Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1015-1018

 ตอนที่ 1015

 

โบยบิน (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

การบรรลุนิติภาวะของพลังเวทมนตร์มักจะเกิดขึ้นในตอนเที่ยงคืน


ซึ่งนี่ถือเป็นปริศนาที่ยังไม่กระจ่างของแม่มด เห็นๆ อยู่ว่าทั่วทุกที่นั้นมีพลังเวทมนตร์อยู่ แต่ทำไมมันพลังเวทมนตร์ถึงได้สมบูรณ์ที่สุดในเวลานี้ ถึงแม้จะเป็นแม่มดอย่างอันนา หากเธอใช้พลังเวทมนตร์ไปจนเกือบหมดแล้ว หลังผ่านเที่ยงคืนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง พลังเวทมนตร์ของเธอก็จะฟื้นคืนกลับมาได้จนเกือบเต็มอีกครั้ง ถ้าอาศัยเพียงแค่การฟื้นตัวตามธรรมชาติในเวลากลางวัน เกรงว่าอาทิตย์นึงพลังเวทมนตร์ก็คงยังไม่เต็ม


สำหรับเรื่องนี้แม่มดส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจนัก แม้แต่แม่มดทาคิลาเองก็เหมือนกัน ในตอนที่โรแลนด์ถามพวกเธอถึงเรื่องนี้ คำตอบที่เขาได้รับกลับมาก็คือ ‘พออีกวันหนึ่งมันก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ’ ในสายตาของคนส่วนใหญ่ เวลาจะถูกแบ่งออกเป็นวัน พลังเวทมนตร์ของวันไหนก็ใช้วันนั้น ทุกวันจะมีปรากฏการณ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นเหมือนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร


แต่โรแลนด์รู้ว่าวันนั้นไม่ใช่แนวคิดในธรรมชาติ หากแต่เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อสะดวกต่อการใช้ชีวิต นั่นถึงได้มีปีสุริยคติและการหมุนควงของอิควิน็อกซ์ของโลกขึ้น และเพื่อแก้ความคลาดเคลื่อนตรงนี้ มนุษย์จึงมีเดือนอธิกมาสขึ้นมา และเมื่อวิธีการคำนวนเวลามีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ภายหลังจึงได้มีอธิกวินาทีปรากฏขึ้นมา (นั่นคือนาทีสุดท้ายมี 59 วินาทีหรือไม่ก็ 61 วินาที) สะดวกแบบไหนก็ใช้แบบนั้น


ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องแปลกที่พลังเวทมนตร์ของแม่มดจะรวมตัวในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง


เหมือนกับว่าในตัวของผู้ตื่นรู้ทุกคนจะมีนาฬิกาชีวิตอยู่ แถมยังมีจังหวะการเดินที่เหมือนกันด้วย ไม่ว่าพวกเธอจะเกิดปีไหนเดือนไหน จะเกิดที่ดินแดนทางใต้สุดหรือเกิดที่เฮอร์มีส ทุกคนก็เหมือนมีอะไรเชื่อมโยงกันอยู่


แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาไม่มีเครื่องมือในการตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาพลังเวทมนตร์ หรือว่าการจับเวลาที่แม่นยำก็ล้วนแต่ทำได้ยาก เขาจึงได้แต่ต้องใช้ปรากฏการณ์นี้มาใช้เป็นทฤษฎีเชิงประจักษ์


“ฝ่าบาท” เสียงของเวนดี้ดึงโรแลนด์ขึ้นมาจากความคิด “นอกจากมาตรการเบื้องต้นแล้ว พระองค์ทรงอยากให้เสริมอะไรไหมเพคะ?”


มาตรการที่ว่านั้นหลักๆ แล้วเอาไว้ใช้รับมือกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นตอนที่พลังเวทมนตร์รวมตัวกัน หลังจากที่ได้เห็นลูเซียในวันบรรลุนิติภาวะ เรื่องนี้ก็กลายเป็นสิ่งที่สโมสรแม่มดต้องมานั่งครุ่นคิดกันเพื่อหาทางรับมือ


สำหรับเรื่องนี้ แม้แต่แม่มดทาคิลาก็ไม่มีคำชี้แนะอะไรมากนัก


“ทำตามที่เจ้าว่ามาแล้วกัน” โรแลนด์คิดๆ “เออใช่ อย่าลืมบอกมาร์จอรีกับแซนเดอร์ ฟลายอิงเบิร์ดนะ ข้าคิดว่าพวกเขาคงอยากจะเห็นไลต์นิ่งปลอดภัยในวันบรรลุนิติภาวะของนาง”


เวนดี้รู้สึกแปลกใจ “เลดี้มาร์จอรีนั้นไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าท่านฟลายอิงเบิร์ดคนนั้น…”


“เขาไม่เป็นไรหรอก” โรแลนด์พูดเสียงนุ่มนวล


“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ” เมื่อเห็นเขาว่าแบบนี้ เวนดี้จึงไม่ถามอะไรมากอีก


…..


ตกกลางคืน ชั้นบนของตึกแม่มดมีไฟสว่างขึ้นมา


ที่นี่ถูกปรับปรุงให้กลายเป็นห้องนอนสำหรับใช้ในวันบรรลุนิติภาวะของแม่มดโดยเฉพาะ ห้องที่ถูกปรับปรุงขึ้นมาจากห้องปกติสองห้องเอามาต่อกันกว้างพอที่จะบรรจุคนได้จำนวนมาก กำแพงด้านหนึ่งถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นประตูแบบเลื่อน เผื่อถ้าเกิดมีเหตุการณ์ที่ต้องการปลดปล่อยพลังเวทมนตร์ ก็จะได้เปิดเลื่อนบานประตูออกไปได้ทันที กำแพงจะได้ไม่ต้องถูกพลังเวทมนตร์ระเบิดออกไปเหมือนครั้งที่แล้ว


ไลต์นิ่งนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ สีหน้าเธอดูตื่นเต้นอย่างมาก นี่แตกต่างจากลูเซียอย่างสิ้นเชิง เหมือนกับว่าเธอรอคอยเรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว


ตรงหัวเตียงมีเสาไม้อยู่แท่งหนึ่ง มือซ้ายของเธอถูกมัดเอาไว้กับแท่งไม้ ส่วนในมือก็ถือรูนแห่งโชคชะตาเอาไว้ จากประสบการณ์ที่ได้มาตอนที่ลูเซียบรรลุนิติภาวะ ขอเพียงรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย ก็ให้เอาพลังเวทมนตร์ใส่เข้าไปในรูน ที่ต้องมัดมือเอาไว้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้แม่มดเจ็บปวดจนสูญเสียการควบคุมแล้วเผลอหันรูนในมือมาใส่คนอื่นๆ หลังตัดความเสี่ยงตรงนี้ไปได้ ถึงแม้จะไม่มีสเปียร์อยู่ด้วยก็ไม่เป็นปัญหา


ส่วนรอบๆ ตัวไลต์นิ่งก็มีเพื่อนแม่มดยืนอยู่เต็มไปหมด


“ข้าจะได้พลังย่อยแบบไหนมากันนะ…ถ้าจัดการเรื่องน้ำหนักที่บรรทุกได้ก็คงดี แบบนั้นข้าจะได้พกเอาของกินกับเครื่องมือไปได้เยอะๆ แล้วก็บินให้ทั่วดินแดนรุ่งอรุณเลย!” คำพูดทำนองนี้ดังขึ้นเกือบทั้งคืน เธอยกตัวอย่างความเป็นไปได้ขึ้นมาอันแล้วอันเล่าอย่างมีความหวัง ท่าทางของเธอทำให้โรแลนด์นึกถึงตัวเองตอนเด็กๆ ที่เดาว่าคนที่บ้านจะให้ของขวัญอะไรกับตัวเอง


