Reincarnation Of The Strongest Sword God 2682-2686
ตอนที่ 2682 เมืองปีกสีเงินที่ทำให้เกิดความบ้าคลั่ง
เมื่อผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของมหาอำนาจต่างๆและทีมนักผจญภัยเข้ามาในเมืองปีกสีเงิน พวกเขาก็พบว่าถนนที่ใหญ่ขึ้นมากในเมืองนั้นค่อนข้างมีคนพลุกพล่าน
“แน่นอนเลยว่าเมืองนั้นใหญ่ขึ้นมากหลังจากได้รับการอัพเกรด แถมความหนาแน่นของมานาโดยรอบมันก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน แต่มันน่าเสียดายที่ค่าเข้าเมืองนั้นสูงเกินไป ถ้าเป็นห้าสักห้าเหรียญเงินต่อคน ผู้เล่นจากประเทศใกล้เคียงจำนวนมากจะหลั่งไหลเข้ามาที่นี่อย่างมหาศาลแน่นอน” เครซบลูถอนหายใจ ขณะที่เขามองไปยังถนนที่เต็มไปด้วย NPC
ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะพัฒนาต่อไปในเมืองปีกสีเงิน แต่น่าเสียดายที่ค่าเข้าเมืองสิบเหรียญเงินต่อคนนั้นมันแพงเกินไป แม้ว่าตัวเขาจะสามารถจ่ายได้ แต่มันก็ไม่ใช่สำหรับผู้เชี่ยวชาญขั้นสองทั่วไป
เพราะท้ายที่สุดผู้เล่นหลายคนมักจะเข้าสู่เมืองปีกสีเงินหลายครั้งต่อวัน เนื่องจากผู้เล่นขั้นสองนั้นไม่สามารถจะต้านทานสภาพแวดล้อมที่รุนแรง พลังงานประหลาดในแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยหรือมากกว่าได้เหมือนกับผู้เล่นขั้นสาม พวกเขาจะสามารถอยู่รอดในแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยหรือมากกว่าได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อครั้ง แต่มันก็โชคดีที่ผู้เล่นขั้นสองจะสามารถฟื้นฟูตัวเองจากสภาพแวดล้อมที่รุนแรง และพลังงานประหลาดได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถจะเดินทางเข้าไปในแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยหรือมากกว่าได้สองถึงสามครั้งต่อวัน อย่างไรก็ตามการเดินทางเพิ่มเติมทุกครั้งนี้มันก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องจ่ายสิบเหรียญเงินให้กับเมืองปีกสีเงินเพิ่มต่อครั้งตามจำนวนการเดินทางเลย
เดิมทีการหาเงินมันก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากอยู่แล้วในดินแดนของมอนสเตอร์ Faux Saint และการที่ต้องมาจ่ายเงินเพิ่มยี่สิบถึงสามสิบเหรียญเงินต่อวัน มันก็จะนับเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากสำหรับผู้เล่นขั้นสอง เพราะท้ายที่สุดผู้เล่นขั้นสองนั้นมีค่าใช้จ่ายอีกมากมายที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้ในระหว่างวัน เช่น ค่าที่พัก อาหาร เครื่องดื่ม รวมไปถึงค่าซ่อมแซมอาวุธและอุปกรณ์ …. ยิ่งไปกว่านั้นหากผู้เล่นขั้นสองต้องการจะไปถึงขั้นสามให้ได้ พวกเขายังต้องเก็บรวบรวมเงินเพื่อไว้ซื้อสกิลหรือเวทย์ขั้นสองที่ทรงพลัง พร้อมทั้งอาวุธและอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
ซึ่งเพื่อจะทำเงินให้ได้ตามจำนวนที่ต้องการ ผู้เล่นขั้นสองบางคนถึงกับทุ่มเวลาส่วนใหญ่เพื่อหาวัสดุในแผนที่เลเวลต่ำ ซึ่งมันก็ทำให้การเก็บเลเวลของพวกเขาล่าช้าไปอีก
ขณะนี้มันมีเพียงผู้เชี่ยวชาญขั้นสามเท่านั้นที่จะสามารถจ่ายค่าเข้าเมืองสิบเหรียญเงินต่อคนของเมืองปีกสีเงินได้ทุกครั้งโดยไม่ต้องคิดมาก อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญขั้นสามนั้นก็หายากมากไม่ใช่รึไง ? นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องความสามารถของผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม พวกเขามีความสามารถในการจะเลือกพื้นที่เก็บเลเวล ซึ่งมันไม่จำเป็นต้องอยู่ในจักรวรรดิออร์คเพียงอย่างเดียว
ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามคนอื่นๆของบลัดแพ็คพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเครซบลู พวกเขารู้สึกว่าการที่สภาสิบแปดปีกทำแบบนี้มันจะเป็นการไล่ผู้เล่นออกจากเมืองปีกสีเงินมากกว่า ซึ่งด้วยเรื่องนี้ มันก็จะทำให้เมืองกิลหลายแห่งในจักรวรรดิออร์ครุ่งเรืองขึ้นมา ขณะที่เมืองปีกสีเงินนั้นมันก็จะแทบไม่มีผู้เล่นเข้าเลย
หลังจากพูดคุยกันไประยะหนึ่ง สมาชิกของบลัดแพ็คก็ได้เดินมาถึงบริษัทขนส่งเพื่อส่งมอบเควสที่พวกเขาทำเสร็จสมบูรณ์แล้ว
อย่างไรก็ตามเครซบลูและคนอื่นๆก็ต้องเต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างมาก เมื่อพวกเขาได้เห็นบริษัทขนส่งขนาดใหญ่ซึ่งเทียบเท่ากับสนามกีฬาสี่แห่ง
“เกิดอะไรขึ้น ?”
“นี่สภาสิบแปดปีกทำอะไรไปกัน ?”
บริษัทขนส่งในปัจจุบันนั้นอยู่ในระดับที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ตอนนี้มันยังมี NPC จำนวนมากขึ้นอย่างมากที่เข้าและออกอาคารนี้
ก่อนหน้านี้มันมักจะมี NPC แค่ไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่มักจะเข้าและออกจากอาคารนี้ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่เพียงแต่มันจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเกินสองร้อยคน แต่ NPC เหล่านี้จำนวนมากยังเป็นขุนนาง หรือผู้ที่จากเผ่าพันธุ์ที่เป็นกลางด้วย ซึ่งมันนับเป็นภาพที่หาดูได้ยากมากๆ
ก่อนที่เครซบลูและคนอื่นๆจะได้ทันตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ได้อย่างเหมาะสม ทีมของผู้เชี่ยวชาญขั้นสามหลายทีมต่างก็เดินออกมาจากบริษัทขนส่ง ซึ่งผู้เล่นทุกคนในทีมเหล่านี้ล้วนแสดงสีหน้าดีใจมากๆออกมา ยิ่งไปกว่านั้นทุกทีมเหล่านี้ก็ยังมี NPC ที่เป็นขุนนาง หรือไม่ก็ NPC จากเผ่าพันธุ์ที่เป็นกลางตามหลังพวกเขามา โดยมันเห็นได้ชัดว่าทีมเหล่านี้ได้รับมอบเควสจาก NPC เหล่านี้
“นี่ฉันฝันไปรึปล่าว ?! ทำไมมันถึงมีเควสมากมายจาก NPC ขุนนาง และ NPC จากเผ่าพันธุ์ที่เป็นกลาง ?!” เครซบลูอดไม่ได้ที่จะขยี้ตาด้วยความสงสัยว่าเขามองอะไรผิดไปรึปล่าว เมื่อเขามองไปยังฉากตรงหน้าของเขา
โดยปกติเคสที่ผู้เล่นจะได้รับมอบจาก NPC ขุนนาง หรือ NPC จากเผ่าพันธุ์ที่เป็นกลางนั้นจะปรากฎขึ้นที่บริษัทขนส่งเพียงวันละครั้ง หรือไม่ก็สองถึงสามวันครั้งเท่านั้น ในขณะเดียวกันเควสทุกเควสเหล่านี้ก็สามารถจะจุดประกายความบ้าคลั่งในหมู่ทีมนักผจญภัยชั้นยอดและกิลขนาดใหญ่ได้
เหตุผลก็คือระดับความยากขั้นต่ำของเควสเหล่านี้นั้นอย่างน้อยมันก็จะอยู่ที่ขั้นสูงระดับสามดาว ซึ่งหากทำเควสแบบนี้ได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่ผู้เล่นจะได้รับเหรียญและคะแนนสะสมจำนวนมากจากเควส แต่พวกเขายังจะมีโอกาสที่จะได้รับทั้งอาวุธหรืออุปกรณ์ชั้นยอดเลเวลหนึ่งร้อยหรือมากกว่า และนี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขามีโอกาสอีกเล็กน้อยที่จะได้รับหนังสือสกิลหรือเวทย์ขั้นสามด้วย หากโชคดีมากพอ
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าผู้เล่นจะโชคไม่ดี และไม่ได้รับไอเทมโบนัสใดๆจากเควส แต่รางวัลที่เควสมอบให้เป็นตัวเงินนั้นมันก็มากเพียงพอสำหรับผู้เล่นในปัจจุบันแล้วที่จะใช้ซื้ออาวุธและอุปกรณ์เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยที่ค่อนข้างดีให้กับตัวเอง ดังนั้นทีมนักผจญภัยรวมไปถึงกิลขนาดใหญ่จึงล้วนต่อสู้เพื่อแย่งชิงกันทำเควสแบบนี้อย่างลับๆเสมอ
อย่างไรก็ตามตอนนี้หลายทีมกับสามารถจะรับเควสแบบนี้ได้ ซึ่งมันทำให้เครซบลูแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย
“เร็ว !!! เราต้องรีบเข้าไปด้านในเพื่อดูและเช็คเรื่องนี้ !!!” โซลิดวินด์ตะโกนออกคำสั่ง หลังจากที่เธอหายจากอาการตกตะลึง
เมื่อได้ยินคำสั่งของโซลิดวินด์ สมาชิกบลัดแพ็คคนอื่นๆก็พยักหน้าและรีบพุ่งเข้าไปในอาคารทันที ในตอนนี้พวกเขาอยากรู้มากว่าเกิดอะไรขึ้นที่บริษัทขนส่ง ทำไมมันถึงมีเควสขั้นสูงระดับสามดาวหรือมากกว่าออกมามากมายขนาดนี้
เมื่อโซลิดวินด์และคนอื่นๆเข้ามาในบริษัทขนส่ง พวกเขาก็ต้องเต็มไปด้วยความตกตะลึงกับฉากที่พวกเขาได้เห็นตรงหน้า
ภายในล๊อบบี้ที่กว้างขวางของบริษัทขนส่ง มันมีพ่อค้า NPC ต่อแถวรอคิวยาวเหยียดอยู่หน้าโต๊ะประชาสัมพันธ์ ซึ่งเมื่อประมาณการด้วยสายตาคร่าวๆแล้ว NPC ทั้งหมดนี้น่าจะมีจำนวนมากกว่าห้าพันคนเลย ยิ่งไปกว่านั้น NPC จำนวนมากในหมู่ NPC เหล่านี้ยังเป็นขุนนาง และ NPC จากเผ่าพันธุ์ที่เป็นกลางด้วย
ขณะเดียวกันคริสตัลเควสโปร่งแสงขนาดมหึมาที่ลอยอยู่ตรงกลางล๊อบบี้ก็แสดงให้เห็นถึงเควสขั้นสูงระดับสามดาวมากมาย และมันก็มีจำนวนหนึ่งที่เป็นเควสขั้นสูงระดับสี่ดาว ซึ่งพวกเขาหลายคนไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย
….
