Reincarnation Of The Strongest Sword God 2471 - 2487
ตอนที่ 2471
เปิดใช้งานหอคอยอัญเชิญ
คำเตือนของออสเซ็ททำให้ซือเฟิงนั้นหลุดออกมาจากห้วงความคิดลึก
“ฉันเลือกคุกป้อมปราการ และหอคอยอัญเชิญ !!” ซือเฟิงรีบกล่าวตอบทันที
จากสิทธิพิเศษระดับทองแดงที่มีให้นั้น คุกป้อมปราการนั้นนับเป็นข้อบังคับที่ต้องมีเลยในความคิดของซือเฟิง หากไม่มีฟังชั่นก์นี้เขาจะไม่สามารถยับยั้งศัตรูไม่ให้ก่อปัญหาในป้อมปราการได้
สำหรับสิทธิพิเศษระดับเงินอย่างหอคอย Manafication และหอคอย Object Creation จะช่วยเพิ่มมูลค่าของป้อมปราการโบราณ และทำให้มันเป็นที่นิยมมากขึ้น
อย่างไรก็ตามป้อมปราการแสงดาวนั้นมันเป็นป้อมปราการแห่งเดียวที่ถูกยึดได้ในหุบเขาดาวตอนนี้ และด้วยเหตุนี้มันจึงไม่มีการแข่งขันใดๆ ผู้เล่นทุกคนที่ต้องการจะเข้ามาพัฒนาตัวเองในหุบเขาดาวนั้นจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้ามาเยี่ยมชมป้อมปราการแสงดาวซึ่งทำให้หอคอยทั้งสองนั้นไม่จำเป็น
ในทางกลับกันหอคอยอัญเชิญนั้นเป็นคนละเรื่องกัน
จากสามสิทธิพิเศษระดับเงินมีเพียงหอคอยอัญเชิญเท่านั้นที่จะทำให้สภาสิบแปดปีกสามารถควบคุมป้อมปราการแสงดาวได้มากขึ้น ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่กิลต้องการมากกว่าสิ่งใดๆ ในตอนนี้สภาสิบแปดปีกมีสมาชิกอยู่เพียงสิบคนในทวีปด้านตะวันตก และหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเผ่าศักสิทธิ์ พวกเขาก็จะไม่สามารถจัดการป้อมปราการได้ แม้จะสามารถเข้ายึดได้แล้วก็ตาม
อย่างไรก็ตามหากเพิ่มหอคอยอัญเชิญเข้าไปสมการทั้งหมด ทุกอย่างก็จะไม่เป็นแบบนั้น
ตราบใดที่สภาสิบแปดปีกอัญเชิญสิ่งมีชีวิตที่มีความแข็งแกร่งมากเพียงพอออกมาได้ กิลก็จะยังคงยืนหยัดยึดป้อมปราการเอาไว้ได้ แม้ว่าจะไม่มีสมาชิกอยู่ที่นี่เลยก็ตาม
สิ่งมีชีวิตที่ถูกอัญเชิญมานั้นจะทำตามเงื่อนไขพฤติกรรมพื้นฐานที่ผู้เล่นกำหนดไว้ ผู้เล่นนั้นสามารถจะออกคำสั่งให้สิ่งมีชีวิตอัญเชิญมาปกป้องคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ครอง หรือไม่ก็ป้องกันไม่ให้คนบางคนเข้าสู่ป้อมปราการได้เช่นกัน เมื่อรวมกับคุกป้อมปราการแล้ว มันจึงจะไม่มีผู้เล่นคนใดกล้าก่อความวุ่นวายในป้อมปปราการแน่นอน
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสิ่งมีชีวิตที่ถูกอัญเชิญมานั้นมีความแข็งแกร่งมากเพียงพอ
หากสิ่งมีชีวิตที่ถูกอัญเชิญมาไม่สามารถจะฆ่าหรือปราบปรามผู้เล่นได้เร็วพอ หอคอยอัญเชิญก็จะไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสิ่งที่ดีกว่าของตกแต่งเล็กน้อย ซึ่งมันก็จะแตกต่างจากหอคอย Manafication และหอคอย Object Creation ที่ให้ประโยชน์ที่ชัดเจน หอคอยอัญเชิญนั้นจะมีประโยชน์เทียบเท่ากับสิ่งมีชีวิตที่ถูกอัญเชิญมาได้
ยิ่งไปกว่านั้นการดูแลสิ่งมีชีวิตที่ถูกอัญเชิญมายังจะต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก
ในตอนแรกนั้นผู้เล่นจะสามารถอัญเชิญสิ่งมีชีวิตที่มีเลเวลเท่ากับพวกเขาออกมาได้ และในการจะเพิ่มเลเวลให้กับสิ่งมีชีวิตอัญเชิญนั้น ผู้เล่นจะต้องลงทุนทรัพยากรจำนวนมาก ซึ่งจำนวนทรัพยากรที่ต้องการจะขึ้นอยู่กับมาตราฐานของสิ่งมีชีวิตอัญเชิญ ยิ่งสิ่งมีชีวิตอัญเชิญทรงพลังมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งต้องใช้ทรัพยากรมากเท่านั้น
จากข่าวลือที่ซือเฟิงได้ยินมาค่าใช้จ่ายรายวันในการดูแลสิ่งมีชีวิตปีศาจขั้นห้านั้นมันใกล้เคียงกับผลกำไรโดยรวมที่กิลชั้นสูงทั่วไปทำได้ต่อวันเลย หากไม่มีทรัพยากรเพียงพอ ผู้เล่นก็จะไม่สามารถรองรับการใช้งานของหอคอยอัญเชิญได้
อย่างไรก็ตามซือเฟิงนั้นไม่ได้กังวลเกี่ยวกับปัญหานี้เลยในตอนนี้ ป้อมปราการแสงดาวนั้นเป็นป้อมปราการเดียวที่อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เล่นจากทั่วทั้งหุบเขาดาวในตอนนี้ และมันยังอยู่ใกล้กับดันเจี้ยนภูมิภาค โหมดพระเจ้าในแผนที่นี้ด้วย ถ้าซือเฟิงสามารถสร้างกฎของเขาให้อยู่เหนือดันเจี้ยนภูมิภาคได้ เขาก็จะได้รับรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลทุกวันจากป้อมปราการ ซึ่งแค่ที่นี่เพียงอย่างเดียวเขาก็น่าจะทำกำไรได้มากพอๆกับที่กิลชั้นสูงกิลหนึ่งทำได้ต่อวันแล้ว เขาจะสามารถสร้างโชคลาภให้กับตัวเองได้อย่างมหาศาลโดยการเก็บแค่ค่าเข้าเยี่ยมชม
ป้อมปราการโบราณนั้นมันไม่ได้ถูกจัดการโดย NPC ซึ่งหมายความว่าผู้เล่นนั้นจะไม่จำเป็นต้องแบ่งเข้าเยี่ยมป้อมปราการกับระบบ ผู้เล่นนั้นจะได้รับเข้ากระเป๋าตัวเองหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์เลย ยิ่งไปกว่านั้นป้อมปราการขนาดเล็กแบบนี้ยังสามารถจะเรียกเก็บค่าเข้าได้สูงสุดถึงยี่สิบเหรียญเงินต่อคน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ป้อมปราการโบราณนั้นล้วนเป็นที่ต้องการอย่างมากในหมู่มหาอำนาจต่างๆในชีวิตที่ผ่านมาของเขา
เมื่อซือเฟิงได้ตัดสินใจแล้ว ออสเซ็ทก็ได้เริ่มร่ายเวทย์ จากนั้นวิญญาณ NPC ผู้นี้ก็ได้ทำการเขียนรูนลึกลับขึ้นกลางอากาศ และนำมันไปสลักไว้บนโทเค่นในมือของซือเฟิง
ทันใดนั้นหน้าจอโปร่งแสงก็ปรากฎขึ้นเหนือโทเค่นซึ่งแสดงรายการสิทธิพิเศษทั้งหกที่ซือเฟิงได้รับมาให้เลือก่อนหน้านี้ โดยสองจากหกนั้นมันก็เรืองแสงขึ้นมามากกว่าอันอื่นๆ
คุกป้อมปราการ : สถานะปลดล๊อค
ค่าใช้จ่ายในการเปิดใช้งาน : คริสตัลเวทย์มนต์สามหมื่นชิ้น
ต้นทุนการดำเนินงานรายวัน : คริสตัลเวทย์มนต์สามพันชิ้น
คุณต้องการจะเปิดใช้งานคุกป้อมปราการไหม ?
หอคอยอัญเชิญป้อมปราการแสงดาว : สถานะปลดล๊อค
ค่าใช้จ่ายในการเปิดใช้งาน : คริสตัลเวทย์มนต์ห้าหมื่นชิ้น
ต้นทุนการดำเนินงานรายวัน : คริสตัลเวทย์มนต์ห้าพันชิ้น
คุณต้องการจะเปิดใช้งานหอคอยอัญเชิญไหม ?
เมื่อเห็นข้อความแจ้งแบบนี้ ซือเฟิงจึงเลือกจึงเลือกจะเปิดใช้งานหอคอยอัญเชิญก่อนคุกป้อมปราการในตอนนี้
ป้อมปราการแสงดาวนั้นยังคงถูกผนึกอยู่ และมันก็ยังไม่ได้อนุญาติให้บุคคลภายนอกเข้ามา ดังนั้นซือเฟิงจึงไม่จำเป็นจะต้องรีบเปิดใช้งานคุกป้อมปราการ คริสตัลเวทย์มนต์นั้นไม่ได้หาได้ง่ายๆ ถ้าเขาเปิดใช้มันตอนนี้ เขาน่าจะเสียคริสตัลเวทย์มนต์ไปโดยเปล่าประโยชน์ราวหกพันชิ้นเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามสำหรับหอคอยอัญเชิญนั้น ยิ่งเขาเปิดใช้งานมันได้เร็วเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งดีเท่านั้น
การอัญเชิญสิ่งมีชีวิตออกมานั้นมันต้องใช้เวลา และยิ่งสิ่งมีชีวิตเป้าหมายมีพลังมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งต้องใช้เวลาในการอัญเชิญนานขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้การดูแลและจัดการกับสิ่งมีชีวิตอัญเชิญนั้นมันก็ต้องใช้เวลา ซึ่งซือเฟิงผู้ที่ตอนนี้ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าเวลาเลยจึงต้องรีบอัญเชิญสิ่งมีชีวิตออกมาให้ไวที่สุด และถ้าเขาโชคดีเขาก็จะสามารถเพิ่มเลเวลของสิ่งมีชีวิตให้ได้ในอีกสองวัน
มอนสเตอร์นั้นไม่เหมือนกับ NPC และผู้เล่น เมื่อเลเวลของมันสูงขึ้นค่าสถานะพื้นฐานและพลังการต่อสู้ของพวกมันจะเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุดของเลเวล ในการเปรียบเทียบกันนั้น ผู้เล่นและ NPC ไม่ได้รับการเพิ่มความแข็งแกร่งมากนัก เมื่อมีเลเวลเพิ่มขึ้น พวกเขายังคงต้องอัพเกรดอาวุธและอุปกรณ์ควบคู่ไปด้วย
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้ใช้คริสตัลเวทย์มนต์หนึ่งแสนชิ้นในทันที โดยครึ่งหนึ่งเพื่อเปิดใช้งานหอคอยอัญเชิญ ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งเพื่อรักษามันไว้เป็นเวลาสิบวัน
เมื่อมีการเปิดใช้งานหอคอยอัญเชิญ อักษรรูนใหม่ก็ปรากฎขึ้นบนโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการ และกลายเป็นตราประทับที่มือขวาของซือเฟิงด้วย
ระบบ : คุณเปิดใช้งาน หอคอยอัญเชิญป้อมปราการแสงดาวสำเร็จแล้ว วงเวทย์เทเลพอร์ตขนาดใหญ่ของหอคอยอัญเชิญได้ถูกเปิดใช้งานแล้ว คุณสามารถที่จะใช้รูนอัญเชิญเพื่อเทเลพอร์ตไปยังหอคอยอัญเชิญได้ทุกเวลา โดยรูนอัญเชิญจะมีคูลดาวน์หนึ่งวันตามธรรมชาติ
หอคอยอัญเชิญนั้นมีความสามารถแบบนี้ด้วยงั้นหรอ ? ซือเฟิงแปลกใจเล็กน้อย ขณะเหลือบมองไปยังรูนอัญเชิญบนฝ่ามือของเขา
มันไม่ได้มีอะไรน่าทึ่งเกี่ยวกับวงเวทย์เทเลพอร์ตของ God domain เมืองของ NPC ทุกเมืองมีมัน และผู้เล่นก็สามารถสร้างมันที่สถานที่พักกิลของตัวเองได้ด้วย
อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้นั้นล้วนเป็นวงเวทย์เทเลพอร์ตขนาดเล็กหรือขนาดกลางทั้งหมด วงเวทย์เทเลพอร์ตขนาดใหญ่นั้นถือเป็นเทคโนโลยีที่สาบสูญไปแล้ว และมันไม่เหมือนกับวงเวทย์เทเลพอร์ตขนาดเล็กกับขนาดกลาง วงเวทย์เทเลพอร์ตขนาดใหญ่นั้นอนุญาติให้ผู้เล่นสามารถเดินทางไปมาระหว่างทวีปหลักสองด้านได้
ซึ่งวงเวทย์ในหอคอยอัญเชิญนี้ก็เป็นวงเวทย์เทเลพอร์ตขนาดใหญ่ ซึ่งหมายความว่าซือเฟิงจะสามารถเดินทางกลับมาที่ป้อมปราการแสงดาวได้ตลอดเวลา แม้ว่าเขาจะอยู่ในทวีปด้านตะวันออกก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นรูนอัญเชิญยังมีคูลดาวน์เพียงวันเดียว และนี่ก็ทำให้มันเป็นเครื่องมือที่สะดวกอย่างน่าเหลือเชื่อ
การเดินทางระหว่างทวีปหลักสองด้านนั้นเป็นเรื่องยากมากๆ เนื่องมาจากวงเวทย์เทเลพอร์ตโบราณที่อนุญาติให้ผู้เล่นสามารถเดินทางไปมาระหว่างทวีปหลักสองด้านได้ล้วนมีระยะเวลาแน่นอนที่กำหนดไว้อย่างเข้มงวด หากผู้เล่นพลาดในเวลาที่กำหนด พวกเขาจะต้องรอจนกว่าจะถึงการเทเลพอร์ตครั้งต่อไป ซึ่งนี่นับเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับกิลที่ต้องการจะขยายอำนาจในทวีปหลักสองด้าน และราคาของไอเทมนั้นมันก็มีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา และหากผู้เล่นไม่สามารถสต๊อคของและทำการขายได้ในเวลาที่เหมาะสม การทำเช่นนี้มันก็จะส่งผลให้หลายสิ่งซับซ้อนมากๆ
รูนอัญเชิญนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้การเดินมายังทวีปด้านตะวันตกทำได้ง่ายขึ้น แต่เขาก็ยังจะสามารถเก็บรวบรวมไอเทมจากทวีปด้านตะวันตกไปด้วยได้แทบทุกเวลาที่เขาต้องการ และเขาก็จะสามารถทำกำไรโดยการขายสินค้าจากทวีปด้านตะวันออกได้อย่างมหาศาลด้วย
หลังจากรู้สึกอิ่มเอมและมีความสุขเชื่อครู่ ซือเฟิงก็เปิดใช้งานรูนอัญเชิญ และเทเลพอร์ตไปยังหอคอยอัญเชิญทันที
หอคอยอัญเชิญนั้นตั้งอยู่ทางทิศใต้สุดของป้อมปราการแสงดาว โดยหอคอยนี้นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในป้อมปราการ โดยมันมีความสูงถึงสองร้อยเมตร และจากด้านบนของหอคอย ผู้เล่นจะสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในป้อมปราการได้
ขณะที่วงเวทย์เทเลพอร์ตบนชั้นบนสุดของหอคอยอัญเชิญสว่างขึ้น ซือเฟิงก็ได้ปรา
กฎตัวขึ้นมาในหอคอย
หลังจากมาถึงซือเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เพราะว่าออสเซ็ทนั้นรอเขาอยู่ที่ก่อนแล้ว อย่างไรก็ตามครั้งนี้ร่างกายของเขาดูชัดเจน และสามารถจับต้องได้มากขึ้น ไม่เหมือนกับวิญญาณก่อนหน้านี้
“ผู้ถือครองโทเค่น หอคอยอัญเชิญนั้นได้ถูกเปิดใช้งานแล้ว หากคุณต้องการจะอัญเชิญผู้พิทักษ์ป้อมปราการออกมา ฉันก็จำเป็นที่จะต้องแจ้งสองสิ่งให้คุณทราบ วงเวทย์นี้ต้องการสื่อที่มีพลังสูงเพียงพอในการจะอัญเชิญผู้พิทักษ์ออกมา และมันไม่สามารถจะอัญเชิญสิ่งมีชีวิตใดๆออกมาได้โดยไม่ป้อนข้อมูล และยิ่งสื่อมีพลังสูงเท่าไหร่ สิ่งมีชีวิตอัญเชิญที่ถูกอัญเชิญออกมาก็จะยิ่งมีพลังแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น
“การอัญเชิญแต่ละครั้งนั้นก็จะมีคูลดาวน์หนึ่งเดือน ฉันหวังว่าคุณจะใช้หอคอยอัญเชิญได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” ออสเซ็ทกล่าวกับซือเฟิง ก่อนที่ร่างของเขาจะกลายเป็นหมอกและหายไป
แน่นอนซือเฟิงรู้ถึงปัจจัยเหล่านี้อยู่แล้ว
ข้อมูลนี้เป็นเหตุผลที่เขาเลือกหอคอยอัญเชิญ
น่าจะเป็นที่นี่แหละ … เมื่อมาถึงแท่นบูชาอัญเชิญ ซือเฟิงก็ดึงกรงเล็บที่มีขนาดเท่ากับมนุษย์ที่โตเต็มวัยออกมาจากกระเป๋าของเขา และวางไว้บนแท่นบูชา
ซึ่งกรงเล็บนี้นั้นก็เคยเป็นกรงเล็บของมังกรน้ำแข็งฮีธไวท์ และเป็นหนึ่งในวัสดุระดับตำนานเพียงสองชิ้นที่ซือเฟิงมีอยู่กับตัว
ในตอนแรกซือเฟิงต้องการจะใช้กรงเล็บมังกรน้ำแข็งนี้ เมื่อเขาได้รับแบบแปลนอาวุธระดับอีปิคมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตามการอัญเชิญมังกรน้ำแข็งออกมาก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่สองที่เลวร้าย สิ่งมีชีวิตอัญเชิญของเขาจะสามารถช่วยปกป้องป้อมปราการได้อย่างมาก และแม้แต่กองทัพมอนสเตอร์ทั่วไปก็จะไม่สามารถทำอะไรกับป้อมปราการของเขาได้
แม้ว่าเขาจะสามารถอัญเชิญเบเฮโมทแสงดาวออกมาได้จากเกล็ดของเบเฮโมทแสงดาว แต่มอนสเตอร์ตัวนี้ก็ไม่ได้มีความน่าเกรงขามเท่ากับมังกรน้ำแข็ง
ทันทีที่ซือเฟิงวางกรงเล็บลงบนแท่นบูชา เขาก็ได้ยินเสียงการแจ้งเตือนของระบบดังขึ้นมาที่หูของเขา
ระบบ : แท่นบูชาอัญเชิญได้ค้นพบกรงเล็บมังกรน้ำแข็ง คุณต้องการจะวิเคราะห์สื่อนี้ไหม ?
“ต้องการ !!” ซือเฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่เขาจะทำการตัดสินใจ
สื่อบางชนิดนั้นจะไม่สามารถใช้งานได้ และหากสื่อที่เลือกมีพลังไม่เพียงพอ การอัญเชิญก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เขานั้นก็แอบรู้สึกเจ็บเล็กๆเช่นกันที่ต้องเสียสละกรงเล็บมังกรน้ำแข็ง แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะท้ายที่สุดแล้วตอนนี้เรื่องของป้อมปราการแสงดาวต้องมาก่อน
เมื่อแท่นบูชาเริ่มทำการวิเคราะห์ ควันสีม่วงเข้มก็โผล่ออกมาจากแท่นบูชาอัญเชิญ และห่อหุ้มกรงเล็บขนาดมหึมาเอาไว้
เมื่อเวลาผ่านไปซือเฟิงก็เริ่มกังวลมากขึ้น
หากการวิเคราะห์กรงเล็บมังกรน้ำแข็งออกมาไม่น่าพอใจ เขาก็คงจะต้องตัดสินใจอัญเชิญเบเฮโมทแสงดาวออกมาแทน ….
ในขณะที่ซือเฟิงกำลังเริ่มคิดในแง่ร้ายแล้ว เขาก็ได้ยินเสียงการแจ้งเตือนของระบบดังขึ้นอีกครั้ง
ระบบ : อัตราความสำเร็จสื่อพลังขั้นกลางอยู่ที่แปดสิบเก้าเปอเซ็นต์ และมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดในการอัญเชิญ คุณต้องการจะอัญเชิญผู้พิทักษ์ไหม ?
“อัญเชิญ !!!”
ตอนที่ 2472
มังกรเงินศักสิทธิ์
เมื่อซือเฟิงตกลงที่จะทำการอัญเชิญ ควันสีม่วงรอบๆกรงเล็บมังกรน้ำแข็งก็กลายเป็นเหมือนหมาป่าที่หิวโหยที่เพิ่งจะได้รับอาหาร และในเวลาไม่นานมันก็กลืนกินกรงเล็บมังกรน้ำแข็งไปทั้งหมด
หลังจากกลืนกินกรงเล็บมังกรน้ำแข็งไปแล้ว ความรุนแรงของออร่าของควันสีม่วงนี้ก็พุ่งสูงขึ้นราวกับสัตว์ร้ายที่พึ่งตื่นจากการหลับใหลอันยาวนาน ออร่าที่น่ากลัวนี้มันทรงพลังมากซะจน แม้แต่ตัวซือเฟิงเองก็ยังยากจะเคลื่อนไหวได้ ออร่านั้นมัเกือบจะแข็งแกร่งกว่าออร่าของ NPC ขั้นห้า หากผู้เล่นขั้นสองมายืนอยู่ในตำแหน่งของเขา พวกนั้นอาจจะต้องล้มลงแล้วเมื่อต้องเผชิญหน้ากับออร่าที่น่ากลัวแบบนี้
เมื่อออร่าของควันสีม่วงนี้ค่อยๆแข็งแกร่งขึ้น แรงกดดันที่ซือเฟิงได้รับมันก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ในขณะเขากำลังจะต้องทรุดตัวลงนั้น ควันสีม่วงก็ไหลเข้าไปในชุดวงเวทย์อัญเชิญโบราณของแท่นบูชา
ตู้ม !!
ทันทีที่ควันสีม่วงรวมเข้ากับวงเวทย์ มันก็เกิดการระเบิดขึ้นสร้างรอยแยกมิติขึ้นมารอบๆ ซึ่งมันก็ดูเหมือนกับว่าพื้นที่โดยรอบนั้นจะไม่สามารถทนกับพลังของวงเวทย์ได้
หลังจากผ่านไปหลายวินาที พื้นที่บริเวณใจกลางแท่นบูชาก็เริ่มแตกสลาย และเผยให้เห็นหลุมดำอันมืดมิด ซึ่งในพริบตาหลุมดำนี้ก็ค่อยๆขยายตัวและกลืนกินแท่นบูชาไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ก่อนที่หลุมดำนี้จะมาถึงซือเฟิง วงเวทย์ที่ถูกสลักอยู่บนแท่นบูชาอัญเชิญก็กระพริบด้วยแสงสีเงิน และหยุดมันเอาไว้ไม่ให้ขยายตัวเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามเนื่องจากหลุมดำนี้ มันก็ทำให้ความหนาแน่นของมานารอบๆซือเฟิงลดลงอย่างมากเช่นกัน
ดินแดนวอย ?! ซือเฟิงจ้องมองไปที่หลุมดำตรงหน้าของเขาด้วยความประหลาดใจ มันเกิดอะไรขึ้นกัน ?
หอคอยอัญเชิญนั้นได้ใช้สื่อสังเวยเพื่อเปิดประตูสู่โลกอื่น ซึ่งมันก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้เล่นอัญเชิญสิ่งมีชีวิตเป้าหมายออกมาได้
โดยธรรมชาติแล้วยิ่งสื่อมีพลังมากเท่าไหร่ ประตูที่ถูกเปิดขึ้นมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น
กระนั้นหลังจากกลืนกินกรงเล็บมังกรน้ำแข็งไป แท่นบูชาอัญเชิญกลับเปิดประตูสู่ดินแดนวอย ….
ซึ่งดินแดนวอยนั้นเป็นดินแดนแห่งความตายที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่แค่ไม่กี่ชนิดเท่านั้น และมันแทบไม่มีพลังงานอยู่ในนั้นเลย ไม่ต้องพูดถึงมานา
ขณะที่ซือเฟิงกำลังจ้องมองไปยังฉากตรงหน้าของเขาอย่างสับสน เสียงแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นมาที่หูของเขา
ระบบ : คุณได้เปิดใช้งานเควสระดับอีปิค “กรงวอย”
เนื้อหาของเควส : ปลดปล่อยมังกรเงินศักสิทธิ์ที่ถูกกักขังอยู่ในห้วงลึกของดินแดนวอย รางวัล : Unknown ไม่มีการลงโทษหากทำเควสล้มเหลว คุณต้องการจะ
ยอมรับเควสไหม ?
มังกรเงินศักสิทธิ์ ? ซือเฟิงนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อเขาได้ยินเสียงการแจ้งเตือนของระบบ
เขาใช้เพียงกรงเล็บมังกรน้ำแข็งเป็นสื่อ เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่ามันจะเปิดประตูไปหาตำแหน่งของมังกรเงินศักสิทธิ์
มังกรนั้นจัดเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ขั้นสูงสุดของ God domain มังกรตัวโตเต็มวัยใดๆแบบสุ่มก็จะมีพลังที่ขั้นห้าแล้ว และพวกมันก็จัดว่าเป็นอมตะเลยในหมู่สิ่งมีชีวิตขั้นเดียวกัน แม้แต่ฮีโร่ของมนุษย์ ซึ่งเป็นผู้ได้รับพรจากเหล่าทวยเทพก็ยังแทบไม่สามารถจะเทียบกับมันได้
อย่างไรก็ตามสถานะของมังกรนั้นมันก็มีความแตกต่างกันออกไป
มังกรศักสิทธิ์นั้นคือมังกรสายเลือดบริสุทธิ์ในยุคโบราณ ซึ่งพูดได้ว่ามังกรทั่วไปหลายตัวนั้นไม่สามารถจะเทียบกับมันได้เลย
ความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งของมังกรศักสิทธิ์กับมังกรทั่วไปนั้น มันคล้ายกับความแตกต่างของมอนสเตอร์สายพันธุ์โบราณ กับมอนสเตอร์ทั่วไปเลย ทั้งสองอยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โดยทั่วไปแล้วมังกรทั่วไปนั้นก็จะจัดว่าเป็นอมตะเลยในหมู่ขั้นเดียวกัน อย่างไรก็ตามมังกรศักสิทธิ์นั้นจะมีพลังที่สามารถก้าวข้ามขั้นได้
ทุกคนใน God domain นั้นล้วนต้องแสดงความเคารพอย่างเหมาะสมต่อหน้ามังกรศักสิทธิ์ ไม่มีใครอยากจะทำให้สิ่งมีชีวิตระดับนี้ขุ่นเคือง ซือเฟิงนั้นคิดว่าอย่างน้อยก็คงจะต้องใช้แม่มดแห่งความอิจฉาจึงจะสามารถต่อกรกับมังกรระดับนี้ได้
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้ทำการยอมรับเควสระดับอีปิคทันที
แม้ว่ามันจะไม่ได้มีบทลงโทษใดๆสำหรับความล้มเหลวหรือการปฎิเสธ แต่หากซือเฟิงละทิ้งความพยายามในเรื่องนี้ เขาก็จะสูญเสียกรงเล็บมังกรน้ำแข็งไปฟรีๆ แถมยังต้องรออีกหนึ่งเดือนด้วยกว่าจะลองอัญเชิญได้อีกครั้ง ซึ่งเขาไม่สามารถจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นได้
ยิ่งไปกว่านั้นโอกาสที่เขาได้รับมาในเควสครั้งนี้นั้นจัดเป็นแจ๊คพอตเลย หากเขายอมละทิ้งมันไป ครั้งหน้าเขาอาจจะไม่ได้รับมันอีก
การอัญเชิญเทพขั้นหกใน God domain นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย และมันก็ไม่เคยมีซุเปอร์กิลๆใดในชีวิตก่อนหน้านี้ของซือเฟิงที่เคยได้รับส่วนหนึ่งของตัวตนระดับนี้ หรือศพ …. นี่ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่ามันอยู่ไกลเกินเอื้อมมากสำหรับสภาสิบแปดปีกในปัจจุบัน
หากไม่นับเทพขั้นหก มังกรศักสิทธิ์ขั้นห้านั้นก็จะนับเป็นผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วที่เขาจะสามารถอัญเชิญได้
หลังจากซือเฟิงยอมรับเควส แท่นบูชาก็ได้สร้างวงเวทย์ขึ้นใต้เท้าของเขา และบาเรียสีเงินนั้นก็ก่อตัวขึ้นรอบตัวเขา ซึ่งด้วยมีบาเรียนี้คอยปกป้อง การเอาตัวรอดของซือเฟิงในดินแดนวอยจึงไม่น่าจะมีปัญหามากนัก
ต้องการให้ฉันเข้าประตูไปงั้นหรอ ?
เมื่อบาเรียสีเงินนี้เสร็จสมบูรณ์ ซือเฟิงก็สังเกตเห็นบัฟใหม่ในหน้าต่างค่าสถานะของเขา ซึ่งบัฟนี้นั้นจะอยู่ได้สามวันโดยธรรมชาติ
ดินแดนวอยนั้นจัดเป็นดินแดนต้องห้ามอย่างแท้จริง นอกเหนือจากพวกเทพและวิญญาณวอยแล้ว สิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นในดินแดนวอย และเติบโตขึ้นมาในดินแดนวอยได้นั้นแทบจะไม่เคยมีมาก่อน และแม้จะมีบาเรียนี้ช่วย แต่ซือเฟิงก็จะโชคดีมากแล้ว หากเขาสามารถแสดงพลังการต่อสู้ตามปกติออกมาได้ถึงสามสิบเปอเซ็นต์ เพราะท้ายที่สุดดินแดนวอยนั้นไม่มีมานา และซือเฟิงก็ยังไม่ได้ล๊อคศักยภาพร่างมานาของเขาได้อย่างเต็มที่
ถ้าเขาพบวิญญาณวอย ด้วยสถานะของเขาตอนนี้เขาจะตายแน่นอน เพราะท้ายที่สุดแม้แต่วิญญาณวอยที่อ่อนแอที่สุดก็ยังมีพลังเทียบเท่ากับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายขั้นสี่ทั่วไปเลย ในขณะที่วิญญาณวอยที่แข็งแกร่งนั้นสามารถจะเทียบกับมังกรที่โตเต็มวัยได้เลย
อย่างไรก็ตามแม้จะรู้เรื่องนี้ แต่ซือเฟิงก็ยังเลือกจะเสี่ยงเข้าสู่ดินแดนวอย
แม้ว่าวิญญาณวอยจะทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่มันก็มีอยู่ไม่มากนัก โอกาสที่เขาจะเจอกับวิญญาณวอยพวกนี้ในระหว่างเดินทางผ่านดินแดนวอยนั้นมันค่อนข้างต่ำ และต่อให้เขาต้องพบกับวิญญาณวอยจริงๆ เขาก็สามารถจะใช้หนังสือฮีโร่ อัญเชิญฮีโร่ขั้นสี่ออกมาปกป้องเขาได้ และเมื่อเขามีฮีโร่ขั้นสี่อยู่เคียงข้างนั้น เขาก็จะไม่มีปัญหาใดๆเลย นอกซะจากว่าจะเผลอไปเจอเข้ากับวิญญาณวอยขั้นห้า
เมื่อซือเฟิงเข้ามาในหลุมดำนั้นฉากรอบตัวของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป
เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่ เขาก็พบว่าตัวเองอยู่บนเกาะลอยน้ำขนาดมหึมา และทั้งเกาะนั้นก็รกร้างว่างเปล่ามากๆ และที่ตั้งอยู่ใจกลางของที่นี่ก็คือกรงเวทย์มนต์ขนาดมหึมา ซึ่งกรงนี้ความสูง กว้าง และยาวหลายร้อยเมตร ซึ่งมันก็ถูกปกคลุมไปด้วยอักษรรูนศักสิทธิ์ทุกประเภทที่แผ่ออร่านิรันดร์ออกมา
ภายในกรงมีมังกรเงินเด็กอยู่ และแม้จะติดอยู่ในกรงนี้ แต่ออร่าของมังกรเงินเด็กตัวนี้ก็ยังคงรุนแรงมากๆ และเมื่อมันมายังซือเฟิงนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันจำนวนมหาศาลที่กดทับลงมาเลย
ช่างเป็นชนชั้นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังมากๆ !!! ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขั้นหก ขอบเขตพระเจ้าของมหาอำนาจต่างๆในอดีตจึงไม่สามารถจะเทียบเคียงกับมังกรศักสิทธิ์ขั้นห้าได้เลย ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ซือเฟิงตกตะลึง ขณะที่เขาจ้องมองไปยังมังกรเด็กที่ถูกกักขังอยู่ในกรง
เขานั้นเคยเห็นมังกรทั่วไปมามากมายทั้งในชีวิตนี้ และชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา แต่เขาไม่เคยเห็นมังกรศักสิทธิ์มาก่อน
มังกรน้ำแข็งที่เขาได้ต่อสู้ด้วยที่หุบเขาใบไม้ผลินั้นไม่มีอะไรเลย เมื่อเทียบมังกรศักสิทธิ์เด็ก ตรงหน้าของเขานี้ ความแตกต่างระหว่างทั้งสองตัวนั้นเป็นความแตกต่างที่เหมือนกับหินทั่วไปและเพชร
ซือเฟิงนั้นเริ่มมองหาวิธีที่จะเปิดกรงเวทย์มนต์
ผู้เล่นส่วนใหญ่ในระยะนี้ของเกมนั้นจะไม่เคยเห็นกรงเวทย์มนต์กันมาก่อน และจะไม่รู้แน่นอนว่าต้องเปิดอย่างไร อย่างไรก็ตามซือเฟิงไม่ใช่ผู้เล่นส่วนใหญ่
โดยทั่วไปแล้วกรงเวทย์มนต์นั้นจะถูกใช้ในสมัยโบราณเพื่อกักขังอาชญากร ในขณะที่พวกเขารอการถูกลงโทษ และพลังของเวลาที่ผ่านไปก็จะบั่นทอนความแข็งแกร่งของนักโทษลงเรื่อยๆ นี่คือสาเหตุที่ God domain นั้นมีเควสระดับอีปิคมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ต้องการจะให้ผู้เล่นทำการฆ่าอาชญากรเพื่อความยุติธรรม
เพื่อที่จะยุติชีวิตอันน่าสังเวชและยาวนานของอาชญากรเหล่านี้ ผู้เล่นจะต้องปลดผนึกกรงเวทย์มนต์ของนักโทษ
ซือเฟิงนั้นไม่เคยทำการเปิดกรงเวทย์มนต์มาก่อน แต่จากสิ่งเขาได้เรียนรู้มาจากชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา ก่อนอื่นมันก็จำเป็นที่จะต้องค้นหาวงเวทย์หลัก ซึ่งตั้งอยู่รอบนอกซะก่อน จากนั้นผู้เล่นก็จะสามารถทำลายหรือปลดล๊อคเพื่อเปิดกรงเวทย์มนต์ได้
ซือเฟิงนั้นใช้เวลาค้นหาอยู่มากกว่าสิบชั่วโมง และในระหว่างนั้นเขาก็ค้นพบวงเวทย์ทั้งเจ็ดที่อยู่รอบเกาะที่รกร้างแห่งนี้ ซึ่งทุกวงเวทย์นั้นก็มีความซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นผลมาจากการออกแบบ มันเป็นผลมาจากการคำณวนองค์ประกอบที่น่ากลัวสำหรับแต่ละวงเวทย์ และแม้แต่ในฐานะปรมาจารย์นักเวทย์ ซือเฟิงก็ยังรู้สึกปวดหัว เมื่อได้ตรวจสอบวงเวทย์เหล่านี้
ใครก็ตามที่เป็นผู้ออกแบบวงเวทย์นี้นั้นจัดว่าโหดเหี้ยมอย่างแท้จริง !! นี่พวกเขาไม่ได้มีความตั้งใจจะปล่อยให้มังกรเงินศักสิทธิ์เป็นอิสระเลยงั้นหรอ ?! วงเวทย์ทุกวงนี้ล้วนน่ากลัวมากๆ หากไม่ได้มีความเชี่ยวชาญระดับปรมาจารย์ทั้งเจ็ดสายธาตุ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถจัดการกับพวกมันได้ ซึ่งนี่มันก็ทำให้ซือเฟิงรู้สึกท้อแท้มากๆ
อย่างไรก็ตามผู้เล่นส่วนใหญ่นั้นก็จะเชี่ยวชาญแค่ราวสามถึงห้าสายธาตุเท่านั้น เมื่อมาถึงขั้นห้า ดังนั้นการจะปลดล๊อควงเวทย์พวกนี้จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในทางปฎิบัติ ….
