Reincarnation Of The Strongest Sword God 2853-2857

 ตอนที่ 2853 จิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ


“สร้างทะเลจิตวิญญาณขึ้นใหม่ ?”


ซือเฟิงมองไปที่แถบข้อมูลการแสดงผลของระบบด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ และตกตะลึงไปชั่วขณะ ….


เขาไม่ใช่คนแปลกหน้าใดๆเลยสำหรับเรื่องการสร้างทะเลจิตวิญญาณขึ้นใหม่ ซึ่งนี่มันก็เหมือนกับการรับทัณฑ์สายฟ้าเพื่อที่จะเพิ่มพลังของตัวเองขึ้นไปอีกระดับ แบบในนิยายกำลังภายในจีนนั่นเอง


แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้มันก็ทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อมากๆ ….


พูดอย่างตรงไปตรงมาทะเลจิตวิญญาณนั้นก็คือจิตวิญญาณของผู้เล่นนั่นเอง ซึ่งสำหรับผู้เล่นขั้นห้าที่ต้องการจะเลื่อนเป็นขั้นหกนั้น พวกเขาก็มีระดับของสิ่งนี้ที่จะต้องเอาชนะ


ซึ่งนั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพของจิตวิญญาณ !!!


ใครก็ตามที่ต้องการจะเลื่อนขั้นไปเป็นขั้นหก ขอบเขตพระเจ้านั้นไม่เพียงแต่จะต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังจะต้องมีวิญญาณที่ทรงพลังด้วย ซึ่งเมื่อมีคุณสมบัติตรงตามมาตราฐานทั้งสองอย่างนี้เท่านั้นจึงจะสามารถเลื่อนไปเป็นขั้นหกได้


โดยในหมู่พวกที่ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นขั้นหกในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิงนั้น พวกเขาล้วนพูดกันว่าวิญญาณที่ทรงพลังคือสิ่งที่ยากจะบรรลุที่สุด เพราะท้ายที่สุดแล้วนี่มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะจับต้องได้ และสิ่งเดียวที่พวกเขาจะสามารถทำได้ก็คือการปรับปรุงระดับจิตวิญญาณไปอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะทำให้วิญญาณทรงพลังขึ้นตามธรรมชาติ


แต่อย่างไรก็ตามความเร็วในการปรับปรุงของเรื่องนี้นั้นมันก็ช้าเกินไป เพราะแม้ว่าระดับจิตวิญญาณของคนๆหนึ่งจะขึ้นมาถึงที่จุดสูงสุดของขั้นห้า แต่ท้ายที่สุดแล้วการปรับปรุงมันก็จะเป็นไปอย่างเชื่องช้ามากๆอยู่ดี


โดยหากผู้เล่นต้องการจะให้วิญญาณทรงพลังขึ้นอย่างรวดเร็วจริงๆนั้น ระดับจิตวิญญาณของพวกเขาก็จำเป็นจะต้องขึ้นไปอยู่ที่ขั้นหกซะก่อน !!!

แถมระดับจิตวิญญาณแบบนี้มันยังจะช่วยปรับปรุงทะเลจิตวิญญาณได้อย่างต่อเนื่องด้วยการอาศัยเจตจำนงของตัวเองด้วย ซึ่งนี่มันเทียบไม่ได้เลยกับระดับจิตวิญญาณขั้นห้า


นอกจากนี้มันยังมีอีกหนึ่งวิธีสำหรับเรื่องนี้ที่สามารถจะทำได้เช่นกัน ซึ่งนั่นก็คือการทำลายทะเลจิตวิญญาณเก่าผ่านพลังงานแปลกปลอมบางอย่างและสร้างทะเลจิตวิญญาณขึ้นใหม่ ซึ่งวิธีนี้มันก็คล้ายกับวิธีการที่จะทำให้เข้าถึงระดับจิตวิญญาณขั้นหก เพียงแต่ว่ามันค่อนข้างจะเป็นวิธีที่รุนแรง และต้องทำอย่างระมัดระวังมากๆ เนื่องจากหากพลาดขึ้นมา มันจะจบไม่สวยแน่นอน ….


อย่างไรก็ตามตัวซือเฟิงในตอนนี้นั้นเขาไม่ได้คิดว่าเขาจะได้รับโอกาสเลื่อนขั้นขึ้นเป็นขั้นห้าในเร็วๆนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดเลยว่าเขาจะได้รับโอกาสนี้


หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่หนึ่ง ซือเฟิงก็เลือกที่จะยอมรับพรจากโลกเพื่อสร้างทะเลจิตวิญญาณขึ้นใหม่


ระบบ : พรจากโลกจะเริ่มใน 30 วินาที ผู้เล่นควรเตรียมตัวให้พร้อม และยิ่งผู้เล่นทำให้มีอัตราความสำเร็จสูงได้เท่าไหร่ ทะเลจิตวิญญาณของผู้เล่นก็จะทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น


“ยิ่งทำให้มีอัตราความสำเร็จสูงเท่าไหร่จะยิ่งดีงั้นหรอ ?”


เมื่อได้ยินดังนี้ ซือเฟิงก็ไม่กล้าที่จะประมาทใดๆเลย เขาได้จัดการทำให้สะพานหักนั้นมั่นคงที่สุดเพื่อที่ทำให้ตัวเองสามารถจะได้รับพรจากโลกได้อย่างเต็มที่


หลังจากสามสิบวินาทีผ่านไป ซือเฟิงก็รู้สึกเจ็บปวดมากๆราวกับจิตวิญญาณของเขากำลังถูกฉีกออกจากกัน ซึ่งหากเปลวไฟลึกลับขั้นสี่ของเขาไม่ได้ช่วยบรรเทาในเรื่องนี้ เขาก็คงไม่สามารถจะทนได้แน่นอน ….


แต่หลังจากผ่านไปมากกว่าสิบวินาที ความเจ็บปวดก็ได้หายไปอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้แม้แต่ตัวซือเฟิงเองก็รู้สึกได้ว่าสมองของเขาดูเหมือนจะว่างเปล่าและเหลือเพียงแค่เศษจิตวิญญาณที่กระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วนเท่านั้น


และหลังจากที่ซือเฟิงได้ลืมตาขึ้นมานั้น เขาก็ได้รับข้อมูลที่เป็นภาพของวงเวทย์ที่ซับซ้อนจำนวนมากที่ถูกส่งเข้ามาในหัวของเขาโดยตรง ซึ่งความซับซ้อนของวงเวทย์ทั้งหมดนั้นมันทำให้แม้แต่ครึ่งก้าวก่อนเข้าสู่ขอบเขตสุดยอดปรมาจารย์วงเวทย์อย่างซือเฟิงก็ยังตกตะลึง เนื่องจากเท่าที่ซือเฟิงเห็นมันมีวงเวทย์ระดับปรมาจารย์นับร้อยวงเลย โดยวงเวทย์ทั้งหมดนี้ก็จะมาก่อตัวรวมกันเป็นวงเวทย์วิญญาณขนาดใหญ่


ระบบ : ผู้เล่นมีเวลาทั้งสิ้นสี่ชั่วโมง และหลังจากสี่ชั่วโมงผ่านไปพรจากโลกก็จะสิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์ และหากอัตราความสำเร็จของทะเลจิตวิญญาณไม่ถึงสี่สิบเปอเซ็นต์ ทะเลจิตวิญญาณใหม่ก็จะไม่ถูกสร้างขึ้นมา และผู้เล่นก็จะได้รับเอฟเฟคสะท้อนกลับจากเรื่องนี้ ซึ่งมันจะทำให้ผู้เล่นติดสถานะอ่อนแอเป็นเวลายี่สิบวันตามธรรมชาติ


“ยี่สิบวันตามธรรมชาติงั้นหรอ ?”


ซือเฟิงนั้นไม่ได้แปลกใจนักสำหรับเรื่องบทลงโทษจากความล้มเหลว เพราะท้ายที่สุดแล้วนี่มันนับเป็นโอกาสที่มีค่ามากๆ และถ้าเหล่านักบุญขั้นห้าในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิงได้เจอกับโอกาสแบบนี้ พวกเขาทุกคนก็จะกระโจนเข้าใส่ทันทีแน่นอน


หลังจากนั้นซือเฟิงก็เลิกคิดเรื่องอื่น ก่อนที่เขาจะเริ่มวาดวงเวทย์ในทะเลจิตวิญญาณของเขา ….


ในเวลานี้ซือเฟิงก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะรู้สึกว่าตัวเองโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ….


ที่ซือเฟิงคิดแบบนี้นั่นเป็น เพราะความโชคดีของเขามันก็หมายถึงการที่เขาได้รับพรจากโลก แถมยังบังเอิญได้มาอยู่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยหมอกนิรันดร์ ซึ่งมันช่วยเขาในเรื่องการวาดวงเวทย์อย่างมาก แต่สำหรับโชคร้ายนั่นก็คือ หากซือเฟิงโฟกัสทุกอย่างมาที่การวาดวงเวทย์ในทะเลจิตวิญญาณของเขา เขาก็จะไม่มีพลังมากพอที่จะคงสะพานไว้แบบเดิมอย่างแน่นอน


กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเขามีเวลาไม่ถึงสี่ชั่วโมงในการจะสร้างทะเลจิตวิญญาณให้เสร็จ ….


ซึ่งนี่มันทำให้ซือเฟิงนั้นต้องเร่งความเร็วของเขาในการวาดวงเวทย์ต่างๆขึ้นอย่างมาก


1%3%7%


ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ซือเฟิงก็ทำมาได้ถึงอัตราความสำเร็จสิบหกเปอเซ็นต์ และเท่าที่ซือเฟิงคำณวนนั้น เขาน่าจะสามารไปถึงอัตราความสำเร็จสี่สิบเปอเซ็นต์ได้ก่อนสี่ชั่วโมงแน่นอน แม้ว่าต่อไปมันจะมีวงเวทย์บางอันที่เขาวาดได้อย่างยากลำบากก็ตาม


หลังจากนั้นในเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่งต่อมา อัตราความสำเร็จที่ซือเฟิงทำได้ก็มาถึงสามสิบห้าเปอเซ็นต์แล้ว ซึ่งการที่เขาสามารถทำได้ด้วยความเร็วแบบนี้นั้นมันจัดว่าน่ากลัวมากๆ และแม้แต่ตัวซือเฟิงเองก็ยังตกใจเลย


ซึ่งถ้าเป็นไปได้ ซือเฟิงก็อยากจะวาดวงเวทย์ทั้งหมดเพื่อเสริมพลังให้กับทะเลจิตวิญญาณของเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ อย่างไรก็ตามเขาไม่มีเวลามากขนาดนั้น เพราะท้ายที่สุดแล้วเมื่อปราศจากพลังของเขานั้น สะพานนี้ทั้งหมดจะพังลงในสามชั่วโมง และหากนับเวลาที่ผ่านมาตอนนี้เขาก็เหลือไม่ถึงยี่สิบนาทีแล้ว ….


ดังนั้นนี่มันจึงทำให้ซือเฟิงต้องเร่งมือ และเร่งความเร็วขึ้นไปอีก ก่อนที่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็จะสามารถทำมันได้สำเร็จที่อัตราความสำเร็จสี่สิบเอ็ดเปอเซ็นต์ ซึ่งนับว่าผ่านแบบเฉียดฉิวเลย


หลังจากนั้นเสียงแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นมาที่หูของซือเฟิง ….


ระบบ : อัตราความสำเร็จของวงเวทย์ทั้งหมดอยู่ที่สี่สิบเอ็ดเปอเซ็นต์ ซึ่งตรงตามความต้องการขั้นพื้นฐานที่ระบบกำหนด ทะเลจิตวิญญาณจะเริ่มรวมตัวกันใหม่ตามวงเวทย์ที่ถูกสร้างขึ้น ผู้เล่นต้องการจะเริ่มให้มันรวมตัวเลยไหม ?”


“เริ่มเลย !!!”


ซือเฟิงนั้นเลือกอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเขาจะยังเหลือเวลาอยู่อีกราวหนึ่งชั่วโมงก็ตาม เพราะท้ายที่สุดถ้าสะพานนี้พังลงมา นั่นมันจะเป็นการสูญเสียร้ายแรงกว่าสำหรับเขา


ซึ่งเมื่อซือเฟิงเลือกแบบนี้นั้น ทะเลจิตวิญญาณก็ได้เริ่มรวมตัวกันใหม่ตามวงเวทย์ที่เขาสร้างขึ้นทันที ….


และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นนั้น ซือเฟิงก็รู้สึกว่าสมองของเขาสดชื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แถมความคิดและความเร็วในการตอบสนองทางจิตของเขาก็ยังดีขึ้นมากๆ โดยมันก็เห็นได้ชัดเลยว่ามันดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก


หลังจากผ่านไปอีกราวยี่สิบวินาที ซือเฟิงก็พบว่าทะเลจิตวิญญาณของเขานั้นมีรูปร่างชัดขึ้นมาอย่างมาก จากแต่เดิมที่มันเป็นแค่ภาพเลือนรางเหมือนภาพหลอน ….


โดยนี่มันก็ทำให้พลังของซือเฟิงได้รับการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพอย่างมาก และตอนนี้เขาก็รู้สึกว่าหากเขาใช้พลังเต็มที่ต่อสู้ เขาก็จะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวเขาดูช้าลงไปราวสามเท่าจากปกติได้เลย


“แข็งแกร่งมากๆ !!” ซือเฟิงมองไปที่ทะเลจิตวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ของเขาพลางเดาะลิ้น “ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้เล่นขั้นห้าในอดีตถึงบ้ากับการสร้างทะเลจิตวิญญาณขึ้นใหม่กันนัก ยิ่งทะเลจิตวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าไหร่ การพัฒนาทางจิต และวิญญาณก็จะยิ่งเป็นไปอย่างรวดเร็วมากขึ้นด้วยนี่เอง ….”


ตอนนี้ผลจากเรื่องนี้มันทำให้วิญญาณของซือเฟิงนั้นแข็งแกร่งเท่ากับวิญญาณของผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นห้าแล้ว ….


และเมื่อซือเฟิงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ได้พบว่าทุกอย่างรอบตัวของเขาเปลี่ยนไป ….


ตอนนี้ช่องทางการรับรู้ทางจิตของเขาได้ขยายออกไปมากกว่าห้าร้อยหลาแล้ว จากแต่เดิมที่หลายร้อยหลาเท่านั้น และประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพอย่างมาก แถมเขายังรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขานั้นยืดหยุ่นและเฉียบคมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


ในตอนนี้แม้ว่าซือเฟิงจะไม่ได้สนใจสะพานหักตรงหน้าของเขาเลย แต่สะพานมันก็ได้เสถียร และไม่พังลงมาแล้ว ….


ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขามันก็ยังได้รับการฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็วด้วย และค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจที่จุดสูงสุดนั้นมันก็จัดว่าเพิ่มขึ้นอย่างมากด้วย


“ดูเหมือนว่าตอนนี้ ฉันจะสามารถผ่านการทดสอบนี้ไปได้อย่างไม่มีปัญหาแล้ว …” ซือเฟิงมองไปยังสะพานตรงหน้าพลางหัวเราะ


หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้เริ่มสร้างสะพานต่อทันที และเขาก็สามารถทำมันได้เร็วกว่าก่อนหน้านี้อย่างมาก ….

ภายในเวลาไม่ถึงสามวัน ซือเฟิงก็สามารถสร้างสะพานขึ้นใหม่ไปได้หนึ่งในสาม ซึ่งตรงตามความต้องการพื้นฐานในการจะผ่านการทดสอบนี้


อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ยังไม่ได้ตั้งใจจะหยุด เพราะท้ายที่สุดแล้วพื้นที่พิเศษแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยหมอกนิรันดร์นั้นมันดีสำหรับการฝึกในเรื่องนี้ของเขามากๆ ดังนั้นเขาจึงยังคงสร้างสะพานต่อไปเรื่อยๆเพื่อขัดเกลาเรื่องมานา องค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ รวมไปถึงทำความคุ้นเคยกับทะเลจิตวิญญาณใหม่ของเขา ….


แต่อย่างไรก็ตามเมื่อซือเฟิงเริ่มมาได้ไกลเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ เขาก็ได้ตระหนักว่าการจะสร้างสะพานหักนี้ขึ้นใหม่นั้นมันจำเป็นจะต้องได้รับการขัดเกลามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่งั้นมันจะเป็นการยากมากๆที่จะรักษามันไว้ในพื้นที่แห่งนี้


หลังจากเดินมาเกือบสี่วัน ซือเฟิงก็พบว่าเขาไม่สามารถจะไปต่อได้แล้ว หลังจากที่เขาเดินมาจนเกินระยะทางมากกว่าครึ่งหนึ่ง


“ดูเหมือนว่าฉันจะมาได้แค่นี้เท่านั้น …” ซือเฟิงพึมพำขณะที่มองไปยังผืนดินด้านหน้าที่เขาเริ่มเห็นชัดขึ้นแล้วด้วยความเสียหาย


โดยเขารู้สึกว่าตราบใดที่เขาไปถึงที่นั่นได้มันน่าจะช่วยเขาได้มากเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามการที่จะขัดเกลาและสร้างสะพานเพื่อให้ไปถึงที่นั่นได้นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถทำให้สำเร็จได้ในหนึ่งหรือสองเดือนเลย


หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้เลือกที่จะออกจากพื้นที่พิเศษนี้ ….


ตอนที่ 2854 ไม่มีชื่อตอน เนื่องจากบอกแล้วมันจะสปอยของทั้งตอนเลย


ในวิหารโบราณอันงดงาม :


“นี่มันน่าทึ่งมากๆ !!!” ผีมังกรจ้องมองไปยังซือเฟิงที่จู่ๆก็ปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าของมันด้วยความประหลาดใจ “เห็นได้ชัดว่าคุณมีเพียงแค่ร่างกายของมนุษย์ แต่คุณกับสามารถทำการทดสอบของตระกูลมังกรเราได้สำเร็จ แถมยังผ่านไปได้มากกว่าครึ่งอีก ซึ่งนี่มันจัดว่าหาได้ยากเลยแม้แต่ในตระกูลมังกรเองก็ตาม ….”


“หาได้ยาก ?” ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของผีมังกร


มังกรนั้นจัดเป็นเผ่าชั้นสูงที่ยอดเยี่ยม และการรับรู้สิ่งต่างๆของเผ่ามังกรนั้นมันก็ดีกว่าเขามาก นี่ไม่ต้องพูดถึงพวกมังกรศักสิทธิ์เลย และต่อให้พวกนั้นสามารถไปถึงผืนดินที่อยู่ตรงสุดทางได้เขาก็จะไม่แปลกใจสักนิด เพราะท้ายที่สุดแล้วเผ่ามังกรแบบนี้นั้นมีชนชั้นสิ่งมีชีวิตที่สูงมากๆ


“ใช่แล้ว หาได้ยาก …” ผีมังกรพยักหน้า “ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของตระกูลมังกรเรา มีเพียงแค่ห้าตนเท่านั้นที่สามารถไปไกลมากกว่าครึ่งทางได้ตอนที่ตัวเองอยู่ในขั้นสี่ ซึ่งทุกตนนั้นล้วนเป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมของเผ่ามังกรที่มีสายเลือดชั้นยอด แต่คุณกลับสามารถทำมันได้ด้วยร่างกายมนุษย์ !”


ซือเฟิงนั้นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่นึกเลยว่าแม้แต่ในตระกูลมังกรก็จะมีมังกรที่ทำเรื่องนี้ได้น้อยแบบนี้


แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยากมากจริงๆที่จะสร้างสะพานขึ้นใหม่ และเดินไปให้ได้ครึ่งทางหรือมากกว่านั้น เพราะมันต้องใช้ทั้งจิตวิญญาณที่ทรงพลัง และความเข้าใจถึงลักษณะเฉพาะ รวมไปถึงกฎการทำงานของธาตุเวทย์มนต์ต่างๆในระดับที่สูงมาก แต่ด้วยความสามารถที่มีมาแต่กำเนิดของเผ่ามังกร ซือเฟิงก็คิดว่าพวกมังกรน่าจะทำกันได้ไม่ยากนัก ….


“โดยทั่วไปแล้วมังกรที่สามารถทำได้แบบคุณนั้นจะเป็นมังกรโตเต็มวัยขั้นห้า คุณมีความสามารถแบบนี้นี่เอง …. ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมออร์เบ็คถึงมอบคุณสมบัติในการทดสอบให้คุณ …” ผีมังกรกล่าวพลางมองไปยังซือเฟิงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม “แล้วก็ตามสัญญาโบราณ คุณจะสามารถเลือกหนึ่งในสามหีบสมบัติจากบ้านสมบัติมังกรเพื่อนำมันออกไปได้”

หลังจากที่ผีมังกรกล่าวจบ หีบสมบัติสามใบก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของซือเฟิง


ซึ่งการปรากฎขึ้นของหีบสมบัติทั้งสามใบนี้มันก็ทำให้มานาในห้องโถงเริ่มเดือดพล่าน แถมหีบสมบัติทั้งสามใบนี้ มันก็ยังแผ่ออร่า divine might ออกมาเล็กน้อยด้วย


“มันเป็นรางวัลสำหรับตระกูลมังกรอย่างแท้จริง หากไม่นับพวกของที่สมบูรณ์ที่พวกเทพขั้นหกสร้างขึ้น ฉันก็คิดว่ามันคงจะไม่มีอะไรที่มีค่ามากไปกว่านี้แล้ว …”


ซือเฟิงนั้นมองไปที่หีบสมบัติขนาดใหญ่สามใบตรงหน้าของเขาด้วยความรู้สึกที่ตกตะลึงอย่างแทบไม่อาจจะอธิบายได้


เนื่องจากรางวัลจากการทดสอบนี้มันดูใจกว้างมากๆ


หากหีบสมบัติทั้งสามใบนี้ปรากฎขึ้นในทวีปหลักของ God domain มันก็มีค่ามากเพียงพอที่จะทำให้มหาอำนาจต่างๆทำสงครามแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่งเลย


หีบสมบัติใบแรกมีชื่อว่า หีบสมบัติหินดำ ซึ่งเมื่อเปิดมัน มันจะทำการสุ่มจากไอเทมทั้งหมดสามชิ้น ซึ่งประกอบไปด้วยอาวุธระดับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนาน และอุปกรณ์ระดับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานสองชิ้นที่เหมาะกับผู้เล่น


หีบสมบัติใบที่สองมีชื่อว่า หีบสมบัติคริสตัลแดง ซึ่งเมื่อเปิดมัน มันจะทำการสุ่มจากไอเทมทั้งหมดสี่ชิ้น โดยมันจะมีทั้งหนังสือสกิลและเวทย์ขั้นห้า รวมไปถึงคำแนะนำมรดกขั้นห้าที่เหมาะกับผู้เล่น


สำหรับหีบสมบัติใบที่สามนั้นมีชื่อว่า หีบสมบัติหยกม่วง โดยมันจะสามารถสุ่มและทำให้ผู้เปิดได้รับคริสตัลเทพเจ้าตั้งแต่สิบถึงสิบสองชิ้น


ซึ่งสำหรับซือเฟิงในตอนนี้นั้นต้องบอกเลยว่า ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะนำหีบสมบัติทั้งสามนี้ไปด้วยหมดเลย ….


“เลือกหนึ่งในสามมา …” ผีมังกรจ้องมองไปยังซือเฟิงด้วยรอยยิ้มบางๆ “ในอีกสามนาทีฉันจะส่งคุณกลับไป คุณไม่ควรจะคิดนานนัก ….”


อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ยังคงครุ่นคิดต่อไปอีกพักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้นมาอย่างจริงจังว่า “ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะเลือกหีบสมบัติหยกม่วง”

เท่าที่เขาคิด ….ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาก็คือการอัพเกรดอาวุธและอุปกรณ์ในร่างกายของเขาให้ไปได้ไกลกว่านี้ ซึ่งคริสตัลเทพเจ้านั้นมันก็จะช่วยเขาได้อย่างมาก


“โอเค หีบสมบัติหยกม่วงนี้มันเป็นของคุณ ….”


เมื่อผีมังกรกล่าวจบ ตราผนึกหีบสมบัติหยกม่วงก็ถูกปลดออกในทันที ซึ่งนี่มันก็ทำให้หีบสมบัติหยกม่วงนั้นพร้อมที่จะถูกเปิดได้ทุกเมื่อ


ซึ่งซือเฟิงก็ได้เลือกจะเดินเข้าไปเปิดหีบสมบัติหยกม่วงโดยไม่พูดอะไรทันที เพราะท้ายที่สุดเขาไม่สามารถจะนำหีบสมบัติขนาดใหญ่นี้ติดตัวไปได้ ดังนั้นเขาจึงได้เลือกจะเปิดมันตรงนี้เลย


ช่วงเวลาที่หีบสมบัติถูกเปิดขึ้นออร่า divine might ที่แผ่ออกมาจากหีบสมบัตินั้นมันก็แข็งแกร่งขึ้นมากๆ และออร่านี้มันอาจทำให้ผู้เล่นขั้นสี่ทั่วไปนั้นหวาดกลัวได้เลยด้วยซ้ำ


อย่างไรก็ตามสำหรับซือเฟิงที่มีค่าความแข็งแกร่งทางจิตมาถึงขั้นห้าแล้ว เขาไม่ได้มีปัญหาใดๆเลยในการจะต้องรับมือกับปรากฎการณ์นี้ ในตอนนี้แม้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับเทพขั้นหกโดยตรง แต่เขาก็จะไม่ถูกกดขี่ และปราบปรามหนักมากนักแน่นอน ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงปรากฎการณ์นี้เลย


“สิบเอ็ดชิ้น ?”