เควสการขนส่งไปยังป้อมปราการชายแดนของจักรวรรดิมังกรดำ : ความยากระดับสี่ดาว ความต้องการ : ขั้นสาม ซึ่งทีมจะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่สามารถทำเควสขั้นสูงระดับสามดาวสำเร็จได้สิบเควสหรือมากกว่า และเคยทำเควสขั้นสูงระดับสามดาวมาแล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบเควส สำหรับสมาชิกคนอื่นๆจะต้องเคยทำเควสขั้นสูงสามระดับสามดาวสำเร็จมาอย่างน้อยสิบครั้ง รางวัล : เงินห้าสิบเหรียญทอง คะแนนสะสมสามพันแต้ม ไม่ทราบรางวัลเพิ่มเติม รับสมัคร : ห้าสิบคน
เควสการขนส่งไปยังพื้นที่ที่เป็นกลาง เมืองไซเร้น : ความยากระดับสี่ดาว ความต้องการ : ขั้นสาม ซึ่งทีมจะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่สามารถทำเควสขั้นสูงระดับสามดาวสำเร็จได้สิบสองเควสหรือมากกว่า สำหรับสมาชิกคนอื่นๆจะต้องเคยทำเควสขั้นสูงสามระดับสามดาวสำเร็จมาอย่างน้อยห้าครั้ง รางวัล : เงินหกสิบเหรียญทอง คะแนนสะสมสองพันแต้ม และของขวัญจากเอลฟ์ (มีโอกาสสิบห้าเปอเซ็นต์ที่จะทำให้ได้รับไอเทมระดับดาร์คโกลในเลเวลเดียวกัน แล้วก็มีโอกาสยี่สิบห้าเปอเซ็นต์ที่จะทำให้ได้รับไอเทมระดับไฟน์โกลในเลเวลเดียวกัน) รับสมัคร : หนึ่งร้อยคน
….
เมื่อสายตาของโซลิดวินด์และสมาชิกบลัดแพ็คคนอื่นๆจับจ้องไปที่เควสขั้นสูงระดับสี่ดาว พวกเขาก็หวังว่าพวกเขาจะสามารถรับเควสเหล่านี้ได้ทันที
นอกเหนือจากรางวัลเพิ่มเติมแล้ว เพียงแค่เหรียญและคะแนนสะสมที่ได้รับจาเควสเหล่านี้มันก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามแบบพวกเขาบ้าคลั่ง
“บลู รีบล๊อคเอ้าท์กลับออกไปและติดต่อผู้บัญชาการด่วน !!! ให้ผู้บัญชาการไปเจรจากับทีมนักผจญภัยอื่นๆ !!! เราจำเป็นต้องรับเควสขั้นสูงระดับสี่ดาวพวกนี้มาให้ได้ทั้งหมดก่อนที่คนอื่นจะรู้เรื่องนี้ !!!” โซลิดวินด์กล่าวอย่างเร่งด่วน
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ทีมนักผจญภัยแต่ละทีมจะสามารถทำเควสขั้นสูงระดับสี่ดาวได้ด้วยตัวเอง พวกเขาจำเป็นจะต้องมีทีมนักผจญภัยอีกทีมมาเป็นพันธมิตรและคอยช่วยกัน และหากพวกเขาสามารถทำเควสขั้นสูงระดับสี่ดาวแบบนี้ได้สำเร็จ พวกเขาก็จะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งโดยรวมของบลัดแพ็คขึ้นได้เล็กน้อย
“โอเค ฉันจะรีบล๊อคเอ้าท์ไปจัดการทันที !!!” เครซบลูกล่าวขณะที่เขารีบเปิดอิน
เตอร์เฟซขึ้นมาและกดล๊อคเอ้าท์
สำหรับโซลิดวินด์และคนอื่นๆ พวกเขารีบติดต่อสมาชิกของบลัดแพ็คที่อยู่นอกเมือง และสั่งให้พวกเขารีบเข้ามาในเมืองและเข้ามาในบริษัทขนส่งทันที ซึ่งความตื่นเต้นที่สมาชิกบลัดแพ็คคนอื่นๆแสดงออกมานั้น ผู้เล่นที่อยู่รอบๆตัวพวกเขามันก็เห็นได้อย่างชัดเจนเลย
อย่างไรก็ตามผู้เล่นส่วนใหญ่ที่ล้อมรอบบลัดแพ็คอยู่ก็ไม่ได้คิดว่าปฎิกิริยาของพวกเขาน่าประหลาดใจเลย เพราะท้ายที่สุดบลัดแพ็คไม่ใช่แค่กลุ่มเดียวที่มุ่เป้าไปที่เควสขั้นสูงระดับสี่ดาว สมาชิกของทีมนักผจญภัยรวมทั้งกิลอื่นๆที่ได้ไปเยี่ยมชมบริษัทขนส่งมาก่อนหน้านี้แล้วก็ล้วนมีปฎิกิริยาในลักษณะเดียวกัน พวกเขารีบแจ้งไปที่พรรคพวกของเขาทันที เพื่อให้ระดมคนเข้ามาที่บริษัทขนส่งของเมืองปีกสีเงินให้มากที่สุด
ในช่วงเวลาหนึ่งผู้เล่นขั้นสองจำนวนมากที่ตั้งเต๊นท์อยู่นอกเมืองปีกสีเงินก็ได้รีบทยอยกันเข้ามาต่อแถวรอเข้าเมืองปีกสีเงินด้วยดวงตาที่แดงก่ำ และในพริบตาบริเวณประตูหลักมันก็เต็มไปด้วยผู้เล่น และถ้าไม่ใช่เพราะทุกคนกลัวองครักษ์ส่วนตัวที่เฝ้าบริเวณนี้อยู่ พวกเขาจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงกันเข้าเมืองไปแล้ว
ในขณะเดียวกันเมื่อซัมมอนเนอร์หญิงในชุดเสื้อคลุมสีดำจากฟรอสต์ฮีฟเว่นที่เข้ามาในเมืองแล้ว เห็นความวุ่นวายปะทุขึ้นที่บริเวณประตูหลักของเมือง เธอก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ?”
ตอนที่ 2683 มรดกนักบุญแห่งดาบคริมสันอาย
ในขณะนี้ซัมมอนเนอร์หญิงจากฟรอสต์ฮีฟเว่นไม่ใช่แค่คนเดียวที่ประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างกระทันหันที่ประตูหลักของเมืองปีกสีเงิน ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามคนอื่นๆที่เพิ่งเข้ามาในเมืองก็ล้วนเต็มไปด้วยความตกตะลึงมากเช่นกัน เมื่อเห็นกลุ่มผู้เล่นขั้นสองจำนวนมากพยายามจะเข้ามาในเมืองกัน
“นี่คนเหล่านี้บ้าไปแล้วงั้นหรอ ?!”
สำหรับผู้เล่นขั้นสองในปัจจุบัน ค่าเข้าเมืองสิบเหรียญเงินนั้น นับเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อไม่นานมานี้ผู้เล่นขั้นสองหลายคนยังบ่นและแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับค่าเข้าเมืองที่แพงเกินไปของเมืองปีกสีเงินอยู่เลย พวกเขาบางส่วนกระทั่งหวังให้การดำเนินงานของเมืองปีกสีเงินล้มเหลวด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามตอนนี้ผู้เล่นขั้นสองหลายคนที่ทำอะไรพวกนี้ก่อนหน้านี้กับกำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ NPC ที่ประจำการอยู่บริเวณหน้าประตูหลักรับเงินค่าเข้าเมืองของพวกเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ และมันดูเหมือนว่าพวกเขาพร้อมจะเริ่มการต่อด้วยซ้ำ หาก NPC ปฎิเสธที่จะรับเงินของพวกเขา
อย่างไรก็ตามก่อนที่ผู้เชี่ยวชาญที่ยืนอยู่บริเวณหน้าประตูหลักจะทันได้ประเมินสถานการณ์ทั้งหมดได้อย่างถูกต้อง มันก็มีกลุ่มผู้เล่นขั้นสองกลุ่มใหญ่หลั่งไหลเข้ามาในเมืองแล้ว ซึ่งเมื่อกลุ่มผู้เล่นขั้นสองเข้ามาในเมืองได้นั้น พวกเขาก็รีบพุ่งตรงไปยังบริษัทขนส่งของเมืองปีกสีเงินราวกับกลุ่มเสือชีต้าห์ ในขณะที่ใบหน้าของพวกเขานั้นก็ล้วนเต็มไปด้วยความสุขมากๆ
“นี่สภาสิบแปดปีกทำอะไรไปกัน ?”
ซัมมอนเนอร์หญิงจากฟรอสต์ฮีฟเว่นนั้นอดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความสับสน เมื่อเธอได้เห็นสมาชิกขั้นสองของมหาอำนาจและทีมนักผจญภัยชั้นยอดต่างๆวิ่งผ่านเธอไปยังมุมที่อยู่ห่างไกลของเมือง
เมื่อครู่ที่ผ่านมา ผู้เล่นเหล่านี้ยังยอมแพ้ในเรื่องเมืองปีกสีเงินอย่างชัดเจน เนื่องจากมันมีค่าเข้าเมืองที่สูงเกินไป อย่างไรก็ตามตอนนี้ผู้เล่นต่างพากันวิ่งและกรูกันแย่งชิงพื้นที่เพื่อจะเข้ามาในเมือง ยิ่งไปกว่านั้นนี่มันยังดูเหมือนว่าจะไม่มีที่สิ้นสุดเลย กระแสของผู้เล่นยังคงหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งในอัตรานี้สภาสิบแปดปีกก็จะได้รับโชคลาภอย่างมหาศาลเลยผ่านค่าเข้าเมืองปีกสีเงินเพียงอย่างเดียว
“คนเหล่านี้ล้วนรีบวิ่งไปที่บริษัทขนส่ง มันจะต้องมีอะไรที่นั่นเปลี่ยนแปลงแน่นอน …” เคิร์สแมนเซอร์หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆซัมมอนเนอร์หญิง กล่าวขณะที่เธอมองไปยังทิศทางที่กลุ่มผู้เล่นกำลังไป
“บริษัทขนส่ง ?” ซัมมอนเนอร์หญิงคิดว่าคำพูดของเพื่อนเธอนั้นมันยากที่จะเชื่ออยู่เล็กน้อย เธอนั้นนึกไม่ออกเลยว่าบริษัทขนส่งจะต้องเปลี่ยนแปลงไปแบบไหนกันถึงทำให้ผู้เล่นขั้นสองบ้าคลั่งได้ขนาดนี้
อย่างไรก็ตามซัมมอนเนอร์หญิงก็ไม่ได้เสียเวลาคิดมากในเรื่องนี้มากเกินไป เพราะเธอและทีมของเธอได้เลือกจะติดตามฝูงชนไปที่บริษัทขนส่งในทันที
เมื่อสมาชิกของฟรอสต์ฮีฟเว่นทั้งหมดมาถึงภายในล๊อบบี้ของบริษัทขนส่งที่มีผู้คนพลุกพล่าน ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกตะลึง และพวกเขาทุกคนก็ล้วนพูดไม่ออกเลย ….