แน่นอนว่าส่วนใหญ่แล้วจะจบลงด้วยความผิดหวัง


อย่างเช่นเขาเคยอยากได้ตุ๊กตาทรานฟอร์มเมอร์ตัวใหญ่ๆ แต่สุดท้ายสิ่งที่มาถึงมือกลับเป็นหนังสือรวมแบบฝึกหัด


“อาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้” ลูน่าพูดขึ้นมา “ความสามารถย่อยไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ นับไปนับมา ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มีพรสวรรค์อันนี้”


“หึ…” เมื่อลูน่าพูดประโยคนี้ออกมา โรแลนด์คล้ายจะได้ยินเสียงที่ออกมาจากทางจมูก หางเสียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกภูมิใจ


“นั่นปากเหรอนั่น!” ลิลลีถลึงตาใส่


“ความจริงลูน่าก็พูดไม่ผิดหรอก” อกาธาพูดยิ้มๆ “สมาพันธ์เคยทำสถิติเอาไว้ จำนวนแม่มดที่สามารถตื่นรู้ความสามารถย่อยได้ในตอนที่บรรลุนิติภาวะนั้นเรียกได้ว่ามีเพียงหนึ่งในร้อย แต่นี่ก็ยังไม่อาจเทียบกับการเลื่อนขั้นเป็นแม่มดชั้นสูงได้ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับแม่มดคือพวกเรามีความสามารถในการขยายศักยภาพของตัวเองอย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยเหตุนี้ไม่ต้องไปสนใจอะไรมาก รวบรวมสมาธิเอาไว้ที่การรวมตัวของเวทมนตร์ก็พอ”


“เออใช่ พวกเจ้ากำลังทำการวิเคราะห์เรื่องการวิวัฒนาการในวันบรรลุนิติภาวะอยู่ไม่ใช่เหรอ?” บุ๊คพูดแทรกขึ้นมา “ผลเป็นยังไงบ้าง?”


“นั่นมันแค่ใช้อ้างอิงได้เท่านั้น เพราะว่ายังขาดตัวอย่างในการยืนยัน” เวนดี้ดูบันทึกที่ตัวเองจดเอาไว้ “แต่ว่าไลต์นิ่งทำคะแนนได้สูงมากเลยนะ ตั้ง 85.9 คะแนนแหนะ”


“เอ๋? มันคืออะไรเหรอ?” แอนเดรียถามอย่างแปลกใจ


“เป็นวิธีการวัดแบบหนึ่งน่ะ” อกาธาพูดอธิบาย “นี่เป็นสิ่งที่ได้มาจากตอนที่ลูเซียบรรลุนิติภาวะ เพราะว่าพลังเวทมนตร์ในตอนที่บรรลุนิติภาวะนั้นพุ่งพล่านอย่างรุนแรง ซึ่งตามหลักแล้วมันสามารถทำให้เกิดการรวมตัวได้ง่ายขึ้นจริงๆ ดังนั้นพวกเราจึงเอาสภาพของแม่มดระดับสูงในตอนที่บรรลุนิติภาวะมาเป็นตัวอย่างเพื่อทำการประเมินในขั้นแรก โดยเราจะคำนวณจากปริมาณเวทมนตร์ในร่างกาย คะแนนการเรียน การควบคุมพลังแล้วก็ความมุ่งมั่น แต่แน่นอนว่าตอนนี้แค่อยู่ในขั้นการคาดเดาเท่านั้น”


“คะแนนการเรียน…เจ้าหมายถึงคะแนนสอบเหรอ?”


“ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้นมันจะมีสัดส่วนที่มากที่สุดในสมการด้วย”


“อย่างนี้นี่เอง ดูเหมือนจะมีบางคนที่ชาตินี้ไม่มีทางได้กลายเป็นสุดยอดอมนุษย์ซะแล้ว” แอนเดรียกวาดตามองดูแอสเชสอย่างเห็นใจ


แต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่เหมือนไม่ได้สนใจ


“นี่มัน…บ้าไปแล้ว” จู่ๆ โรแลนด์ก็ได้ยินเสียงอุทานของฟิลลิสดังขึ้นมา


“ทำไมเหรอ?” เขาหันหน้าไปทางอีกฝ่าย


“ในยุคสมัยของทาคิลา สำหรับแม่มดทุกคนแล้ว การเลื่อนขั้นเป็นแม่มดระดับสูงนั้นเป็นเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ทุกคนต่างปรารถนาที่จะได้รับการโปรดปรานจากพระเจ้า แต่กลับไม่มีใครกล้าคุยเรื่องนี้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อม ถ้าหากมีใครประกาศว่าตัวเองจะต้องได้กลายเป็นแม่มดระดับสูง เกรงว่าคนๆ นั้นคงถูกคนอื่นหัวเราะเยาะต้องไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาแน่ แต่ตอนนี้…” ฟิลลิสที่บ่นอยู่เหมือนจะได้สติขึ้นมา “ขออภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนี้ไม่ดี หม่อมฉันเพียงแค่รู้สึกว่ามันแตกต่างกันมากเกินไป จนทำให้หม่อมฉัน….”


“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า” โรแลนด์ยิ้มเล็กน้อย “เหมือนกันพ่อค้านอนตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเงินที่ตัวเองสะสมเอาไว้มันไม่มีค่าอีกต่อไปนั่นแหละ”


“ในจุดนี้หม่อมฉันไม่เหมือนท่านอกาธาเพคะ” ฟิลลิสพูดเสียงเบาๆ “นางมาถึงที่นี่เร็วกว่าหม่อมฉันเพียงแค่ปีเดียว แต่ตอนนี้นางกลับทำให้เกิดการศึกษาการตื่นรู้ระดับสูงขึ้นมาใหม่แล้ว สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะของสมาพันธ์”


“ความจริงมันก็ไม่ได้เข้าใจยากอะไร ถ้าคนรุ่นหลังไม่แข็งแกร่งกว่าคนรุ่นก่อน แล้วพวกเราจะก้าวหน้าต่อไปได้อย่างไร?” เขาพูดอย่างเปิดเผย “ขอเพียงพวกเราก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ เรื่องแบบนี้มันก็จะเกิดขึ้นอยู่ตลอด เมื่อได้เห็นพวกนาง พวกเราก็จะรู้สึกว่านั่นคือความหวังไม่ใช่เหรอ”


ฟิลลิสมองตามสายตาของเขาไปยังสาวน้อยที่นอนอยู่บนเตียง


“แต่ความสามารถมันยิ่งเยอะก็ยิ่งดีไม่ใช่เหรอ” ไลต์นิ่งพูดอย่างมั่นใจ “ข้ารู้สึกว่าข้าไม่เพียงแต่จะรวบรวมพลังเวทมนตร์ได้ แต่ข้ายังจะได้พลังย่อยมาอีกหลายอย่างด้วย เพราะนักสำรวจที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็ต้องได้รับสิ่งตอบแทนที่เยอะที่สุดอยู่แล้ว!”


