Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1029-1035

 ตอนที่ 1029

 

คนที่กลับมา

โดย

Ink Stone_Fantasy

สำหรับผลตอบรับของหนังเวทมนตร์ที่ออกมาดีเช่นนี้ โรแลนด์ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย


ความจริงในคืนวันที่ถ่ายทำเสร็จ เขาในฐานะที่เป็นผู้ผลิตนั้นได้เป็นผู้ชมกลุ่มแรก ในตอนที่เขาได้รับชมผลงานที่ก้าวข้ามยุคสมัยอยู่ภายในปราสาท เขาเองก็รู้สึกตกตะลึงเหมือนกัน


สัมผัสทางสายตาจากภาพเสมือนจริงนั้นไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้


ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว ตอนที่อยู่ในโบสถ์เงาสะท้อนของเมืองศักดิ์สิทธิ์เก่า เขายังไม่รู้สึกว่ามันเหมือนจริงมากขนาดนี้เลย แต่ว่านั่นเป็นเพราะการประชุมและงานฉลองที่รูนในโบสถ์เงาสะท้อนบันทึกเอาไว้ล้วนแต่เป็นภาพนิ่ง ถึงแม้มันจะดูมหัศจรรย์ แต่มันก็สร้างความตื่นเต้นได้อย่างจำกัด แต่ทันทีที่เอามันไปบันทึกภาพเคลื่อนไหว ความเหมือนจริงของมันก็จะถูกแสดงออกมาอย่างเต็มที่ อย่างเช่นตอนที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า ถึงแม้จะรู้อยู่ว่ามันเป็นของปลอม แต่หัวสมองก็ยังคงถูกดวงตาทั้งสองข้างหลอกอยู่ดี


แม้แต่เขายังเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเปโรที่เคยดูแต่ละครเวทีเลย


ความสำเร็จของหนังเวทมนตร์นั้นเป็นเรื่องที่เขาคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว


แต่ว่ามีบางเรื่องที่เหนือไปจากความคาดหมายของโรแลนด์


นั่นก็คือประสิทธิภาพของหนังเวทมนตร์นั้นดีเกินไป


ในการฉายรอบที่ 3 กับรอบที่ 5 เกิดเหตุการณ์ที่ผู้ชมลุกหนีและเป็นลม โดยผู้ชมที่ลุกหนีนั้นเกือบจะเหยียบกันเอง ส่วนผู้ชมที่เป็นลมก็ถูกนำตัวส่งไปที่หน่วยพยาบาลโดยทันที ถ้าไม่เป็นเพราะมีนาน่าคอยนั่งประจำการณ์อยู่ เหตุการณ์คงจะร้ายแรงกว่านี้แน่


ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดที่ว่ามาล้วนแต่เกิดขึ้นก่อนที่เสียงเพลงของเอคโค่จะดังขึ้น


เห็นได้ชัดว่ามุมมองแบบนกกับฉากตอนที่เจ้าหญิงองค์โตแปลงร่างกลายเป็นหมาป่านั้นเป็นฉากที่มีปัญหาเกิดขึ้นบ่อยครั้ง


อีกทั้งนี่ยังเป็นรอบฉายราคาแพงที่เอาไว้สำหรับพวกคนรวยด้วย คนพวกนี้มีความรอบรู้และความสามารถในการยอมรับมากกว่าคนปกติ หากเป็นรอบฉายราคาถูกที่จะจัดฉายขึ้นในอีกหนึ่งอาทิตย์หลังจากนี้ เกรงว่าสถานการณ์คงจะเลวร้ายกว่านี้แน่


โรแลนด์ที่คิดได้ถึงตรงนี้จึงทำการปรับเปลี่ยนแผนการฉายหนัง


เดิมเขาคิดจะเปลี่ยนวิธีจัดวางเก้าอี้เพื่อที่จะได้บรรจุผู้ชมได้มากขึ้น อย่างเช่นถ้าเปลี่ยนเก้าอี้นอนของรอบราคาแพงออก แล้วเปลี่ยนเป็นม้านั่งไม้แทน จำนวนผู้ชมที่รองรับได้ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัวทันที ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่ไม่อนุญาตให้นำของกินและเครื่องดื่มมาเอง แต่ถ้าอยากจะป้องกันการเหยียบกัน ม้านั่งไม้ที่แค่ผลักก็ล้มนั้นดูไม่ค่อยจะเหมาะสมเท่าไร สุดท้ายเขาจึงเปลี่ยนเป็นเก้าอี้เหล็กยาวที่สามารถยึดติดกับพื้นได้ แล้วก็บอกให้ผู้ชมคาดเข็มขัดเอาไว้ให้ดีก่อนที่การแสดงจะเริ่มขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น


นอกจากนี้เขายังมีการจำกัดอายุและสภาพร่างกายของผู้เข้าชมเอาไว้ คนที่อายุ 45 ปี หรือคนที่กลัวความสูง มีประวัติเป็นโรคใจสั่นก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ดู ‘หัวใจแห่งหมาป่า’


อันที่จริงสำหรับเขาแล้ว หนังเวทมนตร์ก็เป็นแค่ของเล่นใหม่เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบโรงหนังใหม่ หรือว่ากฎระเบียบในการรับชมก็ล้วนแต่เริ่มใหม่จากศูนย์


และด้วยความโด่งดังของหนังเวทมนตร์ ก็ทำให้ของที่แจกเป็นของชำร่วยนั้นได้รับความสนใจไม่น้อยเหมือนกัน


ในช่วงหลายวันนี้ สำนักงานเมืองได้รับจดหมายขอทำการค้าจากพ่อค้าหลายสิบคน ทุกคนต่างต้องการขายป๊อบคอร์นกับถุงใส่นม แต่หลังจากได้รับรายงานของบารอฟแล้ว โรแลนด์ก็ปฏิเสธคำขอเหล่านั้นไปทั้งหมด


เพราะพวกอาหารอบแห้งอย่างป๊อบคอร์นนั้นไม่เพียงแต่จะยากต่อการจัดเก็บ แต่ตัวมันยังไม่ได้มีความยากในเรื่องการผลิตด้วย จะทำวัตถุดิบส่งขายมันก็ไม่ค่อยได้กำไร แถมยังถูกลอกเลียนแบบได้ง่ายได้ บวกกับเมืองเนเวอร์วินเทอร์ไม่ได้ผลิตข้าวโพดเป็นหลัก ถ้าต้องแข่งขันขึ้นมาก็ไม่ได้มีความได้เปรียบใดๆ ด้วยเหตุนี้มันจึงดีกว่าถ้าจะทำมันเองเพื่อดึงดูดคนจากข้างนอกมา


ส่วนเรื่องถุงบรรจุภัณฑ์นั้นก็ไม่มีจำนวนเหลือมากพอให้ขายได้


เพราะมันคือหนึ่งจากผลผลิตที่ได้จากฟาร์ม ‘แมลงยาง’


หลังเลี้ยงดูมาเป็นเวลาหนึ่งปี แมลงเหล่านี้ส่วนใหญ่สามารถอาศัยอยู่ที่เมืองชายแดนที่สามได้ ส่วนงานวิจัยของแม่มดโบราณก็ก้าวหน้าไปค่อนข้างมาก หลังจากที่รู้ว่าสัดส่วนในการผสมของเหลวจากตัวแมลงที่ต่างกันจะทำให้ได้ยางที่มีความยืดหยุ่นที่ต่างกันแล้ว การวิจัยก็ยิ่งรุดหน้าไปอย่างมาก


ผสมตัวอย่างจากสัดส่วนการผสมที่ต่างกัน จากนั้นก็ทดสอบเรื่องการย่อยสลายและความทนทานกลายเป็นงานรองอีกงานของแม่มดทาคิลา


ถุงใส่นมกับหลอดดูดก็คือผลงานจากการวิจัย


การสร้างสองสิ่งนี้ขึ้นมานั้นไม่ใช่ความคิดเพียงชั่ววูบของโรแลนด์ มันมีความสำคัญอย่างมากสำหรับการขนส่งของกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นการใส่อาหารหรือยาฆ่าเชื้อ ถุงชนิดนี้ก็ล้วนแต่มีประโยชน์อย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเทียบกับภาชนะที่เป็นโลหะแล้ว ราคาต้นทุนในการผลิตของมันก็ต่ำกว่ามาก นอกจากแมลงแล้ว มันก็แทบไม่มีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นเลย


ถึงแม้เมืองชายแดนที่สามจะสร้างถ้ำขึ้นมาอีกหลายถ้ำเพื่อเลี้ยงแมลงยาง อีกทั้งจำนวนของแมลงจากตอนแรกแค่ร้อยกว่าตัว ก็เพิ่มขึ้นมาเป็นจำนวนเกือบพันตัว แต่มันก็ยังไม่เพียงพอสำหรับความต้องการที่จะใช้มันในสงครามอยู่ ด้วยเหตุนี้โรแลนด์จึงสามารถคาดการณ์ได้ว่ามันจะเป็นหนึ่งในทรัพยากรเชิงกลยุทธ์ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ไปอีกนาน


…..


วันที่สี่หลังจากเริ่มฉายหนังเวทมนตร์ โรแลนด์ก็ได้รับแจ้งว่าเอดิธส์ได้พาลิเวียกลับมาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์แล้ว


เขาได้พบหญิงสาวคนนั้นอีกครั้งในห้องรับแขกของปราสาท


อีกฝ่ายดูค่อนข้างกังวล แต่กลับไม่ได้หลบสายตาเขาเหมือนครั้งก่อน ในดวงตาของเธอแฝงเอาไว้สายตาที่ยอมรับในโชคชะตา


ครั้งนี้ไม่เหมือนการเจอกันครั้งนี้แล้ว ท่ามกลางแสงไฟที่สว่าง โรแลนด์สามารถมองเห็นใบหน้าเธอได้อย่างชัดเจน ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนและรูปร่างที่ดูผอมบางทำให้เธอดูเหมือนดอกไม้ที่พร้อมจะปลิดปลิวไปตามลม ความเหนื่อยล้าจากการนั่งเรือมาเป็นเวลานานยิ่งทำให้เธอดูอ่อนแอ แต่เข้มแข็งที่อยู่ภายในนั้นได้ค้ำจุนเธอเอาไว้ ทำให้เธอไม่ล้มลง ความแตกต่างเช่นนี้ได้เติมสีสันให้กับเธอ ทำให้คนเกิดความรู้สึกอยากจะปกป้อง หรือไม่ก็อยากจะครอบครอง หรือไม่ก็ทำลาย ถ้าเธอตกไปอยู่ในมือของผู้ปกครองคนอื่น ก็คงหนีไม่พ้นต้องเป็นสองอย่างหลังแน่นอน


เธอเองก็เหมือนจะเตรียมตัวเอาไว้แบบนั้นแล้ว


โรแลนด์อดยิ้มออกมาไม่ได้ ถึงแม้การหาความสุขของพวกขุนนางในยุคสมัยนี้จะเละเทะอย่างมาก แต่เขาก็ไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นเลย


“วางใจได้” เขาพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ที่นี่อบอุ่นกว่าสันเขาโคลด์วินด์มาก แล้วก็ไม่มีใครมารบกวนเจ้าด้วย หลังอยู่ที่นี่ไปซักระยะ เจ้าจะชอบเมืองนี้เอง”


“เพคะ…ฝ่าบาท” เธอลังเลเล็กน้อย จากนั้นจึงก้มหัวลง


“อย่างนั้นเจ้าไปพักผ่อนเถอะ อีกเดี๋ยวจะมีคนจัดที่อยู่ให้เจ้า” โรแลนด์บอกเธอ


กระทั่งลิเวียถูกทหารพาออกไปแล้ว เอดิธส์จึงถอนสายบัวแล้วพูดว่า “แค่นี้เหรอเพคะ? หม่อมฉันนึกว่าพระองค์จะตรัสอะไรกับนางเพื่อสร้างความคุ้นเคยมากกว่านี้ซะอีกเพคะ”


“สิ่งที่ต้องพูดเจ้าก็คงพูดไปหมดแล้ว ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก” โรแลนด์ยักไหล่ ก่อนจะแสดงทำเป็นไม่ได้ยินความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเธอ “ว่ายังไง ทุกอย่างราบรื่นดีไหม?”


“แน่นอนเพคะ เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกของนาง การตัดสินใจของนางมีความเด็ดขาดอย่างมากเพคะ” เอดิธส์ตอบ “ส่วนเรื่องการเก็บงานนั้นใช้เวลามากกว่าที่คิด แต่คนพวกนั้นไม่มีทางที่จะมาสร้างปัญหาให้พระองค์ได้อีกเด็ดขาดเพคะ”


“ทำดีมาก” เขาพยักหน้า “ตัดสินใจถูกจริงๆ ที่ให้เจ้าจัดการเรื่องนี้”


“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือพูดยิ้มๆ “นอกจากนี้หม่อมฉันยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องรายงานเพคะ ระหว่างทางขากลับ หม่อมฉันได้รับแจ้งข่าวจากทางวิศวกรทหารว่าอาซีม่าหา ‘แสงแห่งอาทิตย์’ ในดินแดนตะวันออกไม่เจอเพคะ พวกนางได้ออกเดินทางไปทางเหนือแล้วเพคะ”


เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย….อย่างนั้นลำแสงที่ยืดยาวมาจากฝั่งตรงข้ามของทะเลน้ำวนล่ะ? โรแลนด์ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าไปได้แค่ทางเหนือแล้วสายแร่อยู่ในอาณาจักรเกรย์คาสเซิลก็ยังดีหน่อย แต่ถ้าเกิดมันไปอยู่ในอาณาจักรอื่นล่ะก็ อย่างนั้นก็คงจัดการได้ค่อนข้างลำบาก


“ข้าเข้าใจแล้ว” สีหน้าเขาก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”


“เพคะ”


ตอนที่เดินไปถึงประตู จู่ๆ เอดิธส์ก็หันหน้ากลับมา “ฝ่าบาทเองก็…รักษาพระวรกายด้วยนะเพคะ”


“หืม?” โรแลนด์มองเธออย่างแปลกใจ


“หากไม่มีพระองค์ โลกนี้คงน่าเบื่ออย่างมากเพคะ” เธอยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากประตูไป

 

 

 


ตอนที่ 1030

 

พิธีราชาภิเษก

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เจ้านี่…มันจะสามหาวเกินไปแล้ว” ไนติงเกลที่ปรากฏตัวออกมาจากหมอกมายาพูดอย่างไม่พอใจ “นางพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงกันแน่!