เพียงแค่ทำเควสขั้นสูงระดับสี่ดาวหนึ่งครั้ง ผู้เล่นทุกคนที่เกี่ยวข้องก็จะได้รับรางวัลเป็นเงินหกสิบเหรียญทอง รวมไปถึงรางวัลอื่นๆอีก ซึ่งนี่เป็นรายได้ที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดขั้นสามเช่นตัวพวกเขาเองก็ไม่สามารถหาได้ภายในหนึ่งหรือสองวัน แต่มันกับมีเควสขั้นสูงระดับสี่ดาวแบบนี้ถึงหกเควสที่รอให้ผู้เล่นมารับไปทำอยู่
นอกเหนือจากเควสขั้นสูงระดับสี่ดาวแล้ว มันยังมีเควสขั้นสูงระดับสามดาวอีกจำนวนมาก ซึ่งจะมอบรางวัลให้กับผู้เล่นที่ทำมันได้สำเร็จโดยมีมูลค่าเทียบเท่ากับรายได้ของผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดขั้นสามเช่นตัวพวกเขาเองในหนึ่งวันเลย
โดยหากพวกเขามุ่งเน้นไปที่การทำเควสแบบนี้ตลอดทั้งวัน นอกจากพวกเขาจะมีรายได้อย่างมหาศาลแล้ว พวกเขายังมีสิทจะได้รับไอเทมพิเศษต่างๆอีกมากมายด้วย ซึ่งต้องบอกเลยว่าโดยรวมแล้วนั้น มันดูจะมีประโยชน์กว่าการไปไล่ล่าเก็บเลเวล หรือโจมตีดันเจี้ยนขนาดใหญ่พิเศษด้วยซ้ำ เพราะเควสเหล่านี้นั้นมันมีโอกาสที่จะทำให้พวกเขาได้รับอุปกรณ์และอาวุธที่เหมาะกับอาชีพของตนด้วย
มันอาจกล่าวได้ว่า หากผู้เล่นเน้นไปที่การทำเควสขั้นสูงระดับสามดาวพวกนี้เรื่อยๆ ไม่เพียงแต่รายได้และ EXP ที่พวกเขาจะได้รับมันจะสามารถเทียบกับผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดขั้นสามได้ แต่อุปกรณ์และอาวุธของพวกเขายังอาจจะขึ้นไปเทียบเท่ากับผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดขั้นสามได้ด้วย
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนเหล่านี้มีปฎิกิริยาที่ค่อนข้างบ้าคลั่งมากๆ ฉันประเมินสภาสิบแปดปีกต่ำเกินไปจริงๆ ด้วยเควสที่น่าดึงดูดเหล่านี้ไม่ต้องพูดถึงค่าเข้าเมืองสิบเหรียญเงินต่อคนเลย แม้ว่าค่าเข้าเมืองจะเป็นยี่สิบเหรียญเงินต่อคน แต่มันก็จะยังมีผู้เล่นจำนวนมากที่ต้องการพัฒนาในเมืองปีกสีเงินแน่นอน” ซัมมอนเนอร์หญิงในชุดเสื้อคลุมสีดำที่เริ่มตระหนักได้ถึงเรื่องราวทั้งหมดกล่าวออกมา
แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดขั้นสามแบบตัวเธอก็ยังรู้สึกถูกล่อลวงจากเควสเหล่านี้ที่มีในบริษัทขนส่ง ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงผู้เล่นขั้นสอง และผู้เชี่ยวชาญขั้นสามทั่วไปเลย
“มู่ฉิน ฉันพึ่งจะส่งต่อข้อมูลนี้ไปยังหัวหน้ากิล และหัวหน้ากิลกล่าวว่าเราสามารถดำเนินการเรื่องการเป็นพันธมิตรได้ทันที” เคิร์สแมนเซอร์หญิงกล่าว
“นี่หัวหน้ากิลไม่รีบร้อนเกินไปหน่อยงั้นหรอ ? แม้ว่าเควสจากบริษัทขนส่ง และการป้องกันของเมืองงปีกสีเงินจะทำให้มั่นใจได้ว่าอนาคตนั้นเมืองจะกลายเป็นศูนย์กลางการค้าในจักรวรรดิออร์คและประเทศใกล้เคียงแน่นอน แต่มันก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสภาสิบแปดปีกที่จะโจมตีพวกมอนสเตอร์ Faux Saint กลับ การนำสภาสิบแปดปีกเข้ามาไม่น่าจะช่วยพันธมิตรของเราได้มากนักเลย และอย่างดีที่สุดเราก็จะสามารถใช้เมืองปีกสีเงินเป็นจุดพักผ่อนได้เท่านั้น ….” ซัมมอนเนอร์หญิงที่ชื่อมู่ฉินพูดพลางขมวดคิ้ว
บริษัทขนส่งของสภาสิบแปดปีกนั้นยอดเยี่ยมมากๆ แต่พันธมิตรที่ฟรอสต์ฮีฟเว่นตั้งขึ้นก็ไม่ใช่อะไรที่ธรรมดาเช่นกัน และใครก็ตามที่ได้เข้าเป็นสมาชิกพันธมิตรของพวกเขาจะได้รับประโยชน์เกินกว่าที่พวกเขาจะได้รับจากการเป็นพันธมิตรกับมหาอำนาจทั่วไป นี่เป็นสาเหตุที่เธอและทีมของเธอนั้นได้เดินทางมาเพื่อสังเกตการณ์สภาสิบแปดปีก และตรวจสอบคุณสมบัติของกิล
“งั้นเราจะไปกันต่อรึปล่าว ?” เคิร์สแมนเซอร์หญิงถามขณะที่เธอมองไปยังมู่ฉิน
นอกเหนือจากการเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมน และรองหัวหน้ากิลฟรอสต์ฮีฟเว่นแล้ว มู่ฉินยังเป็นทายาทของบริษัทโบลเดอร์ ซึ่งเป็นบริษัทนานาชาติระดับแนวหน้าชั้นยอดที่เหนือกว่าแม้แต่บริษัทสตาร์ไลน์
เนื่องจากบริษัทโบลเดอร์จัดการหาทรัพยากรป้อนให้กับฟรอสต์ฮีฟเว่นมากกว่าครึ่งหนึ่งของกิล ดังนั้นสถานะของมู่ฉินภายในกิลจึงไม่ได้ต่ำกว่าหัวหน้ากิลเลยแม้แต่น้อย และหัวหน้ากิลก็จะต้องนำความคิดเห็นของมู่ฉินมาพิจารณาอย่างหนักในเรื่องสำคัญๆ
“เนื่องจากหัวหน้ากิลได้พูดมาแบบนี้แล้ว เราก็ต้องไปดูกันก่อนนั่นแหละ ถ้าสภาสิบแปดปีกมีศักยภาพและความแข็งแกร่งมากพอที่จะต่อสู้กับมอนสเตอร์ Faux Saint ได้จริงๆ การจะให้กิลเข้าร่วมกับพันธมิตรของเรามันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย” มู่ฉินกล่าวหลังจากครุ่นคิด “อย่างไรก็ตามหากฉันพบว่าสภาสิบแปดปีกไม่เหมาะสม เราก็จะเลือกเป้าหมายอื่นเพื่อรับสมัครมาเข้าพันธมิตรเราแทน”
“งั้นฉันจะติดต่อไปยังสภาสิบแปดปีกเดี๋ยวนี้เลย” เคิร์สแมนเซอร์หญิงกล่าวพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา เมื่อได้ยินคำตอบของมู่ฉิน ในความคิดของเธอศักยภาพของเมืองปีกสีเงินนั้นยิ่งใหญ่มากๆ และแม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากฟรอสต์ฮีฟเว่น แต่เมืองก็จะยังคงเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปอีกมากแน่นอน ในความเป็นจริงมันอาจกลายเป็นสถานที่สำคัญสำหรับการต่อสู้ของพันธมิตรกับมอนสเตอร์ Faux Saint ในอนาคตได้เลย อย่างไรก็ตามหากมู่ฉินไม่เห็นด้วยกับการที่สภาสิบแปดปีกจะเข้าร่วมพันธมิตรของพวกเขาจริงๆ แม้แต่หัวหน้ากิลก็จะมีปัญหาในการเกลี้ยกล่อมเธอ
ขณะที่มู่ฉินและคนอื่นๆกำลังพูดคุยกัน ข่าวเกี่ยวกับบริษัทขส่งก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้กิลขนาดใหญ่และทีมนักผจญภัยจำนวนมากที่มุ่งหน้าออกจากจักรวรรดิออร์คถึงกับต้องเดินทางกลับมา ขณะที่บางกลุ่มนั้นถึงขั้นวางแผนที่จะทำให้เมืองปีกสีเงินเป็นสำนักงานใหญ่หลักในระยะยาวของพวกเขาด้วยซ้ำ
….