ดูเหมือนว่าการทำลายมันจะเป็นทางเลือกเดียวของฉัน !! ซือเฟิงนั้นเริ่มตระหนักแล้วว่าเขาไม่สามารถจะปลดล๊อควงเวทย์ทั้งหมดได้
แม้ว่าวงเวทย์ที่เชื่อมต่อกันทั้งหมดนี้มันจะดูทรงพลังมาก แต่มันก็ไม่ได้มีกลไกการป้องกันใดๆ ตราบใดที่เขาสามารถสร้างความเสียหายได้มากกว่าที่วงเวทย์นี้จะทนได้ เขาก็น่าจะสามารถทำลายมันได้
จากนั้นซือเฟิงก็นำเรือเหาะมังกรสีเลือดออกมา และใช้ปืนใหญ่เวทย์เอลฟ์โจมตีเข้าใส่วงเวทย์
ตู้ม !!
ลำแสงจากการโจมตีพุ่งเข้าใส่วงเวทย์ และทำให้ทั้งเกาะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ซึ่งขณะที่ฝุ่นจางลง ซือเฟิงก็สังเกตเห็นว่าแสงของวงเวทย์นั้นลดลงเล็กน้อย
เยี่ยม !! มันได้ผล !! ความตื่นเต้นของซือเฟิงเพิ่มขึ้น เมื่อเขาได้เห็นผลัพธ์จากการโจมตีของเขา
พลังของการโจมตีจากปืนใหญ่เวทย์เอลฟ์นั้นทำให้ค่าความทนทานของวงเวทย์ลดลงอย่างชัดเจน และหากเขาสามารถระดมโจมตีโดนใช้ปืนใหญ่เอลฟ์ยิงไปได้เรื่อยๆ เขาก็จะสามารถทำให้มันแตกสลายได้แน่นอน
ในช่วงเวลาหนึ่งซือเฟิงก็ได้ทำการใช้ปืนใหญ่เวทย์เอลฟ์ระดมโจมตีเข้าใส่วงเวทย์เรื่อยๆ เมื่อคูลดาวน์ของปืนใหญ่เสร็จสิ้น เขาไม่ได้สนใจเรื่องค่าใช้จ่ายที่เป็นคริสตัลเวทย์มนต์ เพราะท้ายที่สุดเขายังมีอีกมากมาย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ….
ในที่สุดหลังจากทำการโจมตีอยู่หนึ่งวันเต็ม และใช้คริสตัลเวทย์มนต์ไปแทบทั้งหมด ซือเฟิงก็ได้ทำลายวงเวทย์นี้ลงได้
ซึ่งในขณะที่วงเวทย์พังทลาย กรงเวทย์มนต์นั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ตอนที่ 2473
ผู้ทำสัญญากับมังกร
ในที่สุด มันก็สำเร็จ !!!
ซือเฟิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นกรงเวทย์มนต์ที่อยู่ใจกลางเกาะนี้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
เขานั้นประเมินพลังของวงเวทย์นี้ต่ำเกินไปหน่อย แม้จะอาศัยพลังของปืนใหญ่เวทย์เอลฟ์ในการโจมตี แต่เขาก็ยังต้องโจมตีตลอดทั้งวันและใช้คริสตัลเวทย์มนต์ไปเกือบทั้งหมดกว่าจะทำลายวงเวทย์ได้ วงเวทย์นี้นั้นเป็นวงเวทย์ที่แข็งแกร่งซะยิ่งกว่าวงเวทย์ที่ใช้ป้องกันเมืองสภาสิบแปดปีกซะอีก
ซึ่งทันทีที่กรงเวทย์มนต์แตกออกเป็นเสี่ยงๆ มังกรเงินศักสิทธิ์ที่หลับใหลก็ลืมตาขึ้น และแผ่เสียงคำรามที่ดังก้องและทำให้พื้นดินทั่วเกาะสั่นสะเทือนออกมา
มังกรเด็กนั้นเริ่มกระพือปีกเพื่อสร้างพายุอันทรงพลังพัดซากกรงที่เคยกักขังมันออกไปทันที และความแรงของพายุนี้นั้นก็ทำให้ซือเฟิงต้องถอยไปไกลถึงห้าร้อยหลา
นี่คือพลังของมังกรศักสิทธิ์งั้นหรอ ?! ดวงตาของซือเฟิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจที่ไม่อาจจะอธิบายได้ ขณะที่เขาจ้องมองไปยังมังกรเงินศักสิทธิ์ที่มีความสูงห้าสิบเมตร
[มังกรเงินศักสิทธิ์ (ออร์เบ็ค)] (มังกร ระดับเทพนิยาย)
เลเวล ?? ?
HP??????/??????
เขาไม่สามารจะมองเห็นเลเวลของมังกรเงินศักสิทธิ์ได้ แต่จากข้อมูลของมันก็เผยให้เห็นว่ามันเป็นขั้นระดับเทพนิยาย ขั้นสี่อย่างแท้จริง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงมอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย แต่มังกรเงินศักสิทธิ์ตัวนี้ก็ให้ความรู้สึกราวกับว่ามีอำนาจเหนือโลกรอบตัวมัน แม้แต่อีลูเนี่ยม เอลฟ์ชั้นสูงนั้นก็ยังจัดว่าอ่อนแอไปเลยเมื่อเทียบกับมังกรเงินศักสิทธิ์ตัวนี้
ซือเฟิงนั้นสามารถต้านทานพลังของอีลูเนี่ยมได้เล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าออร์เบ็ค เขารู้สึกราวกับว่าเขาไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย และการเคลื่อนไหวต่อหน้าออร์เบ็คนั้นก็ยากมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้เลย
หากมังกรเด็กตัวนี้เป็นพวกงี่เง่า เอาแต่ใจ มันอาจฆ่าเขาได้ด้วยความคิดก่อนที่เขาจะทันได้ใช้หนังสือฮีโร่อัญเชิญฮีโร่ขั้นสี่ออกมาด้วยซ้ำ
ตอนนี้เมื่อปราศจากกรงเวทย์มนต์แล้ว ออร์เบ็คก็ได้มาปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าของซือเฟิง และถามว่า “มนุษย์ตัวน้อย คุณคือผู้ปลดปล่อยฉันงั้นหรอ ?”
น้ำเสียงของออร์เบ็คนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและสงบ แต่มันก็ได้แผ่แรงกดดันจำนวนมากออกมาด้วย เมื่อซือเฟิงได้ยินคำถามของออร์เบ็ค เขาก็รู้สึกราวกับว่าสวรรค์กำลังเรียกร้องของคำตอบและไม่มีที่ว่างสำหรับคำโกหก
“ใช่แล้ว ท่านลอร์ดมังกรศักสิทธิ์ ฉันได้ทำลายวงเวทย์ และปลดปล่อยคุณจริงๆ ..” ซือเฟิงตอบด้วยน้ำเสียงกลางๆที่ไม่ได้ถ่อมตัวและหยิ่งผยองมากเกินไป ในขณะที่เขาพยายามระงับความวิตกกังวลที่อยู่ภายในใจเขา
มังกรนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความภาคภูมิใจเป็นของตัวเอง เพราะท้ายที่สุดสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จัดว่ายืนอยู่ในจุดสูงสุดของ God domain เลย และพวกนี้ก็มองสิ่งมีชีวิตที่อยู่ต่ำชั้นกว่านั้นว่าแทบไม่มีความสำคัญเลย
อย่างไรก็ตามมังกรนั้นก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่เคารพความแข็งแกร่งอย่างมากเช่นกัน หากพิสูจน์ตัวเองได้ เขาก็จะได้รับการยอมรับจากมังกรเงินศักสิทธิ์ และมันก็ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับเรื่องนี้
ถ้าเขายอมอ่อนข้อให้กับมังกรเงินศักสิทธิ์ออร์เบ็ค มังกรตัวนี้จะดูถูกเขาแน่นอน และรางวัลที่เขาได้อาจน้อยกว่าที่เขาทำเควสออกมาได้ไม่ดีด้วยซ้ำ
“คุณทำให้ฉันประหลาดใจมากจริงๆ ฉันไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งมีชีวิตเล็กๆแบบนี้จะทำลายกรงที่เทพธิดาติดตั้งไว้ได้” ออร์เบ็คกล่าวด้วยความประหลาดใจ และดวงตาของมันก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นขณะที่จ้องมองไปยังซือเฟิง ตอนนี้สายตาที่มันมองมายังซือเฟิงนั้นก็ราวกับว่ามดที่พึ่งพลิกตัวช้างได้ “อย่างไรก็ตามจากดวงตาศักสิทธิ์ที่ฉันใช้มองคุณ ฉันสามารถบอกได้เลยว่าคุณกำลังพูดความจริง …”
“ตามพันธสัญญาโบราณ ฉันจะทำสัญญากับคุณเพื่อทำหน้าที่เป็นสหายคอยช่วยเหลือคุณ เนื่องจากคุณได้ช่วยฉันไว้ แต่อย่างไรก็ตามฉันเป็นมังกรศักสิทธิ์ คนที่อ่อนแอนั้นไม่มีสิทจะยืนข้างฉัน ก่อนอื่นคุณจะต้องผ่านการทดสอบของฉันก่อน ซึ่งถ้าคุณทำได้ ฉันจะยอมรับคุณ โดยคุณมีเวลาสี่เดือนในการพิสูจน์ตัวเอง”
“ในช่วงเวลานี้ฉันจะอยู่เคียงข้างคุณ และต่อสู้ร่วมกับคุณ แน่นอนว่าคุณไม่ผ่านการทดสอบสัญญาของเราก็จะถูกเลิก”
“ในอีกสี่เดือนข้างหน้า ฉันจะให้โอกาสคุณสามครั้งในการท้าทายการทดสอบของฉัน หากคุณล้มเหลวทั้งสามครั้ง สัญญาของเราก็จะถูกยกเลิก”
ระบบ : ยินดีด้วย !! คุณได้ช่วยเหลือมังกรศักสิทธิ์ ออร์เบ็คได้สำเร็จ และผ่านระยะแรกของเควสระดับอีปิค “กรงวอย” รางวัลคะแนนสกิลมรดกสิบแต้ม คุณได้กลายเป็นผู้ทำสัญญากับมังกร
ระบบ : เควสระดับอีปิค “กรงวอย” ระยะที่สองถูกเปิดขึ้น
เนื้อหาเควส : ทำการทดสอบของออร์เบ็คให้สำเร็จภายในสี่เดือน รางวัล Unknown
แน่นอนเลยว่าการจะได้มาซึ่งมังกรศักสิทธิ์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การแจ้งเตือนนี้ไม่ได้ทำให้ซือเฟิงประหลาดใจมากนัก ฉันจะต้องพยายามและเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งให้ได้มากที่สุดในสี่เดือนข้างหน้า
มหาอำนาจต่างๆในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิงนั้นต้องเสียสละอย่างมากเพื่อที่จะอัญเชิญสิ่งมีชีวิตขั้นห้าออกมาจากหอคอยอัญเชิญ บางกลุ่มนั้นถึงกับต้องฆ่า NPC ขั้นห้าเพื่อนำศพของ NPC ขั้นห้ามาทำการอัญเชิญ และตั้งให้เป็นผู้พิทักษ์ของป้อมปราการ
แม้ว่าออร์เบ็คจะเป็นมังกรระดับเทพนิยาย ขั้นสี่ แต่มอนสเตอร์ขั้นห้าทั่วไปนั้นก็ไม่สามารถจะเทียบกับออร์เบ็คได้เลย มันคงจะเป็นเรื่องน่าแปลก ถ้าไม่ได้มีการทดสอบเพื่อควบคุมสิ่งมีชีวิตดังกล่าว
โชคดีที่ซือเฟิงนั้นมีเวลาสี่เดือนซึ่งมากพอจะให้เขาได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นสหายที่แข็งแกร่งของออร์เบ็คได้
ตราบใดที่เขาสามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาระดับอีปิคของเขาได้อย่างเต็มที่ และได้รับชิ้นส่วนดาบของโซโลมอนสามชิ้นสุดท้ายมา การทดสอบของออร์เบ็คก็ไม่น่าจะมีปัญหาสำหรับเขา
ในขณะที่ออร์เบ็คอธิบายทุกอย่างเรียบร้อย มังกรผู้นี้ก็เริ่มร่ายเวทย์
ทันใดนั้นวงเวทย์ขนาดใหญ่ที่ดูซับซ้อนมากๆสี่ชั้นก็ปรากฎขึ้นรอบๆซือเฟิง ก่อนมันจะหดตัวลงอย่างรวดเร็ว และแปรเปลี่ยนเป็นอักษรรูนสีเงิน จากนั้นรูนนี้มันก็ถูกตราลงบนแขนของซือเฟิงก่อนจะจางหายไป
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบอีกครั้ง
ระบบ : คุณได้รับเครื่องหมายของผู้ทำสัญญา และกลายเป็นผู้ทำสัญญากับมังกรศักสิทธิ์ออร์เบ็ค
ระบบ : โทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการได้ค้นพบเครื่องหมายของผู้ทำสัญญา คุณต้องการจะให้มังกรศักสิทธิ์ออร์เบ็คเป็นผู้พิทักษ์ของป้อมปราการแสงดาวไหม ?
ซือเฟิงคลิกต้องการอย่างไม่ลังเล และเมื่อเขาทำแบบนี้นั้น หน้าต่าง “สหายผู้ทำสัญญา” ก็ปรากฎขึ้นในอินเตอร์เฟซของระบบ
เมื่อซือเฟิงคิกลเปิดดู เขาก็ได้มองเห็นข้อมูลของออร์เบ็คทั้งหมดแล้ว
[มังกรเงินศักสิทธิ์ (ออร์เบ็ค)] (มังกร ระดับเทพนิยาย)
เลเวล 111
HP 10,900,000,000/10,900,000,000
อึก !! นี่ HP ของมันจะไม่สูงเกินไปหน่อยงั้นหรอ ?! ซือเฟิงนั้นแทบจะตะโกนสาปแช่งออกมาอย่างดัง เมื่อเขาได้เห็นข้อมูลของออร์เบ็ค
เขานั้นคิดว่า HP สี่พันล้าน ของเบเฮโมทแสงดาวก็จัดว่ามากเกินไปหน่อยแล้วสำหรับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย เลเวลหนึ่งร้อยสิบสาม หากผู้เล่นต้องฆ่าบอสด้วยวิธีทั่วไป พวกเขาจำเป็นจะต้องมีทีมผู้เล่นขั้นสาม หนึ่งพันคนเลย เว้นแต่ว่านอกเหนือจากนั้นทีมของพวกเขาจะสามารถสร้างความเสียหายได้มากกว่าแปดล้านต่อวินาที ไม่งั้นพวกเขาจะไม่สามารถเอาชนะสกิลพาสซีฟการฟื้นฟูของบอสตัวนี้ได้ และไม่สามารถจะฆ่ามันได้เลย
เมื่อบวกกับพลังป้องกันอันน่ากลัวของเบเฮโมทแสงดาว ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามทั่วไปนั้นก็แทบจะไม่สามารถสร้างความเสียหายได้ถึงหนึ่งหมื่นเลยด้วยการโจมตีปกติของพวกเขา
อย่างไรก็ตามออร์เบ็คนั้นกลับจัดว่าน่ากลัวยิ่งกว่า มังกรศักสิทธิ์ตัวนี้นั้นอยู่ในเลเวลหนึ่งร้อยสิบเอ็ดเท่านั้น แต่มันกับมี HP มากกว่าเบเฮโมทแสงดาวเกือบสามเท่า และแค่สกิลฟื้นฟูของมันเพียงอย่างเดียว ก็จะฟื้นฟู HP 10.9 ล้านทุกๆห้าวินาทีแล้ว และมังกรศักสิทธิ์นั้นก็น่าจะมีพลังป้องกันสูงกว่าเบเฮโมทแสงดาวอย่างน้อยสองเท่า
เมื่อมองไปที่ข้อมูลของออร์เบ็คนั้น ซือเฟิงคิดว่าแม้แต่ผู้เล่นขั้นสี่ก็ไม่สามารถจะฆ่ามันได้แน่นอน ไม่ต้องพูดถึงผู้เล่นขั้นสาม
ในขณะที่ซือเฟิงกำลังเต็มไปด้วยความตกตะลึงที่เห็นค่าสถานะอันน่ามหัศจรรย์ของ
ออร์เบ็ค พื้นดินของเกาะใต้เท้าของเขาที่เขาเหยียบอยู่ก็เริ่มสั่นสะเทือนและแตกออก
“ตอนนี้กรงเวทย์มนต์ได้ถูกทำลายไปแล้ว ดังนั้นเกาะนี้จะคงอยู่ได้อีกไม่นานนัก เราต้องรีบออกไป” ออร์เบ็คกล่าวเตือนเพื่อนมนุษย์ของมัน
มังกรเด็กผู้นี้เริ่มร่ายเวทย์อีกครั้ง และในพริบตาซือเฟิงก็หายตัวไป และมาปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งบนหลังของออร์เบ็ค จากนั้นซือเฟิงก็หายตัวไป และไปปรากฎตัวขึ้นบนหลังของออร์เบ็ค จากนั้นมังกรเงินศักสิทธิ์ก็ได้กางปีกของตัวเองออกก่อนจะเร่งบินออกไปจากดินแดนวอยโดยผ่านทางหลุมดำที่หอคอยอัญเชิญเปิดเอาไว้
ในขณะเดียวกันตอนนี้ สมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์ก็กำลังทำงานกันอย่างหนักในการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดของป้อมปราการแสงดาว แถมพวกเขาก็ยังเริ่มสร้างโรงแรมและร้านค้าด้วย
อีกทั้งเพื่อให้การจัดการป้อมปราการทำได้ดีขึ้น เผ่าศักสิทธิ์ยังส่งองครักษ์ส่วนตัวขั้นสามมากกว่าหนึ่งร้อยคนเข้ามาประจำการที่ป้อมปราการ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ล้วนได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ลาดตระเวนตามท้องถนน และปกป้องสถานที่ที่สำคัญต่างๆของป้อมปราการ
ในขณะที่ฟิธาเลีย และพวกระดับสูงของเผ่าศักสิทธิ์คนอื่นๆกำลังวางแผนเส้นทางลาดตระเวนสำหรับองครักษ์ส่วนตัว มันก็มีบางอย่างที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นกับหอคอยอัญเชิญที่อยู่ทางใต้สุดของป้อมปราการ
อักษรรูนศักสิทธิ์นั้นเริ่มปรากฎขึ้นรอบๆหอคอย และทำให้หอคอยแต่เดิมที่ไร้แสงสีนั้นดูสว่างไสวขึ้นมาก ทันใดนั้นออร่าที่รุนแรงก็ได้แผ่ออกมาปกคลุมไปทั่วป้อมปราการแสงดาว และมันก็ทำให้ผู้เล่นทุกคนที่อยู่ในป้อมปราการแสงดาวนั้นยากที่จะเคลื่อนไหวได้มากๆ
“ออร่านี้มันมาจากไหนกัน ?”
“มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กัน ?”
“เราลืมฆ่าบอสผู้พิทักษ์บางตัวไปงั้นหรอ ?”
ทุกคนนั้นหันไปมองทางหอคอยอัญเชิญด้วยความกังวล
แม้แต่ฟิธาเลียและพวกระดับสูงคนอื่นๆของกิลที่กำลังพูดคุยกันอยู่ในสถานที่พักกิลชั่วคราวก็ยังมีการแสดงออกที่หวาดกลัวอย่างมาก
มันไม่มีบอสผู้พิทักษ์ตัวไหนที่พวกเขาเคยเผชิญหน้าและมีออร่าที่ทรงพลังมากขนาดนี้ และที่ผ่านมากองกำลังสิงโตเงินก็ได้ใช้ม้วนคัมภีร์อัญเชิญฮีโร่ขั้นสี่เพื่อช่วยในการเอาชนะบอสผู้พิทักษ์ด้วย แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงได้รับความสูญเสียอย่างมาก
อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเขาไม่มีม้วนคัมภีร์อัญเชิญฮีโร่ขั้นสี่เหลือแล้ว หากบอสผู้พิทักษ์ปรากฎตัวขึ้นมาจริง ผลที่ตามมามันก็จะเลวร้ายมากกแน่นอน
พวกเขานั้นได้ลงทุนทรัพยากรจำนวนมากเพื่อซ่อมแซมส่วนหนึ่งของป้อมปราการแสงดาว หากพวกเขาต้องต่อสู้ในศึกใหญ่อีกครั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขานั้นจะสูญเปล่าไปเลย และพวกเขาก็จะไม่สามารถเตรียมตัวรับการมาถึงของมหาอำนาจต่างๆได้
“เร็ว ดูนั่นสิ !!! มีบางอย่างอยู่เหนือหอคอยอัญเชิญ !!!”
“มันมีรอยแยกมิติปรากฎขึ้น ?”
“ทำไมถึงมีรอยแยกมิติปรากฎขึ้นเหนือหอคอย ?”
ผู้เล่นทั้งหมดในป้อมปราการนั้นรับรู้ได้ถึงสิ่งนี้ทันที และเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็ยิ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและสับสนมากขึ้น
ทันใดนั้นมันก็มีลำแสงพุ่งออกมาจากรอยแยก และร่างๆหนึ่งก็ปรากฎตัวออกมาตรงหน้าของพวกเขาทั้งหมด และเมื่อพวกเขาได้มองเห็นอย่างชัดเจนขึ้น สิ่งที่พวกเขาเห็น มันก็ทำให้พวกเขาตกตะลึงมากๆ
“มังกร ?!”
ตอนที่ 2474
ตกใจทั้งป้อมปราการ
“ทำไมถึงมีมังกรปรากฎตัวขึ้น ?” การแสดงออกของฟิธาเลียมืดมนลง เมื่อเธอเห็นมังกรศักสิทธิ์บินลงมาจากท้องฟ้า
เธอนั้นเคยเห็นมังกรมาก่อนเป็นการส่วนตัวในระหว่างการทำเควส และเธอก็มั่นใจเลยว่ามันเป็นดั่งสิ่งมีชีวิตแห่งหายนะและภัยพิบัติ ไม่ต้องพูดถึงผู้เล่นและ NPC เลย แม้แต่เมือง NPC ขนาดใหญ่บางส่วนก็ยังไม่สามารถจะยืนหยัดต่อต้านมังกรได้ด้วยซ้ำ
เธอนั้นได้เฝ้าดูมังกรแห่งความมืดทำลายเมืองชายแดนของจักรวรรดิ และทำลายล้างกองกำลังเสริมที่จักรวรรดิส่งมา โดยที่ผู้เล่นอย่างเธอนั้นไม่มีอำนาจจะทำอะไรได้เลย แถมกองกำลังเสริมที่จักรวรรดิส่งมายังนำโดย NPC ขั้นสี่ที่แข็งแกร่งด้วย
หากวิหารเทพแห่งสงครามในจักรวรรดิไม่ได้ส่งกำลังเสริมเข้ามาทันเวลา และทำให้กองกำลัง NPC สามารถเอาชนะมังกรแห่งความมืดได้ มังกรแห่งความมืดตัวนี้จะเริ่มสังหารแม้กระทั่งผู้เล่นโดยรอบแน่นอน
นอกเหนือจากฟิธาเลียแล้ว สมาชิกเผ่าศักสิทธิ์ทุกคนในป้อมปราการแสงดาวต่างก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกมากเช่นกัน
พวกเขาส่วนใหญ่อาจยังไม่เคยเห็นมังกรแสดงพลังที่แท้จริง แต่พวกเขาทุกคนก็ล้วนรู้ดีว่ามังกรนั้นน่ากลัวมากขนาดไหน หลังจากได้เห็นข้อมูลของออร์เบ็ค
เลเวลหนึ่งร้อยสิบเอ็ดของออร์เบ็คนั้นไม่ได้จัดว่ามีอะไรพิเศษ อย่างไรก็ตามมัมี HP มากกว่าหนึ่งหมื่นล้านได้ยังไงกัน ?
และด้วยพลังป้องกันที่น่าทึ่งของมังกร พวกเขาจะไม่มีวันเอาชนะสกิลฟื้นฟูในระหว่างการต่อสู้ของออร์เบ็คได้เลย แม้ว่าออร์เบ็คจะยืนอยู่นิ่งๆและอนุญาติให้ผู้เล่นนับหมื่นโจมตีมันก็ตาม
เมื่อเทียบกับ HP ที่น่ากลัวมากของออร์เบ็คแล้ว แรงกดดันของมังกรที่แผ่ออกมานั้นมันก็เกือบจะเป็นอันตรายถึงชีวิตต่อเหล่าสมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์เลย พวกเขานั้นล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์โชกโชนและผ่านการต่อสู้มาหลายร้อยครั้ง อย่างไรก็ตามเมื่อถูกปกคลุมไปด้วยออร่ามังกร พวกเขานั้นรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าและไร้พลังไปเลย ในสภาพนี้จะโชคดีมาก ถ้าพวกเขาสามารถรรวบรวมพลังสำหรับการหนีได้ ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้เลย
“ทำไมเรื่องนี้มันถึงเกิดขึ้น ?” แม๊คอาฟรี่นั้นกล่าวอย่างสิ้นหวัง ในขณะที่เขามองไปยังมังกรศักสิทธิ์ตรงหน้า
เช่นเดียวกับฟิธาเลีย เขานั้นเคยเห็นพลังของมังกรมาก่อน ผู้เล่นในปัจจุบันนั้นแทบไม่มีความหวังที่จะเอาชนะสิ่งมีชีวิตแบบนี้ได้เลย แม้ว่าพวกเขาจะยังมีฮีโร่ขั้นสี่อยู่ แต่พวกเขาก็ไม่มีโอกาสจะต่อสู้กับมังกรตัวนี้ได้แน่นอน
อย่างไรก็ตามเผ่าศักสิทธิ์ก็ได้ใช้ทั้งทรัพยากรและกำลังคนจำนวนมากเพื่อรับเอาสถานที่พักกิลชั่วคราวในป้อมปราการแสงดาวมา นี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่พวกเขาทำการตกแต่งพวกมันใหม่ทั้งหมดด้วย ซึ่งการจะต้องสูญเสียมันไปไม่ใช่อะไรที่จะสามารถรับได้เลย
“เราไม่มีทางเลือก แม๊คอาฟรี่ แจ้งผู้เล่นขั้นสามทุกคน และบอกให้พวกเขาเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ ฉันจะพยายามดึงดูดความสนใจของมังกรไว้ ในขณะที่นายพาทุกคนออกจากป้อมปราการ และเมื่อเราได้พูดคุยประชุมวางแผนกันแล้ว เราค่อยมาล่อมันออกไป” ฟิธาเลียกล่าวพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่เธอเตรียมพร้อมรับการต่อสู้ที่ไม่มีทางชนะ
พวกเขานั้นรู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถจะเทียบกับมังกรได้ แต่อย่างไรก็ตามถ้าออร์เบ็คไม่ได้มาที่นี่เพ่อยึดป้อมปราการ พวกเขาก็น่าจะร่างแผนคร่าวๆเพื่อล่อมันออกไปได้
“ราคาของเรื่องนี้มันจะไม่สูงเกินไปหน่อยงั้นหรอ ผู้บัญชาการฟิธาเลีย …” แม๊คอาฟรี่หน้าซีดเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำสั่ง
ฟิธาเลียนั้นต้องการจะล่อมังกรออกจากป้อมปราการ อย่างไรก็ตามแม้แต่ผู้เล่นทั่วไปนั้นก็รู้ดีว่าออร์เบ็คน่าจะสามารถฆ่าผู้เล่นขั้นสามได้ในการโจมตีเดียว อย่างไรก็ตามกับตั้งใจจะใช้ชีวิตเหล่าผู้เล่นของเผ่าศักสิทธิ์ โดยเฉพาะผู้เล่นขั้นสามเป็นเหยื่อล่อ
ตอนนี้ผู้เล่นขั้นสามของมหาอำนาจต่างๆนั้นก็ล้วนเร่งรีบเก็บเลเวลกันอย่างมาก หากพวกเขาเสียสละผู้เล่นขั้นสามของกิลจำนวนมากในตอนนี้ เผ่าศักสิทธิ์นั้นจะต้องพบว่าตัวเองเสียเปรียบเมื่อทำการแข่งขันกับมหาอำนาจต่างๆในภายหลัง
“นี่เป็นทางเลือกเดียวของเรา” ฟิธาเลียกล่าว “ถ้าเราไม่ล่อมังกรออกจากป้อมปราการ ทุกอย่างที่เราลงทุนไปจนถึงตอนนี้มันจะสูญเปล่า และตราบใดที่เราสามารถล่อมังกรออกไปได้ เราก็สามารถที่จะชดเชยความสูญเสียของเราได้ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆในป้อมปราการแสงดาว”
“ฉันเข้าใจแล้ว” แม๊คอาฟรี่กัดฟันของเขา ขณะที่เริ่มติดต่อผู้เล่นขั้นสามทั้งหมดที่อยู่ในป้อมปราการ
ตามที่ฟิธาเลียได้กล่าวไว้ เลเวลที่พวกเขาต้องเสียสละเพ่อล่อออร์เบ็คให้ออกไปนั้นจะนับว่าไม่มีอะไรเลย หากพวกเขายังสามารถยืนหยัดยึดป้อมปราการแสงดาวต่อได้ เพราะท้ายที่สุดป้อมปราการนี้จะมอบข้อได้เปรียบอย่างมากมายให้แก่พวกเขา
ทันใดนั้นคริมสันวิชก็หยุดชะงักและชี้ไปที่มังกรศักสิทธิ์ด้วยความประหลาดใจ “ผู้บัญชาการฟิธาเลีย ดูเหมือนว่าจะมีผู้เล่นอยู่บนหลังของมังกรศักสิทธิ์ !!!”
“ผู้เล่น ? เป็นไปได้ยังไงกัน ?” ชั่วขณะหนึ่งฟิธาเลียนั้นคิดว่าคริมสันวิชเห็นภาพหลอน
พวกเขากำลังพูดถึงมังกรขั้นสี่ แม้ว่ามันจะยังเป็นเพียงมังกรเด็ก แต่มันก็คงจะไม่ยอมลดระดับตัวเองมาทำหน้าที่เป็นพาหนะให้ใครแน่ นี่ไม่ต้องพูดถึง NPC ขั้นสี่เลย แม้แต่ NPC ขั้นห้าก็ยังยากจะมีมังกรเป็นพาหนะ
อย่างไรก็ตามในดินแดนของ God domain นั้น มันมีตัวตนที่รู้จักกันในนามอัศวินมังกรที่สามารถเลี้ยงดูและจับมังกรได้ โดยมังกรที่พวกเขาเลี้ยงนั้นล้วนเริ่มต้นมาจากตอนเป็นทารกและอยู่ในขั้นสามเลย และอัศวินมังกรเหล่านี้ก็จัดว่ายืนอยู่ในจุดสูงสุดของ God domain ซึ่งแม้แต่จักรพรรดิก็ยังต้องเคารพพวกเขาเลย
แต่อย่างไรก็ตามการจะขี่มังกรให้ได้ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของผู้เล่นนั้น มันยังเป็นได้แค่ความฝัน !!!
อย่างไรก็ตามทันทีที่ฟิธาเลียพูดจบ และหันไปมองยังมังกรศักศิทธิ์อีกครั้ง ภาพที่เธอเห็นมันก็ทำให้เธอตกตะลึงมากๆ
เธอนั้นสามารถเห็นว่าใครบางคนยืนอยู่บนหลังของออร์เบ็คได้อย่างชัดเจน และแม้ว่าเธอจะไม่สามารถบอกได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใครอันเนื่องมาจากออร่า และแสงจ้าที่ออร์เบ็คแผ่ออกมา แต่เธอก็สามารถมองเห็นเครื่องหมายสีเขียวรูปเพชร ซึ่งเมื่อแต่พียงผู้เล่นเท่านั้นที่จะมีลอยอยู่เหนือหัวของร่างนี้
อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะทันได้หายจากอาการตกตะลึง ออร์เบ็คก็ค่อนๆบินร่อนลงมา
เมื่อมังกรศักสิทธิ์เข้ามาใกล้พื้นที่นั้น เครื่องหมายสีเขียวรูปเพชรมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น และไม่นานนักผู้เชี่ยวชาญขั้นสามคนอื่นๆในป้อมปราการก็สามารถสังเกตเห็นเรื่องนี้ได้เช่นกัน
“เป็นไปได้ยังไงกัน ?! ผู้เล่นสามารถขี่มังกรได้จริงๆงั้นหรอ !!”
“นั่นใครกัน ?”
ความประหลาดใจและความสับสนนั้นเข้าครอบงำทุกคน ขณะที่พวกเขาจ้องมองไปยังร่างที่ยืนอยู่บนหลังของออร์เบ็ค
“ผู้บัญชาการฟิธาเลีย มันกำลังเข้ามาหาพวกเรา” คริมสันวิชอุทาน เมื่อเธอรู้ว่าออร์เบ็คกำลังบินมายังทิศทางที่พวกเขาอยู่
ในตอนที่ออร์เบ็คปรากฎตัวขึ้นครั้งแรก มังกรศักสิทธิ์นั้นอยู่ไกลเกินกว่าที่เธอจะสามารถสังเกตเห็นอะไรได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามมันก็โชคดีที่เธอนั้นไม่เหมือนกับผู้เล่นขั้นสอง เธอสามารถต้านทานออร่ามังกรของออร์เบ็คได้ในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ยิ่งออร์เบ็คเข้ามาใกล้เท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงออร่าของมันที่แข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น และตอนนี้แม้แต่การหายใจก็ยังเป็นเรื่องท้าทายเลยทีเดียว
“หวังว่าผู้ที่ขี่มังกรมาจะไม่ใช้ศัตรูนะ !!! ทุกคนเตรียมม้วนคัมภีร์เคลื่อนย้ายทันทีกันไว้ให้พร้อม !!! หากสังเกตเห็นท่าทีที่เป็นปฎิปักษ์แม้แต่นิดเดียว ให้รีบใช้มันหนีทันที !!! ทุกชีวิตที่เราสามารถเซฟเอาไว้ได้จะมีประโยชน์สำหรับการมาแก้ไขสถานการณ์ในอนาคต !!!” ฟิธาเลียเตือนทุกคนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกลัว
หากพวกเขาเพียงแค่ต้องเผชิญหน้ากับมังกรป่า อย่างแย่ที่สุดพวกเขาก็จะสามารถปล่อยให้มันเข้ายึดป้อมปราการแสงดาวไปได้เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกทำลาย อย่างไรก็ตามหากมังกรนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เล่น พวกเขาจะต้องเจอกับปัญหาที่ใหญ่กว่ามาก หากผู้เล่นต้องการ เขาจะสามารถสั่งให้มังกรของเขาฆ่าสมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์ทุกคนในพื้นที่ได้
สมาชิกทั้งหมดในป้อมปราการล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญของเผ่าศักสิทธิ์ แถมยังมีสองกองกำลังหลักของเผ่าศักสิทธิ์ประจำการอยู่ที่นี่ด้วย หากพวกเขาถูกสังหารหมู่กัน ผลที่ตามมามันจะเลวร้ายมากๆแน่นอน
ทุกคนที่อยู่รอบๆฟิธาเลียนั้นได้รีบทำตามคำสั่งทันที ขณะที่คริมสันวิชและพวกระดับสูงของเผ่าศักสิทธิ์คนอื่นๆนั้นก็มีกันถึงม้วนคัมภีร์เคลื่อนย้ายทันที ขั้นสาม ซึ่งเป็นสิ่งที่กิลเตรียมไว้ให้กับพวกเขาสำหรับมาตราการฉุกเฉิน โดยม้วนคัมภีร์พวกนี้มันก็มีค่ามากๆ
ในขณะที่สมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์ในสถานที่พักกิลชั่วคราวเตรียมพร้อมจะหลบหนี ออร์เบ็คก็ได้บินมาถึงที่ด้านบนของอาคาร ซึ่งความเร็วของมันนั้นก็ทำให้ทุกคนไม่ทันตั้งตัวเลย
เมื่อเป็นดังนี้นั้นคริมสันวิชและคนอื่นๆก็รู้สึกสิ้นหวังมาก ตอนนี้พวกเขารู้อย่างชัดเจนแล้วว่าพวกเขาจะไม่สามารถหนีจากมังกรศักสิทธิ์และผู้เล่นที่ขี่มันได้แน่นอน และเพื่อทำให้เรื่องแย่ลงกว่านั้น ตอนนี้มันราวกับว่ามังกรศักสิทธิ์นั้นทำการดึงดูดอากาศและมานาโดยรอบให้ไปอยู่ข้างมันทั้งหมดด้วย ….