หลังจากที่เขาคุยกันเอดิธส์เรื่องที่ขวานเหล็กจัดการกับพวกขุนนางของดินแดนตะวันออก ท่าที่ของเอดิธส์ก็เหมือนจะเปลี่ยนไป เหมือนกับเธอเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แต่สำหรับโรแลนด์แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร


“เอ่อ…” เขาครุ่นคิดเล็กน้อย “เจ้าแยกแยะคำพูดเมื่อกี้ได้ไหมว่าจริงหรือเปล่า?”


“ไอจริงมันก็จริงอยู่หรอกเพคะ” ไนติงเกลเบะปาก “อย่างน้อยเรื่องที่นางบอกให้พระองค์ดูแลพระวรกายให้ดีก็เป็นเรื่องจริง ไม่อย่างนั้นหม่อมฉันคงจะจับตัวนางมาถามแล้วล่ะเพคะว่านางหมายความว่ายังไง”


“อย่างนั้นก็ปล่อยนางไปเถอะ” โรแลนด์พูดยิ้มๆ “ถ้าต้องมานั่งเดาความคิดของทุกคน แบบนั้นมันคงเหนื่อยแย่ แล้วข้าก็ไม่มีเวลาที่จะไปนั่งทำอะไรแบบนั้น”


ไนติงเกลที่ตอนแรกดูโมโหเงียบลงทันที จากนั้นเธอเบือนหน้าหนีไปอีกทางหนึ่ง “จะว่าไป….มันก็จริงเพคะ…ปกติพระองค์ทรงสนใจแค่คนสองคนก็เหนื่อยมากพอแล้วเพคะ”


เอ่อ นี่เจ้าแทบจะเอาความคิดแสดงออกมาทางสีหน้าจนหมดแล้วนะ โรแลนด์พยายามกลั้นขำ เขากระแอมเล็กน้อย “อย่างนั้นพวกเรากลับห้องทำงานกันเถอะ ยังมีงานอีกเยอะที่เราต้องจัดการ”


อย่างเช่นการนำเอาเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ออกแบบเอาไว้เรียบร้อยแล้วทั้งสองแบบมาใช้งาน การมีแหล่งกำเนิดพลังงานนั้นเป็นเพียงแค่ขั้นตอนแรก การผลิตมันออกมาเป็นจำนวนมากได้อย่างไรกับการสร้างชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ใช้คู่กับมันล้วนแต่เป็นเรื่องที่ยากลำบาก นอกจากนี้ยังมีการออกแบบและการประกอบรถหุ้มเกราะ การสร้างน้ำยางชีวภาพ และการขยายโรงงานกับกองทัพ


แต่ว่าถ้าเทียบกับอีกเรื่องหนึ่งนั้น งานเหล่านี้สามารถพักเอาไว้ก่อนได้


ถึงแม้ตัวมันจะไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก แต่มันคือสิ่งจำเป็นในการทำให้ประชาชนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


วินาทีที่ลิเวียเดินทางมาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์ นั่นก็หมายความว่าเงื่อนไขทุกอย่างสำหรับการขึ้นครองราชย์ของเขาได้เตรียมพร้อมสมบูรณ์หมดแล้ว


….


หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ ภายในเขตปราสาทได้เปิดให้ประชาชนเข้ามาเป็นครั้งแรก ภายในการนำของตำรวจและทหารองครักษ์ ประชาชนนับพันที่ผ่านการคัดเลือกได้มารวมตัวกันอยู่ทั้งในและนอกสวนเพื่อรอชมวินาทีที่พระราชาองค์ใหม่จะขึ้นสวมมงกุฎอย่างตื่นเต้น และที่ด้านนอกปราสาท บนท้องถนนทุกเส้นต่างก็เต็มไปด้วยแสงไฟและผู้คน ถึงแม้หิมะจะตกโปรยปรายลงมาตลอดเวลา แต่มันก็ไม่เป็นปัญหาต่อคนที่ออกมาเฉลิมฉลอง


เพื่อพระราชพิธีครั้งนี้ ตัวปราสาทเองก็ถูกทำการปรับปรุงใหม่ด้วย


กำแพงที่ล้อมสวนด้านนอกถูกถอนออกแล้วเปลี่ยนเป็นรั้วที่ไม่บดบังสายตาแทน อุปกรณ์ตกแต่งที่อยู่ในสวนก็ถูกเคลื่อนย้ายออกไปแล้วปูด้วยหญ้าแทน ขอเพียงเดินขึ้นเนินไปยังเขตปราสาทก็จะสามารถมองเห็นพื้นที่งานพิธีได้ทั้งหมด


ทั้งสองด้านของปราสาทมีธงพื้นแดงขอบดำแขวนอยู่สองผืนห้อยจากบนหลังคายาวลงมาถึงพื้น ด้วยพื้นหลังที่เป็นหิมะสีขาวช่วยขับให้ธงดูสะดุดตาอย่างมาก แล้วก็ทำให้ปราสาทที่ดูไม่ได้ยิ่งใหญ่หลังนี้มีสง่าราศีเพิ่มมากขึ้น


จุดที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดก็คือชั้นสอง


ภายในคืนเดียวบนกำแพงของตัวปราสาทที่โล่งๆ ก็มีระเบียงยื่นออกมา โดยตัวระเบียงที่ว่านี้หันหน้าเข้ากับประตูใหญ่ด้านหน้าพอดี และราชาก็จะยืนรับการถวายพระพรของประชาชนอยู่ตรงนี้


มีเพียงคาร์ลซึ่งเป็นผู้ออกแบบเท่านั้นที่รู้ว่าระเบียงที่ถูกสร้างเสร็จอย่างรวดเร็วนี้เป็นฝีมือของแม่มด เลดี้อกาธาเสกกำแพงน้ำแข็งให้ยื่นออกมาจากผิวกำแพงของปราสาท จากนั้นก็ให้คุณหนูโซโรยา ‘วาด’ ภาพอิฐลงไปบนน้ำแข็ง ทำให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของปราสาทอย่างที่ยากจะแยกออกได้


และภายใต้สภาพอากาศแบบนี้ กำแพงน้ำแข็งอันแน่นหนานี้ก็สามารถอยู่แบบนี้ได้เป็นเวลาหลายวัน


….


บรรยากาศภายในปราสาทเวลานี้เปลี่ยนไปจากเดิม


“ฝ่าบาท พระองค์ทรงพร้อมหรือยังเพคะ?” ด้านนอกมีเสียงเวนดี้ดังขึ้นมา “เสนาบดีและแขกทุกคนต่างมากันพร้อมแล้ว เหลือเพียงพระองค์เสด็จออกไปนะเพคะ”


“รู้แล้ว ข้าใกล้เสร็จแล้ว” โรแลนด์ตอบกลับไป จากนั้นหันมามองหญิงสาวที่สาวชุดราตรีสีขาว “เจ้าเป็นยังไงบ้าง?”


“อีกเดี๋ยวนะเพคะ….หม่อมฉันยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่เลย” อีกฝ่ายคืออันนา เธอยืนอยู่ตรงหน้าต่าง พร้อมกับชะโงกหน้าลงไปดูประชาชนที่กำลังส่งเสียงตะโกนดังอยู่ด้านล่าง ในดวงตาสีน้ำเงินเผยให้เห็นถึงความกังวลอย่าเห็นได้ชัด “พระองค์จะเสด็จไปกับหม่อมฉันจริงๆ เหรอเพคะ? เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรื่องพิธีคนนั้นบอกว่าไม่เคยมีงานราชาภิเษกไหนในอดีตที่เป็นแบบนี้มาก่อน”


เธอไม่ได้ไร้ซึ่งความหวาดกลัวอย่างที่เขาคิดเอาไว้ โรแลนด์รู้ว่าถึงแม้ก่อนหน้านี้อันนาจะยิ้มแย้มมาโดยตลอดเวลาที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ แต่พอมาถึงตอนนี้จริงๆ เธอก็ยังเกิดความรู้สึกกังวลและสับสน ความยอดเยี่ยมในด้านการเรียนและความชื่นชอบที่มีต่อความรู้ใหม่ๆ ทำให้หลายๆ ครั้งเธอมีความมั่นใจในตัวเอง เวลาที่เธอมีสมาธิอยู่กับการสร้างอะไรขึ้นมาซักอย่าง เธอก็จะเปล่งประกายออกมาราวกับอัจฉริยะ แต่เมื่อเอาสิ่งเหล่านี้ออกไปแล้ว เธอก็จะเป็นเพียงแต่หญิงสาวอายุยี่สิบต้นๆ ที่เติบโตมาในชนบทคนหนึ่งเท่านั้น


ตอนนี้เมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้าประชาชนนับหมื่น จะไม่ให้เธอรู้สึกตื่นเต้นได้อย่างไร?


เมื่อคิดถึงตรงนี้ โรแลนด์จึงหัวเราะขึ้นมา ก่อนจะใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลที่สุดพูดกับเธอว่า “อย่างนั้นข้าจะเป็นคนแรกที่ฉีกกฎนั้นเอง หรือว่าเจ้าอยากจะให้ข้าขึ้นไปสวมมงกุฎให้ตัวเองคนเดียว?”


“ไม่ใช่แบบนั้นเพคะ” อันนาส่ายหัว “หม่อมฉันเพียงแค่….”


โรแลนด์เดินเข้าไปแล้วโอบกอดเธอไว้ “อย่างนั้นข้าเปลี่ยนคำพูดหน่อยแล้วกัน”


“เปลี่ยน…คำพูด?”


“อื้อ” เขาสูดหายใจแล้วตั้งใจถามออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณหนูอันนา ข้าอยากจะจ้างเจ้าให้มาเป็นภรรยาข้า เจ้าจะยินดีหรือไม่?”


“พรืด” อันนาหลุดขำออกมา “ไม่ได้! หม่ฉมฉันไม่ใช่คนที่ถูกขังอยู่ในกรงคนนั้นแล้วนะเพคะ ยิ่งไปกว่านั้น….”


“ยิ่งไปกว่านั้นอะไรเหรอ?”


“การจ้างระยะเวลามันสั้นเกินไป” เธอตบลงไปบนบ่าของโรแลนด์ จากนั้นจึงยื่นมือขวาที่สวมถุงมือสีขาวให้เขา “ขอบพระทัยพระองค์มากเพคะ โรแลนด์ พาหม่อมฉันไปเถอะเพคะ”


“โรแลนด์จับมือของเธอเอาไว้ “รับทราบ”


…..


ประตูถูกเปิดออก ทั้งสองคนค่อยๆ เดินผ่านระเบียงทางเดินลงบันไดไปด้านล่าง ก่อนจะเดินเข้าไปยังโถงชั้นหนึ่ง


ภายในโถงที่ตอนแรกมีเสียงพูดคุยเงียบลงทันที ทุกคนแยกออกเป็นสองฝั่งพร้อมกับก้มหัวเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพโรแลนด์


เขาเดินผ่านแถวผู้คนเข้าไป ทางฝั่งซ้ายคือเหล่าแม่มดของเนเวอร์วินเทอร์ เขามองเห็นทิลลี แอชเชส ไนติงเกล เวนดี้ ไลต์นิ่ง อกาธา…ใบหน้าที่คุ้นเคยสะท้อนเข้ามาในดวงตาของเขา เมื่อเทียบกับเมื่อสามปีก่อนที่พวกเธอต้องเร่ร่อนไปทั่วแล้ว ตอนนี้พวกเธอได้หลอมรวมเข้ากับระเบียบสังคมใหม่และค่อยๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่อาจขาดได้ของอาณาจักรมนุษย์


ทางด้านขวาคือตัวแทนจะกองต่างๆ ของสำนักงานเมือง อาทิเช่นบารอฟ เอดิธส์ ขวานเหล็ก เคโม ทาซา ฮิวโก้….พวกเขากลายเป็นโครงสร้างอำนาจของเกรย์คาสเซิล จากคนธรรมดาที่ไม่เคยมีใครได้ยินชื่อ ค่อยๆ กลายเป็นดาวดวงใหม่แห่งการเมืองการปกครอง


ตามลำดับของงานแล้ว ช่วงการขึ้นสวมมงกุฎนั้นจะเป็นช่วงที่มีความซับซ้อนยุ่งยากที่สุด แต่สำหรับแม่มดและเจ้าหน้าที่ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ โรแลนด์นั้นคือราชามานานแล้ว ด้วยเหตุนี้ขั้นตอนเหล่านี้จึงถูกทำให้ง่ายลง


เขาจูงมืออันนาเดินเข้าไปถึงกลางโถง ตรงนั้นมีโต๊ะหินวางอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะหินมีมงกุฎที่ส่องประกายระยิบระยับอยู่สองอัน


ไม่ว่าจะเป็นวิมเบิลดันที่สามหรือว่าพระสันตะปาปาของศาสนจักรต่างก็ไม่อยู่แล้ว เขาปฏิเสธคำขอของเจ้าหน้าที่ที่จัดพิธีที่จะให้เขาขึ้นสวมมงกุฎเพียงคนเดียว เขายืนยันว่าเขาจะขึ้นสวมมงกุฎพร้อมกับอันนา


การจัดพิธีสวมมงกุฎพร้อมกับแต่งตั้งราชินีนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเกรย์คาสเซิล


เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบงานพิธีย่อมต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน แต่สำหรับเขาซึ่งมีอำนาจอยู่ในมือนั้นไม่ได้รู้สึกกดดันแม้แต่น้อย ส่วนบารอฟเองก็สนับสนุนเขาอย่างน่าแปลกใจ


โรแลนด์โน้มตัวลงแล้วให้อันนาสวมมงกุฎให้เขาก่อน จากนั้นเขาจึงเอามงกุฎของราชีนีค่อยๆ สวมให้อันนา


ในตอนที่ทั้งสองคนหันกลับมา ทุกคนต่างคุกเข่าลงไป


“ขอจงทรงพระเจริญ!”