ในขณะที่ประชากรผู้เล่นของเมืองปีกสีเงินกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซือเฟิงก็ยอมรับมรดกนักบุญแห่งดาบคริมสันอายเข้ามา
“แน่นอนเลยว่าการจะทะลุขีดจำกัดของร่างมานาระดับอีปิคนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” ซือเฟิงถอนหายใจออกมา ขณะที่เขามองไปยังคริสตัลความทรงจำที่แตกสลายในมือของเขา
ในตอนแรกเขาคิดว่าด้วยผลของตราประทับวิญญาณทั้งแปดดวง และมรดกของนักบุญแห่งดาบคริมสันอาย เขาน่าจะสามารถทลายขีดจำกัดของ่รางมานาระดับอีปิคของเขาได้ทันที แต่น่าเสียดายที่สิ่งต่างๆนั้นไม่เป็นอย่างที่เขาวางแผนไว้ เขายังต้องต้องการอีกก้าวหนึ่งเพื่อจะทลายขีดจำกัด
แม้ว่าเขาจะรู้มานานแล้วว่าการจะทลายขีดจำกัดของร่างมานาระดับอีปิคให้ได้นั้นมันยากมากๆ แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่ามันจะยากขนาดนี้ แม้จะอาศัยประสบการณ์ของนักบุญแห่งดาบคริมสันอาย และนักบุญสวรรค์น้ำเงิน เขาก็ยังไม่สามารถจะทลายขีดจำกัดของร่างมานาระดับอีปิคได้
แน่นอนนั่นไม่ได้หมายความว่าซือเฟิงจะไม่ได้รับอะไรเลยจากนักบุญแห่งดาบคริมสันอาย เพราะด้วยการอาศัยเทคนิคของนักบุญแห่งดาบคริมสันอายตอนนี้ มันทำให้เขาสามารถหมุนเวียนมานาภายในร่างกายได้เร็วขึ้นยี่สิบเปอเซ็นต์
สำหรับผู้เล่นคนอื่นๆ การปรับปรุงนี้อาจจะไม่ส่งผลกระทบสำคัญใดๆ อย่างไรก็ตามสำหรับคนอย่างซือเฟิง ซึ่งมีโดเมนธรรมชาติแล้ว มันก็จะคล้ายกับการที่เรื่องนี้ทำให้ความเร็วในการตอบสนองของเขาเพิ่มขึ้นยี่สิบเปอเซ็นต์ ซึ่งมันนับเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่เลย ยิ่งไปกว่านั้นโดเมนมานาของเขาก็ยังหนาแน่นขึ้นและแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย
ถ้าซือเฟิงต้องต่อสู้กับ Faux Saint Devourer ตอนนี้ เขาก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถเอาชนะมันได้โดยไม่ต้องใช้เทคนิคมานา และการกลายร่างเป็นมังกรดำเลย
ในขณะนี้เอง อยู่ๆยู่หลานก็โทรเข้ามาหาซือเฟิงและพูดว่า “หัวหน้ากิล ตัวแทนจาก
ฟรอสต์ฮีฟเว่นได้มาเยี่ยมเยียนเรา พวกเขาบอกว่าพวกเขาต้องการหารือเกี่ยวกับการเป็นพันธมิตร”
“ฟรอสต์ฮีฟเว่น ?”
ซือเฟิงนั้นค่อนข้างจะคุ้นเคยกับชื่อกิลๆนี้ดี เพราะมันจัดว่าเป็นชื่อกิลที่โด่งดังมากในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา เพราะท้ายที่สุดฟรอสต์ฮีฟเว่นนั้นคือหนึ่งในสิบสองกิลที่ได้รับการยอมรับว่าแข็งแกร่งที่สุดใน God domain พวกเขาเป็นยักษ์ใหญ่อย่างแท้จริงในตอนนั้น อย่างไรก็ตามในช่วงระยะแรกของ God domain นั้น ฟรอสต์ฮีฟเว่นได้รักษาโปรไฟล์ที่ต่ำไว้แทบจะตลอดเวลา ดังนั้นมันจึงแทบจะไม่มีใครรู้ถึงรายละเอียดเกี่ยวกับกิลๆนี้มากนักเลย และเหตุการณ์ที่ทำให้ฟรอสต์ฮีฟเว่นมีชื่อเสียงขึ้นมาในหมู่สาธารณชนในชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นก็คือ พวกเขาเป็นกิลๆแรกที่สามารถสร้างผู้เล่นขั้นสี่ขึ้นมาได้สำเร็จ
“หัวหน้าต้องการจะพบพวกเขาไหม ?” ยู่หลานถาม เมื่อเธอเห็นซือเฟิงครุ่นคิด
“ให้พวกเขาไปรอที่ห้องรับรองของคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเมือง ..” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า จากนั้นเขาก็จัดพื้นที่ทำงานของเขาให้เรียบร้อย ก่อนที่เขาจะออกจากออฟฟิศของตัวเองที่อยู่ชั้นสี่ลงไปยังห้องรับรองที่อยู่ชั้นหนึ่ง
ตอนที่ 2684 โดเมนมานา
เมืองปีกสีเงิน คฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเมือง :
ภายใต้การนำของยู่หลาน มู่ฉินและสมาชิกของฟรอสต์ฮีฟเว่นคนอื่นๆก็มาถึงที่ทางเข้าของคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเมือง
ขณะนี้มันมี NPC จำนวนมาก รวมถึงผู้เล่นที่มีตราสัญลักษณ์ของพ่อค้าติดอยู่ที่หน้าอกกำลังเข้าแถวอยู่นอกกำแพงสูงของคฤหาสถ์ และความมีชีวิตชีวาที่นี่ก็สามารถจะเทียบได้กับความบ้าคลั่งที่บริเวณหน้าประตูหลักของเมืองปีกสีเงินในตอนนี้ได้เลย
“เมืองนี้ช่างน่าทึ่งจริงๆ แม้ว่าจะเพิ่งได้รับการอัพเกรดมา แต่มันก็มี NPC ที่เป็นพ่อค้าและผู้เล่นจำนวนมากมาเช่าร้านค้าที่นี่แล้ว ฉันคิดว่าแม้แต่เมืองที่เป็นสำนักงานใหญ่หลักของมหาอำนาจต่างๆก็ยังไม่ได้รับความสนใจมากขนาดนี้เลย ในตอนที่เมืองของพวกเขาถูกอัพเกรดเป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐาน” เคิร์สแมนเซอร์หญิงจากฟรอสต์ฮีฟเว่นอุทานออกมา ขณะที่เธอมองไปที่ NPC และผู้เล่นที่ยืนเข้าแถวอยู่ด้านนอกของคฤหาสถ์
นอกเหนือจากการทำหน้าที่เป็นแกนหลักในการควบคุมเมืองแล้ว คฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเมืองยังทำหน้าที่จัดการที่ดินและร้านค้าของเมืองอีกด้วย ซึ่งใครก็ตามที่ต้องการจะเช่าหรือซื้อที่ดินรวมทั้งร้านค้าในเมืองก็ล้วนจะต้องมายังคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเมืองเพื่อทำเช่นนั้น
อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปแล้ว ทั้งผู้เล่นและพ่อค้า NPC นั้นมักจะไม่ยอมเช่าหรือซื้อที่ดินหรือร้านค้าในเมืองที่พึ่งได้รับการอัพเกรดใหม่เลย เพราะท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาจะต้องพิจารณาก่อนว่าการลงทุนของพวกเขาจะทำกำไรได้จริง
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเมืองปีกสีเงินเพิ่งจะได้รับการอัพเกรด และพึ่งจะเปิดให้สาธารณชนเข้าชมเมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา แต่มันก็มีผู้เล่นและ NPC เกือบพันคนมาต่อแถวรอที่ทางเข้าของคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเมืองแล้ว การตอบสนองแบบนี้มันไม่น่าเชื่อเลย
“นี่มันเป็นเรื่องปกติ เพราะท้ายที่สุดแล้วในปัจจุบันเมืองปีกสีเงินนั้นเป็นเมืองกิลเพียงแห่งเดียวในจักรวรรดิออร์คที่มีบริษัทขนส่งตั้งอยู่ ซึ่งมันช่วยรับประกันการที่ผู้เล่นจะเข้ามาเยี่ยมเยียนในจำนวนมหาศาล ดังนั้นพ่อค้าที่เป็นทั้งผู้เล่น และ NPC ที่มีไหวพริบเหล่านี้จึงจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หายไปแน่นอน คำถามในตอนนี้คือสภาสิบแปดปีกเต็มใจจะให้เช่ารวมทั้งซื้อที่ดินและร้านค้ามากน้อยแค่ไหน ….” มู่ฉินกล่าว การแสดงออกของเธอยังคงไม่สะทกสะท้านใดๆ แม้ว่าเธอจะเห็นแถวยาวของผู้เล่นและ NPC เหล่านี้
ในความเป็นจริงหลังจากได้เห็นสิ่งที่เมืองปีกสีเงินนำเสนอให้ มู่ฉินก็ได้ตัดสินใจที่จะมาเช่าที่ดินและร้านค้าบางส่วนเพื่อเตรียมการพัฒนาสมาชิกกิลในเมือง ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงบรรดาพ่อค้าที่เป็นผู้เล่น และ NPC ที่มักเดินทางไปมาระหว่างเมืองรวมทั้งประเทศต่างๆบ่อยๆเลย พวกเขาย่อมตระหนักถึงศักยภาพของเมืองปีกสีเงินได้อยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงได้ตัดสินใจมาดำเนินการอย่างรวดเร็วกว่าเธอซะอีก
เหล่าพ่อค้าที่เป็นผู้เล่นที่เข้าแถวรออยู่ที่ด้านนอกของคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเมืองนั้นหันหน้าไปมองยังกลุ่มของมู่ฉินโดยอัตโนมัติ และความประหลาดใจก็เกิดขึ้นในดวงตาของพวกเขาทันที เมื่อพวกเขาได้เห็นกลุ่มของมู่ฉิน
“อะไรกัน ?! นี่ฟรอสต์ฮีฟเว่นกำลังวางแผนจะร่วมมือกับสภาสิบแปดปีกจริงๆงั้นหรอ ?”
“ถ้ามันเป็นแบบนั้น สภาสิบแปดปีกก็คงจะผงาดขึ้นมาในทวีปด้านตะวันออกแน่นอน”
“แน่นอน ฟรอสต์ฮีฟเว่นนั้นมีบริษัทนานาชาติสามแห่งให้การสนับสนุน แม้ว่าสภาสิบแปดปีกจะได้รับการสนับสนุนเพียงเล็กน้อยจากฟรอสต์ฮีฟเว่น แต่พวกเขาก็จะไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงินทุนและทรัพยากรอีกต่อไป ….”
“ดูเหมือนว่าในอนาคตมหาอำนาจต่างๆจะต้องหวาดกลัวสภาสิบแปดปีกมากขึ้นแล้ว เพราะท้ายที่สุดก่อนหน้านี้สภาสิบแปดปีกก็มีความใกล้เคียงกับมหาอำนาจทั่วไปแล้วในแง่ของผู้เชี่ยวชาญและรากฐานของกิล ซึ่งหากสภาสิบแปดปีกได้รับการสนับสนุนด้านทรัพยากรจากฟรอสต์ฮีฟเว่น โดยพื้นฐานแล้วกิลก็จะแข็งแกร่งขึ้นไปอีกแน่นอน”
….