“จิ๊บ…!” เมซี่ที่ยืนอยู่ข้างเตียงชูมือขึ้นมาเหมือนกำลังสนับสนุนอีกฝ่ายอยู่


“มันมีตรรกะแบบนี้ที่ไหนล่ะ!” ลูน่าพูด


ภายในห้องพลันวุ่นวายขึ้นมาทันที


โรแลนด์มองดูภาพตรงหน้าก่อนจะส่ายหัวยิ้มๆ จากนั้นจึงเดินออกมาจากห้อง


“ทำไม เจ้าไม่เข้าไปดูนางหน่อยเหรอ?”


หลังปิดประตู เขาก็พูดกับชายคนหนึ่งที่ยืนพิงกำแพงอยู่ตรงทางเดิน


คนๆ นั้นก็คือธันเดอร์

 

 

 


ตอนที่ 1016

 

โบยบิน (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

นักสำรวจยังคงแต่งตัวอลังการเหมือนเดิม มีทั้งขนนกที่ปักเต็มตัวและผ้าปิดตาที่ปักลายกุหลาบ เพียงแค่การแต่งตัวนี้ไม่ว่าดูยังไงก็ไม่มีทางคิดเชื่อมโยงไปถึงธันเดอร์ได้แน่ แต่ไม่รู้ว่าทำไม โรแลนด์กลับรู้สึกว่ารูปลักษณ์ของอีกฝ่ายนั้นแตกต่างไปจากตอนที่อยู่ในงานเลี้ยง


“ในการจะปลอมเป็นใครซักคนต้องทุ่มทั้งตัวและหัวใจเข้าไปในนั้น และคิดว่าตัวเองคือคนๆ นั้น ถึงจะหลอกสายตาของคนอื่นได้ นี่คือประโยคแรกที่กระหม่อมได้เรียนรู้มาจากครูที่สอนการปลอมตัวให้กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์สูบไปป์ แสงสีแดงจางๆ ดูแล้วเหมือนกับหิ่งห้อยที่อยู่ท่ามกลางความมืด “กระหม่อมเกรงว่าตอนนี้กระหม่อมคงไม่สามารถปลอมตัวเป็นแซนเดอร์ ฟลายอิงเบิร์ดได้…นางจะต้องดูออกแน่พ่ะย่ะค่ะ”


ที่แท้ความรู้สึกแปลกๆ นั้นมาจากเรื่องนี้อย่างนั้นเหรอ โรแลนด์คิดในใจ เพราะว่าการบรรลุนิติภาวะนั้นมีอันตรายอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถทำแสร้งทำเป็นคนอื่นที่ไม่เป็นห่วงลูกสาวของตัวเองได้


ถ้ามีความเป็นห่วง อย่างนั้นก็ไม่ใช่แซนเดอร์ ฟลายอิงเบิร์ด


“หรือเจ้าคิดจะปกปิดไปแบบนี้เรื่อยๆ?” โรแลนด์เลิกคิ้วขึ้นมา “คำพูดของไลต์นิ่งเมื่อกี้นี้ เจ้าน่าจะได้ยินแล้วใช่ไหม นางตั้งมั่นแล้วว่าจะเดินไปบนเส้นทางของนักสำรวจ”


คำถามนี้ทำเอาธันเดอร์นิ่งไปนาน


นานจนโรแลนด์คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ตอบ แต่จากนั้นเขาก็เอ่ยปากออกมาว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทรงเชื่อในเรื่องโชคชะตาไหมพ่ะย่ะค่ะ?”


มีชั่วแวบหนึ่งที่โรแลนด์เกิดความสงสัยในความเป็นนักสำรวจของธันเดอร์ขึ้นมา


นี่มันคำพูดสุดคลาสสิคก่อนจะเริ่มเทศนาไม่ใช่เหรอ?


แน่นอน คำถามประเภทนี้ัมักจะเจออยู่ในจดหมายรักของเด็กมัธยมด้วย


แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ต้องการคำตอบ “เคยมีคนบอกกระหม่อมว่าคนที่ยอดเยี่ยมมักจะตายเพราะสิ่งที่ตัวเองถนัด และพระเจ้าก็จะประทานพรสวรรค์มาให้คนเหล่านี้เพื่อเป็นการชดเชย ซึ่งนี่ก็คือโชคชะตา มันคือเส้นทางที่เหมือนทุกกำหนดเอาไว้แต่แรกแล้ว เป็นเพราะว่าถูกดึงดูดจากพรสวรรค์ที่เหนือกว่าคนอื่น สุดท้ายก็ต้องตายเพราะมัน กลายเป็นว่าคนที่มีความสามารถธรรมดาๆ เสียอีกที่มีอายุยืนกว่า”


“ใครเป็นคนพูด?” โรแลนด์อดถามขึ้นมาไม่ได้


“แซนเดอร์ หรือก็คือคนที่นำกระหม่อมมาสู่เส้นทางของนักสำรวจพ่ะน่ะค่ะ” ธันเดอร์พ่นควันออกมา


“เดี๋ยวๆ ที่ฟยอร์ดมีคนนี้จริงๆ เหรอ? เจ้าไม่กลัวว่าไลต์นิ่งจะเคยได้ยินชื่อของเขาเหรอ?”


“เขาตายไปหลายปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนที่มีชีวิตอยู่ก็เป็นคนที่ไม่มีชื่อเสียง พอตายไปก็ไม่มีใครจำได้…ตามมาตรฐานของฟยอร์ดแล้ว เขาไม่อาจเรียกว่าเป็นนักสำรวจได้ด้วยซ้ำ” ควันจากไปป์ล้อมตัวธันเดอร์เอาไว้ ร่างกายของธันเดอร์เหมือนรวมเข้าไปเป็นหนึ่งกับเงามืดของกำแพง “ตอนที่เขาตาย เขายังหาเกาะหรือเส้นทางเดินเรือใหม่ๆ ไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ แต่แซนเดอร์ก็ไม่ได้สนใจชื่อเสียงของเขา เขาบอกว่าการได้สำรวจนั้นคือความสนุก ถึงจะไม่มีพรสวรรค์ก็ไม่เป็นอะไร อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะอายุสั้น”


โรแลนด์เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ “อย่างนั้นเขาตายเพราะอะไร?”


“เพราะช่วยกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์ค่อยๆ พูดออกมา “เรือของพวกเราบังเอิญถูกผีทะเลโจมตี ตอนที่แซนเดอร์ลากกระหม่อมกลับขึ้นเรือ เขาดันถูกเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นตะปบเข้า บาดแผลนั้นไม่ได้สาหัส แต่สมุนไพรกลับช่วยเขาไม่ได้ เนื้อเขาเน่าลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นสามวันเขาก็ตาย ในตอนนั้นเขาพูดกับกระหม่อมว่าสุดท้ายเขาก็ตายเพราะสิ่งที่ตัวเองถนัด ชั่วชีวิตนี้เขาไม่มีที่โดดเด่นเลย สิ่งเดียวที่เขาถนัดก็คือเขาคิดว่าตัวเองใจดีเท่านั้น”


“….” โรแลนด์พบว่าตัวเองไม่รู้ควรจะพูดอะไรดี


“หลังไลต์นิ่งเกิดมา นางก็มีแสดงพรสวรรค์ในด้านการสำรวจออกมาได้อย่างโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นการแยกแยะเส้นทางเดินเรือหรือว่าการวาดแผนที่ นางก็สามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าคนทั่วไป” ในตอนที่ธันเดอร์พูดเรื่องพวกนี้ สีหน้าเขาดูค่อนข้างสับสน “หลังจากกระหม่อมรู้ว่านางตื่นรู้กลายเป็นแม่มด ความกังวลตรงนี้มันก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก พระองค์ก็คงจะรู้ว่าสำหรับนักสำรวจแล้ว ความสามารถตรงนี้มันหมายถึงอะไร”


