างรู้สึกตื่นเต้น


หลังอ่านจดหมายจบ เขาจึงลูบคางตัวเองแล้วพูดว่า “มาจากดอว์นหรอ…เจ้าน่าจะรู้ที่อยู่ของเขาใช่ไหม?”


“พ่ะย่ะค่ะ” บารอฟพูด “เขามีบันทึกอยู่ในสำนักบริหารพ่ะย่ะค่ะ นอกจากนี้กระหม่อมยังได้เชิญเลดี้บบุ๊คมาตรวจสอบบันทึกการจ่ายภาษีของเขา ก่อนจะพบว่าบันทึกการจ่ายภาษีของเขาสามารถสืบย้อนกลับไปได้ถึงเมื่อ 6 ปีก่อนพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าตอนนี้การค้าหลักๆ ของเขาคือการซื้อขายอัญมณีดิบ แล้วก็มีหนังสัตว์บ้างในบางครั้ง แต่ไม่ได้มีการค้าที่เกี่ยวกับฝ้ายเลยพ่ะย่ะค่ะ”


“น่าสนใจ” โรแลนด์รู้ดีว่าระบบการเก็บภาษีในยุคสมัยนี้นั้นล้าหลังแค่ไหน ทุกที่ต่างก็ใช้วิธีให้เจ้าหน้าที่เก็บภาษีจดบันทึกทีละรายการๆ เมื่อระยะเวลานานขึ้นแม้แต่ตัวคนจดเองก็ยากที่จะจำได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะเอารายการมาเทียบกันเลย นอกจากนี้หากเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเมืองอยู่แล้วก็ค่อนข้างง่ายหน่อย เพราะว่าคนเหล่านั้นจะมีที่นาอยู่ แล้วที่นาก็หนีไปไหนไม่ได้ด้วย แต่ถ้าเป็นพวกพ่อค้าที่เดินทางไปๆ มาๆ พวกเขาเหล่านั้นก็จะมีวิธีการหลบ ‘การขูดรีด’ จากพวกเจ้าเมืองเยอะแยะมากมาย การที่มีบันทึกการจ่ายภาษีทิ้งไว้แบบนี้ก็หมายความว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนซื่อสัตย์น่าเชื่อถือ นับว่าเป็นพ่อค้าที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก


“พาวิคเตอร์เข้ามาที่ปราสาท” เขาวางจดหมายลง “ข้าอยากจะคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวหน่อย”


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”


…..


ไม่นานโรแลนด์ก็ได้เจอกับพ่อค้าคนนี้ภายในห้องรับแขกของปราสาท


เขามีลักษณะพิเศษของคนอาณาจักรดอว์นจริงๆ ผมสีทองอ่อนที่เหมือนกับแอนเดรีย หน้าตาหล่อเหลา ผิวพรรณก็ดูแลเป็นอย่างดี กิริยาท่าทางก็มีความเป็นผู้ดี แค่ดูก็รู้แล้วชาติตระกูลของเขานั้นไม่ธรรมดา


เขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่าคนแบบนี้ต้องวิ่งไปมาระหว่างสองอาณาจักรเพื่อทำการค้าสำหรับยังชีพด้วยเหรอ เพราะต่อให้เป็นการค้ารายการใหญ่ เขาก็สามารถให้ลูกน้องมาเป็นคนจัดการได้ ไม่ใช่ว่าตัวเองต้องมาวิ่งทำการค้าเองแบบนี้ เพราะว่าในยุคสมัยนี้ต่อให้เป็นคนที่รวยแค่ไหน แต่การเดินทางไกลนั้นไม่ใช่เรื่องที่สบายเลย


ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้อธิบายเรื่องนี้ว่าเป็นเพราะการแก่งแย่งกันในตระกูล


เพื่อที่จะหลีกหนีจากการกดขี่ของพี่ชายและพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง เขาจึงจำเป็นต้องออกมาจากบ้านเกิดเพื่อมาทำการค้ายังเกรย์คาสเซิล


ถึงแม้คำอธิบายในส่วนนี้จะยังคลุมเครืออยู่ แต่โรแลนด์ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ เพราะถึงยังไงนั้นมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย เขาไม่ได้สนใจอะไรนัก อีกทั้งไนติงเกลก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร นั่นก็หมายความว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดโกหก


หลังฟังอีกฝ่ายอธิบายจบ โรแลนด์จึงพูดเข้าประเด็นทันที “เจ้าอยากจะให้ลีฟเพาะพันธุ์เมล็ดพันธุ์ฝ้ายขึ้นมาเป็นจำนวนมาก แต่เป้าหมายสุดท้ายกลับเป็นการเปิดร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปแบบใหม่ขึ้นมา แถมยังจะใช้จุดเด่นเรื่องคุณภาพดีราคาถูกมาขยายมันไปทั่วทั้งอาณาจักรเหรอ?”


นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาตัดสินใจเรียกวิคเตอร์เข้ามา เพราะว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดขึ้นมาเอง สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่วิคเตอร์เขียนบอกเอาไว้ในจดหมาย มันก็เหมือนกับการที่มีคนมาเสนอแผนการค้าให้กับคุณ โดยเขาบอกว่ามีเป้าหมายที่จะรวบรวมทุนให้ได้ 1 พันล้าน แต่ตอนนี้ขาดเงินอีก 50 หยวนจากคุณ


“ไม่ใช่แค่ในเกรย์คาสเซิลเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” พ่อค้าหยักหน้า “กระหม่อมได้ทำการคำนวณราคาดูแล้ว สุดท้ายถึงแม้เราจะเอาไปขายในอาณาจักรดอว์น มันก็ยังมีศักยภาพที่จะแข่งขันได้อยู่”


จริงอยู่ที่การทุ่มตลาดนั้นเป็นอาวุธวิเศษในการครองตลาด แต่…มันไม่ได้หมายความจะสำเร็จได้ง่ายๆ “เจ้าจะรับประกันได้ยังไงว่าจะสามารถทำให้มันกลายเป็นสินค้าคุณภาพดีราคาถูกได้?”


“อันดับแรกกระหม่อมต้องการฝ้ายชนิดพิเศษพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” วิคเตอร์พูดอย่างกระตือรือร้น “ในเมื่อคุณหนูลีฟสามารถเพาะข้าวสาลีทองคำที่ให้ผลผลิตมากกว่าเดิม 3 เท่าขึ้นมาได้ อย่างนั้นกระหม่อมคิดว่านางก็น่าจะทำให้ผลผลิตของฝ้ายเพิ่ม 3 เท่าได้เช่นเดียวกัน ถ้าสามารถลดราคาของวัตถุดิบลงมาได้ 1 ใน 3 ของปัจจุบัน อย่างนั้นราคาของเสื้อผ้าก็จะถูกลงอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ”


โรแลนด์ถึงกำหลุดขำออกมา ตรรกะอันนี้ดูแล้วเหมือนจะดี แต่ถ้าคิดดีๆ จะรู้สึกว่ามันน่าขัน การผลิตฝ้ายจำนวนมากนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับลีฟ เมื่อมีหัวใจแห่งป่าของสนับสนุน เวลาที่ใช้ในการเพราะเลี้ยงของเธอก็จะสั้นลงขึ้นไปอีก แต่ปัญหานั้นอยู่ว่าที่ราคาเสบียงภายในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ต่ำขนาดนี้นั้นเป็นเพราะว่ามีการกำหนดราคาเอาไว้ ไม่ใด้เป็นเพราะว่ามันขายไม่ได้ราคา


ถ้าคนไม่มีปัญหาซื้อข้าว อย่างนั้นต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่นอน แต่ถ้าไม่มีฝ้าย คนก็ยังมีปอ มีผ้าหยาบกับหนังสัตว์อยู่


“เอาล่ะ…ต่อให้ลีฟสามารถเพิ่มผลผลิตฝ้ายได้ 3 เท่าจริงๆ อย่างนั้นทำไมข้าถึงต้องเอามันมาขายในราคาต่ำให้เจ้า แทนที่จะเอามันไปขายให้กับพ่อค้าคนอื่นเพื่อเอาเงินเพิ่ม 3 เท่าล่ะ?”


“เพราะกระหม่อมสามารถช่วยพระองค์ประหยัดเงินลงทุนได้ก้อนใหญ่ แล้วก็ยังสร้างงานให้กับชาวบ้านได้มากกว่า 2 พันตำแหน่งพ่ะย่ะค่ะ” วิคเตอร์ไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย “นอกจากนี้พระองค์ยังจะได้เงินภาษีอีกจำนวนมาก ชาวเมืองเองก็จะได้ประโยชน์จากมันด้วย ทุกอย่างนั้นพระองค์ไม่ต้องเหนื่อยลงมาจัดการแม้แต่น้อย ขอเพียงพระองค์มอบหมายให้กระหม่อมเป็นคนจัดการก็พอพ่ะย่ะค่ะ”


ต้องยอมรับเลยว่าคำตอบที่ดูมีความเป็นยุคสมัยใหม่นี้ทำเอาโรแลนด์รู้สึกแปลกใจทีเดียว ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดขึ้นมาว่า “คำพูดพวกนี้….เจ้าเห็นมาจากหนังสือพิมพ์เหรอ?”


“แล้วก็ยังมีประกาศของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ทุกฉบับด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมล้วนแต่อ่านพวกมันอย่างละเอียด ถึงแม้จะมีคำศัพท์อยู่ไม่น้อยที่ตอนแรกรู้สึกอ่านไม่คล่องปาก แต่พวกมันทำให้กระหม่อมได้เห็นความหมายของการค้าในอีกด้านหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” วิคเตอร์เอามือทาบอก “หากกระหม่อมไปเสนอเรื่องการลดราคาแบบนี้กับผู้ปกครองคนอื่น เกรงว่ากระหม่อมคงจะถูกไล่ออกไปจากประตูแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ แต่ถ้าเป็นพระองค์ล่ะก็ กระหม่อมคิดว่ามันอาจจะเป็นจริงได้พ่ะย่ะค่ะ”


นี่นับว่าเป็นวิธีชมแบบใหม่เลยนะเนี่ย….ถ้าเกิดตัวเองไล่เขาอออกไปตอนนี้ นั่นไม่เท่าว่าตัวเองจะกลายเป็น ‘ผู้ปกครองคนอื่น’ อย่างที่เขาว่ามาหรอกเหรอ? โรแลนด์ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “อย่างนั้นเจ้าลองว่าแผนการของเจ้ามาซิ”


หลังจากนั้นวิคเตอร์ก็อธิบายแผนของตัวเองอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี


ความคิดของเขานั้นไม่ซับซ้อน พูดง่ายๆ ก็คือการสร้างระบบธุรกิจที่เอาการเพาะปลูก การถักทอและการขายมารวมกัน ตระกูลโลธานั้นมีประวัติศาสตร์ในการผลิตเสื้อผ้ามาเป็นเวลายาวนาน เรื่องประสบการณ์และเทคนิคในการผลิตนั้นไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงเริ่มดำเนินงานอย่างเป็นทางการ ไม่นานก็จะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้


แต่แน่นอนว่าทุกคนวาดฝันให้สวยหรูได้ ทว่าสิ่งที่ทำให้โรแลนด์ฟังวิคเตอร์พูดต่อไปเรื่อยๆ นั้นเป็นเพราะว่าเขาคิดคำนึงถึงรายละเอียดจำนวนมากมาย เมืองเนเวอร์วินเทอร์นั้นไม่เหมาะแก่การปลูกฝ่าย ด้วยเหตุนี้อุตสาหกรรมส่วนนี้และการถักทอจะไปรวมกันอยู่ที่ดินแดนทางใต้ ที่นั่นมีแสงแดดที่พอเพียง อุณหภูมิทั้งปีค่อนข้างสูง ขณะเดียวกันการอพยพเข้ามาของชาวทะเลทรายยังทำให้มีแรงงานจำนวนมาก เงื่อนไขแต่ละด้านล้วนแต่มีความเหมาะสมอย่างมาก ส่วนเรื่องการตัดเย็บทำเสื้อผ้าก็จะอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ซึ่งมีกำลังซื้อที่สูงกว่า


การลงทุนในช่วงแรกไม่ว่าจะเป็นการเช่าซื้อที่ดิน การจ้างคนมาเพาะปลูก หรือว่าโรงทอและอุปกรณ์ต่างๆ ทางวิคเตอร์จะเป็นคนรับผิดชอบเอง เมืองเนเวอร์วินเทอร์ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงใดๆ แม้แต่น้อย นอกจากเรื่องจัดหาเมล็ดพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงแล้ว ที่เหลือทางเนเวอร์วินเทอร์ก็แค่นั่งรอผลกำไร


นอกจากนี้เนื่องจากวิธีใช้ฝ้ายนั้นมีเพียงแค่อย่างเดียว ทำให้สามารถคำนวณปริมาณการผลิตได้จากปริมาณที่ซื้อเข้ามา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จัดเก็บภาษีได้ง่ายมาก ทำให้ลดภาระของทั้งสองฝั่งไปได้ไม่น้อย


และในรายละเอียดเหล่านี้ จุดที่โรแลนด์ค่อนข้างให้ความสำคัญนั้นมีอยู่สองจุด หนึ่งคือเครื่องมือในการทอคุณภาพสูงที่อีกฝ่ายพูดถึงนั้นสามารถรองรับงานจากผลผลิตฝ้ายที่เพิ่มขึ้น 3 เท่าได้ สองคือตระกูลโลธานั้นมีช่างตัดเสื้อฝีมือเยี่ยมอยู่จำนวนหนึ่ง พวกเขาออกแบบเสื้อผ้าให้เหล่าขุนนางในเมืองกลอรีอยู่บ่อยๆ ทำให้สามารถรับประกันได้ว่าสินค้าจะต้องเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนอย่างแน่นอน นอกจากนี้วิคเตอร์ยังยอมรับว่าหลังจากที่เขาได้ดู ‘หัวใจแห่งหมาป่า’ เขาพบว่าเสื้อผ้าของชาวเมืองเมืองเนเวอร์วินเทอร์นั้นยังเรียบง่ายไปหน่อย ดูแล้วไม่เข้ากับความเป็นเมืองหลวงเลย เขาก็เลยได้ความคิดนี้ขึ้นมา


สองจุดนี้เรียกได้ว่าเห็นหัวใจสำคัญของแผนนี้ เมื่อมีพวกมัน ระบบธุรกิจที่ดูยิ่งใหญ่และมีความทะเยอทะยานนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป หากแต่มีความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จ

 

 

 


ตอนที่ 1041

 

 บาดแผล

โดย

Ink Stone_Fantasy

“บริษัท…” โรแลนด์พูดเสียงเบาๆ


“อะไรพ่ะย่ะค่ะ?” วิคเตอร์งุนงง “หากพระองค์ยังมีข้อสงสัยตรงไหน กระหม่อมอธิบายให้ฟังอีกรอบก็ได้….”


“ไม่ต้องแล้ว” เขาโบกมือ “นี่ถือเป็นแผนที่น่าสนใจจริงๆ อย่างน้อยดูแล้วก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร หากจะทำจริงๆ เจ้าต้องใช้เวลาในการเตรียมเงินลงทุนนานเท่าไร?”


วิคเตอร์ตาเป็นประกายทันที “กระหม่อมรู้อยู่แล้วว่าพระองค์ต้องเข้าใจมันแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ขอประทานอภัยที่กระหม่อมเสียมารยาทนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท หากพระองค์เป็นพ่อค้าล่ะก็ ความสำเร็จของพระองค์จะต้องไม่ด้อยกว่าพวกหอการค้าใหญ่ๆ แน่พ่ะย่ะค่ะ!”