ถึงเวลานี้ แม้แต่ผู้เล่นทั่วไปก็ยังเริ่มคุ้นเคยกับมหาอำนาจที่มีชื่อว่า ฟรอสต์ฮีฟเว่นแล้ว เพราะท้ายที่สุดกิลไม่เพียงแต่จะครอบครองอาณาจักรอยู่หลายแห่ง แต่กิลยังมีอำนาจอยู่ในมุมหนึ่งของจักรวรรดิอะโพคาลิปด้วย
นอกจากนี้ชื่อของฟรอสต์ฮีฟเว่นก็ยังเป็นที่รู้จักกันในหมู่ผู้เล่น พ่อค้าแบบพวกเขาด้วย เนื่องจากกิลๆนี้นั้นมีบริษัทนานาชาติยักษ์ใหญ่ถึงสามแห่งสนับสนุน และแม้แต่สตาร์ลิ้งซึ่งเป็นกิลที่กำลังมาแรงในทวีปด้านตะวันออก รวมไปถึงซุเปอร์กิลมากมายต่างก็ต้องแสดงความเคารพต่อฟรอสต์ฮีฟเว่น
กลุ่มของมู่ฉินได้เดินเข้าไปภายในคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเมืองภายใต้การจ้องมองของผู้เล่น พ่อค้าที่อยู่ภายนอก
ภายในคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเมือง นอกเหนือจากองครักษ์ส่วนตัวที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยแล้ว มันยังมีการฝึกของผู้เชี่ยวชาญของสภาสิบแปดปีกอยู่ในพื้นที่อีกจำนวนมากด้วย ซึ่งความมีชีวิตชีวาภายในบริเวณคฤหาสถ์นั้นมันไม่ได้ด้อยไปกว่าสถานการณ์ภายนอกคฤหาสถ์เลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าจำนวนและคุณภาพผู้เชี่ยวชาญของสภาสิบแปดปีกยังคงด้อยกว่ามหาอำนาจต่างๆอยู่มาก เคิร์สแมนเซอร์หญิงพึมพำพลางส่ายหัวและถอนหายใจออกมา ขณะที่เธอมองไปรอบๆเพื่อเช็คมาตราฐานของสมาชิกกิลสภาสิบแปดปีก และเมื่อเป็นแบบนี้แม้ว่ามู่ฉินจะยินยอมให้สภาสิบแปดปีกเข้าเป็นพันธมิตร แต่กิลอื่นๆก็จะยังคงคัดค้านแน่นอน
สมาชิกขั้นสองของสภาสิบแปดปีกหลายคนได้มาถึงเลเวลหนึ่งร้อยสิบห้าแล้ว ขณะที่บรรดาสมาชิกขั้นสามส่วนใหญ่ก็มีเลเวลที่สูงขึ้นไปอีก และผู้เล่นเหล่านี้นั้นก็มีอุปกรณ์ที่ครบครันมากเช่นกัน โดยอุปกรณ์ที่อ่อนแอที่สุดที่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของพวกเขาสวมใส่นั้นก็ยังอยู่ในระดับไฟน์โกล เลเวลหนึ่งร้อยสิบ ซึ่งเมื่อพูดถึงมาตราฐานของเลเวลและอุปกรณ์นั้นสมาชิกสภาสิบแปดปีกไม่ได้ด้อยไปกว่ามหาอำนาจที่แท้จริงเลย
อย่างไรก็ตามสมาชิกของสภาสิบแปดปีกมีข้อบกพร่องที่ร้ายแรงอย่างหนึ่งก็คือ มาตราฐานการต่อสู้โดยเฉลี่ยของพวกเขานั้นต่ำมาก ไม่ต้องพูดถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวดเร็วดั่งสายน้ำด้วยซ้ำ สภาสิบแปดปีกแทบจะไม่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตการปรับแต่งเลย ซึ่งในเรื่องนี้นั้นสภาสิบแปดปีกไม่สามารถจะเทียบกับมหาอำนาจต่างๆได้เลย
ดังนั้นแม้ว่าสภาสิบแปดปีกจะมีและสามารถสร้างเหล่าองครักษ์ส่วนตัวที่ทรงพลังขึ้นมาได้จำนวนมาก แต่กิลก็จะยังคงไม่ถูกถือว่าเป็นมหาอำนาจที่แท้จริง เพราะท้ายที่สุดองครักษ์ส่วนตัวนั้นจะเป็นภัยคุกคามแค่ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น และเมื่อเทียบกับผู้เล่นแล้ว NPC ก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากกว่ามากในการพัฒนาตัวเอง ดังนั้นวิธีการที่แท้จริงสำหรับกิลในการจะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งจริงๆเลยก็คือ การมีผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดจำนวนมากอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา
แม้ว่าจะมีข่าวลือว่าสภาสิบแปดปีกมีผู้เชี่ยวชาญที่ค่อนข้างพิเศษอยู่จำนวนหนึ่ง แต่จำนวนของมันก็ยังไม่น่าจะมากพอที่จะทำให้กิลกลายเป็นมหาอำนาจได้ทันที ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มู่ฉินจะยอมรับสภาสิบแปดปีกเข้าพันธมิตรของพวกเขาเลย
ในช่วงเวลาที่เคิร์สแมนเซอร์หญิงกำลังครุ่นคิดเรื่องดังกล่าวอยู่ ยู่หลานก็ได้พามู่ฉินและกลุ่มของเธอมาถึงที่ห้องรับรองในชั้นหนึ่งของคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเมือง
“เชิญเข้าไปได้เลย” ยู่หลานพูดขณะที่เธอเปิดประตูให้กับกลุ่มของมู่ฉิน
หลังจากพยักหน้าตอบรับกับคำพูดของยู่หลานแล้ว มู่ฉินก็ได้เดินเข้าไปในห้องรับรองพร้อมกับลูกน้องของเธอ
ซึ่งทันทีที่มู่ฉินและคนอื่นๆเข้ามาในห้องรับรอง ร่างกายของพวกเขาก็รู้สึกหนักขึ้นทันที และพวกเขาก็ยังรู้สึกว่าพวกเขาสูญเสียการควบคุมมานารอบๆตัวพวกเขา ซึ่งมันดูเหมือนว่าพวกเขาได้เข้ามาสู่อีกโลกหนึ่งเลย
โดเมนมานา ?! เคิร์สแมนเซอร์หญิงอ้าปากด้วยความตกใจ ขณะที่เธอมองไปยังซือเฟิงซึ่งนั่งอยู่ในห้องอยู่ก่อนแล้ว นี่ …. เป็นไปได้ยังไง ?!
ในขณะนี้นับประสาอะไรกับเคิร์สแมนเซอร์หญิง แม้แต่สมาชิกคนอื่นๆของ
ฟรอสต์ฮีฟเว่นก็ยังตกตะลึงกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม พวกเขารู้อย่างชัดเจนว่าโดเมนมานาคืออะไร เพราะท้ายที่สุดนี่เป็นสิ่งที่พวกเขาพบเป็นครั้งคราวเมื่อทำการโจมตีมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายขั้นสี่ นี่ไม่ต้องพูดถึงสกิลและเวทย์ขั้นสามที่อนุญาติให้ผู้เล่นสร้างโดเมนมานาของตัวเองอีก
โดเมนมานานั้นแบ่งออกเป็นสองประเภท คือแบบเปิดใช้งาน และพาสซีฟ โดยโดเมนมานาประเภทที่ต้องเปิดใช้งานนั้นมันถูกสร้างขึ้นโดยสกิลและเวทย์ ในขณะที่โดเมนมานาประเภทพาสซีฟนั้นมันถูกสร้างขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้สกิลหรือเวทย์ และจากทั้งสองประเภท ประเภทหลังเป็นความสามารถที่มีแค่เฉพาะ NPC ขั้นสี่หรือสูงกว่าขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถจะทำได้
อย่างไรก็ตามโดเมนมานาที่ห่อหุ้มพวกเขาไว้ในปัจจุบันนั้นมันชัดเจนเลยว่ามันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยสกิลหรือเวทย์ แต่มันเป็นผลพลอยได้ที่เกิดจากการหมุนเวียนมานาของซือเฟิงเอง กล่าวอีกนัยหนึ่งนี่มันคือโดเมนประเภทพาสซีฟ
ซึ่งโดเมนมานาประเภทนี้นั้นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ NPC ขั้นสี่นั้นแข็งแกร่งกว่า NPC ขั้นสามอย่างมาก และเมื่อโดเมนมานาประเภทพาสซีฟถูกใช้งาน NPC ขั้นสามก็จะไม่ต่างจากตัวตนที่เป็นเรื่องตลกเลยต่อหน้า NPC ขั้นสี่
อย่างไรก็ตามตอนนี้ความสามารถที่ปกติจะพบได้แค่เฉพาะใน NPC ขั้นสี่ นั้นกับถูกควบคุมและใช้โดยผู้เล่นขั้นสาม นี่มันน่าเหลือเชื่อมากๆ !!!
“คุณคือตัวแทนของฟรอสต์ฮีฟเว่นสินะ …. ฉันคือหัวหน้ากิลสภาสิบแปดปีก แบล๊คเฟรม” ซือเฟิงกล่าวขณะที่กวาดสายตามองไปยังกลุ่มของมู่ฉิน ก่อนที่เขาจะถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉันได้ยินมาจากยู่หลานว่าคุณมีเรื่องจะพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือและการเป็นพันธมิตรระหว่างเรานี่นา บอกรายละเอียดมาได้เลย ?”