ถูกต้อง ถ้าพูดถึงความกล้า ความอยากรู้อยากเห็นและความกระหายที่จะเรียนรู้นั้นเป็นสัญชาตญาณธรรมชาติที่แอบซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์ ไม่ว่าใครก็มีโอกาสที่จะแสดงมันออกมาได้ อย่างนั้นการที่มีพลังเวทมนตร์ก็เรียกได้ว่ามันเป็นความเมตตาจากพระเจ้า


“กระหม่อมก็เลยตัดสินใจ” ธันเดอร์เงยหน้าขึ้นมา แสงไฟจากไปป์สะท้อนผ่านออกมาจากดวงตาของเขา “ถ้าบอกว่าเป็นไปได้ยากที่เราจะหลีกหนีชะตาชีวิต อย่างนั้นหม่อมฉันอาจจะใช้อีกวิธีหนึ่งมาตัดมันได้ ถ้าหากหม่อมฉันสามารถเปิดเผยปริศนาต่างๆ ที่ยังเป็นความลับเหล่านั้นได้ก่อนที่ไลต์นิ่งจะก้าวเข้ามาสู่เส้นทางนักสำรวจเต็มตัว อันตรายที่นางจะเจอก็ลดลงไปมาก ถ้าตัดพื้นที่ที่ปีศาจยึดครองออกไปแล้ว ตอนนี้สถานที่ที่ยังไม่มีคนไปเหยียบก็จะเหลือเพียงแค่ทางตะวันออกของเส้นทะเลกับทวีปที่มองเห็นจากซากโบราณสถานในน่านน้ำทะเลชาโดว์ เอาไว้พระองค์จัดการปีศาจเรียบร้อยแล้ว กระหม่อมก็น่าจะวาดแผนที่ของสองที่นี้ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ก่อนที่จะถึงตอนนั้น กระหม่อมขอออกไปสำรวจคนเดียวจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”


ถ้าไม่มีสถานที่ืั้ต้องสำรวจ มันก็จะไม่มีอันตราย คำตอบนี้ทำเอาโรแลนด์รู้สึกสะอึกขึ้นมา


ถึงแม้โลกนี้อาจจะใหญ่กว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้ แต่การที่สามารถเกิดความคิดแบบนี้ขึ้นมาได้ในยุคสมัยนี้นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว


แรงโน้มถ่วงนั้นมัดคนเราเอาไว้บนพื้นโลก แต่มันกลับไม่สามารถควบคุมความคิดที่บ้าคลั่งของคนเราได้


และธันเดอร์ก็ถือเป็นหนึ่งในยอดคนเหล่านั้น


การโบยบินไม่ใช่อภิสิทธิ์ของแม่มดเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป


“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า” โรแลนด์ยิ้มมุมปากขึ้นมา “วางใจได้ ข้ารับรองว่าเจ้าจะได้ไลต์นิ่งของเจ้าคืนอย่างปลอดภัยหลังจบสงครามแห่งโชคชะตา”


“งั้นกระหม่อมขอฝากพระองค์ด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ธันเดอร์พูดพร้อมเอามือขึ้นมาทาบที่หน้าอก


ทันใดนั้นเอง ภายในห้องพลันมีเสียงอุทานตกใจดังออกมา


โรแลนด์พยักหน้าให้อีกฝ่าย ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องนอน


กำแพงถูกเลื่อนเปิดออก แต่เขาไม่ได้ยินเสียงกระตุ้นของรูนแห่งโชคชะตา


“ฝ่าบาท” เวนดี้พูดอย่างตื่นเต้น “พลัง…พลังเวทมนตร์ของไลต์นิ่งรวมตัวกันแล้วเพคะ!”


เป็นแม่มดที่ยกระดับขึ้นในวันบรรลุนิติภาวะอีกคนแล้ว เขามองเห็นความตื่นเต้นอยู่ในแววตาของอกาธากับเวนดี้ นี่หมายความว่างานวิจัยของพวกเธอนั้นสามารถใช้งานได้


“จริงเหรอ?” โรแลนด์เดินไปที่เตียงพร้อมมองดูสาวน้อยที่ทำหน้าเหมือนอยากจะลองพลังใหม่ของตัวเอง “ไม่รู้สึกเจ็บเลยเหรอ?”


“ไม่เลยเพคะ” ไลต์นิ่งตบหน้าอกตัวเอง “หม่อมฉันรู้สึกว่าร่างกายของหม่อมฉันมันเต็มไปด้วยพละกำลังเพคะ! แต่เสียดายที่ไม่สามารถปล่อยพลังผ่านรูนแห่งโชคชะตาออกไปได้ หม่อมฉันทำให้หินเวทมนตร์สว่างได้ถึงก้อนที่สี่เท่านั้นเพคะ”


“อย่างนั้นก็ดี” โรแลนด์ถอนหายใจ “วันนี้เจ้าพักผ่อนก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อย…”


“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากจะลองดูตอนนี้เลยได้ไหมเพคะ!” ไลต์นิ่งกระโดดลงจากเตียง “หม่อมฉันรู้สึกเหมือนมันกำลังเรียกหม่อมฉันอยู่ ทำให้หม่อมฉันรู้สึกอยากจะบินออกไปตอนนี้เลยเพคะ!”


มันที่ว่านี่หมายถึงพลังเวทมนตร์เหรอ? โรแลนด์ยิ้มขึ้นมา สมแล้วที่เป็นคนฮึกเหิมที่สุดในสโมสรแม่มด เธอพูดมาขนาดนี้แล้ว เขายังจะปฏิเสธได้ยังไงล่ะ “พาเมซี่ไปด้วย อย่าบินไปไกลนักล่ะ”


“เพคะ!”


“จิ๊บ!”


กำแพงด้านหนึ่งยังคงเปิดออกครึ่งหนึ่ง เมซี่แปลงเป็นนกพิราบก่อนจะบินไปเกาะบนหัวไลต์นิ่ง จากนั้นเธอใช้สองมือจับนกพิราบเอาไว้ก่อนจะพุ่งทะยานออกไปจากห้อง ไม่นานเธอก็หายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน


“ไม่รู้ว่าความสามารถของนางหลังจากที่พลังเวทมนตร์รวมตัวแล้วจะเป็นยังไงบ้าง…” เวนดี้มองออกไปด้านนอก “พรุ่งนี้คงต้องยุ่งอีกแล้ว”


“ตอนที่ทดสอบให้ข้าใช้หินเวทมนตร์หลากสีในการสำรวจด้วยนะ” ฟิลลิสพูดเสริมขึ้นมา


“เอาเป็นว่าวันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน รอพรุ่งนี้….”


ในขณะที่โรแลนด์พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ บนท้องฟ้าพลันมีเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมา!


เสียงนั้นฟังดูรุนแรงอย่างมาก! หิมะถูกสั่นสะเทือนจนฟุ้งกระจายขึ้นมา เศษน้ำแข็งร่วงกราวลงมาเหมือนฝน ส่วนหน้าต่างกระจกของปราสาทก็ร้าวขึ้นมา เหมือนกับถูกมือยักษ์ที่มองไม่เห็นฟาดใส่


ในขณะที่เหล่าแม่มดกำลังสบตากันอย่างตกตะลึง เสียงระเบิดอันดังสนั่นนั้นทำให้เกิดเสียงสะท้อนดังไปทั่วทั้งเทือกเขาสิ้นวิถีอย่างต่อเนื่องอยู่นาน

 

 

 


ตอนที่ 1017

 

ความสามารถย่อย

โดย

Ink Stone_Fantasy

การวิวัฒนาการของไลต์นิ่งนั้นเป็นที่น่ายินดีเหมือนลูเซียตอนที่บรรลุนิติภาวะ แต่มันกลับสร้างปัญหาให้โรแลนด์นิดหน่อย


“เมื่อคืนในเขตชุมชนมีคนบาดเจ็บเหรอ?”


