Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ 1011-1014
ตอนที่ 1011
น้ำวนที่แตกกระจายออก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในระบบการปกครองใหม่ ข่าวพระราชาจะทรงจัดพิธีราชาภิเษกได้แพร่กระจายขึ้นไปทางเหนืออย่างรวดเร็ว แล้วก็สร้างความฮือฮาให้แต่ละเมืองได้อย่างมาก
เมื่อก่อนนั้นจำเป็นต้องอาศัยคาราวานพ่อค้าและกัปตันเรือในการกระจายข่าวสาร แต่ตอนนี้สำนักงานเมืองของที่ต่างๆ ล้วนแต่ใช้วิธีปิดประกาศเอาไว้ในที่สะดุดตา อีกทั้งยังจัดเจ้าหน้าที่ไปยืนอธิบายด้วย เหมือนว่าพวกเขาอยากจะให้ชาวบ้านทุกคนเข้าในนโยบายของทางราชวงศ์อย่างไรอย่างนั้น ด้วยวิธีนี้ทำให้ข่าวสารแพร่กระจายไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ ของเมืองอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็จะได้ยินผู้คนคุยกันถึงเรื่องนี้
ที่ร้านเหล้า ‘นักดนตรีใต้ดิน’ ในเมืองหลวงเก่าก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เพราะว่าร้านเหล่านั้นคือสถานที่รวบรวมข่าวสารที่เป็นที่นิยมมาโดยตลอด การนั่งดื่มเหล้าอยู่ข้างเตาผิง พร้อมกับถกกันว่าได้ยินข่าวลือนี้มาจากไหนยังคงเป็นหนึ่งในวิธีหาความสุขของใครหลายๆ คน
ในฐานะที่เป็นเจ้าของใหม่ของร้านเหล้าแห่งนี้ แบล็คแฮมเมอร์แทบจะยิ้มจนแก้มปริ หลังจากเข้าสู่ฤดูหนาว กิจการภายในร้านก็เงียบเหงาลงไปมาก แต่หลังจากที่มีข่าวพระราชาจะทรงจัดงานราชาภิเษกขึ้นมา ที่นี่ก็กลับมาคึกคักเหมือนเดิม อีกทั้งรายได้ยังเพิ่มขึ้นอย่างมาก ภายในใจเขาย่อมต้องรู้สึกยินดีตามไปด้วย
เขาสามารถคาดการณ์ได้ว่าความคึกคักแบบนี้จะยังคงอยู่ต่อไปจนกว่างานราชาภิเษกจะจบลง
ตัดสินใจขึ้นครองราชย์ในเดือนแห่งปีศาจ นี่่ช่างเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดจริงๆ ถ้าเขาได้เจอฝ่าบาทล่ะก็ เขาจะต้องลงไปจูบเท้าฝ่าบาทอย่างไม่ลังเลแน่ๆ
เพราะในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะน่ารักไปกว่าเงินแล้ว
ด้วยฐานะอดีตโจรใต้ดินอย่างเขา โอกาสที่เขาจะได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ฝ่าบาทนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ปกติแค่ได้เจอท่านทาซาก็ถือว่าดีมากแล้ว
ในจุดนี้ตัวแบล็คแฮมเมอร์นั้นรู้ดี
เพราะทาซานั้นไม่ใช่หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนที่ต่ำต้อยในอดีตหรือองครักษ์ที่ไร้ชื่อเสียงของเจ้าชายลำดับที่สี่เหมือนอย่างในอดีตอีกแล้ว หลังจากที่ล้มทอว์ฟิคลงได้ เขาก็เริ่มกลายเป็นคนสำคัญของเมืองหลวง แม้แต่นาจิบอดีตเจ้าของร้านเหล้าแห่งนี้ยังถูกเขาไล่ไปที่อื่นด้วยคำพูดเพียงแค่ไม่กี่คำ ในปฏิบัติการกวาดล้างโจรใต้ดินหลังจากนั้น เป็นเพราะพวกเขาได้รับคำแนะนำจากทาซา พวกเขาถึงได้ถอนตัวออกมาจากนิ้วผีและกลายเป็นพลเมืองอย่างเป็นทางการได้ แถมเขายังได้รับร้านเหล้าร้านนี้มาดูแลต่อด้วย
บุญคุณนี้ แบล็คแฮมเมอร์ไม่มีทางลืมแน่นอน
เขาวางแผนจะเอาแหวนเงินกับพวกเครื่องดินเผาไปให้อีกฝ่ายก่อนที่อีกฝ่ายจะไปจากเมืองหลวงเพื่อเป็นการขอบคุณ ถึงแม้จะต้องใช้เงินออกไปก้อนใหญ่ แต่ขอเพียงรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ได้ ช้าเร็วเขาก็สามารถหาเงินกลับมาได้
นอกจากนี้ เขาก็ไม่ลืมด้วยว่าตัวเองมีเรื่องที่ต้องจัดการ
นั่นก็คือรวบรวมข่าวสารมาให้ท่านทาซา ไม่ว่าจะเป็นการคุยโวของพวกพ่อค้าหรือว่าสิ่งที่พวกนักเดินทางได้พบได้เห็นมา ขอเพียงเป็นสิ่งที่ท่านทาซาสนใจ เขาก็ต้องจดมันมาให้ท่านทาซา
และในตอนนี้ เป้าหมายที่เขาต้องคอยจับตามองก็คือพวกที่มีท่าทีว่าจะก่อกบฏ
อย่างเช่นลูกค้าที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะหมายเลข 6
“พวกเจ้าไม่คิดว่าเรื่องนี้มันบังเอิญไปหน่อยเหรอ?” พ่อค้าที่หน้าแดงคนหนึ่งพูดเสียงดังขึ้นมา “เรื่องที่จู่ๆ ก็มาจัดงานราชาภิเษกก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ฝ่าบาทเพิ่งจะประกาศว่าจะแต่งงานกับแม่มดที่ให้กำเนิดไม่ได้ ก็มีข่าวว่าเจอเมียกับลูกชายของเจ้าชายองค์โตยังมีชีวิตอยู่พอดี พวกเจ้าไม่คิดว่ามันแปลกๆ เหรอ!”
คนอื่นๆ ต่างก็เห็นด้วยกับคำพูดนี้ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าชายกูลอนไม่ชอบผู้หญิง มีบางคนบอกว่าเขาเคยมีอะไรกับอัศวินหนุ่มๆ แล้วจู่ๆ จะมีเมียที่ไม่ได้แต่งงานโผล่ขึ้นมาได้ไง?”
“จริงเหรอ?”
“เจ้าไม่ใช่คนของเมืองหลวง ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าเทียบกับเจ้าชายลำดับที่สองกับลำดับที่สี่แล้ว เขาแทบจะไม่ปรากฏตัวในงานเลี้ยงเลย”
“แล้วเจ้าลองคิดๆ ดูนะ” พ่อค้าคนนั้นพูดขึ้นมาอีก “ฝ่าบาทบอกแค่ว่าจะเรียกทั้งสองคนกลับมาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ แต่กลับไม่ได้ยืนยันเรื่องฐานะของเด็กคนนั้น นี่ไม่เท่ากับว่าจงใจให้ทุกคนหันความสนใจไปที่คุณสมบัติของผู้สืบทอดหรอกเหรอ? ผู้หญิงคนนั้นมาจากตระกูลไหน ลูกชายที่เกิดมามีสายเลือดของตระกูลวิมเบิลดันจริงหรือเปล่า แค่เรื่องนี้ก็พอที่จะให้ผู้คนถกเถียงกันไปได้อีกหลายปีเลย แต่เรื่องที่คอขาดบาดตายจริงๆ กลับไม่มีใครสนใจ”
“เจ้าอยากจะ…พูดอะไรกันแน่?”
“อะไรคือเรื่องที่คอขาดบาดตายจริงๆ?”