ตอนที่ 2685 ค่าตอบแทนที่ใจกว้าง และเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่
ทันทีที่ซือเฟิงพูดจบ เคิร์สแมนเซอร์หญิงและสมาชิกฟรอสต์ฮีฟเว่นคนอื่นๆก็หายจากอาการตกตะลึงและหวาดกลัว และในตอนนี้การดูถูกทั้งหมดที่พวกเขาเคยมีต่อสภาสิบแปดปีกนั้นก็ได้หายไป
จำนวนผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดที่สภาสิบแปดปีกมีอยู่ในปัจจุบันอาจไม่สามารถเทียบกับมหาอำนาจต่างๆได้ อย่างไรก็ตามด้วยโดเมนมานาของซือเฟิง เขาจะสามารถเพิ่มพลังการต่อสู้ของทีมขึ้นได้อย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นหากมหาอำนาจต่างๆไม่มีวิธีจัดการกับโดเมนมานา มันก็ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะส่งผู้เชี่ยวชาญขั้นสามกี่คนมา
ตามล่าซือเฟิง เพราะท้ายที่สุดทุกอย่างจะจบลงด้วยการที่ผู้เชี่ยวชาญของพวกเขาตายทั้งหมดแน่นอน
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม คุณช่างเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ ในกรณีนี้ฉันขอแนะนำตัวเองก่อน ฉันคือมู่ฉิน รองหัวหน้ากิลของฟรอสต์ฮีฟเว่น และฉันมาที่นี่ในนามกิลของฉันเพื่อเชิญให้สภาสิบแปดปีกเข้าร่วมกับพันธมิตรของฟรอสต์ฮีฟเว่น” มู่ฉินกล่าวโดยมองไปที่ซือเฟิง
“พันธมิตรของคุณ ?” ซือเฟิงมองไปที่มู่ฉินด้วยความสับสน
เท่าที่เขาจำได้ฟรอสต์ฮีฟเว่นเดินตามเส้นทางของหมาป่าเดียวดายมาตลอด โดยไม่เคยสร้างพันธมิตรกับผู้อื่นเลยในชีวิตที่ผ่านมาของเขา
“ถูกต้อง ว่ากันตามตรงคุณสามารถพิจารณาได้ว่ามันเป็นพันธมิตรที่กำหนดเป้าหมายไปยังมอนสเตอร์ Faux Saint” มู่ฉินอธิบายพลางพยักหน้า “ตราบเท่าที่สภาสิบแปดปปีกเข้าร่วมเป็นพันธมิตร ไม่เพียงแต่เราจะโจมตีและป้องกันมอนสเตอร์ Faux Saint ด้วยกัน แต่เรายังจะแบ่งปันข้อมูลมากมายให้กับสภาสิบแปดปีก โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมและการเคลื่อนไหวของมอนสเตอร์ Faux Saint ซึ่งด้วยเรื่องนี้ หากมอนสเตอร์ Faux Saint พยายามจะเริ่มปฎิบัติการขนาดใหญ่ เราก็จะเตรียมพร้อมสำหรับมันได้ทัน”
“เงื่อนไขในการรับสมัครคืออะไร ?” ซือเฟิงถาม
สำหรับสภาสิบแปดปีกในปัจจุบัน ข้อเสนอเรื่องความช่วยเหลือในการโจมตีและป้องกันมอนสเตอร์ Faux Saint นั้นไม่ได้มีความสำคัญเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมและการเคลื่อนไหวของมอนสเตอร์ Faux Saint นั้นมันเป็นสิ่งที่เขาสนใจอย่างมาก แม้ว่าสมาชิกสภาสิบแปดปีกจะสามารถรวบรวมข้อมูลมากมายเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของมอนสเตอร์ Faux Saint ได้ แต่ขอบเขตของข้อมูลที่กิลมีมันก็จัดว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับข้อมูลของมหาอำนาจต่างๆที่ทำงานร่วมกันเพื่อค้นหาข้อมูล
ซึ่งด้วยข้อมูลดังกล่าวเขาจะเข้าใจการเคลื่อนไหวและกิจกรรมของมอนสเตอร์ Faux Saint ได้ดีขึ้น และสามารถทำให้สภาสิบแปดปีกเตรียมการหลายสิ่งล่วงหน้าได้ อย่างไรก็ตามปัญหามอนสเตอร์ Faux Saint นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถจัดการได้ในระยะสั้น ในความเป็นจริงมอนสเตอร์ Faux Saint จะยังคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับสภาสิบแปดปีกในอนาคตด้วย
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม คุณคิดมากเกินไปแล้ว มันไม่ได้มีเงื่อนไขใดๆหรอกในเรื่องนี้ ….” มู่ฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆที่ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเธอ “แต่ถ้าให้ฉันต้องพูดสักข้อ มันก็น่าจะเป็นการต้องได้รับการยอมรับจากฟรอสต์ฮีฟเว่น”
“นั่นหมายความว่าสภาสิบแปดปีกได้รับการยอมรับแล้วงั้นหรอ ?” ซือเฟิงถามอย่างสงสัย
“แน่นอน นอกจากนี้นอกเหนือจากการเชิญสภาสิบแปดปีกเข้าร่วมพันธมิตรแล้ว ฉันยังต้องการจะขยายคำเชิญไปยังสภาสิบแปดปีกเพื่อให้เข้าร่วมปฎิบัติการลับที่พันธมิตรของเรากำลังวางแผนอยู่” มู่ฉินกล่าวอย่างจริงจัง
“ปฎิบัติการลับ ? นี่มันเป็นภาคบังคับที่เราจำเป็นต้องเข้าร่วม โดยไม่สามารถปฎิเสธได้รึปล่าว ?” ซือเฟิงถาม เมื่อเขาสังเกตเห็นสีหน้าที่จริงจังและเต็มไปด้วยความตื่นเต้นของมู่ฉิน
“มันไม่ใช่ภาคบังคับ แต่ถ้าสภาสิบแปดปีกเต็มใจจะช่วยเหลือ ฉันสามารถจะมอบค่าตอบแทนให้กับคุณเป็นการส่วนตัวได้ ตัวอย่างเช่น ฉันสามารถให้สารอาหารเหลวระดับ S แก่คุณได้ห้าสิบขวด ซึ่งมันเป็นสิ่งที่มหาอำนาจต่างๆกำลังต้องการอย่างเร่งด่วน” มู่ฉินกล่าว
สมาชิกของฟรอสต์ฮีฟเว่นคนอื่นๆที่ยืนอยู่ข้างๆมู่ฉินหันมามองเธอด้วยความตกตะลึง
“มู่ฉิน คุณคิดอะไรอยู่ ?! นั่นมันเป็นความลับสุดยอดเลยนะ !!! แม้จะเป็นในกลุ่มพันธมิตร แต่มันก็มีแค่อีกสองกิลเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะเข้าร่วม !!! หากคุณเชิญสภาสิบแปดปีกเข้าร่วม แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสสูงสุดของกิลเราจะเห็นด้วย แต่อีกสองกิลก็จะต่อต้านอย่างแน่นอนในเรื่องนี้ !!!” เคิร์สแมนเซอร์หญิงกล่าวบ่นมู่ฉิน
เคิร์สแมนเซอร์หญิงไม่ได้แปลกใจมากนักที่มู่ฉินตกลงให้สภาสิบแปดปีกเข้าร่วมพันธมิตรของพวกเขา เพราะท้ายที่สุดด้วยสิทธิประโยชน์ที่เมืองปีกสีเงินมี และโดเมนมานาของซือเฟิง สภาสิบแปดปีกจึงมีคุณสมบัติมากเพียงพอ
อย่างไรก็ตามการเชิญสภาสิบแปดปีกเข้าร่วมในปฎิบัติการลับของพันธมิตรนั้นมันเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ปฎิบัติการลับที่มู่ฉินกล่าวถึงนั้นมันไม่ใช่เรื่องธรรมดา ฟรอสต์ฮีฟเว่นและมหาอำนาจอีกสองกลุ่มได้จ่ายไปอย่างมหาศาลเพื่อรับเอาโอกาสนี้มา ซึ่งการที่มู่ฉินมาเชิญให้สภาสิบแปดปีกเข้าร่วมด้วย มันบ้าชัดๆ !!!
“ผ่อนคลายน่า การมีส่วนร่วมของสภาสิบแปดปีกจะมาจากส่วนแบ่งของฉัน ด้วยวิธีนี้มหาอำนาจอีกสองกลุ่มจะไม่มีปัญหาใดๆแน่นอน” มู่ฉินตอบอย่างไม่ไยดี
“นี่คุณบ้าไปแล้วจริงๆงั้นหรอ ?! ต่อให้คุณทำแบบนี้ได้โดยไม่มีใครสามารถห้ามได้ แต่ถ้าลุงหงและคนอื่นๆเกิดไม่พอใจคุณ คุณก็จะเจอกับปัญหาใหญ่ได้นะ !!!” เคิร์สแมนเซอร์หญิงกล่าวด้วยความสับสน
ในฐานะทายาทของบริษัทโบลเดอร์ หนึ่งในสามบริษัทหลักที่สนับสนุนฟรอสต์ฮีฟเว่น มู่ฉินนั้นมีช่องจำนวนมากสำหรับปฎิบัติการลับที่กำลังจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามหากมู่ฉินมอบช่องเหล่านี้ให้กับสมาชิกสภาสิบแปดปีก หัวหน้ากิลของฟรอสต์ฮีฟเว่น และบรรดาผู้อาวุโสสูงสุดของกิลบางส่วนจะต่อต้านเธอแน่นอน ในความเป็นจริงหากการเข้าร่วมของสภาสิบแปดปีกส่งผลเสียต่อปฎิบัติการ มันก็อาจส่งผลต่อสถานะของบริษัทโบลเดอร์ในฟรอสต์ฮีฟเว่นได้ด้วย
ในขณะเดียวกันเมื่อเห็นว่าเคิร์สแมนเซอร์หญิงหยุดพูดแล้ว มู่ฉินก็จ้องมองมาที่ซือเฟิงต่อ
“คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้ หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ?” มู่ฉินถามซ้ำอีกครั้ง
“เราจะได้รับสารอาหารเหลวระดับ S ห้าสิบขวดก็ต่อเมื่อปฎิบัติการสำเร็จใช่ไหม ?” ซือเฟิงถามหลังจากครุ่นคิด
ตอนนี้เขาโหยหาสารอาหารเหลวระดับ S อย่างมาก และนอกจากความต้องการส่วนตัวแล้ว เขายังต้องการสารอาหารเหลวระดับ S อีกจำนวนมากมาไว้ใช้พัฒนาเหล่าแกนหลักของสภาสิบแปดปีก สภาสิบแปดปีกนั้นแตกต่างจากมหาอำนาจต่างๆ
เพราะกิลไม่ได้มีบริษัทใดๆสนับสนุนอยู่ ดังนั้นกิลจึงมีช่วงเวลาที่ยากลำบากมากๆในการรวบรวมสารอาหารเหลวระดับ S
เขาต้องยอมรับเลยว่ามู่ฉินจับจุดอ่อนของสภาสิบแปดปีกได้ถูกจุดจริงๆ
“ไม่ใช่ สารอาหารเหลวระดับ S ห้าสิบขวดนั้นเป็นค่ามัดจำ และหากปฎิบัติการสำเร็จ ฉันจะจ่ายให้คุณเพิ่มอีกห้าสิบขวด ….” มู่ฉินตอบคำถามของซือเฟิงด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะ ฉันยอมรับคำเชิญของคุณในนามของสภาสิบแปดปีก” ซือเฟิงกล่าว เมื่อเขาได้ยินว่าค่าตอบแทนคือสารอาหารเหลวระดับ S หนึ่งร้อยขวด เขาจึงตอบรับข้อเสนอโดยไม่ลังเล “ปฎิบัติการลับนี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด ? และต้องส่งผู้เล่นไปกี่คน ?”