วันถัดมา หลังฟังบารอฟรายงานแล้ว เขาถึงกับเลิกคิ้วขึ้นมา


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท…” ปลายสายมีเสียงเศร้าสร้อยของอีกฝ่ายดังขึ้นมา “มีคนนึงกำลังไปเข้าห้องน้ำ แต่ดันถูกเสียงระเบิดทำให้ตกใจจนหกล้มไปขาหัก แล้วยังมีอีกสองคนที่กลิ้งตกลงมาจากเตียงจนหัวแตก ตอนเช้ามีชาวบ้านวิ่งหน้าตาตื่นมาที่สำนักงานเมืองกันเต็มไปหมด ทุกคนถามว่าเมืองเนเวอร์วินเทอร์ถูกปีศาจหรือสัตว์อสูรโจมตีหรือเปล่า เจ้าหน้าที่ต้องเสียเวลาอยู่นานกว่าจะทำให้พวกเขากลับไปได้ ฝ่าบาท ต่อไปถ้าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น พระองค์ได้โปรดแจ้งกระหม่อมก่อนได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”


ถึงแม้จะเป็นการคุยผ่านโทรศัพท์ แต่เขาก็ยังจินตนาการหน้าตาของอีกฝ่ายตอนนี้ออก


ตัวหัวหน้าสำนักงานเมืองเองก็คงตกใจไม่น้อยเหมือนกัน เขาคงจะอดนอนจนถึงเช้า


“ตอนนี้ผู้บาดเจ็บเป็นยังไงบ้าง?”


“ถูกส่งไปที่หน่วยพยาบาลหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ประชาชนยังคงพูดคุยถึงเรื่องนี้อยู่ ตรงลานเมืองมีคนมายืนเฝ้าอยู่ตรงป้ายประกาศ นี่เป็นเพราะพลังของแม่มดใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? หากพระองค์ทรงแจ้งกระหม่อมก่อน กระหม่อมคงไม่มีทางรบกวนพระองค์ด้วยเรื่องเล็กๆ แบบนี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”


“ข้ารู้แล้ว แต่เรื่องที่มันเกี่ยวข้องกับพลังเวทมนตร์มันก็ยากที่จะคาดเดาได้อยู่แล้ว นี่ไม่ใช่เพราะว่าข้าไม่เชื่อใจเจ้า” โรแลนด์พูดปลอบ “ประกาศไปว่าข้ากำลังวิจัยอาวุธใหม่อยู่ หลังจากนี้อาจจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ขอทุกคนอย่าได้ตกใจไป ในตอนที่เจอศัตรูโจมตีจริงๆ ให้ถือสัญญาณเตือนภัยเป็นสำคัญ ส่วนคนที่บาดเจ็บก็ให้ทางสำนักงานเมืองเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษา”


“พ่ะย่ะค่ะ….ฝ่าบาท” บารอฟพูดอย่างน้อยใจ


โรแลนด์ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจก่อนจะวางสายไป


ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่านับวันหัวหน้าสำนักงานเมืองผู้นี้จะขี้อ้อนขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้เขาจะจัดการงานต่างๆ ได้ดีมาก แต่น้ำเสียงที่เหมือนประมาณว่า ‘ฝ่าบาท กระหม่อมทำทุกอย่างเพื่อพระองค์แล้ว พระองค์ทรงอย่ารังแกกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ’ ยังคงทำให้เขารู้สึกขนลุก


กลับกลายเป็นว่าคุยกับไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือแล้วสบายใจมากกว่าอีก


แล้วก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ไหนแล้ว


โรแลนด์เก็บความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะมองไปยังไลต์นิ่งที่ยืนคอตกอยู่หน้าโต๊ะทำงาน เขาทำหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มพร้อมกับถามขึ้นมาว่า “เมื่อกี้นี้เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม?”


“เอ่อ…” สาวน้อยทำเสียงเศร้า “ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ได้โปรดลงโทษให้หม่อมฉันทำแบบฝึกหัดสองชุดด้วยเถอะเพคะ”


โรแลนด์เลื่อนสายตาไปยังเมซี่ที่อยู่บนหัว แต่อีกฝ่ายกลับหลบสายตาทำเหมือนว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ “จิ๊บ..”


ถึงแม้สมาชิกในทีมนักสำรวจจะรักใคร่สนิทสนมกัน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าแบบฝึกหัด เมซี่เลือกที่จะเงียบไปทันที


ในที่สุดเขาก็หลุดหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ…เอาล่ะ เงยหน้าขึ้นมา นี่ไม่อาจถือเป็นความผิดเจ้าได้ เพราะว่าข้าเป็นคนอนุญาตให้เจ้าบินออกไปเอง ข้าควรจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้ถึงจะถูก”


“จะ จริงเหรอเพคะ?” ไลต์นิ่งเยหน้าขึ้นมาทันทีพร้อมสายตาที่เป็นประกาย


“แน่นอน ก็เจ้าไม่รู้นี่ว่าทำแบบนั้นแล้วมันจะเกิดความเสียหาย อีกทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้มาก แบบฝึกหัดอะไรนั่นก็ช่างมันเถอะ”


เนื่องจากเส้นทางการบินในตอนนั้นมุ่งหน้าไปทางเทือกเขาสิ้นวิถี ด้วยเหตุนี้ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเขตชุมชนจึงมีเพียงแค่นิดเดียว นอกจากกระจกของปราสาทกับตึกการทูตที่แตกเสียหายเล็กน้อยแล้ว สิ่งก่อสร้างอื่นๆ ก็ล้วนแต่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ดี ส่วนในตอนที่บินผ่านเขตเตาหลอม ไลต์นิ่งก็บินขึ้นไปสูงถึงระดับหนึ่ง ผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงมีเพียงแค่นิดเดียว”


“ฝ่าบาท พระองค์ทรง…ใจดีจริงๆ เพคะ!” เธอเหมือนจะกลับมามีชีวิตชีวาในทันที เมซี่เองก็กางปีกออกอย่างดีใจ


เมื่อเห็นเด็กหญิงกับนกเหมือนกำลังจะพุ่งเข้ามา โรแลนด์จึงรีบยกมือขึ้นมาห้ามพวกเธอเอาไว้ทันที “แต่ว่าบินด้วยความเร็วสูงมันเปลืองพลังเวทมนตร์ขนาดนั้นเลยเหรอ? เมื่อวานเจ้ายังบินได้ไม่ถึง 15 นาทีเลยนะ?”