ท่ามกลางเสียงถวายพระพร เขาจับมืออันนาเอาไว้แล้วค่อยๆ เดินไปยังบันไดไม้ที่สร้างเอาไว้ด้านหนึ่งของท้องพระโรง ก่อนจะเดินขึ้นไปยังระเบียงของปราสาท


ด้านล่างสวนมีเสียงดังกระหึ่มขึ้นมาทันที


ยังไม่ทันทีเขาจะได้ยกมือส่งสัญญาณใดๆ ชาวบ้านที่มารอคอยอยู่เป็นเวลานานแล้วพากันตะโกนถวายพระพรออกมา


“ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงพระเจริญ!”


“พระราชาจงเจริญ!”


“เมืองเนเวอร์วินเทอร์จงเจริญ!”


ชาวเมืองพากันส่งเสียงโห่ร้องดังสนั่นสะเทือนไปถึงบนฟ้า ริบบิ้นสีและกลีบดอกไม้ถูกโปรยลงมาจากระเบียง ก่อนจะพัดปลิวไปตามสายลมจนแทบจะมองไม่เห็นหิมะที่ตกลงมา


อีกฟากหนึ่ง ภายในค่ายของกองทัพที่หนึ่งก็มีเสียงปืนใหญ่ดังสนั่นสลับกับเสียงนาฬิกาภายในเมือง และในเวลานี้ ณ ดินแดนที่เชื่อมต่อระหว่างดินแดนตะวันตกกับดินแดนรกร้าง ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลองค์ใหม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 1031

 

ราชาแห่งเกรย์คาสเซิล (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในขณะเดียวกัน


ณ เมืองกลอรี


ฮอฟอร์ด ควินน์ที่ได้ยินเสียงนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงวันวางปากกาขนนกในมือลง พร้อมกับมองออกไปทางตะวันตกเฉียงใต้


ข่าวการขึ้นครองราชย์ของวิมเบิลดันที่สี่นั้นไม่เพียงแต่จะแพร่กระจายไปทั่วทั้งเกรย์คาสเซิล แต่ในอาณาจักรดอว์นก็มีคนเอาเรื่องนี้มาป่าวประกาศเรื่องนี้เป็นจำนวนมากเหมือนกัน จากกำหนดการที่ได้แจ้งไว้บนประกาศ ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด ในเวลานี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ราชาหนุ่มคนนั้นจะขึ้นสวมมงกุฎแล้ว


ช่างเร็วจริงๆ


ฮอร์ฟอร์ดอดทอดถอนใจออกมาไม่ได้ เขาอายุน้อยกว่าแอนเดรียสองสามปี แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นราชาที่ไม่อาจต่อกรได้ อิทธิพลของเขาได้แผ่ขยายจนมาถึงอาณาจักรเพื่อนบ้านเรียบร้อยแล้ว


หลังจากที่ทำศึกกับตระกูลโมยาไป เหล่าขุนนางภายในอาณาจักรดอว์นมีอยู่หลายคนที่ไม่รู้จักชื่อจริงของวิมเบิลดันที่สาม แล้วก็มีบางคนที่ไม่รู้จักชื่อโรแลนด์ วิมเบิลดัน ตอนแรกข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับราชาแห่งเกรย์คาสเซิลแพร่กระจายอยู่แต่ในกลุ่มหอการค้าใต้ดิน จนภายหลังข่าวลือต่างๆ ก็ได้แพร่กระจายออกมาสู่โลกภายนอกเหมือนกับไฟลามทุ่ง


เมื่อสามปีก่อนเขายังเป็นเพียงผู้ปกครองเมืองเล็กๆ ที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง แล้วก็เป็นคนที่โดนดูถูกมากที่สุดในตระกูลวิมเบิลดัน


การที่เขาขยายอำนาจขึ้นมาได้รวดเร็วขนาดนี้เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก ถ้าจะใช้คำว่าสัตว์ประหลาดมานิยามก็ดูจะไม่มากเกินไป ซึ่งการกระทำหลายๆ อย่างของเขาก็ทำให้หลายๆ คนรู้สึกไม่เข้าใจ อย่างเช่นงานราชาภิเษกในครั้งนี้ นับแต่อดีตมา ไม่เคยมีราชาองค์ไหนที่เลือกจัดงานราชาภิเษกในเดือนแห่งปีศาจเหมือนอย่างเขามาก่อน


ปกติราชาแบบนี้มักจะปรากฏตัวขึ้นในช่วงที่บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย แต่เมื่อคิดโยงไปถึงสงครามแห่งโชคชะตาแล้ว ฮอฟอร์ดแอบรู้สึกนี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือของโลกใบนี้


“ฝ่าบาท” คำพูดขององครักษ์คนหนึ่งขัดจังหวะความคิดเขา “ท่านฮิลล์ ฟ็อกซ์ส่งจดหมายมาฉบับหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”


“อ้อ?” ฮอฟอร์ดได้สติกลับมา “เปิดออกอ่านให้ข้าฟังซิ”


“พ่ะย่ะค่ะ”


‘ฝ่าบาท’ ช่างเป็นคำเรียกที่ทำให้คนลุ่มหลงได้ง่ายเสียจริง เขาเป็นหัตถ์พระราชามาเกือบ 20 ปี พูดคำว่าฝ่าบาทมาแล้วนับพันนับหมื่นครั้ง เดิมเขานึกไว้แล้วว่าตัวเองจะไม่รู้สึกหวั่นไหวกับคำๆ นี้ แต่ในตอนที่ถูกคนอื่นเรียกตัวเองแบบนี้ เขายังคงรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างในใจมันพองโตขึ้นมา


อย่างนั้นก็แสดงความยินดีกับราชาแห่งเกรย์คาสเซิลแล้วกัน


ฮอฟอร์ดรู้ว่าที่เขาสามารถนั่งอยู่บนบัลลังก์นี้และทำให้พวกขุนนางคนอื่นไม่กล้าโต้แย้งได้นั้นเป็นเพราะว่าเขามีอาณาจักรเพื่อนบ้านคอยสนับสนุนอยู่ พวกตระกูลใหญ่โตเหล่านั้นไม่ได้กลัวมีดดาบในมืออัศวินตระกูลควินน์ แต่พวกเขากลับหวาดกลัวเสียงฟ้าผ่าที่สามารถถล่มทุกสิ่งให้เป็นหน้ากลองได้ ในช่วงที่สถานการณ์กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ การเอาชะตาชีวิตของตระกูลไปผูกเอาไว้กับรถของเกรย์คาสเซิลถือเป็นวิธีที่ฉลาดที่สุด


“บนจดหมายบอกว่าทีมค้นหาแร่ของเกรย์คาสเซิลกำลังเดินทางเข้ามาในอาณาจักรดอว์นพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนจากพระองค์”


“แจ้งเรื่องนี้กับทางเอิร์ลโลซี ให้เขาพาอัศวินออกไปต้อนรับ” ฮอฟอร์ดสั่งการออกไปอย่างรวดเร็ว “ส่วนเจ้าก็ไปแจ้งกับเจ้าเมืองต่างๆ ให้พวกเขาให้ความช่วยเหลือกับหน่วยค้นหาหน่วยนี้อย่างเต็มที่”


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”


…..


เกาะอาร์ชดยุค เขตทะเลของวูล์ฟฮาร์ท


ถึงแม้ที่นี่จะห่างไกลจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเดือนแห่งปีศาจ แต่ลมทะเลที่ชื้นและเย็นที่พัดผ่านขึ้นมาบนฝั่งก็ยังทำให้เมืองมีความหนาวเย็นอยู่ บนถนนที่เฉาะแฉะมีคนแค่ไม่กี่คนเดินสัญจรไปมา มีเพียงตรงท่าเรือเท่านั้นที่พอจะให้เห็นคนทำงานอยู่บ้าง


ด้วยเหตุนี้เพิงขายเหล้าที่ตั้งอยู่ข้างโกดังตรงท่าเรือจึงค่อนข้างสะดุดตา ส่วนใหญ่แล้วลูกค้าของร้านจะเป็นพวกลูกเรือที่มากินเหล้าราคาถูกเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น เมื่อเทียบกับร้านเหล้าที่สามารถบังลมหนาวได้แล้ว แขกที่แวะมาที่นี่ปกติก็แค่มากินเหล้าแก้อยากกับไล่ความเย็นที่อยู่ในกระเพาะ น้อยคนนักที่ดื่มเหล้าเสร็จแล้วยังนั่งต่ออยู่ในร้าน แต่ในเวลานี้ตรงหน้าเพิงขายเหล้ากลับมีคนมารวมตัวกันเกือบร้อยคน


ผู้หญิงที่ใส่ชุดเก่าๆ คนหนึ่งก็ถูกดึงดูดสายตาเอาไว้เหมือนกัน


“ฟาร์รีนา?” มีคนพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา “เจ้าดูอะไรน่ะ? พวกเราต้องไปแล้วนะ”


“ปีศาจ” เธอตอบ


“อะไรนะ…” อีกฝ่ายหน้าเปลี่ยนสีไปทันที


“ข้าได้ยินคนพูดถึงปีศาจ” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าฟาร์รีน่าพูดทวนอีกครั้ง “รออีกเดี๋ยวค่อยไป โจ”


ผู้ชายคนนั้นลังเลเล็กน้อย สุดท้ายจึงก้มหัวลงมาแล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “พระ…สังฆราชเหรอ””


“นี่ไม่ใช่คำสั่ง” ฟาร์รีน่าโบกมือปฏิเสธ จากนั้นจึงก้าวเท้าเข้าไปหากลุ่มคนเพื่อที่จะได้ฟังชัดขึ้น


“ข้าไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวขนาดนั้นมาก่อน อีกของพวกมันยาวกว่าตัวคนเสียอีก เขี้ยวก็ใหญ่เท่ามือ กำแพงเมืองเรียกได้ว่าเป็นสิ่งไร้ค่าสำหรับพวกมัน!” ต้นกำเนิดเสียงเหมือนจะมาจากพ่อค้าคนหนึ่ง การที่ถูกผู้คนรุมล้อมเอาไว้ทำให้เขาดูคึกคักเป็นพิเศษ เสียงของเขายิ่งพูดยิ่งดัง “แต่ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด บนตัวปีศาจพวกนั้นยังมีปีศาจอีกชนิดหนึ่งนั่งอยู่ ดูแล้วเหมือนคน แต่รูปร่างใหญ่กว่ามาก หอกที่ปาออกมาเหมือนมีลูกตางอกออกมา ทั้งเร็วและแรง เกราะไม่สามารถกันพวกมันเอาไว้ได้เลย! ตอนนั้นข้ากลัวจนเกือบเยี่ยวรดกางเกงตัวเองแหนะ”


ภายในกลุ่มคนมีเสียงอุทานตกใจออกมา


“จริงเหรอ? อย่างนั้นก็เท่ากับว่าไม่มีใครทำอะไรมันได้น่ะสิ?”


“ถ้าอยู่แต่บนฟ้า เราก็ทำอะไรมันไม่ได้เลย!”


แล้วก็มีบางคนที่แสดงความดูถูกออกมา


“เจ้าขี้คุยมากกว่ามั้ง ปีศาจอะไร เจ้าแยกความต่างของสัตว์อสูรกับปีศาจออกเหรอ?”