“ฉันยังบอกเวลาที่แน่นอนไม่ได้ แต่เมื่อพิจารณาจากพัฒนาการในปัจจุบัน น่าจะต้องใช้เวลาอีกสิบเอ็ดถึงสิบสองวันก่อนที่ปฎิบัติการจะสามารถเริ่มได้ สำหรับเรื่องจำนวน มันจะดีที่สุดถ้าคุณส่งผู้เล่นมาไม่เกินสิบคน” มู่ฉินตอบหลังจากครุ่นคิด จากนั้นเธอก็ชี้ไปยังเคิร์สแมนเซอร์หญิงข้างๆเธอและพูดว่า “เมื่อการเตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้น ฉันจะให้หลี่ฉวนมาแจ้งให้คุณทราบ”
“ยอดเยี่ยม งั้นฉันจะได้เตรียมการทั้งหมดที่จำเป็นไว้รอล่วงหน้า ….” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า
หลังจากที่ซือเฟิงตกลงรับคำเชิญของมู่ฉินแล้ว ทั้งสองคนก็ได้ทำการเซ็นสัญญากันอย่างเป็นทางการ และก่อนจะเริ่มปฎิบัติการลับมู่ฉินจะจัดหาสารอาหารเหลวระดับ S ห้าสิบขวดให้กับสภาสิบแปดปีกก่อน และตราบใดที่ปฎิบัติการลับสำเร็จ มู่ฉินก็จะส่งเพิ่มให้อีกห้าสิบขวดภายในสองวันหลังจากปฎิบัติการลับเสร็จสิ้น
“หัวหน้ากิล หัวหน้าตั้งใจจะเข้าไปมีส่วนร่วมในปฎิบัติการลับของฟรอสต์ฮีฟเว่นจริงๆงั้นหรอ ?” ยู่หลานถามอย่างเป็นห่วง เมื่อกลุ่มของมู่ฉินออกจากห้องรับรองไป “ความจริงที่ว่าฟรอสต์ฮีฟเว่นเต็มใจจะมอบสารอาหารเหลวระดับ S ให้เราหนึ่งร้อยขวดนั้น มันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าปฎิบัติการลับนี้ยากแค่ไหน และในความเป็นจริงปฎิบัติการลับนี้อาจมีความเสี่ยงสูงมาก ซึ่งหากมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น สตาร์ลิ้ง และมือแห่งนักบุญก็อาจจะฉวยโอกาสนี้ได้”
ตอนนี้เมืองปีกสีเงินนั้นได้รับการอัพเกรดเป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐานแล้ว ซึ่งจำนวนผู้เล่น มหาอำนาจ และองค์กรต่างๆที่เข้ามาปฎิบัติงานในเมืองปีกสีเงินกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจากการประมาณการในปัจจุบัน พวกเขาสามารถทำเงินได้มากกว่าสามแสนเหรียญทองต่อวันจากการเก็บค่าเข้าเมืองเพียงอย่างเดียว และหลังจากหักใช้จ่ายต่างๆทั้งหมดที่จำเป็น พวกเขาก็เหลือกำไรมากกว่าหนึ่งแสนเหรียญทองต่อวันเลย ซึ่งสิ่งนี้ยังไม่รวมรายได้จากด้านอื่นๆในเมืองด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบริษัทขนส่ง
พูดง่ายๆก็คือตอนนี้พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องไปแบกรับความเสี่ยงๆใดเลย เพราะพวกเขามีความสามารถในการจะสะสมเงินให้ได้มากพอที่จะซื้อสารอาหารเหลวระดับ S จำนวนมากด้วยตัวเองแล้ว เพียงแต่มันจะต้องใช้เวลานานหน่อยก็เท่านั้น
“ฉันเข้าใจ แต่เราก็ต้องมีชีวิตรอดให้ได้นานพอนะถึงจะหาเงินจำนวนนั้นมาได้ ….” ซือเฟิงตอบด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น
ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะปฎิเสธข้อเสนอของมู่ฉินเช่นกัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว สารอาหารเหลวระดับ S ในตอนนี้นั้นจัดว่ามีค่าและหายากๆ แม้แต่กับฟรอสต์ฮีฟเว่นก็ตาม ซึ่งการที่มู่ฉินเสนอเป็นค่าตอบแทนให้เขามากขนาดนี้ มันก็แปลว่าปฎิบัติการลับนี้จะต้องมีปัญหา และมีความยากอย่างน่าเหลือเชื่อ
อย่างไรก็ตามสารอาหารเหลวระดับ S หนึ่งร้อยขวดนี้จะช่วยบรรเทาความกดดันของสภาสิบแปดปีกไปได้มาก นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าตัวตนของเขาถูกเปิดเผยแล้ว ดังนั้นการซื้อสารอาหารเหลวระดับ S ด้วยตัวเองจึงจะทำได้ยากยิ่งกว่าเดิมแน่นอน
หลังจากซือเฟิงพูดคุยกับยู่หลานเรียบร้อย เขาก็ได้มอบหมายงานที่จำเป็นทั้งหมดในเมืองปีกสีเงินให้เธอ ก่อนที่เขาจะแอบเดินลงไปยังห้องหลักของชั้นใต้ดินชั้นที่สองที่อยู่ใต้คฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเมือง และจากนั้นเขาก็หยิบม้วนคัมภีร์ที่ขาดรุ่งริ่งออกมาจากกระเป๋าของเขา
แม้ว่าฉันจะไม่สามารถเตรียมการรับมือเหตุการณ์ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ แต่เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงานทั้งหมดในอนาคตจะราบรื่นขึ้น ฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเลื่อนขั้นไปยังขั้นต่อไปให้เร็วที่สุด !!!
ซือเฟิงกัดฟันของเขา ขณะที่เขาคลี่ม้วนคัมภีร์ที่ขาดรุ่งริ่งที่เขาได้รับมาจากลิชโบราณโซล๊อคออกมา และเริ่มร่ายเวทย์ที่ม้วนคัมภีร์บันทึกไว้ ….
ตอนที่ 2686 ดินแดนมรดก
ในขณะที่ซือเฟิงกำลังทำการร่ายเวทย์ที่ถูกบันทึกไว้ในม้วนคัมภีร์มรดก อักษรรูนศักสิทธิ์บนม้วนคัมภีร์มรดกก็เริ่มเปล่งแสงหลากสีส่องสว่างขึ้นมาทั่วห้องหลัก
หลังจากนั้นอักษรรูนศักสิทธิ์ก็แยกตัวออกมาจากม้วนคัมภีร์ที่บันทึกมันไว้ และลอยมาเชื่อมโยงกันกลายเป็นวงแหวนตรงหน้าของซือเฟิง และชั่วครู่ต่อมากระแสน้ำวนที่มืดมิดที่ไม่มีที่เปรียบได้ก็ปรากฎขึ้นภายในวงแหวนรูนนี้
กระน้ำวนที่มืดมิดนี้มีความสูงสามเมตร และเพียงแค่การมีอยู่อย่างเดียวของมันก็ทำให้มานาภายในห้องเบาบางลงอย่างมาก ซึ่งกระแสน้ำวนนี้มันเหมือนกับสัตว์ร้ายที่คอยกัดกินมานาในห้องอย่างไม่รู้จักอิ่ม
นี่สภาพแวดล้อมในดินแดนมรดกมันรุนแรงแค่ไหนกัน ? ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เมื่อได้สัมผัสกับมานาที่เบาบางรอบตัวเขา
ในตอนแรกเขาวางแผนที่จะท้าทายเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ หลังจากที่เขาสามารถทลายขีดจำกัดของร่างมานาระดับอีปิคได้แล้ว ซึ่งด้วยวิธีนี้นั้นเขาจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น เพราะท้ายที่สุดแล้วในเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ นั้นมันไม่เหมือนกับเควสเลื่อนขั้น ขั้นต่ำกว่าที่ผ่านๆมา มันไม่มีตัวเลือกความยากใดๆให้ผู้เล่นเลือก และการปรับปรุงที่พวกเขาจะได้รับจากเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่นั้นมันขึ้นอยู่กับความคืบหน้า และความสำเร็จของพวกเขาในดินแดนมรดก
แน่นอนว่ามันยังมีความแตกต่างบางอย่างระหว่างดินแดนมรดกโดยธรรมชาติต่างๆ และยิ่งสภาพแวดล้อมภายในดินแดนมรดกรุนแรงเท่าไหร่ ผู้เล่นก็จะยิ่งได้รับมรดกขั้นสี่ยากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตามการค้นหาดินแดนมรดกขั้นสี่นั้นคือสิ่งที่ยากที่สุด ในความเป็นจริงเมื่อท้าทายเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ ผู้เล่นมักจะใช้เวลาราวเก้าสิบเปอเซ็นต์ในการค้นหาดินแดนมรดก
ในระยะสั้นผู้เล่นจะนับว่าโชคดีมากแล้วที่ได้พบกับดินแดนมรดก พวกเขาไม่ได้มีตัวเลือกให้เลือกเลยในเรื่องดินแดนมรดก ดังนั้นโชคจึงมีบทบาทสำคัญมากๆในการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่
ด้วยความโชคดี ผู้เล่นคนหนึ่งจะได้พบกับมรดกที่ดีและมีช่วงเวลาที่ง่ายขึ้นในการรับเอามรดกขั้นสี่ แต่หากผู้เล่นไม่มีโชค และได้ไปพบกับดินแดนมรดกที่มีสภาพแวดล้อมรุนแรง บางทีผู้เล่นอาจจะประสบกับความล้วเหลวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าสู่ดินแดนมรดกเลยด้วยซ้ำ นี่เป็นสถานการณ์ที่ซือเฟิงเคยเผชิญมาก่อน เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาล้มเหลวหลายครั้งในการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา
ในตอนนี้แม้ว่าเขาจะไม่สามารถระบุได้ว่าดินแดนมรดกที่ถูกเปิดขึ้นตรงหน้าของเขาเป็นแบบไหน แต่ตัดสินจากการที่วงแหวนรูนที่เปิดทางเข้าสู่ดินแดนมรดกกลืนกินมานาในห้องหลักไปเกือบทั้งหมด เขาก็สามารถบอกได้เลยว่าดินแดนมรดกที่ถูกเปิดขึ้นนี้มีมานาเบาบางมากๆ ในความเป็นจริงความหนาแน่นของมานาภายในดินแดนมรดกแห่งนี้ก็น่าจะต่ำกว่าห้องหลักในตอนนี้ด้วยซ้ำ ….
อย่างไรก็ตามก่อนที่ซือเฟิงจะทันได้สังเกตอะไรเพิ่มเติม มันก็มีเสียงการแจ้งเตือนของระบบหลายครั้งดังขึ้นมาที่หูของเขา
….
ระบบ : คุณได้เปิดประตูสู่ดินแดนมรดก กรุณาเข้าสู่ดินแดนมรดกภายในสามนาที ไม่งั้นประตูนี้จะปิดโดยอัตโนมัติ
ระบบ : คุณได้เปิดใช้งานเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่สำหรับเบลดเซ้นต์
เนื้อหาของเควส : เข้าสู่ดินแดนมรดก และรับเอามรดกโบราณ รางวัล : Unknwon
ระบบ : เมื่อคุณเข้าสู่ดินแดนมรดก คุณจะถูกห้ามไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอก และหากคุณตายภายในดินแดนมรดก คุณจะถูกเทเลพอร์ตออกจากดินแดนมรดกทันที และเลเวลของคุณก็จะลดลงห้าเลเวล ขณะที่วิญญาณของคุณก็จะติดสถานะอ่อนแอเป็นเวลาสามวัน โปรดพิจารณาการตัดสินใจของคุณอย่างรอบคอบ
….