พอพูดถึงเรื่องนี้ ไลต์นิ่งก็ทำหน้าเจื่อนๆ ขึ้นมาทันที “หม่อมฉันเองก็ประหลาดใจอย่างมากเหมือนกันเพคะ ตอนนั้นหม่อมฉันคิดจะเหลือพลังเวทมนตร์เอาไว้ส่วนหนึ่งเพื่อมาทดสอบ แต่พอลองเร่งความเร็วเพื่อดูว่าขีดจำกัดอยู่ตรงไหน พลังเวทมนตร์ก็ถูกใช้ไปอย่างรวดเร็วจนหมด จนหม่อมฉันเกือบจะตกลงมาแหนะเพคะ”


“ยังเร็วกว่านั้นได้อีกเหรอ?” เวนดี้ที่ยืนจดบันทึกอยู่ข้างๆ จับประเด็นสำคัญได้ทันที


“ได้” ไลต์นิ่งพูดอย่างมั่นใจ “ขอเพียงมีพลังเวทมนตร์พอ ตอนนั้นแม้แต่เสียงลมข้างหูยังหายไปเลย หม่อมฉันรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรมาหยุดการพุ่งของหม่อมฉันได้”


“เมซี่ล่ะ? ตอนนั้นนางเกาะอยู่บนหัวเจ้าตลอดเลยเหรอ?”


“จิ๊บ!” ไลต์นิ่งยังไม่ทันตอบ เมซี่ก็หมุนตัวกลับมาแล้ว “เร็วมาก เวียนหัว ในหน้าอกจิ๊บ!”


นี่กำลังบอกว่าเธอบินเร็วเกินไปจนทนไม่ไหว ก็เลยถูกกอดเอาไว้ในหน้าอกเหรอ? โรแลนด์พบว่าตัวเองเริ่มเข้าใจคำพูดของนกพิราบมากขึ้นแล้ว เขาสามารถเติมคำพูดที่หายไปได้โดยอัตโนมัติ


“แค่เวียนหัวเหรอ?” อกาธาที่เป็นผู้รับผิดชอบในการทดสอบแม่มดอีกคนถามขึ้นมา “รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของกระแสอากาศได้หรือเปล่า?”


“เอ่อ…” ไลต์นิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่ “ถึงแม้ตอนนั้นข้าจะใส่แว่นตากันลมเอาไว้ แต่ตอนที่ิบินไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ ลมก็เหมือนหายไปยังงั้นแหละ”


“พวกเจ้าคิดว่าไง?” โรแลนด์มองไปทางแม่มดน้ำแข็ง “ความสามารถย่อยแบบนี้ ทางสมาพันธ์เคยบันทึกเอาไว้ไหม?”


ถึงแม้ไลต์นิ่งจะใช้พลังเวทมนตร์ส่วนใหญ่ไปจนหมดโดยไม่คาดฝัน จนทำให้การทดสอบพลังเวทมนตร์ต้องเลื่อนออกไปก่อน แต่ว่าตอนนี้สโมสรแม่มดได้สร้างขั้นตอนการประเมินอย่างเป็นระบบขึ้นมาชุดหนึ่ง บวกกับประสบการณ์ที่ได้รับสืบทอดมาจากสมาพันธ์ ทำให้ถึงแม้จะไม่ได้ใช้พลังออกมา แต่พวกเธอก็ยังทำการวิเคราะห์อย่างคร่าวๆ ออกมาได้จากการสอบถามและการวัดด้วยหินเวทมนตร์


จากคำบอกเล่าของไลต์นิ่ง เธอใช้เวลาเพียงสามนาทีก็สามารถผ่านเทือกเขาสิ้นวิถีเข้าไปยังดินแดนรกร้างได้แล้ว ซึ่งปกติแล้วระยะทางเท่านี้เธอจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง นี่แสดงว่าความสามารถหลังวิวัฒนาการของเธอทำให้เธอบินไล่ตามเสียงได้ เสียงที่เหมือนฟ้าผ่าเมื่อคืนนี้ก็ช่วยย้ำชัดในจุดนี้


โรแลนด์ไม่ได้เสียเวลาอธิบายเรื่องกำแพงเสียงนานเท่าไรนัก ด้วยความสามารถในการเรียนรู้ของอกาธาที่นับว่ายอดเยี่ยมอย่างมากในหมู่แม่มด เขาอธิบายเพียงเล็กน้อยเธอก็เข้าใจแล้วว่าเสียงกัมปนาทนั่นมันเกิดมาได้อย่างไร


ถึงแม้จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่หลายชนิดในธรรมชาติที่สามารถทำความเร็วได้ถึงความเร็วเสียงในช่วงระยะเวลาสั้นๆ มนุษย์ที่มีร่างกายและเลือดเนื้อเองก็เคยเผชิญหน้ากับความท้าทายของความเร็วเสียงเช่นเดียวกัน แต่นั่นมันไม่ได้หมายความว่ามันจะเกิดขึ้นจริงได้ง่ายๆ ให้ได้ชัดว่าการที่ไลต์นิ่งไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากความเร็วเสียงนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับความสามารถย่อยที่เธอตื่นรู้ขึ้นมาใหม่อย่างแน่นอน


“หม่อมฉันคิดว่าน่าจะเป็น ‘การสอดประสานของพลังเวทมนตร์’ เพคะ” อกาธาพูดขึ้นมาหลังนิ่งไปครู่หนึ่ง “ความสามารถย่อยชนิดนี้จะเกิดขึ้นมาตอนที่ร่างกายอาจจะได้รับความเสียหายจากความสามารถหลัก ด้วยเหตุนี้สมัยสมาพันธ์จึงมีบันทึกถึงพลังย่อยชนิดอยู่ค่อนข้างมาก พลังย่อยที่ว่ามักจะขยายออกมาแล้วห่อหุ้มแม่มดเอาไว้ด้านในเหมือนกับดักแด้ แล้วก็จะรักษาสภาพแวดล้อมภายในดักแด้ให้อยู่ในสภาพปกติ เพียงแต่ว่าการจะรักษาสภาพแบบนั้นจะทำให้สูญเสียพลังเวทมนตร์ไปเป็นจำนวนมาก ยิ่งถ้าสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกมีความแตกต่างกันมาก การสูญเสียพลังเวทมนตร์ก็จะยิ่งเร็วขึ้น พูดอีกอย่างคือ….”


“ที่ไลต์นิ่งใช้พลังเวทมนตร์ไปจนหมดในระยะเวลาสั้นๆ นั้นไม่ได้เป็นเพราะการบิน หากแต่เป็นเพราะพลังย่อยของนาง?” เวนดี้พูดต่อ


“ถูกต้อง” อกาธาพยักหน้า “ความสามารถย่อยส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาก็เพื่อสนับสนุนความสามารถหลัก เหมือนอย่างหนังสือแห่งเวทมนตร์ของบุ๊คกับการมองโลกเป็นสีสันของลูเซีย ถ้าไม่มีพวกมัน ประสิทธิภาพของพลังหลักก็จะลดลงอย่างมาก จนอาจจะยากที่จะแสดงผลออกมาได้ การสอดประสานของพลังเวทมนตร์ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ทางเลือกเดียวของนางคือบินให้น้อยลงดีกว่าปล่อยให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บหนักเพคะ”

 

 

 


ตอนที่ 1018

 

กองประชาสัมพันธ์

โดย

Ink Stone_Fantasy

“แต่ว่าพลังเวทมนตร์ของข้าสามารถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการฝึกฝนได้ใช่ไหมล่ะ?” ไลต์นิ่งไม่ได้มีสีหน้าเศร้าสร้อยแม้แต่น้อย “แบบนี้ก็ดีเลย สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้เรื่อยๆ แค่คิดๆ ก็ตื่นเต้นแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ข้าถือว่าเป็นแม่มดสายต่อสู้ครึ่งหนึ่งแล้วด้วย!”