เมื่อซือเฟิงได้เห็นคริสตัลเทพเจ้าที่อยู่ในหีบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายเล็กๆ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะความจำเป็นที่เขาจะต้องเปิดมันที่นี่ เขาจะเลือกนำมันไปเปิดข้างนอกในตอนที่เปิดใช้งานสกิล Divine Providence แน่นอน


ท้ายที่สุดแล้วขาดไปจากจำนวนสูงสุดเพียงชิ้นมันก็มีค่ามาก เพราะคริสตัลเทพเจ้าแต่ละชิ้นนั้นมีค่ามากเท่ากับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานเลย และความหายากของมันก็มากพอๆกันด้วย


“เอาเถอะ อย่างน้อยฉันก็สามารถจะใช้มันเสริมความแข็งแกร่งให้กับอาวุธที่ฉันใช้ได้ …”


เมื่อพูดมาถึงตรงนี้นั้น ซือเฟิงก็ได้เลือกจะหยิบคริสตัลเทพเจ้าสี่ชิ้นออกมา และมอบให้กับ Abyssal Blade ดูดซับมันโดยตรง


สำหรับเขาที่มาถึงครึ่งก้าวขั้นห้าตอนนี้นั้นมันมีเพียงแต่ดาบแสงแห่งสองโลกเท่านั้นที่ตามทันความสามารถของเขาได้ ขณะที่ Abyssal Blade นั้นไม่ ดังนั้นเขาจึงได้เลือกที่จะอัพเกรด Abyssal Blade


ซึ่งเมื่อ Abyssal Blade ได้ดูดซับคริสตัลเทพเจ้าสี่ชิ้นเข้าไป สกิลและเวทย์ของมันก็ได้รับการอัพเกรดเป็นขั้นสี่ และคุณสมบัติพื้นฐานของมันก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงไปส่วนหนึ่งด้วย


[Abyssal Blade] (ดาบมือเดียว อาวุธเวทย์มนต์ เศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนาน)

ความต้องการอุปกรณ์ : STR 3,000 AGI 2,000

พลังโจมตีเพิ่มขึ้น 235 เปอเซ็นต์ของค่าสถานะ STR ของผู้ใช้

ความเร็วในการโจมตีจะเพิ่มขึ้น 2.3 เปอเซ็นต์ของค่าสถานะ AGI ของผู้ใช้

ค่าสถานะทั้งหมด (เพิ่มขึ้นตามเลเวลของผู้ใช้)

Ignore Levels +35

การโจมตีมี :

โอกาสเจ็ดสิบเปอเซ็นต์ที่จะสร้างความเสียหายได้มากกว่าปกติสองร้อยห้าสิบเปอเซ็นต์


โอกาสสี่สิบเปอเซ็นต์ที่จะสร้างความเสียหายได้มากกว่าปกติสามร้อยเปอเซ็นต์


การโจมตีทุกครั้งจะเพิ่มค่าความเสียหายขึ้นสองเปอเซ็นต์ สูงสุดที่สามสิบเปอเซ็นต์


เมื่อติดตั้ง :


ค่า STR เพิ่มขึ้น 50 เปอเซ็นต์ ค่า AGI เพิ่มขึ้น 50 เปอเซ็นต์ ค่า INT เพิ่มขึ้น 35 เปอเซ็นต์ ค่า Endurance เพิ่มขึ้น 50 เปอเซ็นต์ ความเร็วในการโจมตีเพิ่มขึ้น 50 เปอเซ็นต์


เอฟเฟคทั้งหมดของสกิลที่เกี่ยวข้องกับอาวุธเพิ่มขึ้น 20 เปอเซ็นต์


ความต้องการเลเวลของไอเทมทั้งหมดลดลง 10 เลเวล


หากผู้ถือครองมีอาชีพเป็นนักดาบสกิลทั้งหมดจะมีเลเวลเพิ่มขึ้นหกเลเวล


เพิ่มค่าสถานะฟรีที่จะได้รับทุกครั้ง เมื่อมีการเลื่อนเลเวลเพิ่มขึ้นอีกสองแต้ม


สกิลใช้งานเพิ่มเติม 1 : ดาร์คเนสไบรน์ (ขั้นสี่) พันธนาการศัตรูทั้งหมดในรัศมีห้าร้อยหลาพร้อมกันเป็นเวลาสี่วินาที และทำให้ศัตรูไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ รวมทั้งลดพลังป้องกันและค่าความต้านทานเวทย์มนต์ลงหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์เป็นเวลายี่สิบวินาที


คูลดาวน์ : 40 วินาที


สกิลใช้งานเพิมเติม 2 : โดเมนแห่งความมืด (ขั้นสี่) แปลงพื้นที่ในรัศมีแปดร้อยหลารอบๆผู้ใช้ให้เป็นโดเมนแห่งความมืด และทำให้ความรู้สึกของศัตรูทั้งหมดช้าลงยี่สิบเปอเซ็นต์ รวมถึงลดค่าถานะพื้นฐานะของศัตรูลงยี่สิบเปอเซ็นต์ และขณะที่อยู่ในโดเมนแห่งความมืด ผู้ใช้มันจะสามารถควบคุมพลังแห่งความมืดได้ถึงสามสิบหกเส้น โดยแต่ละเส้นจะมีพลังเทียบเท่ากับหนึ่งร้อยห้าสิบเปอเซ็นต์ของค่าสถานะ STR ของผู้ใช้ และสร้างความเสียเป็นพลังแห่งความมืดได้สองร้อยเปอเซ็นต์


ระยะเวลา : 60 วินาที

คูลดาวน์ : 10 นาที


สกิลพาสซีฟมรดกที่ลึกซึ้งเพิ่มเติม : มานาอะบีส (ขั้นสี่) ยิ่งความหนาแน่นของมานารอบๆ Abyssal Blade สูงมากเท่าไหร่ อาวุธก็จะแสดงพลังได้มากขึ้นเท่านั้น โดยอาวุธจะสามารถมีพลังเพิ่มขึ้นได้สูงสุดหนึ่งร้อยห้าสิบเปอเซ็นต์


สกิลพาสซีฟมรดกที่ลึกซึ้งเพิ่มเติม : วิญญาณมังกรดำ (ขั้นสี่) มอบวิญญาณของราชันมังกรดำให้กับผู้ใช้ และเปลี่ยนผู้ใช้ให้กลายเป็นราชันมังกรดำ และยิ่งคะแนนชนชั้นสิ่งมีชีวิตของผู้ใช้มันสูงมากเท่าไหร่ คะแนนชนชั้นสิ่งมีชีวิตของมังกรดำก็จะยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น และสามารถใช้สกิลลมหายใจมังกรได้


ระยะเวลา : 10 นาที

คูลดาวน์ : 15 ชั่วโมง


อุปกรณ์ ขั้นสี่ : สามารถอัพเกรดเป็นขั้นห้าได้ด้วยการกลืนกินคริสตัลเทพเจ้าเก้าชิ้น


ดาบนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่จากชิ้นส่วนอาวุธโบราณที่ไม่รู้จัก และมันมีพลังของราชันมังกรดำถูกผนึกเอาไว้ในดาบพร้อมกับคำสาปของราชันมังกรดำ นอกเหนือจากความแข็งแกร่งอย่างมากที่ดาบจะมอบให้กับผู้ใช้แล้ว เมื่อใช้ไประยะหนึ่ง ผู้ใช้ก็จะต้องเผชิญกับผลสะท้อนกลับด้วย และหากผู้ใช้ไม่สามารถทนได้ ผู้ใช้ก็จะโดนคำสาปของราชันมังกรดำทำให้ค่าสถานะทั้งหมดลดลงเจ็ดสิบเปอเซ็นต์อย่างถาวร


ไม่สามารถตกหล่นได้


ไม่สามารถซื้อขายได้


ไม่สามารถถูกทำลายได้


เมื่อได้เห็นอาวุธ Abyssal Blade หลังการอัพเกรดแล้ว ซือเฟิงก็รู้สึกพึงพอใจมากเช่นกัน แม้ว่ามันอาจจะยังไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับดาบแสงแห่งสองโลก แต่ตอนนี้มันก็จัดว่าเป็นอาวุธชั้นยอดที่ระดับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานได้แล้ว


สำหรับตัวเลือกในการซ่อมแซมไอเทมระดับตำนานชิ้นอื่นๆที่ตัวเองสวมใส่อยู่นั้น ซือเฟิงเลือกจะพับไปก่อน เพราะท้ายที่สุดถ้าเขาซ่อมมันจนสมบูรณ์แล้ว และค่าสถานะของมันพุ่งสูงจนกลับไปทรงพลังดังเดิม เขาก็คงจะได้รอจนกว่าถึงขั้นห้าแน่นอนกว่าที่เขาจะสามารถกลับมาใช้มันได้อีกครั้ง


ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น เขาคงได้ร้องไห้แน่ๆ ….


ดังนั้นซือเฟิงจึงได้เลือกที่จะอัพเกรดแค่พอใช้ได้ก่อน สำหรับเรื่องการซ่อมแซมไอเทมระดับตำนานชิ้นอื่นๆที่เขาสวมใส่อยู่นั้น ค่อยรอให้ถึงขั้นห้าแล้วค่อยทำมันจะดีกว่ามาก ….


“เวลาหมดแล้ว คุณออกไปจากที่นี่ได้แล้ว …”


ผีมังกรกล่าวกับซือเฟิงที่ยังคงตรวจสอบพลังใหม่ของ Abyssal Blade อย่างระมัดระวัง


หลังจากนั้นผีมังกรก็ได้โบกมือและทำให้ซือเฟิงกลายเป็นลำแสงหายออกไปจากวิหารแห่งนี้ในทันที ….


ซึ่งเมื่อซือเฟิงกลับมาถึงที่ห้องโถงอัญเชิญของป้อมปราการแสงดาวนั้น เขาก็พบว่าออร์เบ็ค มังกรเงินศักสิทธิ์ที่อยู่ในห้องนั้นไม่ได้สังเกตเห็นการมาถึงของเขาด้วยซ้ำ และมันก็ยังคงหลับอยู่อย่างสงบ


ตอนที่ 2855 โลกที่เปลี่ยนไป


เมื่ออักษรรูนศักสิทธิ์ที่อยู่รอบตัวของซือเฟิงหายไป ออร์เบ็ค มังกรเงินศักสิทธิ์ก็สัมผัสได้ถึงการมาถึงของซือเฟิงแล้ว โดยมันก็ได้ลืมตาตื่นขึ้น และมองไปยังซือเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหน้ามันด้วยความประหลาดใจ


“คุณประสบความสำเร็จงั้นหรอ ?”


มังกรเงินศักสิทธิ์ออร์เบ็คนั้นสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของซือเฟิงได้อย่างรวดเร็ว และมันก็สามารถจะตัดสินได้เลยว่าซือเฟิงนั้นทำการทดสอบได้สำเร็จแล้ว


เพราะซือเฟิงในเวลานี้นั้นดูแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงสำหรับมัน ….


แม้ว่าเลเวลของซือเฟิงจะไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่มานาที่หลั่งไหลออกมาจากร่างกายของเขานั้นได้เปลี่ยนไปอย่างมาก โดยนอกจากมานานี้จะผสานเข้ากันได้เป็นอย่างดีแล้ว ความแข็งแกร่งของมานายังได้รับการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพด้วย สิ่งเหล่านี้นั้นจัดเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีว่าซือเฟิงทำการทดสอบสำเร็จแล้ว


แต่ถึงกระนั้นนี่มันก็ยังทำให้ออร์เบ็ครู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่เล็กน้อย


เนื่องจากเท่าที่ออร์เบ็คประเมินนั้น ซือเฟิงน่าจะสามารถผ่านการทดสอบของมันได้อยู่แล้วแน่นอนภายในสามครั้ง เพราะซือเฟิงนั้นทรงพลังมากๆ ….


แต่อย่างไรก็ตามมันก็ไม่นึกเลยจริงๆว่าซือเฟิงนั้นจะประสบความสำเร็จและผ่านการทดสอบได้ตั้งแต่ครั้งแรกแบบนี้


“ฉันก็แค่โชคดีที่ประสบความสำเร็จน่ะ ….” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า


ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาโชคดีที่สามารถทะลวงค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจขึ้นไปถึงที่ขั้นห้าได้สำเร็จ และโชคดีที่ได้รับพรจากโลกจนทำให้มีสิทได้สร้างทะเลจิตวิญญาณขึ้นมาใหม่ เขาก็คงจะไม่สามารถผ่านการทดสอบได้แน่นอน ….