ห้าเลเวล ?! ดินแดนมรดกแห่งนี้มันโหดร้ายอย่างแท้จริง !!! ซือเฟิงขมวดคิ้ว และค่อนข้างจะเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เมื่อเขาได้ยินเนื้อหาของเควส และการแจ้งเตือนจากระบบ
โดยปกติการตายในดินแดนมรดกขั้นสี่จะทำให้สูญเสียเพียงแค่สองถึงสามเลเวลเท่านั้น อย่างไรก็ตามตอนนี้หากเขาตายในดินแดนมรดกแห่งนี้เขาจะสูญเสียถึงห้าเลเวล นี่มันคือบทลงโทษจากการตายในดินแดนมรดกที่สูงที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมาเลย
อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ไม่ได้ลังเลนานนัก เขาตัดสินใจจะเดินเข้าสู่ดินแดนมรดกทันที
ถ้าเป็นไปได้ เขาก็ไม่ต้องการจะเข้าไปในดินแดนมรดกที่มีสภาพแวดล้อมรุนแรงเช่นกัน อย่างไรก็ตามในตอนนี้เขาไม่มีทางเลือก เพราะหากเขาไม่เข้าไป มันจะถือว่าเขาล้มเหลวในการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ทันที ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น เขาก็จะต้องรออีกระยะหนึ่งเลยกว่าจะทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ได้อีกครั้ง โดยนั่นเป็นผลลัพธ์ที่เขาไม่ต้องการอย่างแน่นอน
เพราะท้ายที่สุดนอกเหนือจากปฎิบัติการลับของฟรอสต์ฮีฟเว่นที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว การทดสอบของมังกรศักสิทธิ์มันก็รอเขาอยู่เช่นกัน หากเขายอมแพ้ในการเข้าสู่ดินแดนมรดกตอนนี้ เขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบของมังกรศักสิทธิ์ด้วยสถานะของผู้เล่นขั้นสามเท่านั้น ซึ่งพูดกันตามเนื้อผ้าแล้วเขาจะล้มเหลวแน่นอน หากเป็นแบบนั้น ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกัดฟันและเดินเข้าสู่ดินแดนมรดกแห่งนี้เพื่อมาลองท้าทายเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่
โชคดีที่ม้วนคัมภีร์มรดกระดับอีปิคนี้มันอนุญาติให้เขาสามารถพยายามท้าทายได้สามครั้ง ซึ่งมากกว่าม้วนคัมภีร์มรดกระดับระดับดาร์คโกลที่อนุญาติแค่สองครั้ง ดังนั้นการที่เขามีสิทท้าทายเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่สี่ครั้งติดกันโดยไม่ต้องรอเวลา มันจึงช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จของเขาได้อย่างมาก
เมื่อซือเฟิงก้าวเข้ามาในดินแดนมรดก ทิวทัศน์เบื้องหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ปัจจุบันเขากำลังลอยอยู่อย่างอิสระกลางอากาศ ในขณะที่ท้องฟ้ารอบตัวของเขานั้นมืดมิดไปหมด และมีรอยแยกของมิติปรากฎขึ้นมากมายโดยรอบบริเวณ ซึ่งมันราวกับว่าโลกที่เขาพึ่งมาถึงนั้นได้พังทลายลงไปแล้ว มันไม่พื้นดินอยู่ใต้เท้าเขาเช่นกัน ทั้งหมดที่เขาเห็นด่านล่างคือเหวลึก และเพื่อให้เรื่องแย่ลง มานาที่นั้นแทบจะไม่มีอยู่เลย
“นี่ …” ซือเฟิงตกตะลึงไปชั่วขณะกับสถานการณ์นี้
เขาเคยไปยังดินแดนมรดกมาหลายแห่ง แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่เขาได้มาเยือนดินแดนมรดกที่โหดร้ายแบบนี้ ในความเป็นจริงแทนที่จะเรียกว่าที่แห่งนี้เป็นดินแดนมรดก มันควรจะเรียกว่าเป็นโลกที่ถูกทำลายล้างไปแล้วซะมากกว่า
ถ้าไม่ใช่เพราะร่างมานาระดับอีปิคของเขา เขาคงจะหมดสติไปนานแล้ว จากสภาพแวดล้อมที่มีมานาเบาบางแบบนี้
ซือเฟิงนั้นไม่กล้าที่จะประมาทใดๆ เขาได้รับเปิดใช้งานสกิลเกลโดเมนทันทีเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างตัวเขากับเหวลึกด้านล่าง
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาเริ่มบินได้ไม่นาน แรงดึงดูดอันทรงพลังก็พุ่งมาจากเหวลึกด้านล่าง ซึ่งมันทำให้ร่างกายของเขารู้สึกหนักอึ้งมากๆ
ที่นี่ห้ามบินแบบระยะยาวด้วยงั้นหรอ ?
เมื่อมองไปที่เหวลึกเบื้องล่าง ซือเฟิงก็เริ่มจะเข้าใจกฎของดินแดนมรดกแห่งนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว และเขาก็มุ่งหน้าไปยังหน้าผาที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที
สี่ร้อยหลา … สามร้อยหลา … สองร้อยหลา …
ยิ่งซือเฟิงยังคงบินอยู่นานเท่าไหร่ แรงโน้มถ่วงที่มันกระทำต่อร่างกายของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ในตอนแรกแรงโน้มถ่วงนั้นมีมากกว่าปกติราวสองเท่า อย่างไรก็ตามตอนนี้มันมีมากกว่าปกติราวสิบเท่าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นมันยังคงเพิ่มขึ้นอีกสองเท่าทุกๆวินาที สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่ทำให้ความเร็วในการบินของเขาลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่มันยังทำให้เขาควบคุมร่างกายได้ยากขึ้นด้วย
เร็วขึ้น !!! ฉันต้องเร็วกว่านี้ !!!
เมื่อแรงโน้มถ่วงเข้าใกล้ถึงระดับที่ไม่สามารถจะทนทานได้ ซือเฟิงก็ได้ดิ้นรนอย่างหนักเพื่อจะไปให้ถึงหน้าผาที่อยู่ใกล้ที่สุด
เมื่ออยู่ห่างจากหน้าผาไม่ถึงยี่สิบหลา ความสามารถในการบินของเขาก็ถูกทำให้หายไปทันที เป็นผลให้เขาดิ่งลงสู่เหวลึกเหมือนกับดาวตก และเพื่อทำให้เรื่องแย่ลง แรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อร่างกายของเขาก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนี่มันยิ่งทำให้ความเร็วในการดิ่งของเขาเร็วขึ้นมาก
ไม่ได้การแล้ว !!! ในอัตรานี้นี่มันจะทำให้ฉันตายจากแรงลมก่อนจะตกลงกระแทกถึงพื้นด้วยซ้ำ
หลังจากดิ่งลงมาเป็นเวลาหลายสิบวินาที ซือเฟิงก็พบว่าแรงลมที่รุนแรงขึ้นจากความเร็วในการดิ่งลงของเขาที่เพิ่มขึ้นนั้นกำลังทำร้ายร่างกายของเขาอย่างหนัก ซึ่งในอัตรานี้มันจะทำให้เขาตายแน่นอน ในอีกไม่กี่สิบวินาที
เขาหยิบระเบิดเยือกแข็งขั้นสูงออกมาจากกระเป๋าของเขา และรีบจุดชนวนระเบิดด้านหลังของเขาทันที
ตู้ม … ตู้ม … ตู้ม …
พร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังขึ้น ดอกไม้น้ำแข็งก็ปรากฎขึ้นกลางอากาศ
แม้ว่าซือเฟิงจะสูญเสีย HP ไปมากกว่ายี่สิบเปอเซ็นต์ และร่างกายของเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งอันเป็นผลมาจากระเบิดเยือกแข็งขั้นสูง แต่ผลกระทบของแรงระเบิดมันก็ทำให้เขาเข้าใกล้หน้าผาที่ใกล้ที่สุดมากขึ้น
อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นแบบนี้ ซือเฟิงก็ยังคงไม่คลายกังวล เพราะท้ายที่สุดถ้าเขาตกลงกระแทกกับหน้าผาด้วยความเร็วขนาดนี้ เขาจะไม่รอดแน่นอน
ในช่วงเวลาต่อมาชุดเกราะที่ซือเฟิงสวมใส่ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงจากความร้อน
และในขณะที่เขากำลังจะกระแทกเข้ากับหน้าผาราวกับอุกกาบาตที่ลุกโชน เขาก็ได้รับเปิดใช้งานสกิล Heavenly Dragon’s Power ทันที ซึ่งมันก็ทำให้ค่าสถานะพื้นฐาน พลังป้องกัน และ HP ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากนั้นซือเฟิงก็ชัก Abyssal Blade ของเขาออกจากฝัก และแทงมันลงไปที่หน้าผา
ตู้ม !!!
หลังจากทำแบบนี้ Abyssal Blade ก็ยังแทงลงไปในพื้นลึกลงไปเรื่อยๆพร้อมกับร่างกายของซือเฟิง ซึ่งนี่มันก็ทำให้ HP ของซือเฟิงลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน
75%… 60%… 30%…
โชคดีที่ในที่สุดร่างของซือเฟิงก็หยุดลงหลังจากเขาเหลือ HP น้อยกว่าห้าแสน
หลังจากพาตัวเองหลุดพ้นออกมาจากเงื้อมมือของความตายได้ เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นี่ถ้าไม่ใช่เพราะพลังของสกิล Heavenly Dragon’s Power เขาคงจะตายไปแล้วจริงๆ ….
ที่นี่คือดินแดนมรดกจริงๆหรอ ?
ตอนนี้จิตใจของซือเฟิงเต็มไปด้วยความสับสนมากๆ ขณะที่เขาจ้องมองไปยังเหวลึกที่ดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุดด้านล่าง
ปัจจุบันเขาไม่เห็นร่องรอยใดๆของสิ่งมีชีวิตในดินแดนมรดกแห่งนี้เลย ซึ่งก็ไม่ต้องพูดถึงมอนสเตอร์ นอกเหนือจากเหวลึกที่ดูเหมือนจะไร้ที่สิ้นสุดแล้ว เขาก็มองเห็นเพียงหน้าผาที่ล้อมรอบเท่านั้น มันไม่มีร่องรอยของมรดกโบราณเลย
ไม่นานนักร่างมหึมาก็โผล่ออกมาจากเหวลึก และเมื่อได้เห็นร่างเหล่านี้ซือเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
เป็นไปได้ยังไง ?!
ดวงตาของซือเฟิงเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ เมื่อเขาเห็นร่างมหึมาเหล่านี้
เพราะท้ายที่สุดแล้วร่างเหล่านี้มันเป็นเผ่ามังกรที่ไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก ในขณะเดียวกันมังกรเหล่านี้ก็ได้ค้นพบการปรากฎตัวของเขาแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น