“ต่อสู้จิ๊บ!” เมซี่ยืดหัวขึ้นมา


“ข้ารู้ว่าเจ้าดีใจ แต่จำเอาไว้ว่าครั้งหน้าอย่าเร่งความเร็วสุ่มสี่สุ่มห้าตอนอยู่เหนือปราสาทอีกล่ะเข้าใจไหม” เวนดี้กระแอมเล็กน้อย “นอกจากนี้เจ้าต้องเก็บพลังเวทมนตร์หลังจากนี้เอาไว้จนกว่าจะทำการทดสอบเสร็จเรียบร้อย เข้าใจไหม?”


“ข้าเข้าใจแล้วน่าพี่เวนดี้” ไลต์นิ่งแลบลิ้นออกมา


แต่ภายในใจโรแลนด์กลับมีความคิดที่แตกต่างออกไป จริงอยู่ที่การบินด้วยความเร็วเสียงนั้นสามารถนำเอาความคล่องแคล่วที่สูงมากมาให้กับอีกฝ่ายได้ แต่ทันทีที่ใช้พลังเวทมนตร์ไปจนหมด เธออาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นขนาดตัวของไลต์นิ่งยังเล็กกว่าเครื่องบินมาก ในตอนที่ทะลุกำแพงเสียงไปจะสามารถสร้างความเสียหายให้กับปีศาจได้มากเท่าไรก็ยังไม่อาจรู้ได้ การจะให้เธอเป็นแม่มดสายต่อสู้ดูจะไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไร


ยิ่งไปกว่านั้นผู้พิฆาตเวทมนตร์ที่สามารถปั่นป่วนการใช้เวทมนตร์ได้เป็นวงกว้างก็เรียกได้ว่าเป็นดาวพิฆาตสำหรับเธอ


เขาให้ความสำคัญกับระยะเวลาที่เธอใช้ในการบินด้วยความเร็วที่ต่ำกว่าเสียง สำหรับยุคสมัยนี้ ความเร็ว 800 – 900 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเรียกได้ว่าเร็วอย่างมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำแผนที่หรือว่าสอดแนมก็สามารถช่วยในเรื่องของการสำรวจพื้นที่อับสายตาบนสนามรบที่อยู่นอกเหนือพื้นที่การตรวจสอบของซิลเวียได้ ซึ่งนี่จะเป็นประโยชน์กว่าการไปเป็นแม่มดสายต่อสู้เพียงอย่างเดียว


ในตอนที่ไลต์นิ่งกำลังจะเดินออกไป จู่ๆ โรแลนด์พลันเรียกเธอเอาไว้


“เออใช่ ข้ามีคำถามข้อหนึ่งอยากจะถามเจ้า” เขาคิดคำพูดเล็กน้อย “สมมติว่า…หลังจากนี้อีกสิบปี ในตอนที่บนโลกนี้มันไม่มีอะไรให้สำรวจแล้ว เจ้าจะทำยังไง?”


“ไม่มีอะไร…ให้สำรวจ?” ไลต์นิ่งงุนงง


“อย่างเช่นทุกๆ ทวีปมีคนเข้าไปเหยียบหมดแล้ว ทุกน่านน้ำถูกวาดออกมาเป็นแผนที่อย่างละเอียด เรียกได้ว่าไม่มีที่ไหนที่จะเป็นดินแดนที่ไม่รู้จักอีก ถึงแม้ฟังดูแล้วมันจะไม่น่าเป็นไปได้ แต่สมมติว่าถ้ามันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เจ้ายังจะอยากเป็นนักสำรวจอยู่หรือเปล่า?”


“อย่างนี้นี่เอง” สาวน้อยเข้าใจทันที “พระองค์ทรงหมายความว่าถ้าเกิดในช่วงที่ทำสงครามแห่งโชคชะตา นักสำรวจจากฟยอร์ดเหล่านั้นสำรวจแผ่นดินและทะเลจนหมดแล้ว หม่อมฉันจะทำยังไงใช่ไหมเพคะ?”


“เอ่อ…จะเข้าใจแบบนั้นก็ได้” โรแลนด์แอบบ่นในใจ เขานึกว่าตัวเองพยายามพูดอ้อมแล้วนะ แต่ก็ยังถูกอีกฝ่ายพูดออกมาตรงๆ ซะได้


“หม่อมฉันคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ นอกเสียจากพวกเขาจะเก่งเหมือนอย่างพ่อของหม่อมฉันเพคะ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นจริงๆ หม่อมฉันก็ยังจะสำรวจต่อไปเพคะ” ไลต์นิ่งตอบออกมาอย่างไม่ลังเล “เพราะว่ามันยังมีบางทีที่มีแต่หม่อมฉันเท่านั้นที่จะไปได้ ต่อให้เป็นพ่อของหม่อมฉันก็ไม่มีทางทำได้เพคะ”


“เจ้าหมายถึง…”


ไลต์นิ่งชี้ไปบนหัว ก่อนจะพูดออกมาอย่างมั่นใจ “บนท้องฟ้ายังมีที่ว่างอันกว้างใหญ่อยู่เพคะ!”


หลังจากเธอออกไปแล้ว โรแลนด์จึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้


เขาควรจะบอกว่าสมแล้วที่เป็นพ่อลูกกันใช่ไหม? คำตอบอันนี้ไม่เพียงแต่จะมีน้ำเสียงที่เหมือนกับธันเดอร์ แต่ท่าทางของเธอยังดูมั่นใจกว่าธันเดอร์ด้วยซ้ำ เขาไม่รู้ว่าชะตาชีวิตของนักสำรวจนั้นจะเป็นเหมือนอย่างที่ธันเดอร์พูดจริงๆ หรือเปล่า แต่มีจุดหนึ่งที่ธันเดอร์พูดถูก ไลต์นิ่งนั้นมีพรสวรรค์ที่คนทั่วไปยากจะเทียบได้จริงๆ


“พระองค์ทรงยิ้มอะไรเพคะ?” ไนติงเกลถามออกมาอย่างแปลกใจ


เขายืนขึ้นมาแล้วเดินไปที่หน้าต่างพร้อมกับมองดูท้องฟ้าที่มีก้อนเมฆลอยอยู่เต็มไปหมด สายตาของเขาเหมือนมองทะลุผ่านชั้นเมฆออกไปยังที่ๆ ไกลแสนไกล ถึงแม้มันยังคงเป็นปริศนาอยู่ แต่ก็มีคนที่คอยจ้องมันอยู่แล้ว


“เป็นคนหนุ่มสาวนี่มันช่างดีจริงๆ เลย” เขาทอดถอนใจออกมา


….


หลังจัดการเรื่องไลต์นิ่งเสร็จ โรแลนด์ก็เรียกเวนดี้เข้ามา


“ข้าอยากจะตั้งหน่วยงานในสำนักงานเมืองขึ้นมาใหม่อีกหน่วยงานหนึ่ง” เขาพูดเข้าประเด็น “โดยหน่วยงานนี้นอกจากจะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนอย่างวันนี้แล้ว มันยังจะทำให้ประชาชนมีช่องทางในการสื่อสารที่น่าเชื่อถือด้วย”


“พระองค์ทรงหมายความว่าง…มันใช้สำหรับประกาศข้อมูลข่าวสารหรือเพคะ?” เวนดี้ถาม


“ถูกต้อง หน่วยงานนี้ชื่อว่ากองประชาสัมพันธ์” โรแลนด์พยักหน้า “แต่ว่าวิธีการประกาศข่าวสารของมันจะไม่เหมือนเมื่อก่อน อันดับแรก ถ้าไม่ใช่สถานการณ์เร่งด้วย มันจะไม่ได้ใช้ป้ายประกาศตรงลานเมืองในการประกาศข่าวสารอีกต่อไป อันดับต่อมา เนื้อหาในการประกาศที่หน่วยงานนี้รับผิดชอบจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์เท่านั้น หากแต่รวมไปถึงเรื่องใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองอื่นๆ ด้วย