“นั่นสิ ลองไปเดินเล่นที่เฮอร์มีสดูไป ที่นั่นสัตว์ประหลาดอะไรก็มีหมด แต่เจ้าฉี่ราดง่ายขนาดนี้ ระวังน้องชายเจ้ามันจะแข็งจนหลุดออกมาล่ะ”


“ถุย พวกเจ้ามันจะไปรู้อะไร!” พ่อค้าคนนั้นตะโกนขึ้นมา “นั่นมันเป็นชื่อที่่ฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดันทรงเป็นคนตั้งขึ้นมา พระองค์ทรงอยู่ที่ดินแดนตะวันตกมาหลายปีแล้ว แล้วพระองค์จะไม่รู้ถึงความต่างของสัตว์อสูรกับปีศาจได้ยังไง? ถ้าจะให้ข้าพูดนะ พวกสัตว์อสูรมันก็เป็นเหมือนพวกผู้อพยพที่เร่ร่อนไปมา ส่วนปีศาจมันคือกองทัพที่รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี! เจ้าเคยเห็นสัตว์อสูรมันเป็นกลุ่มบุกโจมตีเมืองเหรอ?”


“ถ้าที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง อย่างนั้นเกรย์คาสเซิลจะกันไหวเหรอ?”


“เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจ จริงอยู่ที่ตอนนั้นมันอันตรายอย่างมาก แต่จู่ๆ บนกำแพงเมืองก็มีเปลวไฟกับสายฟ้าสว่างขึ้นมาพร้อมกับเสียงปังๆๆ เหมือนกับลูกเห็บตก!” น้ำลายเขากระเด็นว่อน “แค่พริบตาปีศาจก็ระเบิดกลางอากาศ เศษเนื้อกระจัดกระจายไปทั่ว แถมยังมีปีศาจตัวหนึ่งตกลงมาหน้าโรงแรมที่ข้าพักอยู่ บนหน้าอกมันเป็นรูโหว่ขนาดเกือบเท่าชาม ไม่รู้ว่าพวกเขาทำได้ยังไง!”


“รถหน้าไม้ยังทำแบบนั้นไม่ได้เลย จากที่เจ้าว่ามา อย่างนี้ราชาองค์นั้นก็แข็งแกร่งไม่ต่างกับพระเจ้าน่ะสิ?”


“ฮ่าๆ ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าพระองค์ทรงกำจัดศาสนจักรได้ยังไงล่ะ?”


เมื่อได้ฟังคำพูดประโยคนี้ ฟาร์รีน่าพลันกำหมัดขึ้นมาทันที


“…..” โจกดไหล่ของเธอเอาไว้ ก่อนจะส่ายหัวไปทางเธออย่างเงียบๆ


“ข้ารู้” เธอสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะคลายมือออก “เรื่องนี้เจ้าคิดว่ายังไง?”


“พระจันทร์สีแดงยังไม่ปรากฏขึ้นบนโลก ตามหลักแล้วปีศาจน่าจะยังไม่สามารถปรากฏตัวขึ้นมาบนแผ่นดินรกร้างได้ แต่คำอธิบายเรื่องปีศาจของเขาคล้ายสิ่งที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่เหมือนเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาแรก ดังนั้นข้าเองก็…ก็ไม่อาจแยกแยะได้เหมือนกัน” โจชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะทำสีหน้ากังวลขึ้นมา “แต่ว่าเรื่องพวกนี้มัน…”


“ไม่เกี่ยวกับพวกเราอีกแล้ว” ฟาร์รีน่าพูดต่อ “เจ้าพูดถูก โจ พวกเราต้องแก้ไขปัญหาของตัวเองก่อน”


หลังจากที่ทัคเกอร์ ธอร์ที่เป็นรักษาการณ์พระสันตะปาปาเสียชีวิตลง เธอก็ทำตามคำสั่งเสียของอีกฝ่ายด้วยการกองทหารพิพากษาส่วนที่เหลือหนีออกมาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ เพื่อไปสร้างศาสนจักรแห่งใหม่ขึ้นที่เกาะอาชดยุคของวูล์ฟฮาร์ท ที่นั้นเคยเห็นสถานที่ตั้งของสมาคมบลัดแฟงค์ หลังจากถูกศาสนจักรทำลายไป ศาสนจักรก็ได้ส่งคนไปประจำอยู่ที่นั่นเพื่อป้องกันเหล่าแม่มดกลับมาใหม่ ที่นั่นจึงเหมาะที่จะเป็นจุดที่พวกเธอจะหนีไปตั้งหลักอย่างมาก


แต่คิดไม่ถึงเลยว่าข่าวศาสนนจักรล่มสลายจะแพร่กระจายมาเร็วกว่าฝีเท้าของพวกเขา หลังจากรู้ว่าฮอร์มีสพ่ายแพ้แล้ว มุขนายกบนเกาะอาชดยุคก็ไม่ยอมรับสถานะที่ศาสนจักรมอบให้อีก หากแต่หันไปร่วมมือกับพวกขุนนาง แล้วกลายเป็นเอิร์ลของเกาะอาชดยุค แถมยังจับทูตของศาสนจักรที่ถูกส่งไปเอาไปแขวนคออยู่ที่นอกเมืองด้วย


การหักหลังในครั้งนี้ได้ทำร้ายจิตใจของเหล่าทหารพิพากษาอย่างรุนแรง หลังจากนั้นก็มีทหารหลายๆ คนที่ถอนตัวหนีออกจากกลุ่มไป ตอนนี้พวกเขามาอยู่ที่เกาะอาชดยุคได้ครึ่งปีแล้ว แต่พวกเขากลับต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนพวกโจรใต้ดิน ถ้าหากไม่สามารถชูธงของศาสนจักรขึ้นมาได้อีก เกรงว่าศาสนจักรคงต้องจบสิ้นลงในมือของเธอแล้ว


ทางเดียวที่จะช่วยศาสนจักรจากสถานการณ์ที่ล่อแหลมนี้ได้คือกำจัดพวกทรยศนั้นให้หมด


แต่สิ่งที่ยากก็คือในมืออีกฝ่ายนั้นมีทหารอาญาสิทธิ์อยู่


นี่คงเป็นศึกหนักอย่างแน่นอน


“พวกเราไปกันเถอะ” ฟาร์รีน่าดึงหมวกขึ้นมาคลุมศีรษะ ก่อนจะมองไปที่เพิงขายเหล้าเป็นครั้งสุดท้าย


พ่อค้าคนนั้นยังคงพูดไม่หยุด “ที่นั่นมีเรื่องที่น่าสนใจเยอะแยะมากมาย! อย่างเช่นเรือเหล็กสีดำที่ใหญ่เหมือนภูเขาขนาดย่อมๆ เทียบกับหอคอยสวรรค์แล้วยังสูงกว่าไม่รู้ตั้งเท่าไร ขอเพียงได้ไปซักครั้งต้องไม่มีทางลืมแน่นอน!”


“เจ้าเล่ามาให้หมด เดี๋ยวข้าเติมเหล้าให้เจ้าเอง!”


“ทั้งหมดนี่เป็นฝึมือของเจ้าชายลำดับที่สี่องค์นั้นเหรอ?”


“อือ แน่นอน แต่เจ้าไม่สามารถเรียกพระองค์ว่าเจ้าชายได้อีกแล้ว เพราะตอนที่ข้าออกมาจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ พระองค์ได้ตัดสินพระทัยที่จะขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการแล้ว! ส่วนวันที่ก็…เดี๋ยวข้าคิดก่อนนะ เอ่อ…ก็น่าจะเป็นวันนี้นี่แหละ!”


“โอ้ว? อย่างนั้นตอนนี้พระองค์ก็เป็นราชาแห่งเกรย์คาสเซิลแล้วน่ะสิ?”


“ฮ่าๆๆๆ ถูกต้อง” พ่อค้ายกแก้วเหล้าที่มีเหล้ารินอยู่เต็มขึ้นมา “ในเมื่อบังเอิญขนาดนี้ อยางนั้นข้าขอคารวะให้ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลหนึ่งแก้วแล้วกัน!”


“แด่ราชาแห่งเกรย์คาสเซิล!” ทุกคนต่างพากันชูแก้วเหล้าขึ้นมา


ราชา…แห่งเกรย์คาสเซิลอย่างนั้นเหรอ? ฟาร์รีน่ายิ้มเยือกเย็นขึ้นมา เจ้าสร้างอาณาจักรที่ดูหรูหราของเจ้าต่อไปเถอะ ในตอนที่สงครามแห่งโชคชะตามาถึง โลกนี้ก็จะเหลือแต่เพียงเศษซาก ช้าเร็วพวกเราจะต้องได้เจอกันในนรกที่แท้จริงแน่นอน สิ่งที่เดียวที่ต่างกันคือใครจะไปก่อนไปหลังเท่านั้น ถ้าครั้งนี้ไม่สามารถเอาชนะพวกทรยศได้ ข้าก็จะไปก่อน แต่ถ้าข้าชนะ อย่างนั้นข้าก็จะอยู่ที่นี่และรอฟังข่าวที่เจ้าจะตกลงไปยังขุมนรก


ฝ่าบาทโรแลนด์ วิมเบิลดัน

 

 

 


ตอนที่ 1032

 

ราชาแห่งเกรย์คาสเซิล (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ปลายสุดของซิลเวอร์สตรีม ณ ทะเลทรายในดินแดนทางใต้สุด


ไบรอันนั่งรอฟังข่าวจากแนวหน้าอยู่ในเต็นท์อย่างเงียบๆ ส่วนคนที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือกูเอลส์ เบิร์นเฟลมซึ่งเป็นหัวหน้าของเผ่าไวลด์เฟลมและทูรามซึ่งเป็นผู้เฒ่าในเผ่าพราวด์แซนด์


ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนเป็นตัวแทนของเผ่าโมเกน


บวกกับหัวหน้ากองพันปืนของชีค เรียกได้ว่าบุคคลที่สามารถกำหนดชะตาชีวิตของชาวทะเลทรายได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว


ลมหนาวที่อยู่ด้านนอกพัดแรงจนเต็นท์ส่งเสียงดังพึบพับๆ แต่ภายในเต็นท์กลับอบอุ่นอย่างมาก เหมือนทะเลทรายผืนนี้ตั้งอยู่บนเตาไฟขนาดใหญ่ ไม่ว่าบนพื้นจะหนาวเย็นแค่ไหน แต่ถ้าเอาเท้าฝังไปในพื้นทราย ก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเครื่องทำความร้อนในเมืองเนเวอร์วินเทอร์เลย


คนในพื้นที่ได้ประดิษฐ์สิ่งที่เรียกว่า ‘เตียงทราย’ ขึ้นมาด้วยการขุดพื้นทรายขนาดเท่าคนหนึ่งคน จากนั้นเปลี่ยนทรายสีขาวๆ เป็นทรายละเอียดที่ผ่านการกรองมาแล้ว เมื่อเอาตัวฝังลงไปในนั้นก็จะสามารถรักษาอุณภูมิในร่างกายเอาไว้ได้ ส่วนสัมผัสนุ่มๆ ของทรายละเอียดนั้นก็ทำให้ร่างกายรู้สึกสบายกว่าผ้าปูเตียงที่ทอขึ้นมาจากผ้าปอเสียอีก ถ้าด้านบนมีเต็นท์กางคลุมเอาไว้ เรียกได้ว่าสามารถผ่านฤดูหนาวไปได้สบายๆ


เสียดายที่ความร้อนตรงนี้ได้ทำลายสิ่งมีชีวิตในพื้นที่นี้ไปจนหมด น้ำทะเลระเหยไปจนทำให้มีเกลือปรากฏออกมาเรื่อยๆ ทำให้ทะเลทรายที่ยาวเป็นร้อยกิโลเมตรกลายเป็นสีขาว อย่าว่าแต่ต้นไม้ใบหญ้าเลย แม้แต่หนอนทะเลทรายกับแมงป๋องก็ยากที่จะพบเห็นได้


เมื่อไม่มีโอเอซิส ก็ไม่มีแหล่งอาหาร ที่ราบขนาดใหญ่นี้ไม่ได้ต่างอะไรกับดินแดนแห่งความตาย ถ้าพูดถึงความรกร้างแล้ว ในดินแดนทางใต้สุดคงจะมีแต่แบล็กสวอมเท่านั้นที่จะรกร้างกว่าที่นี่


ในเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา ชาวโมเกนได้สร้างกระท่อมไม้เอาตามแนวดินเค็มด่าง เพื่อให้คนที่มาเก็บเกลือได้ใช้พักอาศัยชั่วคราว แต่ตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว


“เจ้าดูจะไม่กังวลใจเลยนะ พ่อหนุ่ม” จู่ๆ กูเอลส์ก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา “เผ่าไวลด์เวฟกับเผ่าคัทโบนนั้นเป็นเผ่าใหญ่ที่มีความแข็งแกร่งอย่างมากในเมืองไอรอนแซนด์ ถึงแม้ชีคจะสามารถบดขยี้พวกเขาได้สบายๆ แต่มันไม่ได้หมายความว่าเผ่าเล็กๆ พวกนั้นจะทำได้ เจ้าเชื่อใจพวกเขาขนาดนั้นเลยเหรอ?”