การเปรียบเทียบแบบนี้เหมือนเป็นการลดฐานะราชาให้ต่ำลง แต่โรแลนด์รู้ว่าการที่อีกฝ่ายยกตัวเองให้ไปอยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพเขานั้นก็เท่ากับเป็นการให้การยอมรับในระดับสูงแล้ว


แต่ภายในใจโรแลนด์ตอนนี้กลับมีความคิดอีกอย่างหนึ่ง ‘ นี่มันก็คือบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในโลกยุคหลังไม่ใช่เหรอ?’


เอาเทคโนโลยีมาเอง จ้างแรงงาน จัดการเรื่องการขายและการตลาดเอง รับผิดชอบเรื่องกำไรขาดทุนเอง…เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้ยินแนวคิดเหล่านี้จากปากของคนในยุคสมัยนี้ สิ่งที่แตกต่างจากสมาคมหอการค้าที่สุดก็คือแผนนี้จะรวมเอาการผลิตและการขายเข้าไว้ด้วยกัน พูดง่ายๆ ก็คือคล้ายกันบริษัทเอกชนในยุคสมัยใหม่


บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสที่ดีอย่างมากก็ได้


ในเวลาเกือบ 4 ปีนี้ ดินแดนของเขาพัฒนาไปไกลอย่างมาก แต่มันก็ค่อยๆ เผยให้เห็นจุดอ่อนออกมาเหมือนกัน นั่นก็คือทางสำนักบริหารต้องเป็นคนรับผิดชอบงานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโครงการอะไรก็จำเป็นต้องให้สำนักบริหารเป็นคนควบคุม ตั้งแต่เรื่องกำลังคนไปจนถึงเรื่องงบประมาณ งานที่ยุ่งยากเหล่านี้ได้กินเวลาส่วนใหญ่ของเจ้าหน้าที่ไป เมื่อโครงการต่างๆ มีขนาดใหญ่ขึ้น กำลังเจ้าหน้าที่ภายในสำนักบริหารก็ต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งนี่จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของสำนักบริหารลดต่ำลง


นี่ืถือได้ว่าเป็นปัญหาที่พบเห็นเป็นประจำของ ‘รัฐวิสาหกิจ’ ทันทีที่ตัวเจ้าหน้าที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับกำไรหรือขาดทุน พวกเขาก็จะทำงานตามคำสั่งของราชาโดยไม่คำนึงถึงเรื่องผลตอบแทน ในช่วงแรกมันจะทำให้งานสำเร็จตามความต้องการของเขาได้อย่างรวดเร็ว ส่วนในช่วงหลังมันก็ยังใช้จัดการกับโครงการเชิงกลยุทธ์ที่มีความเสียงสูงเหล่านั้นได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันจะสมบูรณ์แบบ


ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่โรแลนด์ไม่ค่อยให้ความสนใจกับเรื่องอุตสาหกรรมเบาเท่าไร หากแต่พยายามที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมเกษตรในเมืองเนเวอร์วินเทอร์อย่างเต็มที่ นอกจากนี้จะมีแรงงานไม่พอแล้ว สำนักบริหารก็ไม่ได้มีเจ้าหน้าที่มากพอที่จะไปรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่างๆ ด้วย


เพราะการสั่งการนั้นง่าย แค่พูดออกไปประโยคเดียวเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เวลาที่ต้องทำจริงๆ นั้น ต่อให้เป็นการสร้างโรงงานประกอบเครื่องจักรไอน้ำขึ้นมาซักแห่ง เบื้องหลังการทำงานของมันล้วนแต่ต้องใช้แรงงานคนจำนวนมากมาสนับสนุน


แต่ตอนนี้เขามีตัวเลือกใหม่แล้ว


เขายังไม่ทันจะได้ใช้วิธีชักชวนอะไรก็พ่อค้าเขาเพื่อขอลงทุนเอง โรแลนด์ย่อมไม่มีทางปฏิเสธเเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่


ถึงแม้ ‘บริษัท’ นี้จะมีตระกูลพ่อค้าจากนอกอาณาจักรอยู่เบื้องหลัง หลังทำกำไรได้ เงินส่วนหนึ่งจะต้องรั่วไหลออกไปนอกอาณาจักรอย่างแน่นอน แต่ขอเพียงทำให้ส่วนการผลิตของมันอยู่ภายในอาณาจักรเกรย์คาสเซิลได้ ปัญหาเรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย


หลังบรรลุความต้องการในขั้นแรกเรียบร้อยแล้ว โรแลนด์ก็เดินออกมาส่งวิคเตอร์ถึงหน้าปราสาทด้วยตัวเอง “เอาไว้เจ้าพร้อมเมื่อไร ข้าคิดว่าเมล็ดฝ้ายพันธุ์ใหม่ก็น่าจะทำการเพาะพันธุ์ออกมาเรียบร้อยแล้ว แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องพูดกับเจ้าให้ชัดเจนก่อน ถ้าต่อไปมีพ่อค้าต้องการทำแบบเจ้า ทางสำนักบริหารก็จะขายเมล็ดพันธุ์ฝ้ายให้พวกเขาในราคาเดียวกัน ยิ่งในตลาดมีสินค้าเยอะ ราคาก็จะยิ่งจับต้องได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจในเรื่องนี้นะ”


“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ในสายตาของวิคเตอร์มีความมั่นใจ “พ่อค้าของดอว์นไม่เคยกลัวการแข่งขัน บิดาของกระหม่อมมักจะพูดอยู่เสมอว่า นับตั้งแต่วินาทีที่เราเกิดขึ้นมา การแข่งขันมันก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


ในตอนที่เขากำลังจะเดินออกไป จู่ๆ โรแลนด์ก็เรียกเขาไว้ “เออใช่ ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะถามเจ้า เสนาบดีของข้าตรวจเจอบันทึกว่าเจ้าได้จ่ายภาษีให้กับทางเมืองลองซองเมื่อ 6 ปีก่อน ทำไมเจ้าถึงจ่ายล่ะ? ในตอนนั้นถ้าเจ้าอยากจะประหยัดเงินตรงนี้ ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะมีวิธีจัดการได้สบายๆ นี่นา?”


