Reincarnation Of The Strongest Sword God 2831-2839

 ตอนที่ 2831 เอฟเฟคของเปลวไฟลึกลับขั้นสี่


เมื่อซือเฟิงได้เลือกจะทำการดูดซับเมล็ดพันธุ์แห่งเปลวไฟ เมล็ดพันธุ์แห่งเปลวไฟในมือของเขาก็กลายเป็นลำแสงสีเทาเข้มและพุ่งตรงเข้าสู่ร่างของซือเฟิง ก่อนที่มันจะหายไปในทันที


ในช่วงเวลาที่ลำแสงสีเทาเข้มเข้าไปอยู่ในร่างกายของเขา ซือเฟิงก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้นอกจากต้องกัดฟัน


นี่มันเจ็บมากๆ เจ็บเหลือเกิน !!!


มันเจ็บกว่าตอนที่เขาดูดซับเปลวไฟลึกลับขั้นสามซะอีก นี่ถ้าไม่ได้มีสกิลเมล็ดพันธุ์แห่งเปลวไฟที่ทำให้เปลวไฟลึกลับกลายเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเปลวไฟเพื่อลดความยากในการดูดซับ และลดความเจ็บปวดในระหว่างกระบวนการลง ซือเฟิงก็คิดว่าเขาคงไม่อาจจะทนได้ไหวแน่ๆ ….


หลังจากนั้นไม่นานแถบกระบวนการดูดซับก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของซือเฟิง แต่แถบนี้มันก็เพิ่มขึ้นช้ามาก และมันเพิ่มขึ้นเพียงหนึ่งเปอเซ็นต์เท่านั้นในช่วงเวลาเกือบสิบวินาที


“แม้จะมีสกิลเมล็ดพันธุ์แห่งเปลวไฟคอยช่วย เปลวไฟลึกลับขั้นสี่มันก็ยังถูกดูดซับได้ยากมากๆ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมในชีวิตที่ผ่านมาของฉัน มันถึงมีผู้เชี่ยวชาญแค่ไม่กี่คนที่สามารถใช้เปลวไฟลึกลับขั้นสี่ได้ ….”


เมื่อมองไปยังแถบกระบวนการดูดซับ ซือเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


และตอนนี้มันก็ทำให้ซือเฟิงเริ่มสงสัยแล้วว่า ผู้เชี่ยวชาญที่สามารถใช้เปลวไฟลึกลับขั้นสี่ได้ในชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้น ได้ใช้วิธีพิเศษในการดูดซับมันแบบเขารึปล่าว ….


หากนับรวมในชีวิตที่ผ่านมาของเขาด้วย เขาได้เล่น God domain นานกว่าทศวรรษแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่สามารถขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเกมแบบผู้เชี่ยวชาญระดับสัตว์ประหลาดเหล่านั้นได้ในชีวิตที่แล้วของเขา แต่เขาก็มั่นใจว่าด้วยประสบการณ์ของเขาจากทั้งชีวิตที่ผ่านมาและชีวิตนี้นั้น มันน่าจะทำให้ความอดทนทางจิตของเขามีมากพอจะเทียบกับผู้เชี่ยวชาญระดับสัตว์ประหลาดเหล่านั้นได้ ….


อย่างไรก็ตามเมื่อมาทำการดูดซับเปลวไฟลึกลับขั้นสี่ที่ถูกทำให้อ่อนแอลง เขากับยังคงตกอยู่ในความเจ็บปวดและทรมาณมากๆ


3% …. 10% …. 30% ….


“ทน !!!”


“ฉันต้องทนกับมันให้ได้ !!!”


ซือเฟิงกัดฟันของเขา ในขณะที่ดวงตาของเขาแดงก่ำ และใบหน้าของเขานั้นซีด

เผือดมากๆ


หลังจากนั้นเวลาก็ค่อยๆผ่านไปทีละนิดๆ ซึ่งเมื่อแถบกระบวนการดูดซับมีเริ่มไปได้ไกลขึ้น มีเปอเซ็นต์มากขึ้น กระบวนการดูดซับมันก็ยิ่งช้าลงไป และหลังจากผ่านไปสองชั่วโมงแถบกระบวนการดูดซับนี้ก็ได้มาถึงที่เจ็ดสิบสามเปอเซ็นต์ ซึ่งนี่มันทำให้ซือเฟิงจินตนาการได้ออกเลยว่ากว่ามันจะไปถึงหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้น เขาจะต้องแย่แค่ไหน


แถมนับตั้งแต่ที่แถบกระบวนการดูดซับของเมล็ดพันธุ์แห่งเปลวไฟของเปลวไฟลึกลับขั้นสี่ไปถึงหกสิบเปอเซ็นต์ ความแตกต่างของเปลวไฟนี้กับเปลวไฟที่ซือเฟิงดูดซับไปก่อนหน้านี้มันก็เริ่มปะทะกันอย่างรุนแรงในทะเลจิตวิญญาณที่อยู่ลึกเข้าไปในจิตใจของซือเฟิง


เมื่อแถบกระบวนการดูดซับมาถึงเจ็ดสิบสี่เปอเซ็นต์ ซือเฟิงก็แทบจะนอนลงไปกับพื้นแล้ว ตอนนี้เขารู้สึกว่าสติของเราเริ่มพร่ามัว และร่างกายของเขาก็เริ่มสูญเสียการควบคุม


“ผลกระทบของการดูดซับเมล็ดพันธุ์แห่งเปลวไฟของเปลวไฟลึกลับขั้นสี่นั้นมันมีมากขึ้นเรื่อยๆ หากฉันยังคงปล่อยให้มันดำเนินต่อไปทั้งแบบนี้ แม้ว่าจิตวิญญาณของฉันจะไม่ถูกทำลายลง แต่ฉันก็คิดว่าฉันน่าจะหมดสติไปจากผลของการดูดซับแน่ๆ” ซือเฟิงที่รู้สึกสติเริ่มพร่ามัวพยายามกัดฟัน และลืมตาให้มากขึ้น “ฉันต้องหาวิธีต้านทานผลกระทบของมัน ไม่งั้นฉันคงไม่สามารถจะทนได้จนถึงหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แน่ !!!”


ในสถานะที่ยังคงดูดซับอยู่แบบนี้ หากผู้เล่นหมดสติไป กระบวนการดูดซับทั้งหมดจะล้มเหลวทันที


เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซือเฟิงก็ได้เลือกจะใช้เทคนิคบางอย่างเพิ่มค่าความต้านทานทางจิตของเขาเพื่อใช้รับมือกับผลกระทบของกระบวนการดูดซับเปลวไฟลึกลับขั้นสี่ ซึ่งนี่มันก็ทำให้ซือเฟิงรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย ….


และหลังจากที่แถบกระบวนการดูดซับมาถึงแปดสิบเปอเซ็นต์แล้ว ซือเฟิงก็ได้ค้นพบความลับเรื่องหนึ่ง คือ ตอนนี้ความถี่ของผลกระทบที่มีมากขึ้นเรื่อยๆนั้นเริ่มเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นครั้งสองเท่าทุกวินาที ไปจนถึงสาม สี่ และห้าเท่าทุกวินาทีแล้ว


ซึ่งตอนนี้มันก็ทำให้ซือเฟิงนั้นต้องเพิ่มค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของตัวเองลงไปเพิ่มขึ้นในการใช้เทคนิคเพิ่มค่าความต้านทานทางจิตนี้ ซือเฟิงไม่กล้าที่จะประมาท หรือไม่ระวังแม้แต่วินาทีเดียว เพราะท้ายที่สุด เขารู้ดีว่าถ้าเขาพลาดนั้น เขาจะหมดสติไปทันทีแน่นอน และทุกอย่างที่เขาทนมาจนถึงตอนนี้มันก็จะกลายเป็นเรื่องไร้ค่า


83% …. 87% …. 92% ….


ยิ่งเปอเซ็นต์ของแถบกระบวนการดูดซับเพิ่มขึ้นไปสูงและใกล้เสร็จมากเท่าไหร่ ผลกระทบจากการดูดซับนี้มันก็ยิ่งทำให้ซือเฟิงรู้สึกเจ็บปวด และอึดอัดมากขึ้น จนเขารู้สึกแทบหายใจไม่ออก


“ยังอีกงั้นหรอ ?”


ซือเฟิงเหลือบไปมองที่แถบกระบวนการดูดซับ และตอนนี้เขาก็รู้สึกว่าจิตวิญญาณของเขากำลังจะพังลง


ตอนนี้เขารู้สึกเจ็บปวดมากๆทั้งร่างกาย และจิตใจ ซึ่งหากเขาไม่ได้โฟกัสการใช้ค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจ และสมาธิทั้งหมดไปกับการดูดซับเปลวไฟนี้ ตอนนี้เขาจะได้หมดสติลงไปในทันทีแน่นอน


อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ซือเฟิงกำลังจะทนไม่ไหวแล้ว มันก็มีเสียงแจ้งเตือนของระบบดังขึ้นมาที่หูของเขา


ระบบ : เมล็ดพันธุ์แห่งเปลวไฟของเปลวไฟลึกลับขั้นสี่ได้หลอมรวมเข้ากับเปลวไฟลึกลับอื่นๆเรียบร้อย และกลายเป็นสมบัติส่วนตัวของผู้เล่นซือเฟิง


ระบบ : ขอแสดงความยินดีด้วยที่คุณสามารถหลอมรวมเปลวไฟลึกลับขั้นสี่ได้สำเร็จ ค่าสถานะทั้งหมดของคุณจะเพิ่มขึ้นอย่างถาวรสามร้อยแต้ม ค่าสถานะทั้งหมดของคุณจะเพิ่มขึ้นสิบเปอเซ็นต์ ร่างกายทางกายดีขึ้นยี่สิบเปอเซ็นต์ ความเร็วในการตอบสนองเพิ่มขึ้นยี่สิบเปอเซ็นต์ การควบคุมจิตดีขึ้นสี่สิบเปอเซ็นต์ ค่าความต้านทานไฟเพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยห้าสิบแต้ม ค่าความต้านทานน้ำแข็งเพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยห้าสิบแต้ม สามารถควบคุมเปลวไฟลึกลับขั้นสี่ชิ้นนี้ได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ และเพิ่มความสามารถในการควบคุมธาตุไฟขึ้นยี่สิบเปอเซ็นต์


เมื่อได้ยินข้อมูลจากเสียงแจ้งเตือนของระบบซือเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อที่จะสัมผัสว่าทุกอย่างมันสำเร็จลงไปจริงๆแล้ว ….


หลังจากนั้นในชั่วพริบตา ซือเฟิงก็รู้สึกว่าเปลวไฟลึกลับขั้นสี่นี้เริ่มเข้ามาเติมเต็มร่างกายของเขา ขณะที่จิตวิญญาณของเขาที่อ่อนแอลงไปก่อนหน้านี้จากผลของกระบวนการดูดซับก็เริ่มฟื้นฟูตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็ว แถมพูดกันตามตรงมันยังพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นด้วย ตอนนี้ซือเฟิงรู้สึกว่าเขาสามารถสัมผัสหลายสิ่งในสภาพแวดล้อมรอบตัวเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก


“นี่มันคือพลังของเปลวไฟลึกลับขั้นสี่งั้นหรอ ?!”


ซือเฟิงนั้นรู้สึกเหมือนเขาได้เกิดใหม่เลย ตอนนี้ หลังจากที่เขาดูดซับเปลวไฟลึกลับขั้นสี่นี้เข้าไป เขารู้สึกอย่างชัดเจนเลยว่าเขาได้รับการปรับปรุงอย่างมากในทุกๆด้าน


โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องค่าความแข็งแกร่งทางจิต (จิตวิญญาณนั่นแหละ) ที่ตอนแรกเขาอยู่ในขั้นกลางของขั้นสี่ แต่ตอนนี้เขาได้ขึ้นมาอยู่ในขั้นสูงสุดของขั้นสี่แล้ว


อย่างไรก็ตามแม้ว่าผลที่ให้แก่ร่างกาย และจิตวิญญาณของเขาจะน่าทึ่ง แต่สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่าคือพลังดิบที่เขาได้รับเพิ่มมาจากเปลวไฟลึกลับขั้นสี่


เปลวไฟลึกลับขั้นสี่นี้เมื่อซือเฟิงใช้งานมัน มันจะช่วยเพิ่มพลังทำลายล้างขึ้นหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ ช่วยเพิ่มพลังของสกิลธาตุไฟทุกสกิลขึ้นหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ และในเวลาเดียวกันนั้นมันก็จะส่งผลให้ค่าความแข็งแกร่งทางจิตแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งร้อยห้าสิบเปอเซ็นต์เมื่อใช้ในตอนที่ทำการเล่นแร่แปรธาตุหรือปรุงอาหาร และมันก็จะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการผลิตไอเทมของทุกสายอาชีพขึ้นยี่สิบห้าเปอเซ็นต์ด้วย


เมื่อได้รับรู้ถึงเอฟเฟคทั้งหมดของเปลวไฟลึกลับขั้นสี่ที่เขาพึ่งดูดซับเข้ามา ในที่สุดซือเฟิงก็ได้เข้าใจแล้วว่าทำไมเปลวไฟลึกลับขั้นสี่จึงเป็นดั่งตำนานใน God domain เอฟเฟคที่มันมอบให้ผู้ที่ครอบครองนั้นแข็งแกร่ง และน่ากลัวมากจริงๆ


ไม่ว่าจะเป็นเอฟเฟคที่ช่วยในด้านการต่อสู้หรือสายอาชีพ พวกมันล้วนให้ผลที่ท้าทายสวรรค์อย่างมาก


ในเวลานี้โดยอาศัยเปลวไฟลึกลับขั้นสี่นี้ เขาจะสามารถโซโล่กับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายชั้นยอดในเลเวลเดียวกันได้สบายๆเลย


อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ซือเฟิงสนใจมากที่สุดก็คือเอฟเฟคที่มันจะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการผลิตไอเทมของทุกสายอาชีพขึ้นยี่สิบห้าเปอเซ็นต์


“ด้วยการอาศัยเปลวไฟลึกลับขั้นสี่นี้ ตอนนี้ฉันจะมีอัตราความสำเร็จในการผลิตอาวุธระดับอีปิคราวสามสิบเปอเซ็นต์แล้ว !!!” ซือเฟิงกล่าวด้วยความรู้สึกตื่นเต้น


ในตอนที่เขาได้รับแบบแปลนของเซ็ทมานาขั้นสามจำลองมานั้น เขายังไม่แน่ใจมากนักว่าเขาจะทำมันได้สำเร็จไหม เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากไม่มีอัตราความสำเร็จที่มากพอ เขาก็ไม่อยากจะเสี่ยงสร้างมัน เนื่องจากแร่เงินลึกลับ ซึ่งเป็นวัสดุที่สำคัญที่ต้องใช้สร้างเซ็ทมานาขั้นสามนั้นมันหายากมากๆ โดยมันหายากมากพอๆกับคริสตัลเจ็ดลูมินาลี่เลย


และอีกอย่างหนึ่งคือ แม้ว่าเขาจะมีสิทธิ์สังเคราะห์แร่เงินลึกลับขึ้นมาได้ แต่มันก็ต้องใช้เปลวไฟลึกลับขั้นสูงที่บริสุทธิ์มากๆ โดยเปลวไฟลึกลับขั้นสามนั้นมันไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตามตอนนี้เขามีทุกอย่างแล้ว และเขาก็พร้อมที่จะผลิตมันแล้ว


ในขณะที่ซือเฟิงกำลังคิดเกี่ยวกับวิธีการสร้างเซ็ทมานาขั้นสามจำนวนมาก ไฟเออร์แดนซ์ก็ได้วีดีโอคอลมาหาเขา


ซึ่งซือเฟิงก็ได้รับสายของเธอทันที โดยเขาได้มองไปยังไฟเออร์แดนซ์ที่ตอนนี้เป็นผู้รับผิดชอบสถานการณ์โดยรวมในเมืองสกายสปริง และถามว่า “มีอะไรเกิดขึ้นที่เมืองสกายสปริงรึปล่าว ?”

ตอนนี้เมื่อพวกเขามีป้อมปราการเคลื่อนที่คอยปกป้องหอคอยแห่งพันธสัญญาลับแล้ว มันจึงทำให้ไม่มีมหาอำนาจใดในอาณาจักรทวินทาวเวอร์ที่กล้าจะตั้งตนเป็นศัตรูกับสภาสิบแปดปีกเลย ดังนั้นนี่มันจึงควรจะเป็นเวลาดีที่สุดที่พวกเขาจะสามารถฟื้นฟูตัวเอง และจัดการเรื่องเมืองสกายสปริงได้ มันไม่ควรจะมีสิ่งใดที่จะเป็นปัญหากับพวกเขาอีกแล้วในอาณาจักรทวินทาวเวอร์


“ไม่มี เพียงแต่ว่าตอนนี้มันมีผู้เล่นจำนวนมาก เข้ามาที่สถานที่พักกิลของเราเพื่อสมัครเข้าร่วมกิล” ไฟเออร์แดนซ์กล่าวพลางยิ้มอย่างขมขื่น “เพียงครึ่งวัน สภาสิบแปดปีกของเราได้รับผู้เล่นเข้ามาเพิ่มแล้วราวห้าแสนคน ซึ่งในหมู่ผู้เล่นเหล่านี้มีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามอยู่มากกว่าหนึ่งหมื่นคน ซึ่งนี่มันทำให้อาวุธและอุปกรณ์ที่เราได้รับมาจากการต่อสู้ในเมืองสกายสปริงใกล้หมดลงแล้ว หากเราไม่สามารถหาพวกมันมาเสริมได้ การพัฒนาของสภาสิบแปดปีกก็จะต้องหยุดชะงัก และไม่สามารถขยายออกไปต่อได้”


“ฉันเข้าใจล่ะ …” ซือเฟิงพยักหน้าเข้าใจทันที เมื่อเขาได้ยินรายงานนี้จากไฟเออร์แดนซ์ ก่อนที่เขาจะยิ้มและพูดว่า “ฉันมีอาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิค พร้อมกับอาวุธและอุปกรณ์ระดับต่ำกว่านั้น เลเวลหนึ่งร้อยสามสิบหรือมากกว่าอยู่จำนวนหนึ่ง เดี๋ยวฉันจะใส่มันลงไปในคลังกิล นี่มันน่าจะพอทำให้เรารับมือกับสถานการณ์นี้ไปได้

สักพัก”


ไฟเออร์แดนซ์พยักหน้าให้กับคำพูดของซือเฟิง แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเธอจะรู้ว่าซือเฟิงมีอาวุธและอุปกรณ์ระดับต่างๆที่เลเวลนี้อยู่บางส่วน แต่เธอก็คิดว่ามันไม่น่าจะเพียงพอ ด้วยอาวุธและอุปกรณ์แบบนี้หลายร้อยชิ้น มันน่าจะหมดลงในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง


อย่างไรก็ตามก่อนที่ไฟเออร์แดซ์จะทันได้คิดอะไรเพิ่มเติม เธอก็ได้เห็นอาวุธและอุปกรณ์จำนวนหนึ่งปรากฎขึ้นในคลังกิลของสภาสิบแปดปีก


โดยอาวุธและอุปกรณ์เหล่านี้เป็นของที่ซือเฟิงได้ซื้อมาจากโลก God domain ยุคโบราณ ตลอดไปจนอาวุธและอุปกรณ์ต่างๆที่เขาได้รับมาจากการล่าที่ภูเขาไฟต้านเวทย์มนต์ ซึ่งมันมีมากกว่าหกพันชิ้น โดยทุกชิ้นล้วนมีเลเวลหนึ่งร้อยสามสิบหรือมากกว่าทั้งหมด และแม้แต่ระดับที่แย่ที่สุดก็ยังอยู่ในระดับทองแดง


ตอนที่ 2832 คลังกิลสภาสิบแปดปีกที่น่ากลัว


เมืองสกายสปริง สถานที่พักกิลสภาสิบแปดปีก :


“บอส คุณคิดยังไงถึงพาพวกเรามาเข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีกเนี่ย ? และดูแล้วสภาสิบแปดปีกก็ไม่ได้ทรงพลังอย่างที่ฉันคิดเลยแม้แต่นิดเดียว !!!” ซัมมอนเนอร์ขั้นสาม เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดกล่าวบ่น ขณะที่เขามองไปยังผู้เชี่ยวชาญขั้นสามที่มีตราแกนหลักของสภาสิบแปดปีดติดอยู่ที่หน้าอก ที่ยืนเฝ้าอยู่บริเวณประตูหน้าสถานที่พักกิลด้วยความไม่ยอมรับ “เท่าที่ฉันเห็นอาวุธและอุปกรณ์ของแกนหลักของสภาสิบแปดปีกเทียบกับสมาชิกระดับสูงของทีมนักผจญภัยหมาป่าแดงของเราไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงการจะนำมาเทียบกับพวกบริหารระดับสูงของทีมนักผจญภัยเราเลย”