“Spatial Imprisonment?! เป็นไปได้ยังไงกัน ?!” ฟิธาเลียนั้นไม่สามารถจะทำอะไรได้นอกจากจ้องมองไปยังมังกรศักสิทธิ์ด้วยความประหลาดใจ ในขณะที่มันค่อยๆร่อนลงมาหาพวกเขา
Spatial Imprisonment นั้นเป็นสกิลที่มีแต่ NPC ที่แข็งแกร่งอย่างมากในขั้นสี่หรือสูงกว่าขึ้นไปเท่านั้นที่จะสามารถใช้ได้ มันไม่ควรจะมีมอนสเตอร์ที่สามารถใช้สกิลนี้ได้
กระนั้นตอนนี้มังกรตัวนี้กับสามารถใช้มันได้ แถมนี่ยังไม่นับรวมเรื่องโดเมนของมันตามธรรมชาติอีก
ตอนนี้พวกเขานั้นไม่มีความหวังจะหลบหนีได้เลย คนแปลกหน้าคนนี้นั้นถือชีวิตพวกเขาอยู่ในมือแล้ว
ในระหว่างที่ฟิธาเลียและคนอื่นๆกำลังรู้สึกสิ้นหวังกับสถานการณ์นี้ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมาที่หูของพวกเขา
“ฉันหวังว่าจะได้พบพวกคุณอยู่แล้ว และก็ต้องบอกเลยว่าโชคดีจริงๆที่พวกคุณอยู่ที่นี่กันทั้งหมด …”
ขณะที่คนที่ขี่มังกรพูด เขาก็กระโดดลงมาจากหลังของออร์เบ็ค
เมื่อได้เห็นผู้เล่นคนนี้ใกล้ๆ ทุกคนต่างก็ตกตะลึงอย่างมาก
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ?!”
ตอนที่ 2475
สั่นสะเทือนทั่วทุกด้าน
เมื่อพวกเขารู้ว่าร่างที่ขี่มังกรศักสิทธิ์ ออร์เบ็คมานั้นเป็นซือเฟิง ความเงียบก็เข้าปกคลุมไปทั่วสถานที่พักกิลชั่วคราว ขณะที่ทุกคนจ้องมองไปยังนักดาบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม๊คอาฟรี่ และคริมสันวิช ซึ่งมองมายังซือเฟิงด้วยปากที่อ้ากว้างจนแทบจะหุบไม่ได้ ทั้งคู่นั้นรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังมองดูสัตว์ประหลาดที่มีความแข็งแกร่งอย่างไร้ขีดจำกัด
เมื่อใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกว่าพวกเขามองเห็นพลังของซือเฟิงแล้ว ในไม่ช้าพวกเขากจะได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่พวกเขารู้มันเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยว
ตัวอย่างเช่นเรือเหาะมังกรสีเลือด และเครื่องมือโดเมนที่ซือเฟิงใช้เป็นตัวอย่าง ซึ่งซือเฟิงมีทั้งเครื่องมือที่สามารถใช้ปราบปรามเบเฮโมทแสงดาว และช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพันธมิตรได้ ซึ่งมหาอำนาจต่างๆนั้นล้วนอยากได้สิ่งของแบบนี้กันอย่างมาก แม้สักชิ้นก็ยังดี แต่ซือเฟิงกับมีพวกมันทั้งหมด ….
ยิ่งไปกว่านั้นซือเฟิงยังยึดป้อมปราการแสงดาวในหุบเขาดาวได้สำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่มหาอำนาจในทวีปด้านตะวันตกนั้นยังไม่มีใครสามารถทำได้เลยในระยะนี้ของเกม ….
และตอนนี้ซือเฟิงก็ยังมีมังกรอีกด้วย ….
มังกรจัดเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังทำลายล้างแทบสูงสุดใน God domain เลย และแม้แต่อาณาจักรกับจักรวรรดิต่างๆของ NPC ก็ยังต้องปวดหัว เมื่อมันปรากฎตัวขึ้น แต่ตอนนี้ซือเฟิงกับมีมันตัวหนึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
แม้ว่าออร์เบ็ค จะยังเป็นเพียงมังกรเด็กขั้นสี่ แต่ความแข็งแกร่งของมันก็มีมากเกินพอแล้วที่จะป้องกันมหาอำนาจต่างๆจากการเข้าโจมตีป้อมปราการแสงดาว
“นี่คือเหตุผลที่เขามั่นใจมากสินะ …” ตอนนี้ฟิธาเลียเริ่มจะเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว ในขณะที่เธอมองไปยังมังกรด้านหลังของซือเฟิง ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมซือเฟิงถึงปฎิเสธข้อเสนอของเธอทันควัน เมื่อได้รู้ว่ามหาอำนาจในทวีปด้านตะวันตกอาจรวมตัวกันโจมตีป้อมปราการแสงดาวได้
ในเมื่อมีออร์เบ็คอยู่ที่นี่ มันจะเป็นการฆ่าตัวตายแน่นอน หากผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆกล้าจะก่อความวุ่นวายในป้อมปราการแสงดาว พวกเขาจะไม่มีโอกาสหนีด้วยซ้ำ หากออร์เบ็คมองเห็นพวกเขา
ไม่นานหลังจากที่ซือเฟิงมาถึงสถานที่พักกิลชั่วคราวของเผ่าศักสิทธิ์พร้อมกับออร์เบ็ค เหล่าสายลับที่มหาอำนาจต่างๆฝังไว้ในเผ่าศักสิทธิ์ก็เริ่มรายงานกลับไปยังหัวหน้าของพวกเขา
“เป็นไปได้ยังไงกัน ?! เรากำลังพูดถึงมังกรกันนะ !!!”
“ผู้เล่นจะควบคุมมอนสเตอร์ที่ทรงพลังแบบนี้ได้ยังไงกัน ?!!”
เมื่อลูกน้องของพวกเขารายงานเรื่องนี้มา พวกระดับสูงที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ของมหาอำนาจต่างๆก็ล้วนคิดว่าลูกน้องของพวกเขานั้นลายเป็นคนทรยศที่พยายามจะหลอกล่อพวกเขาด้วยข้อมูลเท็จเพื่อไม่ให้พวกเขาเข้าโจมตีป้อมปราการแสงดาว
อย่างไรก็ตามในเวลาเดียวกันนั้น พวกระดับสูงก็ยังคงได้รับรายงาที่คล้ายคลึงกันจากสายลับคนอื่นๆทั้งหมดของพวกเขาในเผ่าศักสิทธิ์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางจะปฎิเสธความจริงข้อนี้ได้ เพราะมันไมามีทางเลยที่สายลับของพวกเขาจะแปรพักตร์ทั้งหมดในคราวเดียว
เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเพิ่มเติมและเข้าใจถึงสถานการณ์ของป้อมปราการแสงดาวมากขึ้น พวกเขากระทั่งแอบจ่ายเงินจำนวนมากอย่างลับๆเพื่อเปลี่ยนสมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์บางส่วนให้หันมาอยู่ข้างพวกเขา และโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาก็มั่นใจว่าไม่มีผู้คนใดที่พวกเขาติดสินบนรู้เรื่องของกันและกัน เพราะท้ายที่สุดพวกเขาได้ป้องกันเรื่องนี้ไว้เสมอเพื่อไม่ให้ผู้เล่นร่วมมือกันส่งข้อมูลเท็จมาให้พวกเขาที่อาจเอื้อประโยชน์ต่อเผ่าศักสิทธิ์
แม้รายงานนี้จะไม่น่าเชื่อ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจะปฎิเสธความจริงได้ หลังจากได้รับรายงานจากสายลับมากกว่าสิบคน ….
ซึ่งเมื่อพวกเขาตรวจสอบข้อมูลแล้ว มันก็ได้ทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่วมหาอำนาจต่างๆเลยทีเดียว
มหาอำนาจบางส่วนที่วางแผนจะเข้าโจมตีป้อมปราการนั้นก็เริ่มลังเลแล้ว ตอนนี้พวกเขาเริ่มจะคิดแล้วว่าพวกเขาควรจะร่วมมือกับมหาอำนาจกลุ่มอื่นเพื่อจัดการกับซือเฟิง และเผ่าศักสิทธิ์รึปล่าว ….
ก่อนที่มังกรจะปรากฎตัวขึ้นนั้น พวกเขามีความแน่ใจเก้าสิบเปอเซ็นต์ว่าพวกเขาจะสามารถเข้ายึดป้อมปราการแสงดาวได้ และแม้ว่าพวกเขาจะล้มเหลว พวกเขาก็มั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถทำให้ป้อมปราการแสงดาวไม่สามารถมีใครเข้ามาอยู่ได้ แม้ว่าเผ่าศักสิทธิ์จะส่งผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดของตัวเองมาปกป้องก็ตาม
อย่างไรก็ตามตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไป
หากพวกเขาพยายามเข้ายึดป้อมปราการที่มีมังกรขั้นสี่เป็นผู้พิทักษ์ พวกเขาจะต้องได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ผู้เล่นในปัจจุบันนั้นแทบไม่มีโอกาสจะสร้างรอยขีดข่วนให้กับมังกรที่แท้จริงขั้นสี่ได้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงการฆ่ามันเลย ซึ่งนี่เป็นความจริงที่มหาอำนาจต่างๆนั้นได้รู้มานานแล้ว นับตั้งแต่ที่ God domain เปิดตัวมา มังกรหลายตัวนั้นได้รับทำลายเมืองชายแดนของ NPC ไปเป็นจำนวนมาก และที่ทวีปด้านตะวันตกก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามอนสเตอร์พวกนี้มันยิ่งอันตรายกว่าทวีปด้านตะวันออกมาก
แน่นอนว่าหากพวกเขายอมแพ้ในตอนนี้ พวกเขาก็จะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการจะหาโอกาสอีกครั้งเพื่อเข้ายึดป้อมปราการแสงดาว ป้อมปราการแสงดาวนั้นพึ่งถูกยึดได้เมื่อไม่นานมานี้ และแม้ว่าเผ่าศักสิทธิ์จะใช้ทั้งกำลังคนกับทรัพยากรจำนวนมากเพื่อเร่งซ่อมแซม และวางโครงสร้างการป้องกันของป้อมปราการ แต่กิลนั้นก็ยังไม่สามารถจะทำได้อย่างสมบูรณ์แบบในช่วงเวลาสามวันสั้นๆ ดังนั้นเวลานี้มันจึงเป็นเวลาที่ป้อมปราการแสงดาวอ่อนแอที่สุด
หากพวกเขาไม่ทำการโจมตีป้อมปราการแสงดาวในตอนนี้ ความท้าทายมันจะยิ่งเพิ่มขึ้นมากเมื่อเวลาผ่านไป
ในขณะที่มหาอำนาจต่างๆกำลังพิจารณาถึงการเคลื่อนไหวต่อไปของพวกเขา ทีมสามร้อยคนก็ได้เข้าโจมตีค่ายของสิ่งมีชีวิตปีศาจ ในแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหุบเขาดาว
ซึ่งค่ายนี้นั้นไม่เพียงแต่จะมีสิ่งมีชีวิตปีศาจมากกว่าหกพันตัว แต่ทุกตัวยังอยู่ในเลเวลหนึ่งร้อยสิบ แถมมันยังถูกนำโดยมอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย เลเวลหนึ่งร้อยสิบสองอย่างราชันแมงป่องแปดตาด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นแบบนี้ แต่ทีมสามร้อยคนก็ยังมีข้อได้เปรียบอย่างมากในการต่อสู้
พวกเขานั้นสามารถเข้าครอบงำราชันแมงป้องแปดตาได้เลย ไม่ต้องพูดถึงพวกแกรนลอร์ดกับลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ที่อ่อนแอกว่า เพราะทั้งทีมนั้นสามารถรับมือและสร้างความเสียหายให้กับพวกมันได้อย่างง่ายดายเลย
ทั้งทีมนั้นไม่มีใครตายลงเลยแม้แต่คนเดียว ในตอนที่ราชันแมงป่องแปดตาถูกฆ่า แถมพวกเขายังทิ้งซากศพของพวกสิ่งมีชีวิตปีศาจไว้เกลื่อนพื้นด้วย
“ครั้งนี้เราโชคดีมากจริงๆ ไม่เพียงแต่เราจะพบกับค่ายของสิ่งมีชีวิตปีศาจ แต่ราชันแมงป่องแปดตายังดรอปขวานต่อสู้ระดับอีปิค เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยไว้ด้วย ธันเดอร์ ขวานนี้ควรเป็นของนาย …” ชายร่างผอมในชุดเกราะสีดำสนิทพูดขณะเขายื่นขวานต่อสู้ให้กับชายอีกคนที่สูงเกือบสามเมตร และมีร่างที่ปกคลุมไปด้วยอักษรรูน
ถ้าแม๊คอาฟรี่ได้เห็นทั้งหมดนี้เขาจะต้องประหลาดใจ
เพราะทีมนี้คือกองกำลังนรก ซึ่งจัดเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิโลกใต้พิภพ และสมาชิกทุกคนล้วนเป็นผู้เล่นขั้นสามทั้งหมด แถมพวกเขายังมีมาตราฐานการต่อสู้ที่เทียบเท่ากับแกรนลอร์ดในเลเวลเดียวกันได้เลย
ขณะที่ชายร่างผอมผู้นี้ก็ถูกปกคลุมไปด้วยออร่าที่หนาแน่นและน่าหวาดกลัว ซึ่งมันดูเหมือนกับว่าเขาจะมีพลังเทียบเท่ากับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายในเลเวลเดียวกันเลยทีเดียว
“ผู้บัญชาการ มีรายงานจากพวกระดับสูงเข้ามา พวกเขาบอกว่ามันมีมังกรเด็กขั้นสี่คอยปกป้องป้อมปราการแสงดาวอยู่ และด้วยเหตุนี้มหาอำนาจจำนวนมากจึงได้ละทิ้งความพยายามที่จะโจมตีป้อมปราการไปแล้ว พวกระดับสูงเตือนให้เราระวังในการเคลื่อนไหว …” แอสซาซินชุดดำขั้นสามรายงานชายร่างผอมทันที
“มังกรเด็ก ?” ริมฝีปากของชายร่างผอมขดขึ้นเป็นรอยยิ้ม “น่าสนใจจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม พวกเขาถึงกล้าจะเข้ายึดป้อมปราการแสงดาวโดยไม่สนใจผลที่ตามมา แต่ถ้าพวกเขาคิดว่า พวกเขาจะสามารถหยุดเราได้ พวกเขาก็คิดผิดแล้ว !!!”
มหาอำนาจอื่นๆอาจกลัวมังกรที่ปกป้องป้อมปราการแสงดาว แต่นั่นมันไม่ใช่สำหรับกองกำลังนรก
เหตุนั้นง่ายมาก
มันมีมังกรอยู่เพียงแค่ตัวเดียวในป้อมปราการ แต่กองกำลังนรกนั้นมีสามร้อยคน
หากกองกำลังนรกเข้าไปอาละวาดในป้อมปราการนั้น พวกเขาจะสามารถฆ่าผู้เล่นได้หลายร้อยหรือหลายพันคนก่อนที่มังกรจะมาถึงตัวพวกเขาแน่นอน และพวกเขาก็มั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถหลบหนีจากมังกรไปได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้กลัวอะไรเลย และเอาเข้าจริงพวกเขามีสิทจะลอบเข้ายึดป้อมปราการแสงดาวได้เลยด้วยซ้ำ
“ผู้บัญชาการ ฉันได้รับข้อความสำคัญบางอย่างอีกข้อความหนึ่งมาด้วย ฟิธาเลียได้ขอเจรจากับเรา …” แอสซาซินในชุดดำกล่าวเสริม
“ฟิธาเลีย ?” ชายร่างผอมยิ้มเมื่อได้ยินชื่อนี้ “เนื่องจากเพื่อนเก่าได้เชิญฉันมาอย่างสุภาพแบบนี้ ฉันก็จะต้องแสดงความเคารพที่เหมาะสมที่เธอควรจะได้รับ เตรียมตัวกันได้แล้วทุกคน เราจะมุ่งหน้าไปยังป้อมปราการแสงดาวกัน !!!”
ตอนที่ 2476
มังกรศักสิทธิ์ที่น่าหวาดกลัว
หุบเขาดาว ป้อมปราการแสงดาว :
โดยมีเฮลรัชเป็นผู้นำ ในที่สุดกองกำลังนรกนั้นก็ได้เดินทางมาถึงที่หน้าป้อมปราการแสงดาว หลังจากต่อสู้มานานกว่าห้าชั่วโมง
ป้อมปราการนี้ได้รับการซ่อมแซมไปแล้วราวสองวัน และมันก็ดูไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ป้อมปราการนี้ไม่เพียงแต่จะมีรูปลักษณ์ทางกายภาพใหม่เท่านั้น แต่ตอนนี้วงเวทย์ของมันก็ยังทำงานได้อย่างเต็มที่แล้วเช่นกัน โดยมันมีชั้นของมานานั้นปกคลุมป้อมปราการอยู่ ซึ่งมันก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเลย โดยป้อมปราการนี้ก็เปรียบดั่งโอเอซิศในสภาพแวดล้อมที่มีมานาน้อยมากของหุบเขาดาว นอกจากนี้มันยังมีหมอกจางๆจำนวนมากล้อมรอบป้อมปราการอยู่ซึ่งนี่ทำให้มันดูน่าเกรงขาม และเพิ่มความลึกลับขึ้นอย่างมาก
“ป้อมปราการแห่งนี้นั้นน่าทึ่งมากจริงๆ มานาของมันหนาแน่นมาก หากเราสามารถฝึกฝนที่นี่ได้ในระยะยาว การควบคุมมานาของเราจะดีขึ้นอย่างแน่นอน …”
“นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด ถ้าเราสามารถอยู่และฝึกฝนที่นี่ได้ เราก็จะสามารถปรับปรุงมาตราฐานการต่อสู้ของตัวเองได้ด้วย”
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมพวกระดับสูงถึงขอให้เราเคลื่อนไหว หากเราสามารถยึดป้อมปราการนี้ได้ มันจะช่วยเพิ่มความเร็วในการพัฒนาของสมาชิกภายในและแกนหลักของเราได้อย่างมาก และเราก็จะไม่ต้องมานั่งแข่งขันเพื่อเข้าสู่ดินแดนลับหมอกปีศาจทุกสัปดาห์ !!!”
เมื่อสมาชิกของกองกำลังนรกมองไปยังป้อมปราการแสงดาว ดวงตาของพวกเขาก็เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น
ทวีปด้านตะวันตกนั้นขาดแคลนมานาอย่างมาก ซึ่งนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้พื้นที่ที่มีความหนาแน่นของมานาสูงนั้นตกเป็นเป้าหมายของมหาอำนาจต่างๆ ผู้เล่นนั้นจะสามารถปรับปรุงความสัมพันธ์กับมานาได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในพื้นที่เหล่านี้เท่านั้น และพวกเขาก็จะมีจิตใจที่กระจ่างชัดมากขึ้นในการฝึกฝน โดยนี่จะช่วยให้ผู้เล่นควบคุมมานาได้ดีขึ้นมากๆ
ด้วยเหตุนี้เมื่อใดก็ตามที่ผู้เล่นค้นพบพื้นที่ที่มีมานาหนาแน่น มันจึงมักจะเกิดสงครามระหว่างกิลตามมาในไม่ช้า และแม้แต่มหาอำนาจต่างๆก็จะกระโจนมาเข้าร่วม
จากสภาพแวดล้อมที่มีมานาหนาแน่นที่เหล่าสมาชิกของกองกำลังนรกเคยเผชิญมาก่อนหน้านี้นั้น พวกเขาสามารถบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่า มันมีอะไรอะไรจะเทียบกับป้อมปราการแสงดาวได้แน่นอน และมานาที่หนาแน่นของป้อมปราการแสงดาวนี้ก็จะจัดว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถ
“ผู้บัญชาการเผ่าศักสิทธิ์นั้นดูมีท่าทีแปลกๆ พวกเขาใช้แค่ทีมเดียวเท่านั้นเฝ้าประตูหน้าอยู่ พวกเขาไม่แม้แต่จะส่ง NPC ขั้นสามมาเฝ้าด้วย นี่พวกเขาไม่กลัวว่าผู้เล่นคนอื่นจะลอบเข้ามางั้นหรอ ?” แรนเจอร์ขั้นสามในชุดเกราะหนังสีน้ำเงินกล่าวแสดงความเห็น เมื่อเขาเห็นว่ามีผู้เล่นขั้นสองเพียงหกคนเท่านั้นที่เฝ้าทางเข้าป้อมปราการแสงดาวอยู่
ในทวีปด้านตะวันตกนั้น กิลที่เข้ายึดครองเมือง หรือป้อมปราการของ NPC ได้ พวกเขาล้วนแล้วแต่ส่ง NPC องครักษ์ส่วนตัวขั้นสามเข้ามาประจำการไว้ที่เมืองหรือป้อมของพวกเขาทั้งหมด และโดยเฉพาะกับประตูหน้าที่มักจะมีการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่เสมอ เพราะมันจัดเป็นจุดอ่อนเลย แม้จะมีวงเวทย์ป้องกันอยู่ก็ตาม
หากทีมใดเลือกจะโจมตีประตูหน้าก่อนที่กลไกการป้องกันประตูจะทำงาน พวกเขาจะสามารถทำลายประตูและเปิดทางเข้าสู่ป้อมปราการเพื่อบุกได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วองครักษ์ส่วนตัวที่เป็น NPC ขั้นสามจำนวนมากมายจึงมักจะถูกส่งมาปกป้องประตูหน้า
อย่างไรก็ตามเผ่าศักสิทธิ์กับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม กิลไม่ได้ส่ง องครักษ์ส่วนตัวที่เป็น NPC ขั้นสามแม้แต่คนเดียวมาปกป้องประตูหน้า แถมยังไม่มีเหล่าผู้เล่นขั้นสามด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผู้เล่นขั้นสองแค่หกคนเฝ้าอยู่ที่ประตูหน้า ซึ่งมันไม่ต่างจากการที่เผ่าศักสิทธิ์กำลังเรียกร้องให้มหาอำนาจอื่นๆเข้าโจมตีพวกเขาเลย
แม้ว่ากิลจะไม่กังวลที่จะถูกทำลายประตูหน้า แต่บริเวณนี้ก็ยังคงจัดว่าเป็นสถานที่สำคัญ
ผู้เล่นนั้นจะต้องทำการจ่ายค่าเข้าป้อมปราการที่ประตูหน้าซะก่อน และเงินเหล่านี้นั้นก็จะถูกเก็บไว้ที่คลังเก็บของบริเวณประตูหน้า ก่อนที่มันจะถูกเคลื่อนย้ายไปยังคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองตามเวลาที่กำหนด
หากมีผู้เล่นคิดไม่ซื่อขโมยเงินระหว่างการเคลื่อนย้าย หรือปล้นคลังเก็บของบริเวณประตูหน้า ผู้ปกครองนั้นก็จะต้องเจอกับปัญหาใหญ่ในด้านความปลอดภัย
“นั่นไม่ใช่เรื่องของเรา เตรียมตัวให้พร้อมทุกคน เราจะเข้าไปด้านในกัน” เฮลรัชกล่าว เขาไม่ได้สนใจการกระทำที่ดูประมาทของเผ่าศักสิทธิ์
เท่าที่เขาคิดตอนนี้คือเรื่องนี้นั้นมันไม่สำคัญเลย ต่อให้มีผู้เล่นขั้นสาม และ NPC ขั้นสามจำนวนมากมาเฝ้าอยู่ที่ประตูหน้า กองกำลังนรกก็จะยังคงสามารถทำลายประตูหน้าได้อยู่ดี และเมื่อประตูหน้าถูกทำลายลง มันก็จะไม่มีอะไรที่จะสามารถหยุดพวกเขาได้
เมื่อได้ยินคำสั่งดังนี้ เหล่าสมาชิกของกองกำลังนรกก็ทำการเรียกอะเม้าท์ขั้นสูงของพวกเขาอย่างอะเม้าท์ม้าเขาเวทย์มนต์ออกมา ก่อนที่จะพุ่งเข้าสู่บริเวณประตูหน้าของป้อมปราการแสงดาว
อย่างไรก็ตามแม้จะเห็นดังนี้ทีมที่เฝ้าประตูหน้าอยู่ก็ยังคงเฉยเมย พวกเขานั้นดูเหมือนจะไม่กลัวและตื่นตระหนกใดๆเลย เมื่อเห็นกองกำลังนรกใกล้เข้ามา ตรงกันข้าม พวกเขากับเดินเข้าหา และมาพูดคุยกับเฮลรัชอย่างใจเย็น
“บอกฉันหน่อยว่าพวกคุณทั้งหมดมาที่นี่ทำไม ?” การ์เดี้ยนไนท์ขั้นสอง เลเวลหนึ่งร้อยห้ากล่าวถามอย่างไม่เกรงกลัว “ป้อมปราการนั้นยังคงถูกผนึกอยู่ และผู้เล่นที่ไม่ได้รับเชิญจะไม่มีสิทก้าวเข้าสู่ป้อมปราการ”
“เราได้รับคำเชิญจากผู้บัญชาการฟิธาเลีย คุณสามารถไปแจ้งให้เธอทราบก่อนก็ได้ว่ากองกำลังนรกมาถึงแล้ว” เฮลรัชกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ขณะที่มองไปยังสมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์ทั้งหกตรงหน้าเขา
“อ้อ คุณเป็นแขกของผู้บัญชาการฟิธาเลียนี่เอง …. ฉันจะติดต่อเธอเพื่อขอคำอนุมัติทันที โปรดรอสักครู่ …” เมื่อการ์เดี้ยนไนท์ขั้นสองผู้นี้ได้ยินดังนี้ เขาจึงรีบติดต่อฟิธาเลียเพื่อขอคำอนุญาติให้กองกำลังนรกสามารถเข้าสู่ป้อมปราการได้
ไม่นานหลังจากที่การ์เดี้ยนไนท์ผู้นี้รายงานไป เขาก็หันกลับมาร่ายเวทย์ ขณะที่เฝ้ามองไปยังกองกำลังนรก และเมื่อเขาร่ายเวทย์เสร็จ เครื่องหมายรูนก็ปรากฎขึ้นที่หลังมือของสมาชิกกองกำลังนรกทุกคน
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกคุณได้รับอนุญาติให้เข้าสู่ป้อมปราการแสงดาวเป็นการชั่วคราวแล้ว” การ์เดี้ยนไนท์ขั้นสองแจ้งแขก จากนั้นเขาก็เตือนพวกเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกคุณจะเข้าไป ฉันมีบางอย่างจะต้องแจ้งให้พวกคุณทราบ”
“ตอนนี้มังกรนั้นกำลังพักผ่อนอยู่ในป้อมปราการ และมานาของมันก็ยังไม่เสถียรเต็มที่ ดังนั้นเมื่อพวกคุณเข้าไปในป้อมปราการ ฉันหวังว่าพวกคุณจะไม่ก่อให้เกิดความปั่นป่วนมากเกินไปนัก และคุณก็ไม่ควรทำให้มังกรโกรธ เพราะหากมันตัดสินใจจะลงมือ แม้แต่พวกเราก็ไม่สามารถจะหยุดมันได้ ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจ”
เมื่อได้ยินคำเตือนแบบนี้ของการ์เดี้ยนไนท์ขั้นสอง สมาชิกของกองกำลังนรกทุกคนก็ยิ้มออกมาอย่างสนุกสนาน และไม่ได้หวาดกลัวเลย พวกเขานั้นรู้สึกว่าการ์เดี้ยนไนท์ผู้นี้กำลังพยายามทำให้พวกเขากลัว
แต่พวกเขาเป็นใครกัน ?
พวกเขานั้นเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิโลกใต้พิภพ !!!
พวกเขานั้นพบกับมังกรบ่อยกว่ามหาอำนาจอื่นๆอย่างมาก และพวกเขาก็รู้ดีว่ามังกรขั้นสี่นั้นทรงพลังมากขนาดไหน
พวกเขานั้นมั่นใจมากว่าจะสามารถฆ่ามังกรได้หนึ่งตัวในการเผชิญหน้า ไม่ต้องพูดถึงการหนีรอดจากความโกรธของมันเลย เพราะท้ายที่สุดนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเจอกับอะไรแบบนี้
แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถต่อกรกับมังกรประจำป้อมปราการแสงดาวได้จริงๆ แต่พวกเขาก็ยังมีวิธีหลบหนีการไล่ล่าอีกมากมาย เผ่าศักสิทธิ์นั้นจะประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว หากคิดว่าจะทำให้พวกเขาต้องหวาดกลัวได้โดยการมีมังกรแค่ตัวเดียวประจำป้อมปราการอยู่
“เราเข้าใจแล้ว เราเข้าไปได้เลยใช่ไหม ?” เฮลรัชกล่าวถามอย่างแห้งๆ
“แน่นอน” เมื่อเห็นว่ากองกำลังตรงหน้าของเขาไม่สนใจคำเตือนนั้น การ์เดี้ยนไนท์ก็ทำได้แค่ถอนหายใจเท่านั้น ก่อนจะส่งสัญญาณให้คนของเขาเปิดทางให้กองกำลังนรกเข้าไป
โดยเมื่อได้รับการเปิดทางนั้น กองกำลังนรกก็ทำการขี่อะเม้าม้าเขาเวทย์มนต์สามร้อยตัวของพวกเขาเข้าไปในป้อมปราการทันที โดยมันก็ทำให้เกิดฝุ่นคลุ้งไปในรัศมีหนึ่งร้อยหลา ซึ่งพวกเขานั้นไม่ได้คิดจะรักษาโปรไฟล์ต่ำไว้เลย
อย่างไรก็ตามเมื่อสมาชิกของกองกำลังนรกตรงลึกเข้ามาในป้อมได้นิดเดียว พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล และสมาชิกทุกคนในกองกำลังนั้นก็เคลื่อนไหวได้อย่างยากลำบากมากๆ ในขณะที่บางคนแทบตกจากอะเม้าท์ของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ
“มันเกิดอะไรขึ้นกัน ?”
“ทำไมป้อมปราการถึงมีแรงกดดันมหาศาลขนาดนี้ ?”
คำถามนี้นั้นเกิดขึ้นมาในจิตใจของสมาชิกกองกำลังนรกทุกคนขณะที่พวกเขากำลังต่อสู้กับแรงกดดัน
ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาจะหาคำตอบได้ ร่างมหึมาก็บินลงมาจากเบื้องบน และอะเม้าท์ของพวกเขาเห็นร่างนี้นั้น พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าและตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ตอนนี้มันชัดเจนเลยว่าอะเม้าท์พวกนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังนรกอีกต่อไป
ซึ่งร่างมหึมานี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากมังกรเงินศักสิทธิ์ ออร์เบ็ค
โดยทันทีที่ออร์เบ็คมาปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าของพวกเขา เหล่าสมาชิกของกองกำลังนรกก็ตื่นตระหนกอย่างมาก “Spatial Imprisonment?! ได้ยังไงกัน ?!”
สมาชิกของกองกำลังนรกนั้นรู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าพื้นที่รอบตัวของพวกเขานั้นเหมือนจะถูกแช่แข็ง ซึ่งพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง และการแสดงออกของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวอย่างมาก
ตอนที่ 2477
ความสามารถที่ท้าทายสวรรค์
สมาชิกของกองกำลังนรกนั้นเคยได้ยินเรื่อง Spatial Imprisonment มาก่อน ใยคามเป็นจริงต้องบอกว่าพวกเขาค่อนข้างคุ้นเคยกับความสามารถของสกิลนี้เลย
พื้นที่พิเศษหลายแห่งในทวีปด้านตะวันตกนั้นได้รับผลกระทบจาก Spatial Imprisonment เช่นกัน ซึ่งมันจะทำให้ผู้เล่นไม่สามารถใช้เครื่องมือใดๆได้ และมันก็ไม่ใช่เอฟเฟคที่ประหลาดอะไร
อย่างไรก็ตามตอนนี้ความสามารถของสกิล Spatial Imprisonment กับเป็นหนึ่งในความสามารถแฝงของมังกรตรงหน้าพวกเขา
“อึก !!! ทำไมพวกเขาถึงได้รับพรจากระบบมากมายขนาดนี้ ?! ไม่เพียงแต่พวกเขาจะได้รับมังกรที่ทรงพลังมา แต่มังกรของพวกเขายังใช้ Spatial Imprisonment ได้ด้วย !!! ใครจะไปหยุดมังกรแบบนี้ได้ ?” ธันเดอร์บีสต์ ชายร่างสูงที่มีความสูงเกือบสาปเมตรอดไม่ได้ที่จะก่นด่าสาปแช่งออกมา และเขาก็รู้สึกสูญเสียความมั่นใจที่เขามีก่อนหน้านี้ไปแล้ว
กองกำลังนรกนั้นรู้ดีว่ามังกรทรงพลังมากขนาดไหน เพราะไม่เพียงแต่พวกเขาจะเคยพบกับมังกรมาหลายตัวก่อนหน้านี้ แต่พวกเขายังเคยต่อสู้กับพวกมันอีกจำนวนหนึ่งด้วย นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงกล้าจะเสี่ยงเข้ามายังป้อมปราการแสงดาว แม้ว่าจะรู้ว่ามีมังกรปกป้องอยู่ก็ตาม
อย่างไรก็ตามในบรรดามังกรทั้งหมดที่พวกเขาเคยเจอมานั้น ไม่มีอะไรจะเทียบได้กับมังกรเงินศักสิทธิ์ตรงหน้าพวกเขาเลย มันอาจเป็นเพียงแค่มังกรเด็กขั้นสี่ แต่ออร่าของมังกรที่ออร์เบ็คแผ่ออกมานั้นมันก็ทำให้พวเขาเคลื่อนไหวได้ยากมาก ซึ่งแม้แต่มังกรแห่งความมืดขั้นห้าที่พวกเขาเคยพบก็ยังไม่สามารถทำแบบนี้ได้เลย
เพื่อให้เรื่องแย่ลงออร์เบ็คยังมีความสามารถอย่าง Spatial Imprisonment ที่มีแต่ NPC ขั้นสี่ที่ทรงพลังแค่ไม่กี่คนหรือสูงกว่าเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ กองกำลังนรกนั้นไม่มีโอกาสจะต่อต้านศัตรูแบบนี้เลย
เมื่อออร์เบ็คบินลงมาถึงตรงหน้าของกองกำลังนรกนั้น มันก็จ้องมองไปยังกองกำลังนรกอย่างเงียบๆ และเหล่าสมาชิกกองกำลังนรกนั้นก็ตัวแข็งค้างเลยภายใต้การจ้องมองของมังกร จากนั้นออร์เบ็คก็ค่อยๆขยับเข้าใกล้เหล่าสมาชิกกองกำลังนรกเข้าไปเรื่อยๆ และยิ่งมันเข้าใกล้มากขึ้นเท่าไหร่ เหล่าสมาชิกกองกำลังนรกก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
สมาชิกของกองกำลังนรกทุกคนตอนนี้เริ่มรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจเข้ามายังป้อมปราการแสงดาวตอนนี้ พวกเขานั้นรู้สึกว่าพวกเขาทำอะไรบุ่มบ่ามเกินไป
หากพวกเขาได้รู้ถึงความแข็งแกร่งของมังกรก่อนจะเข้ามาในนี้ พวกเขาจะไม่ก่อเรื่องแบบนี้แน่นอน
“วูล์ฟ ให้กลุ่มของนายรีบเปิดใช้งานบาเรียมานาเดี๋ยวนี้ !!!” เฮลรัชตะโกนออกคำสั่งใส่แรนเจอร์ขั้นสามที่อยู่ข้างๆเขา หลังจากเขาเห็นสมาชิกหลายคนในกองกำลังเริ่มสิ้นหวัง “แล้วก็พวกที่เหลือใช้โอกาสนี้ล่าถอยเดี๋ยวนี้ !!!”
ออร์เบ็คนั้นแข็งแกร่งกว่าที่เขาคาดไว้มาก แต่เผ่าศักสิทธิ์ก็คงจะทำได้แค่ฝัน หากคิดจะผลักดันให้กองกำลังนรกจนมุมให้ได้ด้วยมังกรแค่ตัวเดียว
อย่างไรก็ตามหากกองกำลังของมหาอำนาจอื่นที่ไม่ใช่กองกำลังนรกมายืนอยู่ตรงนี้ พวกเขาจะหมดสิ้นหนทางแน่นอน
อย่างไรก็ตามกองกำลังนรกนั้นไม่ได้เหมือนกับกองกำลังอื่นๆ
มันไม่มีซุเปอร์กิลทั่วไปกิลใดที่จะสามารถเทียบเคียงกับมรดกและเทคโนโลยีโบราณที่จักรวรรดิโลกใต้พิภพได้รับมาได้
เมื่อได้ยินคำสั่ง แรนเจอร์ในชุดน้ำเงินที่มีชื่อว่า แบล๊ควูล์ฟ พร้อมกับผู้เล่นหลายคนที่อยู่ข้างๆเขาก็ได้กัดฟัน และนำคริสตัลสีเทาเข้มออกมาจากกระเป๋าของพวกเขา จากนั้นพวกเขาก็เริ่มร่ายเวทย์
หลังจากนั้นมานาที่หนาแน่นก็แผ่ออกมาจากแบล๊ควูล์ฟ และพรรคพวก และมันก็ได้สร้างบาเรียสีดำสนิทกลืนกินกองกำลังนรกเข้าไป
เมื่อบาเรียเวทย์มนต์เริ่มเป็นรูปร่าง สมาชิกของกองกำลังนรกก็เริ่มหลุดจาก Spatial Imprisonment ของออร์เบ็ค
เฮลรัชอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อได้เห็นฉากนี้ จากนั้นเขาก็ออกคำสั่งว่า “ดี !! ทุกคนให้รีบใช้ม้วนคัมภีร์วาร์ปกลับเมืองเพื่อถอยกลับทันที !!!”