“ก็แม่มดคนนั้นไง!” เขากรอกเหล้าเข้าปากตัวเอง “พวกนางคอยควบคุมฝ่าบาทอยู่ในความมืด แล้วก็สร้างเด็กคนนั้นขึ้นมาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเรา เพื่อที่พวกนางจะได้ควบคุมเกรย์คาสเซิลได้อย่างเบ็ดเสร็จ!”
ทุกคนอื่นฮือฮาขึ้นมา “แม่มดสร้างคนได้ด้วยเหรอ?”
“ข้าจะบอกอะไรพวกเจ้านะ ไม่มีอะไรที่พวกนางสร้างออกมาไม่ได้หรอก!” พ่อค้าพูดเสียงดัง “แม้แต่เรือหินที่ลอยอยู่บนน้ำยังสร้างออกมาได้ แล้วนับประสาอะไรกับคนล่ะ? แล้วก็เป็นเพราะเรือพวกนั้นนั่นแหละ ตอนนี้ก็เลยไม่มีใครมาเช่าเรือของข้าแล้ว! แน่นอน ตอนนี้มันอาจจะยังเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างคนที่ไร้ที่ติขึ้นมา ดังนั้นพวกแม่มดก็เลยต้องการเวลา เอาไว้พวกนางทำได้สำเร็จเมื่อไร เจ้าเด็กนั้นก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับพวกนางแล้ว!”
“ฮ่าๆๆๆ…ข้าว่าเจ้าท่าจะบ้าไปแล้ว เจ้าคิดว่าในวังมีฝ่าบาทอยู่คนเดียวเหรอ ข้างกายพระองค์มีหินอาญาสิทธิ์แค่ก้อนเดียวเหรอ?” ทุกคนหัวเราะขึ้นมาทันที ภายในร้านเต็มไปด้วยบรรยากาศเฮฮา
“พวกเจ้า…เหอะ…ขำเข้าไปเถอะ คนงานเหมืองในเมืองซิลเวอร์ถูกของที่แม่มดสร้างขึ้นมาแทนที่ไปแล้ว เรือที่วิ่งอยู่ในแม่น้ำก็มีแต่เรือหินของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ เอาไว้ถึงตาพวกเจ้าเมื่อไร ข้าจะดูสิว่าพวกเจ้ายังจะหัวเราะออกไหม!” พ่อค้าพูด
เอ่อ ถึงแม้ข่าวอันนี้จะไม่น่าสนใจอะไรมากนัก แต่ภายในใจเหมือนจะแอบต่อต้าน…แบล็คแฮมเมอร์ยกปากกาขึ้นมา ก่อนจะเขียนลักษณะของอีกฝ่าย พร้อมกับข้อความ ‘ใส่ร้ายราชวงศ์ มีเจตนาร้ายต่อแม่มด’ ลงไปในกระดาษด้วยลายมือยึกยือ ก่อนจะเสียบมันไปในร่องเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังตู้เหล้า
ถ้าไม่มีอะไรผิดคาด อีกไม่นานตำรวจก็จะทำการตอบโต้ ในตอนที่พ่อค้าออกไปจากร้านเหล้า เขาน่าจะถูกตำรวจจับไป ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจะก่อกบฎหรือไม่นั้น นั่นเป็นหน้าที่ของคนสอบสวน ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา
….
ขณะเดียวกัน ภายในคฤหาสน์เอิร์ลภายในเขตเมือง
“ชุดนี้เป็นยังไงบ้าง?” ฮิวโก้หยิบเอาเสื้อปกสูงที่ทำจากผ้าคุณภาพดีขึ้นมาทาบตัวเอง “ข้าดูอ้วนไปหรือเปล่า?”
คนที่ตอบเขาคือเดนิส เพย์ตันวาณิชหญิงที่เขารู้จักที่อาณาจักรดอว์น เธอนั่งพิงอยู่ตรงหัวเตียงพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าอกองตัวเอง “ตอนที่นัดข้าไม่เห็นท่านกระตือรือร้นแบบนี้เลย ตอนนี้แม้แต่จดหมายเชิญท่านยังไม่ได้รับเลย แค่ได้ยินข่าวก็รีบเตรียมตัวจะออกเดินทางแล้วเหรอ?”
“ฝ่าบาทโรแลนด์กับข้าเป็นสหายกันมาสิบกว่าปีแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องมีบัตรเชิญอะไรหรอก นั่นมันเอาไว้สำหรับคนนอกโน่น” ฮิวโก้สะบัดเสื้อ “เจ้ายังไม่ตอบข้าเลย ชุดนี้เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?”
“บอกตามตรง ท่านใส่อะไรมันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ” เดนิสหาว “ยังไงซะสิ่งที่ดึงดูดข้าเอาไว้ก็ไม่ใช่รูปร่างของท่านซักหน่อย แต่ว่าถ้าท่านไปเนเวอร์วินเทอร์ แล้วข้าจะทำยังไง?”
“เอ่อ” เขาลังเลไปเล็กน้อย “ถ้าเจ้าอยากจะหาความสุขล่ะก็ บางทีข้าอาจจะแนะนำคน…”
“ไม่สนใจ” เดนิสพูดตัดบทเขาตรงๆ “ข้าสนใจคนที่ข้าเลือกเองมากกว่า อีกอย่างข้าถ่อมาหาท่านถึงนี้ แต่ท่านดูแลข้าแบบนี้เหรอ?”
ฮิวโก้รู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด เขาจึงถอนหายใจแล้วพูดออกมาว่า “อย่างนั้นเจ้าจะเอายังไง?”
วาณิชหญิงยิ้มมุมปากขึ้นมา “พาข้าไปเนเวอร์วินเทอร์ ข้าอยากจะเห็นมานานแล้วว่าราชาที่เล่นงานอาณาจักรดอว์นซะราบคาบหน้าตาเป็นยังไง”
“นี่มัน..”
“ในเมื่อเป็นเพื่อนกันมาสิบกว่าปี ฝ่าบาทจะต้องเชิญท่านเข้าร่วมงานเลี้ยงของพระองค์แน่นอนใช่ไหมล่ะ?” เดนิสถึงผ่าห่มออก ก่อนจะพลิกตัวลงจากเตียงแล้วเดินเข้ามาหาฮิวโก้ “ถึงตอนนี้ท่านก็แค่พาข้าเข้าไปในงานในฐานะคู่ควงของท่าน ตอนอยู่ที่เมืองกลอรี ข้าพาท่านออกงานตั้งหลายครั้ง ครั้งนี้ถึงตาท่านสนองความต้องการเล็กๆ ของข้าบ้างแล้วล่ะ” พูดจบเธอก็เอามือโอบคอฮิวโก้เอาไว้ พร้อมกับเอาริมฝีปากไปแนบชิดกับใบหูของอีกฝ่าย “วางใจได้ ข้ารู้ว่าท่านมีคนที่อยากจะเจออยู่…ข้าไม่เพียงแต่จะไม่รบกวนท่าน เผลอๆ ข้าอาจจะช่วยท่านด้วยนะ”
….