วิคเตอร์พยักหน้า “เพราะว่าเจ้าเมืองในตอนนั้นสัญญาเอาไว้ว่าขอเพียงกระหม่อมจ่ายภาษีครบ เขาก็จะให้ความคุ้มครองและอำนวยความสะดวกให้กับขบวนสินค้าที่เดินทางไปมาระหว่างเมืองชายแดนกับป้อมปราการลองซอง ซึ่งเขาก็ทำแบบนั้นจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ อย่างน้อยในตอนนั้นเงินก้อนนี้ก็ช่วยลดปัญหาเรื่องสัตว์ป่ามารังควานหรือการโจมตีจากพวกพ่อค้าด้วยกันได้ กระหม่อมคิดเสมอว่าการจ่ายเงินนิดหน่อยเพื่อให้ได้รับความมั่นคงและความเป็นระเบียบเรียบร้อยนั้น ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่ดีสำหรับพ่อค้า แต่ที่น่าเสียดายก็คือมีพ่อค้าหลายคนที่ยอมเอาเงินไปทิ้งกับของที่มันไร้ค่า แต่ไม่ยอมมองว่าความมั่นคงและความเป็นระเบียบนั้นก็เป็นหนึ่งในต้นทุนเหมือนกัน”


เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ ด้วย โรแลนด์ที่มองดูพ่อค้าหนุ่มเดินออกไปคิดขึ้นมาในใจ ถ้ามีคนแบบนี้มาเป็นตัวอย่าง แนวคิด ‘บริษัทเอกชน’ ในเกรย์คาสเซิลจะต้องพัฒนาไปอย่างรวดเร็วแน่นอน


ในตอนที่เขากำลังจะกลับไปห้องทำงาน เสียงร้อนใจของไนติงเกลพลันดังขึ้นที่ข้างหูเขา “ฝ่าบาท ไลต์นิ่งกลับมาแล้วเพคะ นางเหมือนจะเจอปัญหาเพคะ”


“เกิดอะไรขึ้น?” โรแลนด์รีบถาม


“ยังไม่ทราบเพคะ…หม่อมฉันเพิ่งได้รับแจ้งมาจากซิลเวีย หลังนางถูกเมซี่พากลับมา ก็ถูกส่งตัวไปที่หน่วยพยาบาลเลยเพคะ!”


เขาตกใจทันที “นางได้รับบาดเจ็บเหรอ? พาข้าไปดูนางหน่อย!”


“เพคะ” ไนติงเกยื่นมือมาจับเขาเอาไว้ จากนั้นทั้งสองคนก็เข้าไปในหมอกมายาด้วยกัน


……


หลังมาถึงหน่วยพยาบาลทางตะวันตกของเมือง โรแลนด์ก็ได้เห็นสาวน้อยนอนอยู่บนเตียงคนไข้


พริบตาที่ผลักประตูเข้าไป ความกังวลภายในใจเขาพลันหายไปไม่น้อย ไลต์นิ่งดูเหมือนจะไม่มีอะไรเสียหาย บนใบหน้าของเธอก็ไม่มีรอยบาดแผลกับรอยเลือด ตรงหน้าอกก็ยังขยับขึ้นลง นี่ก็หมายความว่าเธอไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก ต่อให้การสอดแนมครั้งนี้ไปเจออันตรายอะไรมา ตอนนี้ก็นับว่าปลอดภัยแล้ว


แต่จากนั้นเขาก็พบความผิดปกติทันที


นาน่าไม่ได้ดูผ่อนคลายเหมือนอย่างทุกที หากแต่ขมวดคิ้วพร้อมก้มหน้าดูมือทั้งสองข้างของตัวเอง ท่าทีเหมือนกำลังสับสนไม่เข้าใจ


เมซี่นั้นกระโดดไปกระโดดมาอย่างกังวลอยู่ตรงหัวเตียง เธอใช้มือของเธอเช็ดหน้าผากให้กับไลต์นิ่ง เมื่อเห็นโรแลนด์ เธอรีบหดคอลงไปในเสื้อเหมือนไปทำอะไรผิดมา ในเวลานี้เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าบนใบหน้าของไลต์นิ่งนั้นมีเหงื่อไหลออกมาไม่หยุด ปากที่อ้าอยู่เล็กน้อยกำลังบ่นพึมพำอะไรออกมา ดูแล้วเหมือนเธอกำลังอยู่ในฝันร้าย


“เกิดอะไรขึ้น?” โรแลนด์มองไปทางนาน่า “ไลต์นิ่งบาดเจ็บตรงไหน?”


อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ ชี้ไปที่หน้าอกของตัวเอง


“ไนติงเกล”


“เพคะ” ไนติงเกลเดินเข้าไปอุ้มไลต์นิ่งขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะช่วยเธอถอดชุดกันลมที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษออก จากนั้นจึงค่อยๆ แกะเสื้อตัวใน ในตอนที่ปลดกระดุมมาถึงตรงไหปราร้า เธอพลันหยุดมือลงทันที “ฝ่าบาท นี่มัน..”