บาเรียมานานั้นนับเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จักรวรรดิโลกใต้พิภพสร้างขึ้น
บาเรียนั้นไม่สามารถจะใช้ปราบปรามศัตรูของพวกเขาได้ แต่มันก็จะสร้างโดเมนขึ้นในระยะเวลาสั้นๆเพื่อปลดปล่อยผู้เล่นที่อยู่ภายในจากเอฟเฟคจำกัดใดๆ ซึ่งมันจะทำให้ผู้เล่นนั้นสามารถใช้ม้วนคัมภีร์วาร์ปกลับเมืองได้ แม้กระทั่งในพื้นที่ต้องห้าม
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อบาเรียเข้าปกคลุมแล้วแบบนี้ มันยังจะช่วยป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตใดๆสามารถจะเข้ามาได้ด้วย และบาเรียมานานี้ก็นับเป็นเครื่องมือช่วยชีวิตและเครื่องมือป้องกันที่ดีที่สุดใน God domain ตอนนี้เลย
แต่เดิม เฮลรัชนั้นต้องการจะใช้บาเรียมานาในการช่วยโจมตีคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการ แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาไม่ได้สนใจเรื่องนั้นอีกแล้ว
หลังจากที่เหล่าสมาชิกกองกำลังนรกเปิดใช้งานบาเรียมานานี้ ออร์เบ็คก็ได้กวาดกรงเล็บของมันโจมตีเข้าใส่บาเรีย
ตู้ม !!!
เกิดคลื่นกระแทกและแรงสั่นสะเทือนอย่างมหาศาลไปทั่วป้อมปราการแสงดาว ขณะที่กรงเล็บของออร์เบ็คปะทะเข้ากับบาเรียมานา
อย่างไรก็ตามการโจมตีนี้ไม่ได้ทำให้บาเรียแตกออกได้เลย มันสร้างรอยร้าวได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น และมันก็ถูกซ่อมแซมอย่างรวดเร็ว
ฉากนี้ทำให้สมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์ที่เฝ้าดูอยู่ใกล้ๆตกตะลึง พวกเขาไม่คิดเลยว่ากองกำลังนรกจะมีไพ่ที่ทรงพลังแบบนี้
พวกเขานั้นได้เห็นความแข็งแกร่งของออร์เบ็คมาก่อนหน้านี้แล้ว และต่อหน้ามันมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายขั้นสี่ทั่วไปนั้นจัดว่าไร้ค่าเลย
แต่ถึงกระนั้นตอนนี้บาเรียมานาของกองกำลังนรกกับยังสามารถทนได้ หลังจากรับการโจมตีของออร์เบ็คเข้าไป ความแช็งแกร่งของบาเรียนี้นั้นมันมากกว่ากำแพงของป้อมปราการ เมื่อไม่ได้มีการเปิดใช้วงเวทย์ซะอีก
“พวกคุณมีมังกรขั้นสี่แล้วยังไงล่ะ ?! มันยังเร็วไปร้อยปีถ้าคุณคิดว่าจะเชือดไก่ให้ลิงดูโดยใช้กองกำลังนรกน่ะ !!!” ธันเดอร์บีสต์หัวเราะ เมื่อเห็นว่าออร์เบ็คนั้นทำลายบาเรียมานาไม่สำเร็จ
“เอาล่ะ พอเลย !! ป้อมปราการแสงดาวนั้นแข็งแกร่งกว่าที่เราคาดไว้ในตอนแรกมาก เราจำเป็นจะต้องถอยกลับไปปรับเปลี่ยนแก้ไขแผนก่อน แล้วค่อยกลับมา” เฮลรัชเตือนคนของเขา เมื่อตระหนักว่าธันเดอร์บีสต์คิดจะอยู่ต่อ
เขานั้นต้องการที่จะอวดพลังของกองกำลังนรกให้กับฟิธาเลียและสมาชิกคนอื่นๆของเผ่าศักสิทธิ์ได้เห็น อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดฝันมาก่อนเลยว่ามังกรของคนพวกนี้จะทรงพลังจนน่าตกใจ
แม้ว่ากองกำลังนรกตอนนี้จะยังไม่มีความสูญเสียใดๆ แต่พวกเขาก็ได้จ่ายบาเรียมานาไปแล้ว ซึ่งนับเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก
อย่างไรก็ตามแม้ว่าออร์เบ็คจะทรงพลังมาก แต่ถ้าจักรวรรดิโลกใต้พิภพวางแผนการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปอย่างรอบคอบ การเจรจาความร่วมมือกับเผ่าศักสิทธิ์ก็น่าจะพอเป็นไปได้
ขณะที่เฮลรัช และพวกระดับสูงคนอื่นๆของกองกำลัง กำลังจะเปิดใช้งานม้วนคัมภีร์วาร์ปกลับเมือง มันก็เริ่มมีเสียงๆหนึ่งดังขึ้น
“พวกคุณพึ่งจะมาถึงป้อมปราการแสงดาวเอง ทำไมจะรีบจากไปซะล่ะ ?”
เมื่อคำถามนี้ดังขึ้น พื้นที่ภายในป้อมปราการก็ดูเหมือนจะสั่นคลอน หลังจากนั้นมันก็มีโลกหนึ่งปรากฎขึ้นแยกป้อมปราการออกจากโลกภายนอก
ซึ่งในขณะที่โลกนี้เข้ากลืนกินป้อมปราการ โดเมนของบาเรียมานาก็เริ่มหายไป และแม้ว่าบาเรียจะยังคงอยู่ แต่มานาภายในก็เริ่มหายไปแล้ว
วินาทีต่อมา เหล่าสมาชิกของกองกำลังนรกก็ค้นพบว่ามานาโดยรอบนั้นหยุดไหล ซึ่งมันทำให้วงเวทย์จากม้วนคัมภีร์วาร์ปกลับเมืองที่อยู่ใต้เท้าของพวกเขานั้นก็เริ่มแตกสลายไปเช่นกัน
สิ่งนี้มันทำให้สมาชิกกองกำลังนรกตกตะลึงมากๆ
มันเกิดอะไรขึ้นกัน ?
บาเรียมานาก็ยังคงอยู่ แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถใช้ม้วนคัมภีร์วาร์ปกลับเมืองได้
มีบางอย่างระงับผลของบาเรียมานาไว้งั้นหรอ ? แบล๊ควูล์ฟนั้นรู้สึกตกตะลึง เมื่อเขารู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมมานารอบตัวได้อีกต่อไป
บาเรียมานานั้นสามารถที่จะเทียบได้กับสกิลควบคุมพื้นที่เลย เพราะมันทำให้ผู้เล่นใช้เครื่องมือได้แม้ในพื้นที่ที่ถูกห้ามด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามตอนนี้มันกับมีบางอย่างที่ปราบปรามมันไว้ได้ แถมบางอย่างที่ว่านี้มันยังลดค่าสถานะพื้นฐาน และร่างกายทางกายภาพของสมาชิกกองกำลังนรกลงอย่างมาก
เมื่อเข้าใจว่าพวกเขาหมดโอกาสจะเทเลพอร์ตออกจากป้อมปราการแสงดาวแล้ว เหล่าสมาชิกกองกำลังนรกก็อดไม่ได้ที่จะหันไปหาต้นตอของเสียง
เพราะหลังจากที่คนๆนี้เอ่ยคำถามกับพวกเขา การเทเลพอร์ตของพวกเขาก็ถูกระงับ ดังนั้นทุกเรื่องมันจะต้องเกี่ยวข้องกับคนๆนี้แน่นอน
สมาชิกของกองกำลังนรกนั้นพบว่าเสียงนั้นมันดังมาจากบนหลังของออร์เบ็ค อย่างไรก็ตามเนื่องจากมังกรศักสิทธิ์นี้มีการเรืองแสงตามธรรมชาติ พวกเขาจึงไม่สามารถสังเกตเห็นชายคนนี้ได้อย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังคงเห็นว่ามีผู้เล่นคนหนึ่งขี่มังกรศักสิทธิ์อยู่ ….
“คุณคือหัวหน้ากิลสภาสิบแปดปีก แบล๊คเฟรมงั้นสินะ ?” เฮลรัชถามขณะจ้องมองไปยังผู้เล่นที่ขี่หลังของมังกรเงินศักสิทธิ์อยู่
ตอนที่ 2478
รากฐานที่แท้จริง
คำถามของเฮลรัชนั้นทำให้สมาชิกที่เหลือของกองกำลังนรกในบาเรียมานาตกตะลึงอย่างมาก พวกเขาทั้งหมดนั้นจ้องมองไปที่ซือเฟิงด้วยความประหลาดใจ
“นี่เขาเป็นมนุษย์จริงๆงั้นหรอ ?”
พวกเขานั้นเคยได้ยินมาก่อนว่าซือเฟิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับมังกรเงินศักสิทธิ์ แต่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เขาจะสามารถควบคุมมันแถมยังยับยั้งผลของบาเรียมานาได้ด้วย
การมีอำนาจอย่างใดอย่างหนึ่งแบบนี้มันก็จะทำให้มหาอำนาจกลุ่มหนึ่งขึ้นไปอยู่เหนือมหาอำนาจต่างๆอีกจำนวนมากแล้ว เพราะท้ายที่สุดทั้งมังกรและเครื่องมือโดเมนนั้นจัดเป็นสมบัติที่มีค่ามากอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อใช้มันปกป้องเมืองหรือป้อมปราการ เพราะมันจะทำให้การโจมตีของมหาอำนาจอื่นๆนั้นไร้ประโยชน์ไปเลย
แต่ตอนนี้พวกเขากับได้รู้ว่าซือเฟิงนั้นมีพวกมันทั้งสองเลย นี่มันบ้าชัดๆ !!!
“ถูกต้อง ฉันคือแบล๊คเฟรม” ซือเฟิงตอบพลางพยักหน้า
“ฉันไม่คาดคิดเลยว่าคุณจะซ่อนความแข็งแกร่งไว้มากมายขนาดนี้ แค่มังกร พวกระดับสูงของมหาอำนาจต่างๆก็ปวดหัวกับคุณมากแล้ว แต่พลังของคุณนั้นยังไม่ได้จำกัดอยู่แค่มังกรซะด้วย …” เฮลรัชอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นออกมา ในขณะที่เขาพูดและมองไปยังซือเฟิง “กองกำลังนรกขอยอมรับความพ่ายแพ้”
แม้ว่าบาเรียมานาจะยังคงอยู่รอบๆตัวพวกเขา และพวกเขาก็มีไอเทมจำนวนหนึ่งที่จะช่วยป้องกันตัวจากออร์เบ็คได้ชั่วคราว แต่ทุกอย่างมันก็จะจัดว่าไม่มีความหมายเลย หากพวกเขาไม่สามารถเทเลพอร์ตออกจากป้อมปราการแสงดาวได้ และมันก็จะเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่บาเรียมานาของพวกเขาจะหมดลง
ซึ่งหากปราศจากบาเรียคอยปกป้องแล้ว พวกเขาก็แทบไม่มีความหวังที่จะหนีจาก
ออร์เบ็คได้เลย
สำหรับการพยายามเผชิญหน้ากับออร์เบ็คในการต่อสู้นั้นมันจะจัดว่าไร้ผลอย่างมากสำหรับพวกเขา พวกเขานั้นแทบจะไม่สามารถเคลื่อนไหวภายใต้ออร่าและความสามารถของมังกรเด็กตัวนี้ได้ นี่ก็ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้เลย
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือกองกำลังนรกอยู่ในความเมตตาของซือเฟิงอย่างเต็มที่แล้วตอนนี้
ดังนั้นแทนที่จะเสียเวลาไปกับการเสแสร้งเฮลรัชนั้นคิดว่ามันฉลาดกว่าที่เลือกจะยอมแพ้ในทันที
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เฮลรัชพูดจบนั้น ทั้งเขาและทีมของเขาก็ได้ยินเสียงที่ฟังดูนุ่มนวลดังขึ้น
“ผู้บัญชาการรัช ฉันกลัวว่าเราจะเข้าใจผิดกันแล้ว ฉันเชิญคุณมาที่นี่ตามคำขอของหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม และเนื่องจากคุณเป็นแขกของป้อมปราการแสงดาว หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมจึงได้ตัดสินใจจะออกมาต้อนรับคุณด้วยตัวเอง”
ร่างอีกร่างหนึ่งที่ขี่หลังของออร์เบ็คอยู่เช่นกันกล่าวขึ้นมา ซึ่งร่างนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฟิธาเลีย ผู้บัญชาการกองกำลังดีไวน์ไฮม์
“ต้อนรับพวกเราด้วยตัวเอง ?” เฮลรัชกลอกตาของเขา
นี่เดี๋ยวนี้ใครๆเขาใช้มังกรต้อนรับแขกกันแล้วงั้นหรอ ?
ไม่เพียงแต่ซือเฟิงจะขี่มังกรของเขามา แต่เขายังใช้เครื่องมือโดเมนด้วย นี่คนเหล่านี้คิดว่านี่มันเป็นการ “ต้อนรับ” จริงๆงั้นหรอ ?
สมาชิกของกองกำลังนรกที่เหลือเองก็ล้วนมองไปยังฟิธาเลีย และแม้แต่คนโง่ก็ยังจะสามารถบอกได้ว่าการเคลื่อนไหวแบบนี้มันเป็นคำเตือน
อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอดทนกับสิ่งนี้
“นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการพูดคุยของเรา ผู้บัญชาการรัช เชิญเข้าไปในคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการกันเถอะ” ซือเฟิงกล่าวโดยไม่สนใจว่าเฮลรัชนั้นจะเชื่อฟิธาเลียหรือไม่ จากนั้นเขาก็กระโดดลงจากหลังของออร์เบ็ค และยกเลิกสกิลโลกจิ๋ว ก่อนที่จะพาแขกของเขาไปที่คฤหาสถ์
รองผู้บัญชาการหลายคนของกองกำลังนรกมองไปที่ผู้นำของพวกเขาด้วยความสงสัยว่าเฮลรัชจะตอบสนองอย่างไรกับเรื่องนี้
“เนื่องจากเรามาถึงที่นี่แล้ว เราก็น่าจะลองพูดคุยกับพวกเขาดู” เฮลรัชพึมพำกับรองผู้บัญชาการของเขา เขาไม่สามารถจะบอกได้ว่าซือเฟิงเป็นคนอย่างไรและปัจจุบันนักดาบก็กุมชะตากรรมของกองกำลังนรกอยู่ ดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจจะยอมรับคำเชิญนี้
จากนั้นเฮลรัชก็ได้นำรองผู้บัญชาการของเขาเดินตามซือเฟิงไปที่คฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการแสงดาว ในขณะเดียวกันรองผู้บัญชาการของเขาก็ได้สั่งให้สมาชิกที่เหลือของกองกำลังหาที่พักผ่อนก่อนจะตามพวกเขาไป
เมื่อเฮลรัชและรองผู้บัญชาการของเขาเดินตรงไปยังคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองซึ่งตั้งอยู่บริเวณใจกลางป้อมปราการ พวกเขาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงมากๆ เพราะเมื่อพวกเขาเข้าใกล้คฤหาสถ์มากขึ้น พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความหนาแน่นของมานาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกเขานั้นรู้สึกได้ว่ามานารอบตัวพวกเขาหนาแน่นขึ้นสามสิบเปอเซ็นต์แล้ว เมื่อพวกเขามาได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น
การที่มันเพิ่มขึ้นมากถึงสามสิบเปอเซ็นต์นี้ มันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการฝึกของพวกเขาทั้งด้านเทคนิคการต่อสู้ สกิล และเวทย์ขึ้นห้าสิบเปอเซ็นต์เลย โดยการฝึกฝนที่นี่จะให้ผลมากกว่าการฝึกในดินแดนลับที่อยู่ภายใต้การควบคุมจักรวรรดิโลกใต้พิภพซะอีก
“ห้ะ ? สถานที่แห่งนี้มันคืออะไรกัน ?” เฮลรัชถาม เมื่อเขาสังเกตเห็นหอคอยโบราณที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเท่าไหร่นัก
หอคอยนี้นั้นมีเพียงแค่ห้าชั้นเท่านั้น แต่ความหนาแน่นของมานารอบๆมันนั้นเป็นรองแค่คฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเท่านั้น และแม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีมานาสูงของป้อมปราการแสงดาว แต่หอคอยนั้นก็ยังคงดูโดดเด่นอย่างมาก
“มันคือคุกป้อมปราการ” ฟิธาเลียอธิบาย “เป็นจุดที่เราจะจับผู้เล่นที่ก่อปัญหามาขังไว้ มันก็คล้ายกับคุกในเมืองของ NPC นั่นแหละ”
“มันเหมือนกับคุกในเมืองของ NPC งั้นหรอ ?” เฮลรัชนั้นมีสีหน้าเคร่งขรึมมากขึ้น หลังจากได้ยินคำตอบของฟิธาเลีย
รองผู้บัญชาการของเขาเองก็ล้วนจ้องมองไปยังหอคอยนี้ด้วยความหวาดกลัว
หากพวกเขาตายภายในป้อมปราการอย่างมากพวกเขาก็จะสูญเสียเลเวลและอุปกรณ์ไปหนึ่งชิ้นเท่านั้น ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งของกองกำลังนรก พวกเขาจะสามารถฟื้นฟูความเสียหายที่ตัวเองได้รับได้ในเวลาไม่นาน
แต่ไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่อยากจะถูกขัง หลังจากตายไปหนึ่งรอบแล้ว เพราะท้ายที่สุดผลลัพธ์มันจะเลวร้ายยิ่งกว่าการที่พวกเขาตายสามหรือสี่ครั้งติดต่อกัน
เวลานั้นสำคัญกว่าเงินใน God domain โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เล่นชั้นแนวหน้า โอกาสนั้นไม่เคยรอใคร พวกเขาจะมีโอกาสสูงสุดในการเติบโตอย่างแข็งแกร่งก็ด้วยการรักษาตำแหน่งในฐานะผู้เล่นชั้นแนวหน้าของเกมไว้เท่านั้น และพวกเขาก็มีสิทจะพบโอกาสที่หาได้ยากที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาได้เลย หากพวกเขารักษามาตราฐานนี้ไว้ได้
อย่างไรก็ตามหากพวกเขาต้องติดคุกห้าถึงหกวัน พวกเขานั้นก็จะต้องตามหลังผู้เล่นชั้นแนวหน้าคนอื่นๆอย่างมาก และมันก็จะเป็นเรื่องยากมากที่จะตามทัน
มังกร ?
เครื่องมือโดเมน ?
สิ่งเหล่านี้นั้นไม่มีอะไรเลยเมื่อเทียบกับคุกป้อมปราการ
ออร์เบ็คนั้นอาจสามารถทำลายกองกำลังนรกได้ด้วยความช่วยเหลือของเครื่องมือโดเมน แค่สมาชิกในกองกำลังก็จะสามารถฟื้นฟูคืนสู่จุดสูงสุดในเวลาสามถึงสี่วัน และพวกเขาก็อาจแข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมาด้วยซ้ำ
ในทางกลับกันหากต้องใข้เวลาอยู่ในคุกป้อมปราการระยะหนึ่ง ทั้งกองกำลังของพวกเขาจะตกอยู่ในสภาพพิการ และการจะตามกองกำลังชั้นแนวหน้าอื่นๆให้ทันก็จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งถึงสองเดือนเลย
คุกป้อมปราการเพียงอย่างเดียวนั้น มันก็มากเพียงพอแล้วที่จะยับยั้งไม่ให้มหาอำนาจต่างๆเลือกจะเข้าโจมตีป้อมปราการแสงดาว
ในขณะเฮลรัชและรองผู้บัญชาการของเขาแอบวางแผนจะตรวจสอบคุกป้อมปราการ พวกเขาก็ได้มาถึงคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครอง
ตอนนี้คฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการนั้นได้รับการซ่อมแซมอย่างสมบูรณ์แล้ว และมันก็ดูเหมือนกับปราสาทจากนิยายแฟนตาซี มันมีออร่าลึกลับโบราณและมานาที่หนาแน่นนั้นล้อมรอบปราสาทอยู่ และมันก็จัดว่ามีมานาที่หนาแน่นเหนือกว่าส่วนที่เหลือของป้อมปราการอย่างมากด้วย ชั่วขณะหนึ่งตอนนี้เฮลรัช และคนอื่นๆนั้นแทบจะอยากอยู่ที่นี่ตลอดไปเลย
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม บอกฉันมาหน่อยได้ไหมคุณว่ามีอะไรจะคุยกับเรา ? ฉันเป็นพวกชอบอะไรตรงๆน่ะ เข้าประเด็นมาได้เลย ไม่ต้องโยกโย้” เฮลรัชกล่าวกับซือเฟิง
อย่างจริงจัง
ตอนนี้เฮลรัชนั้นเข้าใจถึงสถานการณ์ของป้อมปราการแสงดาวแล้ว ในความคิดของเขาการยึดและก่อความวุ่นวายในป้อมปราการนั้นเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับมหาอำนาจต่างๆรวมไปถึงจักรวรรดิโลกใต้พิภพด้วยเช่นกัน เขาไม่สามารถนึกถึงเหตุผลที่ซือเฟิงจะเชิญกองกำลังนรกมาพูดคุยโดยเฉพาะได้เลย
“ตอนนี้คุณได้เห็นป้อมปราการแสงดาวด้วยตัวคุณเองแล้ว และฉันแน่ใจว่าคุณค่อนข้างจะสนใจป้อมปราการนี้ ดังนั้นฉันจึงอยากจะขอเจรจาเป็นพันธมิตรกับคุณ แม้ว่าฉันจะไม่สามารถเสนอสถานที่พักกิลชั่วคราวให้คุณได้ แต่ฉันก็ยินดีจะให้ส่วนลดสี่สิบเปอเซ็นต์สำหรับสมาชิของจักรวรรดิโลกใต้พิภพทุกคนเมื่อทำการใช้จ่ายพื้นฐานภายในป้อมปราการแสงดาว” ซือเฟิงอธิบายพลางหัวเราะเบาๆ
“สี่สิบเปอเซ็นต์ ? นี่คุณจริงจังไหม ?” ข้อเสนอนี้ล่อลวงเฮลรัชทันที
หุบเขาดาวนั้นเป็นดินแดนต้องห้ามที่อยู่ห่างไกลจากอารยธรรมปัจจุบันและการจะเดินทางเข้ามายังที่นี่นั้น มันก็ไม่สะดวกเลย นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้จักรวรรดิโลกใต้พิภพต้องการสถานที่พักกิลชั่วคราวเพียงแห่งเดียวที่มีในป้อมปราการแสงดาว เพราะหากจักรวรรดิโลกใต้พิภพได้รับมันมา สมาชิกของจักรวรรดิโลกใต้พิภพก็จะสามารถเดินทางเข้ามาที่นี่ได้โดยตรง ซึ่งมันจะเป็นการประหยัดเวลาและเงินได้อย่างมาก
แม้ว่าการไม่มีสถานที่พักกิลชั่วคราวจะไม่สะดวก แต่ส่วนลดสี่สิบเปอเซ็นต์สำหรับค่าใช้จ่ายพื้นฐานทั้งหมดในป้อมปราการแสงดาวก็จะช่วยให้จักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้นประหยัดค่าใช้จ่ายในการพัฒนาไปได้มาก
ค่าใช้จ่ายพื้นฐานนั้นมันไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะสิ่งอำนวยความสะดวก เช่นโรงแรม แต่จะรวมไปถึงค่าเข้าสู่ป้อมปราการทุกครั้งด้วย ส่วนลดนั้นจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญหากจักรวรรดิโลกใต้พิภพต้องการส่งผู้เล่นเพียงแค่ไม่กี่ร้อยคนเข้ามาที่นี่ แต่อย่างไรก็ตามถ้ากิลส่งผู้เล่นเข้ามาหลายพันคน ส่วนลดสี่สิบเปอเซ็นต์นี้ก็จะช่วยพวกเขาประหยัดได้อย่างมหาศาล
“แน่นอน” ซือเฟิงพยักหน้า
“คุณต้องการจะให้เราทำอะไร ?” เฮลรัชถาม
เมื่อใช้คุกป้อมปราการ การดำเนินงานของป้อมปราการแสงดาวก็จะไม่มีวันถูกสั่นคลอนได้เลย ซึ่งตามเหตุผลแล้ว สภาสิบแปดปีกและเผ่าศักสิทธิ์นั้นก็ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากจักรวรรดิโลกใต้พิภพในการปกป้องป้อมปราการเลย
“ฉันต้องการจะยืมพลังของกองกำลังนรกเพื่อทำงานบางอย่าง !!!” ซือเฟิงประกาศ
“ยืมพลังของกองกำลังนรก ?” เฮลรัชจ้องมองไปที่นักดาบด้วยความสับสน “คุณต้องการจะให้เราทำอะไร ?”
สภาสิบแปดปีกนั้นเป็นพันธมิตรกับเผ่าศักสิทธิ์ซึ่งเป็นกิลชั้นยอดระดับต้นๆที่แข็งแกร่งกว่าซุเปอร์กิลบางกิลแล้ว มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย หากจะบอกว่าเผ่าศักสิทธิ์นั้นสามารถจะจัดการกับเรื่องส่วนใหญ่ในทวีปด้านตะวันตกได้ ดังนั้นเขาจึงนึกไม่ออกเลยว่าสภาสิบแปดปีกต้องการยืมพลังของกองกำลังนรกไปทำไม ?
“มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก เพียงแต่ว่าฉันต้องการจะเข้าสู่ดันเจี้ยนภูมิภาค โหมดพระเจ้า ในหุบเขาดาวเพื่อไปรับเอาไอเทมบางอย่างน่ะ …” ซือเฟิงกล่าวอย่างใจเย็น
ตอนที่ 2479
ข้อมูลที่น่าตกตะลึงของป้อมปราการแสงดาว
ทุกคนนั้นตกตะลึงเมื่อได้ยินเป้าหมายของซือเฟิง ไม่มีใครคิดว่าเขาจะบ้ามากพอที่จะเข้าสู่ดันเจี้ยนภูมิภาค โหมดพระเจ้าของหุบเขาดาว
ไม่เพียงแต่โหมดพระเจ้าจะจัดเป็นความยากสูงสุดของดันเจี้ยนภูมิภาคใน God domain แต่ดันเจี้ยนภูมิภาคในหุบเขาดาวที่ว่านี้ยังเป็นดันเจี้ยนเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยอีกด้วย แม้ว่าดันเจี้ยนจะมีทรัพยากรมากมายที่จะนำเสนอให้ แต่มันก็มีอันตรายจำนวนมากที่เหนือกว่าสิ่งที่ผู้เล่นในปัจจุบันจะต้องเผชิญในโลกภายนอก
มันมีมหาอำนาจจำนวนหนึ่งได้ส่งทีมผู้เล่นขั้นสามเข้าสู่ดันเจี้ยนนี้เมื่อไม่นานมานี้ แต่ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ถูกบังคับให้ต้องล่าถอยไปในเวลาไม่ถึงสามสิบนาที และสูญเสียสมาชิกไปเกือบครึ่งหนึ่ง และหลังจากการสูญเสียครั้งนี้มหาอำนาจต่างๆก็ได้เลือกจะยอมแพ้ในดันเจี้ยนนี้ชั่วคราว
ดันเจี้ยนนี้ไม่ได้อันตรายแค่เพราะมันมีมอนสเตอร์ที่มีพลังมหาศาลอยู่ภายใน แต่มันยังอันตรายเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่รุนแรงมากด้วย
เมื่ออยู่ในดันเจี้ยนภูมิภาคแห่งนี้ ผู้เล่นจะต้องเผชิญหน้ากับแรงโน้มถ่วงที่สูงขึ้นมาก และแม้แต่ผู้เล่นขั้นสามก็ยังจะต้องดิ้นรน หากต้องการจะเคลื่อนไหวภายใต้แรงโน้มถ่วงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นมอนสเตอร์ที่อยู่ในดันเจี้ยนภูมิภาคแห่งนี้ยังมีมาตราฐานการต่อสู้ที่สูงมาก
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ฉันเองก็หวังจะยอมรับข้อเสนอของคุณ แต่สุสานดาวนั้นมันไม่ใช่ที่สำหรับผู้เล่นในปัจจุบัน ค่าสถานะพื้นฐานของเราอาจจะยังคงเหมือนเดิม เมื่อเข้าไปภายใน แต่สถานที่แห่งนั้นมันก็จำกัดการเคลื่อนไหวของเราอย่างมาก และการต่อสู้กับลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ เลเวลหนึ่งร้อยห้านั้นก็จะนับว่าเป็นความท้าทายมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงแกรนลอร์ด เลเวลหนึ่งร้อยห้าเลย” เฮลรัชอธิบายหลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ
แม้ว่าข้อเสนอของซือเฟิงนั้นจะน่าดึงดูดอย่างมาก แต่ความคิดในการเข้าสู่สุสานดาวนั้นมันเป็นเรื่องตลกชัดๆ
ในขณะที่เข้าไปภายในสุสานดาว ความคล่องตัวของผู้เล่นขั้นสามนั้นจะลดลงมาอยู่ที่มาตราฐานของขั้นหนึ่ง และที่แย่ไปกว่านั้นคือแรงโน้มถ่วงที่เพิ่มขึ้นจะไม่ส่งผลต่อมอนสเตอร์ของดันเจี้ยนด้วย
แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด ….
ที่สำคัญที่สุดคือการผลาญค่าสตามิน่าของผู้เล่นจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในระหว่างการต่อสู้ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงแบบนี้
หากผู้เล่นเข้าไปอยู่ในสุสานดาวนานเกินไป พวกเขาก็อาจจะตายจากการที่ค่าสตามิน่าหมดลงได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นในดันเจี้ยนภูมิภาค โหมดพระเจ้าแห่งนี้ ผู้เล่นยังจะไม่สามารถเทเลพอร์ตออกมาได้ง่ายๆด้วย แม้จะมีบาเรียมานาของจักรวรรดิโลกใต้พิภพก็ตาม
ซึ่งหากพวกเขาไม่ระมัดระวังมากนัก พวกเขาก็อาจถูกสังหารหมู่ได้อย่างง่ายดายเลย
“ฉันเข้าใจถึงความกังวลของคุณ ผู้บัญชาการรัช แต่ถ้าเราทำได้สำเร็จ ฉันยินดีจะจองห้องฝึกมานาแปดห้องในคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการไว้ให้สำหรับจักรวรรดิโลกใต้พิภพเพียงกิลเดียวเลย และแน่นอนว่าเราก็จะสามารถคำณวนค่าใช้จ่ายแยกต่างหากกันได้ …” ซือเฟิงบอกแขกของเขาพลางหัวเราะเบาๆ “ฉันแน่ใจว่าคุณรู้ถึงความหนาแน่นของมานาภายในคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองดี แต่ในห้องฝึกมานานั้นมันจะหนาแน่นกว่านี้อีก”
นอกเหนือจากเรื่องวัสดุหายากแล้ว มันยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ซือเฟิงเดินทางมายังทวีปด้านตะวันตก
เขาต้องการดาวแห่งแสง !!!
หากปราศจากดาวแห่งแสง เขาก็ไม่มีโอกาสจะฟื้นฟูกิ่งหลักที่เหี่ยวเฉาของต้นไม้แห่งชีวิต
ดาวแห่งแสงนั้นเป็นวัสดุระดับตำนานที่มีอยู่แค่เฉพาะในทวีปด้านตะวันตกเท่านั้น และเพื่อความแม่นยำ มันสามารถพบได้ในสุสานดาวเท่านั้น
จากข้อมูลที่เขารู้มาจากชีวิตที่ผ่านมาของเขา ในสุสานดาวนั้นมันมีดาวแห่งแสงดรอปออกมาสามชิ้น ในขณะที่ผู้เล่นเริ่มการสำรวจดันเจี้ยนภูมิภาคแห่งนี้เป็นครั้งแรก และในตอนนี้ ตอนที่สุสานดาวนั้นยังไม่มีใครกล้าเข้าไป มันจึงเป็นโอกาสดีสำหรับเขาที่จะเข้าไปหาสิ่งที่ต้องการให้กับตัวเอง หากเขาพลาดโอกาสนี้ไป โอกาสที่เขาจะได้รับดาวแห่งแสงนั้นจะลดลงอย่างมาก ในตอนที่เขาเดินทางกลับมาที่ทวีปด้านตะวันตกอีกครั้ง
ในการจะเข้าสู่ดันเจี้ยนภูมิภาคแห่งนี้ให้ได้นั้น ผู้เล่นจะต้องมาถึงขั้นสามเป็นอย่างน้อยที่สุด ผู้เล่นนั้นจะไม่สามารถเข้าสู่ดันเจี้ยนได้เลย หากไม่ผ่านข้อกำหนด ยิ่งไกว่านั้นทีมหนึ่งร้อยคนนั้นก็จะไม่เพียงพอที่จะสำรวจดันเจี้ยนภูมิภาคแห่งนี้ และซือเฟิงก็ต้องการผู้เล่นอย่างน้อยห้าร้อยคนเพื่อให้แน่ใจว่าแผนของเขาจะประสบความสำเร็จ
น่าเสียดายที่การจัดทีมผู้เล่นขั้นสาม ห้าร้อยคนนั้นเป็นเรื่องยากมากอย่างไม่น่าเชื่อ ในระยะนี้ของเกม จนถึงตอนนี้มันมีเพียงแค่ซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดห้าอันดับแรกเท่านั้นที่จะสามารถทำแบบนี้ได้ ดังนั้นซือเฟิงจึงได้ข้อให้ฟิธาเลียเชิญเฮลรัชมาเพื่อเจรจาข้อตกลง
“ห้องฝึกมานา ?” ดวงตาของเฮลรัชเปล่งประกาย เมื่อซือเฟิงเสนอผลประโยชน์เพิ่มเติม
เมื่อเขาเข้ามาในคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครอง เขาก็สัมผัสได้ถึงความหนาแน่นที่ไม่ธรรมดาของมานาภายใน และมันนับเป็นสถานที่ที่มีมานาหนาแน่นที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา หากผู้เชี่ยวชาญของจักรวรรดิโลกใต้พิภพได้ฝึกฝนในคฤหาสถ์นี้ พวกเขาจะพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วแน่นอน
แต่ตอนนี้ซือเฟิงกับพึ่งบอกเขาว่า ที่นี่มีห้องฝึกมานาที่มีมานาหนาแน่นกว่าในคฤ
หาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองซะอีก
หากสิ่งที่ซือเฟิงกล่าวมามันมีอยู่จริงนั้น พวกเขาก็จะสามารถพัฒนาการควบคุมมานา และปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของพวกเขาได้ด้วยความเร็วที่พวกเขาไม่คาดคิดเลย
“โปรดพิจารณาข้อเสนอของฉันให้ดี ผู้บัญชาการรัช หากเราพบสถานการณ์ภายในสุสานดาวที่ล่อแหลม และไม่สามารถเอาชนะได้ คุณก็สามารถจะล่าถอยได้เลย และผลประโยชน์ที่ฉันเสนอไปก็จะยังเป็นของคุณ” ซือเฟิงชี้แจง
“เอาแบบนี้เลยงั้นหรอ ?” เฮลรัชนั้นไม่สามารถเพิกเฉยต่อการล่อลวงได้ “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ยอมรับข้อเสนอนี้ ฉันขอทวนเงื่อนไขหน่อย หากทีมของฉันเสี่ยงต่อการถูกสังหารหมู่ ฉันก็จะสั่งให้พวกเขาถอยทันทีนะ หากคุณโอเค เราก็ยินดีจะทำงานร่วมกับคุณ”
เฮลรัชนั้นไม่แน่ใจว่าเป้าหมายของซือเฟิงคืออะไร แต่เขาก็ไม่สามารถจะปฎิเสธข้อเสนอนี้ได้จริงๆ
มานานั้นจัดเป็นรากเหง้าของทุกสิ่งในทวีปด้านตะวันตก ซึ่งมหาอำนาจต่างๆที่นี่ล้วนต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งเพื่อสิ่งนี้
เนื่องจากตอนนี้ การเข้ายึดป้อมปราการแสงดาวนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เขาจึงจำเป็นจะต้องตั้งเป้าเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดอย่างอื่นแทน และฝึกมานานี้ก็จะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญของกิลเขานั้นสามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้เร็วขึ้น และเมื่อพวกเขาปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้สำเร็จ และสมบูรณ์ จักรวรรดิโลกใต้พิภพจะสามารถเอาชนะสองจากห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดที่อยู่ในทวีปด้านตะวันตกได้แน่นอน ….