หลังข่าวแพร่กระจายออกไป ไม่ว่าจะเป็นราษฎรหรือว่าเจ้าหน้าที่ต่างๆ ก็ยุ่งวุ่นวายกันขึ้นมา
แต่ตัวโรแลนด์กลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย
จนกระทั่งหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น เรือรบโรแลนด์ได้เดินทางมาถึงเมืองอีเทอร์นอลไนท์
ความสงบอันนี้จึงได้ถูกทำลายลง
ตอนที่ 1012
ลิเวีย
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเดินผ่านซอยเล็กๆ ซอยหนึ่งที่บนพื้นมีหิมะทับถมอยู่เต็มไปหมด พร้อมกับได้ยินเสียงฉับๆ ที่ดังมาจากใต้ฝีเท้า ลิเวียพลันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ขึ้นมาหน้าอก
ฤดูหนาวของดินแดนทางเหนือมักจะเป็นแบบนี้ ท้องฟ้าอึมครึมเหมือนมีใครเอาแผ่นหินมาบังไว้อยู่เหนือหัว ส่วนบนพื้นก็ถูกหิมะปกคลุมเอาไว้จนหมด สรรพสิ่งล้วนแต่สูญเสียสีสันที่มีอยู่แต่เดิมไป สิ่งที่ตามมาก็คือความหนาวเหน็บและความอดอยาก ภาพแบบนี้มักจะทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย
แต่เธอกลับมองเห็นสีสันที่ไม่เคยมีมาก่อนอยู่ท่ามกลางหิมะเหล่านี้
สีสันนี้ดูเจิดจ้ายิ่งกว่าสายรุ้ง ถึงแม้หิมะจะตกโปรยปรายลงมาแบบนี้ มันก็ยังดูเหมือนเปล่งประกายราวกับดวงดาราที่อยู่บนพื้นโลก
ยิ่งเข้าใกล้มัน ลิเวียก็ยิ่งรู้สึกแทบทนไม่ไหวที่จะได้เจอมัน
ปลายลำแสงตรงไปยังห้องเล็กๆ ที่เธอเช่าอยู่
ถ้าไม่เป็นเพราะต้องไปหาอะไรมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เธอก็ไม่คิดที่จะออกจากบ้านไปแม้แต่ก้าวเดียว
นั่นคือลูกของเธอ
โซ่ทองของเธอกับกูลอน วิมเบิลดัน
เมื่อมีเขา เธอก็เหมือนมีโลกทั้งใบ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ฝีเท้าของลิเวียก็ยิ่งก้าวเร็วมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ในตอนที่เลี้ยวเข้าไปในซอยสุดท้าย หัวใจเธอพลันรู้สึกเหมือนถูกบีบขึ้นมาอย่างแรง
เธอเห็นบนพื้นหิมะมีรอยเท้าคนอยู่สิบกว่ารอย เมื่อดูจากทิศทางแล้ว หลังพวกมันเลี้ยวมาถึงที่นี่จากอีกซอยหนึ่ง พวกมันก็พุ่งตรงเข้าไปในสวน
ซึ่งก็เธอก็อาศัยอยู่ในสวนแห่งนี้
เพื่อนบ้านที่นี่ล้วนแต่เป็นชาวบ้านธรรมดา อย่าว่าแต่ช่วงเดือนแห่งปีศาจเลย แม้แต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิก็แทบจะไม่มีใครมาหาเธอ แล้วทำไมถึงมีรอยเท้ามากมายขนาดนี้ได้?
ทันใดนั้นเอง ภายในหัวลิเวียพลันรู้สึกงุนงงขึ้นมา จากนั้นความรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ยากจะบรรยายได้พลันทะลักออกมาจากในใจของเธอ
ไม่ ใจเย็นก่อน…เธอบอกตัวเองไม่หยุด ไม่แน่อาจจะเป็นแค่พวกโจรที่เข้ามาขโมยของหรือไม่ก็พวกผู้อพยพที่เร่ร่อนมาถึงที่นี่ก็ได้ สำหรับเธอแล้ว สถานการณ์ที่ดูเลวร้ายสำหรับคนอื่นเหล่านี้คือความหวังสุดท้ายของเธอ
แต่ภาพแรกที่เธอเห็นหลังจากเดินสั่นเทาเข้าไปในสวนได้ทำให้ความหวังสุดท้ายของเธอพังทลายลงทันที
หน้าประตูบ้านของเธอมีหน่วยลาดตระเวนสวมเกราะหนังยืนอยู่เต็มไปหมด ในนั้นมีคนหนึ่งแต่งตัวเป็นอัศวิน เมื่อดูจากตราที่อยู่บนหน้าอก พวกเขาเป็นคนของตระกูลเคนท์ที่ปกครองดินแดนทางเหนือ
“ม่ายยยย!”
ลิเวียไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน เธอทิ้งเค้กนมที่หามาอย่างยากลำบาก ก่อนจะก้มหน้าวิ่งทะลุประตูใหญ่เข้าไป
พริบตานั้นเอง เธอได้เตรียมตัวที่จะสู้ตาย
เผลอๆ ศัตรูไม่ต้องลงมือด้วยซ้ำ ขอแค่พวกเขาชักดาบมาขวางหน้าเธอไว้ เธอก็คงจะพุ่งชนมันเข้าไป!
แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือพวกเขาเหมือนไม่ได้สนใจต่อการปรากฏตัวของเธอ หากแต่เอี้ยวตัวหลบ แล้วปล่อยให้เธอวิ่งเข้าไปในบ้าน
ลิเวียที่วิ่งอย่างรีบร้อนสะดุดธรณีประตู กระโปรงของเธอครูดไปกับพื้นที่เย็นเหมือนน้ำแข็งจนฉีกขาด แต่ความเจ็บปวดที่แผ่ขึ้นมาจากหัวเข่านั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเธอ เธอคลานเข้าไปในห้องนอนเล็กๆ ด้วยน้ำตานองหน้า หวังว่าจะได้เห็นหน้าลูกของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย แต่ภาพที่เธอคิดเอาไว้นั้นไม่ได้เกิดขึ้น
ผู้หญิงผมสีเขียวครามคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหัวเตียงพร้อมกับหยอกล้อเล่นกับลูกของตัวเองด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก พี่เลี้ยงเด็กที่ปกติจะคอยช่วยเธอดูแลลูกยืนก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยมอยู่อีกด้าน ราวกับว่าอีกฝ่ายต่างหากที่เป็นเจ้านายของเธอ
จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับกวาดตามองเธอ เพียงแค่การกวาดตามองแวบเดียวก็ทำให้ลิเวียรู้ทันทีว่าคนๆ นี้ไม่ใช่คนประเภทเดียวกับเธอ ถึงแม้เธอจะมีใบหน้าอันงดงามที่ทำให้คนเห็นแล้วยากจะลืมได้ แต่ลิเวียกลับไม่สามารถเชื่อมโยงเธอเข้าไปผู้หญิงธรรมดาๆ ที่เธอเคยพบเคยเห็นได้เลย อบอุ่น อ่อนโยน มีเสน่ห์…คำศัพท์ที่ใช้กับเพศหญิงเหล่านั้นไม่เหมาะสมกับเธอเลย ถึงแม้เธอจะอุ้มเด็กน้อยอยู่ แต่ในดวงตาของเธอก็ไม่มีสายตาของความเป็นแม่แม้แต่น้อย
แทนที่จะบอกว่าเธอกำลังเล่นกับเด็กอยู่ ควรจะบอกว่า…เธอกำลังเล่นกับของเล่นอยู่
“สวัสดี” อีกฝ่ายค่อยๆ เอ่ยปากขึ้นมา “ข้าชื่อเอดิธส์ เคนท์ เจ้าน่าจะเคยได้ยินชื่อของข้านะ”
ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือ ลิเวียใจสั่นขึ้นมา เธอคือบุตรสาวคนโตของดยุคเคนท์ ผู้หญิงที่ร่ำลือกันว่าพาอัศวินออกไปรบคนนั้นน่ะเหรอ? ฉายาไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก แม้แต่กูลอนเองก็เคยพูดถึงเธออยู่บ่อยครั้ง
บางคนถึงขนาดบอกว่าเธอรับมือได้ยากกว่าดยุคเสียอีก
“สวัสดีเจ้าค่ะ นายหญิง” ลิเวียกลืนน้ำลายพร้อมกับก้มหัวหมอบลงไปกับพื้น “ไม่ทราบว่าที่ท่านมา…..”