ณ จุดนี้ที่สถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีก เท่าที่เขาสังเกตเห็นนั้น ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามส่วนใหญ่ของสภาสิบแปดปีกจะสวมใส่แค่อุปกรณ์ระดับเหล็กลึกลับ เลเวลหนึ่งร้อยสิบเท่านั้น ขณะที่มันก็มีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สวมใส่อุปกรณ์ระดับไฟน์โกล เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบ


ในทางตรงกันข้าม สมาชิกทีมนักผจญภัยหมาป่าแดงของพวกเขาที่มีจำนวนหลายร้อยคนนั้น แม้แต่อุปกรณ์ที่แย่ที่สุดของพวกเขา พวกเขาก็ยังสวมใส่อุปกรณ์ระดับเหล็กลึกลับเลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบ ขณะที่อาวุธที่แย่ที่สุดที่สมาชิกในหมู่พวกเขาใช้ก็ยังอยู่ในระดับลึกลับขั้นเงินเลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบด้วย


ขณะที่ผู้บัญชาการของพวกเขานั้นก็สวมใส่เซ็ทอุปกรณ์ระดับดาร์คโกล เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบครบเซ็ท แถมผู้บัญชาการของพวกเขายังมีไอเทมระดับอีปิคอีกสองชิ้น โดยหนึ่งในนั้นเป็นอาวุธด้วย ซึ่งนี่มันก็ทำให้ผู้บัญชาการของพวกเขานั้นแข็งแกร่งกว่าผู้เชี่ยวชาญทั่วไปมาก


“มันเป็นเรื่องปกติ สภาสิบแปดปีก และพันธมิตรของพวกเขาอย่างจักรพรรดคริมสัน กับอันยีลดิ้งโซลนั้นพึ่งจะผ่านสงครามครั้งใหญ่กับมหาอำนาจจำนวนมากมา ฉันได้ยินว่าผู้เชี่ยวชาญขั้นสามหนึ่งคนของสภาสิบแปดปีกโดยเฉลี่ยนั้นตายไปสองถึงสามครั้งในสงครามครั้งนี้ ขณะที่บางคนก็ตายไปห้าถึงหกครั้ง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่มาตราฐานอาวุธกับอุปกรณ์ของพวกเขาจะลดลง” ผู้บัญชาการทีมนักผจญภัยหมาป่าแดง ซึ่งเป็นหญิงสาวที่งดงามที่มีผมยาวประหม่า และสวมชุดเกราะสีแดงเพลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เธอจะกล่าวต่อว่า “และที่เรามาเข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีกก็ไม่ใช่เพื่อเรื่องนี้นะ …. เป้าหมายของเราคือการได้เข้าไปเก็บเลเวลในหอคอยแห่งพันธสัญญาลับ และการได้เข้าไปฝึกในป้อมปราการเคลื่อนที่ต่างหาก”


ปัจจุบันมาตราฐานอาวุธและอุปกรณ์ของกองกำลังต่างๆแทบจะเท่ากัน และพูดกันตามตรงอาวุธกับอุปกรณ์ที่ดีจะมาเทียบกับเรื่องที่จะทำให้ผู้เล่นมีสิททำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ได้สำเร็จมากขึ้นได้อย่างไร ?


และพูดกันตามตรงแล้วเรื่องของขั้นสี่นี่แหละเป็นเรื่องที่เธอโหยหามากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เธอได้เห็นการต่อสู้ในเมืองสกายสปริง ซึ่งมันทำให้เธอเข้าใจอย่างชัดเจนเลยว่าขั้นสามนั้นเป็นเพียงมดเท่านั้นต่อหน้าขั้นสี่ เธอนั้นเคยคิดว่าตัวเองเป็นผู้เล่นอันดับต้นๆของอาณาจักรทวินทาวเวอร์ แต่หลังจากได้เห็นทุกอย่างนี้ เธอก็ได้รู้เลยว่าความคิดของเธอมันน่าหัวเราะแค่ไหน


อย่างไรก็ตามมันยากมากๆที่จะเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่ได้ โดยไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้นหาดินแดนมรดก หรือการฝึกให้บรรลุเงื่อนไขเพื่อเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่ ทุกอย่างนั้นล้วนทำได้อย่างยากลำบากมากจริงๆ และตอนนี้วิธีที่เร็วที่สุดที่จะทำให้เธอเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่ได้สำเร็จก็คือการเข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีก ….


ซึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของผู้บัญชาการของพวกเขา ผู้เล่นในทีมนักผจญภัยหมาป่าแดงส่วนใหญ่พยักหน้าเห็นด้วย และดวงตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความโหยหามากๆ


ปัจจุบันมันเป็นที่รู้กันดีจากข้อมูลในฟอรั่มทางการว่า ป้อมปราการเคลื่อนที่นั้นมันมีสภาพแวดล้อมที่มีมานาหนาแน่นมากๆ และภายในนั้นการรับรู้องค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ของผู้เล่นก็จะชัดเจนกว่าในโลกภายนอกมาก ซึ่งนี่มันจะช่วยให้พวกเขาพัฒนาทักษะในหลายด้านของพวกเขาได้อย่างรวดเร็วขึ้นมาก กุญแจสำคัญของเรื่องนี้คือการที่พวกเขาจะได้ส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับการรับรู้องค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์และมานาภายในนั้น


เนื่องจากตอนนี้มันมีผู้เล่นเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่มากขึ้นแล้วใน God domain ฉะนั้นข้อมูล และวิธีการในการจะเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่มันจึงได้เริ่มถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ซึ่งนั่นก็คือการต้องเลือกเรียนรู้สกิลหรือเวทย์มรดกขั้นสี่ที่ดินแดนมรดกขั้นสี่กำหนดมาให้ ให้สำเร็จด้วยอัตราความสำเร็จตามกำหนด และต้องทำให้ได้ภายในเวลาที่กำหนดด้วย ซึ่งการมีความเข้าใจที่สูงมากเกี่ยวกับการรับรู้องค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ และมานานั้น มันก็จะช่วยเรื่องนี้ได้มากทีเดียว


ไม่งั้นแม้ว่าผู้เล่นคนหนึ่งจะค้นพบดินแดนมรดกขั้นสี่ จนไปถึงขั้นค้นพบมรดกขั้นสี่เรียบร้อย แต่พวกเขาก็จะไม่สามารถเลื่อนขั้นได้แน่นอน


ขณะที่สมาชิกทุกคนของทีมนักผจญภัยหมาป่าแดงกำลังพูดคุยกัน มันก็เกิดเสียงดังขึ้นในสถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีก ซึ่งนี่มันก็ทำให้ทุกคนรู้สึกสงสัยเล็กน้อย


“ฉันจำได้ว่าตรงนั้นมันเป็นคลังกิลของสภาสิบแปดปีกนี่นา …” ซัมมอนเนอร์ขั้นสาม เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดมองไปยังทิศทางของคลังกิลที่อยู่ในล๊อบบี้ด้วยความประหลาดใจ “หรือว่าคลังกิลของสภาสิบแปดปีกจะว่างเปล่างั้นหรอ ?”


“ไม่ใช่แน่นอน เพราะพวกเขาดูตื่นเต้น และมีความสุขมากๆ ….” อดีตผู้บัญชาการหญิงแห่งทีมนักผจญภัยหมาป่าแดง ซึ่งตอนนี้ได้เข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีกแล้วกล่าวพลางส่ายหัว


อย่างไรก็ตามหลังจากที่เธอพูดจบนั้น เธอก็ได้ยินเสียงที่เดือดพล่าน และเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดังมาจากระยะไกลอย่างชัดเจน


“อึก !! นี่กิลของเรายิ่งใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?! อาวุธและอุปกรณ์ต่างๆตั้งแต่ระดับทองแดงไปจนถึงระดับอีปิคที่สามารถใช้ได้จนถึงเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบจำนวนมากถูกนำมาให้แลกเปลี่ยนในคลังกิลเนี่ยนะ ?! ฉันได้ยินมาว่าในคลังกิลของมหาอำนาจอื่นๆนั้น อย่างดีที่สุดมันก็มีแค่อาวุธกับอุปกรณ์ระดับทองแดงไปจนถึงระดับอีปิคที่ใช้ได้จนถึงเลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบให้แลกเปลี่ยนเท่านั้น นี่กิลของเราทำผิดพลาดอะไรรึ

ปล่าว ?”


“ไม่น่าจะใช่นะ ในคลังกิลตอนนี้มันมีอาวุธและอุปกรณ์แบบนี้มากกว่าหกพันชิ้นเลยนะ แถมส่วนใหญ่ยังเป็นอาวุธและอุปกรณ์ระดับเหล็กลึกลับขึ้นไปด้วย ซึ่งนี่มันก็ทำให้เราแทบจะไม่ต้องกังวลเรื่องอาวุธกับอุปกรณ์ใดๆเลย เมื่อเราไปถึงเลเวลหนึ่งร้อย

สามสิบ”


ที่ด้านหน้าเค้าเตอร์ที่ทำหน้าที่จัดการเรื่องคลังกิลของสภาสิบแปดปีกตอนนี้นั้น ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกหน้าเก่าหรือหน้าใหม่ของสภาสิบแปดปีก พวกเขาก็ล้วนตื่นเต้นมากๆ


ใน God domain สำหรับผู้เล่นนั้นไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะเหนือไปกว่าอาวุธและอุปกรณ์แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาวุธและอุปกรณ์ชั้นยอดซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เล่นทุกคนล้วนปรา

รถนา

แต่ในตอนนี้สภาสิบแปดปีกกับนำอาวุธและอุปกรณ์หลายพันชิ้นที่ใช้ได้จนถึงเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบออกมาให้แลกเปลี่ยนในคลังกิล แถมหลายร้อยชิ้นยังเป็นอาวุธกับอุปกรณ์ระดับอีปิคด้วย ….


ในระยะนี้ของเกมตราบใดที่ได้รับอาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคที่ใช้ได้จนถึงเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบมา กิลมักจะสงวนไว้ให้กับพวกผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดหรือเก่งกาจกว่านั้น ไม่ก็พวกผู้บริหารระดับสูงของกิลทั้งหมด สมาชิกทั่วไปนั้นจะไม่มีสิทแตะต้องเลย


แน่นอนว่ามันก็เป็นเรื่องยากมากเช่นกันที่จะแลกเปลี่ยนอาวุธกับอุปกรณ์ระดับอีปิคที่ใช้ได้จนถึงเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบที่มีในคลังกิลของสภาสิบแปดปีก โดยจะต้องเป็นสมาชิกระดับสูงขึ้นไปจึงจะสามารถแลกเปลี่ยนได้ และราคานั้นมันก็ไม่ได้ถูกเลย ซึ่งแม้แต่ไอเทมชิ้นที่แย่ที่สุดนั้นก็ยังต้องใช้คะแนนกิลถึงสามล้านแต้มแลกเปลี่ยน ซึ่งหากวัดการตามราคาการแลกเปลี่ยนคะแนนกิล มันก็จะมีราคาที่หกพันเหรียญทองเลย


อุปกรณ์ระดับอีปิคที่สามารถใช้ได้จนถึงเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบที่มีราคาหกพันเหรียญทองในตอนนี้นั้นมันก็นับว่าแพงมาก


อย่างไรก็ตามอาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคที่ใช้ได้จนถึงเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบนั้นมันก็หายากมากๆ และส่วนใหญ่มันก็จะมีแต่ในบรรดากิลชั้นสูงขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งตอนนี้การที่สภาสิบแปดปีกยินดีจะนำมันออกมาไว้ให้สมาชิกระดับสูงของตัวเองแลกเปลี่ยนในคลังกิลนั้น มันจึงจัดว่าเป็นประโยชน์สำหรับสมาชิกเหล่านี้แน่นอน


ซัมมอนเนอร์ขั้นสาม เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดที่บ่นตอนแรกนั้นก็พูดไม่ออกเช่นกัน เมื่อเขาได้ตรวจสอบไอเทมทั้งหมดที่มีในคลังกิล


“บอส ดูเหมือนว่าสภาสิบแปดปีกจะทรงพลังมากกว่าที่ฉันคิดแหะ พวกเขากระทั่งนำอาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคที่ใช้ได้จนถึงเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบหลายร้อยชิ้นออกมาให้แลกเปลี่ยนโดยตรงด้วย แถมในหมู่อาวุธกับอุปกรณ์เหล่านี้มันยังมีแบบที่เป็น

เซ็ทด้วย หากคุณได้ใส่มันสักเซ็ท คุณจะแข็งแกร่งขึ้นมากๆแน่นอนบอส !!!”


ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงท่าทีของซัมมอนเนอร์ผู้นี้เลย แม้แต่อดีตผู้บัญชาการของเขาเองก็ยังเต็มไปด้วยท่าทีตื่นเต้นมากๆ


อาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคที่สามารถใช้ได้จนถึงเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบนั้นจัดว่าหาได้ยากมากๆ และแม้แต่มหาอำนาจต่างๆในปัจจุบันก็มีพวกมันแค่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ซึ่งด้วยอาวุธและอุปกรณ์แบบนี้มันก็จะทำให้ผู้สวมใส่มันกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสามอันดับต้นๆได้อย่างง่ายดายเลย


“เยว่ซี่ ไปแจ้งคนในกลุ่มของเราทั้งหมด จากนี้ไปให้หาวิธีรับเอาคะแนนกิลมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราต้องได้รับอาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคพวกนี้มาจำนวนหนึ่งให้เร็วที่สุด ถ้าเรามัวแต่ชักช้า ฉันกลัวว่าทีมนักผจญภัยทีมอื่นจะชิงแย่งตัดหน้าเราไปทั้งหมด !!!” อดีตผู้บัญชาการหญิงกล่าวกับซัมมอนเนอร์ขั้นสาม เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ด


“โอเค !! ฉันจะรีบไปแจ้งพวกเขาทันที !!!” ซัมมอนเนอร์ขั้นสามที่ชื่อเย่วซี่เองก็ตระหนักถึงเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว และเขาก็รีบติดต่อไปยังสมาชิกคนอื่นๆที่เข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีกอย่างรวดเร็ว


ซึ่งแน่นอนว่าทีมนักผจญภัยหมาป่าแดงนั้นไม่ใช่แค่พวกเดียวที่มีความคิดแบบนี้ ทีมนักผจญภัยอื่นๆที่เข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีกก็มีความคิดเดียวกัน เพราะท้ายที่สุดแม้ว่าหากเทียบกันเป็นค่าเงินเหรียญทอง มันจะแพงกว่าอาวุธและอุปกรณ์ทั่วไป แต่หากพวกเขาทำเควสต่างๆจนได้รับคะแนนสะสมกิลมาพอแลกเปลี่ยน ยังไงซะมันก็ยังคงจัดว่าคุ้มค่าอยู่ดี


ขณะเดียวในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมานั้น ซือเฟิงก็ได้อัดอาวุธและอุปกรณ์เข้าสู่คลังกิลเพิ่มเติมไปอีกมากกว่าหมื่นชิ้น โดยแบ่งเป็นอาวุธและอุปกรณ์ระดับทองแดงไปจนถึงอีปิค เลเวลหนึ่งร้อยสิบถึงหนึ่งร้อยยี่สิบด้วย


“หัวหน้ากิล วิธีการที่หัวหน้าใช้มันช่างสุดยอดจริงๆ !!! ด้วยอาวุธและอุปกรณ์พวกนี้ที่หัวหน้ามอบให้มา มันก็จะพอให้เราดำเนินงานตามปกติต่อไปได้อีกพักใหญ่ๆเลย !!” ไฟเออร์แดนซ์กล่าวขณะที่เธอตรวจสอบอาวุธและอุปกรณ์ในคลังกิลทั้งหมด


“นี่มันพึ่งเริ่มเท่านั้น …” ซือเฟิงที่วีดีโอคอลคุยกับไฟเออร์แดนซ์กล่าวพลางหัวเราะเบาๆ “ไปแจ้งให้ทุกคนในกิลทราบว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปสภาสิบแปดปีกจะเลิกจำกัดกิจกรรมของกิลให้อยู่แค่ในเมืองกิล และหอคอยแห่งพันธสัญญาลับแล้ว คนสามารถจะเริ่มเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระอีกครั้ง !!!”


“หื้ม ?” ไฟเออร์แดนซ์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำสั่งของซือเฟิง


ในปัจจุบันกองกำลัง NPC ต่างๆนั้นบ้าคลั่งมากๆ และแม้แต่คนของมหาอำนาจต่างๆก็ยังถูกฆ่าและปล้นในแผนที่ล่าเกือบทุกแผนที่


ในตอนแรกสภาสิบแปดปีกได้เลือกจะหลีกเลี่ยงที่จะพัฒนาในแผนที่ต่างๆ และมาซุ่มพัฒนาตัวเองในหอคอยแห่งพันธสัญญาลับเพื่อหลบจากเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม

หากซือเฟิงออกคำสั่งแบบนี้ มันจะเพิ่มอัตราการบริโภคอาวุธและอุปกรณ์ของกิลแน่นอน


“ได้ยินไม่ผิดหรอก ไปแจ้งทุกคนตามนั้น เพราะตอนนี้เราตามหลังมหาอำนาจอื่นๆอย่างมากแล้วในแง่ของดันเจี้ยน และทรัพยากรในแผนที่ล่าต่างๆ เราจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ มันถึงเวลาที่เราจะต้องกลับออกไปอีกครั้งแล้ว !!!” ซือเฟิง

กล่าวพลางพยักหน้า


“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะไปจัดการทันที” ไฟเออร์แดนซ์กล่าว หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้แล้ว เธอก็เห็นด้วยกับซือเฟิง เพราะพวกเขาไม่สามารถจะหลบจากเรื่องนี้ไปได้ตลอดจริงๆ


เมื่อไฟเออร์แดนซ์วางสายและรีบไปทำตามคำสั่งของซือเฟิง ซือเฟิงก็ได้เริ่มการติดตั้งกระจกแห่งโลกกับเมืองสภาสิบแปดปีก


ระบบ : คุณต้องการจะผูกมัดกระจกแห่งโลกไว้กับเมืองสภาสิบแปดปีกหรือไม่ ?


“ผูกมัด !!!” ซือเฟิงกล่าวโดยไม่ลังเล


ระบบ : กระจกแห่งโลกได้ถูกมัดไว้แล้ว


ระบบ : ขอแสดงความยินดีด้วย !! เมืองสภาสิบแปดปีกผ่านเกณฑ์ทั้งหมด และพร้อมจะอัพเกรดเป็นเมืองหลักแล้ว คุณต้องการจะอัพเกรดเมืองสภาสิบแปดปีกเลยไหม ?


ตอนที่ 2833 อัพเกรดเป็นเมืองหลัก


เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนนี้ของระบบ ซือเฟิงก็เลือกจะอัพเกรดเมืองสภาสิบแปดปีกให้กลายเป็นเมืองหลักทันทีโดยไม่ลังเล


ระบบ : มันจะต้องใช้เงินห้าแสนเหรียญทอง และคริสตัลเวทย์มนต์สองแสนชิ้นเพื่ออัพเกรดเมืองสภาสิบแปดปีกเป็นเมืองหลัก คุณเลือกที่จะจ่ายเลยไหม ?


“จ่าย !!”


ซือเฟิงไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้ เขาได้เตรียมเหรียญทองและคริสตัลเวทย์มนต์ที่จำเป็นต่อการอัพเกรดครั้งนี้ไว้ในกระเป๋าของเขาแล้ว


ช่วงเวลาที่ซือเฟิงเลือกจะจ่าย เงินห้าแสนเหรียญทอง และคริสตัลเวทย์มนต์สองแสนชิ้นก็หายออกไปจากกระเป๋าของเขา และหลังจากนั้นเสียงแจ้งเตือนของระบบหลายชุดก็ดังขึ้นมาที่หูของซือเฟิง


ระบบ : หลังจากชำระค่าใช้จ่ายเสร็จสิ้นแล้ว ผู้เล่นทุกคนในเมืองสภาสิบแปดปีกจะถูกเทเลพอร์ตออกจากเมืองภายในสามนาที เวลาอัพเกรดโดยประมาณคือสองชั่วโมง


ประกาศจากระบบภูมิภาคเมืองสภาสิบแปดปีก : เมืองสภาสิบแปดปีกจะได้รับการอัพเกรดเป็นเมืองหลัก ภายในสามนาทีนี้ผู้เล่นทุกคนในเมืองสภาสิบแปดปีกจะถูกเทเลพอร์ตออกจากเมือง ขอให้ผู้เล่นในเมืองทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเทเลพอร์ต


ซึ่งนี่มันก็ทำให้ภายในเมืองสภาสิบแปดปีกที่เหลือประชากรผู้เล่นไม่ถึงหนึ่งล้านคน ส่งเสียงอุทานด้วยความไม่อยากจะเชื่อกันออกมา


“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร ?! อัพเกรดเป็นเมืองหลัก ?!”