โรแลนด์ขยับเข้าไปข้างเตียง ก่อนจะเห็นตรงตำแหน่งที่ต่ำลงมาจากคอของไลต์นิ่งประมาณสองนิ้วมีบาดแผลขนาดประมาณหัวแม่มืออยู่แห่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับผิวสีขาวที่อยู่รอบๆ แล้ว บาดแผลตรงนั้นดูสะดุดตาอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ถ้าดูอย่างละเอียดแล้ว จะพบว่ามันไม่ได้ลึกลงไปถึงชั้นกล้ามเนื้อ หากแต่แค่เหมือนผิวหนังฉีกเล็กน้อยเท่านั้น ถือว่าเป็นบาดแผลที่ไม่ต้องไปสนใจอะไรก็สามารถหายเองได้


ตามหลักแล้ว การรักษาบาดแผลแบบนี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับนาน่า


แต่คำพูดประโยคต่อไปของเธอกลับทำให้โรแลนด์ตกตะลึง


“หม่อมฉันรักษานางไม่ได้…” นาน่าพูดพึมพำขึ้นมา “ไม่ว่าหม่อมฉันจะใช้พลังเวทมนตร์ออกมายังไงก็ไม่สามารถทำให้บาดแผลหายไปได้ เหมือนกับว่าความสามารถของหม่อมฉันมันใช้ไม่ได้ผลเลยเพคะ”

 

 

 


ตอนที่ 1042

 

คำสาปเวทมนตร์

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ความสามารถ….ใช้ไม่ได้ผล?” ไนติงเกลมองไปทางเมซี่อย่างแปลกใจ “นางถูกปีศาจระดับสูงทำร้ายเหรอ?”


“…จิ๊บ” เสียงของเมซี่เบาจนเหมือนเสียงยุง


“อะไรนะ?”


“ข้า…” เธอตอบอีกรอบ ครั้งนี้ในที่สุดทุกคนก็ได้ยินคำตอบของเมซี่ “ข้าเป็นคนจิกนางเองจิ๊บ…”


“อะไรนะ?” โรแลนด์กับไนติงเกลสบตากัน ต่างฝ่ายต่างมองเห็นสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อของอีกฝ่าย จากนั้นทั้งสองคนต่างก็ถามออกมาพร้อมกันว่า “ตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เจ้าลองเล่ามาตั้งแต่ต้นซิ”


หลังฟังเรื่องราวจบ โรแลนด์จึงขมวดคิ้วขึ้นมา


ปีศาจที่แข็งแกร่งที่มีรูปร่างเหมือนกับคนอย่างมาก ถึงแม้จะสบตาจากระยะไกลก็ยังสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวอย่างรุนแรง ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนั้นไลต์นิ่งยังบินด้วยความเร็วเสียงด้วย แต่เธอก็ยังถูกอีกฝ่ายจ้องมอง? เมื่อเทียบกับข่าวนี้แล้ว ข่าวเรื่องที่ว่าปีศาจสู้กับพวกสัตว์อสูร และสัตว์ประหลาดโครงกระดูกสามารถใช้เป็นอาวุธโจมตีได้นั้นดูเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย


เพื่อจะเรียกสติไลต์นิ่งกลับคืนมา เมซี่จึงจิกลงไปบนหน้าอกของเธออย่างแรง ถึงได้ทำให้ทั้งสองคนหนีออกมาได้ ไม่อย่างนั้นหากบินต่อไปเรื่อยๆ ช้าเร็วเธอก็ต้องพุ่งเข้าไปชนศัตรูอย่างแน่นอน


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่บาดแผลรักษาไม่หายนั้นย่อมไม่ได้เป็นเพราะเมซี่อย่างแน่นอน เพราะเธอไม่มีความสามารถแบบนั้น และถึงต่อให้มี เธอก็ไม่มีทางที่จะใช้มันกับเพื่อนที่สนิทที่สุดของเธอแน่


อย่างนั้นมันก็ต้องมาจากตัวไลต์นิ่ง


เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาจึงถอนใจออกมา ก่อนออกเดินทาง ตัวเองเคยกำชับอีกฝ่ายแล้วว่าอย่าใช้ความสามารถใหม่ไปเสี่ยงอันตราย การกลับมาอย่างปลอดภัยนั้นสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด แต่สุดท้ายเธอก็ไม่สามารถสะกดความต้องการของตัวเองเอาไว้ได้ น่าจะเป็นเพราะความเป็นนักสำรวจที่สืบทอดมาทางสายเลือดของเธอล่ะมั้ง


แต่ในเวลานี้เขาไม่ได้มีความคิดที่จะกล่าวโทษไลต์นิ่งเลย ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน สิ่งที่ควรทำคือรีบหาว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน ไม่ใช่ไปถามหาว่าใครเป็นคนผิด


โรแลนด์ให้ไนติงเกลไปเรียกเวนดี้ ลิลลี่ อกาธากับไนท์ฟอลมา นอกจากจะทำการตรวจสอบดูอีกรอบแล้ว เขายังให้ไนท์ฟอลปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งการอยู่ร่วมกันลงไปด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทุกคนต่างวุ่นกันถึงหัวค่ำ จนในที่สุดไลต์นิ่งก็ตื่นขึ้นมา ซึ่งจากการตรวจสอบร่างกายทั้งหมดของเธอแล้วก็ได้ข้อสรุปในเบื้องต้นออกมา


“เจ้าจะบอกว่าร่างกายของนางปกติดีทุกอย่างงั้นเหรอ?” หลังฟังรายงานของอกาธา โรแลนด์จึงค่อยๆ หันหน้ามามองสาวน้อยที่นอนหน้าซีดอยู่ในอ้อมอกของเวนดี้แล้วพูดต่อว่า “แบบนี้มันจะปกติได้ยังไง?”