“ไม่หรอก มันไม่มีทางที่จะใช้โชคในการผ่านการทดสอบนี้ได้ …. ที่คุณประสบความสำเร็จและผ่านมันมาได้นั้น มันล้วนเกิดจากพลังของคุณทั้งหมด ….” ออร์เบ็คกล่าวพลางส่ายหัว ก่อนที่มันจะกล่าวต่อว่า “และเมื่อคุณทำได้สำเร็จแบบนี้ ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามสัญญา นับจากนี้คุณคือสหายที่แท้จริงของฉัน ฉันจะยืนอยู่เคียงข้างคุณและคอยช่วยเหลือคุณไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม !!!”


เมื่อออร์เบ็คกล่าวจบนั้น ซือเฟิงก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผดเผาที่แขนของเขา


หลังจากนั้นอักษรรูนมังกรสีเงินขาวก็ถูกสลักลงบนแขนซ้ายของซือเฟิง ก่อนที่เสียงแจ้งเตือนของระบบจะดังขึ้นมาที่หูของเขา


ระบบ : ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่นที่สามารถทำเควส “กรงวอย” ในระยะที่สองได้เสร็จสิ้น และได้รับการยอมรับให้เป็นสหายที่แท้จริงของมังกรเงินศักสิทธิ์ ออร์เบ็ค โดยตัวผู้ทำเควสได้สำเร็จนั้นจะมีสิทอัญเชิญมังกรเงินศักสิทธิ์ ออร์เบ็คออกมาช่วยต่อสู้เพื่อตัวเองได้ทุกเวลา รางวัล : คะแนนสกิลมรดกสามสิบแต้ม และเลเวลหนึ่งเลเวล


เมื่อเสียงแจ้งเตือนของระบบจบลง เลเวลของซือเฟิงก็เพิ่มขึ้นจากหนึ่งร้อยห้าสิบไปเป็นหนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ดทันที อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ซือเฟิงรู้สึกพึงพอใจมากจริงๆคือคะแนนสกิลมรดกสามสิบแต้มที่เขาได้รับมาพร้อมกับเลเวลหนึ่งเลเวล ….


“หากคุณประสบปัญหาในอนาคต คุณสามารถจะอัญเชิญฉันไปได้ตลอดเวลา” ออร์เบ็คกล่าวอย่างช้าๆ “ฉันสามารถจะถูกคุณอัญเชิญไปผ่านรูนสัญญาได้ตลอดเวลา แต่อย่างไรก็ตาม คุณก็ต้องระวังหน่อยล่ะ …. พลังของรูนสัญญานี้มันมีจำกัด ซึ่งทำให้ในบางพื้นที่ที่พิเศษจริงๆ คุณก็จะไม่สามารถอัญเชิญฉันไปได้ แล้วก็ God domain ในปัจจุบันนั้นแตกต่างจากตอนก่อนที่คุณจะเข้าไปการทดสอบอยู่ประมาณหนึ่ง แม้ว่าคุณจะเติบโตขึ้นมาก แต่คุณก็ต้องระวังหน่อย เพราะหากคุณทำตัวก้าวร้าวเกินไป มันก็มีสิทที่คุณจะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงได้เหมือนกัน”


“แตกต่างอยู่ประมาณหนึ่ง ? ผนึกของโลกอื่นบางแห่งพังทลายลง และช่องทางเข้าถูกเปิดแล้วงั้นหรอ ?” ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ ….


ออร์เบ็คในตอนนี้นั้นมีพลังมากพอที่จะสามารถจัดการกับสิ่งมีชีวิตขั้นห้าทั่วไปได้สบายๆ และพลังนี้มันก็น่าจะเพียงพอที่จะใช้ปราบปรามแทบทั่วทั้ง God domain ในตอนนี้ได้ ดังนั้นนี่มันจึงเป็นเรื่องแปลกมากจริงๆที่ออร์เบ็คได้มากล่าวเตือนเขาแบบนี้


“ใช่แล้ว และตอนนี้การรุกรานมันก็เริ่มขึ้นแล้วด้วย รวมทั้งกฎบางอย่างใน God domain ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว คุณสามารถออกไปตรวจเช็คที่ด้านนอกนั่นได้เลย ….” ออร์เบ็คกล่าวพลางชี้ไปยังประตูที่ถูกวงเวทย์ปิดผนึกไว้ “และถ้าคุณต้องเจอเข้ากับปัญหาใหญ่ๆ มันก็จะเป็นการดีที่สุดที่จะอัญเชิญฉันไปในทันที”


“ขอบคุณสำหรับคำเตือนออร์เบ็ค ฉันจะระวังตัวให้มาก …” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องโถงอัญเชิญไป และปล่อยให้มังกรเงินศักสิทธิ์ ออร์เบ็ค ได้หลับพักผ่อนต่อ


เมื่อซือเฟิงออกมาจากห้องโถงอัญเชิญแล้ว เขาก็ต้องรู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่เขาได้เห็นและสัมผัสมากๆ


“ช่างเป็นมานาที่หนาแน่น และแข็งแกร่งมากจริงๆ !!!”


ในเวลานี้ความหนาแน่นและความแข็งแกร่งของมานาภายในป้อมปราการแสงดาวนั้นมันมีมากกว่าเดิมราวสองเท่าเลยทีเดียว โดยตอนนี้มานาภายในป้อมนั้นมันใกล้เคียงกับการที่จะกลายเป็นหมอกแล้ว


ด้วยความหนาแน่นและความแข็งแกร่งของมานาที่มีมากขนาดนี้นั้น มันจะไม่มีเมืองกิลใดที่จะสามารถเทียบกับป้อมปราการแสงดาวได้แน่นอน ยกเว้นเมืองสภาสิบแปดปีก และแม้แต่เมืองป่าหินก็จะไม่สามารถเทียบกับป้อมปราการแสงดาวได้เช่นกัน เว้นแต่ว่าจะไปพูดกันถึงสภาพแวดล้อมของโรงแรมอิสระในเมืองป่าหิน ….


นอกจากเรื่องนี้แล้วซือเฟิงยังสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของเขากับองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ และกฎการใช้งานองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์นั้นมันดีขึ้นมากๆภายในสภาพแวดล้อมนี้ ซึ่งตอนนี้ต้องบอกเลยว่าป้อมปราการแสงดาวนั้นมันเหมือนกับโลก God domain ยุคโบราณในเวอชั่นที่อ่อนแอลงมา ….


อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดเหนือกว่าเรื่องพวกนี้คือการเปลี่ยนแปลงเรื่องของจำนวนประชากรภายในป้อมปราการแสงดาว ….


ในตอนนี้ประชากรของป้อมปราการนั้นเพิ่มขึ้นมากกว่าตอนก่อนที่ซือเฟิงจะทำการทดสอบถึงสามเท่า และภายในป้อมปราการนั้นยังสามารถพบผู้เล่นขั้นสามเดินไปตามท้องถนนได้ทั่วไป ขณะที่ก็สามารถจะพบกับผู้เล่นสี่ได้ประปรายด้วยเช่นกัน


และพูดกันตามตรงนั้นเท่าที่ซือเฟิงสังเกตเห็น มันมีผู้เล่นขั้นสี่ เดินไปมาภายในป้อมปราการแสงดาวอยู่มากกว่าเจ็ดสิบคนเลย ซึ่งนี่มันนับเป็นจำนวนที่น่ากลัวมากๆ !!!


แถมนอกเหนือจากนี้นั้นมันยังมีทะเลฝูงชนที่สุดลูกหูลูกตาต่อแถวรอเข้าสู่ป้อมปราการอีก โดยเท่าที่ซือเฟิงประมาณนั้นมันน่าจะมีถึงหลักล้านเลยทีเดียว ….


โดยในหมู่ฝูงชนนี้นั้นแม้แต่ผู้เล่นที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญทั่วไปขั้นสาม ซึ่งทั้งหมดนี้นั้นล้วนมีเลเวลหนึ่งร้อยสามสิบห้าหรือสูงกว่าทั้งหมด และในหมู่ผู้เล่นที่เข้าแถวรอนั้นมันก็ยังมีผู้เล่นขั้นสี่อยู่ด้วยซ้ำ


ถ้าไม่ใช่เพราะว่าผู้เล่นเหล่านี้นั้นเข้าแถวรอกันอยู่อย่างเงียบๆ ซือเฟิงก็คงจะได้สงสัยว่าพวกเขามากันเพื่อโจมตีป้อมปราการแสงดาวแน่นอน


อย่างไรก็ตามก่อนที่ซือเฟิงจะทันได้หายตกตะลึงจากฉากตรงหน้าทั้งหมดนี้ เขาก็สังเกตเห็นวา่มันมีทีมผู้เล่นจำนวนมากได้วิ่งไปยังประตูป้อมปราการ ซึ่งผู้ที่นำทีมผู้เล่นทีมนี้วิ่งไปนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้บัญชาการกองกำลังดีไวน์ไฮม์ของเผ่าศักสิทธิ์ ฟิธาเลีย ….


ในตอนนี้ฟิธาเลียนั้นไม่เพียงแต่จะอยู่ในขั้นสี่เท่านั้น แต่เธอยังมาถึงเลเวลหนึ่งร้อยสี่สิบห้าแล้วด้วย และเมื่อมองไปที่ร่างของเธอดีๆนั้น มันก็จะพบได้อย่างชัดเจนเลยว่าร่างมานาของเธอนั้นได้ทลายขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ไปแล้ว และตอนนี้เท่าที่ซือเฟิงสังเกตเห็นนั้นมันก็ดูเหมือนว่าฟิธาเลียจะสวมใส่เศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานอยู่อย่างน้อยสองชิ้นแล้ว ซึ่งพลังองเธอในตอนนี้นั้นน่าจะสามารถต่อกรกับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายในเลเวลเดียวกันได้อย่างไม่มีปัญหาเลย


นอกจากฟิธาเลียแล้ว มันก็ยังมีผู้เล่นขั้นสี่อยู่อีกสามคนภายในทีมของเธอ ซึ่งพวกเขานั้นได้สวมใส่ไอเทมระดับอีปิคกันอยู่ราวคนละหกถึงแปดชิ้น และก็ไม่ต้องพูดถึงมาตราฐานการต่อสู้ของพวกเขาเลย แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่สามารถทลายขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ของร่างมานาของตัวเองได้ก็ตาม


ทีมที่แข็งแกร่งแบบนี้นั้นสามารถจะจัดการกับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายชั้นยอดในเลเวลเดียวกันได้เลยด้วยซ้ำ


อย่างไรก็ตามตอนนี้การแสดงออกของฟิธาเลีย และคนอื่นๆในทีมนั้นมันเห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยความกังวลเล็กน้อย ในขณะที่พวกเขารีบวิ่งไปยังประตูป้อมปราการ ….

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ?”


ซือเฟิงนั้นอยากรู้อยากเห็นมากๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ และนี่มันก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะบินติดตามไปอย่างเงียบๆ


แม้ว่าฟิธาเลียและคนอื่นๆจะไม่ใช่สมาชิกของสภาสิบแปดปีก แต่กิลที่พวกเขาสังกัดอย่างเผ่าศักสิทธิ์นั้นก็เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของสภาสิบแปดปีกในทวีปด้านตะวันตก แถมพวกเขายังช่วยรักษาความปลอดภัยของป้อมปราการแสงดาวในนามของสภาสิบแปดปีกด้วย ซึ่งหากไม่มีอะไรที่มันสำคัญจริงๆแล้วคนระดับฟิธาเลียก็ไม่น่าจะต้องออกมาเองแบบนี้


หลังจากนั้นไม่นานฟิธาเลียและคนอื่นๆก็ได้มาถึงที่บริเวณประตูป้อมปราการแสงดาว


ในเวลานี้มันมีผู้คนนับหมื่นมารวมตัวกันที่หน้าประตู โดยพวกเขาทั้งหมดนั้นก็ยืนอยู่ไม่ไกลจากประตูมากนัก และในตอนนี้ทุกคนก็มองไปยังทีมๆหนึ่งที่ยืนอยู่นอกประตูป้อมปราการแสงดาวอย่างสงสัย


จะพูดให้แม่นยำก็คือ พวกเขานั้นมองไปยังทีมของ NPC ที่ประกอบไปด้วยผู้เล่นอยู่ในทีมจำนวนหนึ่งด้วย ….