“เมืองสภาสิบแปดปีกยังไม่ใช่เมืองกิลขนาดใหญ่ขั้นสูงสักหน่อย แล้วทำไมเมืองสภาสิบแปดปีกถึงสามารถจะอัพเกรดเป็นเมืองหลักได้ ?!”


“นี่สภาสิบแปดปีกทำอะไรไปกันแน่ ? ทำไมเมืองสภาสิบแปดปีกถึงจะได้รับการอัพเกรดเป็นเมืองหลัก ?!”

ผู้เล่นและกองกำลังต่างๆที่เลือกจะใช้เมืองสภาสิบแปดปีกเป็นฐานปฎิบัติการหลักของพวกเขาตกตะลึงไปชั่วครู่หนึ่งกับเรื่องนี้


โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกของกองกำลังขนาดใหญ่ต่างๆที่ล้วนรู้สึกว่าระบบกำลังล้อเล่นกับพวกเขา


ผู้เล่นทั่วไปอาจไม่ได้รู้ถึงเงื่อนไขเกี่ยวกับการอัพเกรดเมืองในขั้นต่างๆ แต่พวกเขานั้นล้วนรู้ดี แถมช่วงหลังมานี้ หลังจากสภาสิบแปดปีกใช้นโยบายปิดเมืองและเพิ่มค่าเข้าเมือง ประชากรของเมือง รวมไปถึงความเจริญในทุกๆด้านของเมืองนั้นก็ลดลงอย่างมาก


อย่างไรก็ตามอยู่ๆมันกับมีเสียงแจ้งเตือนของระบบดังขึ้นมาว่า เมืองสภาสิบแปดปีกกำลังจะถูกอัพเกรดเป็นเมืองหลัก ซึ่งจะให้พวกเขาทำใจเชื่อเรื่องนี้ได้อย่างไร ?


อย่างไรก็ตามแม้ว่าผู้เล่นในเมืองสภาสิบแปดปีกจะไม่อาจทำใจเชื่อเรื่องนี้ได้ แต่นาฬิกานับถอยหลังของระบบนั้นก็ยังคงรับถอยหลังเรื่อยๆ จนกระทั่งมันผ่านไปครบสามนาที ทุกคนก็ถูกบังคับเทเลพอร์ตออกจากเมืองสภาสิบแปดปีก และหลังจากถูกเทเลพอร์ตออกมา ทุกคนก็ได้แต่ยืนนิ่งอย่างตกตะลึง ในขณะที่สมองของพวกเขากำลังพยายามประมวลผลว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทุกเรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริง


และในไม่ช้าข่าวเรื่องนี้ก็ไปถึงหูพวกผู้บริหารระดับสูงของสภาสิบแปดปีก รวมไปถึงมหาอำนาจต่างๆอย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่มันก็ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง


สภาสิบแปดปีกนั้นมีเมืองหลักแล้ว ในขณะที่มหาอำนาจต่างๆยังไม่มีแม้แต่เมืองขนาดใหญ่ขั้นกลางด้วยซ้ำ นี่มันน่าเหลือเชื่อมากๆ !!!


“หัวหน้ากิล หัวหน้าทำอะไรไปกัน ?” เมื่อเหลียงจิงที่อยู่ในเมืองปีกสีเงินได้รับข่าวนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะรีบติดต่อมาถามซือเฟิง “ทำไมเมืองสภาสิบแปดปีกถึงได้รับการอัพเกรดเป็นเมืองหลัก ?”


ปัจจุบันเมืองปีกสีเงินซึ่งได้รับความนิยมมากๆของกิลนั้นใกล้ที่จะสามารถอัพเกรดเป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นสูงได้แล้ว ดังนั้นมันจึงยากที่จะจินตนาการว่าทำไมเมืองสภาสิบแปดปีกตอนนี้ที่ไม่ได้รับความนิยมากนักจึงได้รับการอัพเกรดแบบก้าวกระโดดให้กลายเป็นเมืองหลักของกิลก่อน


ในปัจจุบันนั้นสภาสิบแปดปีกไม่เพียงแต่ขาดแคลนอาวุธกับอุปกรณ์เท่านั้น แต่รายได้จากเมืองกิลต่างๆของกิลยังลดลงอย่างมากด้วยไม่เว้นแม้แต่เมืองปีกสีเงิน อันเนื่องมาจากการกดดันทางเศรษฐกิจของมหาอำนาจต่างๆที่ทำให้แม้แต่ทีมนักผจญภัยที่มีชื่อเสียงบางทีมก็ยังไม่กล้าจะเดินทางเข้ามาในเมืองกิลของสภาสิบแปดปีก


หากพวกเขาไม่ได้รับเหรียญทองจำนวนมากมาก่อนหน้านี้จากจักรพรรดิคริมสัน และอันยีลดิ้งโซล กิลก็แทบจะไม่สามารถรักษาการดำเนินงานตามปกติได้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงการรักษา และดูแลการดำเนินงานประจำวันของเมืองต่างๆเลย


แม้ว่าตอนนี้ หลังจากที่สภาสิบแปดปีกชนะสงครามครั้งใหญ่ที่หอคอยแห่งพันธสัญญาลับแล้ว มันจะทำให้มหาอำนาจต่างๆเริ่มยกเลิกการกดดันทางเศรษฐกิจต่อสภาสิบแปดปีก แต่พวกเขาก็ยังคงแอบปฎิบัติการบางส่วนอยู่อย่างลับๆเหมือนเดิม และแม้ว่าตอนนี้สภาสิบแปดปีกจะสามารถเข้าครอบครองหอคอยแห่งพันธสัญญาลับได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่มันก็ต้องใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งเลยกว่าที่กิลจะมีกิลกำลังคนมากเพียงพอที่แผ่อิทธิพลจำนวนมาก แบบไม่ต้องสนใครได้อีกครั้ง


ในสายตาของมหาอำนาจนั้น แม้ว่าสภาสิบแปดปีกจะแข็งแกร่งจนเหนือกว่ากิลชั้นยอดบางกิลแล้วในตอนนี้ แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ได้กลัวสภาสิบแปดปีกมากนัก อันเนื่องมาจากสภาสิบแปดปีกไม่มีผู้สนับสนุนใดๆ และเรื่องนี้มันก็เป็นสาเหตุหลักด้วยที่ทำให้พวกเขากล้าจะทำการกดดันทางเศรษฐกิจต่อสภาสิบแปดปีก


อย่างไรก็ตามเมื่อสภาสิบแปดปีกมีเมืองหลักแล้ว สถานการณ์ทั้งหมดมันก็จะเปลี่ยนไปแน่นอน


เพราะเมืองหลักนั้นมันแตกต่างจากเมืองกิลขนาดใหญ่อย่างมาก นอกเหนือจากขนาดที่ใหญ่กว่าแล้ว มันก็ยังจะมีสิ่งก่อสร้างขั้นสูงหรือเหนือกว่าที่จะมีแค่เฉพาะในเมืองหลักปรากฎขึ้นมาด้วย และที่สำคัญมันยังไม่ใช่แค่นี้ ตราบใดที่เมืองกิลเมืองหนึ่งสามารถไปถึงระดับของเมืองหลักได้ มันก็แทบจะถูกการันตีว่าปลอดภัยอย่างแท้จริง และแค่จำนวนทหาร NPC ที่เมืองสามารถรับสมัครเข้าประจำการได้มันก็มีถึงสามหมื่นคนแล้ว นี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่เมืองจะสามารถใช้โดเมนได้อีก


แถมเมื่อมีเมืองหลักนั้น กิลก็จะสามารถส่งทหาร NPC ออกไปต่อสู้นอกเมืองได้ด้วย ซึ่งนี่มันก็หมายความว่าในแผนที่ที่เมืองหลักของกิลๆนั้นตั้งอยู่นั้น กิลๆนั้นก็จะสามารถควบคุมแผนที่นั้นได้อย่างเบ็ดเสร็จเลย


กล่าวได้อีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อเป็นแบบนี้นั้นสภาสิบแปดปีกก็จะสามารถเปิดเมืองสภาสิบแปดปีกให้ NPC ต่างๆเข้ามาได้ โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะเข้ามาก่อปัญหาแล้ว การพัฒนาของเมืองสภาสิบแปดปีกจะกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง ….


“ความลับน่ะ …” ซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรก็ตามคุณเองก็ควรเตรียมตัวเช่นกัน เพราะหลังจากการอัพเกรดเรียบร้อย ฉันจะเปิดเมืองสภาสิบแปดปีกให้สาธารณชนเข้ามาอย่างเต็มที่ แถมฉันก็จะสร้างห้องเทเลพอร์ตที่เชื่อมต่อเมืองสกายสปริงกับเมืองสภาสิบแปดปีกเข้าด้วยกันด้วย …. เมื่อเวลานั้นมาถึง คุณจะต้องเข้ามาจัดการเมืองสภาสิบแปดปีก ส่วนการจัดการเมืองปีกสีเงินก็จะเป็นหน้าที่ของเมลาน

โครอิคสไมล์”


“หัวหน้ากิลจะให้ฉันจัดการเมืองสภาสิบแปดปีกงั้นหรอ ?” เหลียงจิงกล่าวอย่างประหลาดใจ “อย่างไรก็ตามเมลานโครอิคสไมล์นั้นอยู่ในเมืองไวท์ริเวอร์มาตลอด มันจะไม่สะดวกกว่าหรอถ้าจะส่งเธอไปจัดการเมืองสภาสิบแปดปีก ?”


ซือเฟิงส่ายหัว และพูดอย่างช้าๆว่า “ไม่ หลังจากเมืองสภาสิบแปดปีกถูกอัพเกรดเสร็จสิ้น ฉันวางแผนจะย้ายเมืองไปยังแผนที่เป็นกลางซึ่งอยู่ห่างจากอาณาจักรสตาร์มูน ดังนั้นเมลานโครอิคสไมล์ที่ต้องทำหน้าที่เป็นผู้จัดการบริษัทการค้าแสงเทียนด้วยจึงไม่สามารถจะรับงานในเรื่องนี้ได้ เพราะมันจะทำให้เธอยุ่งยากเกินไป และที่เหลือมันก็เพียงคุณแล้วที่เหมาะสมที่สุด”


เมลานโครอิคสไมล์นั้นมีงานในด้านต่างๆรัดตัวมากแล้ว และการดูแลเมืองหลักของกิลนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันจะมีสิ่งที่แตกต่างออกไปอย่างมากจากการดูแลเมืองกิลขนาดใหญ่ และบางสิ่งมันก็เป็นสิ่งที่จะต้องทุกวันด้วย หากเขามอบหน้าที่นี้ให้กับเมลานโครอิคสไมล์ เธอจะไม่มีแม้แต่เวลานอนแน่นอน


ในฐานะอดีตหัวหน้ากิลชั้นรอง เขารู้ดีว่าการจัดการเมืองกิลมันเหนื่อยแค่ไหน


ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา ส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาไม่สามารถจะทำเควสเลื่อนขั้น เป็นขั้นสี่ได้สำเร็จ มันก็เป็นเพราะเขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดการกิจการของกิล จนไม่มีเวลาพัฒนาตัวเองนี่แหละ ดังนั้นในชีวิตนี้เขาจึงจะต้องไม่ผิดพลาดแบบเดิม และเขาก็จะต้องแจกจ่ายงานอย่างเหมาะสมที่สุดเพื่อให้คนของเขามีเวลาพอจะพัฒนาตัวเองร่วมไปกับการทำงานให้กับกิลด้วย


“หัวหน้ากิลจะย้ายเมืองสภาสิบแปดปีกงั้นหรอ ?” เหลียงจิงที่ได้ยินการตัดสินใจของซือเฟิงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


แค่เมืองสภาสิบแปดปีกกลายเป็นเมืองหลักมันก็น่าทึ่งมากแล้ว หากพวกเขาสามารถเคลื่อนย้ายเมืองสภาสิบแปดปีกไปยังแผนที่เป็นกลางได้จริงๆ เมืองนี้จะสร้างโชคลาภให้กับพวกเขาอย่างมหาศาลแน่นอน


“อืมม … ดังนั้นฉันจึงบอกให้คุณเตรียมตัวไง เพราะหลังจากนี้คุณจะยุ่งมากๆเลยทีเดียว …” ซือเฟิงพยักหน้าด้วยดวงตาที่แน่วแน่


ปัจจุบันสภาสิบแปดปีกนั้นมีเมืองกิลอยู่สามเมืองได้แก่เมืองป่าหิน เมืองปีกสีเงิน และเมืองสภาสิบแปดปีก


โดยที่ตำแหน่งของเมืองปีกสีเงิน และเมืองป่าหินนั้นมันอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ ดังนั้นมันจึงไม่สามารถที่จะเคลื่อนย้ายได้ ดังนั้นเมืองเดียวที่เหลือที่สามารถจะเคลื่อนย้ายได้ก็คือเมืองสภาสิบแปดปีก ซึ่งตั้งอยู่ในอาณาจักรสตาร์มูนที่มูลค่าของมันตอนนี้ได้เริ่มลดลงไปตามกาลเวลา อันเนื่องมาจากเหล่าผู้เล่นนั้นเริ่มมีเลเวลสูงกันจนเกินกว่าเลเวลของแผนที่ที่เมืองตั้งอยู่แล้ว


หลังจากนั้นในอีกสองชั่วโมงต่อมา เมืองสภาสิบแปดปีกโฉมใหม่กได้ปรากฎขึ้นต่อสายตาของทุกคน


อย่างไรก็ตามก่อนที่ทุกคนจะทันได้คิดหรือพูดอะไรนั้น ซือเฟิงก็ได้มาถึงที่คฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองเมืองสภาสิบแปดปีก และจัดการจ่ายคริสตัลเวทย์มนต์ห้าพันชิ้นให้กับกระจกแห่งโลกเพื่อย้ายเมืองสภาสิบแปดปีกยังแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยสี่สิบทันที ซึ่งนี่มันทำให้ผู้เล่นที่เฝ้าดูอยู่นั้นตกตะลึงมากๆ เพราะเมืองนั้นอยู่ๆก็หายไปต่อหน้าต่อตาของพวกเขาเลย


ตอนที่ 2834 เมืองสภาสิบแปดปีกใหม่


“หายไป ?”


“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกัน ?”


“ไม่ใช่ว่าเมืองสภาสิบแปดปีกได้รับการอัพเกรดเป็นเมืองหลักจนเสร็จสิ้นแล้วงั้นหรอ ?”


ที่เนินเขาแม่มด ผู้เล่นอิสระ และเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากกองกำลังต่างๆจำนวนมากรู้สึกงงงวยอย่างมากกับการหายไปอย่างกระทันหันของเมืองสภาสิบแปดปีกก และพวกเขาก็ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมเมืองกิลเมืองนี้ถึงได้หายไป


“มันหายไปจริงๆ …. นี่สภาสิบแปดปีกทำการเคลื่อนย้ายเมืองงั้นหรอ ?”


“เป็นไปไม่ได้ !!! นี่คือเมืองหลักเลยนะที่เราำลังพูดถึงกัน …. มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเคลื่อนย้ายเมืองหลักของกิลที่อยู่ภายในอาณาจักร เพราะท้ายที่สุดนอกเหนือจากจะต้องมีใบอนุญาติการย้ายเมืองขั้นสูงแล้ว มันยังจะต้องได้รับความยินยอมจากอาณาจักรด้วย เนื่องจากเมืองหลักของกิลนั้นมันมักจะเกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องอาณาเขต และภูมิภาค ดังนั้นมันจึงไม่สามารถที่จะทำการเคลื่อนย้ายได้ง่ายๆ”


ทุกคนนั้นล้วนพูดคุยกันถึงการหายไปของเมืองสภาสิบแปดปีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองกำลังขนาดใหญ่ต่างๆในอาณาจักรสตาร์มูน ตอนนี้พวกเขาทุกคนทั้งรู้สึกตื่นตระหนก และประหม่า เพราะท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าเมืองสภาสิบแปดปีกจะไปปรากฎขึ้นที่ใดในอาณาจักร ที่นั่นก็จะกลายเป็นเขตอำนาจของสภาสิบแปดปีกทันที และนับจากนี้เป็นต้นไป โลกภายนอกก็จะไม่สามารถเข้าแทรกแซงที่นั่นได้เลย


อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตอนนี้มันยังไม่มีข้อมูลอะไรแน่ชัด ดังนั้นกองกำลังต่างๆรวมไปถึงผู้เล่นในอาณาจักรสตาร์มูนจึงได้แต่พูดคุยและคาดเดากันเท่านั้น


ตัดมาอีกด้านหนึ่งที่บริเวณแผนที่เป็นกลาง เลเวลหนึ่งร้อยสี่สิบ หุบเขาอาร์กติก

แกรนด์ …. : ทันใดนั้นมันก็มีเมืองที่งดงามและหรูหราปรากฎขึ้นบนหน้าผาริมชายฝั่ง โดยนี่มันกินพื้นที่เกือบครึ่งของแนวชายฝั่งอันกว้างใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่สองหมื่นหลาเลย และมันก็ทำให้เมืองแห่งนี้กลายเป็นเสมือนเมืองหลวงติดชายฝั่งเลย ซึ่งที่

ด้านหนึ่งของเมืองนั้นมันก็คือพื้นน้ำแข็ง ทะเลน้ำแข็งสุดขีด และป่าน้ำแข็งหิมะที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด


“ในที่สุด ในชีวิตนี้ของฉัน ฉันก็ได้ควบคุมพื้นที่แห่งนี้ !!!” ซือเฟิงมองไปที่ทะเลนอกเมืองอย่างรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย


หุบเขาอาร์กติกแกรนด์เป็นแผนที่เป็นกลางขนาดใหญ่เลเวลหนึ่งร้อยสี่สิบถึงหนึ่งร้อยหกสิบ นอกจากนี้มันยังเป็นแผที่เป็นกลางในแบบที่หายากมากๆ เพราะมันเชื่อมต่อกับทะเลได้ โดยทะเลน้ำแข็งสุดขีดนี้มันอยู่ใกล้กับทะเลแห่งความตาย และตราบใดที่ผู้เล่นสามารถเดินทางข้ามทะเลแห่งความตายได้สำเร็จ พวกเขาก็จะสามารถไปถึงถนนตะวันตก ซึ่งเป็นชายฝั่งที่ใกล้ที่สุดกับทวีปด้านตะวันตกได้


นอกจากนี้ใกล้กับหุบเขาอาร์กติกแกรนด์มันยังเป็นสถานที่ที่สูงที่สุดในโลก God domain ด้วย ซึ่งมันก็คือทวีปใหม่ที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญทุกคนที่อยู่ในขอบเขตนักบุญ ไปจนถึงพระเจ้าในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิงล้วนต้องการจะพิชิต !!


หุบเขาอาร์กติกแกรนด์นั้นเป็นหนึ่งในแผนที่ที่หายากที่เป็นทางเชื่อมต่อเข้าสู่ทวีปใหม่ที่สูงที่สุดในโลก God domain และมันก็ยังเป็นแผนที่ที่ง่ายที่สุดแล้วที่จะใช้เป็นทางเข้าสู่ทวีปใหม่นี้ที่อยู่สูงขึ้นไปกว่าหนึ่งแสนเมตร


ในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิงนั้น มหาอำนาจต่างๆล้วนต้องการจะมีเมืองกิลของตัวเองที่นี่ อย่างไรก็ตามด้วยสภาพแวดล้อมที่รุนแรงและไม่สม่ำเสมอ ที่นี่จึงสามารถรองรับเมืองกิลได้จำนวนจำกัดมากๆ ไม่ต้องพูดถึงเมืองกิลระดับเมืองหลักเลย


หากคำณวนกันอย่างแม่นยำนั้นก็จะต้องบอกเลยว่ามันสามารถจะมีเมืองกิลระดับเมืองหลักมาตั้งที่นี่ได้แค่สี่เมืองเท่านั้น ขณะที่เมืองกิลขนาดใหญ่ก็จะสามารถตั้งได้ยี่สิบสองเมือง สำหรับเมืองกิลที่เล็กกว่านั้นมันจะไม่สามารถอยู่รอดที่นี่ได้แน่นอน แม้ว่าจะมีผู้พิทักษ์ขั้นห้าก็ตาม เพราะสภาพแวดล้อมที่นี่นั้นมันรุนแรงมากๆ


เมื่อมีพื้นที่ที่จำกัดแบบนี้ แม้แต่กิลชั้นสูงก็ยังไม่มีสิทจะเคลื่อนย้ายหรือมาสร้างเมืองที่นี่เลย มันจะมีก็แต่มหาอำนาจต่างๆเท่านั้นที่มีสิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพื้นที่ที่สามารถจะรองรับเมืองหลักของกิลได้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วนั้นห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดก็ได้ไปสองพื้นที่ ขณะที่ซุเปอร์กิลที่เหลือก็ได้ไปอีกสองพื้นที่


แต่ตอนนี้จากสี่พื้นที่นั้นซือเฟิงกับได้รับมาแล้วหนึ่ง แถมมันยังเป็นพื้นที่ที่ดีที่สุดจากสี่พื้นที่ด้วย ดังนั้นจะไม่ให้ซือเฟิงตื่นเต้นได้อย่างไร ?