เอดิธส์โบกมือ พี่เลี้ยงที่อยู่ข้างๆ รีบทำความเคารพทันที จากนั้นเธอเดินออกไปจากห้องนอนพร้อมกับล็อกประตูเอาไว้
เมื่อถึงตอนนี้ เธอเข้าใจแล้วว่าพี่เลี้ยงเด็กที่ตัวเองหามาคนนี้ ที่แท้เป็นคนที่ตระกูลเคนท์จัดหามาให้
พวกเขารู้ความลับของเด็กคนนี้อยู่แต่แรกแล้ว
“ข้าจะเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะ ข้าได้รับคำสั่งมาจากฝ่าบาทว่าให้นำเอาสายเลือดของตระกูลวิมเบิลดันกลับไปยังเมืองเนเวอร์วินเทอร์”
“จกานั้น….ก็จะฆ่าเขาอย่างเงียบๆ ใช่ไหมเจ้าคะ?” ลิเวียพูดออกมาอย่างยากลำบาก
“ถ้าแค่ต้องการทำให้เขาหายไป ทำที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปถึงเนเวอร์วินเทอร์หรอก” เอดิธส์ดึงหมวกคลุมหัวออก “ฝ่าบาททรงต้องการเหตุผลในการปิดหูปิดตาคนก็เท่านั้น”
ลิเวียงุนงง เธอฟังไม่เข้าใจจริงๆ ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร “นายหญิง ข้า…ไม่ค่อยเข้าใจ…”
“เรื่องนี้ไม่ได้ซับซ้อนเหมือนอย่างที่เจ้าคิด” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือยักไหล่ “เจ้ารู้จักแม่มดไหม?”
……
หลังฟังอีกฝ่ายอธิบายจบ ซิลเวียก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเชื่อมโยงเรื่องทั้งสองเข้าด้วยกันได้ และข้อสรุปที่เธอได้มาก็น่าเหลือเชื่ออย่างมาก! โรแลนด์ วิมเบิลดันตัดสินใจที่จะแต่งงานกับแม่มด เขาก็เลยคิดจะใช้ลูกของกูลอนมากลบเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน? เธอไม่ค่อยรู้เรื่องพิธีรีตองของพวกขุนนางเท่าไร แต่เธอรู้สึกว่าวิธีนี้มันค่อนข้างแปลกประหลาดไปหน่อย
อีกฝ่ายเป็นถึงราชาของอาณาจักร เขาจำเป็นต้องทำขนาดนี้จริงๆ เหรอ
เธอกัดฟันแล้วรวบรวมความกล้า “นายหญิง ขออภัยที่ข้าไม่อาจเชื่อได้ บางทีตอนนี้ฝ่าบาทอาจจะทรงคิดเช่นนี้ แต่มันไม่ได้หมายความว่าต่อไปพระองค์จะทรงคิดเช่นนี้อยู่ ถ้าเกิดมีอะไรเปลี่ยนแปลง เชลโล่เขา…”
“เชลโล่? นี่คือชื่อของเด็กคนนี้เหรอ?” เอดิธส์เลิกคิ้ว “เหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองนะ คำสั่งของฝ่าบาทถือเป็นที่สิ้นสุด เจ้ามีเพียงแค่สองตัวเลือกเท่านั้น นั่นคือรับเงินนี่แล้วหนีไปซะ แล้วก็อย่าได้ถามถึงเรื่องนี้อีก หรือตามข้าไปยังเมืองเนเวอร์วินเทอร์ แต่จะไม่ใช่ในฐานะแม่ของเขาอีก หากแต่เป็นคนใช้ของตระกูลขุุนนาง”
ลิเวียรู้สึกได้ถึงน้ำตาในดวงตาอีกแล้ว ถูกต้อง สถานะของเธอนั้นต่ำต้อยเกินไป ไม่มีทางที่เธอจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ได้ “แล้วใครจะดูแลเขาแทนข้าเพคะ?”
“ไม่มี”
“เอ๋?” เธอเงยหน้าขึ้นมาทันที น้ำตาไหลลงไปยังมุมปากของเธอ
“ฝ่าบาทไม่ได้ทรงใจร้ายขนาดนั้น ถ้าเจ้าเลือกทางเลือกที่สอง จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากตอนนี้เลย นอกจากเรื่องฐานะที่เปลี่ยนไปของเจ้า เจ้าจะยังคงได้อยู่ข้างกายเขา ดูเขาเติบใหญ่ ตระกูลขุนนางนั้นได้ถูกศาสนจักรทำลายไปแล้ว ส่วนภรรยาที่ยังไม่ได้แต่งงานของกูลอนได้ฝากเด็กนี่ไว้กับเจ้าก่อนตาย นั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด” เอดิธส์ชะงักไปเล็กน้อย “นอกจากนี้ ข่าวนี้ได้ถูกประกาศได้ยังเมืองต่างๆ แล้ว รวมไปถึงอาณาจักรทางเหนือด้วย อีก 2 – 3 วันเจ้าก็น่าจะได้ยินเรื่องนี้ หากพระองค์ทรงต้องการกำจัดพวกเจ้าจริงๆ ทำไมพระองค์ต้องลำบากทำเช่นนี้ด้วย?”
ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือหมายความว่า…ที่ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ ก็เพื่อให้เธอสบายใจอย่างนั้นเหรอ?”
ลิเวียเอามือกุมหน้าอกไว้ ภายในหัวของเธอมีภาพในคืนนั้นผุดขึ้นมา เธอซึ่งไร้หนทางได้ไปหาโรแลนด์ที่ในตอนนั้นยังเป็นเจ้าชายลำดับที่สี่อยู่ ส่วนอีกฝ่ายเองก็ยื่นมือมาช่วยเหลือเธอเอาไว้จริงๆ ถึงแม้เขาอาจจะมีเป้าหมายอะไรบางอย่างอยู่ในใจ แต่ถ้าไม่ได้เขาช่วยเอาไว้ เกรงว่าเธอคงจะถูกเจ้าของร้านเหล้าตีตายไปแล้ว
เธอสูดหายใจพร้อมกับเช็ดน้ำตา จากนั้นจึงลุกขึ้นมายืน การคุกเข่าเป็นเวลานานทำให้ขาทั้งสองข้างของเธอชา แต่เธอก็ยังพยายามควบคุมร่างกายเอาไว้ “นายหญิง ข้าขอถามหน่อย…เด็กคนนี้มีโอกาสจะได้เป็นราชาหรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่มี” เอดิธส์มองอย่างรู้สึกสนใจ “ก่อนออกมาฝ่าบาทส่งรับสั่งเอาไว้ว่าอย่าให้เจ้าคิดเพ้อฝัน ถ้าไม่มีความหวังก็จะไม่ผิดหวัง แต่แน่นอน เรื่องนี้ห้ามไม่ให้เจ้าพูดออกไปด้วย”
“ไม่ นายหญิง ข้าไม่มีทางผิดหวัง ข้าแค่ต้องการให้เขาเติบโตอย่างมีความสุขเท่านั้น” เสียงของลิเวียยิ่งช้าลง เหมือนกับว่าทุกคำพูดของเธอต้องเค้นเรี่ยวแรงจากทั้งร่างกายออกมา “แต่ว่า นี่มันก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องผู้สืบทอดให้กับฝ่าบาทได้ ถ้าเกิดหลังจากนี้พระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัยและแต่งตั้งรัชทายาทตัวจริงขึ้นมา อย่างนั้นอีกฝ่ายก็จะมองเชลโล่กลายเป็นเสี้ยนหนามของเขา เมื่อถึงตอนนั้นเกรงว่าเขาคงจะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปไม่ได้แน่!” เธอสบตาเอดิธส์แล้วพูดออกมาอย่างช้าๆ ชัดๆ ว่า “ข้ารู้ว่าข้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ถ้าท่านไม่ให้คำตอบที่ฟังดูมีเหตุผลกับข้า อย่างนั้นท่านก็ฆ่าข้าที่นี่เสียเถอะ!”
“โอ้?” เอดิธส์หรี่ตา
นี่มันกลิ่นของความกระหายเลือด
เมื่ออยู่ต่อหน้าเอดิธส์ เธอก็เป็นเหมือนแกะที่อ่อนแอตัวหนึ่ง
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ลิเวียก็ยังไม่ยอมถอย “ถ้าไม่มีคำตอบ ช้าเร็วเรื่องนี้ก็จะต้องกลายเป็นจริงแน่ ถ้าจะให้ข้าส่งลูกของกูลอน วิมเบิลดันไปตาย ข้าทำไม่ได้ นายหญิง!”
แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะมีคำตอบแน่ แต่ถึงแม้จะมี อีกฝ่ายก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาบอกหญิงที่ต่ำต้อยแบบเธอ สิ่งที่เธอทำได้มีเพียงเท่านี้…ขอโทษด้วนนะกูลอน ลิเวียหลับตาลงเพื่อรอคมดาบที่จะปาดลงมาบนลำคอของเธอ ขอโทษด้วยนะ…ที่รัก เธอเปลี่ยนอะไรไม่ได้ บางทีอีกสิบกว่าปีหลังจากนี้ลูกของเธอจะต้องตายลง แต่อย่างน้อย เธอก็ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจมันออกมาด้วยตัวเอง แล้วก็ไม่จำเป็นต้องทรมานไปจนถึงตอนนั้น
เด็กน้อยเหมือนจะรับรู้ได้ถึงการจากลาที่กำลังจะมาถึง เขาตื่นจากความฝันพร้อมร้องไห้เสียงดัง
เธอพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ลืมตา
เธอกลัวว่าถ้าเธอลืมตาขึ้นมา เธอจะตัดใจไม่ได้อีก
แต่การโจมตีที่ว่าก็ไม่เกิดขึ้น
กระทั่งเอดิธส์พูดยิ้มๆ ขึ้นมาว่า “ได้สิ”
ลิเวียมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
จากนั้นไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนืออ้าปาก พร้อมพูดคำตอบออกมาโดยไม่มีเสียง นั่นเป็นคำตอบที่น่าเหลือเชื่อเกินกว่าที่เธอจะจินตนาการได้ แต่ไม่รู้ว่าทำไม เธอกลับเชื่อคำพูดของอีกฝ่าย มันเหมือนกับเวลาที่เราตกลงไปในน้ำวน แม้แต่เศษหญ้าเส้นหนึ่งก็อาจกลายเป็นความหวังในการเอาชีวิตรอดได้ แล้วนับประสาอะไรกับตัวเธอที่กำลังใกล้ตายล่ะ
แทนที่จะบอกว่าอีกฝ่ายพูดกล่อมเธอ ควรจะบอกว่าเธอพูดกล่อมตัวเธอเองมากกว่า
เอดิธส์เอาเด็กที่กำลังร้องไห้ส่งคืนให้ลิเวีย ก่อนจะหมุนตัวเดินไปทางประตู “อีกสามวันออกเดินทาง อย่าลืมเตรียมตัวเก็บของล่ะ”
“นายหญิง…” ในตอนที่เดินสวนกัน เธอพูดพึมพำขึ้นมา “ที่ดีปวัลเลย์มีเจ้าของร้านเหล้าอยู่คนหนึ่ง แล้วก็องครักษ์ของเจ้าชายกูลอนที่ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน พวกเขาอาจจะรู้เรื่องนี้เจ้าค่ะ”
“ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” เอดิธส์ตอบโดนไม่หันหน้ากลับมา
หลังไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือออกไปแล้ว ลิเวียกอดลูกของเธอเอาไว้แน่นเหมือนกลัวว่าจะเสียเขาไป ส่วนลูกของเธอก็หยุดร้องไห้พร้อมกับเอาหัวซุกเข้าไปในหน้าอกของเธอ
ท่ามกลางเสียงหัวใจที่เต้นแรง เธออดถามตัวเองไม่ได้ว่านั่นมันจะเป็นไปได้ยังไง?
ในการพูดคุยที่ไม่มีเสียง เธอมองเห็นคำตอบที่ออกมาจากปากของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
มันเป็นคำง่ายๆ แต่กลับมีเวทมนตร์ที่ทำให้คนลุ่มหลง
‘เป็นอมตะ’
นี่คือคำตอบของราชา
ตอนที่ 1013
อนาคตของดินแดนทางเหนือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เอดิธส์กลับมาถึงปราสาท ดยุคคาลวินกำลังรอเธออยู่ในห้องโถง
“เจ้าอยู่ที่เมืองอีเทอร์นอลไนท์แค่สามวันเหรอ? ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิดล่ะก็ ภารกิจนี้มันจำเป็นต้องใช้เวลา แล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ารีบกลับไปไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่อยู่ต่ออีกหน่อยล่ะ?”
เธอขมวดคิ้วขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านให้คนไปแอบฟังข้าคุยกันอีกแล้วเหรอ?”
“ถ้าข้าถามเจ้าตรงๆ เจ้าจะยอมบอกข้าไหมล่ะ?” ดยุคถลึงตาใส่ “ลูกไม้นี้ข้าก็เรียนรู้มาจากเจ้านั่นแหละ แทนที่จะนั่งรอคำตอบ สู้ไปหามันเองดีกว่า”
“คิกคิก” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือหลุดขำออกมาเบาๆ “ยินดีด้วย ในที่สุดท่านก็ก้าวหน้าแล้ว แบบนี้เวลาที่อยู่ที่เนเวอร์วินเทอร์ ข้าก็จะได้ไม่ต้องห่วงท่านอีก”
ดยุคพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลย ถ้าเจ้าไปคนเดียวก็ว่าไปอย่าง นี่ยังจะพาแลนซ์ไปด้วย วิมเบิลดันคนนั้นมันดึงดูดเจ้าได้ขนาดนี้เลยเหรอ? แต่เขายอมแต่งกับแม่มดแทนที่จะแต่งกับเจ้า ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าลูกของกูลอนจะเอาไปทำอะไรได้!”
“ดูเหมือนท่านจะยังโมโหเรื่องที่ข้าไม่สามารถกลายเป็นราชินีได้อยู่นะ” เอดิธส์เหลือบมองเขา “หรือว่าความจริงแล้วท่านแค่กังวลว่าลูกที่ยังไม่เกิดมาของข้าคนนั้นจะได้สวมมงกุฎหรือเปล่า? ข้ายังไม่ลืมนะว่าตอนนั้นที่ทอว์ฟิคมาที่ดินแดนทางเหนือ ท่านพูดกับข้าว่ายังไง แล้วก็อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะว่าท่านเคยเสนอแนะอะไรฝ่าบาทไป”
เสียงของคาลวินอ่อนลงทันที “ข้า…ข้าก็แค่หวังดีกับเจ้าเท่านั้น หรือว่าเจ้าทนเห็นลูกของหญิงต่ำต้อยแบบนั้นมีอำนาจได้…”
เอดิธส์แอบถอนใจ พ่อของเธอนั้นไม่ได้พูดโกหก อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้โกหกที่บอกว่าหวังดีกับเธอ แต่สำหรับผลที่ออกมา นั่นไม่ถือว่าเป็นความคิดที่ดีเท่าไร บางทีคาลวิน เคนท์อาจจะเป็นพ่อที่ดี แต่ถ้าเป็นเรื่องการเมืองการปกครอง จุดอ่อนเขาถือว่ายังมีอีกมาก
โชคดีที่ขุนนางในยุคสมัยนี้นั้นล้วนแต่ไร้ความสามารถ หรือพูดอีกอย่างก็คือระดับของขุนนางส่วนใหญ่นั้นล้วนแต่อยู่ในระดับต่ำ นี่จึงไม่แปลกที่ฝ่าบาทจะไม่อยากให้มีระบบขุนนางสืบต่อไป หากเธอเป็นราชาของอาณาจักร เกรงว่าเธอก็คงจะรับไม่ได้เหมือนกันที่จะให้ขุนนางโง่เง่ามาผลาญทรัพย์สมบัติของตัวเอง
และก็เป็นเพราะว่าระดับของทุกคนนั้นอยู่ในระดับเดียวกัน ตามหลักแล้วเธอจึงควรจะปลอบประโลมพ่อของเธอ แต่เอดิธส์กลับไม่ทำแบบนั้น เธอชอบเปลี่ยนคำพูดให้กลายเป็นมีดดาบมากกว่า ถ้าสามารถสร้างความเจ็บปวดหรือความทรมานได้ก็ยิ่งดี ไม่ว่าจะใช้กับคนอื่นหรือว่าตัวเธอเองก็ตาม
“หญิงชั้นต่ำ? ไม่ ท่านผิดแล้วท่านพ่อ ที่กูลอน วิมเบิลดันให้ความสำคัญกับนางนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” เอดิธส์พูดอย่างรู้สึกสนุก “สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นขาดอยู่มีเพียงแค่สถานะเท่านั้น ถ้านางเกิดอยู่ในตระกูลขุนนางทางเหนือล่ะก็ นางอาจจะเหนือกว่าท่านก็ได้ ส่วนน้องชายของข้าสองคนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ความจริงแล้วคนที่ท่านต้องขอบคุณมากที่สุดก็คือบรรพบุรุษของตระกูลเคนท์ ถ้าไม่มียศดยุคล่ะก็ อย่าว่าแต่จะตำแหน่งของท่านในตอนนี้เลย เผลอๆ ท่านอาจจะสู้คนธรรมดาที่อยู่ข้างถนนไม่ได้ด้วยซ้ำ”
แล้วก็เป็นไปอย่างที่เธอคาดเอาไว้ สีหน้าพ่อของเธอดูแย่ขึ้นมาทันที
“ถึงแม้ตอนแรกดูเหมือนนางจะไม่ยอม แต่หลังจากตัดสินใจได้ นางก็บอกข้อมูลของคนที่อาจจะเป็นอันตรายต่อนางออกมาทันที ในจุดนี้จะเห็นได้ว่านางค่อนข้างเด็ดขาดทีเดียว สมมติว่าหลังจากนี้ลูกของกูลอนได้ขึ้นครองราชย์จริงๆ ท่านคิดว่านางจะลงมือกับข้าซึ่งเมื่อก่อนเคยบีบบังคับนางไหม? ข้าคิดว่ามีโอกาสสูงมากทีเดียว” เอดิธส์พูดยิ้มๆ “ส่วนเรื่องวิธีการนั้น ก็ต้องเป็นวิธีที่ทำให้นางหายแค้นได้ เพราะคนที่จะเข้าใจผู้หญิงได้ดีที่สุด ก็มีแต่ผู้หญิงด้วยกันเท่านั้นไม่ใช่เหรอ?”