“ตกลงตามนั้นไม่มีปัญหา” ซือเฟิงตอบ เขาเข้าใจความรู้สึกของเฮลรัชดี เพราะท้ายที่สุดแล้วสุสานดาวนั้นเป็นดันเจี้ยนภูมิภาค โหมดพระเจ้า ที่มีเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย และมันก็อันตรายกว่าโลกภายนอกมาก
มหาอำนาจต่างๆในชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นต้องเจอกับความสูญเสียอย่างรุนแรง ในตอนที่เริ่มต้นการสำรวจสุสานดาว และหลังจากนั้นพวกเขาจึงได้เริ่มจัดตั้งทีมผู้เล่นขั้นสาม ห้าร้อยคนเป็นอย่างน้อยเพื่อเข้าไปสำรวจที่นี่
โชคดีที่กองกำลังนรกในปัจจุบันนั้นมีจำนวนและความแข็งแกร่งมากเพียงพอตามวัตถุประสงค์ของเขา เป้าหมายของเขาไม่ใช้การสำรวจสุสานดาวทั้งหมด เพียงแค่ต้องการจะได้รับดาวแห่งแสงเท่านั้น
ดาวแห่งแสงนั้นมันจะสุ่มดรอปในสุสานดาว ซึ่งมันแปลว่า แม้แต่มอนสเตอร์ที่อ่อนแอที่สุดในสุสานดาวก็ยังมีโอกาสจะดรอป ดังนั้นการโจมตีบอสในดันเจี้ยนจึงไม่จำเป็นเลย
มันมีทีมนักผจญภัยสามทีมในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิงที่ได้รับดาวแห่งแสงไป และพื้นที่ที่มันดรอปมาให้พวกเขานั้นก็ล้วนอยู่ในพื้นที่ชั้นนอกทั้งหมด
ทีมนักผจญภัยเหล่านั้นเพียงต้องการเข้ามาล่าและเก็บรวบรวมคริสตัลเวทย์มนต์ แต่พวกเขากับได้รับดาวแห่งแสงมาแทน และกลายเป็นคนรวยในชั่วข้ามคืน
เนื่องจากยังไม่มีใครเข้าไปสำรวจสุสานดาวอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เมื่อพวกเขาเข้าไปตอนนี้ พวกเขาจึงควรจะมีโอกาสได้รับดาวแห่งแสงอย่างน้อยหนึ่งดวงมา
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้ทำการเซ็นสัญญากับเฮลรัช โดยระบุว่าสมาชิกของจักรวรรดิโลกใต้พิภพทุกคนจะได้รับส่วนลดสี่สิบเปอเซ็นต์สำหรับค่าใช้จ่ายพื้นฐานของป้อมปราการแสงดาว นอกจากนี้มันยังจะมีห้องฝึกมานาแปดห้องที่ถูกสงวนไว้สำหรับจักรวรรดิโลกใต้พิภพโดยเฉพาะ โดยค่าใช้จ่ายในการใช้ห้องฝึกมานานั้นจะคิดเป็นคริสตัลเวทย์มนต์สามร้อยชิ้นต่อชั่วโมง
ในการแลกเปลี่ยน ซือเฟิงจะเข้าไปเป็นผู้บัญชาการชั่วคราวของกองกำลังนรก เมื่อพวกเขาเข้าไปในสุสานดาว และสิ่งนี้จะยังคงมีผลจนกว่าซือเฟิงจะทำงานของเขาสำเร็จหรือทีมประสบปัญหาเกินกว่าจะรับมือได้ นอกจากนี้จักรวรรดิโลกใต้พิภพยังจะส่งคนของตัวเองเข้ามาปกป้องป้อมปราการช่วยสภาสิบแปดปีก และเผ่าศักสิทธิ์ด้วย
เมื่อพวกเขาได้เซ็นสัญญากันเรียบร้อยแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างสภาสิบแปดปีกและจักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้นก็กลายเป็นดั่งหินผา หลังจากนั้นไม่นานข่าวเรื่องการเป็นหุ้นส่วนของพวกเขาก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วราวกับโรคระบาด และมันก็ไปถึงหูของมหาอำนาจต่างๆในทวีปด้านตะวันตกอย่างรวดเร็ว
โดยสิ่งนี้นั้นจุดชนวนความปั่นป่วนในหมู่มหาอำนาจต่างๆที่ตั้งใจจะเข้ายึดป้อมปราการแสงดาวอย่างมาก
ตอนที่ 2480
ป้อมปราการแสงดาวถูกปลดผนึก
“นายพูดอะไรนะ ?! กองกำลังนรกยอมรับข้อเสนอของพวกนั้นงั้นหรอ ?!”
“เป็นไปไม่ได้ !!! กองกำลังนรกนั้นมีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามถึงสามร้อยคน และพวกนั้นล้วนแต่โหดเหี้ยมกับบ้าการต่อสู้มากๆเลยนะ !!!”
เมื่อมหาอำนาจต่างๆได้รับข่าวการตัดสินใจของกองกำลังนรก พวกเขาก็พบว่ามันยากที่จะเชื่อ
พวกเขานั้นคิดว่าป้อมปราการแสงดาวคงจะถึงจุดจบแล้ว เมื่อมีกองกำลังนรกเข้ามาเกี่ยวข้อง และแม้ว่ากองกำลังนรกจะไม่สามารถเข้ายึดป้อมปราการได้ แต่กองกำลังนรกก็น่าจะทำให้ป้อมเหลือแค่เศษซากปรักหักพังได้
พวกเขาทุกคนนั้นล้วนคุ้นเคยกับความแข็งแกร่งของกองกำลังนรกดี
ทั้งกองกำลังนั้นมันเป็นดั่งการรวมตัวกันของเหล่าคนบ้าที่โหดเหี้ยม
ป้อมปราการแสงดาวนั้นอาจจะน่าประทับใจที่ได้รับมังกรมาเป็นผู้พิทักษ์ป้อมปราการ แต่ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าพูดยังไง ผลสรุปก็คือพวกเขามีมังกรแค่ตัวเดียวเท่านั้น และมังกรแค่ตัวเดียวนั้นก็ไม่เพียงพอที่จะใช้จัดการผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม สามร้อยคนของกองกำลังนรกแน่นอน เพราะท้ายที่สุด พวกเขานั้นไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทั่วไป และตราบใดที่พวกเขาเห็นว่าตัวเองมีโอกาสชนะ พวกเขาก็จะทำการคืนชีพกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าและเข้าโจมตีป้อมปราการแสงดาวไม่หยุดจนกว่าจะมีข้างหนึ่งที่หมดสิ้นทุกอย่างจริงๆ
นี่คือสาเหตุที่มหาอำนาจต่างๆนั้นล้วนกลัวกองกำลังนรกอย่างมาก
แต่ตอนนี้สถานการณ์ทั้งหมดกับพัฒนาไปในทางที่ไม่คาคดิด
กองกำลังนรกนั้นยังไม่ได้เริ่มการต่อสู้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงการยึดป้อมปราการเลย แต่กองกำลังนรกนี้กับเลือกจะเป็นหุ้นส่วนกับพันธมิตรผู้ปกครองป้อมปราการหลังจากพูดคุยกันแค่ช่วงสั้นๆ ยิ่งไปกว่านั้นการตกลงเป็นหุ้นส่วนนี้ กองกำลังนรกยังไม่ได้รับหุ้นของป้อมปราการมาแม้แต่นิดเดียว พวกระดับสูงของมหาอำนาจต่างๆล้วนสงสัยกันอย่างมากว่านี่คือกองกำลังนรกที่พวกเขารู้จักจริงๆรึปล่าว เมื่อได้รับรายงานนี้มา
ในขณะที่ข่าวนี้แพร่กระจายออกไป มหาอำนาจต่างๆที่เตรียมการโจมตีป้อมปราการแสงดาวก็เริ่มลังเล
พวกเขานั้นกล้าที่จะกำหนดเป้าหมายไปที่ป้อมปราการแสงดาว เพราะว่าจักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้นแสดงความสนใจที่จะเข้ายึดครองมัน แต่ตอนนี้ซุเปอร์กิลกับไปเข้าร่วมกับพันธมิตรผู้ปกครองป้อมปราการแล้ว ดังนั้นสถานการณ์มันจึงกลายเป็นดั่งหายนะสำหรับมหาอำนาจต่างๆ
มหาอำนาจเหล่านี้นั้นไม่ได้กลัวเผ่าศักสิทธิ์ เพราะท้ายที่สุดแล้วกิลมีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามมากกว่าพวกเขาแค่จำนวนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งหากพวกเขารวมกองกำลังกัน พวกเขาก็จะมีจำนวนผู้เชี่ยวชาญขั้นสามมากกว่าเผ่าศักสิทธิ์อย่างง่ายดาย และเนื่องจากป้อมปราการแสงดาวนั้นให้อำนาจผู้เล่นควบคุมแค่บางส่วนเท่านั้น ดังนั้นการเข้ายึดมันจึงน่าจะง่ายมากๆ
แต่ตอนนี้จักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้นได้เข้าเป็นพันธมิตรกับสภาสิบแปดปีก และเผ่าศักสิทธิ์แล้ว มันจึงทำให้สถานการณ์นั้นกลายเป็นยากและอันตรายมากๆ
นอกเหนือจากความแข็งแกร่งของสมาชิกแต่ละคนของกองกำลังนรกแล้ว พวกเขายังมีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามมากพอที่จะต่อกรกับมหาอำนาจต่างๆที่รวมกลุ่มกันมาได้ นี่ยังไม่นับรวมมังกรที่เป็นผู้พิทักษ์ป้อมปราการอีก แล้วพวกเขาจะไปโจมตี หรือก่อความวุ่นวายในป้อมปราการแสงดาวได้ยังไงกัน ?
แน่นอนว่ามหาอำนาจต่างๆเหล่านี้ยังคงไม่ยอมแพ้
แม้ว่าพวกเขาจะรู้ดีว่าการได้รับส่วนแบ่งผลกำไรจากป้อมปราการแสงดาวนั้นมันเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป แต่พวกเขาก็ยังคงส่งผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ภายใน ผลประโยชน์ของป้อมปราการแสงดาวนั้นมันมีมากเกินกว่าที่พวกเขาจะเพิกเฉยได้ และหากมีโอกาสพวกเขาก็พร้อมจะกระโจนเข้าใส่ แม้ว่าพวกเขาจะได้รับผลประโยชน์แค่เศษเสี้ยวก็ตาม
ในขณะเดียวกันที่เหมืองแร่เงินปีศาจอันห่างไกลของหอการค้าอาซู ….
“แม้แต่กองกำลังนรกก็ยังล้มเหลวงั้นหรอ ?” หยานเซี่ยวเฉียนนั้นพึมพำอย่างตกตะลึง หลังจากที่เธอได้อ่านรายงานจากลูกน้องของเธอ
เธอนั้นรู้สึกประหลาดใจอย่างมากแล้วที่ได้ยินว่าสภาสิบแปดปีกกับเผ่าศักสิทธิ์นั้นร่วมมือกันยึดป้อมปราการแสงดาว
จากนั้นเธอก็ได้รู้ข่าวเกี่ยวกับมังกรที่เป็นผู้พิทักษ์ป้อมปราการ
และตอนนี้ดูเหมือนว่าแม้แต่กองกำลังนรกก็ยังกลัวที่จะโจมตีป้อมปราการนี้
ถ้าเธอไม่ได้รู้อะไรมาก่อนเกี่ยวกลุ่มของซือเฟิง เธอจะคิดว่าพวกเขานั้นคงเป็นมหาอำนาจที่หลบอยู่ในเงามืด ซึ่งพึ่งจะเริ่มการพัฒนาออกมาในที่สว่างในทวีปด้านตะวันตก
อย่างไรก็ตามเธอนั้นรู้ในระดับหนึ่งเกี่ยวกับผู้เล่นกลุ่มนี้
ซือเฟิงนั้นมาถึงทวีปด้านตะวันตกพร้อมกับเพื่อนของเขาอีกเก้าคน และทั้งหมดล้วนเป็นสมาชิกสภาสิบแปดปีก และเมื่อพวกเขามาถึงนั้นสภาสิบแปดปีกไม่ได้มีพันธมิตรอยู่ทางทวีปด้านตะวันตกเลยแม้แต่กลุ่มเดียว
กระนั้นตอนนี้ไม่เพียงแต่กลุ่มของซือเฟิงจะสามารถตั้งหลักในทวีปด้านตะวันตกได้ หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่วัน แต่พวกเขายังได้รับพันธมิตรที่ทรงพลังมาอีกสองกลุ่มด้วย
หอการค้าอาซูนั้นใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือนกว่าที่จะสามารถตั้งหลักในทวีปด้านตะวันออกได้ และหอการค้าก็ได้ทำการสร้างสถานที่สำหรับตัวเองขึ้นมาได้ในเนินเขาแห่งความมืด นอกเขตแดนของจักรวรรดิมังกรไฟหลังจากที่ลงทุนทั้งทรัพยากรและกำลังคนไปมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นหอการค้าอาซูยังประสบความสำเร็จเพราะว่าทำการเชื่อมต่อกับผู้เล่นจำนวนหนึ่งในทวีปด้านตะวันออกได้ตั้งแต่ต้นเกม หากไม่เป็นเช่นนั้นการสร้างฐานที่มั่นในทวีปด้านตะวันออกของพวกเขาจะต้องใช้เวลานานกว่านี้มาก
อย่างไรก็ตามตอนนี้ซือเฟิงกับยึดป้อมปราการแสงดาวได้แล้ว และในเวลาไม่ถึงสี่วันที่เขามาที่นี่ เขาก็มีพันธมิตรเป็นมหาอำนาจที่ทรงพลังสองกลุ่มแล้ว
“คุณหนู พวกเราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วก่อนการแข่งขันระหว่างตระกูลจะเริ่มขึ้น ตระกูลนั้นได้รับรองแล้วว่าคุณจะมีสิทเข้าใช้พื้นที่ทดสอบ พวกเขาหวังว่าคุณจะใช้โอกาสนี้ฟื้นฟูชื่อเสียงที่เสียไปของตระกูลในระหว่างการแข่งขันครั้งก่อนได้ โปรดอย่าปล่อยให้เรื่องอื่นมารบกวนจิตใจคุณเลย” ชายชราซึ่งนั่งอยู่ข้างหหยานเซี่ยว
เฉียนกล่าวแนะนำเมื่อเห็นท่าทีของเธอ
“ฉันเข้าใจ สภาสิบแปดปีกเพียงแค่ตั้งหลักในทวีปด้านตะวันตกได้ และได้รับทรัพยากรมามากขึ้นเท่านั้น แต่ยังไงพวกเขาก็ยังไม่มีพลังมากพอจะช่วยให้ไซเร้นวอร์นเดอร์ชนะฉันในการแข่งขันระหว่างตระกูลได้แน่นอน !!!” หยานเซี่ยวเฉียนกล่าว
อย่างพยายามสงบใจ และเรียกคืนความมั่นใจของเธอกลับมา
ตอนนี้สภาสิบแปดปีกอาจมีที่ของตัวเองในทวีปด้านตะวันตกแล้ว แต่การจะพัฒนาต่อไปได้หรือไม่ได้นั้นมันเป็นเรื่องที่แตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกิลนั้นไม่ใช่มหาอำนาจต่างๆในทวีปด้านตะวันตก แต่เป็นกองทัพสิ่งมีชีวิตปีศาจ
ในฐานะที่ดินแดนต้องห้าม มันไม่มีประเทศใดๆที่คอยปกป้องหุบเขาดาวอยู่
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือป้อมปราการแสงดาวนั้นจะต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของกองทัพสิ่งมีชีวิตปีศาจโดยปราศจากความช่วยเหลือจาก NPC ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายเลยที่จะจินตนาการถึงสถานการณ์ที่อันตรายในเรื่องนี้
แม้ว่าเผ่าศักสิทธิ์ จักรวรรดิโลกใต้พิภพ และสภาสิบแปดปีกจะร่วมมือกันปกป้องป้อมปราการ แต่มันก็ใช่ว่าจะสามารถปกป้องป้อมปราการไว้ได้
ยิ่งกว่านั้นต่อให้ปกป้องไว้ได้ มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับไซเร้นวอร์นเดอร์เลย สภาสิบแปดปีกนั้นมีรากฐานอยู่ที่ทวีปด้านตะวันออก และพวกเขายังมีทรัพยากรไม่มากนักที่ทวีปด้านตะวันตก ขณะที่พื้นที่ฝึกในทวีปด้านตะวันตกนั้นมันดีกว่าทวีปด้านตะวันออกอย่างมาก
“ในกรณีนี้ คุณหนูควรเริ่มได้แล้ว” ชายชรากล่าวยืนกราน
หยานเซี่ยวเฉียนพยักหน้าตอบรับ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังทิศทางของหุบเขาดาว
รอก่อนเถอะ !!! ฉันจะไม่ปล่อยให้ไซเร้นวอร์นเดอร์เอาชนะฉันได้แน่นอนการในแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้น !!! หยานเซี่ยวเฉียนสบถภายในใจด้วยความไม่พอใจ เมื่อนึกถึงซือเฟิงที่ไม่เห็นหัวเธอและหอการค้าอาซูเลย
ตระกูลของเธอนั้นต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อจะให้เธอเข้าไปในพื้นที่ทดสอบ ซึ่งนี่นับเป็นโอกาสที่มีแค่ไม่คนใน God domain เท่านั้นที่จะสามารถเพลิดเพลินกับมันได้ และตราบเท่าที่เธอสามารถฝึกในพื้นที่ทดสอบจนผ่านได้สำเร็จ เธอก็มั่นใจว่าเธอจะสามารถเอาชนะซือเฟิงได้แน่นอน ไม่ต้องพูดถึงไซเร้นวอร์นเดอร์เลย
ในขณะที่หยานเซี่ยวเฉียนออกจากเหมืองแร่เงินปีศาจด้วยอะเม้าท์บินได้ของเธอ ซือเฟิงก็ได้นำกองกำลังนรกมุ่งหน้าเข้าไปยังพื้นที่ชั้นในของหุบเขาดาว
แม้แต่พื้นที่ชั้นนอกของหุบเขาดาว ผู้เล่นขั้นสามก็อาจจะตายลงได้ง่ายๆเลย หากไม่ระมัดระวัง ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงพื้นที่ชั้นในของหุบเขาดาวที่อันตรายกว่ามาก
มอนสเตอร์ที่มีเลเวลต่ำที่สุดในพื้นที่ชั้นในนั้นมีเลเวลหนึ่งร้อยสิบ และโดยทั่วไปแล้วพวกมันก็จะเคลื่อนไหวกันเป็นกลุ่มภายใต้การนำของแกรนลอร์ด โดยแต่ละกลุ่มนั้นก็จะประกอบไปด้วยมอนสเตอร์นับพันตัว ขณะที่กลุ่มใหญ่อาจมีสองถึงสามพันตัว พวกมันเป็นดั่งกองทัพๆหนึ่งเลย หากทีมผู้เล่นขั้นสาม หนึ่งร้อยคนพบกับมอนสเตอร์เหล่านี้และก่อความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย พวกเขาอาจถูกสังหารหมู่กันได้เลย
โชคดีที่สมาชิกของกองกำลังนรกนั้นมีความแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ และมีผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม อยู่สามร้อยคน ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถจะเดินทางผ่านพื้นที่ชั้นในได้ แม้ว่ามันจะช้ามากก็ตาม
หลังจากเดินทางมามากกว่าสิบชั่วโมง ซือเฟิงและทีมของเขา พร้อมกับกองกำลังนรกก็ได้มาถึงเขตแดนของพื้นที่ชั้นใน
พวกเขานั้นสามารถที่จะมองเห็นภูเขาขนาดมหึมาที่อยู่ไม่ไกลจากตำแหน่งของพวกเขาได้ และออร่าของภูเขานี้ก็ให้ความรู้สึกไร้ขอบเขต อีกทั้งผู้ที่เข้าใกล้มันก็จะยิ่งรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองหนักขึ้น และยิ่งเข้าไปถึงที่เชิงเขา ออร่านี้มันก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
ซึ่งนี่มันก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากดันเจี้ยนภูมิภาค โหมดพระเจ้าของหุบเขาดาว สุสานดาว !!!
“พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบอีกสักครั้งไหม หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ? คุณอยากจะเข้าไปที่นั่นจริงๆงั้นหรอ ? เมื่อเราเข้าไปภายใน การจะกลับออกมาจะเป็นเรื่องท้าทายมาก และหากผู้เล่นตาย ผู้เล่นก็จะไม่ได้มาฟื้นคืนชีพนอกดันเจี้ยนนะ” เฮลรัชกล่าวเตือนซือเฟิง ขณะที่จ้องมองไปยังภูเขาเบื้องหน้าพวกเขา
สุสานดาวนั้นจัดเป็นสถานที่ที่พิเศษมากๆ
เมื่อผู้เล่นตายลงตามปกติ พวกเขาจะไปคืนชีพในเมือง NPC ที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่นั่นไม่ใช่กรณีของสุสานดาว ไม่ว่าผู้เล่นจะตายกี่ครั้ง พวกเขาก็จะถูกฟื้นคืนชีพมาในดันเจี้ยนเท่านั้น ไม่สามารถออกไปไหนได้
“ฉันเข้าใจ รีบเข้าไปกันเถอะ …”
ซือเฟิงนั้นค่อนข้างคุ้นเคยกับลักษณะเฉพาะของสุสานดาวดี และเขาก็ได้ตัดสินใจเดินเข้าสู่ดันเจี้ยนภูมิภาคแห่งนี้อย่างไม่ลังเล หลังจากนั้นสมาชิกของกองกำลังนรกกก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันพลางยิ้มแห้งๆ ก่อนจะเดินตามนักดาบเข้าไปอย่างไม่มีทางเลือก
ไม่นานหลังจากที่ซือเฟิง และทีมของเขาเข้าสู่สุสานดาว ป้อมปราการแสงดาวซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ชั้นนอกของหุบเขาดาวก็สว่างไสวขึ้น เพราะในที่สุดผนึกก็ถูกปลดออก และป้อมปราการก็ได้เปิดให้สาธารณชนเข้าเยี่ยมชมแล้ว
ตอนที่ 2481
ป้อมปราการที่มีมูลค่ารวมทางดาราศาสตร์
“เร็ว !! ดูนั่นสิ !! ป้อมปราการแสงดาวเปิดให้สาธารณชนเข้าไปได้แล้ว !!”
“ในที่สุดมันก็เปิดแล้ว !! ฉันรอช่วงเวลานี้อยู่ !!”
มหาอำนาจและผู้เล่นอิสระต่างๆที่อยู่ในป่าใกล้เคียงสังเกตเห็นแสงระยิบระยับที่ล้อมรอมป้อมปราการแสงดาวอย่างรวดเร็ว ซึ่งพวกเขารอให้ป้อมปราการนั้นเปิดให้สาธารณชนเข้าชมมานานแล้ว โดยเฉพาะกับผู้เล่นอิสระที่พวกเขาทุกคนนั้นเต็มไปด้วยความคาดหวังมากๆ
ผู้เล่นอิสระนั้นไม่ได้ทราบถึงข้อตกลงที่จักรวรรดิโลกใต้พิภพทำกับสภาสิบแปดปีก แต่สมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์บางส่วนนั้นได้จงใจจะปล่อยให้ข้อมูลผลประโยชน์บางอย่างของป้อมปราการรั่วไหลออกมา ซึ่งนี่มันก็ทำให้ผู้เล่นอิสระนั้นเต็มไปด้วยความโกลาหล
นอกเหนือจากสภาพแวดล้อมที่มีมานาหนาแน่นของป้อมปราการซึ่งจะช่วยให้พวกเขาฟื้นฟูจากอาการเหนื่อยล้าได้อย่างรวดเร็ว ความจริงที่ว่าพวกเขาสามารถปรับปรุงการควบคุมมานาของตัวเองได้โดยการแค่เข้าไปเยี่ยมชมป้อมปราการนั้น มันก็ทำให้ที่นี่น่าประทับใจกว่าเมืองใดๆในทวีปด้านตะวันตกเลย
นอกจากนี้ป้อมปราการแสงดาวนั้นยังตั้งอยู่ในหุบเขาดาว ซึ่งตอนนี้พอพวกเขามีป้อมปราการแสงดาวเป็นที่พักผ่อน พวกเขาก็จะสามารถล่าในดินแดนต้องห้ามนี้ได้อย่างอิสระโดยมันจะช่วยเพิ่มความเร็วในการเก็บเลเวล และรวบรวมทรัพยากรของเขาขึ้นอย่างมาก
ดังนั้นโดยปกติแล้ว พวกเขาจึงจะไม่พลาดโอกาสที่จะได้เข้าเยี่ยมชมป้อมปราการ หรือเข้าไปตั้งฐานปฎิบัติการภายในป้อมปราการ
แม้ว่ามหาอำนาจต่างๆจะส่งผู้เล่นของพวกเขาเข้ามาจำนวนมากด้วยเช่นกัน แต่มันก็เทียบไม่ได้กับจำนวนผู้เล่นอิสระที่รอเข้าสู่ป้อมปราการเลย
ผู้เล่นอิสระที่พักผ่อนอยู่บริเวณป่านั้นรีบพุ่งเข้าหาป้อมปราการแสงดาวอย่างรวดเร็วราวกับคนบ้าคลั่ง และแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆก็ไม่ได้เข้าถึงป้อมปราการได้ก่อนที่ผู้เล่นอิสระจะเริ่มหลั่งไหลเข้ามา
อย่างไรก็ตามฉากดังกล่าวนี้ก็ไม่ได้สร้างความโกรธแค้นให้กับมหาอำนาจต่างๆเลย ตรงกันข้ามพวกเขากับมีความสุขที่ได้เห็นมันด้วยซ้ำ
“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้พบกับผู้เชี่ยวชาญขั้นสามจำนวนมากในพื้นที่นี้ ฉันสงสัยว่าแม้แต่จักรวรรดิโลกใต้พิภพกับเผ่าศักสิทธิ์ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีผู้เล่นจำนวนมากขนาดนี้เช่นกัน”
“นี่มันน่าสนใจจริงๆ !!! แม้แต่กองกำลังนรกกของจักรวรรดิโลกใต้พิภพก็จะทำอะไรไม่ถูกกับผู้เชี่ยวชาญขั้นสามจำนวนมากขนาดนี้แน่นอน !!!”
เมื่อเหล่าพวกระดับสูงของมหาอำนาจต่างๆเห็นผู้เล่นอิสระต่างพากันตรงเข้าไปที่ป้อมปราการแสงดาว ดวงตาของพวกเขาก็เริ่มเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น ตอนแรกนั้นพวกเขาคิดว่าพวกเขาหมดหวังที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายในป้อมปราการไปแล้ว เพราะท้ายที่สุดกองกำลังนรกของจักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อตกแต่งเท่านั้นแน่นอน
พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะเจอกับสถานการณ์แบบนี้ และก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้เล่นอิสระจะสนใจป้อมปราการแสงดาวมากขนาดนี้
ตอนนี้มันมีผู้เล่นอิสระขั้นสามมากกว่าห้าพันคนแล้วที่มารวมตัวกัน นี่ยังไม่นับรวมจำนวนผู้เล่นขั้นสองอีก ซึ่งมันมากกว่าจำนวนผู้เล่นของมหาอำนาจต่างๆรวมกันซะอีก
แม้ว่าจักรวรรดิโลกใต้พิภพจะทุ่มทุกอย่างเข้ามา แต่พวกเขาก็ไม่มีความหวังที่จะปกป้องป้อมปราการจากกองกำลังแบบนี้ได้แน่นอน ไม่ต้องพูดถึงเผ่าศักสิทธิ์เลย
อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกระดับสูงของมหาอำนาจต่างๆจะทันได้เฉลิมฉลอง มังกรที่มีเกล็ดสีเงินก็บินออกมาจากป้อมปราการแสงดาว และร่อนลงมาอยู่ข้างประตูหน้า โดยมันก็มองไปยังกลุ่มผู้เล่นอิสระจำนวนมากอย่างเงียบๆ
ผู้เล่นอิสระที่ต่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นนั้นหยุดนิ่งลงทันที เมื่อได้เห็นออร์เบ็ค และก็ไม่มีใครกล้าขยับ การพัฒนาอย่างกระทันหันนี้ทำให้มหาอำนาจต่างๆที่เฝ้าดูจากระยะไกลนั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึงมากๆ
พวกเขากำลังพูดถึงผู้เชี่ยวชาญขั้นสามมากกว่าห้าพันคน !!!
แต่ตอนนี้ทุกคนกับกำลังทำตัวเป็นเหมือนกับหนูต่อหน้าแมว ….
แน่นอนว่าบรรดาผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆส่วนใหญ่ต่างก็เห็นใจกับเรื่องนี้ ออร่าของออร์เบ็คนั้นน่ากลัวมากๆ และแม้จะมองอยู่จากที่ไกลๆ แต่พวกเขาก็รู้สึกราวกับว่ามีภูเขาขนาดยักษ์กดทับลงมาที่บ่าของพวกเขา นี่ไม่จำเป็นต้องพูดถึงผู้เล่นอิสระที่อยู่ใกล้กับมังกรเงินศักสิทธิ์มากกว่าพวกเขาเลยว่าจะรู้สึกยังไง
“มันเป็นแค่มังกรขั้นสี่จริงๆงั้นหรอ ?”
ผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆหลายกลุ่มต่างพูดไม่ออก ขณะที่พวกเขาจ้องมองไปยังออร์เบ็ค
พวกเขานั้นเริ่มตระหนักได้แล้วว่าออร์เบ็คนั้นแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ และพวกเขาก็เริ่มตระหนักได้แล้วว่าทำไมกองกำลังนรกถึงยอมแพ้ เพราะเมื่อได้มาเห็นมังกรศักสิทธิ์ตัวนี้ด้วยตาตัวเองพวกเขาก็เข้าใจถึงเหตุผลทุกอย่างแล้ว
นี่มันไม่ใช่เรื่องการเทียบกันของความแข็งแกร่งแล้ว
ไม่ควรมีใครที่จะโง่เขลามากพอจนไปยั่วยุออร์เบ็ค
“ตอนนี้ป้อมปราการแสงดาวได้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมแล้ว หากพวกคุณต้องการจะเข้าไปในป้อมปราการก็โปรดตั้งใจฟัง ห้ามการต่อสู้ทั้งหมดในบริเวณที่อยู่ในกำแพงของป้อมปราการ เพราะไม่เพียงแต่พวกคุณจะถูกฆ่าหากฝ่าฝืนกฎนี้ แต่คุณยังจะถูกขังในคุกป้อมปราการเป็นเวลาแปดวันด้วย !!!” แม๊คอาฟรี่ซึ่งนืนอยู่บนกำแพงเหนือประตูหน้าประกาศ ขณะที่เขาจ้องมองไปยังผู้เล่นด้านล่าง “หากไม่มีใครสงสัยอะไรอีก พวกคุณก็สามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าสู่ป้อมปราการได้เลย !!”
เมื่อแม๊คอาฟรี่พูดจบ การแสดงออกของผู้เล่นโดยรอบนั้นก็เปลี่ยนไป ซึ่งประกาศดังกล่าวนั้นล้วนทำให้ทุกคนตกตะลึงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสมาชิกของมหาอำนาจต่างๆ
“คุกป้อมปราการ ?! เขากำลังพูดถึงอะไร ?!”
พวกระดับสูงของมหาอำนาจต่างๆที่เคยหัวเราะเยาะให้กับสถานการณ์ของป้อมปราการแสงดาวเมื่อครู่นั้น ไม่สามารถจะหัวเราะได้อีกต่อไป
พวกเขาคุ้นเคยกับแนวคิดเรื่องคุกใน God domain ดี เมื่อผู้เล่นถูกขังคุก พวกเขาจะต้องใช้เวลาอยู่ในคุกตามบทลงโทษจนกว่าจะครบ เว้นแต่ว่าจะมีใครยอมทำลายคุกเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาจากภายนอก
ตอนนี้มหาอำนาจต่างๆเริ่มเข้าใจทั้งหมดแล้วว่าทำไมจักรวรรดิโลกใต้พิภพถึงตัดสินใจจะประณีประณอม
มันมีคุกอยู่ในป้อมปราการแบบนี้ ใครกันจะกล้าก่อเหตุในป้อมปราการ ?!
ตอนนี้มหาอำนาจต่างๆนั้นสิ้นหวังมากอย่างแท้จริง เมื่อได้ยินประกาศของแม๊คอาฟรี่
“เนื่องจากป้อมปราการนั้นมีพื้นที่จำกัด ดังนั้นผู้เล่นจึงจะสามารถอยู่ข้างในได้แค่หนึ่งวันต่อหนึ่งคนเท่านั้น และทุกวันที่คุณอยู่เกินในป้อมปราการนั้นจะต้องจ่ายด้วยคริสตัลเวทย์มนต์หนึ่งชิ้น นอกจากนี้บริการพื้นฐานทั้งหมดของป้อมปราการนั้นก็จะรับเพียงแค่คริสตัลเวทย์มนต์เท่านั้น หากคุณไม่สามารถชำระค่าบริการตามนี้ได้ คุณจะต้องไปใช้เวลาแปดวันในคุก ฉะนั้นโปรดคำนึงถึงสิ่งนี้ให้ดีในระหว่างการเข้าไปพักผ่อนในป้อมปราการ”
หลังจากได้ฟังประกาศอีกครั้งของแม๊คอาฟรี่ ผู้เล่นทุกคนในพื้นที่นั้นก็ล้วนเต็มไปด้วยความตกตะลึงอีกครั้ง
โดยปกติมหาอำนาจต่างๆนั้นจะทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มยอดประชากรของป้อมปราการ หลังจากที่พวกเขาเข้ายึดป้อมปราการได้ เพราะมันจะสามารถเปลี่ยนป้อมปราการให้กลายเป็นศูนย์กลางการค้าได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้มันยังจะช่วยให้ผู้ปกครองป้อมนั้นสามารถเข้าถึงทรัพยากรจำนวนมากได้ด้วย แต่ตอนนี้เจ้าของป้อมปราการแสงดาวกับเลือกจะไม่ทำแบบนี้ พวกเขาไม่ได้แสดงความสนใจที่จะดึงดูดผู้เล่นเข้าสู่ป้อมปราการ
ซึ่งค่าเข้าสู่ป้อมปราการแสงดาวเพียงอย่างเดียวนั้นก็มีค่าใช้จ่ายเป็นเงินยี่สิบเหรียญเงินต่อคนแล้ว แต่อย่างไรก็ตามผู้เล่นกับได้รับอนุญาติให้ใช้เวลาแค่หนึ่งวันในป้อมปราการเท่านั้น แต่เมื่ออยู่เกินวัน พวกเขาก็ยังจะต้องจ่ายด้วยคริสตัลเวทย์มนต์ด้วย แถมเพื่อทำให้เรื่องแย่ลง บริการภายในของป้อมปราการทั้งหมดนั้นก็ต้องจ่ายด้วยคริสตัลเวทย์มนต์ ….
นี่มันเป็นการปล้นกันแบบกลางวันแสกๆชัดๆ !!
ผู้เชี่ยวชาญขั้นสองนั้นจะจัดว่าโชคดีมากแล้ว หากได้รับคริสตัลเวทย์มนต์มาสามถึงสี่ชิ้นต่อวัน ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามส่วนใหญ่ก็จะได้รับแค่หนึ่งโหลหรือมากกว่านั้นนิดหน่อยเท่านั้น และหลังจากหักค่าใช้จ่ายรายวันแล้ว พวกเขาจะจัดว่าโชคดีมากจริงๆ หากสามารถเก็บคริสตัลเวทย์มนต์ที่เหลือไว้ได้ครึ่งหนึ่ง
ด้วยวิธีการดำเนินงานแบบนี้ของป้อมปราการแสงดาวนั้น ผู้เชี่ยวชาญขั้นสองจะแทบไม่มีโอกาสเข้าไปใช้บริการภายในป้อมปราการเลย
“นี่ผู้จัดการป้อมปราการบ้ารึปล่าว ?”
“ความโลภของพวกเขาที่มีต่อคริสตัลเวทย์มนต์นั้นมันมากเกินไป !!! เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ยังไม่มีใครในทวีปนี้ที่สามารถจะเข้ายึดป้อมปราการแบบพวกเขาได้ !!! ซึ่งป้อมปราการนั้นก็สามารถที่จะพัฒนาและเติบโตไปอย่างช้าๆแบบไม่ต้องกังวล แต่พวกเขาก็ยังเลือกจะไล่ผู้คนออกไป !!! ฉันแทบจะรอดูไม่ไหวแล้วว่าหากต้องเผชิญหน้ากับกองทัพสิ่งมีชีวิตปีศาจ พวกเขาจะเอาตัวรอดอย่างไร !!!?”