สำหรับเรื่องทวีปใหม่นั้นมันก็ยังมีมรดก และสมบัติที่ไม่ได้ถูกสำรวจรอเขาอยู่มากมาย ในชีวิตที่ผ่านของเขานั้น เขาอ่อนแอมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เฝ้าดูมหาอำนาจต่างๆแย่งชิงที่นี่กันเท่านั้น อย่างไรก็ตามในชีวิตนี้ทุกอย่างมันได้แตกต่างออกไปแล้ว !!!


และนี่ยังไม่นับรวมเรื่องแผนที่หุบเขาอาร์กติกแกรนด์อีก ในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิงที่นี่นั้นมันนับเป็นพื้นที่การค้าระหว่างทวีปหลักสองด้าน ซึ่งเรือค้าขายมากกว่ายี่สิบเปอเซ็นต์ล้วนจะต้องมาเทียบท่าที่นี่ เพราะท้ายที่สุดนั้นมันไม่ใช่ทุกคนที่จะมีอะเม้าท์บินได้ และมันก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถไปถึงขั้นสี่ได้ และนี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่ว่า มันไม่ใช่ว่าทุกกองกำลังจะสามารถเข้าควบคุมวงเวทย์เทเลพอร์ตระหว่างทวีปได้ แถมวงเวทย์เทเลพอร์ตระหว่างทวีปก็ยีงมีข้อจำกัดมากมายอีก ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงได้แค่พึ่งพาการขนส่งทางทะเลเท่านั้น


ด้วยมีสิ่งนี้เป็นรากฐานของกิลในอนาคตไม่ว่าจะเป็นในด้านทรัพยากรหรือเงินทุน ทุกอย่างมันจะได้รับประกันอย่างมาก และกิลที่มีสิ่งนี้ก็จะไม่ใช่ตัวตนที่มหาอำนาจส่วนใหญ่จะสามารถปราบปรามได้ง่ายๆ


“ขั้นตอนต่อไปก็คือการจัดวางวงเวทย์รูปแบบสิบสองปีศาจ !!!”


ซือเฟิงนั้นได้หันไปมองวงเวทย์หลักที่อยู่ในห้องควบคุม ก่อนที่เขาจะหยิบของที่เขาเตรียมมาออกจากกระเป๋าทันที ซึ่งการจัดวางวงเวทย์นี้นั้นนอกเหนือจากต้องใช้วัสพื้นฐานบางอยางแล้ว มันยังต้องใช้คริสตัลเวทย์มนต์สามแสนชิ้น คริสตัลเจ็ดลูมินาลี่หนึ่งร้อยชิ้น และ หินเวทย์เอลฟ์สองร้อยชิ้นด้วย


ต้องบอกเลยว่านี่มันไม่ใช่วงเวทย์ที่จะได้รับมาง่ายๆในโลกยุคปัจจุบันของ God domain


แถมหลังจากจัดวางและเปิดใช้งานมันไปแล้ว มันก็ยังต้องมีการป้อนคริสตัลเวทย์มนต์ให้มันวันละสี่หมื่นชิ้นเพื่อที่จะคงการดำเนินงานไว้ตามปกติด้วย


หนึ่งชั่วโมงต่อมา วงเวทย์รูปแบบสิบสองปีศาจนี้ก็ได้รวมเข้ากับวงเวทย์หลักของเมืองสภาสิบแปดปีกเรียบร้อย และมันก็พร้อมที่จะถูกเปิดใช้งานได้ตลอดเวลา


อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ไม่ได้เร่งรีบที่จะเปิดใช้งานมัน ตรงกันข้ามเขากับเลือกจะหยิบหัวใจสีดำขนาดใหญ่ออกมาจากกระเป๋า โดยหัวใจทั้งดวงนั้นก็โปร่งแสงราวกับคริสตัล เพียงแต่ว่ามันเต้นอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น


หัวใจนี้มันก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากไอเทมหนึ่งในสองชิ้นที่จักรพรรดิอสูรดรอปเอาไว้


หัวใจราชันปีศาจ !!


วัสดุระดับนักบุญที่อ่อนแอ !!!


คุณค่าของมันนั้นเปรียบได้กับหัวใจมังกรเลย ในตอนที่ซือเฟิงเห็นจักรพรรดิอสูรดรอปเจ้าสิ่งนี้ออกมา เขาคิดว่าเขาได้ฆ่าราชันปีศาจขั้นห้าไปแทนที่จะเป็นจักรพรรดิอสูรด้วยซ้ำ


ซึ่งไอเทมชิ้นนี้นั้นมันเหมาะที่จะนำมาใช้เสริมความแข็งแกร่งให้กับวงเวทย์รูปแบบสิบสองปีศาจมากๆ


แต่เดิมซือเฟิงนั้นยังคงมีอาการปวดหัวอยู่เล็กน้อย วงเวทย์รูปแบบสิบสองปีศาจนั้นทรงพลังอย่างมากแน่นอน แต่มันก็ไม่สามารถจะใช้ปกคลุมทั้งเมืองหลักของกิลได้ ดังนั้นซือเฟิงจึงต้องหาวิธีเสริมพลังให้กับมัน เพื่อให้มันสามารถปกคลุมทั้งเมืองหลักของได้ ซึ่งมันก็ได้มาจบที่การใช้หัวใจราชันปีศาจนี่แหละ


“ฉันหวังว่าเจ้านี่มันจะช่วยได้นะ …” ซือเฟิงพึมพำก่อนที่เขาจะใส่หัวใจราชันปีศาจลงไปในแกนหลักของวงเวทย์รูปแบบสิบสองปีศาจ และทำการเปิดใช้งานมัน ….


หลังจากนั้นไม่นานซือเฟิงก็รู้สึกได้ถึงพลังที่รุนแรงและน่ากลัวหลั่งไหลเข้ามาในวงเวทย์ และด้วยการกระตุ้นของวงเวทย์ มันก็ทำให้พลังงานเริ่มแผ่ออกไปปกคลุมทั่วเมืองสภาสิบแปดปีกทั้งหมด


และหลังจากนั้นไม่นานมานาจำนวนมหาศาลก็เริ่มหลั่งไหลออกมาจากวงเวทย์ และเริ่มแผ่ไปปกคลุมทั่วเมือง ….


“นี่คือพลังของวัสดุระดับนักบุญที่อ่อนแองั้นหรอ ?!!”


เมื่อเห็นฉากนี้ ซือเฟิงก็ตกตะลึงเช่นกัน


ตอนนี้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าความสัมพันธ์และการรับรู้องค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์กับมานาของเขานั้นเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งร้อยห้าสิบเปอเซ็นต์


ซึ่งนี่มันแทบจะเทียบได้กับเมืองหลักของ NPC ในโลก God domain ยุคโบราณเลย !!


“หัวหน้ากิล ฝั่งหัวหน้าเป็นยังไงบ้าง ?” เหลียงจิงติดต่อเข้ามาถามอย่างกระทันหัน “ฉันได้คัดคนที่จะเข้าสู่เมืองสภาสิบแปดปีกในระยะเริ่มต้นตามที่หัวหน้าระบุมาแล้ว ซึ่งคนเหล่านี้นั้นไม่เพียงแต่จะภักดีต่อกิลอย่างมาก แต่หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่และเล็กนับสิบครั้ง พวกเขาก็ล้วนได้มาถึงขั้นสามทั้งหมดแล้ว และพวกเขาทุกคนก็ล้วนมีฝีมือกันในระดับหนึ่ง ฉันเชื่อว่าพวกเขาจะจัดการเรื่องงานป้องกันเมืองสภาสิบแปดปีกได้อย่างรวดเร็วแน่นอน และกองกำลัง NPC พวกนั้นก็จะไม่กล้าเข้ามายุ่งกับเมืองสภาสิบแปดปีกของเราแน่นอน !!!”


“เสร็จแล้วเหมือนกัน …” ซือเฟิงยิ้ม “อย่างไรก็ตามสำหรับการเตรียมการอีกหลายสิ่งที่เฉพาะเจาะจง เธอควรมาที่นี่ด้วยตัวเองมันจะเป็นการดีที่สุด ฉันได้เปิดให้เธอสามารถเข้าถึงเมืองได้แล้ว เธอสามารถที่จะเดินทางมาที่นี่ได้โดยตรงผ่านสถานที่พักกิลแล้ว ดังนั้นให้เธอรีบเดินทางมาที่นี่ทันที”


ตอนที่ 2835 ข่าวใหม่


เมืองสกายสปริง สถานที่พักกิลสภาสิบแปดปีก :


เนื่องจากการที่สภาสิบแปดปีกได้แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของตัวเองออกมาในการต่อสู้ที่หอคอยแห่งพันธสัญญาลับ ตอนนี้บริเวณสถานที่พักกิลสภาสิบแปดปีกมันจึงเต็มไปด้วยผู้เล่นที่ต่อแถวการรอสมัครเข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีก และจำนวนมันก็เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าเลยเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา แต่นี่ก็ยังไม่ใช่จำนวนที่คงตัว มันยังคงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆ


โดยนี่มันก็ทำให้อัตราการเพิ่มขึ้นของบุคลากรของสภาสิบแปดปีกนั้นมันรวดเร็วมากๆจนแม้แต่กองกำลังใหญ่ที่ปฎิบัติการอยู่ในเมืองสกายสปริงก็ยังตกตะลึงกับเรื่องนี้


และตอนนี้ มันก็สามารถจะกล่าวได้เลยว่าแค่ผู้เล่นขั้นสามทั้งหมดที่มารวมตัวกันที่สถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีกในเมืองสกายสปริงตอนนี้ มันก็มีจำนวนมากพอที่จะทำให้กิลขนาดใหญ่ประหลาดใจได้แล้ว เพราะจำนวนของผู้เล่นขั้นสามที่มารวมตัวกันนั้นมันมีหลายหมื่นคน และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


“นี่สภาสิบแปดปีกกำลังจะทำอะไรกัน ? ทำไมพวกเขาถึงรวบรวมสมาชิกขั้นสามจำนวนมากมาไว้ที่นี่ ?”


“สภาสิบแปดปีกกำลังจะมีปฎิบัติการครั้งใหญ่งั้นหรอ ?”


“น่าจะแบบนั้นแหละมั้ง …. นับตั้งแต่สงครามที่หอคอยแห่งพันธสัญญาลับจบลง มือแห่งนักบุญก็ได้ประกาศสงครามเต็มรูปแบบกับสภาสิบแปดปีก โดยในจักรวรรดิออร์คซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่หลักของมือแห่งนักบุญนั้น มันไม่มีใครกล้าที่จะยั่วยุพวกเขาเลย อันเนื่องมาจากพวกเขาสามารถจะควบคุมมอนสเตอร์ Faux Saint ได้ และตอนนี้แม้แต่จักรวรรดิมังกรดำก็ยังเริ่มโดนรุกรานแล้ว พร้อมกันนั้นถนนรอบเมืองปีกสีเงินก็ถูกปิดกั้นทั้งหมด แม้ว่าในเมืองจะมีห้องเทเลพอร์ต แต่รายได้ของเมืองก็คงจะไม่สูงขึ้นแล้ว โดยใครก็ตามที่กล้าออกมาจากเมืองปีกสีเงินก็จะถูกมอนสเตอร์ Faux Saint จัดการ อย่างไรก็ตามตอนนี้เนื่องจากความแข็งแกร่งของสภาสิบแปดปีกเพิ่มสูงขึ้นแล้ว ดังนั้นพวกเขาอาจจะวางแผนที่จะแข่งขันกับมือแห่งนักบุญในจักรวรรดิออร์คก็ได้”


ผู้เล่นที่สงสัยเกี่ยวกับการปรากฎตัวของผู้เล่นขั้นสามจำนวนมากของสภาสิบแปดปีกอดไม่ได้ที่จะพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพวกเขาก็ล้วนเห็นตรงกันว่าสภาสิบแปดปีกกำลังจะมีปฎิบัติการครั้งใหญ่แน่นอน เพียงแต่มันจะเกิดขึ้นที่หนก็เท่านั้น …. เพราะท้ายที่สุดสภาสิบแปดปีกมีใบรับประกันอย่างหอคอยแห่งพันธสัญญาลับที่ไม่มีใครสามารถจะเขย่าได้อยู่


ซึ่งหอคอยแห่งพันธสัญญาลับนั้นเป็นดินแดนศักสิทธิ์แห่งการเก็บเลเวลเลย แถมมันยังมีมรดกที่สมบูรณ์ขั้นสามดรอปอีก ดังนั้นด้วยการมีหอคอยนี้อยู่ในครอบครอง มันก็ทำให้มีความเป็นไปได้สูงขึ้นมากที่สภาสิบแปดปีกจะสามารถเผชิญหน้ากับมือแห่งนักบุญในจักรวรรดิออร์คได้


ในตอนนี้ไม่ใช่แค่คนนอกเท่านั้นที่งงงวยกับการเรียกระดมพลจำนวนมากอย่างกระทันหันของสภาสิบแปดปีก แม้แต่สมาชิกของสภาสิบแปดปีกที่มารวมตัวกันที่สถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีกก็ยังรู้สึกงงงวยและสับสนกับเรื่องนี้ พวกเขาไม่รู้เลยจริงๆว่าทำไมกิลถึงสั่งระดมผู้เล่นขั้นสามจำนวนมากเข้ามาที่นี่


“เยว่ซี่ คุณรู้หรือยังว่ามันเกิดอะไรขึ้น ?!”


เจียนโม่วโฉว ซึ่งเป็นอดีตผู้บัญชาการของทีมนักผจญภัยหมาป่าแดงอดไม่ได้ที่จะถามซัมมอนเนอร์หนุ่มขั้นสามที่เดินเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น


แม้ว่าจะไม่ต้องการใส่ใจ แต่มันก็ทำไม่ได้แน่นอน เพราะออร่าของผู้เล่นขั้นสามจำนวนมากที่มารวมตัวกันนั้นมันน่าทึ่งมากๆ แถมนี่มันก็ยังอาจส่งผลกระทบไปถึงเรื่องอาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคที่มีให้แลกเปลี่ยนในคลังกิลของสภาสิบแปดปีกด้วย


ในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน อาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคที่มีมากกว่าหนึ่งร้อยชิ้นให้แลกเปลี่ยนนั้น ถูกแลกไปแปดชิ้นแล้ว และทุกคนก็รู้ดีว่านี่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เมื่อเวลาผ่านไป บรรดาทีมนักผจญภัยขนาดใหญ่ที่เข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีกแล้วก็จะสามารถเก็บสะสมคะแนนกิลได้มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอัตราการแลกเปลี่ยอาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคมันก็จะเป็นไปอย่างรวดเร็วกว่าตอนนี้แน่นอน


ขณะเดียวกันตอนนี้เธอแลกมาได้แค่หมวกชั้นยอดระดับอีปิคสำหรับนักดาบเท่านั้น เธอยังต้องการจะแลกอาวุธด้วย เพราะอาวุธนั้นจะช่วยเพิ่มพลังในการต่อสู้ของเธอได้อย่างมาก


ซึ่งหากผู้เล่นขั้นสามที่ปรากฎตัวขึ้นจำนวนมากที่นี่ตอนนี้ต้องการจะแข่งขันในเรื่องการแลกเปลี่ยนอาวุธกับอุปกรณ์ระดับอีปิคด้วย การแข่งขันมันก็จะเข้มข้นขึ้นอย่างมากแน่นอน


“บอสฉันได้สอบถามมาจากคอนเนคชั่นที่เรามีทุกที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทีมนักผจญภัยที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเรา หรือแกนหลักบางคนของสภาสิบแปดปีกที่คุ้นเคยกับเรา แต่มันไม่มีใครรู้จริงๆว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น แม้แต่เหล่าแกนหลักส่วนใหญ่ก็ยังสับสนกับเรื่องนี้เช่นกัน” ซัมมอนเนอร์หนุ่มขั้นสามกล่าวพลางส่ายหัว “แต่ฉันได้ข่าวที่ชัดเจนมาเรื่องหนึ่งคือ คำสั่งระดมพลครั้งนี้มันมาจากผู้ช่วยหัวหน้ากิลโดยตรง โดยประกาศนี้ได้แจ้งไปยังสมาชิกทั้งหมดที่กิลไว้ใจมากๆ”


“คุณได้ลองไปตรวจสอบกับพวกแกนหลักที่มีชื่อเสียงบางคนโดยเฉพาะรึยัง ?” เจียนโม่วกล่าวพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ในเมื่อมีคำสั่งแบบนี้ออกมา มันน่าจะมีปฎิบัติการครั้งใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน”


สำหรับปฎิบัติการขนาดใหญ่ โดยทั่วไปกิลจะมอบคะแนนกิลให้เป็นรางวัล ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่มันจะเพิ่มคู่แข่งในการแลกเปลี่ยนอาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคของพวกเขาขึ้นไปอีกจำนวนมาก


และในระหว่างที่เจียนโม่วโฉวกำลังรู้สึกกังวลนั้น มันก็ได้มมีผู้เล่นจำนวนมากเดินเข้ามาในสถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีก โดยคนเหล่านี้นั้นไม่ได้มีตราสัญลักษณ์กิลของสภาสิบแปดปีกติดอยู่ที่หน้าอก แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้เลย เพราะพวกเขานั้นแข็งแกร่งอย่างน่าอัศจรรย์ ขณะที่ชายผู้ที่นำหน้าผู้เล่นกลุ่มนี้มานั้นก็มีออร่าที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพวกขั้นสี่เลยทีเดียว


“ทำไมรองผู้บัญชาการของฮีฟเว่นเบลดถึงมาที่นี่ ?”


“สรุปฮีฟเว่นเบลดเข้ามาอยู่ภายใต้สภาสิบแปดปีกแล้วจริงๆงั้นหรอ ?”


การปรากฎตัวของผู้เชี่ยวชาญขั้นสามหลายคนของฮีฟเว่นเบลดนั้นทำให้ทุกคนตกใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสมาชิกของกองกำลังขนาดใหญ่ต่างๆที่พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรเลย ….


แม้ว่าฮีฟเว่นเบลดจะเป็นเพียงแค่ทีมนักผจญภัย แต่พวกเขาก็มีชื่อเสียงอย่างมาก และพวกเขาก็มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมนสามคนอยู่ในทีม ซึ่งมหาอำนาจต่างๆก็ได้พยายามรับสมัครฮีฟเว่นเบลดกันอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ถูกฮีฟเว่นเบลดปฎิเสธไปทั้งหมด


แต่ตอนนี้ฮีฟเว่นเบลดกับมาปรากฎตัวขึ้นที่สถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีก ซึ่งมันเป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนเลยว่าฮีฟเว่นเบลดได้เข้ามาอยู่ภายใต้สภาสิบแปดปีกแล้ว ดังนั้นมันจึงทำให้กองกำลังต่างๆอดไม่ได้ที่จะสิ้นหวัง


แถมเมื่อฮีฟเว่นเบลดได้เข้ามาอยู่ภายใต้สภาสิบแปดปีก ความแข็งแกร่งของกิลก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกมากเลยทีเดียว


“รองผู้บัญชาการดีไวน์ชาโด้ว กิลสภาสิบแปดปีกนั้นยอดเยี่ยมมากจริงๆ ตอนนี้พวกเขามีผู้เล่นขั้นสามอยู่อย่างมากมาย และฉันคิดว่าอีกไม่นานจำนวนผู้เล่นขั้นสามของพวกเขาก็คงจะมากกว่ากิลชั้นยอดส่วนใหญ่แน่นอน” คลีนซิ่งเฟรมอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆอย่างประหลาดใจ


แล้วก็พวกเขาก็ยังได้ยินเกี่ยวกับการต่อสู้ที่หอคอยแห่งพันธสัญญาลับมาบ้าง …


เมื่อก่อนนั้นฮีฟเว่นเบลดของพวกเขาแทบจะเรียกได้ว่าเหนือกว่าสภาสิบแปดปีกด้วยซ้ำ หากวัดกันในแง่ของผู้เชี่ยวชาญ แต่อย่างไรก็ตามสภาสิบแปดปีกตอนนี้นั้นขึ้นไปอยู่เหนือกว่าพวกเขาจนพวกเขาไม่สามารถจะเทียบได้ติดแล้ว และจากที่ดู ความแข็งแกร่งของสภาสิบแปดปีกก็น่าจะขึ้นมาเทียบเท่ากับกิลชั้นยอดอย่างแท้จริงแล้วด้วย


ดีไวน์ชาโด้วนั้นได้แต่ยิ้มให้กับคำพูดของคลีนซิ่งเฟรมก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “รีบไปกันเถอะ เราไม่ควรปล่อยให้หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมต้องรอเรา ….”