“การนอนสลบในตอนแรกนั้นเกิดจากความเหนื่อยล้าจากการบินมาเป็นเวลานาน ซึ่งเมล็ดพันธุ์แห่งการอยู่ร่วมกันสามารถพิสูจน์ในเรื่องนี้ได้ ไนท์ฟอลไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ นี่ก็อธิบายได้ว่าที่สภาพของนางเป็นอย่างนี้นั้นเกิดจากความหวาดกลัวภายในจิตใจของนาง หาใช่ร่างกายของนางไม่ ตามหลักแล้ว พักผ่อนซักสองสามวันก็หายดีแล้วเพคะ”


“แล้วบาดแผลล่ะ?”


“นั่นคือสิ่งที่หม่อมฉันกำลังจะพูดต่อไปเพคะ” อกาธาพูดเสียงเบาเลย “ปัญหาของนางนั้นอยู่ที่พลังเวทมนตร์ ตอนที่หม่อมฉันใช้หินเวทมนตร์วัดพลังทำการตรวจสอบพลังเวทมนตร์ในร่างกายนาง หม่อมฉันสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาเวทมนตร์ที่ไม่ได้เป็นของนางเพคะ”


“หมายความ….ว่าไง?” โรแลนด์ตกตะลึง


“พระองค์ก็น่าจะทรงทราบว่าถึงแม้พลังเวทมนตร์จะมีอยู่ทั่วทุกที่ แต่ถ้าอยากจะใช้มัน เราก็จำเป็นต้องเอามันมาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรา ซึ่งนี่ก็คือการรวมตัวของเวทมนตร์ที่พวกเราพูดถึงบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการหมุนวน หรือการที่พลังเวทมนตร์จับตัวเป็นรูปร่างต่างๆ หลังบรรลุนิติภาวะก็ล้วนแต่เป็นการทำให้พลังเวทมนตร์มาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเราทั้งสิ้น ปีศาจเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เพียงว่าพลังเวทมนตร์ที่พวกมันใช้นั้นไม่เหมือนกับของแม่มด เมื่อใช้หินเวทมนตร์วัดพลังดู ปฏิกิริยาที่สะท้อนออกมาก็เหมือนกับน้ำใสกับโคลน” เธอชะงักไปเล็กน้อย “ซึ่งปฏิกิริยาแปลกๆ ที่หม่อมฉันสัมผัสได้นั้นก็เหมือนกับของปีศาจไม่มีผิดเลยเพคะ”


โรแลนด์รู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างน่าปวดหัวขึ้นมาทันที “เจ้าหมายความว่าปีศาจมันกัดกินพลังเวทมนตร์ของไลต์นิ่ง…โดยที่ไม่ได้สัมผัสกันโดยตรงอย่างนั้นเหรอ?”


“จะเป็นไปได้ยังไง?” ไนติงเกลถามขึ้นมาอย่างสงสัย “ตอนที่ข้าอยู่ในหมอกมายา ข้าสามารถแยกแยะพลังเวทมนตร์ที่ผิดแปลกไปได้อย่างง่ายดาย ถ้านางถูกกัดกินจริงๆ อย่างนั้นข้าก็น่าจะเห็นแล้วสิ”


“เมื่อเทียบกับพลังเวทมนตร์ของไลต์นิ่งแล้ว มันมีขนาดที่เล็กกว่ามาก จึงไม่แปลกที่มันจะถูกมองข้าม” อกาธาส่ายหัว “แต่นี่เป็นเพียงการรับรู้ที่ได้จากหินเวทมนตร์วัดพลังเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่ามันใช่การกัดกินอย่างที่ฝ่าบาทตรัสหรือไม่นั้น ตอนนี้ข้าเองก็ยังไม่อาจตอบได้”


โรแลนด์เข้าใจความหมายในคำพูดของเธอทันที “ก่อนหน้านี้ปีศาจไม่เคยมีความสามารถแบบนี้เหรอ?”


“ถ้าเป็นการสร้างผลกระทบในระยะการมองเห็นโดยไม่ได้สัมผัสกันตรงๆ นั้น ความสามารถประเภทนี้ถือว่ามีให้เห็นบ่อยๆ อย่างเช่นปีศาจแห่งความกลัวนั้นถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดี ดังนั้นการที่ปีศาจระดับสูงจะมีความสามารถคล้ายๆ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะพวกมันได้รับพลังมาจากหินเวทมนตร์ ไม่ใช่การตื่นรู้เหมือนอย่างพวกเรา แต่การทำให้บาดแผลไม่สามารถรักษาได้แบบนี้ หม่อมฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ เพคะ” อกาธาพูดเสียงคร่ำเครียด “สมมติว่ามีพลังเวทมนตร์ส่วนหนึ่งที่มาจากปีศาจฝังตัวอยู่รอบๆ ปากแผลจริงๆ อย่างนั้นเรื่องราวทุกอย่างก็สามารถอธิบายได้เพคะ”


ถูกต้อง หากนี่เป็นเพราะความสามารถของศัตรูจริงๆ อย่างนั้นก็สามารถอธิบายได้ว่าทำไมการรักษาของนาน่าถึงใช้ไม่ได้ผล เธอสามารถรักษาปีศาจได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะล้างพลังอันชั่วร้ายของศัตรูได้ โรแลนด์ถามขึ้นมาว่า “อย่างนั้นวิธีแก้ไขล่ะ?”