สถานการณ์นี้นั้นสร้างความตกตะลึงให้กับมหาอำนาจต่างๆอย่างมาก พวกเขานั้นไม่สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่ซือเฟิงและคนอื่นๆคิดได้
หากพวกเขามีคริสตัลเวทย์มนต์จำนวนมากสำรองเก็บไว้ พวกเขาก็จะไปใช้มันที่หอคอยทดสอบของ Divine Colosseum ดีกว่าที่นี่
ยิ่งไปกว่านั้นผู้เล่นยังจะสามารถซื้ออาหารสุดหรูที่ช่วยให้พวกเขาหายจากอาการเหนื่อยล้าได้อย่างรวดเร็วกว่าสภาพแวดล้อมที่มีมานาหนาแน่นด้วยเงินยี่สิบเหรียญเงิน
ในความเป็นจริงการกำหนดราคาแบบนี้มันก็ทำให้แม๊คอาฟรี่นั้นพูดไม่ออกเช่นกัน เมื่อได้ยินจากซือเฟิงครั้งแรก แต่อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ได้ยืนยันให้ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของเขาทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถจะทำอะไรได้ ป้อมปราการแสงดาวนั้นเป็นของสภาสิบแปดปีก เผ่าศักสิทธิ์แค่ช่วยจัดการมันเท่านั้น
ในขณะที่มหาอำนาจต่างๆและผู้เล่นอิสระจำนวนมากกำลังเฝ้าดูฉากนี้ ทีมห้าร้อยคนทีมหนึ่งก็ได้ก้าวเข้าไปสู่บริเวณประตูขนาดใหญ่
“เราจะเข้าไปกันจริงๆงั้นหรอ ผู้บัญชาการ ?” ชายผู้ที่ดูโหดเหี้ยม และมีเลเวลหนึ่งร้อยหกกล่าวถามชายที่ดูแข็งแกร่งในชุดเกราะหนังข้างๆเขา
ซึ่งชายที่ดูแข็งแกร่งผู้นี้นั้นก็คือ โครว์ ผู้บัญชาการของทีมนักผจญภัยหัวใจพายุ
“แน่นอน !! ในเมื่อเรามาแล้ว เราก็ต้องลองเข้าไปดูกันหน่อย !!!” โครว์กล่าวพลางกัดฟัน
เงินค่าเข้ายี่สิบเหรียญเงินต่อคนนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับทีมนักผจญภัยหัวใจพายุ แต่เรื่องที่ใหญ่จริงๆสำหรับพวกเขาคือบริการภายในป้อมปราการทั้งหมดนั้นรับชำระด้วยคริสตัลเวทย์มนต์เท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตามโครว์นั้นก็มีความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าที่จะเพิกเฉยเรื่องนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงอยากจะลองเข้าไปเพื่อตรวจสอบภายในให้รู้กันไปเลยว่าป้อมปราการนี้มันมีดีอะไรบ้าง
หลังจากโครว์ตอบไปนั้น เขาก็พาทีมของเขามุ่งหน้าไปที่ประตูหน้าของป้อมปราการแสงดาวทันที
ตอนที่ 2482
มานาที่เปลี่ยนแปลง
เมื่อสมาชิกของทีมนักผจญภัยหัวใจพายุจ่ายค่าเข้าสู่ป้อมปราการในราคาที่สูงลิ่วเรียบร้อย พวกเขาก็เดินผ่านประตูหน้าของป้อมปราการไปอย่างระมัดระวังภายใต้การจับตามองของออร์เบ็ค
“อะไรกัน ?! มีผู้เล่นบางคนที่เต็มใจจะจ่ายค่าเข้าที่แพงแบบนี้ด้วยงั้นหรอ ?!”
“บางทีพวกเขาอาจจะตัดสินใจที่จะลองเข้าไปเยี่ยมชมป้อมปราการกันสักหน่อย
เพราะไหนๆก็ได้เดินทางมาถึงแล้ว”
ผู้เล่นที่เตรียมจะออกจากพื้นที่นี้นั้นมองไปยังโครว์และทีมของเขาอย่างดูถูก ขณะที่พวกเขาเดินเข้าไปในป้อมปราการแสงดาว
ค่าเข้าป้อมปราการยี่สิบเหรียญเงินต่อคนนั้นมันไม่เคยมีมาก่อนเลยในทวีปด้านตะวันตก
ด้วยเงินยี่สิบเหรียญเงิน ผู้เล่นนั้นจะสามารถซ่อมแซมอาวุธและอุปกรณ์ของตัวเองให้กลับมาสมบูรณ์ได้เลยในเมือง NPC และมันก็แทบจะเทียบเท่ากับเงินที่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสองสามารถหามาได้ หลังจากล่าทั้งวัน
กระนั้นตอนนี้สมาชิกของหัวใจพายุกับทุ่มเงินมหาศาลเพียงเพื่อจะเข้าไปสัมผัส และเที่ยวชมสภาพแวดล้อมที่มีมานาหนาแน่นของป้อมปราการ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังจะสามารถอยู่ในป้อมปราการได้แค่หนึ่งวันเท่านั้น นี่มันเป็นการผลาญเงินโดยสูญเปล่าชัดๆ
หลังจากใช้เวลาสักครู่มองอย่างเยาะเย้ยไปยังทีมนักผจญภัยหัวใจพายุ ผู้เล่นรอบข้างทั้งหมดก็รวมตัวกันและจากไป
ไม่นานนักผู้เล่นกว่าเก้าสิบเปอเซ็นต์ก็ออกจากพื้นที่ไป และตอนนี้มีผู้เล่นน้อยกว่าหนึ่งหมื่นคนที่กำลังเข้าแถวรอที่ประตูด้านหน้า
“พวกเขายึดป้อมปราการแสงดาวได้ แต่พวกเขากลับเลือกจะไล่ลูกค้าออกไป เราไม่จำเป็นจะต้องทำอะไรด้วยซ้ำ เพราะป้อมปราการนี้จะค่อยๆแห้งตายแน่นอน”
“พวกเขานั้นคิดจะเรียกเก็บค่าบริการภายในป้อมปราการเป็นคริสตัลเวทย์มนต์ทั้งหมด เหอะ !! พวกเขานี่ช่างรู้จักวิธีฝันจริงๆนะ …”
“ช่างโง่เขลาจริงๆ นี่พวกเขาคิดหรอว่า พวกเขาจะสามารถบีบผู้เล่นทั้งหมดได้เพียงเพราะว่าพวกเขาเป็นผู้ที่เป็นเจ้าของป้อมปราการเพียงแห่งเดียวในหุบเขา”
เหล่ามหาอำนาจต่างๆนั้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ เมื่อเห็นว่ามีผู้เล่นแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เต็มใจจะเข้าไปในป้อมปราการแสงดาว
พวกเขานั้นกลัวว่าป้อมปราการแสงดาวจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อขยายช่องว่างระหว่างพวกเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความกังวลของพวกเขาจะไร้ความหมาย
เงินยี่สิบเหรียญเงินนั้นอาจจะเป็นค่าใช้จ่ายที่จัดว่าสูง เมื่อใช้จ่ายเพื่อเข้าสู่ป้อมปราการ แต่อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญหลายคนนั้นก็จะสามารถทนกับค่าใช้จ่ายนี้ได้ เพราะด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ในหุบเขาดาว และสิทธิประโยชน์ของป้อมปราการแสงดาว พวกเขาจะสามารถได้รับเงินที่จ่ายไปคืนในระยะเวลาสั้นๆ
อย่างไรก็ตามป้อมปราการแสงดาวนั้นได้ล้ำเส้นเกินไปโดยการเรียกเก็บค่าบริการภายในทั้งหมดของป้อมปราการเป็นคริสตัลเวทย์มนต์
ในทวีปด้านตะวันตก คริสตัลเวทย์มนต์นั้นนับเป็นรากฐานสำหรับผู้เล่น และหากไม่มีคริสตัลเวทย์มนต์สำหรับหินรูนการต่อสู้ พลังการต่อสู้ของผู้เล่นนั้นก็จะลดลงอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามโชคไม่ดีที่คริสตัลเวทย์มนต์นั้นหายากอย่างน่าเจ็บปวดในทวีปด้านตะวันตก ดังนั้นการจะได้รับคริสตัลเวทย์มนต์มาสักชิ้นหนึ่งจึงเป็นความท้าทายมากๆ เพราะถ้ามันได้รับมาง่ายๆมหาอำนาจต่างๆในทวีปด้านตะวันตกคงไม่ต่อสู้กันอย่างสิ้นหวังเพื่อโอกาสในการรับเอาเส้นเลือดแร่ที่สามารถสร้างคริสตัลเวทย์มนต์ได้หรอก
แม้ว่าผู้เล่นจะได้รับคริสตัลเวทย์มนต์จากการล่าในหุบเขาดาวเช่นกัน แต่ที่นี่มันก็ไม่ใช่ที่ๆจะออกล่าได้ง่ายๆเลย มันยังคงเป็นดินแดนต้องห้ามเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย และอันตรายกว่าแผนที่อื่นๆที่มีสิทดรอปคริสตัลเวทย์มนต์อย่างมาก
หากผู้เล่นตัดสินใจที่จะมุ่งเน้นการพัฒนาของตัวเองไปที่รอบๆป้อมปราการเท่านั้น พวกเขาก็จะเป็นดั่งแรงงานราคาถูกของผู้ปกครองป้อมปราการ ซึ่งมีแต่คนโงเท่านั้นที่จะยอมรับภาระแบบนี้
หลังจากนั้นมหาอำนาจต่างๆก็ได้สั่งให้ผู้เล่นของพวกเขาหันหลังกลับและจากไปอย่างรวดเร็ว พวกเขานั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้าไปในป้อมปราการแสงดาว
พวกเขาได้เรียนรู้ถึงสถานการณ์ของป้อมปราการจากสายลับของพวกเขาที่อยู่ในเผ่าศักสิทธิ์แล้ว ตั้งแต่ก่อนที่ป้อมปราการแสงดาวจะเปิดให้สาธารณชนเข้าชมซะอีก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องเข้าไปในป้อมปราการแสงดาวเพื่อตรวจสอบรายงาน พวกเขาไม่สามารถจะจ่ายเงินที่หามาอย่างยากลำบากแบบมั่วๆได้
แม๊คอาฟรี่นั้นรู้สึกหงุดหงิด เมื่อมองดูผู้เล่นหลายคนเดินออกไปจากที่นี่จากบนกำแพงป้อมปราการ
ผู้เล่นเหล่านี้นั้นมีศักยภาพทางการเงินและทรัพยากร !!!
ซือเฟิงนั้นสามารถจะเปลี่ยนป้อมปราการแสงดาวในเป็นศูนย์กลางการค้าได้อย่างง่ายด้วยการยอมลดราคาลงสักนิดหน่อย แต่เขาก็ยังยืนยันที่จะเรียกเก็บค่าบริการภายในของป้อมปราการเป็นคริสตัลเวทย์มนต์ทั้งหมด และแค่เรื่องนี้เพียงอย่างเดียว มันก็ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่นั้นไม่อยากจะเข้ามาเยี่ยมชมป้อมปราการแล้ว
ในขณะที่มหาอำนาจต่างๆจากไป ทีมนักผจญภัยหัวใจพายุก็ได้เดินเข้าไปข้างในป้อมปราการ
“นี่คือป้อมปราการแสงดาวงั้นหรอ ?! ความหนาแน่นของมานาที่นี่นั้นมันสูงมากๆ !!!”
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมค่าเข้าถึงแพงมาก สภาพแวดล้อมแบบนี้มันคุ้มค่ากับราคาอย่างแน่นอน !!!”
สมาชิกของทีมนักผจญภัยหัวใจพายุนั้นรู้สึกตกอยู่ในภวังค์ เมื่อพวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงมานาภายในป้อมปราการแสงดาว
พวกเขานั้นไม่ได้เป็นสมาชิกของมหาอำนาจต่างๆ พวกเขาเป็นเพียงแค่ผู้เล่นอิสระ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของทีมนักผจญภัยชั้นยอด แต่พวกเขาก็สามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างจำกัดเท่านั้น ทรัพยากรที่ทีมนักผจญภัยหัวใจพายุมีนั้นไม่สามารถจะเทียบกับกิลชั้นสูงได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเขานั้นไม่สามารถเข้าสู่สถานที่ที่มีมานาหนาแน่นได้บ่อยๆเช่นกัน พวกเขาต้องพึ่งพาความสามารถ พรสวรรค์ และการทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาไปอย่างช้าๆ
“เราจะสามารถเข้ามาพักผ่อนที่นี่ได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น หากเราเข้ามาบ่อยๆเราคงล้มละลาย” ชายที่ดูโหดเหี้ยมข้างโครว์กล่าวขณะเหลือบมองไปที่ป้ายบอกราคาที่ด้านนอกของโรงแรมใกล้เคียง
แม้แต่ในเมืองหลวงของอาณาจักร และจักรวรรดิของ NPC ห้องพักที่หรูหราที่สุดของโรงแรมก็ยังมีราคาเพียงสิบเหรียญเงินต่อคืนเท่านั้น
อย่างไรก็ตามห้องพักของโรงแรมในป้อมปราการแสงดาวนั้นไม่เพียงแต่จะมีขนาดเล็กเท่านั้น แต่มันยังมีราคาแพงมากด้วย !!!
มันมีราคาเป็นคริสตัลเวทย์มนต์หนึ่งชิ้นต่อหนึ่งคืน !!
ปัจจุบันทีมของพวกเขานั้นมีผู้เล่นห้าร้อยคน หากพวกเขาเช่าโรงแรมหนึ่งคืนที่นี่ พวกเขาก็จะต้องจ่ายด้วยคริสตัลเวทย์มนต์ถึงห้าร้อยชิ้นเลย ….
สมาชิกของหัวใจพายุที่เหลือเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับเรื่องนี้
แม้แต่กิลชั้นสูงนั้นก็ไม่น่าจะสามารถจ่ายค่าใช้จ่ายที่แพงขนาดนี้ได้ นับประสาอะไรกับหัวใจพายุ มันมีเพียงมหาอำนาจเท่านั้นที่จะมีเงินทุนมากพอในการเช่าโรงห้องพักในโรงแรมแบบนี้
“เดี๋ยวก่อน มีบางอย่างแปลกๆ ดูเหมือนว่ามานาตรงนี้จะมีความแตกต่างออกไป …” Elementalist หญิงขั้นสามพูดขึ้น
“แตกต่าง ?” เมื่อได้ยินดังนี้ชายที่ดูโหดเหี้ยมก็ให้ความสนใจกับมานารอบตัวเขามากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้ค้นพบสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย “มันแตกต่างกันยังไง ?”
“ไม่ !! เธอพูดถูก !!” โครว์อุทาน “พูดให้ชัดคือพื้นที่นี้มันมีมานาสายธาตุหลาย
ประเภท”
“อืม ฉันรู้สึกได้ถึงองค์ประกอบของสายธาตุได้สามสายธาตุชั้นยอด และยิ่งกว่านั้น หลังจากเข้ามาที่นี่ มันก็ดูเหมือนว่าความหนาแน่นของมานาจะสูงขึ้นเรื่อยๆ” Elementalist หญิงอธิบาย
ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามทั่วไปนั้นอาจไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของมานาโดยรอบ แต่เธอนั้นมีมรดกมานาพิเศษ มันจึงทำให้เธอสามารถสังเกตเห็นความแตกต่างนี้ได้อย่างรวดเร็ว
“องค์ประกอบสามสายธาตุชั้นยอด ?” ชายที่ดูโหดเหี้ยมนั้นตกตะลึง เขาถามด้วยความตื่นเต้นว่า “นั่นหมายความว่าสภาพแวดล้อมในป้อมปราการนี้คล้ายกับสภาพแวดล้อมในสมัยโบราณใช่ไหม ?”
เหล่าผู้เชี่ยวชาญนั้นต่างก็ค้นคว้ากันอย่างต่อเนื่อง และพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันรวมไปถึงประวัติศาสตร์ของ God domain เพราะท้ายที่สุดข้อมูลแบบนี้นั้นมันซ่อนโอกาสไว้มากมาย ซึ่งสำหรับผู้เล่นอิสระและทีมนักผจญภัยที่ขาดแคลนทรัพยากร นี่เป็นหนึ่งในวิธีไม่กี่วิธีที่สามารถจะเชื่อถือได้ในการจะได้เผชิญหน้ากับโอกาสโดยบังเอิญ
โดยธรรมชาติแล้วทีมนักผจญภัยหัวใจพายุนั้นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น พวกเขานั้นล้วนเคยศึกษาเรื่องราวของ God domain กันมาทั้งนั้น โดยเฉพาะกับเรื่องยุคโบราณ ซึ่งเป็นยุคที่มนุษยชาติทรงพลังมากกว่านี้อย่างมาก ซึ่งทั้งอารยธรรมและเทคโนโลยีของมนุษย์ในสมัยโบราณนั้นได้พัฒนาไปถึงจุดที่ไม่น่าเชื่อเลย
ในการเปรียบเทียบ มนุษย์ในปัจจุบันนั้นก็แทบจะถึงขีดจำกัดแล้วหลังจากมาถึงขั้นห้า และหากให้กล่าวกันจริงๆตัวตนขั้นห้าในปัจจุบันก็อ่อนแอกว่าในสมัยโบราณอย่างมาก
ซึ่งความแตกต่างที่เกิดขึ้นแบบนี้มันก็เป็นเพราะองค์ประกอบของมานาโดยรอบ
ในสมัยโบราณองค์ประกอบของมานานั้นประกอบไปด้วยเจ็ดสายธาตุ แต่ตอนนี้มันเหลือแค่เพียงสี่เท่านั้น ส่วนองค์ประกอบที่เหลือจะพบได้แค่บางสถานที่เท่านั้น ซึ่งมันก็มีน้อยมาก
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้สิ่งมีชีวิตใน God domain นั้นไม่สามารถจะเข้าใจและควบคุมมานาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทำให้พวกเขานั้นก้าวไปสู่ขั้นใหม่ได้ยากขึ้น
แต่ตอนนี้สภาพแวดล้อมภายในป้อมปราการแสงดาวกับมีองค์ประกอบสามสายธาตุชั้นยอดที่หายไปอยู่ด้วย ซึ่งมันเป็นสภาพแวดล้อมที่เป็นเหมือนดั่งสมัยโบราณ นี่จึงนับเป็นโอกาสที่ท้าทายสวรรค์อย่างมาก !!!
ตอนที่ 2483
ความบ้าคลั่งที่ซ่อนอยู่
ทันทีที่ชายที่ดูโหดเหี้ยมพูดจบ ความตื่นเต้นก็ปรากฎขึ้นในดวงตาของพรรคพวกของเขาที่เป็นผู้เล่นขั้นสามทุกคน
หากสภาพแวดล้อมของป้อมปราการแสงดาวนั้นเหมือนกับในสมัยโบราณ ซึ่งประกอบไปด้วยองค์ประกอบธาตุทั้งเจ็ด มันก็จะนับเป็นสวรรค์ที่แท้จริงสำหรับผู้เล่น เพราะไม่เพียงแต่ผู้เล่นนั้นจะมีช่วงเวลาที่ง่ายขึ้นในการฝึกควบคุมมานาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ แต่มันยังจะช่วยให้พวกเขาปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาของตัวเองได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้ โครว์ก็ได้หันไปหา Elementalist หญิงขั้นสามที่ยืนอยู่ข้างๆเขาและพูดว่า “โรส กลับไปที่สำนักงานใหญ่หลักของเรา และรวบรวมคริสตัลเวทย์มนต์ทั้งหมดที่เรามีมา และส่งคนไปถามเกี่ยวกับเรื่องการเช่าโรงแรมที่นี่ด้วย เราจะใช้มันฐานชั่วคราวของทีมนักผจญภัยหัวใจพายุเรา จากนี้ไปสมาชิกขั้นสามทั้งหมดของหัวใจพายุจะต้องเข้ามาพัฒนาตัวเองที่ป้อมปราการแสงดาว !!!”
แม้ว่าการใช้ชีวิตในป้อมปราการแสงดาวนั้นจะมีค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่หากผลประโยชน์ที่มันมอบให้คือทำให้ผู้เล่นสามารถฝึกควบคุมมานาได้ดีขึ้น แถมยังปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว มันก็คุ้มค่ากับราคาแน่นอน และมันก็จะคุ้มค่าอย่างมากถ้าทีมนักผจญภัยของพวกเขาจะลงทุนคริสตัลเวทย์มนต์ทุกชิ้นที่มีตอนนี้หรือในอนาคตเข้ามาที่นี่
เลเวลนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญสูงสุดแล้ว สำหรับผู้เล่นขั้นสามในตอนนี้ เพราะการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานานั้นสำคัญกว่ามาก ผู้เล่นขั้นสามนั้นจะสามารถแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของขั้นสามออกมาได้ก็เมื่อพวกเขาทำแบบนี้ได้เท่านั้น
การอาศัยอยู่ในป้อมปราการแสงดาวนั้นจะช่วยเร่งกระบวนการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของพวกเขาได้เร็วขึ้น ซึ่งมันนับเป็นผลประโยชน์มหาศาลที่หายากและไม่เหมือนใคร
ผู้เล่นที่เหลือในทวีปด้านตะวันตกนั้นยังไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ ซึ่งทำให้หัวใจพายุนั้นมีโอกาสจะสร้างฐานปฎิบัติการของตัวเองในป้อมปราการได้ หากพวกเขารอจนกิลต่างๆสังเกตเห็นเรื่องนี้ การค้นหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาของทีมนักผจญภัยของพวกเขาในป้อมปราการแสงดาวก็จะเป็นเรื่องยากขึ้นมาก เพราะในแง่ของเงินและทรัพยากรนั้นหัวใจพายุไม่สามารถเทียบกับกิลชั้นสูงได้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงเหล่ามหาอำนาจต่างๆเลย
“เข้าใจแล้ว !!! ฉันจะรีบส่งไปจัดการและตรวจสอบทุกอย่างทันที !!!” ไอซ์โรส Elementalist หญิงตอบก่อนจะผละออกจากกลุ่มไป
ในขณะที่หัวใจพายุกำลังดำเนินการอย่างลับๆ ผู้เล่นอิสระขั้นสามคนอื่นๆที่เข้ามาในป้อมปราการและมีความไวต่อมานาเป็นพิเศษก็ทำเช่นเดียวกัน
ชั่วขณะหนึ่งมันมีบางอย่างเกิดขึ้นในป้อมปราการแสงดาวที่เกือบจะว่างเปล่า แม้จะแทบไม่มีผู้เล่นเข้ามาเยี่ยมชมป้อมปราการ แต่โรงแรมนั้นก็ค่อยๆถูกจองจนเต็มไปทีละห้อง แถมห้องทั้งหมดยังถูกเช่าในระยะยาวด้วย ซึ่งสิ่งนี้สร้างความตกตะลึงให้กับผู้เล่นที่มาเยี่ยมชมแบบไม่รู้อะไรเลย กับแม๊คอาฟรี่อย่างมาก
ผู้เล่นนั้นจะได้รับส่วนลดสิบเปอเซ็นต์เมื่อทำการเช่าห้องพักของโรงแรมในระยะยาว แต่อย่างไรก็ตามนี่มันก็หมายถึงว่าพวกเขาต้องจองห้องอย่างน้อยสิบวันขึ้นไป ซึ่งนั่นหมายความว่าการเช่าเป็นเวลาสิบวันที่ก็จะมีราเป็นคริสตัลเวทย์มนต์เก้าชิ้น โดยการเช่าแต่ละวันจะมีราคาเป็นคริสตัลเวทย์มนต์หนึ่งชิ้น นี่ยังรวมถึงเรื่องที่ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดภายในป้อมปราการนั้นมีราคาเป็นคริสตัลเวทย์มนต์ด้วย ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดนั้นมันจัดว่าฟุ่มเฟือยมากๆสำหรับผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม แต่อย่างไรก็ตามจตอนนี้มันกับมีผู้เล่นเกือบหนึ่งร้อยคนที่ทำการเช่าห้องพักโรงแรมในระยะยาวแล้ว
ผู้เล่นบางคนนั้นกระทั่งเหมาโรงแรมบางแห่งทั้งโรงแรมด้วย
เป็นผลให้ป้อมปราการนั้นได้รับคริสตัลเวทย์มนต์มาเกือบห้าพันชิ้นในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง หลังจากการเปิดตัว และจำนวนที่ได้รับก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะเดียวกันภายในสุสานดาว ….
ซือเฟิงและกองกำลังของเขานั้นได้ออกเดินทางไกลเข้ามายังสุสานดาว และกองกำลังนรกนั้นก็ต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้อันขมขื่นครั้งแล้วครั้งเล่า
แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามนั้นก็ยังต้องพยายามอย่างมาก เมื่อจะเคลื่อนไหวภายในดันเจี้ยนภูมิภาคแห่งนี้ เพราะท้ายที่สุดความคล่องตัวของพวกเขานั้นลดลงมาอยู่ที่ขั้นหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามโชคดีที่ค่าสถานะพื้นฐานของพวกเขานั้นไม่ได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ตามความคล่องตัวที่ลดลงนั้นมันก็ได้จำกัดพลังการต่อสู้ของทุกคนลงอย่างมาก
ในโลกภายนอกนั้นสมาชิกของกองกำลังนรกทุกคนสามารถจะโซโล่กับลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่เลเวลหนึ่งร้อยห้าได้อย่างสบายๆเลย แต่ในสุสานดาวนั้น พวกเขาแทบจะไม่สามารถเอาชนะลอร์ดบอสขั้นสูง เลเวลหนึ่งร้อยห้าได้ด้วยซ้ำ
โดยทั่วไปแล้ว ยักษ์ดินในพื้นที่ชั้นนอกของดันเจี้ยนนั้นก็จะเคลื่อนที่กันเป็นกลุ่ม กลุ่มละหลายร้อยตัว โดยแต่ละกลุ่มนั้นจะมีลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่อย่างน้อยหนึ่งร้อยตัว ซึ่งกลุ่มมอนสเตอร์เหล่านี้นับเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับกองกำลังนรก ทุกครั้งที่พวกเขาพบกับกลุ่มมอนสเตอร์ พวกเขาจะต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงในการกวาดล้างพวกมัน และเมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง พวกเขาก็จะต้องนำเต๊นท์ออกมากางเพื่อพักผ่อนและฟื้นฟูความแข็งแกร่งของตัวเอง เพราะหากพวกเขาไม่พักผ่อนการจะเอาชนะมอนสเตอร์กลุ่มต่อไปจะทำได้ยากมากๆ และนี่โดยปกติมันก็ลดความเร็วในการเก็บเลเวลของทุกคนลงไปในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตามกองกำลังนรกนั้นก็ต้องยอมรับเลยว่าดันเจี้ยนภูมิภาค โหมดพระเจ้า นั้นเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมมากๆ
ไม่เพียงแต่อัตราการดรอปของมอนสเตอร์ตัวนี้จะน่าประทับใจ แต่ไอเทมที่มันดรอปยังมีคุณภาพสูงมากเช่นกัน
คนๆหนึ่งจะต้องฆ่าแกรนลอร์ดเพื่อโอกาสในการได้รับอาวุธและอุปกรณ์ระดับลึกลับขั้นเงินในโลกภายนอก แต่ในสุสานดาว พวกเขาสามารถที่จะฆ่าลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่เพื่อรับเอาไอเทมระดับเดียวกันได้ นอกจากลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ของสุสานดาวยังมีโอกาสจะดรอปเซ็ทอุปกรณ์ระดับลึกลับขั้นเงิน เลเวลหนึ่งร้อยห้าด้วย
หลังจากการต่อสู้อยู่นานกว่ายี่สิบชั่วโมงในสุสานดาว กองกำลังนรกก็สามารถรวบรวมเซ็ท Secret Blue ได้สองเซ็ท และเซ็ทหนามได้หนึ่งเซ็ท เซ็ท Secret Blue นั้นเป็นเซ็ทอุปกรณ์สำหรับนักเวทย์ ในขณะที่เซ็ทหนามนั้นเป็นเซ็ทสำหรับพวกเกราะเบาสายโจมตี แม้ว่าทั้งสองเซ็ทจะเป็นเพียงเซ็ทหกชิ้น แต่เซ็ทระดับลึกลับขั้นเงิน เลเวลหนึ่งร้อยห้านั้นก็ถือว่าเป็นเซ็ทชั้นยอดแล้วในตอนนี้ที่ผู้เล่นส่วนใหญ่ยังมีเลเวลไม่ถึงหนึ่งร้อยห้าด้วยซ้ำ
แม้แต่สมาชิกกองกำลังนรกก็ยังต้องการเซ็ทอุปกรณ์พวกนี้ แม้ว่าชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาจะเป็นอุปกรณ์ระดับลึกลับขั้นเงิน เลเวลหนึ่งร้อยห้า และมีผู้เล่นจำนวนหนึ่งที่สวมใส่อุปกรณ์ระดับไฟน์โกลกับดาร์คโกล เลเวลหนึ่งร้อยห้าด้วย แต่ประโยชน์ที่เซ็ทอุปกรณ์ระดับลึกลับขั้นเงินมอบให้นั้น มันก็มากกว่าสิ่งที่พวกเขาสวมใส่อยู่ในปัจจุบันเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามถ้าพวกเขาไม่ต้องการจะสวมใส่มัน พวกเขาก็สามารถนำมันไปขายได้ ซึ่งพวกเขาจะทำเงินได้อย่างมหาศาล
แถมมอนสเตอร์ในสุสานดาวยังดรอปคริสตัลเวทย์มนต์ และหินมานาจำนวนมาก และกองกำลังได้รับเทคนิคการต่อสู้มาสามเทคนิคด้วย พร้อมกับหนังสือสกิลขั้นสองอีกหนึ่งเล่ม
แต่น่าเสียดายที่ก่อนจะเข้ามาที่นี่นั้นกองกำลังนรกได้ทำข้อตกลงกับซือเฟิงเอาไว้แล้ว เนื่องจากซือเฟิงได้ทำการว่าจ้างกองกำลังนรก ดังนั้นไอเทมที่ดรอปออกมาในระหว่างการเดินทางครั้งนี้จึงจะเป็นของเขาทั้งหมด ขณะที่กองกำลังนรกจะได้รับไปแค่ EXP เท่านั้น
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม เราพบเส้นทางไปยังชั้นสองของสุสานดาว มันอยู่ข้างหน้าแล้ว ….” เฮลรัชรายงาน พลางมองไปยังอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากทีม “อย่างไรก็ตามมันมีมอนสเตอร์อยู่ในพื้นที่นั้นหนาแน่นเกินไป และมันมีแกรนลอร์ดจำนวนหนึ่งอยู่ในกลุ่มพวกมอนสเตอร์ด้วย การจะผ่านไปนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย ฉันคิดว่าเราคงจะถูกจำกัดให้อยู่แค่ในพื้นที่นี้เท่านั้น”
ภายในสุสานดาวนั้นมันมีโครงสร้างคล้ายกับหอคอย โดยมันถูกแบ่งแยกออกเป็นหลายชั้น และแต่ละชั้นมีขนาดเท่ากับแผนที่เก็บเลเวลทั่วไปเลย ซึ่งที่นี่นั้นการจะผ่านแต่ละชั้นไปให้ได้ก็ยากกว่าโลกภายนอกมากๆ เพราะผู้เล่นจะต้องเผชิญหน้ากับแรงโน้มถ่วงที่สูงลิ่ว
มันไม่มีมหาอำนาจใดเลยที่จะผ่านพื้นที่บริเวณนี้เข้าไปยังชั้นสองของสุสานดาวได้ เพราะท้ายที่สุดการจะไปให้ถึงชั้นสองนั้นมันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผู้เล่นในปัจจุบัน
ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ผู้เล่นยังไม่สามารถใช้เครื่องมือใดๆได้ รวมไปถึงอาวุธสงคราม และสกิลเบอเซิกร์ด้วย
เมื่อรวมกับแรงโน้มถ่วงที่สูงลิ่วมากๆที่นี่ มันจึงทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะสามารถแท๊งแกรนลอร์ดพร้อมกันจำนวนหนึ่งได้ เพราะหากพวกเขาพยายามจะทำ พวกเขาจะถูกกำจัดโดยไม่มีโอกาสให้หนีด้วยซ้ำ และด้วยความเร็วในการเคลื่อนที่ของพวกเขาที่ลดลง พวกเขาจึงช้ากว่ายักษ์ดินมากๆ ซึ่งทางเลือกเดียวในการเอาชีวิตรอดที่เหลือของพวกเขานั้นก็จะเป็นการฆ่ามอนสเตอร์ทั้งหมดให้ได้
“แต่ว่าเป้าหมายของเราอยู่ที่ชั้นสองนะ ….” ซือเฟิงกล่าวพลางส่ายหัว
สุสาดาวนั้นมีทั้งหมดสิบเอ็ดชั้น และชั้นแรกนั้นไม่สามารถถูกพิจารณาว่าเป็นพื้นที่ชั้นนอกดันเจี้ยนภูมิภาคได้ มันมีแต่การที่พวกเขาต้องไปให้ถึงชั้นสองเท่านั้น มันจึงจะเรียกว่าเข้าสู่พื้นที่ชั้นนอกอย่างแท้จริง และพวกเขาก็จะมีโอกาสได้รับดาวแห่งแสงจากการฆ่ามอนสเตอร์บริเวณนั้น
“ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ต้องการจะขึ้นไปยังชั้นสองนะหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม แต่เราไม่สามารถไปได้ไกลขนาดนั้นได้จริงๆ หากเราเริ่มการต่อสู้ใกล้กับอุโมงค์ เราจะดึงดูดยักษ์ดินทั้งหมดเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งไม่เพียงแต่เราจะต้องเผชิญหน้ากับยักษ์ดินเกือบพันตัว แต่ยังมีแกรนลอร์ดอีกห้าตัวด้วย ซึ่งพลังในการต่อสู้ในปัจจุบันของเรานั้นยังไม่สามารถเทียบกับมอนสเตอร์เหล่านี้ได้” เฮลรัชอธิบาย
มหาอำนาจต่างๆนั้นก็ล้วนพยายามจะไปให้ถึงชั้นสองเช่นกัน แต่แม้จะพยายามหลายวิธีจนถึงตอนนี้ มันก็ยังไม่มีใครประสบความสำเร็จ โดยแกรนลอร์ดทั้งห้าตัวนั้นก็มีความท้าทายมากเป็นพิเศษ แม้แต่ทีมผู้เล่นขั้นสาม หนึ่งพันคนก็ยังจะต้องดิ้นรนในการเอาชนะมัน ไม่ต้องพูดถึงทีมผู้เล่นขั้นสาม สามร้อยคนเลย
“ผ่อนคลายผู้บัญชาการรัช แม้ว่าฉันจะไม่สามารถรับปากใดๆเกี่ยวกับเรื่องของยักษ์ดินที่เหลือได้ แต่คุณสามารถจะฝากแกรนลอร์ดทั้งหมดไว้ให้เราจัดการได้” ซือเฟิง
กล่าวพลางหัวเราะเบาๆ ขณะที่เขามองไปยังยักษ์ดินที่มีความสูงแปดเมตร
“ห้ะ ?” เฮลรัชมองไปยังซือเฟิงอย่างพูดไม่ออก ทีมของซือเฟิงนั้นรวมซือเฟิงด้วยก็มีแค่สิบคนเท่านั้น แม้ว่าเขาจะรู้ว่าผู้เล่นเหล่านี้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ แต่เขาก็ไม่คิดว่าผู้เล่นสิบคนจะรับมือกับแกรนลอร์ดที่แข็งแกร่งมากห้าตัวได้ ซึ่งไม่วา่จะคิดอย่างไร ความคิดนี้ของซือเฟิงมันก็ดูเป็นเรื่องตลก ….
“ถูกต้อง คุณคิดว่าคุณกับกองกำลังของคุณจะสามารถจัดการมอนสเตอร์ที่เหลือได้ไหม ?” ซือเฟิงกล่าวถามพลางพยักหน้า
“ถ้าคุณสามารถหยุดพวกแกรนลอร์ดไว้ได้จริงๆ ส่วนที่เหลือก็ไม่มีปัญหาใดๆ” เฮลรัชพูดพลางยิ้มอย่างมั่นใจ “แต่คุณแน่ใจหรอว่าคุณจะสามารถจัดการกับแกรนลอร์ดทั้งห้าตัวได้ ?”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้” ซือเฟิงหันไปหาหยานเทียนซิงและคนอื่นๆพลางถามด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกคนสามารถจัดการกับแกรนลอร์ดห้าตัวนี้ได้ใช่ไหม ?”