คลีนซิ่งเฟรมนั้นได้แต่พยักหน้ารับ ก่อนที่เธอจะเดินตามดีไวน์ชาโด้วตรงไปยังห้องประชุมชั้นบนสุดของสภาสิบแปดปีกทันที


สำหรับเรื่องนี้เธอเองก็อยากรู้เช่นกันว่าทำไมซือเฟิงถึงส่งคำเชิญอย่างกระทันหันมาให้ฮีฟเว่นเบลด และเรียกให้พวกระดับสูงของฮีฟเว่นเบลดมาที่นี่


พูดกันตามหลักเหตุผลแล้ว สภาสิบแปดปีกในปัจจุบันก็ไม่น่าจะขาดผู้เชี่ยวชาญขั้นสามที่นี่ ซึ่งตรงกันข้ามกับเกาะดราก้อนฮาร์ทที่สภาสิบแปดปีกขาดแคลนกำลังคนมากๆ เพราะท้ายที่สุดมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสำรวจและออกล่าในชั้นใต้ดินชั้นที่สี่ของหอคอยโลก และพูดกันตามตรง สภาสิบแปดปีกควรแบ่งกำลังคนบางส่วนนี้ไปที่เกาะดราก้อนฮาร์ทมากกว่าด้วยซ้ำ เนื่องจากชั้นใต้ดินชั้นที่สี่ของหอคอยโลกนั้นมันมีมรดกขั้นสี่ดรอป ซึ่งนี่มันก็เป็นสิ่งที่กิลขนาดใหญ่ทุกกิลตอนนี้ล้วนต้องการกันอย่างมาก


หลังจากนั้นไม่นานดีไวน์ชาโด้ว และคนอื่นๆก็ได้มาถึงห้องประชุมชั้นบนสุดของสภาสิบแปดปีกที่ซึ่งผู้บริหารระดับสูงของสภาสิบแปดปีก และทีมนักผจญภัยอาชูร่ามารอ

อยู่ก่อนนานแล้ว โดยเมื่อทั้งสองฝ่ายสังเกตเห็นกันและกันนั้น พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีประหลาดใจและสงสัยออกมา


อย่างไรก็ตามในระหว่างที่บางคนกำลังจะพูดอะไรขึ้นนั้น ซือเฟิง และเหลียงจิงก็ได้เดินเข้ามาในห้องประชุม


โดยซือเฟิงได้เดินตรงมานั่งที่หัวโต๊ะซึ่งเป็นตำแหน่งของหัวหน้ากิล ก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “ฉันขอโทษจริงๆที่ทำให้พวกคุณต้องรอนาน”


ซึ่งในขณะที่ซือเฟิงพูดนั้น ทุกคนล้วนเงียบทั้งหมด และพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าทำไมซือเฟิงถึงเรียกพวกเขามาที่นี่


“เหลียงจิง เธออธิบายสถานการณ์โดยละเอียดให้ทุกคนฟังหน่อย …” ซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“รับทราบ !!” เหลียงจิงที่อยู่ด้านข้างของซือเฟิงได้เดินออกมาเปิดหนังสือเล่มเล็กที่เธอถือไว้อยู่ ก่อนที่เธอจะมองไปยังฝูงชนและพูดว่า “ทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้วว่าเมืองสภาสิบแปดปีกนั้นได้รับการอัพเกรดเป็นเมืองหลักเรียบร้อย และที่เราเรียกทุกคนมาที่นี่กันก็เพื่อพูดคุย เรื่องปัญหาการพัฒนาของเมืองสภาสิบแปดปีกในอนาคต ….”


“ปัญหาการพัฒนาของเมืองสภาสิบแปดปีก ?” ดีไวน์ชาโด้วที่ฟังอยู่จากด้านข้างอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เมื่อได้ยินเรื่องนี้


ถ้าเป็นเรื่องนี้แล้ว ตามหลักเหตุผลกิลไม่น่าจะขอให้พวกเขามาที่นี่ เพราะท้ายที่สุดแล้วนี่มันนับเป็นธุรกิจส่วนตัวของกิลเลย ทีมนักผจญภัยภายใต้กิลไม่น่าจะสามารถออกความเห็นอะไรได้


“ใช่แล้ว …” เหลียงกล่าวพลางพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ฉันเชื่อว่าทุกคนก็ล้วนสงสัยเช่นกันว่าเมืองสภาสิบแปดปีกหายไปไหน ดังนั้นตอนนี้ฉันจึงจะมาบอกพวกคุณเลยว่าเมืองสภาสิบแปดปีกนั้นได้ถูกเคลื่อนย้ายไปตั้งอยู่ที่แผนที่หุบเขาอาร์กติกแกรนด์ ซึ่งเป็นแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยสี่สิบ โดยเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับหุบเขาอาร์กติก

แกรนด์นี่แหละ พวกคุณสามารถดูข้อมูลโดยละเอียดได้เลย …”


เมื่อพูดจบเหลียงจิงก็ได้ทำการส่งข้อมูลโดยละเอียดของหุบเขาอาร์กติกแกรนด์ให้ขึ้นไปแสดงผลบนจอแสดงผลของโต๊ะประชุมเพื่อที่จะให้ทุกคนสามารถตรวจสอบมันได้


หลังจากนั้นทุกคนก็ได้เริ่มคลิก และเข้าอ่านข้อมูลนี้


ทันใดนั้นเองนี่มันก็ทำให้ห้องประชุมทั้งห้องเงียบลง และทุกคนเกือบจะหยุดหายใจ ….


ตอนที่ 2836 ผลประโยชน์ใหม่ของเมืองสภาสิบแปดปีก


ข้อมูลที่เหลียงจิงได้เอาให้พวกเขาดูนั้นมันละเอียดมากๆ นอกเหนือจากเรื่องที่ว่าหุบเขาอาร์กติกแกรนด์อยู่ติดกับทะเล ขณะที่อีกด้านหนึ่งของมันก็อยู่ติดกับจุดสูงสุดของโลกแล้ว บริเวณหุบเขาอาร์กติกแกรนด์นี้มันก็น่าทึ่งมากๆเช่นกัน


ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าหุบเขาอาร์กติกแกรนด์นั้นเป็นพื้นที่ที่มหาอำนาจในปัจจุบันก็ไม่สามารถจะย่างเท่าเข้าไปได้ง่ายๆเลย แค่ความจริงที่ว่าหุบเขาอาร์กติกแกรนด์นั้นเป็นแหล่งมรดกขั้นสี่ มันก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้เล่นขั้นสามจำนวนนับไม่ถ้วนบ้าคลั่ง


ในตอนนี้ทุกคนล้วนรู้ดีว่าการจะเดินทางไปยังดินแดนมรดกขั้นสี่นั้นมันยากลำ

บากมากๆ ยิ่งเป็นที่ที่อยู่ในแผนที่เป็นกลางอีกยิ่งแล้วใหญ่ เพราะพวกเขาจะไม่สามารถทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงของแผนที่เป็นกลางได้นานนัก อย่างไรก็ตามตอนนี้เมืองสภาสิบแปดปีกได้เข้ามาแก้ปัญหานี้ได้อย่างชะงัด หากพวกเขาได้เข้าพักในเมืองสภาสิบแปดปีก และสามารถเดินทางไปยังเมืองสภาสิบแปดปีกได้แบบง่ายๆและโดยตรง ทุกอย่างมันก็จะง่ายขึ้นสำหรับพวกเขามากๆ ….


หลังจากได้อ่านข้อมูลทั้งหมดที่เหลียงเอาให้ดูโดยละเอียด ทุกคนในปัจจุบันก็สามารถที่จะจินตนาการได้เลยว่าตราบใดที่เมืองสภาสิบแปดปีกเปิดให้สาธารณชนเข้าเมื่อไหร่ เมืองจะทำให้ทุกคนใน God domain ตกตะลึงแน่นอน และเมืองก็น่าจะขึ้นไปเหนือกว่าเมืองส่วนใหญ่ของ NPC ได้ในเวลาไม่นาน


ในขณะนี้นับประสาอะไรกับสมาชิกสภาสิบแปดปีกในปัจจุบัน แม้แต่ดีไวน์ชาโด้ว รองผู้บัญชาการของฮีฟเว่นเบลดก็ยังมองไปที่ข้อมูลตรงหน้าของเขาด้วยดวงตาที่ร้อนผ่าว


ชั้นใต้ดินชั้นที่สี่ของหอคอยโลกนั้นมันนับเป็นสถานที่ที่ดีในการค้นหามรดกขั้นสี่แน่นอน แต่หากให้เทียบกัน มันก็แย่กว่าหุบเขาอาร์กติกแกรนด์อย่างไม่ต้องสงสัย


เนื่องจากป้อมปราการนั้นไม่สามารถจะถูกนำมาเทียบกับเมืองได้เลย โดยเฉพาะเมืองระดับเมืองหลักด้วย เพราะเมืองนั้นเป็นสถานที่พักผ่อนที่แท้จริงที่สามารถตอบสนองความต้องการในชีวิตที่หลากหลายของผู้เล่นได้ เช่นบ้านประมูล ซึ่งป้อมปราการไม่มีเลย แต่มันเป็นสิ่งที่ผู้เล่นต้องการมากที่สุด


หลังจากได้อ่านข้อมูลทั้งหมด ไฟเออร์แดนซ์ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังซือเฟิง และถามว่า “หัวหน้ากิลเป้าหมายของหัวหน้าคือการจะไม่เปิดเมืองให้สาธารณชนเข้าไปอีกพักหนึ่ง และหัวหน้าก็จะส่งคนของเราทั้งหมดเข้าไปควานหาทรัพยากรก่อนใช่ไหม ?”


เมื่อทุกคนในห้องได้ยินคำพูดของไฟเออร์แดนซ์ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังซือเฟิง


เนื่องจากหัวข้อในการประชุมครั้งนี้นั้นมันเกี่ยวกับการพัฒนาของเมืองสภาสิบแปดปีก ดังนั้นวิธีการที่จะพัฒนาเมืองไปให้ไวที่สุดนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลย เพราะมันคือการเปิดเมืองให้สาธารณชนเข้ามาโดยตรง ซึ่งนี่มันจะทำให้รายได้ในทุกๆด้านจากเมืองเพิ่มสูงขึ้นมาก และเมืองก็อาจจะสามารถขึ้นไปเทียบกับเมืองหลวงของจักรวรรดิได้เลย โดยเมืองก็จะกลายเป็นแหล่งรวมผู้เชี่ยวชาญขั้นสามนับไม่ถ้วน


การเลือกใช้วิธีการพัฒนาแบบนี้นั้นมันเป็นวิธีที่ดีที่สุดและสามารถจะพัฒนาเมืองไปได้อย่างเร็วที่สุดแบบไม่ต้องสงสัยเลย


แต่ถ้าเป็นกรณีนี้ซือเฟิงก็ไม่จำเป็นจะต้องเรียกพวกเขามาประชุมเลย เขาสามารถเปิดมันโดยตรงได้ทันที


“ใช่แล้ว เนื่องจากตอนนี้เมืองสภาสิบแปดปีกนั้นมอบผลประโยชน์และข้อได้เปรียบอย่างมากให้กับพวกเรา ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เราจะต้องใช้ประโยชน์จากมันให้เต็มที่ก่อนที่จะเปิดให้สาธารณชนเข้ามาอย่างเต็มที่” ซือเฟิงพยักหน้า “อย่างไรก็ตามเนื่องจากนี่มันเป็นเมืองหลักของกิล ดังนั้นฉันจึงเชื่อว่าทุกคนน่าจะเข้าใจดีว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานประจำวันนั้นมันแพงแค่ไหน”


พูดกันตามตรง แค่การจ้างทหาร NPC สามหมื่นคนให้เข้ามาประจำการในเมืองนั้นมันก็มากพอที่จะทำให้กิลชั้นสูงทั่วไปล้มละลายได้แล้ว นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเขาได้เพิ่มวงเวทย์รูปแบบสิบสองปีศาจเข้าไปอีก ซึ่งทำให้ความต้องการคริสตัลเวทย์มนต์ของเมืองเพิ่มขึ้นไปอีก


ด้วยเหตุนี้แผนเดิมที่จะอนุญาติให้สมาชิกแกนหลักของกิลหลายพันคนเข้าสู่เมืองสภาสิบแปดปีกไปเพื่อฝึกฝนและเตรียมตัวทำเควสเลื่อนขั้นจึงต้องถูกพับไปก่อน เพราะผู้เล่นแค่หลายพันคนมันไม่สามารถจะขับเคลื่อนเมืองหลักกิลทั้งเมืองได้


“งั้นเราก็อนุญาติให้สมาชิกทุกคนในกิลของเราเข้าสู่เมืองได้อย่างอิสระสิ เพียงแต่ว่าเราจะต้องมีการเรียกเก็บค่าเข้าเมืองบ้าง เพราะท้ายที่สุดในตอนที่เมืองหลักกิลยังไม่ได้ถูกเปิดอย่างเต็มที่แบบนี้ เราต้องรับเงินมาเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานประจำวันของเมืองบ้าง” ฟลายอิ้ชาโด้วกล่าวเสนอวิธี


“วิธีนั้นใช้ไม่ได้ …” ซือเฟิงกล่าวพลางส่ายหัว “ในปัจจุบันมีผู้คนมากมายที่มาเข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีก หากมีสมาชิกของศัตรูที่ต้องการจะใช้ประโยชน์จากเมืองสภาสิบแปดปีกมาแกล้งเข้าร่วมกิล เราจะสูญเสียอย่างมหาศาล เพราะท้ายที่สุดแล้วนี่มันคือสวัสดิการของกิลสภาสิบแปดปีกเรา”


ทุกคนที่นั่งอยู่พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของซือเฟิงทันที


สิ่งที่ซือเฟิงพูดมานั้นมันถูกทั้งหมด เพราะตอนนี้ที่หอคอยแห่งพันธสัญญาลับ และป้อมปราการเคลื่อนที่นั้นมันเป็นแบบนี้เลย หลายคนได้ให้คนของตัวเองมาสมัครและเข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีก ก่อนจะลาออกไป หลังจากที่พวกเขาคิดว่า พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากหอคอยแห่งพันธสัญญาลับ กับป้อมปราการเคลื่อนที่ได้คุ้มค่าแล้ว


สำหรับเรื่องกฎพิเศษที่ไฟเออร์แดนซ์คิดขึ้นมาที่ว่าจะให้เฉพาะแกนหลักของสภาสิบแปดปีกเท่านั้นที่มีสิทเข้าสู่เมืองสภาสิบแปดปีกได้ มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะการทำแบบนี้นั้นจะทำให้พวกหน้าใหม่หมดสิทไปเลย เนื่องจากการจะเข้าเป็นแกนหลักของสภาสิบแปดปีกได้นั้นมันต้องการมากกว่าความแข็งแกร่ง และส่วนใหญ่ต้องใช้เวลานานกว่าหนึ่งเดือนแน่นอนกว่าจะก้าวมาถึงตำแหน่งนี้ ซึ่งนี่มันจะทำให้พวกเขาแบกรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของเมืองไม่ไหวไปซะก่อน ….


แถมพูดกันตามตรง สมาชิกของทีมนักผจญภัยที่มาเข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีกนั้นจะจงรักภักดีกับสภาสิบแปดปีกมากแค่ไหนก็ไม่รู้ บางทีเมื่อพวกเขาได้ประโยชน์มากเพียงพอแล้ว พวกเขาก็อาจจะทำการลาออกจากกิลทันทีก็เป็นไปได้


และก็แน่นอนว่าพวกสมาชิกของทีมนักผจญภัยที่ทำแบบนี้ก็จะไม่ได้รู้สึกรังเกียจ หรือรู้สึกผิดใดๆ เนื่องจากพวกเขาก็ต้องพยายามอย่างมากเช่นกันเพื่อจะให้ได้รับผลประโยชน์ที่สอดคล้องนี้


ยู่หลานอดไม่ได้ที่จะกล่าวแนะนำขึ้นว่า “งั้นในระยะแรกเราก็ปล่อยให้แค่แกนหลัก

ของกิลเข้าไปก่อนดีไหม ?”

“ฉันว่าเธอน่าจะรู้นะว่านั่นมันไม่เพียงพอ …” เหลียงจิงกล่าวพลางส่ายหัว ก่อนที่เธอจะกล่าวต่ออย่างช้าๆว่า “ในปัจจุบันจากการที่ฉันไปประเมินมา การจะทำให้เมืองสภาสิบแปดปีกดำเนินงานไปตามปกติได้ทุกวันนั้นจะต้องใช้คนประมาณแปดหมื่นคน และก็จะต้องคิดค่าเข้าเมืองเป็นคริสตัลเวทย์มนต์หนึ่งชิ้นต่อคนด้วย”


แค่ค่าใช้จ่ายในการคงการดำเนินงานของวงเวทย์รูปแบบสิบสองปีศาจที่ได้รับการเสริมพลังมันก็หนักมากแล้ว นี่ยังไม่ต้องพูดถึงด้านอื่นๆเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องค่าจ้างทหาร NPC ที่พวกเขาจะต้องจ้าง ทหาร NPC ขั้นสามเป็นอย่างน้อยจำนวนสามหมื่น


“มากขนาดนั้นเลยงั้นหรอ ?!” ยู่หลานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินเรื่องนี้


ถ้ามันเป็นตามที่เหลียงจิงว่า แล้วสภาสิบแปดปีกคิดจะทำแบบนี้นั้น พวกเขาก็จะต้องทำการรัดเข็มขัดค่าใช้จ่ายต่างๆกันอย่างหนักเลย ….


“ดังนั้นเหลียงจิงและฉันจึงได้วางแผนที่จะให้สิทธิ์การเข้าถึงเมืองสภาสิบแปดปีกแก่สมาชิกระดับสูงของกิลหรือเหนือกว่าขึ้นไปทั้งหมด รวมไปถึงกิล และทีมนักผจญภัยต่างๆที่อยู่ภายใต้กิลเราด้วย อย่างไรก็ตามค่าเทเลพอร์ตไปยังเมืองนั้นทุกคนก็จะต้องจ่ายเอง และเมืองก็จะเรียกเก็บค่าเข้าเมืองจากสมาชิกระดับสูงเป็นคริสตัลเวทย์มนต์สามชิ้น ขณะที่สำหรับสมาชิกแกนหลักเราจะเรียกเก็บคริสตัลเวทย์มนต์สองชิ้น” ซือเฟิงพูดอย่างช้าๆ “นอกเหนือจากทุกคนที่มารวมตัวกันในวันนี้ตรงหน้าฉัน คนอื่นๆนั้นล้วนตกลงไปหมดแล้ว ….”


“ค่าเข้าเมืองเป็นคริสตัลเวทย์มนต์สามชิ้นต่อหนึ่งคนงั้นหรอ ?”


คำพูดของซือเฟิงทำให้ทุกคนที่มาเข้าร่วมประชุมพูดไม่ออก หากซือเฟิงเอาตามนี้จริงๆ มันจะเป็นค่าเข้าเมืองกิลที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ God domain เลย แต่มันก็จะมีหลายคนที่ยังเต็มใจจะเข้าสู่เมืองแน่นอน อย่างไรก็ตามสำหรับสมาชิกบางส่วน โดยเฉพาะสมาชิกภายในของกิล ราคานี้มันจัดว่ามหาโหดอย่างมาก เพราะท้ายที่สุดแหล่งที่มาของคริสตัลเวทย์มนต์นั้นมันมีน้อยเกินไป และคริสตัลเวทย์มนต์แต่ละชิ้นมันก็มีค่ามากๆสำหรับพวกเขา


สำหรับเรื่องการค้นหามรดกขั้นสี่นั้นมันก็ไม่ง่ายเลย เพราะท้ายที่สุดแล้วมันจะมีสักกี่คนกันที่ทำเควสเลื่อนขั้นไปเป็นขั้นสี่ได้สำเร็จ ?