“พอแล้ว…ข้าผิดเอง” สุดท้ายคาลวินก็ยกมือยอมแพ้ “เจ้าอย่าพูดแล้วได้ไหม?”
“ฟู่ว” เอดิธส์ถอนใจออกมาอย่างพึงพอใจ “ดังนั้นเขาไม่มีทางได้ครองบัลลังก์แน่นอน ต่อให้ฝ่าบาทไม่ได้ทรงคิดเช่นนั้น ข้าก็ไม่มีทางยอมแน่นอน” เธอสางผม ก่อนจะเดินเข้าไปหาพ่อของตัวเอง “มาเข้าประเด็นดีกว่า ที่ข้าพยายามจะกลับไปให้เร็วที่สุดก็เพราะข้าไม่อยากจะพลาดอะไรไป เมืองเนเวอร์วินเทอร์นั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน เวลาครึ่งเดือนที่ไปๆ มาๆ นี้ก็ถือว่าข้าจากศูนย์กลางแห่งอำนาจมานานมากแล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะฝ่าบาททรงมอบหมายมา ข้าก็ไม่อยากมาที่นี่หรอก ส่วนเรื่องน้องชาย…ข้าเหมือนจะเคยเขียนบอกเอาไว้ในจดหมายแล้วนี่นา ว่าให้ส่งเขาไปที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์หลังจากที่เขาบรรุนิติภาวะ แต่เหมือนท่านจะความจำไม่ค่อยดี”
“แต่ถ้าส่งแลนด์ไปอีกคน ดินแดนทางเหนือก็จะไม่มี….”
“ไม่มีผู้สืบทอดเหรอ?” เอดิธส์พูดแทรกขึ้นมา “ตอนนี้ตำแหน่งดยุคมันก็เป็นแค่หัวโขนธรรมดาๆ เท่านั้น ถ้าคนรุ่นหลังเป็นพวกโง่เง่า ท่านคิดหรือว่าพวกเขาจะยืนอยู่ในสำนักงานเมืองได้? ที่ข้าพาเขาไปก็เพื่ออนาคตของตระกูลเคนท์ ที่นั่นมีอะไรให้เขาเรียนรู้อีกมาก ถ้าไม่อยากถูกกำจัดออกไป ก็มีแต่ต้องรวมเข้าเป็นหนึ่งกับมัน”
ดยุคยังคงลังเล “แต่ฝ่าบาทเคยตรัสเอาไว้ไม่ใช่เหรอว่าที่ดินแดนรกร้างมันมีศัตรูที่น่ากลัวอยู่? หรือเจ้าไม่เคยคิดถึงบ้างว่าถ้าหากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ถูกโจมตีจะทำยังไง?”
“ง่ายมาก ถึงตอนนั้นต่อให้ท่านมีผู้สืบทอดเป็นโหลมันก็ไม่มีประโยชน์” เธอพูดอย่างสบายๆ “ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราควรจะขอบคุณปีศาจถึงจะถูก”
“อะไร..นะ?” คาลวินตกใจ
“ข้าแอบรู้สึกว่าถ้าไม่มีปีศาจละก็ ฝ่าบาทคงจะถล่มสี่อาณาจักรจนราบไปนานแล้ว…” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือยิ้มมุมปากขึ้นมา “ที่ตอนนี้สถานการณ์ยังสงบสุขอยู่ก็เพราะพระองค์ต้องทำสงครามกับพวกปีศาจ แต่สุดท้ายยังไงการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นก็ต้องมาถึงซักวัน ดังนั้นสรุปแล้วก็คือปีศาจนั้นช่วยซื้อเวลาให้พวกเราเอาไว้ โอกาสแบบนี้มีแค่ครั้งเดียวท่านพ่อ ท่านน่าจะรู้นะว่าควรทำยังไง?”
ดยุคนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ต้อนรับพวกครูที่ส่งมาจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ให้ดี เปิดชั้นเรียนขั้นพื้นฐานให้เยอะๆ ส่งคนไปเรียนรู้ที่ดินแดนตะวันตก แล้วก็ฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่สำนักงานเมือง….เจ้าพูดถึงเรื่องพวกนี้ในจดหมายมาหลายครั้ง ความจำข้าไม่ได้แย่ขนาดนั้นซักหน่อย”
“ท่านจำได้ก็ดี” เอดิธส์ตบไหล่พ่อของเธอ จากนั้นก็เดินขึ้นไปชั้นไป “ข้าไปงีบหน่อยนะ คืนนี้ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีก
“เดี๋ยวๆ..” คาลวินหมุนตัวมาเรียกเธอเอาไว้ “คำถามที่หญิงชั้น…เอ่อ ลิเวียถามตอนสุดท้าย ข้าอยากรู้ว่าเจ้าตอบนางไปว่ายังไง?”
“แทนที่จะรอคำตอบ สู้ไปหามันเองดีกว่า” เอดิธส์พูดยิ้ม “เมื่อกี้ท่านก้าวหน้าขึ้นแล้ว ตอนนี้ท่านควรจะพยายามทำแบบนั้นต่อไปนะ”
“เฮ้ นั่นข้าก็แค่พูดๆ ไปเท่านั้น เดี๋ยวก่อน..หรือว่าจงใจไม่พูดออกเสียง?” ดยุคอ้าปากค้างเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ “จงใจหลอกให้ข้าพูดแบบนั้นเพื่อที่จะให้ข้าหุบปากเหรอ? ก็ได้ก็ได้ ต่อไปข้าไม่ส่งคนไปแอบฟังเจ้าแล้ว ตอนนี้เจ้าบอกข้าได้หรือยัง? ลูกสาวที่รักของข้า!”