“ไม่มีปัญหา ปล่อยให้เป็นหน้าที่เราเอง หลังจากดูกองกำลังนรกต่อสู้มานาน เราเองก็อยากจะลงมือบ้างแล้ว !!!” หยานเทียนซิงตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง
“เอาล่ะ งั้นก่อนอื่นล่อแกรนลอร์ดห้าตัวนี้ออกจากกลุ่มก่อน …” ซือเฟิงออกคำสั่ง
จากนั้นพรรคพวกของเขาห้าคนก็พุ่งเข้าใส่แกรนลอร์ดห้าตัวที่เฝ้าอยู่บริเวณอุโมงค์
นี่พวกเขาเอาจริงงั้นหรอ ? พวกเขาบ้าไปแล้วงั้นหรอ ? เมื่อเห็นหยานเทียนซิงและคนอื่นๆพุ่งไปข้างหน้านั้น ทั้งเฮลรัช และสมาชิกของกองกำลังนรกก็ล้วนเต็มไปด้วยความตกตะลึง
ตอนที่ 2484
ปลดล๊อคร่างมานา
ทั้งเฮลรัชและสมาชิกของกองกำลังนรกทั้งหมดนั้นล้วนเต็มไปด้วยความตกตะลึงมากๆ เมื่อพวกเขาเห็นสมาชิกของสภาสิบแปดปีกห้าคนกำลังพุ่งเข้าใส่แกรนลอร์ด
มันมียักษ์ดินอยู่เกือบหนึ่งพันตัวใกล้ทางเดินบริเวณนี้ และผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกมันนั้นก็คือ ลอร์ดบอสขั้นสูง เลเวลหนึ่งร้อยเก้า และมันมีลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่อยู่อีกมากกว่าหนึ่งร้อยตัว ซึ่งถ้ามอนสเตอร์พวกนี้เข้าล้อมทีมผู้เล่นขั้นสาม หนึ่งร้อยคนนั้นทั้งทีมจะถึงจุดจบแน่นอน
ยักษ์ดินนั้นไม่ได้รับผลกระทบจากแรงโน้มถ่วงของสุสานดาว ดังนั้นทั้งการเคลื่อนที่และความเร็วของมันนั้นจึงเหนือกว่าผู้เล่นขั้นสามอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ผู้เล่นจึงจะพึ่งพาค่าสถานะพื้นฐานเพื่อป้องกันการโจมตีของยักษ์ดิน และต้องใช้เทคนิคการต่อสู้ของพวกเขาเพื่อลดความเสียหายที่พวกเขาจะได้รับลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
กองกำลังนรกนั้นสามารถจัดการกับยักษ์ดินได้สามถึงสี่ตัวในคราวเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาจะมีมาตราฐานการต่อสู้ที่เหนือกว่าก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจะเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์กลุ่มใหญ่ได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้หยานเทียนซิง และสมาชิกอีกสี่คนของสภาสิบแปดปีกกับพุ่งเข้าหามอนสเตอร์จำนวนมากเหล่านี้อย่างไม่ลังเล ….
ในระหว่างที่เฮลรัชกำลังจะหันไปบอกให้ซือเฟิงหยุดคนของเขาเอาไว้นั้น ฉากที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้เฮลรัชพูดไม่ออกเลย
หยานเทียนซิง ไฟเออร์แดนซ์ อควาโรส ไวโอเล็ทคลาวด์ และอี้ลั่วเฟยนั้นรวดเร็วเกินไป
แม้ในสุสานดาวจะมีแรงโน้มถ่วงสูงมาก แต่ผู้เล่นทั้งห้าก็ข้ามผ่านระยะหลายร้อยหลาได้ในห้าวินาทีและไปถึงมอนสเตอร์ที่เฝ้าอุโมงค์อยู่ ….
“เป็นไปไม่ได้ !!”
“พวกเขาเร็วขนาดนั้นได้ยังไงกัน ?!!”
“นี่พวกเขาค้นพบบัคที่ซ่อนอยู่งั้นหรอ ?!”
สมาชิกของกองกำลังนรกนั้นล้วนเต็มไปด้วยความสับสนเมื่อได้เห็นความเร็วของ
หยานเทียนซิง และพรรคพวกของเขา
แม้ว่าจะมีค่าสถานะพื้นฐานที่สูงลิ่ว แต่การจะทำความเร็วให้ได้แบบนี้ในสภาพแวดล้อมแบบนี้นั้นมันก็ไม่ควรจะเป็นไปได้เลย เพราะแรงโน้มถ่วงที่เพิ่มขึ้นนั้นมันจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้เล่น แม้ว่าผู้เล่นขั้นสามจะมีค่าสถานะสูงกว่าปกติสองถึงสามเท่าก็ตาม แต่แรงโน้มถ่วงของสุสานดาวนี้มันก็ไม่ใช่อะไรที่จะสามารถเอาชนะได้ง่ายๆเลย
สมาชิกของกองกำลังนรกนั้นถึงกับสงสัยด้วยซ้ำว่า ถ้าพวกเขาก้าวไปสู่ขั้นสี่ได้ พวกน่าจะมีความคล่องตัว และความเร็วเทียบเท่ากับผู้เล่นขั้นสองเท่านั้นที่นี่
แต่กระนั้นตอนนี้กลุ่มของหยานเทียนซิงกับเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย เหมือนกับที่พวกเขาทำด้านนอกดันเจี้ยนภูมิภาค
นี่มันไม่น่าเชื่อเลย !!!
เดี๋ยวก่อนทำไมมานาที่อยู่รอบๆพวกเขาถึงมีความหนาแน่นมากขนาดนี้ ?! เฮลรัชมองไปยังกลุ่มของหยานเทียนซิงด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ หรือว่าพวกเขาจะสามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้แล้วงั้นหรอ ?
แม้ว่าเขาจะคิดถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา แต่เขาก็คิดว่ามันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
ผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆส่วนใหญ่นั้นยังไม่ได้เริ่มปลดล๊อคศักยภาพร่างมนากันเลย ไม่ต้องพูดถึงการปลดล๊อคได้เต็มศักยภาพอย่างสมบูรณ์แบบ
ขณะที่สมาชิกของกองกำลังนรกที่ก้าวหน้าไปไกลที่สุดในเรื่องนี้นั้นก็ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้แค่ยี่สิบเปอเซ็นต์เท่านั้น พวกเขายังเหลือหนทางอีกยาวไกลกว่าจะไปถึงหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ และพวกเขาก็อาจต้องใช้เวลาตั้งแต่หนึ่งไปจนถึงห้าเดือนเพื่อทำให้สำเร็จ
มันไม่มีใครสามารถจะปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาทั้งหมดได้ในชั่วข้ามคืน ผู้เล่นนั้นจะต้องพยายามทำความเข้าใจและควบคุมร่างมานาของตนอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้น ดังนั้นมันจึงนับเป็นกระบวนการที่ยาวนานและยากลำบากมาก
อย่างไรก็ตามมานาที่อยู่รอบๆกลุ่มของหยานเทียนซิงนั้นมันก็หนาแน่นมากซะจนทำให้เฮลรัชงงงวย
จนถึงตอนนี้นั้นหยานเทียนซิงและคนอื่นๆยังไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ใดๆตลอดทางที่ผ่านมา ดังนั้นเฮลรัชจึงไม่ได้สังเกตเหห็นอะไรที่ผิดปกติเกี่ยวกับมานารอบตัวพวกเขา และเขาก็คาดเดาว่าผู้เล่นเหล่านี้คงจะใช้อาวุธและอุปกรณ์พิเศษเพื่อทำให้มานารอบตัวนั้นหนาแน่น
อย่างไรก็ตามตอนนี้เมื่อผู้เล่นเหล่านี้เคลื่อนที่นั้น มานาพวกนี้ก็ติดตามพวกเขาไป และมันก็ชัดเจนเลยว่าไม่ได้มากจากอาวุธและอุปกรณ์ แต่มันมาจากร่างกายของพวกเขา
ก่อนที่เฮลรัชจะทันได้คิดอะไรเพิ่มเติม หยานเทียนซิงและพรรคพวกของเขาก็ได้มาถึงเป้าหมายแล้ว
[หัวหน้ายักษ์ดิน] (สิ่งมีชีวิตสายธาตุ แกรนลอร์ด)
เลเวล 112
HP 330,000,000/330,000,000
หัวหน้ายักษ์ดินนั้นมีความแข็งแกร่งอย่างมาก แม้จะอยู่ในโลกภายนอกก็ตาม เพราะสิ่งมีชีวิตสายธาตุนั้นมีค่าความต้านทานเวทย์ที่สูงมาก และร่างกายของหัวหน้ายักษ์ดินนั้นมันก็ยังทำมาจากหินแข็ง ซึ่งทำให้พลังป้องกันทางกายภาพของมันนั้นสูงพอๆกับมังกรที่อ่อนแอเลย นี่ยังไม่นับรวม HP ที่มีอีกจำนวนมาก
ทีมหนึ่งร้อยคนที่มีผู้เล่นขั้นสามประมาณสามสิบคนจะต้องดิ้นรนอย่างหนักเลยทีเดียวเพื่อที่จะโจมตีหัวหน้ายักษ์ดินแบบนี้ในโลกภายนอก เพราะท้ายที่สุดแล้วในโลกภายนอกกิลส่วนใหญ่ หรือผู้เชี่ยวชาญอิสระนั้นก็ยังมีจำนวนคนไม่มากพอที่จะจัดทีมให้เป็นผู้เล่นขั้นสามทั้งหมดได้
เมื่อไฟเออร์แดนซ์มาถึงตรงหน้าของหัวหน้ายักษ์ดินตัวหนึ่ง แกรนลอร์ดซึ่งตรวจพบแอสซาซินผู้นี้มานานแล้วก็ได้เหวี่ยงหมัดเข้าโจมตีเธอทันที
หัวหน้ายักษ์ดินนั้นมีความสูงแปดเมตร และหมัดของมันก็ใหญ่โตราวกับก้อนหิน การได้มองดูมันเหวี่ยงหมัดเข้าโจมตีไฟเออร์แดนซ์นั้น ก็เหมือนได้มองดูภูเขาเล็กๆกำลังตกลงมาบนตัวเธอ ไม่มีทางที่เธอจะหลบการโจมตีได้ เธอต้องป้องกันมันเพียงอย่างเดียว
“ในที่สุด ฉันก็จะได้ทดสอบความแข็งแกร่งของร่างมานาได้อย่างเหมาะสมสักที !!!”
อย่างไรก็ตามไฟเออร์แดนซ์นั้นไม่ได้มีท่าทีประหม่าใดๆ ตรงกันข้ามดวงตาของเธอกับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นด้วยซ้ำ เมื่อเห็นการโจมตีของแกรนลอร์ดกำลังเข้ามา เธอได้ชัก Thousand Transformations ออกจากฝัก และโจมตีโต้ตอบมันด้วยการโจมตีปกติ
ในตอนที่เธอกลับออกมาจากประตูมรดกนั้น เธอเหลือเพียงแค่ก้าวเล็กๆเท่านั้นก็จะสามารถปลดล๊อคศักยภาพทั้งหมดของร่างมานาของเธอได้แล้ว และหลังจากได้ใช้ห้องมรดก เธอก็สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ และเธอก็ได้ทดลองความรู้สึกทั้งหมดอยู่พักหนึ่ง หลังจากที่เธอปลดล๊อคมันได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์เมื่อวันก่อน
อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่ได้มีเวลาจะทดสอบมันอย่างจริงๆจังๆเลย อันเนื่องมาจากเธอยุ่งอยู่กับเรื่องของป้อมปราการแสงดาว
ดังนั้นเมื่อเธอมีโอกาสที่สมบูรณ์แบบ แบบนี้แล้ว เธอจึงไม่ต้องการจะพึ่งพาพลังของสกิลในการโจมตีโต้ตอบ เธอต้องการจะทดสอบให้เธอรู้และเคยชิน
“เธอเป็นบ้างั้นหรอ ? เธอเป็นเพียงแอสซาซิน แต่เธอกับพยายามจะต่อสู้กับมันตรงๆเนี่ยนะ ?”
สมาชิกของกองกำลังนรกนั้นคิดว่าไฟเออร์แดนซ์ประเมินความแข็งแกร่งของตัวเองสูงเกินไป เพราะเธอไม่ได้ใช้สกิลเพื่อหลบการโจมตีของแกรนลอร์ดเลย ทั้งๆที่จริงๆความเร็วของเธอนั้นก็ควรจะสามารถใช้มันหลบหลีกได้ไม่ยาก เพราะท้ายที่สุดเธอก็เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตอนันต์ ดังนั้นเธอจึงน่าจะสามารถทำนายวิถีการโจมตีของหัวหน้ายักษ์ดินได้อย่างง่ายดาย
ถึงกระนั้นแอสซาซินผู้นี้กับพยายามตอบโต้การโจมตีของหัวหน้ายักษ์ดินตรงๆ ซึ่งนี่มันไม่ต่างจากการฆ่าตัวตายเลย
ตู้ม !!
เสียงระเบิดนั้นดังก้องไปทั่วบริเวณ และพื้นดินก็สั่นสะเทือน ขณะที่ผลของการปะทะกันครั้งนี้มันก็ทำให้เกิดคลื่นกระแทกที่สร้างฝุ่นละอองลอยขึ้นไปในอากาศ
เมื่อฝุ่นละอองจางลง สมาชิกของกองกำลังนรกก็ต้องตกตะลึงกับฉากที่เห็นตรงหน้า
เธอป้องกันมันได้ !!!
แอสซาซินที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วนั้นสามารถป้องกันการโจมตีจากหัวหน้ายักษ์ดินตรงๆได้สำเร็จ !!!
“อึก !! เธอป้องกันมันได้จริงๆงั้นหรอ ?!”
“นี่เธอเป็นแอสซาซินจริงๆงั้นหรอ ?”
สมาชิกของกองกำลังนรกนั้นรู้สึกว่าความรู้ที่พวกเขาเคยรู้มาทั้งหมดนั้นพังทลายลงทันที เมื่อเห็นไฟเออร์แดนซ์สามารถป้องกันการโจมตีของหัวหน้ายักษ์ดินได้ตรงๆโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
แม้แต่ธันเดอร์บีสต์ ผู้ซึ่งมีค่า STR มากที่สุดในกองกำลังนรกก็ยังไม่สามารถจะทำแบบนี้ได้เลย หากเขาปราศจากฮีลเลอร์คอยช่วยเหลือ
แต่ถึงกระนั้นตอนนี้ไฟเออร์แดนซ์กับทำได้โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ….
แน่นอนเลยว่าความสามารถของร่างมานาระดับทอง ขั้นสูงสุดที่ถูกปลดล๊อคอย่างเต็มที่แล้วมันทรงพลังมาก หากเธอสามารถเรียนรู้เทคนิคมานาได้ เธอจะสามารถโซโล่กับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายได้เลย เมื่อซือเฟิงเห็นสิ่งที่ไฟเออร์แดนซ์สามารถทำได้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าอยากจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองทั้งหมดให้ไวที่สุด
ผู้เล่นของ God domain นั้นจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงก็ต่อเมื่อสามารถปลดล๊อคศักยภาพทั้งหมดของร่างมานาของตัวเองได้สำเร็จ หากไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาจะถูกถือว่าเป็นแค่กึ่งผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แม้จะไปถึงขั้นสี่แล้วก็ตาม
ยกตัวอย่างเช่นสุสานดาว หากผู้เล่นเข้ามาที่นี่ก่อนที่พวกเขาจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของพวกเขาได้ทั้งหมด พวกเขาก็จะต้องเจอกับการปราบปรามของดันเจี้ยนภูมิภาค
ดังนั้นสิ่งแรกที่ผู้เชี่ยวชาญทุกคนต้องเร่งทำเมื่อไปถึงขั้นสามได้ก็คือปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาของตัวเองให้สำเร็จไวที่สุด และจริงๆแล้วพวกเขาแทบจะต้องพักเรื่องเลเวลและขั้นไปก่อนด้วยซ้ำ เพราะท้ายที่สุดแล้วถ้าพวกเขาทำไม่ได้ อนาคตใน God domain ของพวกเขาก็จะไม่สู้ดีนักแน่นอน
ในขณะที่ซือเฟิงกำลังชื่นชมการแสดงของไฟเออร์แดนซ์ เธอก็ได้ใช้ Shadow Steps ไปปรากฎตัวขึ้นด้านหลังของหัวหน้ายักษ์ดิน “ตาฉันแล้ว !!!” ไฟเออร์แดนซ์ตะโกน พลางใช้ Thousand Transformations เล็งแทงเข้าไปที่หัวของแกรนลอร์ด
Absolute Strike!
ความมืดนั้นเข้าล้อมรอบไฟเออร์แดนซ์ทันที
-424,538!
ความเสียหายมากกว่าสี่แสนปรากฎขึ้นเหนือหัวของหัวหน้ายักษ์ดิน และในตอนนี้นั้นความเงียบก็เข้าไปคลุมไปทั่วกองกำลังนรก
ตอนที่ 2485
การต่อสู้ของผู้ที่ไม่เหมือนมนุษย์
“ความเสียหายมากกว่าสี่แสน ?!! นี่เธอยังเป็นมนุษย์อยู่รึปล่าว ?!!”
สมาชิกของกองกำลังนรกทุกคนต่างสงสัยว่านี่พวกเขาเห็นภาพหลอนไปรึปล่าว เมื่อพวกเขาได้เห็นค่าความเสียหายที่ปรากฎขึ้นเหนือหัวหน้ายักษ์ดินที่ไฟเออร์แดนซ์โจมตี ครู่หนึ่งพวกเขาถึงกับสงสัยว่าไฟเออร์แดนซ์นั้นเป็น NPC ปลอมตัวมาเป็นผู้เล่นรึปล่าว
แม้แต่พวกเขาซึ่งเป็นผู้เชี่ยชาญที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของ God domain ก็แทบจะไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับยักษ์ดินได้มากกว่าเจ็ดหมื่น ขณะที่ด้วยสกิลและเวทย์ขั้นสามของเฮลรัชซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่แข็งแกร่งที่สุดในกองกำลังของพวกเขาก็ทำความเสียหายได้มากกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะมอนสเตอร์พวกนี้นั้นามันมีค่าความต้านทานเวทย์ที่สูงลิ่ว และพลังป้องกันที่สูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ โดยพลังป้องกันทั้งหมดของมันนั้นสามารถจะเทียบได้กับพวกสายพันธุ์โบราณในเลเวลเดียวกันได้เลย
แต่ถึงกระนั้นพวกเขากับพึ่งได้เห็นแอสซาซินขั้นสามทำความเสียหายมากกว่าสี่แสนต่อแกรนลอร์ดได้ โดยใช้เพียงแค่สกิลขั้นสอง
แม้จะอยู่ในขั้นสาม แต่แอสซาซินก็ไม่ได้มีตัวเลือกมากมายนักในการจะเพิ่มพลังการโจมตีของตัวเอง สกิลส่วนใหญ่ของพวกเขานั้นจะเน้นไปที่การเพิ่มความเร็วในการโจมตี
แต่ไฟเออร์แดนซ์นั้นได้ลบเลือนสิ่งที่พวกเขารู้เกี่ยวกับอาชีพนี้ไปทั้งหมด เธอนั้นเป็นแอสซาซินที่มีพลังดิบมากขนาดนี้ได้ยังไง ? เธอนั้นทรงพลังมากกว่าเบอเซิกเกอร์ด้วยซ้ำในแง่ของพลังดิบ ….
ก่อนที่สมาชิกของกองกำลังนรกจะทันได้หายตกตะลึง หยานเทียนซิงและผู้เชี่ยวชาญอีกสามคนของสภาสิบแปดปีกก็เริ่มการต่อสู้กับหัวหน้ายักษ์ดินที่พวกเขารับผิดชอบแล้ว
หยานเทียนซิงนั้นสามารถหลบหลีกการโจมตีของหัวหน้ายักษ์ดินได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่เขาจะวนไปข้างหลังของแกรนลอร์ด จากนั้นเขาก็ได้ใช้กริชของเขาโจมตีหลายครั้งเข้าใส่หัวหน้ายักษ์ดิน
-134,324!
-274,543!
-133,645!
ความเสียหายหลายชุดนั้นปรากฎขึ้นเหนือหัวของหัวหน้ายักษ์ดิน และแม้ว่าความเสียหายที่เขาทำได้จะไม่เท่ากับไฟเออร์แดนซ์ แต่จำนวนทั้งหมดมันก็ยังจัดว่าน่ากลัวมากอยู่ดี
ในขณะเดียวกันอควาโรส อี้ลั่วเฟย และไวโอเล็ทคลาวด์ ซึ่งเป็นผู้เล่นนักเวทย์นั้นก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นมากกว่าสองคนแรกซะอีก
ทันทีที่อควาโรสร่ายเวทย์เสร็จ คลื่นยักษ์ที่สูงตระหง่านก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของเธอก่อนที่มันจะกลืนกินหัวหน้ายักษ์ดิน และยักษ์ดินอีกหลายโหลไปทันที
ด้วยการเคลื่อนไหวครั้งเดียว อควาโรสนั้นได้ทำให้หัวหน้ายักษ์ดิน และยักษ์ดินที่มีค่าความต้านทานเวทย์สูงมากบาดเจ็บสาหัสเพราะเวทของเธอ นอกจากนี้เธอยังสามารถสร้างความเสียหายได้มากกว่าหนึ่งล้านให้กับมอนสเตอร์แต่ละตัวด้วย
ในขณะเดียวกันอี้ลั่วเฟยก็ได้ทำการเรียกอุกกาบาตไฟออกมาห้าลูกให้โจมตีเข้าใส่หัวหน้ายักษ์ดินที่เธอรับผิดชอบ
หนึ่ง … สอง … สามลูก ….
ขณะที่อุกกาบาตตกลงสู่เป้าหมายแต่ละครั้งนั้น พื้นดินบริเวณนี้ก็สั่นสะเทือนทั้งหมด และเมื่ออุกกาบาตไฟทั้งห้าตกลงมาครบแล้ว มันก็ได้ก่อให้เกิดปล่องภูเขาไฟที่มีความกว้างหนึ่งร้อยเมตร และลึกกว่าสิบเมตรขึ้นที่บริเวณที่แกรนลอร์ดอยู่
อย่างไรก็ตามในบรรดาหัวหน้ายักษ์ดินที่ต้องเผชิญหน้ากับนักเวทย์ทั้งสามนั้น ตัวที่ไวโอเล็ทคลาวด์รับผิดชอบมีสภาพเลวร้ายที่สุด
ใบดาบเงาสามร้อยเล่มนั้นวนเวียนโจมตีกันอยู่รอบๆตัวแกรนลอร์ด ซึ่งใบดาบเงาแต่ละเล่มนั้นก็มีพลังมากพอที่จะทำให้มอนสเตอร์ต้องถอยไปได้เลย และเมื่อทั้งสามร้อยเล่มโจมตีพร้อมกัน มันก็สามารถอธิบายได้คำเดียวว่าเป็นโศกนาฏกรรม …
“ทำไมสภาสิบแปดปีกถึงมีผู้เล่นระดับสัตว์ประหลาดมากมายขนาดนี้กัน ?”
เมื่อมาถึงจุดนี้นั้นสมาชิกของกองกำลังนรกทุกคนเริ่มจะเชื่อแล้วว่าหยานเทียนซิงและพรรคพวกของเขานั้นสามารถที่จะฆ่าหัวหน้ายักษ์ดินทั้งห้าตัวได้ เพียงแต่ว่าพวกเขาต้องการเวลาเพิ่มนิดหน่อยเท่านั้น ….
พลังการต่อสู้ของพวกเขานั้นมันน่ากลัวจริงๆ ผู้เชี่ยวชาญทั้งห้าของสภาสิบแปดปีกสามารถปราบปรามหัวหน้ายักษ์ดินห้าตัวที่เป็นแกรนลอร์ดได้อย่างอยู่หมัดเลย และโดยไม่มีแท๊งเกอร์คอยช่วยเหลือด้วย ….
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม พวกเขา … ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของพวกเขาได้เต็มที่หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้วงั้นหรอ ?” เฮลรัชนั้นอดไม่ได้ที่จะถามซือเฟิง ในขณะที่เขาจ้องมองไปยังไฟเออร์แดนซ์และคนอื่นๆที่กำลังต่อสู้อยู่
เขาไม่สามารถคิดถึงเหตุผลอื่นใดที่จะทำให้ผู้เล่นทั้งห้าคนนี้มีพลังและความเร็วที่น่าทึ่งมากขนาดนี้ได้เลย
อย่างไรก็ตามตอนนี้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญของซุเปอร์กิลนั้นก็ยังไม่สามารถจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้ทั้งหมดเลย พวกเขาทั้งหมดยังคงอยู่ระหว่างการสำรวจและทดลองหลายอย่างอยู่เลย เพราะท้ายที่สุดแล้วผู้เชี่ยวชาญของพวกเขานั้นก็พึ่งจะมาถึงขั้นสามได้ไม่นาน
“ใช่แล้ว พวกเขาทั้งห้าคนปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้หนึ่งร้อยเปอ
เซ็นต์ทั้งหมดแล้ว” ซือเฟิงกล่าวยืนยันพลางพยักหน้า เขาไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดความจริงที่ไม่สามารถปกปิดได้
เขาไม่สามารถอธิบายความแข็งแกร่งของหยานเทียนซิงและอีกสี่คนได้ด้วยคำว่าค่าสถานะพื้นฐานที่สูงลิ่ว เพราะแม้ว่าพวกเขาจะมีค่าสถานะที่สูงกว่าตอนนี้อีกสักสองถึงสามเท่า แต่พวกเขาก็จะไม่สามารถแสดงพลังการต่อสู้ออกมาได้มากขนาดนี้ ผู้เล่นนั้นจะสามารถบรรลุความสำเร็จแบบนี้ได้ก็ด้วยการปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์เท่านั้น
น่าเสียดายที่โคล่า ชาโด้วซอร์ด เทอเทิ้ลโดฟ และ Alluring Summer นั้นยังไปได้ไม่ไกลถึงขนาดนั้น และในหมู่คนเหล่านี้ Alluring Summer ก็ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้สูงสุดที่เก้าสิบแปดเปอเซ็นต์ ซึ่งถ้าหากทีมของเขาปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์กันทั้งหมด เขาก็จะมีช่วงเวลาที่ง่ายมากขึ้นเยอะเลยทีเดียวในการล่าที่นี่
“พวกเขาทั้งห้าปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้วงั้นหรอ ?”
เฮลรัชและรองผู้บัญชาการรอบตัวของเขาอ้าปากค้าง เมื่อได้ยินคำตอบของซือเฟิง ก่อนหน้านี้พวกเขานั้นแค่สงสัยเท่านั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วพอซือเฟิงกล่าวยืนยัน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
แม้แต่ผู้เล่นที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้นก็ยังปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้แค่ราวยี่สิบเปอเซ็นต์เท่านั้น และเมื่อบวกกับพรสวรรค์ของพวกเขา พวกเขาก็จะต้องใช้เวลาอีกราวหนึ่งถึงสองเดือนเลยทีเดียวเพื่อจะเข้าถึงตัวเลขหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ได้
ถึงกระนั้นสภาสิบแปดปีกที่เริ่มต้นจากเป็นกิลที่ไม่มีอะไรเลยใน God domain และไม่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ใดๆ กับเลี้ยงดูผู้เชี่ยวชาญห้าคนที่สามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ออกมาได้แล้ว นี่มันไม่น่าเชื่อเลย !!!
“คุณยินดีที่จะเสนอคำแนะนำเกี่ยวกับร่างมานาให้เราไหม หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ? ถ้าคุณยินดี ฉันสามารถที่จะเป็นตัวแทนของกิลฉันเสนอผู้เชี่ยวชาญเข้าประจำการที่ป้อมปราการแสงดาวในระยะยาวได้ห้าหมื่นคน พร้อมกันนั้นจักรวรรดิโลกใต้พิภพจะจัดหาวัสดุหายากต่างๆในทวีปด้านตะวันตกให้กับสภาสิบแปดปีกมากเท่าที่กิลต้องการเลย” เฮลรัชกล่าวข้อเสนอโดยพยายามจะกักเก็บความตื่นเต้นของเขา
ร่างมานาของผู้เล่นทุกคนนั้นแตกต่างกัน มันจึงทำให้การจะเรียนรู้จากคนอื่นนั้นยากมากๆ แต่ความจริงที่ว่าสภาสิบแปดปีกได้เลี้ยงดูผู้เชี่ยวชาญห้าคนที่ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ออกมาได้แล้วนั้น มันก็พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาสามารถจะช่วยให้ผู้เล่นบรรลุความสำเร็จในข้อนี้ได้ และใครก็ตามที่มองเป็นอย่างอื่นก็คงจะเป็นได้แค่คนโง่เท่านั้น
ผู้เล่นจะเห็นความสำเร็จของตัวพวกเขาเองมากแค่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพร่างมานาที่พวกเขาสามารถปลดล๊อค และนี่มันยังรวมถึงการทำได้เร็วแค่ไหนด้วย ความแตกต่างระหว่างพลังการต่อสู้ที่สมาชิกสภาสิบแปดปีกแสดงออกมานั้น มันแตกต่างกับสมาชิกของกองกำลังนรกอย่างมาก
หลังจากที่เฮลรัชยื่นข้อเสนอและคำร้องขอของเขาไปแล้ว คนของเขาที่เหลือก็เริ่มกระสับกระส่ายพลางมองไปยังซือเฟิง พวกเขาอยากได้ยินคำตอบของซือเฟิง
ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าร่างมานาที่ถูกปลดล๊อคศักยภาพได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้นจะทำให้ผู้เล่นทรงพลังขึ้นมากขนาดนี้ แถมหลังจากได้เห็นการแสดงของหยานเทียนซิง และสมาชิกอีกสี่คนของสภาสิบแปดปีกอย่างชัดเจนแล้ว พวกเขาก็รู้ได้ทันทีเลยถึงเรื่องหนึ่ง
ผู้เล่นขั้นสามที่ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานายังไม่ได้ถึงหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้น จะไม่ต่างจากการวัชพืชเลยต่อหน้าผู้เล่นที่ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอ
เซ็นต์แล้ว
สมาชิกของกองกำลังนรกหลายคนนั้นมีมาตราฐานการต่อสู้ที่สูงพอๆกับไฟเออร์แดนซ์ และสมาชิกสภาสิบแปดปีกอีกสี่คน แต่อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาจะต้องต่อสู้กับผู้เล่นหนึ่งในห้าคนนี้ ยังไงพวกเขาก็จะปฎิเสธหัวชนฝาแน่นอน เพราะพลังการต่อสู้ของพวกเขานั้นมันแตกต่างกันราวกับสวรรค์และโลก
พวกเขานั้นยังคิดกันด้วยซ้ำว่าไฟเออร์แดนซ์และสี่คนนี้จะสามารถรับมือกับสมาชิกของกองกำลังนรกสามสิบคนพร้อมกันได้เลย
ยิ่งผู้เชี่ยวชาญของกองกำลังนรกคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งกระสับกระส่ายมากยิ่งขึ้น ตอนนี้แทนที่จะมีทัศนคติที่ภูมิใจในตัวเองเหมือนก่อนหน้านี้ พวกเขากับเฝ้ามองไปยังซือเฟิงอย่างคาดหวังและหิวโหย
อาวุธและอุปกรณ์นั้นจัดเป็นเรื่องรองสำหรับผู้เชี่ยวชาญแบบพวกเขา ความแข็งแกร่งส่วนบุคคลนั้นมันสำคัญกว่ามาก ในความเป็นจริงสาเหตุที่พวกเขาหลายคนเข้าร่วมกับจักรวรรดิโลกใต้พิภพก็เพื่อแสวงหาความแข็งแกร่งที่มากขึ้นนี่แหละ
“ไม่ต้องกังวลเรื่องผู้เชี่ยวชาญห้าหมื่นคนหรอก ..” ซือเฟิงกล่าวปัดข้อเสนอ เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว และหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้เห็นท่าทีของทุกคน “การให้คำแนะนำเกี่ยวกับร่างมานาแก่จักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้นใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ฉันต้องการให้จักรวรรดิโลกใต้พิภพช่วยฉันในเรื่องอื่นน่ะ ฉันไม่ได้ต้องการข้อเสนอของคุณ ซึ่งหากพวกคุณสามารถช่วยตามคำขอของฉันได้ ฉันก็จะให้คำแนะนำแก่พวกคุณ แม้ว่าฉันจะไม่สามารถช่วยพวกคุณปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของพวกคุณได้อย่างรวดเร็วทุกคนในระยะเวลาอันสั้น แต่ฉันก็ขอรับประกันว่าฉันจะสามารถช่วยพวกคุณให้ทำเรื่องนี้ได้เร็วขึ้นอีกนิดหน่อยแน่นอน”
เฮลรัชนั้นพยายามจะกล่าวออกมาอย่างสงบ เมื่อได้ยินคำพูดกึ่งตกลงของซือเฟิง “หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม โปรดระบุความต้องการของคุณมาเลย !!! ถ้าฉันมีสิทจะยอมรับมัน ฉันก็จะยอมรับทันทีในนามของกิลฉัน !!!”