อย่างไรก็ตามในบรรดาผู้เล่นไม่กี่คนที่อยู่ในทีมของ NPC นี้ มันก็มีผู้เล่นขั้นสี่อยู่ถึงห้าคน พร้อมกันนั้นในทีมๆนี้มันก็มี NPC ขั้นสี่ที่ทรงพลังอยู่มากกว่าสิบคนด้วย


“ทำไมจู่ๆคนของพันธมิตรเลือดถึงมาที่นี่ ? ไม่ใช่ว่าพวกเขาง่วนอยู่กับเรื่องพันธมิตรมหาอำนาจในทะเลเปิดงั้นหรอ ?”


“นี่มันแปลกจริงๆ ฉันไม่เคยได้ยินว่าพวกเขาจะขึ้นมาปฎิบัติการบนบกเลยนะ ขณะเดียวกันสำหรับในพื้นที่ทะเลนั้น แม้แต่ห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังไม่ต้องการที่จะยั่วยุพวกเขาเลย”


“ฉันได้ยินมาว่ามันเกิดสงครามขนาดใหญ่กับโลกอื่นขึ้นในบริเวณทะเลที่พวกเขาครอบครอง ซึ่งหลังจากการต่อสู้จบลงนั้นทั้งสองฝ่ายก็ได้อ้างถึงชัยชนะของตัวเอง แต่อย่างไรก็ตามสงครามครั้งนี้นั้นได้สร้างความสูญเสียให้กับพันธมิตรเลือดอย่างหนัก โดยผู้เล่นมากกว่าห้าล้านคนของพวกเขาถูกฆ่าไปโดยผู้เชี่ยวชาญจากโลกอื่น ขณะที่เมืองสามเมืองบนเกาะภายใต้การครอบครองของพวกเขาก็ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์ ….”


ในตอนนี้ทุกคนล้วนพูดกันอย่างงงงวยมากๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันเห็นได้ชัดว่าพันธมิตรเลือดนั้นเป็นพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่ และมีบทบาทสำคัญมากๆในท้องทะเล แต่ตอนนี้พันธมิตรเลือดกับเดินทางมาที่ป้อมปราการแสงดาวที่อยู่ห่างจากทะเลอย่างมาก ซึ่งเท่าที่หลายคนคำณวนนั้นค่าใช้จ่ายในการจะเดินทางมาที่นี่มันก็ไม่ถูกเลย ซึ่งมันก็จะตกอยู่ที่หกเหรียญทองต่อคน


“พวกเขามาที่นี่เพื่อหาเรื่องขอส่วนแบ่งของป้อมปราการแสงดาวรึปล่าว ?”


“มีความเป็นไปได้มากนะ เพราะท้ายที่สุดป้อมปราการแสงดาวในปัจจุบันนั้นมันทรงพลังมากเกินไป ไม่เพียงแต่ความแข็งแกร่งและความหนาแน่นของมานาที่นี่จะสูงมาก แต่ที่นี่ผู้เล่นยังจะสามารถสัมผัสได้ถึงกฎและความสัมพันธ์กับองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ได้ชัดเจนกว่าโลกภายนอกมาก แถมระยะทางจากที่นี่ไปยังดันเจี้ยนภูมิภาค โหมดพระเจ้ามันก็ยังจัดว่าใกล้มาก ซึ่งนี่มันจัดว่าดีในทุกๆด้านสำหรับผู้เล่นเลย”


“นี่พวกเขาไม่รู้รึไงว่ามันมีมังกรเงินศักสิทธิ์ขั้นสี่คอยคุ้มกันป้อมปราการอยู่ ซึ่งนี่มันไม่ใช่ตัวตนที่ผู้เล่นขั้นสี่จะสามารถต่อต้านได้เลย”


ในระหว่างที่ทุกคนกำลังสงสัยถึงเจตนา และเหตุผลในการมาของพันธมิตรเลือด ฟิธาเลียและทีมของเธอที่พึ่งมาถึงก็เดินเข้าไปหาคนของพันธมิตรเลือดในทันที


“หัวหน้าบรุท อะไรหอบคุณมาที่นี่กัน ?”


ฟิธาเลียกล่าวถามชายร่างผอมในชุดคลุมสีเทาที่ถือไม้เทาไม้สีเข้มที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำทีมๆนี้ด้วยน้ำเสียงเย็นชา


การที่คนผู้นี้นำ NPC ขั้นสี่ที่ทรงพลังมากกว่าสิบคน และผู้เล่นขั้นสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดสามอันดับแรกของพันธมิตรเลือดมากับเขาในครั้งนี้ด้วยนั้น มันแทบจะสามารถบอกได้เลยว่าพวกเขาไม่ได้มาดีแน่นอน


“ผู้บัญชาการฟิธาเลีย คุณไม่จำเป็นจะต้องกังวลใจไป …. เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อก่อปัญหา และก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบกับคุณ” บรุท ชายร่างผอมในชุดคลุมสีเทากล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับเผ่าศักสิทธิ์เลย โดยเรามาที่นี่เพื่อมาพบกับสภาสิบแปดปีก และต้องการจะหารือความร่วมมือระหว่างกัน”


“หื้ม ?” ฟิธาเลียอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา เมื่อได้ยินคำพูดของบรุท “นี่คนที่เขามาหารือความร่วมมือระหว่างกัน เขาจำเป็นจะต้องนำ NPC ขั้นสี่มากกว่าสิบคนมาด้วยงั้นหรอ ?”


“ฉันไม่ได้นำพวกเขามา …” บรุทยิ้มพลางส่ายหัว “พวกเขามาในนามของกองกำลัง NPC ต่างๆในทะเล”


“มาในนามของกองกำลัง NPC ต่างๆในทะเลงั้นหรอ ?” เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ฟิธาเลียนั้นก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ….


หากทุกอย่างเป็นไปตามที่บรุทว่า และ NPC พวกนี้เป็นตัวแทนของกอกำลัง NPC ต่างๆในทะเลจริงๆ พวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องปฎิบัติกับเรื่องนี้อย่างจริงจังมากๆ เพราะท้ายที่สุดแล้วในระยะนี้ของเกมนั้น ในบรรดากองกำลัง NPC พวกนี้ มันจะต้องมีบางกองกำลังที่มี NPC ขั้นห้าอยู่อย่างแน่นอน


บรุทได้พยักหน้า ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อว่า “ใช่แล้ว แต่ถ้าผู้บัญชาการฟิธาเลียไม่ให้เราเข้าไปก็ไม่เป็นไร แต่อย่างไรก็ตามฉันขอฝากเรื่องนี้ไปบอกสภาสิบแปดปีกด้วยแล้วกัน และหากพวกเขาไม่ยอมรับข้อเสนอในการร่วมมือกับพันธมิตรเลือด พันธมิตรเลือดของเราก็จะจัดการปิดล้อมแผนที่แห่งนี้ และป้องกันไม่ให้ทุกคนสามารถเข้าสู่ป้อมปราการแสงดาวได้ !!!”


ตอนที่ 2856 ครึ่งก้าวขั้นห้า


“หื้ม ?” ฟิธาเลียผงะไปเมื่อได้ยินคำพูดของบรุท “หัวหน้าบรุท นี่คุณไม่ได้บ้าใช่ไหม ?”


ไม่ใช่ฟิธาเลียแค่คนเดียวที่คิดแบบนี้ ทุกคนในป้อมปราการนั้นก็ล้วนคิดแบบนี้เช่นกัน


แม้ว่าพันธมิตรเลือดจะแข็งแกร่งมากๆ และมีกองกำลัง NPC จำนวนมากที่เข้าร่วมกับพวกเขา แต่พวกเขาก็มีอำนาจอยู่แค่ในท้องทะเลเท่านั้น


ในทวีปด้านตะวันตกแห่งนี้ พันธมิตรเลือดนั้นไม่มีข้อได้เปรียบใดๆเลย แถมป้อมปราการแสงดาวนั้นก็ยังอยู่ห่างจากทะเลมากๆ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พันธมิตรเลือดจะส่งกองกำลังขนาดใหญ่เข้ามาที่นี่


นี่ยังไม่นับรวมการป้องกันของป้อมปราการของป้อมปราการแสงดางอีก ซึ่งแม้แต่ห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังยากที่จะทำอะไรได้ เพราะท้ายที่สุดป้อมปราการแสงดาวนั้นมีมังกรเงินศักสิทธิ์ขั้นสี่คอยคุ้มกันอยู่ และแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าก็ยังทำได้แค่มองดูเท่านั้น


นี่คือเหตุผลที่ป้อมปราการแสงดาวยังคงยืนหยัดอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ ไม่งั้นกองกำลังของ NPC ขั้นห้าที่อยู่ใกล้ๆนี้ก็คงจะลงมือไปนานแล้ว ไม่ต้องพูดถึงกองกำลังของพันธมิตรเลือดหรอก


และพูดกันตามตรงสำหรับพันธมิตรเลือดนั้น แม้แต่การจะปิดล้อมแผนที่ที่ป้อมปราการแสงดาวตั้งอยู่ให้ได้ตามคำขู่ของบรุทนั้นมันก็ยังเป็นไปได้ยากเลย


“บ้า ?” บรุทยิ้ม และพูดว่า “ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ แม้ว่าป้อมปราการแสงดาวจะมีการป้องกันที่แข็งแกร่ง แถมยังมีมังกรศักสิทธิ์คอยคุ้มกันอยู่ แต่มันก็ไม่ใช่กองกำลังพันธมิตรเลือดของเราจะไม่สามารถเขย่ามันได้สักหน่อย ถ้าป้อมปราการแสงดาวต้องเผชิญกับการปิดล้อมแผนที่ และป้องกันไม่ให้ผู้เล่นเข้าสู่ป้อมปราการแสงดาวจาก NPC ขั้นสี่นับร้อย ฉันก็อยากจะรู้นักว่าป้อมจะสามารถทนได้นานแค่ไหนกัน ….”


“NPC ขั้นสี่นับร้อย ?”


เมื่อบรุทพูดจบ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความตกตะลึงมากๆ

ในปัจจุบันเลเวลของ NPC โดยทั่วไปก็จะสูงกว่าผู้เล่น และพลังในการต่อสู้ของ NPC ในขั้นเดียวกันกับผู้เล่นก็จะมีมากกว่าด้วย อันเนื่องมาจาก NPC นั้นมีอาวุธ อุปกรณ์ สกิล และเวทย์ที่ดีกว่าและมากกว่าผู้เล่น


NPC ขั้นสี่นับร้อย !!


จำนวน NPC ขั้นสี่ขนาดนี้นั้นเผลอๆมันมีมากกว่าในอาณาจักรเล็กๆทั่วไปด้วยซ้ำ


กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพันธมิตรเลือดสามารถจะส่งกองกำลัง NPC แบบนี้มาเพื่อปิดล้อมแผนที่ได้ ซึ่งกองกำลัง NPC แบบนี้ก็มีพลังที่น่ากลัวมากๆด้วย !!!


“และฉันก็ได้ยินมาว่าในตอนนี้นั้นทวีปด้านตะวันออกเต็มไปด้วยสงคราม และมันก็มีมหาอำนาจมากมายที่ถูกทำลายไปแล้ว แม้แต่เมืองหลักของสภาสิบแปดปีกอย่างเมืองสภาสิบแปดปีกก็ยังแทบจะไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ ซึ่งนี่มันทำให้สถานการณ์ของสภาสิบแปดปีกตกอยู่ในสภาวะที่ล่อแหลมมากๆ และก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงทรัพยากรเลย แค่สภาสิบแปดปีกจะออกไปล่าอย่างสบายๆตอนนี้มันก็ยังเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ ….” บรุทกล่าวอย่างช้าๆ “และถ้าสภาสิบแปดปีกไม่มีทรัพยากรจากป้อมปราการแสงดาวคอยสนับสนุน ฉันก็เชื่อว่ากิลคงจะไม่สามารถป้องกันตัวเองได้แน่นอน คุณอยากจะให้มันเป็นแบบนั้นงั้นหรอ ?”


“ดังนั้นตอนนี้เราจึงจะเชิญสภาสิบแปดปีกให้มาเข้าร่วมกับพันธมิตรเลือดของเรา ซึ่งนี่ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ป้อมปราการแสงดาวพัฒนาไปได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่พันธมิตรเลือดของเรายังจะสามารถช่วยสภาสิบแปดปีกต่อต้านผู้รุกรานจากโลกอื่นได้ด้วย ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเราทั้งสองฝ่ายไม่ใช่รึไง ?”