“ไม่ประกาศตรงลานเมือง แล้วจะทำให้คนอื่นรู้ได้ยังไงล่ะเพคะ?” ไนติงเกลมุ่ยปากขึ้นมา


โรแลนด์หยิบร่างกระดาษที่ไม่ใช่แล้วจากบนโต๊ะทำงานมาแผ่นหนึ่ง ก่อนจะกางออกตรงหน้าทั้งสองคน “ดังนั้นมันจึงต้องใช้วิธีการประชาสัมพันธ์แบบใหม่ นั่นก็คือหนังสือพิมพ์”


ความจริงแล้วการที่เขาตั้งป้ายประกาศตรงลานเมืองพร้อมกับส่งคนไปยืนอธิบายซ้ำแล้วซ้ำแล้วก็เพราะว่าไม่มีทางเลือกอื่น เมื่อก่อนอัตราการรู้หนังสือของผู้คนนั้นต่ำมาก การจะทำให้ประชาชนอ่านออกเขียนนั้นเป็นเรื่องที่เพ้อฝัน การถ่ายทอดข่าวสารผ่านทางการพูดจึงเป็นวิธีเดียวที่จะประกาศนโยบายต่างๆ ให้ประชาชนรับรู้ได้


แต่เมื่อจำนวนประชากรมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งดินแดนก็ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว วิธีการประกาศแบบนี้จึงไม่อาจตามความต้องการที่แท้จริงของประชาชนได้ทัน ในอดีตรวบรวมคน 3,000 คนมาฟังการประกาศก็พอที่จะทำให้ข่าวสารกระจายไปทั่วทั้งเมืองได้แล้ว แต่ตอนนี้ถ้าอยากจะทำแบบนั้น อย่างน้อยๆ ก็ต้องเรียกคนมา 80,000 – 90,000 คน


นี่ไม่เพียงแต่จะเกินไปจากขีดจำกัดของสำนักงานเมืองที่จะรองรับได้ แต่การดึงคนจำนวนมากขนาดนี้เพื่อมาฟังข่าวสารจะทำให้อุตสาหกรรมของเมืองเนเวอร์วินเทอร์เกิดการหยุดชะงักได้


ซึ่งรายงานของบารอฟก็ทำให้เขาคิดถึงคำพูดที่ว่า ‘ถ้าไม่ไปยึดสถานที่ในการกระจายข่าวสาร ศัตรูก็จะมายึดมันไป’ ขึ้นมา ถ้าไม่มีช่องทางการสื่อสารที่น่าเชื่อถือได้ ข่าวลือต่างๆ ก็จะแพร่กระจายไปมาจากร้านเหล้า เมื่อถึงตอนนั้นถ้าอยากจะแก้ข่าวลือก็คงจะทำได้ยากแล้ว


ตอนนี้การศึกษาขั้นพื้นฐานได้ดำเนินการมาเป็นเวลาสองปีครึ่งแล้ว อีกทั้งผลผลิตต่างๆ ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ผลิตได้ก็มีจำนวนมากกว่าแต่ก่อน การทำหนังสือพิมพ์จึงกลายเป็นเรื่องที่ตามมาโดยปริยาย


โดยการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้นคือฐานในการทำหนังสือพิมพ์ ส่วนเรื่องที่วัตถุดิบต่างๆ ที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์นั้นเป็นหลักประกันในการทำหนังสือพิมพ์


สำนักหนังสือพิมพ์ของทางการนั้นต้องการอะไรบ้าง? พยายามแจกจ่ายให้ได้มากที่สุดและการรายงานข่าวที่ทันเวลาที่ทำให้สามารถชี้นำกระแสสังคมได้ ดังนั้นเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะเป็นต้องมีกระดาษจำนวนมากและเทคโนโลยีการพิมพ์ที่มีประสิทธิภาพสูง


ปัญหาเรื่องกระดาษนั้นจัดการได้ไม่ยาก ในภาคกลางที่การค้าพัฒนาแล้วกับเมืองทางตะวันออก กระดาษได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายไปจนถึงชนชั้นกลางเรียบร้อยแล้ว เขาจำได้ว่าพ่อแม่ของลูเซียที่ตายไปแล้วนั้นก็เคยทำโรงงานผลิตกระดาษอยู่ที่เมืองวาเลนเซีย จากสถิติที่สำนักงานเมืองรวบรวมเอาไว้ ในบรรดาชาวบ้านที่อพยพมาจากดินแดนตะวันออกนั้นมีอยู่หลายคนที่เชี่ยวชาญในการทำกระดาษ ขอเพียงรวบรวมช่างเหล่านั้นมา แล้วก็ขยายกำลังการผลิต เขาก็จะมีกระดาษจำนวนมากให้ใช้งาน


สำหรับเมืองเนเวอร์วินเทอร์แล้ว ปัญหาที่ใช้เงินแก้ไขได้ไม่เรียกว่าเป็นปัญหา


เทคโนโลยีการพิมพ์นั้นยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ ทั้งแม่พิมพ์โลหะที่เคลื่อนที่ได้กับแกนหมุนก็เป็นเทคโนโลยีที่เขามีอยู่แล้ว น้ำหมึกก็เอามาจากดาร์คคลาวด์ได้ ตามหลักแล้วการพิมพ์สามารถจัดการได้ง่ายกว่าการผลิตกระดาษเสียอีก


เพียงแต่เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องพวกนี้ให้เวนดี้ฟังอย่างละเอียด ถ้าโยนเรื่องเทคโนโลยีทิ้งไป หนังสือพิมพ์นั้นจำเป็นต้องมีคนเขียน ด้วยเหตุนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารพวกนั้น


ที่เขาเรียกเวนดี้อยู่ก่อนก็เพราะอยากให้เธอช่วยเลือกคนที่เหมาะสมมาซักสองสามคน ไม่ว่าจะเป็นสโมสรแม่มดหรือว่ามนตร์แห่งสลีปปิ้ง เธอก็น่าจะเป็นคนที่เข้าใจเรื่องความสามารถของพี่น้องแม่มดที่สุดแล้ว


“หม่อมฉันเหมือนจะเข้าใจแล้วเพคะ…” หลังฟังโรแลนด์อธิบายเสร็จ เวนดี้ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่ “พระองค์ทรงต้องการให้แม่มดมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ โดยที่นางจะต้องสามารถพบเห็นเรื่องราวได้ในทันที อีกทั้งยังวิ่งได้เร็วกว่าใคร แล้วก็แจ้งข่าวกลับมายังกองประชาสัมพันธ์โดยเร็วที่สุดใช่ไหมเพคะ?”


“แค่กๆ ไม่จำเป็นต้องวิ่งได้เร็วที่สุดก็ได้” เขาเกือบจะสำลักน้ำลาย “ขอเพียงรู้ว่าเรื่องราวมันเกิดขึ้นที่ไหน นางก็จะได้ส่งคนอื่นไปได้”


“อย่างนั้นก็หมายความว่านางจะเป็นศูนย์กลางของกองประชาสัมพันธ์ใช่ไหมเพคะ? อืม…หม่อมฉันเหมือนจะนึกออกแล้วเพคะ” เวนดี้พูดยิ้มๆ “ฝ่าบาทว่า…ฮันนี่เป็นยังไงบ้างเพคะ?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)