“อย่าไปใส่ใจนักเลยท่านพ่อ เพราะว่านั่นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ” เธอชะงักไปเล็กน้อย “ข้าก็อยากให้มันเป็นแบบนั้นนะ แต่เสียดาย…”
“เสียดายอะไร?” คาลวินถาม
แต่ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือไม่ได้ตอบอะไร เธอเพียงแค่โบกมือ ก่อนจะเดินหายขึ้นไปชั้นบน
ตอนที่ 1014
วันบรรลุนิติภาวะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองเนเวอร์วินเทอร์ เกรย์คาสเซิล
หลังจากที่ประกาศเรื่องงานราชาภิเษกออกไปแล้ว โรแลนด์ก็มอบหมายให้บารอฟเป็นคนจัดการเรื่องการเตรียมงานทั้งหมด ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูจะให้ความสำคัญกับงานนี้อย่างมาก ไม่เพียงแต่จะทำงานจนวุ่นทุกวัน แต่เขายังให้คนไปเชิญเลดี้บรานซ์ที่เป็นผู้ดูแลเรื่องพิธีการจากเมืองหลวงเก่ามาด้วย เพราะเขาไม่อยากให้มีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
ส่วนตัวเขา นอกจากจะคอยไปดูความคืบหน้าในการถ่ายทำหนังเวทมนตร์เป็นบางครั้งบางคราวแล้ว เวลาที่เหลือเขาก็ใช้ไปกับงานออกแบบสุดท้ายของเครื่องยนตร์สันดาปภายใน
เนื่องจากมาตราวัดของทั้งสองโลกมีความต่างกันอยู่ ด้วยเหตุนี้เครื่องยนตร์ต้นแบบทุกเครื่องจึงจำเป็นต้องผ่านการทดสอบความเสถียรเสียก่อน บวกกับน้ำมันที่กลั่นออกมาก็ยังไม่ได้มาตรฐานเท่าไร ความซ้ำซ้อนในการออกแบบจึงเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึง ในสถานการณ์ที่ขาดเครื่องมือในการคำนวณ เขาจึงได้แต่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ของจริงมาทำการทดสอบพร้อมปรับปรุง
สร้าง ทดสอบ เสีย ปรับปรุง แล้วก็ทำซ้ำใหม่ โรแลนด์เหมือนได้กลับไปสมัยที่เขายังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ทุกวันเขาต้องวิ่งไปมาระหว่างปราสาทกับเนินทิศเหนือ ชีวิตเขาวุ่นวายแต่ก็เต็มไปด้วยการเรียนรู้ ความรู้ที่ห่างหายไปนานเหล่านั้นเริ่มกลับมาชัดเจนขึ้นในเวลาแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น
แต่แน่นอน เมื่อก่อนนั้นเขาไม่มีอันนาอยู่เคียงข้าง
สิ่งที่วิเศษยิ่งกว่านั้นก็คือความกระตือรือร้นของเธอในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย
ทุกครั้งที่ได้เห็นเธอใจจดใจจ่ออยู่กับการประกอบชิ้นส่วนเหล่านั้นและใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำมันจากการที่เธอเช็ดเหงื่อ โรแลนด์อดรู้สึกทอดถอนใจขึ้นมาไม่ได้ ความกระหายในการเรียนรู้และการสร้างสรรค์ของเธอคล้ายจะติดตัวเธอมาตั้งแต่เกิด เหมือนกับเปลวไฟที่ทั้งร้อนแรงและบริสุทธ์ของเธอ
จิตใจภายในที่งดงามจนไม่อาจใช้ความงามบนใบหน้ามาบรรยายได้ ไม่ว่าจะมองเมื่อไรก็ไม่เคยเบื่อ
ทุกครั้งที่มีความก้าวหน้า รอยยิ้มของอันนาแทบจะเหมือนดอกไม้นับหมื่นนับพันที่กำลังเบ่งบาน เขาถึงขนาดรู้สึกว่าสำหรับเธอแล้ว ความสุขที่ได้จากการสร้างนั้นเหนือกว่าการที่เธอได้เป็นราชินีเสียอีก
เธอไม่เคยปิดบังความคิดของตัวเอง ขอเพียงทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน เธอก็ไม่เคยสนใจตำแหน่งหัวโขนพวกนั้นเลย
แต่โรแลนด์เองก็รู้ว่าบางครั้งตำแหน่งพวกนั้นไม่ใช่เอาไว้ให้อีกฝ่ายดู หากแต่เอาไว้ให้คนอื่นๆ ดู
ขอเพียงมนุษย์ยังเป็นสัตว์สังคม ในจุดนี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
หลังจากปรับขนาดชิ้นส่วนที่อยู่บนแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็วางปากกาลง พร้อมกับนวดคออันเมื่อยล้าของตัวเอง
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ แปลนที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้อาจจะกลายเป็นแปลนที่ใช้งานได้จริง อันที่จริงเครื่องยนตร์สันดาปต้นแบบสองสามตัวนั้นถูกใช้งานมาหลายวันแล้ว ซึ่งระยะการใช้งานสะสมก็ถือว่าเพียงพอต่อความต้องการใช้งานในปัจจุบัน
ในฐานะที่เป็นแหล่งพลังงานรุ่นที่สอง หลักการทำงานของเครื่องยนต์สันดาปนั้นไม่ซับซ้อน เรียกได้ว่าเป็นเครื่องจักรไอน้ำเวอร์ชั่นอัพเกรด โดยแหล่งพลังงานรุ่นแรกนั้นจะใช้ไอน้ำในการขับเคลื่อนลูกสูบ ไม่ว่าจะออกแบบมาดีแค่ไหนก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสูญเสียพลังงานที่เกิดขึ้นตอนส่งไอน้ำได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีคนคิดว่าการเอาพลังงานใส่เข้าไปในกระบอกลูกสูบโดยตรงจะต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างมากแน่นอน เครื่องยนตร์สันดาปภายในจึงถือกำเนิดขึ้นมาด้วยเหตุนี้
เอาอากาศที่ผสมกับน้ำมันเข้าไปในกระบอกสูบ แล้วทำให้มันเกิดการเผาไหม้อย่างรุนแรง อากาศที่ขยายตัวจะขับเคลื่อนลูกสูบให้เคลื่อนที่ ขณะเดียวกันก็ดูดเอาเชื้อเพลิงใหม่เข้ามาในกระบอกสูบด้วย ฟังดูแล้วเหมือนง่าย แต่ถ้าจะทำให้มันกลายเป็นนั้นถือว่าเป็นงานวิศวกรรมขนาดใหญ่เลยทีเดียว อย่างเครื่องจักรไอน้ำนั้นไม่ได้ต้องการการแนบชิดสนิทมากนัก ช่องว่างระหว่างตัวลูกสูบและกระบอกลูกสูบที่ผลิตออกมาในตอนแรกนั้นห่างกันจนสามารถสอดนิ้วมือเข้าไปได้ เขาสามารถใช้ผ้าสักลาดหรือผ้ากระสอบอุดช่องว่างได้ แต่เครื่องยนต์สันดาปภายในไม่สามารถทำแบบนั้นได้
มันไม่ได้มีแรงขับเคลื่อนจากภายนอกเหมือนอย่างเครื่องจักรไอน้ำ การเคลื่อนไหวของลูกสูบแต่ละรอบล้วนแต่ต้องใช้กำลังของตัวมันเอง ด้วยเหตุนี้ถ้าปิดไม่สนิท ตัวกระบอกลูกสูบก็จะหยุดทำงาน
พูดอีกอย่างก็คือขอเพียงคุณภาพวัสดุและเทคโนโลยีการประกอบพัฒนาไปถึงระดับหนึ่ง เขาก็จะสามารถทำให้หลักการง่ายๆ ที่ว่านี้กลายเป็นจริงได้ และก็เพราะเหตุนี้ ช่วงเวลาที่เครื่องยนต์สันดาปภายในตัวแรกถือกำเนิดขึ้นมาจึงช้ากว่ามอเตอร์ไฟฟ้าอยู่หลายสิบปี
เครื่องยนต์สันดาปภายในรุ่นแรกที่โรแลนด์ออกแบบมานั้นมี 2 แบบ หนึ่งคือแบบลูกสูบวางเรียง สองคือแบบลูกสูบวางเป็นแนวรัศมี แบบแรกนั้นตัวเครื่องจะมีขนาดเทอะทะ ทำขึ้นมาจากเหล็กหล่อ ใช้งานดีมีความเสถียร สามารถเอาไปติดตั้งในโรงงานสำหรับการผลิตขนาดใหญ่ได้ ส่วนอย่างหลังนั้นถูกเรียกว่าเป็นเครื่องยนต์แบบสูบดาว เนื่องจากเพลาข้อเหวี่ยงค่อนข้างสั้นและมีขนาดค่อนข้างกะทัดรัด มันจึงสามารถทำให้เล็กมากได้ เหมาะกับการใช้ในเครื่องบิน โดยรูปร่างของมันดูมีความประณีตมากกว่าเครื่องยนต์แบบแรก วัสดุที่ใช้ก็เป็นอลูมิเนียมอัลลอย ตอนนี้จึงได้แต่ต้องอันนาเป็นคนรับผิดชอบประกอบมันขึ้นมาเท่านั้น
ที่โรแลนด์กล้าพัฒนาเครื่องยนต์ออกมาสองแบบในช่วงที่กำลังทำวิจัยและพัฒนานั้นเป็นเพราะว่าเขาสามารถหาข้อมูลของเครื่องยนต์เหล่านี้ได้ในโลกแห่งความฝัน เมื่อเทียบกับเครื่องจักรไอน้ำที่เปลี่ยนมาสี่รุ่นแล้ว การผลิตเครื่องยนต์สันดาปภายในนี้นับว่าง่ายขึ้นมาก
บวกกับข้อมูลที่ได้มาจากปีศาจระดับสูง ทำให้เขาจำเป็นต้องเร่งฝีเท้าของตัวเองให้เร็วขึ้น
หากอาศัยเพียงการป้องกันทางภาคพื้นดินเพียงอย่างเดียวคงเป็นไปได้ยากที่จะป้องกันการโจมตีจากทางอากาศได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งการรบในครั้งนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นในจุดนี้
ถ้าแผนการสามารถกลายเป็นจริงได้ นี่ก็จะเป็นครั้งแรกที่มนุษย์สามารถต่อสู้กับศัตรูบนอากาศได้
“ฝ่าบาท อย่าขยับเพคะ”
จู่ๆ ไนติงเกลก็พูดขึ้นมา
โรแลนด์หยุดทันที ขณะเดียวกันก็เหลือบมองไปด้านหลัง
หรือว่ามี…ศัตรู?