เมื่อได้ยินข้อเสนอและคำพูดของบรุท ทุกคนในปัจจุบันที่เฝ้าดูอยู่ไม่เว้นแม้แต่ฟิธาเลียก็ไม่สามารถที่จะหักล้างคำพูดใดๆของเขาได้


สถานการณ์การต่อสู้ในทวีปด้านตะวันออกนั้นมันไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป


อาจกล่าวได้ว่าการที่ช่องทางเข้าสู่โลกอื่นขนาดใหญ่ถูกเปิดขึ้นนั้นนั้นได้สร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้ง God domain ทั้งหมดเลยก็ว่าได้ ซึ่งนี่ก็ไม่เว้นแม้แต่กับมหาอำนาจต่างๆ


กลุ่มกองกำลังที่ไม่รู้ว่าจู่ๆก็โผล่มาจากไหนเยอะแยะนักได้เข้าทำลายเมืองกิลของกิลชั้นสูงไปจำนวนมาก และแม้แต่เมืองกิลของกิลชั้นยอด ไปจนถึงเมืองกิลของซุเปอร์

กิลบางเมืองก็ยังโดนด้วย ….


แต่เดิมมหาอำนาจต่างๆนั้นต้องการที่จะตอบโต้สำหรับเรื่องนี้ แต่หลังจากที่เมืองกิลถูกโจมตีไปไม่นาน เมืองก็ได้ถูกยึดหรือถูกทำลายไปแล้ว แถมจากข้อมูลที่มหาอำนาจต่างๆได้รับมา กองกำลังของผู้รุกรานจากโลกอื่นนั้นมันยังประกอบไปด้วยพวกขั้นสี่จำนวนมาก นี่มันจึงทำให้มหาอำนาจส่วนใหญ่ถอดใจไป ….


สำหรับมหาอำนาจที่ยังคงยืนหยัดจะต่อต้านนั้น ผลที่ได้มันก็คือการถูกทำลายล้างลงอย่างสิ้นเชิง


โดยเรื่องนี้นั้นมันได้สร้างความตกตะลึงไปทั่วทวีปหลักของ God domain ในปัจจุบันอย่างมาก ….


และจากการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน มหาอำนาจต่างๆในทวีปหลักของ God domain ก็พบว่าคนเหล่านี้นั้นมาจากโลกอื่น แต่ไม่ใช่โลกอื่นในแบบที่พวกเขาเคยรู้จัก เพราะมันเป็นโลกอื่นที่มีขนาดแทบจะเทียบเท่าโลกทวีปหลักของ God domain นี้เลย และจำนวนประชากรของโลกนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าทวีปหลักของ God domain ที่พวกเขาอยู่มากนัก แต่ผู้รุกรานจากโลกอื่นเหล่านี้นั้นแข็งแกร่งกว่าเมื่อพูดถึงในแง่ของมาตราฐานการต่อสู้


โดยภายในเวลาไม่ถึงห้าวันหลังจากการรุนรานเริ่มขึ้นนั้น มันก็ได้มีมหาอำนาจจำนวนหนึ่งถูกทำลายลงไปอย่างสิ้นเชิง นอกเหนือจากนี้มันยังมีอาณาจักรหกถึงเจ็ดแห่งที่ถูกทำลายลงไปด้วย และอาณาจักรที่ถูกทำลายไปเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นสวรรค์สำหรับกองกำลังต่างๆซึ่งเข้าไปเก็บเกี่ยวหาโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกองกำลังผู้รุกรานที่เมื่อได้ทรัพยากรจากแต่ละพื้นที่ พวกเขาก็เริ่มขยายตัวกันออกไปเรื่อยๆ ….


เมื่อสถานการณ์เป็นดังนี้นั้น อาณาจักรและจักรวรรดิต่างๆในทวีปหลักของ God domain ที่ยังรอดอยู่นั้นก็เริ่มประกาศการระดมพลกองกำลังผสมทั้ง NPC และผู้เล่นเพื่อไปต่อต้านผู้รุกรานจากโลกอื่น โดยการต่อสู้ครั้งนี้ถือเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ God domain เพราะมันมีอาณาจักรและจักรวรรดิมากกว่าสิบแห่งเข้าร่วม ซึ่งนี่มันทำให้เกิดการต่อสู้ขึ้นในหลายสมรภูมิในทวีปด้านตะวันออก โดยที่มันมีทั้งขนาดใหญ่และเล็ก ก่อนที่ท้ายที่สุดแล้วกองกำลังผสมนี้จะทำการปิดกั้นกองกำลังผู้รุกรานจากโลกอื่นไว้ในที่ด้านหนึ่งได้

อย่างไรก็ตามเกือบหนึ่งในสามของพื้นที่ในทวีปหลักถูกจ่ายไปเพื่อการนี้ ….


เพราะท้ายที่สุดแล้วกองกำลังผสมทำได้แค่ปิดล้อมกองกำลังจากผู้รุกรานจากโลกอื่นเท่านั้น แต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั้น ดังนั้นกองกำลังผู้รุกรานจากโลกอื่นจึงยังคงสามารถเคลื่อนไหว และเก็บเกี่ยวทรัพยากรได้อย่างอิสระภายในพื้นทีที่ถูกปิดล้อม


อย่างไรก็ตามกองกำลังของผู้รุกรานนั้นก็ยังคงมีกำลังเสริมเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนี่มันทำให้หลายฝ่ายเริ่มมองว่าทวีปด้านตะวันออกอาจจะต้านไว้ได้อีกไม่นานแน่นอน และจนถึงตอนนี้นั้นบางส่วนมันก็เริ่มลามมาที่ทวีปด้านตะวันตก และท้องทะเลแล้ว


หากตอนนี้แผนที่ที่ป้อมปราการแสงดาวอยู่ถูกปิดล้อม และป้อมปราการแสงดาวถูกป้องกันให้ไม่ให้คนภายนอกสามารถเข้ามาได้ มันก็จะส่งผลกระทบต่อสภาสิบแปดปีกอย่างมากมายแน่นอน เพราะท้ายที่สุดตอนนี้สถานการณ์ในทวีปด้านตะวันออกนั้นมันไม่มีความเสถียรเลย และทรัพยากรเกือบหนึ่งในสามก็ถูกยึดครองไปโดยกองกำลังผู้รุกรานแล้ว โดยนี่มันก็ทำให้ราคาของทรัพยากรต่างๆเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าตัว ซึ่งนี่มันก็แสดงถึงความตึงเครียดในด้านนี้ได้อย่างชัดเจน


หากสภาสิบแปดปีกไม่มีทรัพยากรจากป้อมปราการแสงดาว กิลก็ไม่น่าจะสามารถปกป้องเมืองกิลของตัวเองเอาไว้ได้แน่นอน


ดังนั้นนี่มันต้องบอกเลยว่าพันธมิตรเลือดนั้นจับจุดอ่อน และสร้างแรงกดดันให้กับสภาสิบแปดปีกได้อย่างถูกจุดมากๆ


อย่างไรก็ตามฟิธาเลียไม่มีอำนาจใดๆเรื่องนี้ และแม้ว่าเธอจะระดมกองกำลังดีไวน์ไฮม์ทั้งหมดของเธอออกมาช่วยสภาสิบแปดปีก แต่พวกเขาก็จะไม่สามารถทำอะไรกับ NPC ขั้นสี่นับร้อยได้แน่นอน


หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ฟิธาเลียก็พูดออกมาว่า “เอาล่ะ เดี๋ยวฉันจะช่วยคุณติดต่อไปยังสภาสิบแปดปีกแล้วกัน ….”


“นั่นยอดเยี่ยม !!” บรุทพยักหน้า และพูดอย่างเฉยเมยว่า “แต่เราก็มีความอดทนจำกัด บอกสภาสิบแปดปีกไปว่าพวกเขามีเวลาคิดแค่วันเดียว หากพวกเขาไม่ตอบกลับ เราจะเริ่มการปิดล้อมแผนที่ทันที !!!”


“หนึ่งวัน ?” ฟิธาเลียขมวดคิ้วเล็กน้อยให้กับเรื่องนี้


เวลามันสั้นเกินไป และมันเป็นไปได้ยากมากๆที่จะหาบทสรุปเรื่องนี้กับสภาสิบแปดปีกให้ได้ด้วยเวลาน้อยแค่นี้ หรือพูดกันตามตรงอีกอย่างก็คือกว่าจะส่งข้อความติดต่อกันเพื่อให้สภาสิบแปดปีกหาบทสรุป มันก็แทบจะหมดเวลาแล้ว ….


“ใช่แล้วหนึ่งวัน !! มันจะเป็นการดีที่สุดที่สภาสิบแปดปีกจะต้องตัดสินใจให้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะยิ่งเวลายืดเยื้อออกไปเท่าไหร่มันก็ยิ่งไม่ดีต่อทั้งพันธมิตรเลือด และสภาสิบแปดปีกด้วย !!!” บรุทกล่าวอย่างมั่นใจ “คุณสามารถบอกสภาสิบแปดปีกไปได้เลยว่าถ้าพวกเขาปฎิเสธ พวกเขาก็จะต้องมีศัตรูเพิ่มขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือพันธมิตรเลือดของเรา และฉันก็รับประกันได้เลยว่าพันธมิตรเลือดของเราจะทำให้พวกเขาเจอปัญหาหนักกว่าเรานับร้อยเท่าแน่นอน !!!”


หลังจากบรุทพูดจบ พวกขั้นสี่ทั้งหมดทั้ง NPC และผู้เล่นก็แผ่ออร่าที่น่ากลัวของตัวเองออกมา


ซึ่งนี่มันก็ทำให้ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ฟิธาเลียรู้สึกกดดันมากๆ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าความจริงที่ว่าเธอมีป้อมปราการแสงดาวคอยสนับสนุน เธออาจจะตัดสินใจถอยทันทีที่สัมผัสได้ถึงออร่าพวกนี้แล้ว ….


อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ฟิธาเลียกำลังจะพูดนั้นอยู่ๆมันก็มีเสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังมาเข้าหูของทุกคน


“ความร่วมมือนี้มันไม่จำเป็น และสภาสิบแปดปีกก็ไม่ต้องการพันธมิตรแบบพวกคุณ !!!”


เสียงปฎิเสธนี้ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหาต้นตอของเสียง เนื่องจากพวกเขานั้นอยากรู้อยากเห็นมากๆว่าใครกันที่กล้าจะปฎิเสธเรื่องนี้ให้กับสภาสิบแปดปีก


“ใครเป็นคนพูดกัน ?! ออกมาเผชิญหน้ากับฉันสิ !!!”


บรุทนั้นเผยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ และไม่พอใจออกมา เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าใครกันที่กล้าจะปฎิเสธ และทำการตบหน้าพันธมิตรเลือดแบบเปิดเผยแบบนี้


“แบล๊คเฟรม ?”

“หัวหน้ากิลสภาสิบแปดปีกอยู่ที่นี่แล้วงั้นหรอ ?”


ทุกคนทั่วบริเวณสังเกตเห็นชายในชุดเสื้อคลุมสีดำที่เป็นผู้พูดอย่างรวดเร็ว และเมื่อทุกคนสังเกตเห็นดาบสองเล่มที่ห้อยอยู่ที่เอวของชายคนนี้ พวกเขาก็จำอัตลักษณ์ของชายคนนี้ได้อย่างรวดเร็ว


“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ?”


ฟิธาเลียนั้นก็จ้องมองไปยังซืเฟิงที่ปรากฎตัวขึ้นอย่างตกตะลึงเช่นกัน


เนื่องจากซือเฟิงที่เธอเห็นในเวลานี้กับซือเฟิงที่เธอเจอครั้งสุดท้ายนั้นแทบจะเหมือนกับคนสองคนที่แตกต่างกันมากๆ ตอนนี้มานาที่แผ่ออกมาจากร่างกายของซือเฟิงนั้นมันน่ากลัวมาก และแม้แต่เธอก็ยังรู้สึกกลัว ขณะที่เมื่อจ้องมองไปยังซือเฟิงนั้น เธอก็สามารถสัมผัสได้ถึงคะแนนชนชั้นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันมากๆด้วย !!!


“ครึ่งก้าวขั้นห้า !!!”


NPC ขั้นสี่ เลเวลหนึ่งร้อยหกสิบเจ็ด ซึ่งดูเหมือนจะเป็นผู้นำ NPC ของพันธมิตรเลือดอุทานออกมา


“ครึ่งก้าวขั้นห้า ?! เป็นไปได้ยังไง ?!”