พูดกันตามตรงผู้ที่ต้องการมรดกขั้นสี่อย่างมากก็คือตัวกิลเองต่างหาก เพราะกิลต้องการจะนำมันมาให้กับผู้เชี่ยวชาญที่พวกเขาคัดเลือกมาแล้ว และแน่ใจว่าจะสา

มารถทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่สำเร็จ แต่สำหรับผู้เล่นทั่วไปของกิลการได้ไปที่แผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยสี่สิบนั้น มันก็เป็นไปเพื่อทำเควส ล่า และมารับรางวัลจากกิลเท่านั้น ซึ่งหากวัดกันจากความสูญเสียที่มีสิทจะเกิดแล้ว การต้องจ่ายด้วยคริสตัลเวทย์มนต์สามชิ้นต่อคนมันก็ดูจะไม่คุ้มค่าเลย


“รองผู้บัญชาการดีไวน์ชาโด้ว เราควรจะเข้าไปดูที่เมืองสภาสิบแปดปีกก่อนดีไหม ?” คลีนซิ่งเฟรมอดไม่ได้ที่จะกระซิบกับดีไน์ชาโด้วที่อยู่ข้างๆ “ท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าพวกที่เรานำมาด้วยในครั้งนี้จะเป็นแกนหลักของทีมนักผจญภัยของเราทั้งหมด แต่มันก็ยังมีค่าเข้าเป็นคริสตัลเวทย์มนต์สองชิ้นต่อคนเลย มันอาจจะฟังดูน้อย แต่สำหรับมากกว่าสองพันคน มันก็เป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลย”


คลีนซิ่งเฟรมนั้นสนใจในเรื่องนี้มากเช่นกัน อย่างไรก็ตามเธอก็คิดว่าฮีฟเว่นเบลดนั้นจำเป็นจะต้องประเมินความคุ้มค่าในเรื่องนี้ซะก่อน


เพราะท้ายที่สุดหลังจากฮีฟเว่นเบลดของพวกเขานั้นต้องประกาศยุบตัว จากการที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากฝีมือของวอร์บลัดและพันธมิตรของวอร์บลัด สภาพคล่องของฮีฟเว่นเบลดนั้นก็ลดลงไปมากๆ ในปัจจุบันหากไม่นับทรัพสินย์ส่วนตัวบางส่วน ฮีฟเว่นเบลดต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการจะคงการดำเนินงานตามปกติรายวันเอาไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถจะจ่ายคริสตัลเวทย์มนต์ที่หามาได้อย่างยากลำบากแบบมั่วๆได้


“อืม เราเข้าไปดูกันก่อนเถอะ หากสถานการณ์ในหุบเขาอาร์กติกแกรนด์ค่อนข้างดี เราก็สามารถที่จะเลือกและมาพัฒนาในเมืองสภาสิบแปดปีกได้ ซึ่งนี่มันก็จะทำให้เราไม่จำเป็นต้องง้อพวกมหาอำนาจบนเกาะดราก้อนฮาร์ทอีก เพราะฉันยินดีจะทำงานอย่างหนักต่อสู้เพื่อเรื่องนี้” ดีไวน์ชาโด้วกล่าว


หลังจากซือเฟิงและคนอื่นๆประชุมกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว สภาสิบแปดปีกก็ได้ประกาศสิทธิประโยชน์ใหม่ของกิล โดยในประกาศนั้นได้กล่าวถึงที่ตั้งของเมืองสภาสิบแปดปีก รวมไปถึงข้อมูล และค่าเข้าเมืองทั้งหมดด้วย


ซึ่งนี่มันก็ได้สร้างความตกตะลึงให้กับเหล่าสมาชิกสภาสิบแปดปีกมากๆ


“นี่มันนับเป็นสวัสดิการได้ยังไง ? แม้ว่าเมืองสภาสิบแปดปีกจะตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมากๆ แต่ขนาดสมาชิกระดับสูงของกิลก็ยังต้องจ่ายคริสตัลเวทย์มนต์สามชิ้นต่อคนเพื่อจะเข้าสู่เมืองสภาสิบแปดปีกเนี่ยนะ ? …. กิลของเราเดือดร้อนเรื่องคริสตัลเวทย์มนต์รึไงกัน ?”


“ใช่แล้ว !!! เลเวลโดยเฉลี่ยของผู้เล่นขั้นสามของกิลเราอยู่ที่ราวหนึ่งร้อยยี่สิบสอง การไปล่าที่นั่นมันจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากเป็นสวัสดิการกิลจริงๆ กิลควรจะให้เข้าฟรีมากกว่าสิ ….”


“ฉันว่าราคามันก็สมเหตุสมผลนะ นั่นคือแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยสี่สิบที่เรากำลังพูดถึงกัน และยิ่งตอนนี้มันยังไม่มีใครเคยไปสำรวจด้วยแล้ว มันจะต้องมีหีบสมบัติ และทรัพยากรที่มีค่าต่างๆมากมายอยู่ที่นั่นแน่นอน ซึ่งผผลประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการไปล่าที่นั่นมันก็น่าจะมากกว่าในแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยสาม

สิบอื่นๆ”


สมาชิกกิลสภาสิบแปดปีกทั้งหมดนั้นล้วนเริ่มพูดคุย และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้กันอย่างร้อนแรง บางคนก็คิดว่าราคามันแรงเกินไป ขณะที่บางคนก็คิดว่าทุกอย่างมันสมเหตุสมผล เมื่อวัดจากประโยชน์ที่จะได้รับ ….


“บอส พวกเราจะไปที่เมืองสภาสิบแปดปีกกันไหม ?” ซัมมอนเนอร์หนุ่มขั้นสามมองไปยังประกาศแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามหญิงสาวข้างๆเขา “เท่าที่ฉันเช็คมา คนส่วนใหญ่ยังคงวางแผนที่จะเข้าไปที่หอคอยแห่งพันธสัญญาลับมากกว่า เพราะพวกเขารู้สึกว่าด้วยราคา และเลเวลของแผนที่แล้ว มันยังเกินความจำเป็นไปมาก ….”


“ไปสิ ทำไมพวกเราจะไม่ไปล่ะ ?” เจียนโม่วโฉวที่อยู่ในชุดเกราะเบาสีแดงเลือดกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันอยากจะไปในสถานที่ที่ทำให้ฉันมีโอกาสได้เลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่มาตลอด ซึ่งเมื่อมันปรากฎขึ้นมาแล้ว ฉันจะพลาดโอกาสได้ยังไง ? และฉันก็ต้องการจะรู้ด้วยว่าเมืองหลักกิลเป็นยังไง ทำไมถึงทำให้สภาสิบแปดปีกกล้าตั้งราคาแบบนี้ มันไม่ใช่ว่าเราจะต้องตัดสินใจเข้าไปพัฒนาตัวเองในเมืองสภาสิบแปดปีกเลยซะเมื่อไหร่ ….”


ทันใดนั้นเจียนโม่วโฉวก็ได้พาคนของเธอมากกว่าสิบคนเดินทางไปยังห้องเทเลพอร์ตของเมืองสกายสปริงเพื่อเทเลพอร์ตไปยังเมืองสภาสิบแปดปีกโดยตรง ซึ่งกระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างรวดเร็วมากๆ เพราะตอนนี้สมาชิกระดับสูงส่วนใหญ่ของสภาสิบแปดปีกยังคงไม่สนใจในเรื่องนี้กันมากนัก

เมื่อเทียบค่าใช้จ่ายเป็นคริสตัลเวทย์มนต์สามชิ้นที่ต้องจ่ายสำหรับการเข้าสู่เมืองสภาสิบแปดปีกแล้ว พวกเขาคิดว่าการจ่ายคริสตัลเวทย์มนต์หนึ่งชิ้นเพื่อเข้าสู่หอคอยแห่งพันธสัญญาลับนั้นคุ้มค่ากว่า เพราะท้ายที่สุดแล้วคริสตัลเวทย์มนต์มันไม่ได้งอกมาจากดินสักหน่อย


ขณะเดียวกันที่บริเวณห้องเทเลพอร์ตของเมืองสกายสปริงนั้น ตอนนี้มันก็มีสมาชิกของสภาสิบแปดปีกที่ชอบลองของมารวมกลุ่มกันหลายร้อยคน และทั้งหมดนี้ก็ได้พากันเทเลพอร์ตเดินทางไปยังห้องเทเลพอร์ตของเมืองสภาสิบแปดปีกทันที


ตอนที่ 2837 ดินแดนศักสิทธิ์โฉมใหม่


เมืองสภาสิบแปดปีก ห้องเทเลพอร์ต :


เมื่อมีผู้คนนับร้อยปรากฎตัวขึ้นที่วงเวทย์เทเลพอร์ตของห้องเทเลพอร์ตพร้อมกัน มันก็ทำให้วงเวทย์เทเลพอร์ตซึ่งแต่เดิมมีขนาดเท่ากับสนามบาสเก็ตบอลนั้นดูแออัดไปทันที


แต่อย่างไรก็ตามความแออัดแบบนี้นั้นก็ไม่ได้ทำให้ทุกคนที่เข้ามาส่งเสียงบ่นใดๆ ตรงกันข้ามพวกเขากับยืนนิ่งเป็นหินแทน


“เป็นไปได้ยังไงกัน ?!”


“ทำไมที่นี่ถึงมีมานาที่หนาแน่นมากขนาดนี้ ?!”


คลีนซิ่งเฟรมที่อยู่ในฝูงชนนั้นสัมผัสได้ถึงความมหัศจรรย์ของสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างรวดเร็ว และนี่มันก็ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะตกตะลึง


ในเวลานี้เธอรู้สึกราวกับว่าเธอได้เดินเข้ามาในทะเลมานาเลย ….


ขณะเดียวกันสิ่งที่เธอรู้สึกได้จากที่นี่นั้นมันก็แตกต่างจากที่เมืองกิลทั่วไปมาก ที่นี่นั้นมีสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมานาที่หนาแน่นมากๆ แถมเธอยังสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่า ในสภาพแวดล้อมแบบนี้มันจะช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ของเธอกับองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ และมานาขึ้นอย่างมาก ซึ่งนี่มันแตกต่างจากเมืองกิลทั่วไปราวกับสวรรค์และโลกเลย


“ถ้าได้มาฝึกฝนที่นี่ ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ คนๆหนึ่งจะสามารถเรียนรู้สกิล และเวทย์ได้ง่ายๆเลย แถมยังจะสามารถปรับปรุงสกิลกับเวทย์ของตัวเองได้เร็วกว่าเมืองกิลอื่นๆมากกว่าสองเท่าแน่นอน” คลีนซิ่งเฟรมกล่าวบ่นพึมพำ


แม้มันจะมีไอเทมมากมายใน God domain ที่สามารถจะทำให้สมองของผ้เล่นปลอดโปร่งและมีสมาธิ แต่ทุกสิ่งมันก็ดูไร้ค่าไปเลย หากเปรียบเทียบกับมานาในเมืองสภาสิบแปดปีก


“มากกว่าสองเท่า ? คุณดูถูกสถานที่แห่งนี้เกินไปนะ สถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่จะมีมานาที่หนาแน่นและแข็งแกร่งมากๆ ….” รองผู้บัญชาการของฮีฟเว่นเบลด ดีไวน์ชาโด้วกล่าวด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “ฉันรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อตัวเองมาอยู่ที่นี่นั้นความสัมพันธ์ขององค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ และมานาของฉันมันสูงขึ้นกว่าในโลกภายนอกสองถึงสามเท่า ซึ่งหากได้ฝึกที่นี่นั้นมันจะให้ผลที่ดีกว่าในโลกภายนอกมากกว่าสี่เท่าแน่นอน ซึ่งมันจะช่วยในเรื่องการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ได้อย่างมาก”


แม้ว่าการค้นหาดินแดนมรดกขั้นสี่จะเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่สิ่งที่ยากกว่าและสำคัญกว่าก็คือการเรียนรู้สกิลหรือเวทย์มรดกขั้นสี่ให้ทันตามเวลา และข้อกำหนด ซึ่งความสัมพันธ์ขององค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ กับมานานั้นมีส่วนสำคัญในเรื่องนี้มากๆ


มันมีอัจฉริยะเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ง่ายๆ ในขณะที่คนอื่นๆส่วนใหญ่นั้นจำเป็นจะต้องฝึกฝนอย่างหนักกว่าที่จะสามารถบรรลุข้อกำหนดขั้นต่ำ และกลายเป็นขั้นสี่ได้


หากให้เทียบมันก็เหมือนกับคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาในโปรแกรมใหม่แล้ว ซึ่งคุณอาจจะรู้จักภาษานี้แทบทุกซอกทุกมุม แต่ตอนนี้คุณจำเป็นจะต้องมาสร้างเกมเนื้อเรื่องยาวด้วยภาษานี้ในเวลาที่กำหนด ดังนั้นคุณน่าจะสามารถจินตนาการถึงความยากได้เลย


มันอาจกล่าวได้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้


สิ่งเดียวที่ผู้เล่นทำได้คือการปรับปรุงตัวเองไปอย่างต่อเนื่อง และค่อยๆทำความคุ้นเคยกับองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ และมานาเท่านั้น ผู้เล่นไม่สามารถจะเร่งรีบหรือรัดกระบวนการได้ง่ายๆในเรื่องนี้


อย่างไรก็ตามตอนนี้มันเป็นไปได้ในเมืองสภาสิบแปดปีก ….


เมื่อได้ยินคำพูดของดีไวน์ชาโด้ว คลีนซิ่งเฟรมก็ได้ลองตรวจสอบเรื่องที่เขาพูด ซึ่งมันก็ทำให้เธอเต็มไปด้วยความตกตะลึงมากๆ เพราะเธอนั้นค้นพบอย่างรวดเร็วว่าเรื่องที่ดีไวน์ชาโด้วพูดมันเป็นเรื่องจริงทั้งหมด


“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมถึงกล้าจะเรียกเก็บคริสตัลเวทย์มนต์จำนวนมากเป็นค่าเข้าเมืองโดยที่เขาไม่กังวลเลยว่าจะไม่มีใครเข้ามาที่เมืองนี้ แถมเขายังกล้าจะประกาศว่านี่เป็นสวัสดิการของกิล และไม่ต้องการให้บุคคลภายนอกได้เข้ามาอีก …” ดีไวน์ชาโด้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ด้วยผลประโยชน์ทั้งหมดนี้ที่เมืองมอบให้ เมื่อผู้เล่นขั้นสามทุกคนรู้เข้า พวกเขาจะแย่งกันเข้าสู่เมืองอย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนค่าใช้จ่ายแน่นอน ….”


ความพิเศษทั้งหมดนี้ของเมืองสภาสิบแปดปีกนั้น มันเป็นสิ่งที่เมืองอื่นๆไม่สามารถจะให้ได้เลย ซึ่งในเวลานี้นั้นดีไวน์ชาโด้วก็ไม่ใช่คนเดียวที่คิดแบบนี้ แต่ทุกคนที่อยู่ในวงเวทย์เทเลพอร์ตก็คิดเช่นกัน


“แข็งแกร่ง !! แข็งแกร่งมากๆ !!!นี่ถ้าฉันสามารถอยู่ฝึกที่นี่ได้เป็นเวลานาน ไม่เพียงแต่พลังการต่อสู้ของฉันจะเพิ่มขึ้นสูงมากเท่านั้น แต่ฉันน่าจะสามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ในระยะเวลาอันสั้นเลย” ดวงตาของซัมมอนเนอร์หนุ่มขั้นสามเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น


แม้ว่าเขาจะกลายเป็นขั้นสามมานานแล้ว แต่การจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาให้ได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้นมันก็ยังคงยากมากอยู่ดี ซึ่งร่างมานาที่ปลดล๊อคศักยภาพได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ กับยังไม่สามารถปลดล๊อคศักยภาพได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้นมันแตกต่างกันมากๆ และมันก็ส่งผลกระทบไปถึงพลังการต่อสู้ของผู้เล่นด้วย


ก่อนหน้านี้เขารู้สึกหมดหวังมากๆในเรื่องการจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาไปให้ถึงหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ อย่างไรก็ตามตอนนี้เขากับมามองเห็นความหวังอีกครั้ง และเขาก็คิดว่าอัตราที่เขาจะทำได้สำเร็จนั้นมันค่อนข้างสูงมาก


“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมสภาสิบแปดปีกถึงไม่กลัวที่จะเป็นศัตรูกับมหาอำนาจต่างๆ แถมพวกเขายังเลือกจะปฎิเสธความร่วมมือกับมหาอำนาจต่างๆด้วย ด้วยเมืองสภาสิบแปดปีกนี้ อนาคตของสภาสิบแปดปีกจะไร้ขีดจำกัดแน่นอน” เจียนโม่วโฉวเองก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นกันในเวลานี้


ในตอนแรกนั้นเธอคิดว่าเธอจะเข้ามาที่นี่แค่เพื่อค้นหาดินแดนมรดกขั้นสี่เท่านั้น และหากเธอเจอดินแดนมรดกขั้นสี่ แต่เธอยังไม่มั่นใจว่าเธอจะสามารถทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ได้สำเร็จ เธอก็สามารถที่จะมอบมันให้กับกิล เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นคะแนนกิลจำนวนมาก และนำไปแลกไอเทมระดับอีปิคที่เธอต้องการได้


แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันได้เปลี่ยนไปแล้ว ….


ตอนนี้ไม่เพียงแต่เธอจะมีสิทที่จะค้นหาดินแดนมรดกขั้นสี่ได้ แต่เธอยังสามารถจะปรับปรุงตัวเองในเมืองสภาสิบแปดปีกได้ ซึ่งนี่มันทำให้เธอมีความหวังที่จะทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ได้สำเร็จเพิ่มขึ้นมาก


หลังจากยืนนื่งเป็นหิน และทำอะไรไม่ถูกไปชั่วครู่หนึ่งที่บริเวณวงเวทย์เทเลพอร์ต ผู้เล่นหลายร้อยคนที่เริ่มจะประมวลผลและรับสิ่งต่างๆได้แล้วก็ล้วนรีบวิ่งออกจากห้องเทเลพอร์ตไปทันที โดยที่พวกเขาทั้งหมดนั้นต้องการจะไปดูว่าภายในเมืองสภาสิบแปดปีกมันมีอะไรบ้าง ….


ซึ่งเมื่อทุกคนออกมาจากห้องเทเลพอร์ ทุกคนก็ต้องตกตะลึงกับฉากที่ได้เห็นตรงหน้า


เนื่องจากเมืองสภาสิบแปดปีกในเวลานี้นั้น มันดูดีกว่าเมืองหลักของ NPC ส่วนใหญ่ซะอีก โดยมันมีสิ่งก่อสร้างขั้นสูงหรือเหนือกว่านั้นตั้งเรียงรายอยู่มากมาย และที่สำคัญสภาพแวดล้อมที่พวกเขาสัมผัสได้ที่ภายนอกนี้มันก็เหมือนกับในห้องเทเลพอร์ตเลย นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่ามันมีอาคารขนาดยี่สิบชั้นที่ตั้งอยู่ที่ถนนสายหลักของเมืองสภาสิบแปดปีกด้วย


ซึ่งอาคารนี้มันก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากสนามประลอง !!


สถานที่ที่ผู้เล่นจะสามารถเพลิดเพลินไปกับการต่อสู้ และ PK ได้ ….


สนามประลองแบบดั้งเดิมนั้นมันไม่น่าดึงดูดสำหรับผู้เชี่ยวชาญขั้นสามอีกแล้ว และเต็มที่พวกเขาก็จะใช้มันแค่ในการประมือกันกับผู้เชี่ยวชาญขั้นสามคนอื่นๆเท่านั้น อย่างไรก็ตามสำหรับผู้เชี่ยวชาญขั้นสองนั้นมันแตกต่างออกไป พวกเขายังคงทยอยกันเข้ามาที่นี่ต่อสู้กัน และเรียนรู้จากกันและกัน


แต่ในเวลานี้สนามประลองของเมืองสภาสิบแปดปีกได้กลายเป็นสถานที่ที่ทุกคนต้องการจะเร่งรีบเข้าไปใช้ประโยชน์อย่างไม่ต้องสงสัย


หลังจากกลุ่มผู้เล่นจำนวนหนึ่งได้เข้าสู่เมืองสภาสิบแปดปีกไป ข่าวเรื่องเมืองสภาสิบแปดปีกก็ได้เริ่มแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วในช่องแชทของกิล และภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง มันก็ทำให้สมาชิกระดับสูงของสภาสิบแปดปีกหรือเหนือกว่าขึ้นไปนั้นล้วนเร่งรีบมารวมตัวกันที่เมืองสกายสปริงเพื่อจะเดินทางไปยังเมืองสภาสิบแปดปีกกันอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งนี่มันทำให้ห้องเทเลพอร์ตของเมืองสกายสปริงนั้นดูแออัดไปเลย

แม้แต่สมาชิกระดับสูงหลายคนของสภาสิบแปดปีกก็ยังต้องเข้าแถวรอเป็นเวลาหลายสิบนาทีกว่าที่จะถึงคิวของพวกเขาที่จะใช้บริการเทเลพอร์ตเพื่อเดินทางไปยังเมืองสภาสิบแปดปีก ….