เมื่อมีคนพูดเปิดประเด็นขึ้นมา ทูรามจึงรีบพูดเสริมขึ้นมาบ้าง “ในหนึ่งปีมานี้ เมืองไอรอนแซนด์ไม่มีเผ่าใหม่เผ่าไหนได้ขยับขึ้นมาเป็นหกเผ่าใหญ่เลย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาควบคุมทรัพยากรที่จะเข้าไปในเมืองเอาไว้หมดแล้ว และในดินแดนทางใต้สุด ขอเพียงมีอาหารเพียงพอ เผ่าก็จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ เกรงว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาจะแข็งแกร่งกว่าตอนก่อนที่ท่านจะมาที่นี่อีกนะ”


“เชื่อใจ? ไม่…” ไบรอันส่ายหัว “ข้าไม่ได้มีความเชื่อใจให้พวกเขาเลย”


“อย่างนั้น….ทำไมท่านถึงไม่ใช่กองทัพของชีคล่ะ?” ทูรามถามอย่างแปลกใจ “ขอเพียงเลือกคนออกมาซักร้อยคน บวกกับนักรบของเผ่าไวลด์เฟลมกับพราวด์แซนด์ พวกโอหังพวกนั้นจะต้องไม่กล้าก้าวออกมาจากโอเอซิสเล็กแม้แต่ก้าวเดียวแน่”


“แล้วหลังจากนั้นล่ะ? ให้กองทัพที่หนึ่งคอยลาดตระเวนตามซิลเวอร์สตรีม แล้วก็คอยเป็นผู้ปกป้องเผ่าเล็กๆ พวกนั้นไปตลอดเหรอ?” ไบรอันมองไปทางเขา “เจ้าคิดว่าฝ่าบาททรงอยากจะเห็นภาพแบบนั้นเหรอ?”


“เอ่อ มันก็…” ทูรามพูดไม่ออกไปทันที


หลังแผนอพยพเริ่มดำเนินการไปได้ไม่นาน แผนงานต่างๆ ของดินแดนทางใต้สุดก็เริ่มดำเนินงานตามมาด้วย นอกจากการสร้างท่าเรือเรฟเวลรี่ขึ้นมาตรงแหลมเอนด์เลสแล้ว งานสำคัญอีกงานหนึ่งก็อยู่ที่พื้นที่ดินเค็มด่างตรงปลายสุดของซิลเวอร์สตรีม เนื่องจากที่นี่ไม่มีแม้น้ำ ถ้าอยากจะขนเอาทรัพยากรทางอุตสาหกรรมสีขาวเหล่านี้ออกไปนอกทะเลทราย ก็มีแต่ต้องใช้แรงงานคนและสัตว์ รถลากคันแล้วคันเล่าถูกลากไปยังแม่น้ำสายย่อยของแม่น้ำแดงที่อยู่ใกล้ที่สุด


ด้วยเหตุนี้ทางสันเขาฟอลเลนดราก้อนและท่าเรือเคลียร์วอเทอร์จึงให้ข้อเสนอที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดชาวทะเลทรายให้มาทำงานขนเกลือมากขึ้น


ในระยะเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งปี ตรงชายขอบของดินเค็มด่างก็มีเต็นท์และผู้คนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก


หลุมลึกหลุมแล้วหลุมเล่าถูกขุดขึ้นมา น้ำจืดที่ถูกสูบขึ้นมาจากซิลเวอร์สตรีมถูกนำมาใช้ดื่มกิน ขณะเดียวกันก็ใช้กรองและทำให้เกลือบริสุทธิ์


โรงงานแบบง่ายๆ ถูกตั้งขึ้นมา มันไม่มีทั้งไอน้ำที่ถูกพ่นออกมา แล้วก็ไม่มีเสียงร้องของเครื่องจักร ทุกอย่างล้วนแต่ใช้แรงงานคน ขั้นตอนทุกอย่างเหมือนกับการร่อนทอง ผู้คนรวบรวมเอาเกลือที่กระจัดกระจายอยู่ในทรายมาทำให้มันตกผลึกเป็นก้อนๆ จากนั้นจึงบรรทุกใส่รถแล้วขนออกไปยังดินแดนตะวันตกเพื่อเอาไปทำการแปรรูปอีกทีหนึ่ง งานที่จำเจและน่าเบื่อนี้ได้กลายเป็นท่วงทำนองใหม่ของพื้นที่ดินเค็มด่าง


ถึงแม้จะไม่มีโอเอซิส หนอนทะเลทรายและแมงป่อง แต่ที่นี่กลับค่อยๆ คึกคักขึ้นมาทีละน้อย


ค่าตอบแทนอันน่าเย้ายวนไม่เพียงแต่ดึงดูดผู้อพยพเท่านั้น แต่มันดึงดูดเผ่าเล็กๆ ที่ยังไม่ทำการตัดสินใจเหล่านั้นด้วย พวกเขามักจะเดินทางมาเป็นกลุ่มแล้วใช้แรงงานเพื่อแลกกับข้าวสาลี เนื้อแห้งและผ้า คนบางส่วนก็เอาอาหารกลับไปโอเอซิสด้วยความดีใจ คนบางส่วนก็อยู่ทำงานต่อ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้อพยพ


เรื่องนี้ได้ทำให้เผ่าใหญ่ในเมืองไอรอนแซนด์เกิดความไม่พอใจ ยิ่งมีเผ่าเล็กๆ เดินทางออกมาจากโอเอซิส ก็หมายความว่าพวกเขาจะได้ทรัพยากรน้อยลง สุดท้ายความขัดแย้งนี้ก็ปะทุขึ้นมาเมื่อสองเดือนก่อน เผ่าไวลด์เวฟกับเผ่าคัทโบนพาทหารออกไปฆ่าพวกเผ่าเล็กๆ ที่เดินทางออกจากโอเอซิส ก่อนจะโยนหัวของพวกเขาเอาไว้บนทางที่ทุกคนต้องเดินผ่าน เพื่อใช้มันเตือนชาวโมเกนเผ่าอื่นๆ ที่ต้องการเดินทางออกจากโอเอซิส


เผ่าใหญ่นั้นไม่กล้าเป็นศัตรูกับราชาแห่งเกรย์คาสเซิล พวกเขาจึงหันคบดาบไปหาพวกเผ่าเล็กๆ แทน บางทีพวกเขาอาจจะคิดว่าการทำแบบนี้จะไม่ทำให้ชีคโกรธ เพราะไม่เคยมีราชาของอาณาจักรทางเหนือคนไหนที่จะสนใจความเป็นความตายของชาวทะเลทรายอย่างแท้จริงมาก่อน แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงว่าการทำแบบนี้จะเป็นการจี้จุดเมืองเนเวอร์วินเทอร์โดยตรง


ไบรอันนั้นรู้ดีว่าการทำให้ประชากรลดลงโดยไม่มีเหตุผลนั้นคือสิ่งที่ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงห้ามมากที่สุด


หัวหน้ากองพันปืนได้เตรียมพร้อมตอบโต้เอาไว้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนที่จดหมายของกูเอลส์จะส่งมาถึงแล้ว


“แล้วถ้าเกิดพวกเขาล้มเหลวจะทำยังไง?” กูเอลส์ เบิร์นเฟลมนวดขมับ “ถ้าข้าจับไม่ผิดล่ะก็ คนพวกนั้นเพิ่งจะได้รับการฝึกใช้ปืนได้ไม่ถึง 3 เดือนเลยไม่ใช่เหรอ?”


“เช่นนั้นพวกเขาก็จะถูกฆ่า ชาวเผ่าที่เหลือก็จะตกเป็นทาสของเมืองไอรอนแซนด์” ไบรอันหลับตา “ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางไป ข้าได้บอกกับพวกเขาแล้วว่าศึกครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อข้า หากแต่เพื่อตัวของพวกเขาเอง ข้าได้มอบอาวุธที่ใช้ต่อสู้ให้พวกเขาไปแล้ว ถ้าพวกเขายังไม่สามารถปกป้องคนของตัวเองจากคมดาบของศัตรูได้ อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นคนของกองทัพเกรย์คาสเซิล สำหรับข้าแล้ว ข้าก็แค่ต้องฝึกคนขึ้นมาใหม่เท่านั้น”


“….” กูเอลทำสีหน้าจริงจังออกมาเป็นครั้งแรก ราวกับพยายามมองนายทหารหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ใหม่


“ยิ่งไปกว่านั้นท่านลืมอะไรไปอย่างหนึ่ง ช่วงเวลา 3 เดือนนี้เป็นแค่การฝึกใช้ปืนเท่านั้น” เขาพูดต่อว่า “นอกจากปืนแล้ว พวกเขายังมีดาบ มีมีดสั้น มีกำปั้น มีเท้าและฟัน ซึ่งอาวุธพวกนี้ก็เป็นอาวุธที่พวกชาวทะเลทรายฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กใช่ไหมล่ะ?”


ชาวทะเลทรายที่ไบรอันเลือกมาเป็นทหารก็คือพวกชาวเผ่าเล็กๆ ที่อพยพมาอยู่ที่ท่าเรือเคลียร์วอเตอร์ พวกเขาไม่เหมือนกับเผ่าใหญ่ๆ อย่างเผ่าไวลด์เฟลม ถึงแม้พวกเขาจะเลือกมาอยู่กับทางฝั่งเกรย์คาสเซิล แต่พวกเขาก็ยังคิดถึงพวกพ้องเผ่าเล็กๆ ที่อาศัยอยู่ในโอเอซิสอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงเหมาะที่จะเป็นทหารประจำท้องถิ่นมากที่สุด และอาวุธปืนรุ่นเก่าที่ถูกโละทิ้งก็กลายเป็นอาวุธประจำกายพวกเขา


ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ด้านนอกเต็นท์พลันมีเสียงฝีเท้าที่ดูเร่งรีบดังขึ้นมา


“หยุดก่อน!” ทหารที่เฝ้าอยู่หน้าเต็นท์ดังขึ้นมา


“ข้าคือโจเดลจากหน่วยสอดแนม ข้ามีเรื่องจะมาแจ้งท่านหัวหน้ากองพัน!”


“ให้เขาเข้ามา” ไบรอันลืมตาขึ้นมาทันที


ผ้าคลุมเต็นท์ด้านหน้าถูกเลิกออก ชายหนุ่มที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดคนหนึ่งพุ่งตัวเข้ามา เขาเดินโซซัดโซเซไปไม่กี่ก้าว สุดท้ายก็คุกเข่าลงไปกับพื้นราวกับหมดแรงที่จะยืนแล้ว ถึงแม้เขาจะหอบหายใจ แต่ในดวงตาเขากลับสองประกายเหมือนดวงดาว


“ท่านหัวหน้า พวกเราชนะแล้วขอรับ!”


 

 

 


ตอนที่ 1033

 

ราชาแห่งเกรย์คาสเซิล (3)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไบรอันเดินออกไปนอกเต็นท์ เหล่าทหารที่ได้รับชัยชนะกำลังทยอยเดินกลับมา


เมื่อเทียบกับตอนขาไปที่ดูเป็นระเบียบแล้ว พวกเขาในเวลาเหมือนกับพวกชาวบ้านที่อพยพเลย ร่างกายเต็มไปด้วยรอยคราบเลือก เสื้อผ้าจะไม่ขาดตรงนั้นก็เป็นรูโหว่ตรงนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องผ่านศึกหนักอย่างมากมาแน่นอน


นอกจากนี้จำนวนของทหารก็ยังน่าตกใจอย่างมาก ทีมซุ่มโจมตีจำนวน 2,000 คน ตอนนี้คนที่ยังสามารถเดินกลับมาได้มีจำนวนไม่ถึงครึ่ง บรรดาม้าและลาทั้งหมดถูกเอาไปใช้บรรทุกผู้บาดเจ็บกลับมา ม้าลาหนึ่งตัวต้องบรรทุกคนเอาไว้ 2 – 3 คน บวกกับเชลยที่ถูกคุมตัวกลับมา ทำให้กองทัพดูแตกกระจายอย่างมาก มองไกลๆ แล้วไม่เหมือนกองทัพที่ได้รับการฝึกฝนมาเลย


แต่บนสีหน้าทุกคนกลับไม่ได้มีความเศร้าสร้อยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน สีหน้าของพวกเขากลับดูมีประกายราวกับเป็นคนละคนกับตอนขาไปเลย


นี่เป็นครั้งแรกในดินแดนทางใต้สุดที่เผ่าเล็กๆ สามารถเอาชนะเผ่าใหญ่ในเมืองไอรอนแซนด์ได้!