“ตอนนี้ยังไม่ทราบเพคะ” แม่มดน้ำแข็งตอบออกมาตรงๆ “ตามหลักแล้ว หากเข้าใกล้หินอาญาสิทธิ์ก็จะสามารถทำลายผลของเวทมนตร์ลงไป แต่ดูเหมือนพลังของปีศาจอันนี้จะไม่สามารถขจัดออกไปได้ง่ายๆ เพคะ”


“ในเมื่อมันส่งผลอยู่บนปากแผล อย่างนั้นถ้าเราตัดเนื้อรอบๆ ปากแผลออกแล้วค่อยทำการรักษาใหม่ล่ะ?”


“หม่อมฉันไม่แนะนำให้ทำเช่นนั้นเพคะ เพราะถ้าเกิดมันขยายตัวออกไปพร้อมกับบาดแผลได้ เช่นนั้นเรื่องราวมันจะยิ่งบานปลายได้เพคะ อย่างน้อยบาดแผลของไลต์นิ่งในตอนนี้ก็ไม่ได้อันตรายถึงชีวิตของนางเพคะ” อกาธาตอบปฏิเสธ “หม่อมฉันคิดว่าหลังจากนี้อีกซักสองสามวัน เราส่งนางไปพักรักษาตัวอยู่ที่เมืองชายแดนที่สามดีกว่าเพคะ พวกพาซาร์นางรู้อะไรเยอะกว่าหม่อมฉัน บางทีพวกนางอาจจะมีวิธีในการกำจัดพลังที่ว่าออกไปก็ได้เพคะ”


“ข้าเข้าใจแล้ว”


โรแลนด์พยักหน้า ก่อนจะค่อยๆ เดินกลับมาที่เตียง


เมื่อเห็นเขา ไลต์นิ่งพลันก้มหน้าลงทันที เสียงของเธอเหมือนกำลังจะร้องไห้ออกมา “ฝ่าบาท หม่อมฉัน…ขอโทษ…”


“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” โรแลนด์ยื่นมือไปลูบหัวเธอ “ทำใจให้สบายๆ แล้วพักผ่อนเยอะๆ ข้าจะต้องรักษาเจ้าให้หายแน่นอน”


ไลต์นิ่งตัวสั่นขึ้นมา เหมือนเธอพยายามสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ ผ่านไปครู่ใหญ่ เธอจึงพูดเสียงค่อยๆ ขึ้นมา


“อื้อ”


….


หลังจากนั้นสามวัน โรแลนด์ก็ได้รับความคืบหน้าจากทางแม่มดทาคิลา


เขารีบพาไนติงเกล เวนดี้ไปยังเมืองชายแดนที่สามทันที


พาซาร์ยืนต้อนรับเขาอยู่ปากทางเข้าโถง


“ไลต์นิ่งเป็นยังไงบ้าง?”


‘ดีขึ้นมากแล้วเพคะ หลายวันมานี้เอเลน่าคอยอยู่เป็นเพื่อนเธอ แล้วก็เล่าเรื่องแปลกๆ ในโลกแห่งความฝันให้นางฟังจนนางเกือบจะลืมเรื่องปีศาจระดับสูงนั่นไปแล้วเพคะ’ พาซาร์พูดยิ้มๆ ‘วันนี้นางยังบินไปบินมาในโถงกับเมซี่ ส่วนบาดแผลเล็กๆ ตรงหน้าอกก็ไม่ได้ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของนางเลยเพคะ’


เมื่อฟังถึงตรงนี้ โรแลนด์จึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย เพื่อที่จะไม่ให้ธันเดอร์ไม่กังวลใจ เรื่องของไลต์นิ่งจึงมีแม่มดเพียงแค่ไม่กี่คนที่รู้เรื่อง แต่ถ้าหากเธอไม่ปรากฏตัวเป็นเวลานาน ทุกคนคงจะรู้สึกเป็นห่วงอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นถ้าอยากจะปิดบังต่อไปก็คงทำได้ยากแล้ว


“พวกท่านรู้หรือยังว่ามันเป็นพลังอะไร?” เวนดี้รีบถามขึ้นมา


พาซาร์โบกหนวดหลัก ‘เซลีนเอาบันทึกทั้งหมดในสมัยทาคิลามาอ่านดูอีกรอบ แต่ก็ไม่พบบันทึกที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมั่นใจว่านี่น่าจะเป็นความสามารถใหม่ของปีศาจ แต่การที่ไม่มีความสามารถแบบนี้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความสามารถคล้ายๆ กัน ความจริงแล้ว ผลของความสามารถนี้มันคล้ายๆ กับความสามารถชนิดพิเศษที่หาได้ยากชนิดหนึ่ง’


“มันคืออะไร?”


‘พวกเราเรียกมันว่าคำสาป’ พาซาร์พูดช้าๆ ชัดๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)