เมื่อเหล่าสมาชิกระดับสูงหรือเหนือกว่าของสภาสิบแปดปีกแห่เดินทางกันไปที่เมืองสภาสิบแปดปีก ข่าวเรื่องเมืองสภาสิบแปดปีกก็แพร่กระจายไปถึงหูของกองกำลังต่างๆ และผู้เล่นอิสระอย่างรวดเร็ว โดยชั่วขณะหนึ่งสิ่งนี้มันก็ทำให้กองกำลังต่างๆนั้นอยากจะเข้าไปที่เมืองสภาสิบแปดปีกเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้มากๆ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่สามารถจะทำได้ และตอนนี้พวกเขาก็ทำได้แค่ดูจากภายนอกเฉยๆเท่านั้น


“รีบติดต่อไปยังสภาสิบแปดปีกเร็ว !!! บอกไปว่ากิลนอร์ติก้าของเรายินดีที่จะร่วมมือเป็นพันธมิตรกับสภาสิบแปดปีก ตราบใดที่สภาสิบแปดปีกยอมเปิดเมืองสภาสิบแปดปีกให้เรา !!!”


“แจ้งไปยังสภาสิบแปดปีกว่าทีมนักผจญภัยมังกรภาษาของเรายินดีที่จะเข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีก แต่สภาสิบแปดปีกต้องให้สมาชิกในทีมของพวกเราทุกคนเป็นสมาชิกระดับสูงทั้งหมด !!!”


ชั่วขณะหนึ่งหลายฝ่ายเริ่มติดต่อเข้ามาหาสภาสิบแปดปีก ไม่เว้นแม้แต่มหาอำนาจที่แท้จริงบางกลุ่มด้วย ….


“หัวหน้ากิลตอนนี้มีกิลชั้นสูงมากกว่าสี่สิบกิล ทีมนักผจญภัยที่มีชื่อเสียงมากกว่าสองร้อยกลุ่ม และมหาอำนาจที่แท้จริงห้ากลุ่มติดต่อมาขอร่วมมือ หรือไม่ก็เข้าร่วมกับเรา แต่เงื่อนไขคือเราต้องอนุญาติให้พวกเขาเข้าสู่เมืองสภาสิบแปดปีกได้ …” ไฟเออร์แดนซ์รายงายซือเฟิงอย่างตื่นเต้น “แม้แต่บางกิลก็เต็มใจที่จะจ่ายค่าเข้าสู่เมืองสภาสิบแปดปีกในราคาเป็นคริสตัลเวทย์มนต์สิบชิ้นต่อคน ซึ่งบางกิลที่ว่านี้มีจำนวนราวห้าแสนคนเลย เราจะอนุญาติให้พวกเขาเข้ามาไหม ?”


คริสตัลเวทย์มนต์สิบชิ้นต่อคน ถ้ามีห้าแสนคนเข้าสู่เมืองสภาสิบแปดปีก มันก็จะคิดเป็นคริสตัลเวทย์มนต์ห้าล้านชิ้น


ซึ่งแม้แต่ซุเปอร์กิลก็ยังจะต้องอิจฉากับรายได้แบบนี้แน่นอน …. เพราะท้ายที่สุดตอนนี้ ซุเปอร์กิลต่างๆนั้นมีคริสตัลเวทย์มนต์เก็บอยู่ในคลังกิลของพวกเขาแค่หลายล้านชิ้นเท่านั้น


“ตอนนี้เรายังปล่อยให้พวกเขาเข้ามาไม่ได้ ….” ซือเฟิงส่ายหัว และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่เธอสามารถไปแจ้งพวกเขาได้ว่าสภาสิบแปดปีกสามารถที่จะแสดงความร่วมมือเบื้องต้นได้ด้วยการมอบโควต้าเข้าสู่เมืองสภาสิบแปดปีกทั้งหมดหนึ่งล้านคนให้กับผู้ที่ต้องการร่วมมือและเป็นพันธมิตรกับเรา”


“โควต้าแค่หนึ่งล้านคนเท่านั้นหรอ ?” ไฟเออร์แดนซ์รู้สึกงงงวยเมื่อได้ยินคำพูดของซือเฟิง


เมืองสภาสิบแปดปีกนั้นกลายเป็นเมืองหลักแล้ว ไม่ต้องพูดถึงหนึ่งล้านคนเลย แม้แต่สิบล้านคนเมืองก็สามารถที่จะรองรับได้อย่างง่ายดาย และพูดกันตามตรงด้วยจำนวนที่บางกิลยอมจ่ายค่าเข้าเมืองเป็นคริสตัลเวทย์มนต์สิบชิ้นต่อคน นี่มันก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากเลย


“กองกำลังใดก็ตามที่เซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ และพันธมิตรด้านทรัพยากรกับสภาสิบแปดปีกจะสามารถซื้อโควต้าเหล่านี้ได้” ซือเฟิงพยักหน้าและพูดอย่างช้าๆ “และมันก็จะมีการประมูลโควต้าเหล่านี้ด้วย โดยการประมูลจะถูกจัดขึ้นที่บริษัทการค้าแสงเทียน และราคาประมูลโควต้าหนึ่งช่องเพื่อเข้าสู่เมืองสภาสิบแปดปีกก็จะเริ่มที่คริสตัลเวทย์มนต์สิบชิ้นต่อหนึ่งช่อง ต่อคน ….”


“ประมูล ?” ดวงตาของไฟเออร์แดนซ์สว่างวาบขึ้นทันที เมื่อเธอได้ยินเรื่องนี้ “ฉันจะรีบไปแจ้งให้พวกเขาทราบทันที !!!”


ตอนที่ 2838 ข่าวใหม่ที่น่าตกตะลึง


เมื่อไฟเออร์แดซ์ได้ออกไปแจ้งให้ทุกคนรู้ว่าสภาสิบแปดปีกกำลังวางแผนที่จะเปิดประมูลโควต้าเข้าสู่เมืองสภาสิบแปดปีกหนึ่งล้านช่องนั้น มันก็ทำให้เกิดเสียงครึกโครมไปทั่วทวีปด้านตะวันออก ไม่เว้นแม้แต่กับกองกำลังขนาดใหญ่ต่างๆ และมหาอำนาจที่แท้จริงที่พวกเขาล้วนรีบจัดการประชุมพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ทันที


จักรวรรออร์ค ป้อมปราการคริมสันเฟรม :


“สภาสิบแปดปีกจะหยิ่งผยองเกินไปแล้ว !!! พวกเขากล้าที่จะเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่าจะเปิดประมูลโควต้าเข้าสู่เมืองสภาสิบแปดปีกของตัวเอง แถมราคาประมูลหนึ่งช่องยังเริ่มต้นเป็นคริสตัลเวทย์มนต์สิบชิ้นต่อคนด้วย นี่มันบ้าชัดๆ !!!” สโนว์สการ์ เบอเซิกเกอร์ขั้นสี่ เลเวลหนึ่งร้อยสามสิบกล่าวด้วยความเย้ยหยัน ขณะที่เขามองไปยังข่าวล่าสุดของสภาสิบแปดปีกที่ฉายอยู่บนโต๊ะประชุม “นี่สภาสิบแปดปีกไม่รู้เลยรึไงว่าตอนนี้มือแห่งนักบุญนั้นได้ทำการร่วมมือกับมหาอำนาจมากกว่าหนึ่งโหลเพื่อสำรวจและบุกเบิกแผนที่เป็นกลางเลเวล หนึ่งร้อยสามอย่างเนินดำแล้ว แถมตอนนี้พวกเขาก็กำลังเริ่มสร้างเมืองขึ้นที่นั่นแล้วด้วย !!!”


เนินดำ !!


นี่มันคือแผนที่เป็นกลางที่อยู่ติดกับดินแดนต้องห้ามอย่างรอยแยกแห่งชีวิตและความตาย โดยรอยแยกแห่งชีวิตและความตายนี้มันเป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่าที่อัน

ตรายมากๆสำหรับผู้เล่น อย่างไรก็ตามแม้ว่าข้างในจะอันตรายอย่างมาก แต่เท่าที่ผู้เล่นขั้นสี่ที่พวกเขาส่งไปสำรวจแข้งข้อมูลกลับมานั้น ที่นี่มันมีดินแดนมรดกขั้นสี่อยู่มากกว่าที่อื่นอย่างมาก นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามันมีไอเทมโบราณมากมายที่สามารถจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผู้เล่นขั้นสี่อยู่ภายในด้วย


“รองหัวหน้ากิล ในครั้งนี้มือแห่งนักบุญยังได้ส่งคำเชิญมาให้เรา เพื่อให้เราไปร่วมสร้างเมืองเฮยชุ่ยด้วย โดยพวกเขาบอกว่าเมื่อเมืองสร้างเมืองเสร็จเรียบร้อย พวกเขาจะมอบหุ้นของเมืองให้เราสิบเปอเซ็นต์ แต่พวกเราจะต้องนำผู้เล่นขั้นสี่ พร้อมกับผู้เล่นขั้นสามจำนวนสองหมื่นคนเข้าประจำการในเมืองไว้ตลอดเวลา” จิงหยาง นักเวทย์ขั้นสี่ เลเวลหนึ่งร้อยสามสิบเอ็ดลุกขึ้นมากล่าวรายงานข่าวที่ได้รับมาล่าสุดแก่ซวนหวู่ ชิชาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพ


“มือแห่งนักบุญนั้นคำณวนมาค่อนข้างจะดีจริงๆ พวกเขารู้ว่าแบล๊ควอเตอร์ของเรานั้นมีรากฐานที่ค่อนข้างพิเศษ แถมพวกเราก็ยังพัฒนาตัวเองอยู่ในจักรวรรดิออร์ค ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายกว่าที่จะร่วมมือกับพวกเราเพื่อกำจัดสภาสิบแปดปีก” แอสซาซินหญิงขั้นสี่ เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบแปดที่ยืนอยู่ด้านข้างของซวนหวู่ ชิชากล่าวอย่างเย้ยหยัน “แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ให้ราคาแบล๊ควอเตอร์ของเราต่ำไปสักหน่อยนะ !!!”


สโนว์สการ์ที่เป็นเบอเซิกเกอร์พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของแอสซาซินหญิงขั้นสี่


ตอนนี้กิลแบล๊ควอเตอร์ของพวกเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก และภายใต้การนำของรองหัวหน้ากิลซวนหวู่ ชิชานั้นกิลของพวกเขาก็มีความแข็งแกร่งเกือบจะเท่ากับซุเปอร์กิลแล้ว แถมในตอนนี้พวกเขาก็มีผู้เล่นขั้นสี่ถึงหกคน เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่ได้บอกให้สาธาณรชนรู้เรื่องนี้ และพวกเขายังคงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับก็เท่านั้น


“จิงหยาง ไปบอกมือแห่งนักบุญว่าถ้าพวกเขาต้องการจะร่วมมือกับเรา พวกเขาจะต้องแสดงความจริงใจออกมามากกว่านี้ ซึ่งอย่างน้อยพวกเขาควรจะมอบหุ้นสามสิบเปอเซ็นต์ของเมืองเฮยชุ่ยให้เรา” ซวนหวู่ชิชาที่นั่งอยู่หัวโต๊ะกล่าวด้วยรอยยิ้ม ซึ่งเมื่อเธอกล่าวขึ้นนั้น บรรดาผู้อาวุโสของกิลมากกว่ายี่สิบคนที่อยู่ในห้องประชุมก็เงียบลง และหันมาตั้งใจฟังเธอทันที “ในเวลาเดียวกันให้ไปแจ้งสภาสิบแปดปีกให้ทราบถึงความเคลื่อนไหวของมือแห่งนักบุญเพื่อแสดงเจตนาว่าเราต้องการจะร่วมมือกับสภาสิบแปดปีกต่อต้านกองกำลังพันธมิตรมือแห่งนักบุญ แต่ว่าเงื่อนไขสำหรับเรื่องนี้ก็คือสภาสิบแปดปีกจะต้องเปิดเมืองสภาสิบแปดปีกให้สมาชิกของแบล๊ควอเตอร์ทุกคนเข้าไปได้ ….”


“รองหัวหน้ากิล คุณก็รู้จักสภาสิบแปดปีกดี ฉันคิดว่าพวกเขาไม่น่าจะยอมรับเงื่อนไขนี้แน่ ….” จิงหยางกล่าวอย่างรู้สึกปวดหัว


ตลอดเวลาที่ผ่านมา สภาสิบแปดปีกนั้นขึ้นชื่อในเรื่องความหยิ่งผยองและไม่เคยแคร์ใคร แม้แต่มหาอำนาจต่างๆ ….. ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่กิลกำลังเริ่มสั่งสมความแข็งแกร่งของตัวเองได้อย่างรวดเร็วเลย ซึ่งนี่มันทำให้มีสิทสูงมากที่พวกเขาจะไม่ยอมรับข้อเสนอของซวนหวู่ ชิชา


“มันไม่สำคัญเลย ต่อให้พวกเขาจะไม่ยอมรับในตอนนี้ก็ตาม …” ซวนหวู่ ชิชากล่าวอย่างเฉยเมย “เพราะเมื่อมือแห่งนักบุญทำการเปิดเมือง และเวลามาถึง หลายอย่างมันก็จะกลายเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขามากๆ ดังนั้นฉันเชื่อว่าพวกเขาน่าจะพิจารณาเงื่อนไขของเราอยู่บ้างแน่นอน …”


“รับทราบ ฉันเข้าใจแล้ว !!” จิงหยางกล่าวพลางพยักหน้า


ตอนนี้สภาสิบแปดปีกมีทั้งเงินทุน ทรัพยากร และความมั่นใจอย่างเต็มรูปแบบ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเมืองเฮยชุ่ยถูกเปิดขึ้น สถานการณ์นี้มันก็อาจจะพลิกกลับในไม่ช้า เพราะท้ายที่สุดตอนนี้เลเวลเฉลี่ยของผู้เล่นระดับสูงนั้นมาถึงแค่ราวหนึ่งร้อยยี่สิบเท่านั้น แต่แผนที่ที่เมืองสภาสิบแปดปีกตั้งอยู่นั้นมันคือที่หุบเขาอาร์กติกแกรนด์ ซึ่งมันไม่ใช่สถานที่ที่ผู้เล่นระดับสูงจะไปได้ง่ายๆเลย


นอกจากนี้นี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่มือแห่งนักบุญมีพันธมิตรเป็นมหาอำนาจมากกว่าหนึ่งโหลอีก ดังนั้นในเรื่องกำลังคน และทรัพยากรของพวกเขาในเรื่องนี้นั้นจึงแทบจะเทียบได้กับห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งสุดเลย


ซึ่งนี่มันก็จะทำให้ข้อได้เปรียบเรื่องจำนวนผู้เล่นขั้นสี่ของสภาสิบแปดปีกหายไป


แถมนี่ยังไม่นับรวมเรื่องของสถานการณ์ในแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยสี่สิบด้วย หากสภาสิบแปดปีกมีกำลังคนไม่มากพอที่จะใช้ปกป้องเมืองสภาสิบแปดปีก เมืองของพวกเขาก็จะได้พินาศด้วยการโจมตีของเหล่ามอนสเตอร์หรือไม่ก็กองกำลัง NPC แน่นอน


ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทั้งหมดเองมันจึงทำให้ซวนหวู่ ชิชาคิดว่าสภาสิบแปดปีกน่าจะหยิบเงื่อนไขของเธอขึ้นมาพิจารณาแน่นอน ….


ในระหว่างที่แบล๊ควอเตอร์กำลังรีบจะไปแจ้งข่าวเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของมือแห่งนักบุญให้สภาสิบแปดปีกรู้ มือแห่งนักบุญก็ได้ชิงประกาศเรื่องเมืองของพวกเขาให้สาธารณชนรับรู้ซะก่อน


แถมมือแห่งนักบุญยังประกาศว่าเมืองของพวกเขานั้นจะเปิดให้ทุกคนได้เข้าไปด้วย โดยค่าเข้าเมืองก็ถูกมากซึ่งมันมีราคาเป็นเงินห้าสิบเหรียญเงิน หรือไม่ก็เป็นคริสตัลเวทย์มนต์หนึ่งชิ้น


นี่มันจึงทำให้กองกำลังต่างๆที่เข้าติดต่อขอร่วมมือกับสภาสิบแปดปีกนั้นเปลี่ยนใจโดยทันที

แม้ว่าสภาพแวดล้อมของเมืองสภาสิบแปดปีกจะยอดเยี่ยมมากๆ แต่พูดกันตามตรงหลาบฝ่ายนั้นก็ไม่สามารถจะรับได้จริงๆเนื่องจากราคาโควต้าค่าเข้าเมืองที่ไม่คงที่ โดยในงานประมูลนั้นราคาโควต้าค่าเข้าเมืองต่อหนึ่งช่องมันอาจพุ่งไปสูงเป็นคริสตัลเวทย์มนต์ยี่สิบหรือยี่สิบห้าชิ้นต่อคนก็เป็นไปได้


ซึ่งค่าใช้จ่ายแบบนี้นั้น แม้แต่กิลชั้นสูงก็ยังยากจะแบกรับเลย เพราะพวกเขาจำเป็นจะต้องส่งผู้เล่นจำนวนมากของพวกเขาเข้าไปพัฒนาในเมือง ดังนั้นพอมือแห่งนักบุญประกาศข่าวเรื่องเมืองเฮยชุ่ย และเรื่องค่าเข้าเมือง พร้อมกับสถานที่ตั้งออกมา มันจึงทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจได้ไม่ยาก ….


เมืองสกายสปริง สถานที่พักกิลสภาสิบแปดปีก :


“หัวหน้ากิล มือแห่งนักบุญนั้นช่างโหดเหี้ยมจริงๆ ด้วยประกาศเรื่องเมืองล่าสุดของพวกเขา มันทำให้กิลชั้นสูง และมหาอำนาจมากกว่าเก้าสิบเปอเซ็นต์ พร้อมกับทีมนักผจญภัยที่มีชื่อเสียงมากกว่าแปดสิบเปอเซ็นต์เปลี่ยนใจไม่มาร่วมมือและเข้าร่วมกับเราแล้ว …” ไฟเออร์แดนซ์กล่าวรายงานด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความขมขื่น “นี่มันจะทำให้กำไรที่เราคิดว่าจะทำได้จากหลายสิ่งในตอนแรกลดลงไปมาก …”


“ไม่ต้องไปสนใจใดๆในเรื่องนี้หรอก เราจะยังคงดำเนินการตามแผนเดิมของเราไม่เปลี่ยนแปลง เพราะท้ายที่สุดเป้าหมายหลักของเรามันไม่ได้เป็นไปเพื่อทำกำไรและรับเอาคริสตัลเวทย์มนต์ เราเพียงต้องการจะรักษาการดำเนินงานตามปกติของเมืองสภาสิบแปดปีกไว้ให้ได้เท่านั้น”


ไฟเออร์แดนซ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “แต่ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมเราไม่เปิดเมืองให้พวก NPC เข้ามาช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายอีกทางล่ะ ? สำหรับเรื่องการป้องกันเมืองก็ย้ายป้อมปราการเคลื่อนที่ และผู้เล่นขั้นสามของเราไปป้องกันที่นั่นไว้ก่อนจนกว่าเราจะมีทุนมากพอที่จะจ้างทหาร NPC ที่แข็งแกร่งได้ครบตามจำนวนก็ได้นี่นา ….”


ไฟเออร์แดนซ์นั้นคิดว่าวิธีนี้มันน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะท้ายที่สุดแล้วนั้นตอนนี้สภาสิบแปดปีกมีผู้เล่นขั้นสามภายใต้คำสั่งอยู่มากกว่าห้าหมื่นคนแล้ว หากนับรวมผู้เล่นของทีมนักผจญภัยอาชูร่า และฮีฟเว่นเบลดด้วย และผู้เล่นส่วนใหญ่ทั้งหมดนี้ก็ได้เข้าไปฝึกที่เมืองสภาสิบแปดปีก ดังนั้นการเลือกจะใช้งานพวกเขาสักเล็กน้อย บวกกับใช้ความแข็งแกร่งของป้อมปราการเคลื่อนที่เพื่อช่วยแก้ปัญหามันก็น่าจะทำให้ผล

ออกมาดีกว่าตอนนี้ ….