เมื่อได้ยินคำพูดของ NPC ผู้นี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังซือเฟิงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ


ในปัจจุบันนั้นมันเริ่มมีผู้เล่นที่เข้าถึงขั้นสี่ได้มากขึ้นแล้ว ซึ่งนี่มันก็ทำให้หลายคนเริ่มได้รู้ว่าการจะก้าวจากขั้นสี่ไปเป็นขั้นห้านั้นยากแค่ไหน นี่ยังไม่ต้องพูดถึงช่องว่างระหว่างขั้นสี่และขั้นห้าที่มันมีขนาดใหญ่มากๆเลย


ครึ่งก้าวขั้นห้านั้นคือผู้ที่มาถึงจุดสูงสุดของขั้นสี่แล้ว ในแง่ของร่างมานา และการควบคุมมานา กับองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ และตัวตนระดับนี้ก็เหลือเพียงแค่การ

สร้างร่างมานาใหม่ขึ้นมาให้ได้เท่านั้น ซึ่งหากพวกเขาทำสำเร็จ มันก็จะทำให้พวกเขาสามารถจะก้าวไปถึงขั้นห้าได้ทันที และตัวตนระดับนี้นั้นก็เป็นหนึ่งในตัวตนที่ NPC ของอาณาจักร และจักรวรรดิต่างๆกลัวมากที่สุด


ในตอนนี้ผู้เล่นหลายคนยังคงพยายามดิ้นรนจะไปให้ถึงขั้นสี่กันอยู่เลย แต่ซือเฟิงกับมาถึงครึ่งก้าวขั้นห้าแล้ว นี่มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากๆ


แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่ามันจะไม่น่าเชื่อยังไง พวกเขาก็จำเป็นจะต้องทำใจเชื่อ เพราะพวกเขามั่นใจว่า NPC ขั้นสี่ของพันธมิตรเลือดนั้นไม่โกหกเรื่องนี้แน่นอน ….


“ฉันพูดไปชัดเจนแล้วนี่ หัวหน้าบรุทยังมีอะไรไม่เข้าใจอีกงั้นหรอ ?” ซือเฟิงมองไปที่บรุท พลางกล่าวถามอย่างสบายๆ ….


ตอนที่ 2857 ความเป็นไปได้ของแบล๊คเฟรมที่อยู่ในครึ่งก้าวขั้นห้า


“คุณคือแบล๊คเฟรมงั้นหรอ ?” บรุทมองไปที่ซือเฟิงที่ปรากฎตัวขึ้นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสับสน


ครึ่งก้าวขั้นห้า !!


จนถึงตอนนี้มันก็ยังคงมีผู้เล่นขั้นสี่อยู่ไม่มากนักในมหาอำนาจต่างๆ ขณะที่พวกครึ่งก้าวขั้นห้านั้นยังไม่มีเลยแน่นอน ซึ่งตัวตนระดับนี้นั้นเป็นตัวตนที่ผู้เล่น และแม้แต่ NPC ของกองกำลังจากโลกอื่นก็ยังยากจะรับมือได้ พวกเขาเป็นการดำรงอยู่ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นอมตะ


“ใช่แล้ว ฉันนี่แหละแบล๊คเฟรม” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า


“ที่แท้คุณก็คือหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมตัวจริงนี่เอง …. คือว่าทุกอย่างก่อนหน้านี้มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะปิดล้อมแผนที่และป้อมปราการแสงดาวจริงๆ …” บรุทกล่าวด้วยรอยยิ้ม “และเนื่องจากหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมไม่สนใจที่จะร่วมมือกับพันธมิตรเลือดของเรา ดังนั้นเราก็จะไม่บังคับ และหากไม่มีอะไรแล้ว พวกเราก็ขอตัวก่อน …”


เมื่อบรุทกล่าวจบ เขาก็ตั้งใจจะรีบนำคนของพันธมิตรเลือดทั้งหมดออกไปจากบริเวณนี้ในทันที


“เข้าใจผิด ?” เมื่อซือเฟิงได้ยินสิ่งนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “หัวหน้าบรุท คุณนำ NPC ขั้นสี่มากกว่าสิบคนมาที่นี่แล้วก็ประกาศว่าจะทำการปิดล้อมแผนที่และป้อมปราการแสงดาวอย่างชัดเจน แต่ตอนนี้คุณมาบอกฉันว่านี่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดงั้นหรอ ?”


“เนื่องจากพวกคุณมาที่นี่กันแล้ว งั้นก็อยู่ต่อเลยแล้วกัน !!!”


เมื่อพูดจบซือเฟิงก็ได้เปิดใช้งานโดเมนมานาของเขา ซึ่งนี่มันทำให้เขาสามารถควบคุมพื้นที่ทั้งหมดภายในรัศมีสี่พันหลาของโดเมนได้ทันที


ซึ่งเมื่อซือเฟิงทำแบบนี้นั้น บรุท ผู้เล่น และ NPC คนอื่นๆจากพันธมิตรเลือดก็รู้สึกว่าร่างกายของพวกเขาหนักขึ้นมากๆ โดยตอนนี้มันก็ราวกับว่าร่างของพวกเขานั้นได้จมลึกลงไปในโคลนตม ซึ่งแม้การขยับตัวก็ยังทำได้อย่างยากลำบากเลย และแม้แต่ NPC ขั้นสี่ ที่มีเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยหกสิบฝั่งพวกเขาก็ยังไม่สามารถต้านทานโดเมนมานานี้ได้ นอกเหนือจากนี้พวกเขาทั้งหมดก็ยังไม่สามารถระดมมานาโดยรอบตัวเองมาใช้ได้เลยด้วย ….


ขณะเดียวกันฟิธาเลียและคนอื่นๆนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังซือเฟิงอย่างตกตะลึงมากเช่นกัน


พวกเขาไม่ได้คิดเลยว่าซือเฟิงจะลงมือกระทำเรื่องนี้โดยไม่ลังเล เพราะท้ายที่สุดแล้วฝ่ายของพันธมิตรเลือดนั้นมี NPC ขั้นสี่อยู่มากกว่าสิบคน และนี่ยังไม่นับรวมผู้เล่นขั้นสี่อีก พวกเขาอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซือเฟิงในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว แต่ถ้าหากพวกเขารุมซือเฟิง สถานการณ์มันก็จะแตกต่างออกไปแน่นอน ….


“ไม่ดีแล้ว !! นี่มันการสร้างโลก !!!” NPC ขั้นสี่ที่เป็นผู้นำ NPC ของพันธมิตรเลือดกล่าวพลางมองไปยังซือเฟิงด้วยใบหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ


ครึ่งก้าวขั้นห้าทั่วไปนั้นก็จัดว่าน่ากลัวมากแล้ว แต่ตอนนี้ซือเฟิงกับเป็นครึ่งก้าวขั้นห้าที่สามารถใช้การสร้างโลกได้ด้วย ซึ่งต่อหน้าตัวตนแบบนี้ ต่อให้พวกเขามีจำนวนพวกขั้นสี่มากกว่า แต่มันก็จะไร้ประโยชน์แน่นอน !!!


เหตุผลที่อาชีพขั้นสี่นั้นทรงพลังมากก็เป็นเพราะพวกเขาสามารถจะใช้มานาของตัวเองเพื่อควบคุม และใช้มานาภายนอกเพื่อเพิ่มพลังให้กับสกิลและเวทย์ของพวกเขาได้อย่างมาก แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการสร้างโลก ซึ่งพูดง่ายๆก็คือมันเหมือนกับพวกเขาต้องมาอยู่ในโลกของคนๆหนึ่งที่กฎทุกอย่างของโลกล้วนขึ้นอยู่กับคนๆนั้น


ซึ่งหากฝั่งพันธมิตรเลือดไม่มีใครที่มีการสร้างโลกเหมือนกับซือเฟิงนั้น พวกเขาก็จะไม่สามารถควบคุม และใช้มานาภายนอกได้เลย พวกเขาจะสามารถต่อสู้ได้ด้วยมานาของตัวเองเท่านั้น โดยนี่มันก็จะทำให้ข้อได้เปรียบของขั้นสี่หายไปอย่างสิ้นเชิง


ในขณะเดียวกันเมื่อค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของซือเฟิงมาถึงขั้นห้าแบบนี้แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องโฟกัสสมาธิไปกับการสร้างโลกของเขามากนักเลย หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ เขาแทบจะสามารถต่อสู้ได้อย่างอิสระเท่าที่ต้องการในพื้นที่นี้ของเขา เพราะเขาคือผู้ปกครองมัน ….


“หนี !!” บรุทตะโกนอย่างรวดเร็ว


“นี่พวกคุณคิดว่าจะหนีไปได้งั้นหรอ ?” ซือเฟิงชัก Abyssal Blade ออกมาจากฝัก ก่อนที่เขาจะทำการใช้สกิลดาร์คเนสไบรน์ทันที


ซึ่งนี่มันก็ทำให้สมาชิกของพันธมิตรเลือดทั้งหมดถูกพันธนาการทันที และมันก็ทำให้พวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ รวมทั้งลดพลังป้องกันและค่าความต้านทานเวทย์มนต์ลงหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์เป็นเวลายี่สิบวินาที และแม้ว่าพวกเขาจะมีสกิลหรือเวทย์ที่ช่วยยกเลิกการพันธนาการได้ แต่ความคล่องตัวของพวกเขาก็ยังจะลดลงมากๆอยู่ดี


ในช่วงเวลาที่พวกขั้นสี่ในพันธมิตรเลือดทุกคนกำลังพยายามใช้สกิลช่วยยกเลิกการพันธนาการนี้ ซือเฟิงก็ได้ก้าวไปปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าของพวกเขา ก่อนที่เขาจะเริ่มกวัดแกว่งดาบแสงแห่งสองโลกทันที


สกิลมรดกขั้นสี่ โดเมนดาบ !!


วัฎสงสารแห่งดาบ !!!


ลำแสงดาบสิบสามเล่มที่ซือเฟิงสร้างขึ้นนั้นมันรวดเร็วมากๆจนทุกคนโดยรอบไม่สามารถจะตอบสนองกับมันได้เลย และการโจมตีนี้มันก็ได้พุ่งเข้าใส่บรุท กับสมาชิกคนอื่นๆของพันธมิตรเลือดโดยตรง


ในบรรดาผู้เล่นของพันธมิตรเลือดในปัจจุบัน บรุทซึ่งมีร่างมานาที่สามารถทลายขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ได้แล้วคือผู้ที่ตอบสนองและใช้เวทย์ป้องกันขั้นสี่เพื่อป้องกันการโจมตีที่เข้ามาได้ไวที่สุด แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเวทย์บาเรียขั้นสี่ของเขาปะทะเข้ากับการโจมตีนี้ของซือเฟิง มันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆทันที


สำหรับผู้เล่นขั้นสี่คนอื่นๆของพันธมิตรเลือดนั้นพวกเขาไม่มีใครรอดเลย พวกเขาโดนการโจมตีของซือเฟิงในครั้งนี้เข้าไปโดยตรง และแม้แต่ชิลวอริเออร์ขั้นสี่ที่มีพลังป้องกัน และ HP ที่สูงมากๆก็ยังถูกฆ่าไปแทบจะทันทีโดยที่ไม่สามารถจะทำการตอบโต้อะไรได้เลย


ส่วนสถานการณ์ของ NPC ขั้นสี่ของพันธมิตรเลือดนั้น พวกเขาดูดีกว่าพวกผู้เล่นขั้นสี่อยู่นิดหนึ่ง …. เนื่องจากพวกเขามีอาวุธ อุปกรณ์ รวมไปถึงเลเวลที่เหนือกว่าผู้เล่น โดยการโจมตีนี้ของซือเฟิงนั้นไม่สามารถทำอะไรกับพวกเขาได้มากนัก เพราะสกิล เวทย์ และไอเทมช่วยชีวิตที่เหล่า NPC ขั้นสี่ใช้ออกมานั้นมันได้ช่วยพวกเขาไว้ทั้งหมด อย่างไรก็ตามเมื่อ NPC เหล่านี้ใช้ทุกอย่างไปแล้วแบบนี้ พวกเขาก็จะไม่สามารถทำแบบเดิมได้อีกในช่วงระยะเวลาหนึ่งแน่นอน


แต่อย่างไรก็ตามหลังจากการโจมตีระลอกแรกผ่านไป ซือเฟิงก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้คนจากพันธมิตรเลือดได้หยุดพัก เขาเริ่มใช้ดาบจากโดเมนดาบของเขา กับเทคนิควัฎสงสารแห่งดาบโจมตีต่อทันที


โดยซือเฟิงได้เพิ่มพลังลงไปในดาบเวทย์มนต์ทั้งหมดของเขาจนทำให้ทุกเล่มนั้นมันมีพลังเท่ากับขั้นห้าทั้งหมด ซึ่งเมื่อโดนโจมตีระลอกนี้นั้น บรุท และ NPC ขั้นสี่คนอื่นๆที่เหลือรอดมาได้นั้นก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย นอกจากต้องร่วมด้วยช่วยกันป้องกันตัวเองเท่านั้น และสำหรับคนที่เหลือไอเทมช่วยชีวิต พวกเขาก็ถูกบังคับให้ต้องใช้มันออกมาเรื่อยๆ


เสียงระเบิดและเสียงของพื้นดินที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆนั้นดังก้องไปทั่วป้อมปราการแสงดาวอย่างต่อเนื่อง


และหลังจากเสียงทั้งหมดนี้คงอยู่เป็นเวลาราวสามสิบวินาที บรุท และ NPC ขั้นสี่มากกว่าสิบคนทั้งหมดของพันธมิตรเลือดก็กลายเป็นขี้เถ้า ก่อนจะสลายหายไปในอากาศ


“สมาชิกพันธมิตรเลือดทั้งหมดตายแล้วงั้นหรอ ?”