ไบรอันรู้ดีว่าหลังศึกครั้งนี้ พวกเขาจะลอกคราบจากนายพรานกลายเป็นทหารอย่างแท้จริง


สิ่งที่ทำให้เขาพอใจมากกว่านั้นก็คือถึงแม้สภาพของหน่วยซุ่มโจมตีจะดูไม่ได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่ลืมสิ่งที่เขาเคยสอนเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน ทหารก็ห้ามทิ้งอาวุธของตัวเอง


ถุงน้ำ ถุงเสบียงของคนส่วนใหญ่ต่างหล่นหายไป บางคนแม้แต่รองเท้าก็เหลืออยู่แค่เพียงข้างเดียว แต่มือและมีดยังคงห้อยอยู่ด้านหลังพวกเขา


กองทัพที่หนึ่งไม่สามารถปกป้องดินแดนทางใต้สุดแทนชาวทะเลทรายไปได้ตลอด พวกเขาจำเป็นต้องพึ่งตัวเอง ทำให้เผ่าของตัวเองสามารถรักษาระเบียบที่เกรย์คาสเซิลกำหนดขึ้นมาได้ แต่ไบรอันรู้ดีว่าสิ่งที่ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงต้องการนั้นไม่ใช่แค่เพียงเท่านี้


พระองค์ทรงต้องการทหารมากกว่านี้ พระองค์ทรงต้องการให้ชาวโมเกนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในสงครามแห่งโชคชะตาด้วย


และในตอนนี้ คนเหล่านี้ก็มีคุณสมบัติที่จะได้พัฒนาต่อไปได้อีกขั้น


หัวหน้ากองพันปืนหมุนตัวกลับมา จากนั้นจึงพยักหน้าให้โจเดล “ไหนเจ้าของเล่ารายละเอียดการรบมาให้ละเอียดซิ”


สำหรับการรบในครั้งนี้เรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่น่าประทับใจเลย ในทางกลับกัน มันกลับเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดและช่องโหว่ ตามแผนที่วางเอาไว้ ชาวทะเลทรายจำนวน 2,000 คนจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งแกล้งทำเป็นเหยื่อล่อ พวกเขาจะทยอยกันกลับไปยังโอเอซิสในซิลเวอร์สตรีม จากนั้นก็จะฉวยโอกาสตอนกลางคืนเดินเลียบซิลเวอร์สตรีมขึ้นไปทางเหนือ เพื่อแสร้งทำเป็นว่าจะแอบเดินทางไปยังพื้นที่ดินเค็มด่าง ส่วนชาวทะเลทรายอีกกลุ่มนึงจะไปซุ่มอยู่ในโอเอซิสที่ไม่มีผู้คนตรงปลายสุดของซิลเวอร์สตรีม


เผ่าไวลด์เวฟกับเผ่าคัทโบนที่ทราบข่าวนี้ย่อมไม่ยอมให้เผ่าเล็กๆ พวกนี้มาท้าทายอำนาจของตัวเองแน่นอน ทหารม้าจำนวน 800 กว่าคนออกเดินทางจากเมืองไอรอนแซนด์แล้วเดินตามรอยเท้าของ ‘พวกทรยศ’ ไป ถึงแม้จำนวนของเหยื่อล่อจะมีเยอะกว่า แต่สำหรับเผ่าเล็กๆ ที่ถูกมองว่าต่ำต้อยกว่าพวกหมาเฝ้าบ้านนั้น พวกเผ่าใหญ่ไม่ได้มองพวกเขาอยู่ในสายตาเลย


ชาวทะเลกลุ่มนึงหนี อีกกลุ่มนึงก็ไล่ตาม ไม่นานทั้งสองกลุ่มก็มาถึงจุดซุ่มโจมตี เมื่อถึงตรงนี้ก็ยังถือว่าแผนการดำเนินไปตามที่วางเอาไว้อยู่ แต่ว่าหลังจากนั้นแผนการกลับวุ่นวายขึ้นมา


ตามหลักแล้ว ‘เหยื่อล่อ’ ควรจะแกล้งทำเป็นยอมแพ้เพื่อหลอกให้อีกฝ่ายลงมาจากหลังม้าก่อน จากนั้นจึงฉวยโอกาสทำให้ม้าตกใจวิ่งหนีไป แล้วค่อยให้ทีมที่ซุ่มโจมตีอยู่ลงมือ แต่ชาวทะเลทรายที่รับผิดชอบในการปิดเส้นทางกลับจุดไฟสัญญาณขึ้นมาเร็วเกินไป เมื่อมีแสงไฟสว่างขึ้นมา พวกศัตรูก็รู้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที พวกเขาฝ่าวงล้อมออกไปยังเส้นทางที่มาในตอนแรก ถ้าไม่เป็นเพราะมีการเตรียมน้ำสีดำเอาไว้เป็นจำนวนมาก การซุ่มโจมตีครั้งนี้คงจะล้มเหลวไปแล้ว


การต่อสู้หลังจากนั้นกลายเป็นการต่อสู้ที่วุ่นวายอย่างมาก เหยื่อล่อชักดาบแล้วพุ่งเข้าใส่ศัตรู ทีมที่ซุ่มโจมตีอยู่จึงได้แต่ต้องเข้าไปร่วมวงด้วย หลายๆ คนยิงปืนไปแค่นักเดียวในการต่อสู้ การตั้งแถวสลับกันยิงที่ฝึกซ้อมเอาไว้ก่อนหน้านี้ไม่ได้ถูกเอาออกมาใช้เลย วิธีในการตัดสินแพ้ชนะยังคงเป็นการวิธีที่ชาวทะเลทรายถนัดที่สุด


ก็เหมือนกับที่ไบรอันพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่ได้ใช้แค่ปืนเป็นอาวุธเท่านั้น ท่ามกลางเสียงร้องของม้าและแสงไฟที่ส่องมา โอเอซิสเล็กๆ ที่ไร้ผู้คนแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ตัดสินความเป็นความตายของพวกเขา ชาวทะเลทรายกระเด็นตกลงมาจากหลังม้าหรือไม่ก็ถูกม้าเตะจนเครื่องในแตกคือภาพที่เห็นได้บ่อยๆ ในตอนที่คนสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน แม้แต่ฟันก็ยังกลายเป็นอาวุธที่คร่าชีวิตได้


เผ่าเล็กๆ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีนักรบ ชาวทะเลทรายต้องอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายมาตั้งแต่เกิด คนที่สามารถมีชีวิตรอดท่ามกลางหนอนทะเลทรายกับแมงป่องได้ล้วนแต่เป็นสัญชาติญาณในการฆ่าที่ยอดเยี่ยม เรียกได้ว่าพละกำลังส่วนตัวของพวกเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกนักรบของเผ่าใหญ่ๆ เลย


จุดอ่อนของเผ่าเหล่านี้คือจำนวน การขาดแคลนทรัพยากรได้จำกัดการขยายตัวของเผ่าเอาไว้ ต่อให้เป็นนักรบที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีทางเอาชนะศัตรูที่มีจำนวนมากกว่า 10 เท่าได้ ถ้าขนาดของเผ่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็ยากที่จะเอาชนะเผ่าใหญ่ๆ ได้


แต่ตอนนี้จุดอ่อนตรงนี้นั้นไม่มีอยู่อีกแล้ว


ทหารในกองทัพชาวทะเลทรายนั้นมาจากเผ่าต่างๆ ในซิลเวอร์สตรีม พวกเขาไม่จำเป็นต้องฆ่าฟันกันเพื่อแย่งชิ่งทรัพยากร สิ่งที่ทุกคนกินคืออาหารที่เหมือนกัน เสื้อผ้าที่ใส่ก็เป็นชุดที่เหมือนกัน ตอนฝึกซ้อมก็อยู่ด้วยกัน ตอนนอนก็ไม่ต้องแยกกันนอน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเผ่าในเมืองไอรอนแซนด์ สิ่งที่พวกเขาขาดแคลนมากที่สุดก็มีแค่ความกล้าและความมุ่งมั่นในการทำลายกฎระเบียบเหล่านั้นลงเท่านั้น


ซึ่งการที่เผ่าไวลด์เฟลมกับเผ่าคัทโบนไปไล่ฆ่าเผ่าเล็กๆ ก็ได้จุดชนวนตรงนี้ขึ้นมาพอดี


การต่อสู้ดำเนินตั้งแต่ตอนกลางคืนไปจนถึงรุ่งเช้าอีกวัน


กองทัพชาวทะเลทรายเอาชนะมาได้


ในตอนที่เปลวไฟมอดดับลง บนโอเอซิสเหลือเพียงแต่ขี้เถ้าสีดำที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น เมื่อไม่มีต้นไม้ ไม่นานทรายก็จะกลบแหล่งน้ำที่อยู่ที่นี่ไป แล้วก็ทำให้มันหายไปจากพื้นดินตลอดกาล ซิลเวอร์สตรีมเองก็หดเล็กลง จนกระทั่งโอเอซิสแห่งใหม่ปรากฏตัวขึ้นจากการกัดเซาะของผิวทราย


แต่ชาวทะเลทรายยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป


การต่อสู้ครั้งนี้เป็นเหมือนกันสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง มันเร่งให้โอเอซิสหายไปเร็วขึ้น แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันกลับชี้ให้เห็นชาวทะเลทรายได้เห็นหนทาง


หลังฟังรายงานจบ ไบรอันก็เดินไปยืนอยู่ตรงหน้าทุกคน


“ทำได้ดีมาก! พวกเจ้าสร้างเกียรติยศให้กับตัวเองได้ แล้วก็สร้างโอกาสให้กับเผ่าของตัวเองได้! นี่คือชัยชนะของพวกเจ้า ของที่ยึดมาได้จากการรบก็ควรจะให้พวกเจ้าเป็นคนจัดการ!”


เขาชี้ไปยังนักรบของเผ่าใหญ่ที่ถูกจับตัวเอาไว้อยู่


“ฆ่า! ฆ่าพวกมันซะ!”


“ท่านหัวหน้า ญาติพี่น้องของข้าตายด้วยน้ำมือของคนพวกนี้!”


“ข้าอยากให้มันชดใช้ด้วยชีวิต!”


ไบรอันชูมือขวาขึ้นมาท่ามกลางสายตาแห่งการรอคอยของชาวทะเลทราย จากนั้นจึงเหวี่ยงมือลงมาเบาๆ ความหมายของมันไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ๆ กัน


จากนั้นก็มีเสียงฟันฉับๆ ดังขึ้นมา


เลือดสดๆ ย้อมเกลือที่อยู่ใต้เท้าเขาจนแดงฉานไปหมด เหมือนกับดอกไม้ที่เบ่งบานอยูู่ท่ามกลางหิมะ ส่วนขวัญและกำลังใจของพวกนักรบก็พุ่งขึ้นไปจนถึงขีดสุด!


“แต่ภัยจากเมืองไอรอนแซนด์ยังไม่ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น เผ่าไวลด์เวฟกับเผ่าคัทโบนยังสามารถส่งคนไปยังซิลเวอร์สตรีมได้อยู่ เผ่าของพวกเจ้ายังคงอยู่ใต้คมดาบของพวกเขา!” ไบรอันตะโกนเสียงดัง “ชีคได้พระราชทานโอกาสในการใช้ชีวิตอยู่ในโอเอซิสที่เขียวชอุ่มตลอดทั้งปี แต่พวกทรยศกลับอยากจะทำลายสิ่งเหล่านี้! บอกข้าซิว่าพวกเจ้าควรจะทำยังไง?”


“โจมตีเมืองไอรอนแซนด์ จับพวกมันไปปล่อยที่บึงแบล็กสวอม!”


“ให้พวกมันรู้ว่าการทรยศชีคจะมีจุดจบเป็นยังไง!”


“ท่านหัวหน้ากองพัน ข้ายังมีเพื่อนอยู่ในโอเอซิส ได้โปรดให้พวกเขาเข้าร่วมกองทัพด้วยเถอะขอรับ!”


“ข้าด้วย…พี่สาวน้องสาวข้าก็สามารถต่อสู้ได้!”


ในกลุ่มคนเหมือนมีเสียงโห่ร้องดังระเบิดขึ้นมาทันที พลังของมันทำเอากูเอลส์กับทูรามถึงกับต้องถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว ส่วนไบรอันนั้นมองไปทางเมืองเนเวอร์วินเทอร์


ฝ่าบาท พวกที่ก่อความวุ่นวายได้ใช้เลือดของพวกมันแต่งแต้มงานราชาภิเษกของพระองค์แล้ว ชาวโมเกนที่อยู่กันอย่างกระจัดกระจายค่อยๆ จับตัวเองกลุ่มก้อน คิดว่าอีกไม่นานเท่าไร เมืองไอรอนแซนด์จะต้องตกเป็นของพระองค์แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ


แต่นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น


สุดท้ายทั่วทั้งดินแดนตะวันตกจะเป็นของพระองค์ บนทะเลทรายแห่งนี้จะไม่มีที่ไหนที่จะขัดพระประสงค์ของพระองค์ได้อีก


หวังว่าของขวัญชิ้นนี้จะไม่ทำให้พระองค์ทรงผิดหวังนะพ่ะย่ะค่ะ

 

 

 


ตอนที่ 1034

 

เรื่องแปลกๆ ภายในงาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

การเฉลิมฉลองงานราชาภิเษกนั้นมีขึ้นตั้งแต่เช้าไปจนถึงตอนกลางคืน


หม้อใบใหญ่ 10 กว่าใบถูกนำมาตั้งเอาไว้ตรงกลางลานเมือง ในนั้นมีน้ำแกงที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นออกมา น้ำแกงภายในหม้อกำลังเดือดปุดๆ เครื่องเทศชนิดต่างๆ และน้ำมันดอกไม้กองรวมกันอยู่ข้างหม้อหนาเป็นชั้นๆ ไม่ว่าใครก็สามารถเอาอาหารโยนลงไปในหม้อได้ หลังจากต้มเสร็จแล้วก็ตักมันขึ้นมากิน ในยุคสมัยที่เครื่องเทศส่วนใหญ่เป็นของที่มีราคาแพง วิธีการฉลองแบบนี้จึงมีแรงดึงดูดอย่างมากสำหรับชาวเมือง บางคนถึงขนาดเอาหม้อเอาถังไม้มา เพราะหวังจะตักเอาน้ำแกงกลับไปค่อยๆ กินต่อที่บ้าน


แต่สำนักงานเมืองก็จะคอยมาเติมน้ำแกงกับเครื่องปรุงต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ในตอนที่กระดูดวัวที่ถูกสับจนละเอียดกับไส้กรอกถูกใส่ลงไปในหม้อ บรรดาชาวบ้านต่างพากันส่งเสียงเฮกันดังสนั่น


ในเดือนแห่งปีศาจเมื่อก่อนนี้ นี่เป็นภาพที่ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะคิด


ฤดูหนาวอันยาวนานทำให้ผู้คนไม่กล้าหายใจเอาลมหายใจอุ่นๆ ออกมาจากร่างกาย ทุกๆ อุณหภูมิที่สูญเสียไปนั้นหมายถึงการคืบเข้าไปใกล้ความตายอีกก้าวหนึ่ง แต่ตอนนี้พวกเขากลับกล้าที่จะตะโกนหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปรายลงมาโดยไม่ต้องกังวลอะไรอีก


เพราะพวกเขารู้ว่ากำลังและความอบอุ่นในร่างกายที่สูญเสียไปสามารถชดเชยเข้าไปใหม่ได้ตลอดเวลา


ไม่จำเป็นต้องมีการบอกกล่าวใดๆ ชาวเมืองต่างยกอาหารร้อนๆ ชูมาทางปราสาทเพื่อแสดงความยินดีกับการขึ้นครองราชย์ของราชาองค์ใหม่


…..