“เลิกคิดเรื่องนั้นไปได้เลย …” ซือเฟิงกล่าวแย้ง และเขาก็สามารถจะเดาความคิดของไฟเออร์แดนซ์ออกได้ในทันที “อย่างไรก็ตาม เราสามารถจะเพิ่มจำนวนผู้เล่นขั้นสี่เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งโดยรวมให้กับกิลได้”


“เพิ่มจำนวนผู้เล่นขั้นสี่ ?” ไฟเออร์แดนซ์ที่ได้ยินอดไม่ได้ที่จะสงสัย และถามว่า “เรื่องแบบนี้มันทำได้ด้วยงั้นหรอ ?”


ในแง่ที่หลายสิ่งของสภาสิบแปดปีก โดยเฉพาะวิธี และสภาพแวดล้อมในการฝึกตอนนี้ได้มาถึงขีดจำกัดแล้วนั้น การจะเพิ่มจำนวนผู้เล่นขั้นสี่ของกิลขึ้นมันจึงต้องอาศัยโชคอย่างมาก ดังนั้นมันจึงยากที่จะจินตนาการเลยว่าซือเฟิงจะมีวิธีเพิ่มจำนวนผู้เล่นขั้นสี่ของกิลขึ้น ….


“แน่นอนสิทำได้ …” ซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไปแจ้งเสวี่ยเหวินโหรว และคนอื่นๆ ให้พวกเขามารวมตัวกันที่คฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองเมืองสภาสิบแปดปีก”


หากเป็นก่อนหน้านี้ เขาก็คงจะไม่มีวิธีอะไรแบบนี้จริงๆ แต่อย่างไรก็ตามหลังจากได้เดินทางไปที่โลกยุคโบราณของ God domain และได้เดินทางกลับมา เขาก็มีหนทางที่จะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่แล้ว


ซึ่งนั่นก็คือสมบัติที่เขาได้รับมาจากยุคโบราณ รูปสลักสัตว์อสูรโบราณ !!


ตอนที่ 2839 รูปสลักสัตว์อสูรโบราณที่น่ากลัว


เมืองสภาสิบแปดปีก คฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเมือง :


เสวี่ยเหวินโหรว ชาโด้วซอร์ด เทอเทิ้ลโดฟ เย่หวูเมี่ยน Alluring Summer โคล่า ฟลายอิ้งชาโด้ว สตับบอร์นโบน หยานเทียนซิง อี้ลั่วเฟย และพวกระดับสูงคนอื่นๆของสภาสิบแปดปีกทั้งหมดล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สองของคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเมือง


โคล่านั้นอดไม่ได้ที่จะหันไปถามไฟเออร์แดนซ์ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “ผู้บัญชาการ มันมีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ ? ทำไมหัวหน้ากิลถึงเรียกพวกเราทั้งหมดมาที่นี่ ….”


เมื่อโคล่าพูดจบ คนอื่นๆก็ได้หันไปมองไฟเออร์แดนซ์อย่างอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน


เพื่อที่จะเพิ่มอัตราความสำเร็จในการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ พวกเขาทุกคนนั้นล้วนฝึกฝนเพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ของตัวเองกับองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ และมานากันอย่างบ้าคลั่ง


ขณะเดียวกันสภาพแวดล้อมของเมืองสภาสิบแปดปีกในตอนนี้นั้นมันก็เอื้อต่อการฝึกของพวกเขามากๆ และมันทำให้เสวี่ยเหวินโหรวได้กลายเป็นปรมาจารย์วงเวทย์ และเริ่มสร้างโดเมนของตัวเองขึ้นมาได้แล้วด้วย ซึ่งสิ่งนี้มันทำให้ทุกคนอิจฉามากๆ


“ความลับ …” ไฟเออร์แดนซ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม ขณะที่ยังคงเดินนำทางคนทั้งหมดไปหาซือเฟิง “แต่ฉันสามารถบอกได้เลยว่าการมาในครั้งนี้มันเป็นผลดีสำหรับพวกคุณทุกคนแน่นอน และบางทีมันอาจเพิ่มโอกาสในการเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่ได้ด้วย”


เธอนั้นเข้าใจถึงอารมณ์ของทุกคนที่ต้องการจะรีบปรับปรุงตัวเองให้เร็วที่สุดในเมืองสภาสิบแปดปีก เพราะท้ายที่สุดแล้วสภาพแวดล้อมภายในเมืองนั้นมันมีประโยชน์แม้แต่กับผู้เล่นขั้นสี่อย่างตัวเธอมาก ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงผู้เล่นขั้นสามเลย


แถมในสถานการณ์ปัจจุบันของ God domain นั้น ผู้เล่นขั้นสามก็แทบจะไม่สามารถทำอะไรได้มากนักแล้ว มันมีเพียงแค่การต้องเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่เท่านั้นที่จะทำให้พวกเขากลับมาสามารถทำอะไรได้มากขึ้น ดังนั้นเธอจึงเข้าใจดีถึงอารมณ์ของทุกคนที่ต้องการจะฝึกฝนเพื่อเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่ให้ไวที่สุด

“ผู้บัญชาการ นี่ผู้บัญชาการไม่ได้โกหกเราใช่ไหม ? นอกเหนือจากสภาพแวดล้อมของเมืองสภาสิบแปดปีก มันยังจะมีวิธีอื่นที่ช่วยทำให้อัตราความสำเร็จในการเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่ของพวกเราเพิ่มขึ้นอีกงั้นหรอ ? …” สตับบอร์นโบนอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น เมื่อได้ยินคำพูดของไฟเออร์แดนซ์


แม้ว่าเขาจะมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการฝึกในเรื่องนี้แบบเมืองสภาสิบแปดปีก แต่เขาก็ยังคงรู้สึกอย่างชัดเจนว่าการที่เขาจะเลื่อนขั้นไปเป็นขั้นสี่ได้นั้นมันยังคงยากมากๆด้วยเทคนิคของเขา และแม้ว่าเขาจะพยายามอย่างหนัก เขาก็ยังไม่แน่ใจนักด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่ได้


หากทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ล้มเหลวหนึ่งครั้ง มันจะต้องรออีกเป็นเวลานานมากกว่าจะสามารถเริ่มท้าทายได้อีกครั้งหนึ่ง และแม้ว่าเขาจะสามารถค้นหาดินแดนมรดกขั้นสี่ของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว แต่โดยเฉลี่ยแล้ว เขาก็น่าจะสามารถทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ได้แค่เดือนละหนึ่งถึงสองครั้งเท่านั้น ซึ่งหากเขาล้มเหลวบ่อยๆ และต้องติดอยู่ที่ขั้นสามนาน เขาก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าเขาจะต้องตามหลังผู้เล่นที่กลายเป็นขั้นสี่แล้วมากแค่ไหน


“นั่นเป็นสิ่งที่หัวหน้ากิลได้พูดไว้ …” ไฟเออร์แดนซ์กล่าวพลางพยักหน้า “ไม่งั้นเขาก็คงจะปล่อยให้พวกคุณฝึกอย่างบ้าคลั่งต่อไป และไม่เรียกมารวมกันที่นี่แล้ว …”


เมื่อไฟเออร์แดนซ์กล่าวจบ เธอก็ได้นำทุกคนมาถึงที่บริเวณประตูหินขนาดใหญ่ที่ถูกล้อมรอบด้วยวงเวทย์แล้ว โดยที่หน้าประตูหินนี้มันมีองครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงิน ขั้นสามที่มีเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยสี่สิบสี่คนเฝ้าอยู่ …..


หลังจากได้เห็นไฟเออร์แดนซ์ NPC ขั้นสี่ทั้งหมดก็ค่อยๆเปิดประตูหินขนาดใหญ่นี้ให้เธอ กับคนอื่นๆเข้าไป


เมื่อประตูหินถูกเปิดออก ทุกคนก็ได้เห็นห้องลับที่มีขนาดเท่ากับสนามบาสเก็ตบอลอยู่ภายใน ซึ่งห้องนี้มันก็ได้ถูกปิดผนึกไว้ด้วยวงเวทย์ต่างๆมากมาย ซึ่งเมื่อเข้ามาข้างในแล้ว แม้ว่าผู้เล่นขั้นสี่จะทำอะไรอึกทึกครึกโครมกัน แต่โลกภายนอกก็จะไม่สามารถตรวจจับพวกเขาได้แน่นอน


โดยภายในห้องลับนี้ ซือเฟิงซึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำอยู่ได้ยืนรอมาเป็นเวลานานแล้ว


ซือเฟิงมองไปที่ฝูงชน และพูดอย่างสบายๆว่า “พวกคุณทุกคนเข้ามาเลย เข้ามาตรงนี้ …”


เมื่อซือเฟิงพูดจบ ไฟเออร์แดนซ์และคนอื่นๆก็รีบก้าวเข้าสู่ห้องลับ และเดินเข้าไปหาซือเฟิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น


เมื่อเห็นว่าทุกคนได้เข้ามาในห้องลับเรียบร้อย ประตูหินขนาดใหญ่ก็ถูกปิดลง ในขณะที่เหล่าองครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงิน ขั้นสามทั้งสี่คนนั้นก็ล้วนยืนเฝ้าหน้าประตูด้านหน้าอยู่ด้วยท่าทีจริงจังมากๆ ….


หลังจากที่ไฟเออร์แดนซ์ และคนอื่นๆเข้ามาในห้องลับ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังซือเฟิงอย่างแปลกๆ


เพราะภายในห้องลับนี้ พวกเขาไม่ได้รู้สึกพิเศษใดๆเลย และพูดกันตามตรงสภาพแวดล้อมของมันแย่กว่าตามท้องถนนของเมืองสภาสิบแปดปีกด้วยซ้ำ


ซือเฟิงมองไปที่ท่าทีของฝูงชน และถามด้วยรอยยิ้มว่า “พวกคุณคงแปลกใจสินะว่าทำไมพวกคุณถึงถูกเรียกมาที่นี่”


“ผู้บัญชาการบอกว่า หัวหน้ากิลมีวิธีที่จะเพิ่มอัตราความสำเร็จในการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ให้พวกเรา มันจริงงั้นหรอ ?” สตับบอร์นโบนกล่าวถามอย่างสงสัย


หากพูดกันตามตรง มันต้องบอกเลยว่าเขาไม่มีความมั่นใจเลยว่าตัวเองจะสามารถเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่ได้ เพราะท้ายที่สุดตอนนี้มาตราฐานการต่อสู้ของเขาอยู่ในขอบเขตรวดเร็วดั่งสายน้ำ ขณะที่เรื่องวงเวทย์นั้นเขาก็อยู่แค่ในระดับนักเวทย์ขั้นสูงเท่านั้น ดังนั้นมันจึงจะเป็นเรื่องยากมากๆเลยสำหรับเขาที่จะเรียนรู้สกิลมรดกขั้นสี่ให้ได้ในระยะเวลาอันสั้นตามที่ดินแดนมรดกขั้นสี่กำหนด


“จริง แต่พวกคุณจะปรับปรุงและได้รับไปมากแค่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับตัวพวกคุณเอง ….” ซือเฟิงพยักหน้า จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังรูปสลักสัตว์อสูรโบราณที่วางอยู่ตรงกลางห้องลับด้านหลังเขา และพูดว่า “เจ้านี่คือกุญแจสำคัญในการเลื่อนขั้นไปเป็นขั้นสี่ของพวกคุณ !!!”


“รูปสลัก ?”


เมื่อมองไปตามที่ซือเฟิงชี้ ทุกคนในปัจจุบันไม่เว้นแม้แต่ไฟเออร์แดนซ์นั้นอดไม่ได้ที่จะงุนงง


รูปสลักที่พวกเขาเห็นนั้นมันดูสวยงามและละเอียดอ่อนมากๆ แต่ไม่ว่าจะดูยังมันก็ไม่น่าจะใช่กุญแจสำคัญในการเลื่อนขั้นไปเป็นขั้นสี่ของพวกเขาแบบที่ซือเฟิงพูดเลย


“พวกคุณให้ลองเข้าไปใกล้ๆและสัมผัสมันด้วยจิตใจกับร่างกาย อย่าสัมผัสมันด้วยตา” ซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


รูปสลักสัตว์อสูรโบราณนี้มันให้เอฟเฟคที่น่าทึ่ง หากแต่ว่าผู้เล่นนั้นจะต้องก้าวเข้าไปใกล้ๆมัน เพราะมันสามารถจะแสดงเอฟเฟคที่แท้จริงของมันให้ผู้เล่นได้สัมผัสแค่ในรัศมีสิบหลารอบมันเท่านั้น ….


ซึ่งด้วยเรื่องนี้เอง แม้แต่ในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิง เหล่าผู้เล่นส่วนใหญ่ที่ได้รับมันมาก็จะล้วนขายมันทิ้งในราคาถูกๆ เพราะพวกเขาไม่สามารถจะสัมผัสถึงคุณค่าที่แท้จริงของมันได้ ….


หลังจากได้ฟังคำพูดของซือเฟิง สตับบอร์นโบนและคนอื่นๆก็ขยับเข้าไปใกล้รูปสลักสัตว์อสูรโบราณ


และเมื่อพวกเขาขยับเข้าไปใกล้เรื่อยๆจนรู้สึกได้ถึงเอฟเฟคที่แท้จริงของรูปสลักสัตว์อสูรโบราณ ใบหน้าของแต่ละคนก็เริ่มเปลี่ยนไปทันที


“ตอนนี้ฉันสามารถจะสัมผัสองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ และมานาได้มากกว่าโลกภายนอกซะอีก !!!”


“เป็นไปได้ยังไงกัน ?! สภาพแวดล้อมในรัศมีใกล้ๆรูปแกะสลักนี้มันดีกว่าในโลกภายนอกของเมืองสภาสิบแปดปีกราวห้าสิบเปอเซ็นต์เลย !!!”


ในฐานะผู้เล่นขั้นสี่ ไฟเออร์แดนซ์นั้นสามารถที่จะรู้สึกถึงผลประโยชน์ที่รูปแกะสลักสัตว์อสูรโบราณนี้มอบให้อย่างชัดเจนที่สุด


หากเป็นในโลกภายนอกของเมืองสภาสิบแปดปีก เธอจะสามารถสัมผัสได้ถึงองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์และมานาได้ราวยี่สิบเปอเซ็นต์เท่านั้น อย่างไรก็ตามตอนนี้อยู่ต่อหน้ารูปปั้นนี้ เธอกับสามารถสัมผัสได้เพิ่มขึ้นอีกสามสิบเปอเซ็นต์เลยทีเดียว

โดยหากเรื่องราวเกี่ยวกับรูปสลักสัตว์อสูรโบราณนี้แพร่ออกไป ไฟเออร์แดนซ์ก็คิดว่ามันน่าจะทำให้มหาอำนาจต่างๆบ้าคลั่งแน่นอน


ซึ่งในเวลานี้นั้นไฟเออร์แดนซ์ก็เข้าใจทุกสิ่งทั้งหมดแล้วว่าทำไมซือเฟิงถึงระวังมากๆ และทำไมเขาถึงอนุญาติให้แค่แกนหลักระดับอาวุโสของกิลขึ้นไปเท่านั้นที่เข้ามาที่นี่ได้


หลังจากนั้นทั่วทั้งห้องก็เงียบลง หากแต่ว่าสายตาของทุกคนก็ยังคงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ซึ่งซือเฟิงนั้นก็ไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้มากนัก


หลังจากรับคะแนนอำนาจในโลก God domain มา เขาก็สามารถจะสัมผัสได้ถึงองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ และมานาทั้งหมดได้ที่ราวสี่สิบเปอเซ็นต์ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับเอฟเฟคอันน่าทึ่งของรูปสลักสัตว์อสูรโบราณ


และในตอนที่เขาสามารถเข้าถึงตัวเลขห้าสิบเปอเซ็นต์ได้ ตอนที่ใช้ร่างของเจ้าชายปีศาจนั้น มันก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นอมตะเลย


แม้ว่ารูปสลักนี้จะไม่ได้มอบผลให้เท่ากับที่ซือเฟิงได้รับตอนใช้ร่างเจ้าชายปีศาจ แต่มันก็อยู่ใกล้เคียงกันเลย


ซึ่งเมื่อได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้นั้น เขาก็แทบจะทนรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เรียนรู้และสัมผัสถึงมันไปพร้อมกับโคล่า และคนอื่นๆ


สำหรับไฟเออร์แดนซ์ หลังจากที่เธอได้จมอยู่ในความรู้สึกแบบนี้พักหนึ่ง มานาก็เริ่มหลั่งไหลออกมาจากร่างกายของเธอ ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าเธอกำลังจะทะลุขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ของร่างมานาได้


เมื่อซือเฟิงเห็นดังนี้ เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะรีบหยิบคริสตัลชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของเขา และส่งให้กับไฟเออร์แดนซ์ “อย่าพึ่งรีบทะลุขีดจำกัดของร่างมานา หลังจากเรียนรู้มรดกนี้แล้ว มันก็ยังไม่สายที่จะพยายามทะลุขีดจำกัด”


เมื่อไฟเออร์แดนซ์ได้รับคริสตัลนี้มาจากซือเฟิง และได้ทำการตรวจสอบมันเธอก็ตกใจ เธอไม่ได้คิดเลยว่าซือเฟิงจะมีของล้ำค่าที่บันทึกวิธีการสร้างร่างเวทย์มนต์แบบนี้อยู่ ซึ่งสำหรับพวกขั้นสี่นั้นนี่มันจัดเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน


“หัวหน้ากิล นี่มันเป็นมรดกของจั๊กเกอร์น็อต หากนำมาให้ฉันใช้ มันจะเป็นการสิ้นเปลืองเกินไปนะ …” ไฟเออร์แดนซ์กล่าวปฎิเสธ


เธอไม่ใช่คนโง่ และเธอก็รู้ดีมากๆหลังจากที่เธอได้เลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่ว่าเธอต้องเร่งรีบพัฒนา และสร้างร่างเวทย์มนต์ของตัวเองขึ้นมาใหม่ ซึ่งมันเป็นพื้นฐานในการจะก้าวไปสู่ขั้นห้า


ซือเฟิงหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินการปฎิเสธของไฟเออร์แดนซ์ “ไม่ต้องกังวลนี่มันเป็นมรดกที่สมบูรณ์ที่สามารถใช้ได้เก้าครั้ง และตอนนี้คุณก็เป็นกำลังสำคัญของสภาสิบแปดปีก หากคุณพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้ มันก็จะเป็นผลประโยชน์ต่อกิลมากๆเช่นกัน”


คริสตัลมรดกของจั๊กเกอร์น็อต ขั้นห้าที่แองเจลิก้า เทเรซ่ามอบมาให้ซือเฟิงนั้นมันเป็นมรดกที่สมบูรณ์ และมันสามารถใช้ได้เก้าครั้ง ….


แม้ว่ามรดกของจั๊กเกอร์น็อตนี้จะไม่เหมาะกับไฟเออร์แดนซ์ ซึ่งเป็นสายอาชีพแอสซาซินมากนัก แต่การเรียนรู้มันก็ยังคงจะช่วยเธอได้มากในหลายๆเรื่องอยู่ดี


ถ้าไฟเออร์แดนซ์สามารถทะลุขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ และปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองไปได้มากกว่าหนึ่งร้อยห้าเปอเซ็นต์ สิ่งนี้มันก็จะช่วยสภาสิบแปดปีกในปัจจุบันได้อย่างมาก


เมื่อได้ฟังคำอธิบายของซือเฟิง และได้ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง ไฟเออร์แดนซ์ก็ได้เลือกจะใช้มัน ….


เพราะท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังคงมีความแตกต่างกันอยู่มากในหมู่พวกขั้นสี่ที่สามารถจะทะลุขีดจำกัดร่างมานาหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ได้ กับพวกที่ยังติดอยู่ที่หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์


ซึ่งหากเธอสามารถจะทะลุขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ได้ด้วยความเข้าใจที่มากกว่าหลายๆคน เธอก็น่าจะสามารถต่อกรกับพวกสัตว์ประหลาดเก่าแก่ขั้นสี่ของกิลอื่นๆได้อย่างง่ายดายในอนาคต


หลังจากที่ไฟเออร์แดนซ์ได้ตัดสินใจจะใช้คริสตัลมรดกนี้ ลำแสงจากคริสตัลก็ได้พุ่งเข้าใส่สมองและดวงตาของเธอเพื่อป้อนข้อมูลมากมายทั้งหมดเข้าไปจนเสร็จสิ้นภายในหนึ่งลมหายใจ


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)