“มันง่ายมาก ฉันต้องการให้กองกำลังนรกมาทำงานภายใต้คำสั่งของฉันเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม !!!” ซือเฟิงกล่าวพลางมองไปยังสมาชิกของกองกำลังนรกทุกคน
ตอนที่ 2486
ไอเทมที่ดรอปจากหัวหน้ายักษ์ดิน
เมื่อซือเฟิงพูดจบ เฮลรัชและคนอื่นๆก็แสดงสีหน้าประหลาดใจอย่างมากออกมา
“นี่คุณต้องการจะจ้างเราเป็นเวลาหนึ่งเดือนเลยงั้นหรอ ?” เฮลรัชนั้นอดไม่ได้ที่จะลังเลขึ้นมา เมื่อได้ยินความต้องการของซือเฟิง หากนักดาบต้องการความช่วยเหลือทางการเงิน เขาก็จะสามารถอนุมัติคำขอได้อย่างง่ายดายด้วยอำนาจของเขา อย่างไรก็ตามการจ้างกองกำลังนรกเป็นเวลาหนึ่งเดือนนั้นเป็นสิ่งที่แตกต่างออกไป
กองกำลังนรกนับเป็นกองกำลังหลักที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิโลกใต้พิภพ ซึ่งสิ่งสำคัญอันดับแรกของกองกำลังก็คือการปรับปรุงความแข็งแกร่งและเลเวลของสมาชิก โดยนี่มันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้กิลยอมลงทุนทรัพยากรจำนวนมากให้กองกำลัง
จักรวรรดิโลกใต้พิภพอาจเต็มใจจะใช้เงินและทรัพยากรเพื่อแลกกับการปรับปรุงพลังการต่อสู้ของสมาชิก แต่นั่นไม่ได้รวมไปถึงเวลาของกองกำลังนรกซึ่งเป็นกองกำลังหลักที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา เพราะท้ายที่สุดแล้วเหตุผลที่จักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้นยอมลงทุนทั้งเงินทรัพยากรจำนวนมากให้กับกองกำลังนรกก็เพื่อซื้อเวลาให้กับตัวเอง เพื่อความแม่นยำมันคือการที่พวกเขานั้นประหยัดเวลาให้ตัวเอง และทำให้ตัวเองได้เปรียบคู่แข่ง ดังนั้นการขายเวลาของกองกำลังหลักที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขานั้นมันจึงจะไม่ต่างจากการวางเกวียนไว้ข้างหน้าม้าเลย
ยิ่งไปกว่านั้นกองกำลังนรกยังมีงานมากมายที่ต้องจัดการ หากพวกเขาไปอยู่ภายใต้คำสั่งของซือเฟิงเป็นเวลาหนึ่งเดือนนั้น งานเหล่านี้ก็จะต้องถูกพับไว้ก่อน
“คุณสามารถมั่นใจได้เลยว่าในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่คุณถูกว่าจ้างนั้น เลเวลของคุณจะไม่ตามหลังคนอื่นๆแม้แต่น้อย ในความเป็นจริงแม้แต่มาตราฐานอาวุธกับอุปกรณ์ของคุณนั้นก็จะไม่ล้าหลังเช่นกัน นอกจากนี้คุณยังจะมีอิสระในการทำสิ่งที่คุณต้องการเกือบตลอดหนึ่งเดือนนี้ ฉันต้องการความช่วยเหลือจากคุณแค่บางเวลาเท่านั้น” ซือเฟิงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ เมื่อเขาเห็นความลังเลบนใบหน้าของเฮลรัช “ที่สำคัญที่สุดคือคุณจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของคุณก่อนใคร และฉันรับรองได้ว่าพวกคุณทุกคนจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ภายในหนึ่งเดือน”
ซือเฟิงนั้นเข้าใจถึงความกังวลของเฮลรัช เพราะท้ายที่สุดแล้วกองกำลังนรกนั้นนับเป็นกองกำลังหลักที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิโลกใต้พิภพ แม้ว่าซุเปอร์กิบจะลงทุนทรัพยากรส่วนใหญ่เข้ามาให้กองกำลังนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งกองกำลังจะแข็งแกร่งขึ้นโดยอัตโนมัติ กองกำลังยังคงต้องถนอมทุกๆวินาทีที่ตัวอยู่ในเกมไว้เพื่อปรับปรุงตัวเองเพื่อให้สามารถแข่งขันและเหนือกว่าทีมกับกองกำลังหลักของมหาอำนาจอื่นๆด้วย
มันไม่มีกิลใดที่จะยอมปล่อยให้กองกำลังหลักที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองเสียเวลาหนึ่งเดือนไปกับการทำงานให้คนอื่นหรอก แม้จะเป็นการเร่งกระบวนการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาก็ตาม
“ฉันไม่มีอำนาจในการจะตัดสินใจในเรื่องนี้ ฉันต้องรายงานเรื่องนี้ไปยังพวกระดับสูงของฉันก่อน ถ้าพวกเขาอนุมัติ ฉันก็ยินดีจะให้เป็นไปตามนั้น” เฮลรัชกล่าว แม้ว่าคำพูดของซือเฟิงจะดึงดูดเขา แต่เขาก็ยังคงส่ายหัวและไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้
กองกำลังนรกนั้นเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิโลกใต้พิภพ ซึ่งกิลนั้นได้ทุ่มทั้งเงินและทรัพยากรจำนวนมหาศาลเข้ามาคอยปรับปรุงกองกำลัง มันจึงไม่ใช่สิ่งที่ซือเฟิงนั้นจะสามารถเข้าไปแตะต้องได้ง่ายๆ
ยิ่งไปกว่านั้นจักรวรรดิโลกใต้พิภพอาจไม่มีวิธีการใดๆในการเร่งกระบวนการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาในตอนนี้ แต่มันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นในอนาคต หรือในอีกไม่กี่วันนับจากนี้ หากจักรวรรดิโลกใต้พิภพบังเอิญไปเจอวิธีการแบบนี้โดยบังเอิญ หลังจากเซ็นสัญญาไปกับซือเฟิง กองกำลังนรกก็จะต้องเสียเวลาหนึ่งเดือนไปโดยเปล่าประโยชน์ และพูดกันจริงๆด้วยพลังของกองกำลังนรกนั้น การเสียเวลาไปหนึ่งเดือนจัดว่าเป็นที่ยอมรับไม่ได้เลย
“เอาล่ะ ฉันได้รีบร้อนเรื่องข้อตกลงนี้ คุณสามารถจะกลับไปคิดดูก่อนได้ เมื่อคุณกลับไป …” ซือเฟิงกล่าว เขาไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อยกับคำตอบของเฮลรัช เพราะท้ายที่สุดเรื่องนี้มันก็เกินขอบเขตการตัดสินใจของเฮลรัชที่อยู่ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังนรกไปจริงๆ มันมีเพียงแค่หัวหน้ากิลและเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดของจักรวรรดิโลกใต้พิภพเท่านั้นที่จะสามารถตัดสินใจอะไรแบบนี้ได้
“ขอบคุณที่เข้าใจหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม เราจะรีบตอบกลับคุณโดยเร็วที่สุด” เฮลรัชกล่าวพลางพยักหน้า แม้ว่าภายในใจเขาจะรู้สึกว่ามันมีโอกาสน้อยมากเลยทีเดียวที่พวกระดับสูงจะอนุมัติคำขอนี้ เพราะท้ายที่สุดระยะเวลาหนึ่งเดือนนั้นมันยาวนานเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจำนวนผู้เล่นขั้นสามใน God domain กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกันโคล่าที่ได้ยินการพูดคุยนี้ก็มองไปยังซือเฟิงอย่างสับสน
“หัวหน้ากิล หัวหน้าวางแผนจะให้พวกเขาเข้าไปในประตูมรดกงั้นหรอ ?” โคล่าถามด้วยน้ำเสียงที่เงียบสงบ หากแต่ว่าสีหน้าของเขานั้นก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
โคล่านั้นได้สัมผัสถึงสิทธิประโยชน์ที่ประตูมรดกมอบให้มาเป็นการส่วนตัวแล้ว และมันก็เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการปรับปรุงและปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตามจำนวนช่องที่จะสามารถเข้าสู่ประตูมรดกได้ในแต่ละเดือนนั้นมีจำกัด และสภาสิบแปดปีกก็มีแทบจะไม่เพียงพอสำหรับตัวเองแล้ว เขารู้สึกว่าการจะมอบช่องให้จักรวรรดิโลกใต้พิภพด้วยนั้น มันจะเป็นการสิ้นเปลืองอย่างมาก เพราะท้ายที่สุดผู้เชี่ยวชาญขั้นสามที่สามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้นจะทำประโยชน์ได้มากมาย ยิ่งไปกว่านั้นการปล่อยให้กองกำลังนรกใช้ประตูมรดก มันก็จะเป็นการเปิดเผยมูลค่าที่แท้จริงของป้อมปราการแสงดาวด้วย
แม้ว่ากองกำลังนรกนั้นจะมีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามอยู่มากมาย แต่สภาสิบแปดปีกนั้นก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกัน กิลอาจไม่สามารถผลิตผู้เชี่ยวชาญขั้นสามได้สามร้อยคนในอีกสิบหรือสิบห้าวันข้าง แต่การผลิตผู้เชี่ยวชาญขั้นสามขึ้นมาให้ถึงสองร้อยคนนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ และในตอนนั้นสภาสิบแปดปีกก็น่าจมีผู้เชี่ยวชาญอีกจำนวนหนึ่งที่ปลดศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว
“อืม ฉันมีงานสำคัญที่ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญของกองกำลังนรกช่วยจัดการน่ะ …” ซือ
เฟิงกล่าวพลางพยักหน้า
“งานสำคัญ ?” คำพูดของซือเฟิงนั้นทำให้โคล่ายิ่งสับสน เขาไม่เข้าใจว่าซือเฟิงต้องการจะให้กองกำลังนรกทำอะไร ในแง่ของพลังการต่อสู้ ผู้เชี่ยวชาญของกองกำลังนรกนั้นด้อยกว่าไฟเออร์แดนซ์ และสมาชิกสภาสิบแปดปีกอีกสี่คนมากๆ ในความเป็นจริงทั้งห้าคนนี้จะสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญของกองกำลังนรกได้อย่างง่ายดายเลยด้วยซ้ำ และอย่างดีที่สุดนั้นกองกำลังนรกก็จะมีประโยชน์ในการบุกเข้าโจมตีดันเจี้ยนก็เท่านั้น
“ไฟเออร์แดนซ์และคนอื่นๆนั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ หลังจากปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวกันได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ แต่มันก็มีหลายสิ่งที่ไม่สามารถจะทำให้สำเร็จได้ด้วยผู้เล่นแค่ไม่กี่คน” ซือเฟิงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นโคล่ามองไปยังสมาชิกกองกำลังนรกอย่างดูถูก
กลุ่มห้าคนของไฟเออร์แดนซ์นั้นอาจจะสามารถปราบปรามสมาชิกกองกำลังนรกได้ในตอนนี้ แต่เมื่อสมาชิกของกองกำลังนรกปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้เท่าพวกเขานั้น กลุ่มห้าคนของไฟเออร์แดนซ์ก็จะต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่ยากลำบากเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นผู้เชี่ยวชาญของกองกำลังนรกนั้นจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์เมื่อไหร่ มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
ในขณะเดียวกันสิ่งที่ซือเฟิงต้องการคือกองกำลังนรกที่สามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ทั้งหมด
แม้ว่ามังกรเงินศักสิทธิ์จะกลายเป็นพรรคพวกของเขาแล้ว แต่นั่นมันก็เป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น เขายังต้องทำการทดสอบของออร์เบ็คให้เสร็จสิ้นภายในสี่เดือนเพื่อให้สัญญามีผลถาวร และการทดสอบของออร์เบ็คก็จะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแน่นอน ดังนั้นเขาจึงจำเป็นที่จะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะผ่านมันไปให้ได้
ในขณะเดียวกันวิธีการที่เขาคิดได้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งที่ดีที่สุดตอนนี้ก็ คือ การทำดาบโซโลมอนให้สำเร็จ
อย่างไรก็ตามตำแหน่งที่ชิ้นส่วนที่เหลือของดาบโซโลมอนอยู่นั้น มันก็ล้วนเป็นสถานที่ที่อันตรายมากๆ และความเสี่ยงที่มันจะล้มเหลวก็สูงมาก หากเขานำแค่ไฟเออร์
แดนซ์กับคนอื่นๆไปช่วยเขาในเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องการความช่วยเหลือจากกองกำลังนรก
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าได้รับความช่วยเหลือจากกองกำลังนรก สภาสิบแปดปีกก็จะไม่จำเป็นต้องกลัวมหาอำนาจในทวีปด้านตะวันออกอีกต่อไป พวกเขาสามารถจะปะทะกับเหล่ามหาอำนาจได้ตรงๆ และแข่งขันเพื่อแย่งจุดที่มีทรัพยากรสำคัญได้อย่างแท้จริง ซึ่งสภาสิบแปดปีกก็จะไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเมืองที่พวกเขามีเป็นหลักในการปกป้องทรัพยากรแล้ว แถมนี่มันก็จะช่วยป้องกันให้มหาอำนาจต่างๆไม่สามารถจัดการกับสภาสิบแปดปีกได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
ปัจจุบันแหล่งที่มาของอาวุธและอุปกรณ์ส่วนใหญ่ที่ผู้เล่นใช้กันนั้นยังคงมาจากมอน
สเตอร์ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้จะเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อผู้เล่นสายอาชีพเริ่มพัฒนาและมีความสามารถสูงขึ้นเรื่อยๆ
หากสภาสิบแปดปีกไม่ได้เข้ายึดและรักษาจุดที่มีทรัพยากรที่จำเป็นไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยความแข็งแกร่งโดยรวมของกิล การจะทำมันในอนาคตนั้นจะยากมากๆ
เมื่อซือเฟิงและโคล่าพูดคุยกันจบ ไฟเออร์แดนซ์และอีกสี่คนก็ได้ล่อหัวหน้ายักษ์ดินให้ออกห่างจากกลุ่มหลักได้แล้ว เมื่อเห็นอย่างนี้เฮลรัชก็นำทีมของเขาเริ่มปฎิบัติการกวาดล้างยักษ์ดินที่อ่อนแอตัวอื่นๆทันที
เมื่อไม่ต้องเผชิญหน้ากับแกรนลอร์ด สำหรับสมาชิกของกองกำลังนรกที่มีค่าสถานะทัดเทียมกับลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ และแกรนลอร์ดในเลเวลเดียวกันนั้น พวกเขาก็สามารถที่จะไล่จัดการมอนสเตอร์ที่เหลือได้สบายๆเลย หากจะพูดถึงความไม่สะดวกเพียงอย่างเดียวที่พวกเขาได้รับนั่นก็คือเรื่องความคล่องตัวที่ลดลงเท่านั้น
อย่างไรก็ตามสำหรับไฟเออร์แดนซ์และอีกสี่คนนั้น พวกเขาปราบปรามแกรนลอร์ดไว้ได้อย่างอยู่หมัดเลย และพวกเขาก็ไม่ได้เผชิญหน้ากับแรงกดดันมากมายนักด้วยในระหว่างการต่อสู้ ขณะที่กองกำลังนรกนั้นก็ค่อยๆไล่ฆ่ามอนสเตอร์ตัวอื่นๆไปอย่างเป็นระบบ
ประมาณสองชั่วโมงต่อมา มอนสเตอร์ตัวอื่นๆที่ไม่ใช่แกรนลอร์ดนั้นก็ตายลงทั้งหมดแล้ว ขณะที่ตอนนี้หัวหน้ายักษ์ดิน ที่เป็นแกรนลอร์ดทั้งห้าตัวนั้นก็เหลือ HP น้อยกว่าเจ็ดสิบเปอเซ็นต์แล้ว
สมาชิกของกองกำลังนรกนั้นอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างเช่นกันเมื่อได้เห็นฉากนี้ แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าไฟเออร์แดนซ์และคนอื่นๆนั้นจะสามารถโซโล่กับหัวหน้ายักษ์ดินได้ แต่พวกเขาก็ไม่คิดเลยว่าคนเหล่านี้จะทำให้แกรนลอร์ดแต่ละตัวสูญเสีย HP ไปได้มากขนาดนี้
“เอาล่ะรีบกำจัดหัวหน้ายักษ์ดินที่เหลือให้ไวที่สุด !!!” ซือเฟิงออกคำสั่ง เมื่อเขาเห็นสมาชิกของกองกำลังนรกกำลังจ้องมองไปยังกลุ่มของไฟเออร์แดนซ์อย่างตกตะลึง
คนอื่นๆนั้นอาจไม่รู้ถึงสภาพกลุ่มของไฟเออร์แดนซ์ตอนนี้ แต่เขารู้ดี เพราะท้ายที่สุดแล้วแม้ว่ากลุ่มของไฟเออร์แดนซ์จะทำให้ HP ของหัวหน้ายักษ์ดินลดลงไปอย่างมากแล้ว แต่พวกเขาก็ได้ใช้ค่าสตามิน่าและค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจไปอย่างมากเช่นกัน ซึ่งมันจะทำให้พวกเขาไม่สามารถโซโล่จนจบกับบอสได้แน่นอน และท้ายที่สุดแล้วผู้เล่นก็ยังต้องการกำลังคนจำนวนมากอยู่ดีเพื่อจะเอาชนะบอสแบบนี้ ไม่งั้นเขาคงไม่ขอยืมพลังของกองกำลังนรกมาหรอก
คำสั่งของซือเฟิงนั้นทำให้ทุกคนหายจากอาการตกตะลึง และพวกเขาก็พุ่งเข้าโจมตีมอนสเตอร์ช่วยเหลือกลุ่มของไฟเออร์แดนซ์ทันที
ซึ่งเมื่อมีกองกำลังนรกมาเข้าร่วมโจมตีด้วยแบบนี้ มันก็ใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่พวกเขาจะสามารถฆ่าหัวหน้ายักษ์ดินทั้งห้าตัวลงได้ โดยเมื่อบอสทั้งห้าตัวตายลงนั้นแถบ EXP ของทุกคนก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แกรนลอร์ดที่นี่นั้นให้ EXP มากกว่าแกรนลอร์ดในโลกภายนอกอย่างมาก
ซึ่งในเวลาสามวินาทีแถบค่า EXP ของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นสิบห้าเปอเซ็นต์ ซึ่งมันมากเท่ากับการล่าครึ่งวันของพวกเขาเลย
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่หัวหน้ายักษ์ดินทั้งห้าตายลง มันก็ได้ดรอปไอเทมไว้หลายโหลด้วย ไอเทมที่มันดรอปออกมานั้นมีมากมายกว่าไอเทมที่ดรอปจากมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายทั่วไปในโลกภายนอกซะอีก ครู่หนึ่งทุกคนจากกองกำลังนรกต่างก็ตกตะลึงกับฉากนี้
ตอนที่ 2487
เซ็ทเฟรมมิ่งสตีล
“นี่หัวหน้ายักษ์ดินดรอปไอเทมมากมายขนาดนี้เลยงั้นหรอ ?!”
“จำนวนไอเทมที่พวกมันดรอปนั้นคิดเป็นอย่างน้อยสามเท่าของที่แกรนลอร์ดภาย
นอกดรอปเลย !!!”
ดวงตาของสมาชิกกองกำลังนรกนั้นเปล่งประกาย เมื่อพวกเขาได้เห็นไอเทมที่หัวหน้ายักษ์ดินทั้งห้าตัวดรอปออกมา
มันมีแกรนลอร์ด เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยอยู่มากมายในโลกภายนอก ซึ่งรวมไปถึงในหุบเขาดาวด้วย และการฆ่าพวกมันได้สักตัวก็จะทำให้ผู้เล่นได้รับการเก็บเกี่ยวอย่างมากแล้ว และหากผู้เล่นโชคดี พวกเขาก็อาจจะได้รับอุปกรณ์ระดับดาร์คโกลมาสักชิ้นหนึ่งด้วย
ในระยะนี้ของเกม อุปกรณ์ระดับดาร์คโกล เลเวลหนึ่งร้อยห้า ถือเป็นอุปกรณ์ชั้นยอดที่จัดว่าแทบจะดีที่สุดเลยแม้แต่ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆ
สำหรับอาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย มันเป็นสิ่งที่สามารถหาได้จากการฆ่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยายเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ฆ่าได้ยากมากๆ ยิ่งไปกว่านั้นอัตราการดรอปนั้นก็ไม่ได้มีหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์เช่นกัน โดยปกติแล้วไอเทมระดับอีปิค เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยทั้งหมดที่กิลได้รับนั้นจะถูกจัดสรรแบ่งให้กับผู้อาวุโสสูงสุด หรือไม่ก็หัวหน้ากิล กับรองหัวหน้ากิลเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดก็ยังยากจะได้รับมันสักชิ้น ดังนั้นสำหรับผู้เชี่ยวชาญหลายคนในตอนนี้อุปกรณ์ระดับดาร์คโกล เลเวลหนึ่งร้อยห้าจึงจัดเป็นอุปกรณ์ที่ดีที่สุด
อย่างไรก็ตามตอนนี้หัวหน้ายักษ์ดินทั้งห้าตัวกับดรอปไอเทมที่เทียบเท่ากับแกรนลอร์ดสิบห้าตัวจะดรอปออกมาในโลกภายนอก นี่มันจึงนับเป็นแจ๊คพอตชัดๆ ยิ่งไปกว่านั้นหัวหน้ายักษ์ดินนี้ยังให้ EXP แก่พวกเขามากกว่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยายทั่วไปในโลกภายนอกซะอีก
ในขณะที่สมาชิกกองกำลังนรกกำลังพูดคุยกันเรื่องนี้อย่างเงียบๆ อควาโรสและคนอื่นๆก็รีบเก็บรวบรวมไอเทมที่หัวหน้ายักษ์ดินดรอปออกมาอย่างรวดเร็ว
“หัวหน้ากิล ครั้งนี้เราค่อนข้างจะโชคดีเลยทีเดียว หัวหน้ายักษ์ดินทั้งห้าตัวนี้ดรอปอุปกรณ์ระดับไฟน์โกล เลเวลหนึ่งร้อยสิบ ออกมาเจ็ดชิ้น ดรอปอุปกรณ์ระดับลึกลับขั้นเงิน เลเวลหนึ่งร้อยสิบ ออกมาสิบสองชิ้น และในบรรดาอุปกรณ์ระดับลึกลับขั้นเงินที่ดรอป มันยังมีเกราะและถุงมือที่อยู่ในเซ็ทแปดชิ้น ของเซ็ทอุปกรณ์ระดับลึกลับขั้นเงินดรอปออกมาด้วย” อควาโรสกล่าวรายงานซือเฟิงด้วยความสุจ หลังจากจัดการเก็บรวบรวมไอเทมที่ดรอปมาเรียบร้อย
อย่างไรก็ตามซือเฟิงไม่ได้แปลกใจเลยกับสถานการณ์เช่นนี้
แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะอยู่ที่ชั้นหนึ่งของสุสานดาว แต่สถานที่แห่งนี้ก็ยังคงจัดว่าเป็นดันเจี้ยนภูมิภาค โหมดพระเจ้า ดังนั้นไอเทมที่ดรอปออกมาแบบนี้จึงเป็นเรื่องปกติมาก ยิ่งไปกว่านั้นมันก็ยังไม่เคยมีใครเอาชนะหัวหน้ายักษ์ดินเหล่านี้ได้มาก่อน ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าแกรนลอร์ดตัวนี้จะดรอปอุปกรณ์ระดับไฟน์โกล เลเวลหนึ่งร้อยสิบ และอุปกรณ์ระดับลึกลับขั้นเงิน เลเวลหนึ่งร้อยสิบ ไว้มากขนาดนี้จึงเป็นเรื่องปกติ
“อุปกรณ์ระดับไฟน์โกล เลเวลหนึ่งร้อยสิบ และเซ็ทอุปกรณ์ระดับลึกลับขั้นเงิน เลเวลหนึ่งร้อยสิบ ?” เฮลรัชนั้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ เมื่อได้ยินรายงานของอควาโรส เพราะว่าอาวุธและอุปกรณ์ที่หัวหน้ายักษ์ดินดรอปเอาไว้นั้น มันมีไอเทมบางอย่างที่ดีกว่าที่เขาสวมใส่อยู่เล็กน้อยด้วย
อุปกรณ์ที่เขาได้รับมานั้นจัดว่าแทบจะเป็นอุปกรณ์ที่ดีที่สุดที่จักรวรรดิโลกกใต้พิภพจะหาได้เลย และมันมีเพียงแค่ไม่กี่คนในกิลเท่านั้นที่มีอุปกรณ์ที่ดีกว่าเขา ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขาไม่ได้มีอุปกรณ์ระดับอีปิคเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยสวมใส่อยู่จำนวนหนึ่ง บางทีไอเทมที่ดรอปอาจมีมูลค่ารวมเกินที่เขาใส่อยู่ซะอีก
“อืมมม ลองดูสิ …” อควาโรสพูดพลางยิ้ม ขณะที่เธอแชร์ข้อมูลของอุปกรณ์ที่พวกเขาได้รับให้กับเฮลรัชดู เธอนั้นไม่ได้คิดจะปกปิดข้อมูลใดๆของอุปกรณ์พวกนี้ เพราะท้ายที่สุดผู้เล่นจากสภาสิบแปดปีกทุกคนมีอุปกรณ์ที่ดีกว่ามาก
“นี่เซ็ทเฟรมมิ่งสตีลนี้จะไม่ทรงพลังเกินไปหน่อยงั้นหรอ ? หากแท๊งเกอร์คนใดคนหนึ่งของเราได้สวมใส่มัน พวกเขาน่าจะสามารถแท๊งหัวหน้ายักษ์ดินได้ด้วยตนเองเลย !!!” เฮลรัชร้องอุทานออกมา และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง ขณะเขามองไปยังเกราะและถุงมือ
แม้ว่าแท๊งเกอร์ของกองกำลังนรกในปัจจุบันนั้นจะมีอุปกรณ์ครบครันอยู่แล้ว และบางคนก็กระทั่งสวมใส่อุปกรณ์ระดับอีปิค เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยอยู่สองชิ้น แต่อย่างไรก็ตามมาตราฐานโดยรวมของอุปกรณ์ของพวกเขาก็ยังจัดว่าด้อยกว่าในระดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับเซ็ทเฟรมมิ่งสตีล
เพียงแค่โบนัสจากการสวมใส่เซ็ทครบห้าชิ้น และแปดชิ้นเพียงอย่างเดียว มันก็สามารถเทียบเคียงกับเอฟเฟคของอุปกรณ์ระดับไฟน์โกล เลเวลหนึ่งร้อยสิบได้เลย
เอฟเฟคที่จะได้รับเมื่อสวมใส่เซ็ทครบห้าชิ้นนั้นไม่เพียงแต่มันจะช่วยเพิ่มสกิลป้องกันทั้งหมดของผู้เล่นขึ้นสามเลเวล แต่มันยังเพิ่มค่าพลังป้องกันของผู้เล่นขึ้นอีกยี่สิบห้าเปอเซ็นต์ ในขณะที่เอฟเฟคเมื่อสวมใส่เซ็ทครบแปดชิ้นนั้น มันจะช่วยเพิ่ม HP และร่างกายทางกายภาพของผู้สวมใส่ขึ้นยี่สิบห้าเปอเซ็นต์ ซึ่งโบนัสเหล่านี้นั้นจะช่วยให้แท๊งเกอร์แข็งแกร่งขึ้น และมีความคล่องตัวขึ้นมาก แท๊งเกอร์ที่สวมใส่เซ็ทเฟรมมิ่งสตีลนั้นจะไม่มีปัญหาในการแท๊งมอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย เลเวลหนึ่งร้อยเลยในโลกภายนอกเลย
เมื่อพิจารณามาถึงจุดนี้นั้น เฮลรัชก็มีความคิดที่จะให้กองกำลังนรกนั้นทำการล่าในสุสานดาวต่อไป แม้ว่าพวกเขาจะทำงานให้กับซือเฟิงอยู่แล้วก็ตาม เพราะท้ายที่สุดถ้ากองกำลังนรกได้รับเซ็ทเฟรมมิ่งสตีลมาครบเซ็ท มันจะทำให้การบุกโจมตีดัน
เจี้ยนขนาดใหญ่พิเศษ เลเวลหนึ่งร้อยของพวกเขาง่ายขึ้นมาก
อย่างไรก็ตามเมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา เฮลรัชก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น
แม้ว่าสิ่งนี้มันจะล่อลวงเขาอย่างมาก แต่มันก็ไม่มีใครในกองกำลังนรกที่จะสามารถ
แท๊งกับหัวหน้ายักษ์ดินได้เลยในตอนนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะไฟเออร์แดนซ์ และคนอื่นๆคอยตรึงหัวหน้ายักษ์ดินไว้ กองกำลังนรกนั้นจะไม่สามารถจัดการกับมอนสเตอร์ตัวนี้ได้เลย
“ถ้าผู้บัญชาการรัช ชอบเซ็ทเฟรมมิ่งสตีลนี้ เมื่อเรารวบรวมได้ครบเซ็ทแล้ว ฉันก็ไม่มีปัญหาที่จะขายให้คุณนะ” ซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นเฮลรัชเงียบลงหลังากได้เห็นข้อมูลของเซ็ทเฟรมมิ่งสตีล
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม พูดจริงงั้นหรอ ?” เฮลรัชกล่าวขอคำยืนยันอย่างตื่นเต้น
เซ็ทเฟรมมิ่งสตีลนี้มันเป็นเซ็ทที่มีค่ามากๆสำหรับแท๊งเกอร์ และไม่สามารถจะหาซื้อได้เลยในโลกภายนอก
ในความเป็นจริง แม้แต่ซุเปอร์กิลต่างๆก็ยังไม่มีเซ็ทอุปกรณ์ชั้นยอดแบบนี้กันเลย ยิ่งไปกว่านั้นเซ็ทเฟรมมิ่งสตีลนี้ยังสามารถจะใช้ได้ถึงเลเวลหนึ่งร้อยสิบห้าด้วย อันที่จริงต้องบอกว่าชุดสามารถเติบโตไปได้ถึงเลเวลหนึ่งร้อยสิบห้า แต่ด้วยค่าสถานะ และคุณสมบัติที่น่าทึ่งของมันนั้น ผู้เล่นจะคงสามารถใช้ได้อยู่เลย แม้ว่าพวกเขาจะไปถึงเลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบแล้วก็ตาม มันมีเพียงแค่อุปกรณ์ระดับอีปิคเท่านั้นที่จะเหนือกว่าเซ็ทเฟรมมิ่งสตีล
“แน่นอน ตราบใดที่กองกำลังนรกยอมรับเงื่อนไขของฉัน นับประสาอะไรกับเซ็ทเฟรมมิ่งสตีลเซ็ทเดียว ต่อให้ต้องจัดหาให้ยี่สิบถึงสามสิบเซ็ทที่มีความสามารถเทียบเท่ากับเซ็ทเฟรมมิ่งสตีลนั้นก็ไม่มีปัญหาเลย” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า
เซ็ทเฟรมมิ่งสตีลนั้นจัดว่าเป็นเซ็ทที่ยอดเยี่ยมมากๆสำหรับผู้เล่นขั้นสามในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามเนื่องจากในอนาคตนั้นมันก็จะมีผู้เล่นจำนวนมากขึ้นที่สามารถปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้ ดังนั้นเซ็ทอุปกรณ์นี้จึงจะค่อยๆกลายเป็นของธรรมดาไปตามกาลเวลา นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อผ่านจุดหนึ่งไปแล้ว ในจุดที่ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเริ่มมีอุปกรณ์ และเซ็ทระดับดาร์คโกลสวมใส่ครบเซ็ท เพราะอย่างน้อยที่สุดหลังจากผ่านเลเวลหนึ่งร้อยมาแล้ว มีเพียงไอเทมระดับดาร์คโกลหรือดีกว่าเท่านั้นที่จะสามารถปรับให้เข้ากับร่างมานาของผู้เล่นได้อย่างง่ายดาย
หากผู้เล่นที่ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์หรือสูงกว่าแล้ว ใช้ไอเทมระดับไฟน์โกล หรือต่ำกว่าในการต่อสู้ ค่าความทนทานของไอเทมของพวกเขาก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว ในความเป็นจริง หลังจากมาถึงขั้นสี่ ผู้เล่นไม่ควรจะพิจารณาการใช้อาวุธและอุปกรณ์ระดับลึกลับขั้นเงินหรือต่ำกว่าเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากอาวุธและอุปกรณ์ระดับต่ำนั้นจะไม่สามารถทนต่อพลังของร่างมานาขั้นสี่ได้ และมันจะกลายเป็นไร้ประโยชน์ทันทีเลย เมื่อผู้เล่นใช้มันโจมตีออกไปเพียงสกิลหรือเวทย์เดียว
นี่นับเป็นความเจ็บปวดที่ผู้เชี่ยวชาญที่ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์หรือสูงกว่าต้องเผชิญ ในอนาคตมันจะมีผู้เล่นไม่มากนักที่ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้ถึงระดับนี้ ดังนั้นผู้เล่นจึงยังไม่รู้ว่าร่างกายที่ทรงพลังมากนั้นบางทีก็เป็นปัญหาเช่นกัน
“สามสิบเซ็ท ?” เฮลรัชนั้นอดไม่ได้ที่จะถูกล่อลวง
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าระยะเวลาการว่าจ้างที่ซือเฟิงเสนอที่หนึ่งเดือนนั้นมันนานเกินไป อย่างไรก็ตามเขาเริ่มลังเลแล้ว หลังจากได้ยินว่ากองกำลังนรกนั้นมีสิทจะได้รับเซ็ทที่มีความสามารถเทียบเท่ากับเซ็ทเฟรมมิ่งสตีลอีกสามสิบเซ็ท
เพราะท้ายที่สุด แม้ว่ากองกำลังนรกจะทำการออกล่าและเก็บเลเวลอย่างบ้าคลั่งในช่วงเวลาหนึ่งเดือน แต่มันก็จะมีสมาชิกเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นในหมู่พวกเขาที่สามารถจะเข้าถึงเลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบได้ในช่วงเวลานั้น ในขณะเดียวกันเซ็ทเฟรมมิ่งสตีลนั้นจัดเป็นเซ็ทอุปกรณ์ชั้นยอดที่ผู้เล่นจะยังคงสามารถใช้งานได้ แม้ว่าจะไปถึงเลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบแล้วก็ตาม กล่าวอีกนัยหนึ่งแม้ว่าจะต้องทำงานให้ซือเฟิงเป็นเวลาหนึ่งเดือน แต่กองกำลังนรกก็จะยังมีความได้เปรียบเหนือกองกำลังของมหาอำ
นาจอื่นๆ เมื่อพูดถึงมาตราฐานอุปกรณ์
ตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาต้องไปทำการพูดคุยกับพวกระดับสูงของกิลให้เหมาะสมแล้วสำหรับเรื่องนี้
“เนื่องจากเราจัดการมอนสเตอร์ที่นี่กันเรียบร้อยแล้ว เราควรมุ่งหน้าไปที่ชั้นสองกันได้แล้ว เพราะหากเราพักที่นี่พวกมอนสเตอร์อาจเกิดใหม่ได้” ซือเฟิงกล่างหลังจากปล่อยให้ทุกคนพักผ่อนชั่วครู่หนึ่งแล้ว
ซึ่งเมื่อได้ยินคำสั่งของซือเฟิง ทุกคนก็ลุกขึ้นยืน และเดินเข้าไปยังอุโมงค์ที่นำไปสู่ชั้นสองของสุสานดาวทันที
อุโมงค์นั้นยาวและแคบ อย่างไรก็ตามในนี้ก็ไม่มีมอนสเตอร์ แถมมานาในนี้ก็ยังมีความหนาแน่นอย่างน่าเหลือเชื่อ ซึ่งสถานการณ์นี้มันก็ช่วยให้ทุกคนนั้นผ่อนคลายสภาพจิตใจไปได้มาก
ในขณะเดียวกันหลังจากเดินมาประมาณห้านาที ทุกคนก็ได้มาถึงชั้นสองของสุสานดาว และแรงกดดันก็เข้าปะทะกับทุกคนทันทีที่พวกเขามาถึง
“ทำไมแรงโน้มถ่วงของที่นี่จึงสูงกว่าชั้นแรกมาก ?” อควาโรสนั้นรู้สึกอึดอัดทันที เมื่อเธอก้าวขึ้นมาที่ชั้นสอง
ในชั้นแรกนั้นเธอแทบไม่รู้สึกถึงผลกระทบของแรงโน้มถ่วงที่เพิ่มขึ้นเลย อย่างไรก็ตามตอนนี้เธอกับรู้สึกว่าร่างกายของเธอหนักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และแม้แต่ความคล่องตัวของเธอนั้นก็ลดลง
“แรงโน้มถ่วงที่นี่นั้นมีมากกว่าชั้นแรกถึงสองเท่า ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นขีดจำกัดของเราแล้ว …” เมื่อซือเฟิงสัมผัสได้ถึงแรงโน้มถ่วงที่ชั้นสอง เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแรงโน้มถ่วงของที่นี่จะทรงพลังมากขนาดนี้
จากสิ่งที่เขารู้จากในชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้น แรงโน้มถ่วงที่ปราบปรามผู้เล่นในสุสานดาวนี้จะเพิ่มขึ้นทุกชั้น เมื่อผู้เล่นเดินทางไปยังชั้นสูงขึ้น ดังนั้นการจะขึ้นไปถึงชั้นสูงสุดของสุสานดาวจึงยากอย่างไม่น่าเชื่อ และหลังจากไปถึงชั้นที่สี่แล้ว แม้แต่ผู้เล่นขั้นสามที่ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้อย่างสมบูรณ์แบบก็จะไม่สามารถต่อสู้ได้โดยไม่มีอุปกรณ์ต้านแรงโน้มถ่วง
อย่างไรก็ตามอุปกรณ์ต้านแรงโน้มถ่วงนั้นได้รับการพิจารณาว่าหายากอย่างไม่น่าเชื่อใน God domain ในความเป็นจริงผู้เล่นสายอาชีพไม่สามารถผลิตมันขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ อันเนื่องมาจากมันเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีโบราณ
หลังจากนั้นซือเฟิงและคนอื่นๆก็เริ่มกวาดล้างเหล่ามอนสเตอร์ที่อยู่นอกทางออกอุโมงค์
แม้ว่าแรงโน้มถ่วงที่ชั้นที่สองนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แต่ความแข็งแกร่งกับเลเวลของมอนสเตอร์นั้นก็แทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลย ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือในกลุ่มมอนสเตอร์นั้นมันมีลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ยักษ์ดินเพิ่มขึ้นมาจำนวนหนึ่ง อย่างไรก็ตามนี่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อซือเฟิงและคนอื่นๆเลย
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจที่สุดนั่นก็คือมอนสเตอร์ที่นี่นั้นให้ EXP มากกว่ามอนสเตอร์ในชั้นแรกอย่างน้อยสามเท่า ด้วยเหตุนี้ความเร็วในการเก็บเลเวลของทุกคนจึงเพิ่มขึ้นกันอย่างน้อยห้าสิบเปอเซ็นต์ เมื่อเทียบกับโลกภายนอก นอกจากนี้ไอเทมที่มอนสเตอร์ในชั้นนี้ดรอปมันก็ยังดีกว่าในชั้นแรกมาก แม้แต่ลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ ยักษ์ดินบางตัวก็ยังดรอปอุปกรณ์ระดับไฟน์โกล เลเวลหนึ่งร้อยสิบ
นอกเหนือจากนี้แล้วที่ชั้นสองยังมีมานาเบาบางกว่าชั้นแรกมาก ซึ่งมันส่งผลให้ทุกคนนั้นสามารถฝึกปรับปรุงการควบคุมมานาของร่างมานาของพวกเขาได้ในขณะต่อสู้
ซึ่งเมื่อเป็นดังนี้นั้นทั้งหมดจึงล่ากันอยู่ที่ชั้นสองเป็นเวลาสองวัน โดยค่อยๆขยับจากพื้นที่ชั้นนอกเข้าไปยังชั้นใน ซึ่งมันก็ทำให้ผู้เล่นหลายคนในทีมนั้นมีเลเวลเพิ่มขึ้นมากมาย
น่าเสียดายที่สำหรับซือเฟิงนั้น เขาได้มาถึงเลเวลหนึ่งร้อยสิบเอ็ดแล้ว ดังนั้นจำนวน EXP ที่เขาได้รับจากมอนสเตอร์ที่ชั้นสองมันจึงไม่ได้มากมายอะไร ดังนั้นเลเวลของเขาจึงไม่เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้สนเรื่องนี้ สิ่งที่เขาสนจริงๆคือเขายังไม่ได้รับดาวแห่งแสงมาเลย ตลอดการล่าสองวันที่นี่
“หัวหน้ากิล ฉันค้นพบหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอตรงนี้ !!!” ไฟเออร์แดนซ์ซึ่งถูกส่งไปสอดแนมด้านหน้ารายงานกลับมาหาทีมด้วยความตื่นเต้น
หีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอ ? ซือเฟิงตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของไฟเออร์แดนซ์
ตามความทรงจำของเขา สุสานดาวไม่ควรมีหีบสมบัติแม้แต่หีบเดียว ไม่ต้องพูดถึงหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอเลย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น