จากนั้นเขาก็เห็นไนติงเกลขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะยื่นมือคลำไปบนหัวของเขา จากนั้นโรแลนด์รู้สึกเจ็บนิดหนึ่ง ก่อนจะเห็นไนติงเกลยื่นผมเส้นหนึ่งมาให้เขาดู
“เอ่อ ผมหงอกเหรอ?” โรแลนด์ยิ้มแห้งออกมาทันที
ถึงแม้เดิมสีเทามันจะค่อนข้างจางอยู่แล้ว แต่มันก็ยังมองเห็นผมหงอกได้ค่อนข้างชัดเจนอยู่
“ยังมีอีกเพคะ” ไนติงเกลดึงผมหงอกอยู่อีกครู่ “ช่วงนี้พระองค์ไม่ค่อยได้พักผ่อนเหรอเพคะ?”
“งั้นเหรอ?”
“เมื่อก่อนพอถึงหน้าหนาวพระองค์มักจะตื่นสาย เดี๋ยวนี้พระองค์ทรงตื่นเช้ากว่าหม่อมฉันอีกเพคะ ตอนกลางคืนก็ยังเข้าไปในโลกแห่งความฝันอีก นั่นมันไม่ถือเป็นการนอนจริงๆ ไม่ใช่เหรอเพคะ?” เธอพูดไม่หยุด “พระองค์ทรงหาวอยู่ตลอดเวลา นี่ก็แสดงให้เห็นว่าร่างกายพระองค์เหนื่อยล้า พระองค์ยังอายุไม่ถึง 30 ปีก็มีผมขาวแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะทำยังไงเพคะ”
เมื่อเห็นท่าทางเหมือนกำลังสั่งสอนเขาอย่างจริงจัง ภายในใจโรแลนด์ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก แม้แต่ความเหนื่อยล้าจากการทำงานก็หายไปไม่น้อย เธอไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องที่เขาจะแต่งงานกับอันนาจริงๆ ด้วย ดูเหมือนสัญญาอันนั้นจะมีประโยชน์จริงๆ
“วางใจได้ นี่ยังไม่ถึงขีดจำกัดของข้า ข้าเคยใช้ชีวิตแบบนี้มานานแล้ว”
“….” ไนติงเกลทำสีหน้าสงสัย แต่เธอแยกแยะได้ว่านี่ไม่ใช่คำพูดโกหก
“เพราะว่าเขาไม่ได้พูดโกหกจริงๆ “ปกติแล้วมันก็จะมีอาการใจสั่นเป็นเวลานาน เหมือนกับในหน้าอกมันว่างเปล่า จากนั้นก็จะรู้สึกร่างกายไม่มีแรง ถึงตอนนี้เราก็ต้องระวังแล้ว ถ้าอาการรุนแรงล่ะก็ เราก็จะไอไม่หยุด หรืออาจจะทำให้เลือด..แค่กๆๆๆๆๆ”
พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เขาก็ไอออกมาอย่างแรง
“พระองค์ไม่เป็นไรใช่ไหมเพคะ?” ไนติงเกลทำสีหน้ากังวลออกมาทันที ก่อนจะยื่นมือไปตบหลังให้เข้า “ให้หม่อมฉันไปเรียกนาน่าไหมเพคะ?”
โรแลนด์สูดหายใจ “ไม่…ไม่เป็นไร เมื่อนี้ข้าแค่สำลักน้ำลายน่ะ”
“จริงเหรอเพคะ?”
“วางใจได้ ข้า…”
เขาหันหน้ามาก่อนจะตัวแข็งไปในทันที เพราะหน้าของทั้งคู่ใกล้จนเกือบจะชนกันอยู่แล้ว ดวงตาสี่ดวงประสานกัน ทั้งสองคนต่างกลั้นหายใจ
“ฝ่าบาทเพคะ” ทันใดนั้นเป็น ประตูห้องทำงานพลันถูกเปิดออก คนที่เข้ามาคือเวนดี้ “หม่อมฉันมีเรื่องหนึ่งจำเป็นต้อง…เอ่อ? พระองค์ทรงกำลังทำอะไรเพคะ?”
“ข้า?” โรแลนด์กะพริบตา ก่อนจะพบว่าตรงหน้าตัวเองไม่มีคน ส่วนตัวเองนั้นกำลังเอนตัวไปข้างหลัง ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่ามันแปลกแค่ไหน
“ฝ่าบาททรงกำลังฝึกยิมนาสติกอยู่น่ะ” ไม่รู้ว่าไนติงเกลไปนอนอยู่ข้างโต๊ะชาตั้งแต่เมื่อไร พร้อมกำลังเคี้ยวปลาแห้งอย่างสบายใจ “พอนั่งนานก็เลยทำให้ปวดตัว พระองค์ก็เลยลองทำดูว่าได้ผลหรือเปล่า”
“อย่างนี้นี่เอง” เวนดี้เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ “นี่คือยิมนาสติกที่พระองค์เคยพูดถึงก่อนหน้านี้ว่าจะผลักดันให้สอนในโรงเรียนเหรอเพคะ? แต่ว่า…ทำแบบนี้มันได้ผลจริงๆ เหรอเพคะ?”
“เอ่อ ก็พอได้น่ะ” โรแลนด์ทำหน้ากระอักกระอ่วนพร้อมกลับมายืนตรงเหมือนเดิม แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าไนติงเกลที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้กำลังกลั้นขำอยู่ “เออใช่ แล้วเมื่อกี้เจ้าจะพูดอะไรนะ?”
“คืออย่างนี้เพคะ ฝ่าบาท” เวนดี้พลิกสมุดบันทึกในมือ “จากบันทึกเมื่อปีที่แล้ว วันนี้น่าจะเป็นวันบรรลุนิติภาวะของไลนต์นิ่งเพคะ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น