ซิลเวียดึงสายตากลับมาอยู่ภายในงานเลี้ยงในปราสาท


งานเลี้ยงที่นี่ก็คึกคักไม่แพ้กัน


ทั้งสุรา อาหารเลิศรส บทเพลง เสียงหัวเราะ อะไรที่ควรมีก็มีทั้งหมด


ในตอนที่โรแลนด์จับมืออันนาเดินเข้ามาในงานเลี้ยงด้วยชุดใหม่นั้นยิ่งทำให้หลายๆ คนรู้สึกประทับใจ


ซิลเวียเพิ่งจะเคยเห็นชุดแต่งงานแบบนี้เป็นครั้งแรก แต่ว่ามันไม่เหมือนกับชุดสีขาวในงานแต่งงานของหัวหน้าอัศวิน เพราะชุดแต่งงานในงานของหัวหน้าอัศวินนั้นยังมีความเป็นชุดราตรีในงานเลี้ยงตอนกลางคืนอยู่ แต่ชุดของอันนานั้นเหมือนเป็นชุดที่โรแลนด์ออกมาขึ้นมาใหม่ทั้งหมด สีบนชุดนั้นใช้สีแดงกับสีทองเป็นหลัก มีแขนเสื้อกับกระโปรงที่ยาว บนหัวไหล่มีริบบิ้นที่เต็มไปด้วยลวดลายห้อยตกลงมาสองเส้น ดูแล้วมีความประณีตและหรูหราอย่างมาก


ตามหลักแล้วชุดที่มีสีสันฉูดฉาดเช่นนี้จะทำให้ตัวคนใส่ดูไม่โดดเด่น แต่อันนากลับใส่แล้วเหมาะกับมันอย่างมาก ตัวเธอนั้นเป็นผู้ควบคุมเปลวเพลิง บวกกับความสามารถในการเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยม ถึงแม้จะเป็นในหมู่แม่มดเธอก็ยังดูโดดเด่น ซึ่งสีแดงสดนั้นยิ่งสะท้อนในจุดนี้ให้เห็นชัดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการออกแบบของตัวเสื้อผ้าที่ยิ่งทำให้เธอดูมีความสุขุม เหมาะกับฐานะราชินีของเธอ


ทุกคนต่างชูแก้วเหล้าให้กับทั้งสองคน ส่วนโรแลนด์กับอันนาก็ยิ้มตอบเล็กน้อย เรียกได้ว่านี่เป็นงานเลี้ยงที่สมบูรณ์แบบทีเดียว


แต่ซิลเวียกลับไม่รู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย


เพราะว่าเธอมองเห็นความผิดปกติบางอย่างในงานเลี้ยง


ในฐานะที่เป็นผู้ครอบครองดวงตาแห่งเวทมนตร์ เธอจึงมักจะเป็นแนวป้องกันแถวหน้าสุด คอยทำหน้าที่แจ้งเตือนเหล่าทหารที่อยู่ด้านหลัง และงานราชาภิเษกซึ่งเป็นงานที่มีความสำคัญอย่างมากนี้ก็ยิ่งต้องการความปลอดภัยขั้นสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นเพราะหน้าที่ของเธอ หรือพราะว่าฝ่าบาทโรแลนด์ทรงเป็นพี่ชายของเจ้าหญิงทิลลีก็ตาม เธอก็หวังว่าโรแลนด์จะปลอดภัยไร้อันตราย ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่กล้าลดระดับการป้องกันลงแม้แต่นิดเดียว


แต่ละเหตุการณ์เมื่อดูแยกกันแล้วเหมือนไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลอะไร แต่พอเอามารวมกัน มันกลับกลายเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่น่าสนใจ


นี่ทำให้ซิลเวียร์นึกถึงเพลงที่ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงร้องขึ้นมาเป็นบางครั้งบางคราว


เนื้อเพลงที่อีกฝ่ายอธิบายนั้นค่อนข้างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นไม้เท้าที่ไหม้เกรียมหรือดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอม ชิ้นส่วนหลายๆ ชิ้นที่ดูเหมือนจะไม่เข้ากัน แต่สุดท้ายมันกลับถูกใช้เพื่อปกปิดความจริงอะไรบางอย่าง


ที่น่าพูดถึงก็คือหลังจากลูน่าได้ยินเพลงนี้ เธอก็เอาเพลงนี้ไปเป็นบทเพลงประจำทีมนักสืบของเธอ


ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้นก็เหมือนจะเป็นอย่างที่ในบทเพลงว่าไว้


ถึงแม้จะไม่รู้ว่าปัญหามันเกิดขึ้นที่ตรงไหน แต่ถ้าเป็นเวลาปกติ เธอก็จะต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกไนติงเกลกับแอชเชสเพื่อให้พวกเธอเพิ่มการเฝ้าระวังอย่างแน่นอน


แต่ในเวลานี้ซิลเวียยังคงนิ่งอยู่


นั่นเป็นเพราะว่าจู่ๆ เธอพลันนึกถึงคำพูดของอันนาที่พูดกับตัวเองเมื่อสองวันก่อนขึ้นมา


“คนที่จะสามารถหยุดไม่ให้ความลับรั่วไหลออกไปได้ ก็มักจะมีแต่คนที่รู้ความลับนั้นแหละถึงจะทำได้ ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”


ในตอนนั้นเธอไม่ได้เข้าใจความหมายที่อยู่ในคำพูดอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก


จนกระทั่งวันนี้เธอถึงได้เข้าใจมันขึ้นมา คำพูดนี้ก็เป็นเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย ในตอนที่ต่อมันลงไป ภาพทั้งภาพก็จะมีความหมายขึ้นมา


เธอมองเห็นความลับแล้ว


นี่ไม่ได้ทำให้ซิลเวียรู้สึกดีใจแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เธอกลับรู้สึกได้ถึงความกดดันอย่างมาก


เพราะว่าตอนนี้เธอไม่เพียงแต่จะต้องปกป้องความลับนี้เท่านั้น แต่เธอยังต้องป้องกันไม่ให้คนอื่นระแคะระคายถึงมันด้วย


เพราะอาจจะไม่ได้มีแค่คนเดียวที่สังเกตเห็นความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้น


ซิลเวียกวาดตามองไปทั้งโถงงานเลี้ยง เป้าหมายที่เธอต้องจับตามองมีอยู่สามคน


“ฮัดเช้ย!”


โลก้าขยี้จมูกตัวเอง ใบหน้าเธอมีสีหน้าสงสัย


“เป็นอะไรเหรอ?” แอนเดรียที่อยู่ข้างๆ ถามขึ้นมาอย่างสนใจ “ที่แท้หมาป่าก็โดนความเย็นเล่นงานได้เหมือนกันเหรอ?”


“ข้าไม่รู้ว่าจมูกข้ามีปัญหาหรือเปล่า ตอนเช้าก็เป็นแบบนี้ตลอดเลย” โลก้าดมไปทางซ้ายทีขวาที “มันเหมือนภายในโถงมีกลิ่นที่ไม่เข้ากันอยู่…”


“ไม่เข้ากัน?” แอชเชสพูดแทรกขึ้นมา “หรือว่าเจ้าแยกแยะกลิ่นตัวทุกคนออก จากนั้นจับคู่มันกับเจ้าของกลิ่นได้?”


“ขอเพียงระยะห่างไม่ไกลเกินไปหรือไม่ถูกกลิ่นที่รุนแรงกลิ่นอื่นมารบกวน” โลก้าพยักหน้า


“ตอนนี้ภายในโถงมีคนเกือบร้อยคน” แอนเดรียพูดอย่างไม่เชื่อ “ต่อให้จมูกไวแค่ไหน ก็ไม่มีทางจำกลิ่นที่เยอะขนาดนี้ได้มั้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหลายคนที่ใช้น้ำหอม แล้วก็มีการสัมผัสตัวกันด้วย อย่างเช่นแบบนี้” พูดจบเธอก็เอามือที่เพิ่งจะจับขาไก่ไปลูบบนหลังมือของแม่มดอมนุษย์” ข้าเองก็เอากลิ่นแปลกๆ ไปป้ายบนตัวนางได้ แล้วแบบนี้เจ้าจะแยกได้ยังไง?”


“มันยาก…แต่เรื่องแยกแยะได้มันก็เรื่องหนึ่ง มีหรือไม่มีกลิ่นมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” หูของโลก้าลู่ตกลงมาอย่างไม่เข้าใจ “ทุกคนต่างก็ยืนอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน แต่ทำไมมันถึงมีกลิ่นสองสามกลิ่นที่มาๆ หายๆ?”


“อะแฮ่มๆ” ด้านหลังทั้งสามคนพลันมีเสียงซิลเวียดังขึ้นมา “เจ้าน่าจะไม่สบายนั้นแหละ”


“ซิลเวีย?” แอนเดรียขมวดคิ้วขึ้นมา “เจ้ามาได้ยังไง?”


“ข้าก็เดินไปทั่ว แล้วก็บังเอิญได้ยินพวกเจ้าคุยกันนั่นแหละ” เธอยักไหล่ ก่อนจะมองไปทางหมาป่าสาว “สภาพอากาศที่ดินแดนตะวันตกไม่เหมือนกับทะเลทรายทางใต้ ที่จริงมันก็มีโอกาสที่เจ้าจะเจอไข้เย็นเล่นงานได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นฤดูหนาวแรกตั้งแต่เจ้ามาอยู่ที่นี่ด้วย มันก็ไม่แปลกที่เจ้าจะรู้สึกไม่สบาย ถ้ารู้สึกว่าจมูกมันไม่โล่ง เดี่ยวไปเอายาจากลิลลีมากินก็ดีขึ้นเอง ตอนที่ข้ามาถึงที่นี่ใหม่ๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ”


“จริงเหรอ?” โลก้าพูด “ข้าเข้าใจแล้ว”


หลังเดินออกมาจากทั้งสามคน ซิลเวียก็รู้สึกโล่งใจขึ้นนิดหน่อย


โลก้า เบิร์นเฟลมมีความสามารถในการได้ยินและได้ยินที่เหนือกว่าคนธรรมดา บวกกับความสามารถในการสังเกตของสัตว์ป่า ทำให้เธอจัดอยู่ในเป้าหมายที่ต้องเฝ้าระวังอยู่ตลอด


โชคดีที่เมื่อกี้นี้เธอไปหยุดพวกเธอไม่ให้เข้าไปใกล้ความลับได้ทันเวลา


ส่วนเป้าหมายที่สองนั้น


“จิ๊บๆ จิ๊บ จิ๊บๆๆๆ…จิ๊บ!” เมซี่ที่เกาะอยู่บนหัวไลต์นิ่งกำลังคุยอะไรบางอย่างกับโจนอย่างออกรสชาติ


“ยา ยาๆ ยา….ยา!” อีกฝ่ายก็รีบตอบเหมือนกัน ทั้งสองคนเหมือนกำลังคุยเรื่องที่น่าสนใจอย่างมากอยู่


ไม่ คนนี้ปล่อยไปดีกว่า….ซิลเวียกุมขมับ ต่อให้พวกนางสังเกตเห็นอะไร แต่พวกนางก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจแน่


ที่โชคดีก็คือ คนอื่นก็ไม่มีทางได้อะไรจากพวกนางเหมือนกัน


เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็ใช้ดวงตาแห่งเวทมนตร์มองไปยังเป้าหมายคนที่สาม


ซึ่งเป้าหมายที่ว่านั้นก็คือคนที่มีโอกาสจะรู้ความลับมากที่สุด แล้วก็เป็นคนที่รับมือได้ยากมากที่สุด


ฮันนี่

 

 

 


ตอนที่ 1035

 

ในฐานะที่เป็นคนสำคัญของหนังสือพิมพ์ประจำสัปดาห์ของเกรย์คาสเซิล สายข่าวของฮันนี่นั้นมีอยู่ทั่วทุกที เรียกได้ว่าเธอมีความได้เปรียบของโลก้ากับเมซี่อยู่ในตัวคนเดียว ต้นมะกอกที่อยู่ในสวนด้านหลังปราสาทนั้นเป็นเหมือนกับฐานบัญชาการขอเธอ การจะหลบหนีสายตาของเธอนั้นไม่ใช่เรื่องงายเลย


ทว่ามันไม่ได้มีแค่นั้น


เพราะว่าเธอมักจะเป็นคนแรกที่รู้เรื่องที่น่าสนใจภายในเมือง ด้วยเหตุนี้ตอนที่มีการรวมตัวกัน เธอจึกมักจะดึงดูดพี่น้องแม่มดให้มาอยู่ข้างกายได้เป็นจำนวนมากเหมือนอย่างเช่นในตอนนี้