“นี่คือความแข็งแกร่งของจักรพรรดิดาบแบล๊คเฟรมงั้นหรอ ?”


“นี่มันแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งมากขนาดนี้ ฉันคิดว่าคงจะมีแต่ NPC ขั้นห้าเท่านั้นแหละที่จะสามารถต่อกรกับเขาได้ !!!”


เหล่าผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ทั้งหมดแทบไม่อยากจะเชื่อฉากที่พวกเขาได้เห็นตรงหน้าเลย สมาชิกของพันธมิตรเลือดทั้งหมดนั้นถูกสังหารหมู่ไปแล้วอย่างแท้จริง


กองกำลังของพันธมิตรเลือดที่เดินทางมาในครั้งนี้นั้นประกอบไปด้วย NPC ขั้นสี่มากกว่าสิบคน ผู้เล่นขั้นสี่ห้าคน และบรุทผู้นำพวกเขาก็ยังเป็นผู้เล่นขั้นสี่เช่นกัน แถมอยู่ในขอบเขตโดเมนด้วย ซึ่งกองกำลังแบบนี้นั้นน่าจะสามารถโจมตีมอนสเตอร์ขั้นห้าได้เลยด้วยซ้ำ แต่ต่อหน้าของซือเฟิงกองกำลังนี้นั้นไม่ต่างจากของเล่นเด็กเลย ซือเฟิงสามารถทำการสังหารหมู่พวกเขาทั้งหมดลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่มันทำให้แม้แต่ฟิธาเลียก็ยังตกตะลึงกับเรื่องนี้เช่นกัน


เธอไม่คิดเลยว่าหลังจากซือเฟิงไปถึงระดับครึ่งก้าวขั้นห้าเขาจะแข็งแกร่งจนถึงขนาดที่สามารถใช้การสร้างโลกได้ และเมื่อบวกกับพลังของเขาทั้งหมดตอนนี้แล้ว เธอคิดว่าเขาน่าจะสามารถต่อกรกับ NPC ขั้นห้าได้อย่างสูสีด้วยซ้ำ


หลังจากทำการสังหารหมู่สมาชิกของพันธมิตรเลือดทั้งหมดแล้ว ซือเฟิงก็ได้รีบตรงไปเก็บไอเทมที่สมาชิกของพันธมิตรเลือดทั้งหมดดรอปเอาไว้ด้วยความสุขใจ


ต้องบอกเลยว่าการฆ่า NPC นั้นมันสามารถเทียบได้กับการฆ่ามอนสเตอร์ในขั้นและเลเวลเดียวกันเลย ซึ่งการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้นั้นมันก็จัดว่าน่าพึงพอใจมากๆ เพราะมันมีอาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคมากกว่าสิบชิ้นดรอปออกมา แถมทั้งหมดยังสามารถใช้ได้จนถึงเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบด้วย


หลังจากเก็บไอเทมที่ดรอปออกมาทั้งหมดแล้ว ซือเฟิงก็ได้เดินเข้ามาหาฟิธาเลีย และคนอื่นๆพลางกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ “ขอบคุณพวกคุณมากจริงๆที่ช่วยดูแลและจัดการปัญหาในป้อมปราการแสงดาวให้มาโดยตลอด ถ้าไม่ได้พวกคุณ ป้อมปราการแสงดาวนั้นคงจะตกอยู่ในความโกลาหลไปแล้ว ….”


ดูจากท่าทีของพันธมิตรเลือด มันก็เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่ามีกองกำลังจำนวนมากในทวีปด้านตะวันตกที่กำลังเล็งเป้ามาที่ป้อมปราการแสงดาว และแม้ว่าป้อมปราการแสงดาวจะมีมังกรเงินศักสิทธิ์คอยคุ้มกัน แต่มันก็ไม่เพียงพอแล้ว เพราะท้ายที่สุดสิ่งที่กองกำลังต่างๆยังสามารถจะทำได้ก็คือการปิดล้อมแผนที่ และยับยั้งการพัฒนาของป้อมปราการแสงดาว


“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมก็กล่าวเกินไป …. แต่อย่างไรก็ตามหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม เมื่อคุณได้ฆ่าบรุท และคนอื่นๆ รวมไปถึง NPC จากพันธมิตรเลือดไปอีกมากกว่าสิบคนแบบนี้นั้น ฉันคิดว่าเรื่องนี้มันจะไม่จบง่ายๆแน่นอน” ฟิธาเลียอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือน เผ่าศักสิทธิ์ของเรานั้นได้ทำการตรวจสอบข้อมูลของพันธมิตรเลือดมาอย่างละเอียดแล้วเช่นกัน พันธมิตรเลือดนั้นไม่เพียงแต่จะมีมหาอำนาจกว่าสิบกลุ่มที่เข้าร่วม แต่มันยังรวมไปถึงกองกำลัง NPC ที่ทรงพลังอีกมากมายด้วย ซึ่งในหมู่พวกเขานั้นมันก็มีพวกขั้นห้าอยู่ด้วย ดังนั้นกองกำลังผู้รุกรานจากโลกอื่นจึงทำได้แค่ปราบปรามพันธมิตรเลือดเท่านั้น แต่พวกเขาไม่สามารถจะเอาชนะพันธมิตรเลือดได้อย่างเบ็ดเสร็จ”

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซือเฟิงนั้น เขาไม่จำเป็นจะต้องกลัวผู้เล่นขั้นสี่ หรือ NPC ขั้นสี่ทั่วไปอีกต่อไป อย่างไรก็ตามซือเฟิงนั้นก็ยังควรจะต้องระวังตัวเองไว้ให้มาก เพราะตอนนี้นั้นระบบของ God domain ไม่ได้จำกัด NPC แบบเมื่อก่อนแล้ว ดังนั้นหากพันธมิตรเลือดเสนอผลประโยชน์มากพอให้กับ NPC ขั้นห้าบางคน พวกเขาก็อาจจะยอมลงมือจัดการกับซือเฟิงได้


และหากเป็นแบบนั้น มันก็จะนับเป็นฝันร้ายสำหรับป้อมปราการแสงดาวด้วยแน่นอน ….


“ไม่ต้องห่วงน่า ต่อให้พวกขั้นห้ามาที่นี่ พวกเขาก็จะไม่ประสบความสำเร็จใดๆกลับไปแน่นอน …” ซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม และไม่ได้มีท่าทีสนใจใดๆ


ถ้าเขายังทำการทดสอบของมังกรเงินศักสิทธิ์ ออร์เบ็คไม่สำเร็จ เขาก็คงจะไม่กล้าท้าทายพันธมิตรเลือดเช่นกัน


แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาทำได้สำเร็จแล้ว และสามารถจะอัญเชิญออร์เบ็คออกมาได้แทบจะทุกๆที่ที่เขาต้องการ ซึ่งตัวตนของมังกรเงินศักสิทธิ์อย่างออร์เบ็คนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่พวกขั้นห้าทั่วไปจะสามารถต่อกรได้ด้วยซ้ำ


“ไม่ประสบความสำเร็จใดๆกลับไป ?” ฟิธาเลียนั้นอดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับความมั่นใจของซือเฟิง


ในยุคที่ไม่มีเทพนั้น ขั้นห้านับเป็นจุดสูงสุดของ God domain แล้ว และอาชีพขั้นห้าที่แท้จริงนั้นก็แทบจะสามารถรับประกันความปลอดภัยของกองกำลังหนึ่งได้สบายๆเลย เหมือนกับที่ออร์เบ็คสามารถรับประกันความปลอดภัยของป้อมปราการแสงดาวให้กับพวกเขาได้


ดังนั้นมันจึงยากที่จะจินตนาการมากว่าซือเฟิงนั้นมีทุนในการต่อสู้กับพวกขั้นห้าอยู่แล้ว แถมพวกขั้นห้าที่ว่านี้ยังเป็น NPC ขั้นห้า ซึ่งมีความแข็งแกร่งมากกว่าผู้เล่นขั้นห้าด้วย


“ว่าแต่ผู้บัญชาการฟิธาเลียช่วยรวบรวมวัสดุเหล่านี้ให้ฉันหน่อยได้ไหม ?” ซือเฟิงนั้นไม่ได้คิดจะอธิบายใดๆเพิ่มเติม ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเรื่องโดยหยิบรายการวัสดุที่เขาต้องการออกมา และยื่นให้ฟิธาเลีย “ฉันยินดีจะจ่ายเป็นคริสตัลเวทย์มนต์ในราคาที่สูงกว่าตลาดสองเท่า”

ฟิธาเลียได้เหลือบมองไปยังรายการวัสดุที่ซือเฟิงยื่นมาให้ แม้ว่าวัสดุเหล่านี้จะมีมูลค่าไม่มากนัก แต่พวกมันก็หายากมาก อย่างไรก็ตามด้วยรากฐาน และภูมิหลังของเผ่าศักสิทธิ์นั้นการจะรวบรวมพวกมันมาให้ได้ครบตามที่ซือเฟิงต้องการก็ไม่ได้จัดว่ายากมากนัก


“การรวบรวมวัสดุทั้งหมดตามที่คุณต้องการนี้มันทำได้ไม่ยากนัก แต่ว่าหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ทำไมคุณจะต้องรับซื้อวัสดุพวกนี้ในราคาที่สูงด้วย ? ด้วยรากฐานของกิลคุณในตอนนี้ คุณน่าจะสามารถรวบรวมพวกมันทั้งหมดได้เช่นกัน และก็ไม่น่าจะจำเป็นต้องจ่ายในราคาแพงกว่าตลาดสองเท่าด้วย นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าราคานี้จะถูกจ่ายเป็นคริสตัลเวทย์มนต์อีก …” ฟิธาเลียกล่าวพลางมองไปที่ซือเฟิงอย่างแปลกๆ


ถ้าซือเฟิงต้องการจะรวบรวมวัสดุเหล่านี้จริงๆ สิ่งที่เขาต้องทำก็แค่กลับไปที่สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกที่ทวีปด้านตะวันออกเท่านั้น เขาไม่จำเป็นจะต้องมาใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายแบบนี้เลย


เมื่อได้ยินคำพูดของฟิธาเลียนั้น ซือเฟิงก็ไม่ได้คิดจะปกปิดใดๆ “ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะฉันต้องการวัสดุเหล่านี้ไปเพื่อเชื่อมต่อทวีปหลักทั้งสองด้านเข้าด้วยกัน และมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพึ่งพาแค่วัสดุจากคลังของป้อมปราการแสงดาว ดังนั้นฉันจึงทำได้แค่ซื้อจากกิลคุณเท่านั้น”


ตอนนี้เมื่อเขามีมังกรเงินศักสิทธิ์เป็นคู่หูแล้ว เขาก็สามารถจะต่อสู้ได้ทุกที่ทุกเวลา และด้วยมีมังกรเงินศักสิทธิ์เป็นเครื่องรับประกัน มันก็ทำให้เขาสามารถเริ่มทำในสิ่งที่เขาไม่กล้าทำมาก่อน


“เชื่อมต่อทวีปหลักทั้งสองด้าน ?!” เมื่อฟิธาเลียได้ยินคำพูดของซือเฟิง เธอก็แทบไม่เชื่อหูของตัวเอง “เป็นไปได้ยังไงกัน ?!”


ทวีปหลักทั้งสองด้านนั้นถูกแยกออกจากกันไกลมากๆ และมันก็เป็นเพราะเหตุนี้แหละที่ทำให้มหาอำนาจต่างๆต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งเพื่อแย่งชิงวงเวทย์เทเลพอร์ตข้ามทวีป แต่อย่างไรก็ตามหากพวกเขาสามารถเชื่อมต่อทวีปหลักทั้งสองด้านเข้าด้วยกันได้ ปัญหาเรื่องนี้มันก็จะหมดไป !!!


ซือเฟิงนั้นยิ้มให้กับท่าทีของฟิธาเลียโดยไม่ได้คิดจะอธิบายใดๆ


หากเป็นก่อนหน้านี้เขาจะไม่สามารถทำได้แน่นอน อย่างไรก็ตามตอนนี้ด้วยหอคอยอัญเชิญของป้อมปราการแสงดาว และการที่เขาอยู่ใกล้เคียงกับการกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์วงเวทย์แล้ว เรื่องนี้มันจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)