ไม่เพียงแต่ลูน่ากับทีมนักสืบของเธอเท่านั้น แต่ยังมีไนติงเกล เวนดี้กับบุ๊คซึ่งไม่ใช่คนที่เธอจะหลอกล่อได้ง่ายอยู่ด้วย แม้แต่ลีฟที่ไม่ได้ปรากฏตัวเป็นเวลานานอยู่มายืนอยู่ในกลุ่มของพวกเธอด้วย เหมือนว่าเธอกำลังคุยอะไรบางอย่างอยู่กับฮันนี่


‘ต้องปิดบังความลับที่ตัวเองรู้ ขณะเดียวกันก็ต้องปกป้องความลับเอาไว้’


ซิลเวียเหลือบมองไปทางอันนาที่อยู่อีกด้านหนึ่ง พร้อมกับคิดถึงคำขอของอันนาขึ้นนา ตอนนี้เธอมีแต่ต้องลุยเข้าไปแล้ว


“นกพวกนี้เป็นยังไงบ้าง?” เสียงของลีฟดังมาเข้าหูเธอทันที “ตอนที่อยู่ในป่าเร้นลับ ข้าเจอนกชนิดใหม่ ขนาดของพวกมันไม่ใหญ่ แต่กลับบินได้เร็วมาก แถมยังใจกล้ามากด้วย มันตัวเดียวกล้าที่จะสู้กับเหยี่ยวที่จะมาขโมยรังของมัน ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะใช้มันได้ ก็เลยพาพวกมันกลับมาด้วย”


เธอเห็นบนไหล่ของเธอมีนกตัวเล็กสามตัวเกาะอยู่ พวกมันกำลังไซร้ไปบนแก้มของลีฟอย่างสนิทสนม ดูแล้วไม่ได้ดุดันเหมือนอย่างที่เธอพูดเอาไว้เลย


“แน่นอน ขอบใจเจ้ามากนะ” ฮันนี่ยื่นมือไปประคองนกเอาไว้อย่างดีใจ “ไม่เจอกันนานขนาดนี้ รู้สึกเหมือนเจ้าจะกลายเป็นครูฝึกนกไปแล้วนะเนี่ย”


“น่าจะเป็นเพราะพวกมันมองว่าข้าเป็นส่วนหนึ่งของป่าล่ะมั้ง” ลีฟพูดยิ้มๆ “แต่จะว่าไป การเปลี่ยนแปลงภายในเมืองทำเอาข้ารู้สึกตกใจจริงๆ นะเนี่ย….ไม่เพียงแต่จะมีตึกเพิ่มขึ้นมาหลายตึก แถมยังมีของแปลกๆ อย่างหนังเวทมนตร์กับหนังสือพิมพ์ด้วย ถ้าไม่เป็นเพราะการบุกเบิกป่าเร้นลับก็มีเรื่องที่น่าสนใจเหมือนกัน ข้าจะต้องรู้สึกอิจฉาพวกเจ้าอย่างแน่นอน”


“เจ้าน่าจะกลับมาเมืองบ่อยๆ นะ” เวนดี้พูดอย่างอ่อนโยน “ทุกคนต่างก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน”


“ข้าก็คิดถึงพวกท่านเหมือนกัน…” ลีฟทำตาละห้อย “แต่ตอนนี้ในป่าเร้นลับมีแต่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้นที่อยู่ในการควบคุมของหัวใจแห่งป่า ข้าจำเป็นต้องรวมเป็นหนึ่งกับป่าเป็นระยะเวลานานถึงจะชินกับการรับรู้ที่ขยายขึ้นไม่หยุดได้ ถ้าอยากจะควบคุมป่าให้ได้ก่อนที่สงครามจะมาถึง ก็มีแต่ต้องแข่งกับเวลาเท่านั้น…”


“เจ้าคงลำบากแย่เลยนะ” บุ๊คลูบหัวเธออย่างเอ็นดู “ต่อไปก็ให้ไลต์นิ่งเอาหนังสือพิมพ์ส่งไปให้เจ้าก็ได้ เจ้าจะได้รู้ข่าวที่เกิดขึ้นในเมืองเนเวอร์วินเทอร์บ้าง”


“นี่เป็นความคิดที่ดี” ลูน่าพูดขึ้นมา “แต่ว่าสิ่งที่ัเขียนอยู่บนหนังสือพิมพ์นั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้กัน ถ้าเทียบกับอันนี้แล้ว ข้าอยากจะรู้เรื่องความลับที่มีคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้มากกว่า” เธอมองไปทางฮันนี่ “ถ้าเจ้าเจออะไรเข้า อย่าลืมมาบอกทีมนักสืบนะ พวกเรามีนักสืบที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ รับประกันเลยว่าจะต้องช่วยเจ้าไขปริศนาทั้งหมดได้แน่นอน”


เมื่อได้ยินคำว่าความลับ หัวใจซิลเวียพลันเต้นแรงขึ้นมา


เจ้าโง่นี่ ถามอะไรตรงๆ แบบนั้น! เธอต้องทำยังไงถึงจะเบี่ยงเบนประเด็นได้เนี่ย? ไม่สิ….ถ้าอยากจะพาลูน่าออกมาโดยไม่ทำให้ไนติงเกลกับเวนดี้สังเกตเห็นนั้นถือเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเธอ!


“อื้อ ก็มีอยู่หลายอันนะ…” ฮันนี่เอียงหัวพูด


“โอ้?” ลูน่าหรี่ตา แล้วรีบถามต่อว่า “อย่างเช่น?”


แย่แล้ว ซิลเวียเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมา จะแกล้งเป็นลมหรือแกล้งเมาดี? ตัวเองไม่มีความสามารถในการแสดงแบบนั้นซะด้วยสิ…ขอโทษด้วยนะอันนา ข้าทำเต็มที่แล้ว


“เอ่อ ถึงแม้ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน แต่ข้าพูดมันออกมาไม่ได้” ฮันนี่่แลบลิ้นออกมา “โดยเฉพาะห้ามบอกฝ่าบาทโรแลนด์ นี่เป็นคำขอของพี่เวนดี้ นางบอกว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรแปลกๆ ขึ้น ก็ต้องมารายงานนางก่อน”


“เอ๋?” ลูน่ามองเวนดี้อย่างแปลกใจ “นี่ไม่ยุติธรรม!”


เวนดี้กระแอมเล็กน้อย “ที่ข้าทำก็เพื่อสโมสรแม่มด เรื่องบางเรื่อง เจ้าอย่ารู้มันจะดีกว่า”


ซิลเวียถอนหายใจออกมา


เช่นนี้อันตรายสุดท้ายก็กำจัดออกไปได้แล้ว


อย่างนี้เธอก็ถือว่ารักษาความลับเอาไว้ได้สำเร็จ…ใช่ไหม?


ในที่สุดซิลเวียก็ผ่านงานเลี้ยงที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตเธอไปได้


…..


หลังงานเลี้ยงจบลง โรแลนด์พาอันนากลับมาที่ห้องนอน


ตอนนี้ที่นี่ถูกตกแต่งให้กลายเป็นห้องหอของทั้งสองคน ภายใต้แสงเทียนที่วูบไหวไปมา ภาพของหญิงสาวที่มงกุฎสีทองและชุดสีแดงที่สลัวขึ้นกว่าเดิม แต่มันกลับให้ความรู้สึกงดงามที่แปลกออกไป


เขาเดินเข้าไปแล้วถอดมงกุฎที่อยู่บนหัวเธอออกแล้วปล่อยผมเธอลงมา ดวงตาของทั้งสบกัน


ในดวงตาสีน้ำเงินที่เหมือนทะเลสาบ เขามองเห็นคลื่นความรักที่กระเพื่อมอยู่ในนั้น


“เรียกชื่อหม่อมฉันได้ไหมเพคะ?”


“อันนา?”


“ไม่ใช่เพคะ” เธอกะพริบตา “ชื่อเต็มของหม่อมฉัน”


“อันนา วิมเบิลดัน”


“อีกครั้งเพคะ”


“อันนา วิมเบิลดัน”


“เรียกหม่อมฉันสิบครั้งได้ไหมเพคะ?”


โรแลนด์ยิ้มขึ้นมา “จะให้เรียกกี่ครั้งก็ได้”


เมื่อได้ยินเขากระซิบที่ข้างหูเช่นนี้ สุดท้ายอันนาก็ก้มหน้าลงไปอย่างอายๆ “หม่อมฉันทำแบบนี้….มันแปลกๆ ไหมเพคะ?”


“ก็นิดหน่อย” โรแลนด์บีบจมูกเธอเบาๆ “ต่อไปเจ้าจะได้ยินชื่อนี้จนเบื่อเลย ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ไม่มีนามสกุลนี้ เจ้าก็ยังเป็นภรรยาข้าอยู่ดี”


ในโลกเดิมก่อนหน้านี้ การแต่งงานไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนนามสกุล ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวิธีเรียกหลังแต่งงานมากนัก


“ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่หม่อมฉันกลับรู้สึกว่าแบบนี้ตัวเองถึงจะถือว่าสมบูรณ์แบบ…” อันนาเอามือกุมอกตัวเองไว้ “เหมือนกับว่าหม่อมฉันไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว นี่น่าจะเป็นความสำคัญของพวกพิธีการล่ะมั้งเพคะ…ไม่ว่าจะเป็นการสวมมงกุฎหรือว่าเปลี่ยนวิธีเรียก พวกเราก็ล้วนใช้การเปลี่ยนแปลงจากภายนอกมาทำให้ตัวเรารู้ว่าเราเป็นใคร ถึงแม้ความรู้สึกของคนเราจะไม่จำเป็นต้องใช้พิธีการมาพิสูจน์ แต่ถ้าขาดมันไป ในตอนที่ิคิดถึงมันอีกครั้งก็คงจะต้องรู้สึกเสียใจและเสียดายแน่นอนเพคะ”


“….” โรแลนด์ยื่นมือไปโอบเธอเอาไว้


ในเวลานี้ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว


หลังทั้งสองคนคลอเคลียกันครู่หนึ่ง อันนาจึงพูดขึ้นมาว่า “โรแลนด์ หม่อมฉันมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอพระองค์หน่อยได้ไหมเพคะ?”


ถ้าเขาจำไม่ผิดล่ะก็ นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายเอ่ยปากขอร้องเขา


“อื้อ เจ้าว่ามาสิ”


“หม่อมฉันอยากจะรับหน้าที่เป็นหัวหน้ากองอุตสาหกรรมของพระองค์เพคะ”


โรแลนด์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “นี่มันไม่เป็นปัญหาหรอก แต่ว่าทำไมจู่ๆ เจ้าถึง…”


“เพราะว่าหม่อมฉันเป็นแค่หญิงสาวธรรมดาที่มาจากบ้านนอกน่ะสิเพคะ” อันนายิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ตอนนี้จู่ๆ หม่อมฉันก็ได้กลายเป็นราชินีของเกรย์คาสเซิล คงจะมีหลายๆ คนที่รู้สึกไม่พอใจใช่ไหมล่ะเพคะ?”


“วางใจได้ ไม่มีใครกล้ามาพูดมากเรื่องนี้หรอก” โรแลนด์พูดปลอบ


“ถ้าทุกเรื่องต้องให้พระองค์เป็นคนจัดการล่ะก็ มันก็จะเกิดความสงสัยแบบนี้ขึ้นมาไม่หยุด” เธอส่ายหัว “หม่อมฉันไม่อาจเอาแต่หลบอยู่ด้านหลังพระองค์แบบเหมือนก่อน แล้วก็มีความสุขอยู่แต่กับเรื่องที่ตัวเองสนใจได้เพคะ หม่อมฉันอยากจะทำมากกว่านั้น ทำให้คนอื่นไม่อาจพูดอะไรได้อีก”


จากแม่มดที่ไม่มีคนรู้จักกลายเป็นคนที่รับผิดชอบกองอุตสาหกรรมงั้นเหรอ? โรแลนด์ยิ้มมุมปากขึ้นมา ข้าก็ไม่เคยคิดที่จะให้เขาอยู่แต่ในสวนด้านหลังที่คับแคบตรงนั้นซักหน่อย…


“อย่างนั้นก็ได้ตามที่เจ้าต้องการเลย ที่รัก”


“ขอบพระทัยที่ทรงตามใจหม่อมฉันเพคะ” อันนาเขย่งเท้าขึ้นมา ก่อนจะจูบเบาๆ ไปที่หน้าผากของเขา “อ้อ ใช่แล้ว พระองค์ยังอยากรู้เรื่องที่หม่อมฉันคุยกับไนติงเกลคืนนั้นอยู่ไหมเพคะ?”


“เอ่อ…” โรแลนด์ชะงักไปเล็กน้อย “ถ้าจะบอกไม่อยากรู้ก็คงไม่ใช่ แต่ว่า…”


“ไม่เป็นไรเพคะ” เธอพูดยิ้มๆ “นั่นเป็นแค่ข้อตกลงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นมันก็สิ้นสุดลงแล้วด้วย ตอนนี้…อุ้มหม่อมฉันขึ้นไปบนเตียงเถอะเพคะ”


เทียนไขถูกไฟสีดำทำให้ดับลง ความมืดเป็นเหมือนกับผ้าบางๆ ที่บดบังร่างของทั้งสองคนเอาไว้


นี่เป็นค่ำคืนที่มืดสลัวแต่สวยงาม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)