Reincarnation Of The Strongest Sword God 2913-2914

 ตอนที่ 2913 เรือเหาะชางเล่ย


“จำนวนกำลังพลหลายสิบล้านเลยงั้นหรอ ?!”


ซือเฟิงที่ได้รับข้อมูลที่รายงานถึงสถานการณ์ล่าสุดมาจากฟางฉีหานอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอย่างมาก


ในชีวิตที่แล้วของเขานั้น เขาก็เคยสัมผัสกับการต่อสู้ระหว่างประเทศต่างๆมาบ้าง โดยจำนวนกำลังพลของทั้งสองฝ่ายที่เข้าต่อสู้นั้นจะอยู่แค่ในระดับหลักล้านเท่านั้น และแค่นี้มันก็จัดว่าเป็นสงครามที่นองเลือดอย่างถึงขีดสุดแล้ว เพราะทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้เพื่อแย่งชิงพื้นที่ทุกตารางนิ้วที่ตัวเองต้องการ


และหากอาณาจักรหนึ่งต้องการจะเลื่อนขั้นเป็นจักรวรรดินั้น วิธีหนึ่งที่จะสามารถทำได้ก็คือการขยายอาณาเขตของตนผ่านสงครามนั่นเอง ….


ขณะที่การต่อสู้ระหว่างจักรวรรดิกับจักรวรรดินั้น จำนวนกำลังพลของทั้งสองฝ่ายที่เข้าต่อสู้กันอาจมีได้ถึงสิบล้านคนหรือเกินนิดหน่อย ….


แต่ในปัจจุบันนี่มันเป็นแค่หนึ่งในกองทัพหลายสิบกองทัพของผู้รุกรานจากโลกอื่นเท่านั้น มันกับมีกำลังพลหลายสิบล้านแล้ว ซึ่งแทบจะเทียบเท่า หรือเหนือกว่าความแข็งแกร่งของสองจักรวรรดิรวมกันเลย


“ด้วยความเร็วในการเคลื่อนทัพของกองทัพนี้ คาดว่าอีกราวสองชั่วโมงพวกเขาน่าจะไปถึงที่ป้อมปราการสิงโตเหล็กบริเวณชายแดนของอาณาจักรทวินทาวเวอร์ โดยตอนนี้ฉันอยู่ระหว่างพากองทัพผู้เชี่ยวชาญขั้นสามแปดแสนคน และผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ห้าสิบคนเดินทางไปที่นั่น ซึ่งจากที่ฉันคาดการณ์ ฉันน่าจะนำกองทัพของเราไปถึงได้ในเวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงเล็กน้อย”


“สำหรับเมืองชายแดนที่อยู่ใกล้ที่สุดนั้นคือ เมืองเล่ยเซีย ซึ่งอควาโรส และกองทัพผู้เชี่ยวชาญขั้นสามเจ็ดแสนคน กับผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่เจ็ดสิบคนประจำการอยู่ ในส่วนของป้อมปราการหนามแดง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเส้นทางการเดินทางนั้น เสวี่ยเหวินโหรวกำลังนำกองทัพผู้เชี่ยวชาญขั้นสามหลายล้านคน และผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่หลายร้อยคนไปที่นั่น …. ส่วนเหล่าผู้เชี่ยวชาญอิสระที่เหลือที่ยังมาไม่ถึง คาดว่าพวกเขาน่าจะมาถึง และเข้าประจำการในสถานที่สามแห่งนี้ได้ในไม่ช้าแน่นอน”


“แต่อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบมาเราพบว่ามีผู้เล่นจากโลกอื่นเข้าร่วมกับกองทัพนี้ไม่มากนัก ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ของเราจึงไม่น่าจะลำบากเหมือนประเทศอื่นๆ และถ้าเราโฟกัสไปที่การจัดการกับกองทัพนี้ มันก็น่าจะไม่มีปัญหาที่จะตรึงพวกเขาไว้สักระยะหนึ่ง”


ป้อมปราการชายแดนโดยทั่วไปจะมีแค่วงเวทย์เทเลพอร์ตขนาดเล็กเท่านั้น และจำนวนผู้เล่นที่จะสามารถเทเลพอร์ตเข้ามาได้นั้นมันก็มีน้อยมาก ซึ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างกระทันหันของกองทัพจากโลกอื่นนั้น ฟางฉีหานจึงทำได้แค่รีบเร่งนำกองทัพของตัวเองไปที่นั่น


ซือเฟิงนั้นเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะท้ายที่สุดผู้เล่นนั้นไม่สามารถอยู่ในป้อมปราการชายแดนได้ตลอดเวลาเหมือนกับกองทัพ NPC ขนาดใหญ่ ผู้เล่นนั้นมีความจำเป็นที่จะต้องออกไปล่าเพื่อเก็บเลเวล และอัพเกรดอาวุธ กับอุปกรณ์ของตัวเอง รวมทั้งอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่ในป้อมปราการได้ตลอดเวลา ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้เอง มันจึงทำให้ผู้เล่นต้องเลือกจะเทเลพอร์ตไปที่จุดเทเลพอร์ตที่อยู่ใกล้ป้อมปราการที่สุด และรีบเดินทางไปที่ป้อมปราการ


“คุณจะต้องเป็นผู้บัญชาการใหญ่ผู้ออกคำสั่งทั้งหมด !!! แล้วเดี๋ยวฉันจะรีบตามไปสนับสนุนให้ได้เร็วที่สุด !!!” ซือเฟิงมองไปที่เวลา และกล่าวออกคำสั่ง


หนึ่งชั่วโมง !!


หนึ่งชั่วโมง ด้วยความเร็วที่เขามีในตอนนี้ เขาจะสามารถเดินทางจากที่ที่เขาอยู่ไปถึงตรงนั้นได้แน่นอน !!!


ในปัจจุบันการสร้างเรือเหาะชางเล่ยเหลือเพียงแค่ขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น ซึ่งก็คือการแกะสลักวงเวทย์ลงไป โดยมันก็นับเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด และเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้นการสร้างเรือเหาะชางเล่ยก็จะเสร็จสมบูรณ์


และเรือเหาะระดับเหล็กลึกลับนั้นก็มีความสามารถในการต่อสู้ป้องกันมากกว่าอาชีพขั้นห้าสองถึงสามคนซะอีก ….


เมื่อซือเฟิงพูดจบนั้นเขาก็วางสายไป และรีบหันกลับมาแกะสลักวงเวทย์ต่อทันที ….


แกนวงเวทย์ช่วงสุดท้ายนั้นมันประกอบไปด้วยวงเวทย์ระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสามวง ซึ่งความซับซ้อนของมันนั้นก็ทำให้แม้แต่สุดยอดปรมาจารย์วงเวทย์ที่พึ่งจะก้าวมาถึงขอบเขตนี้ก็ยังยากจะแกะสลักมันให้สำเร็จได้


ซึ่งนี่ก็รวมไปถึงซือเฟิงด้วย แม้ว่าเขาจะมีความแข็งแกร่งอย่างมากในแทบทุกๆด้านที่จำเป็นสำหรับเรื่องนี้ แต่เขาก็ยังทำมันได้อย่างยากลำบาก


“ทั้งๆที่คิดว่าทุกอย่างสมบูรณ์แบบ …. แต่ฉันกลับล้มเหลวในขั้นตอนสุดท้ายนี้มาสามรอบแล้ว !!! ปัญหามันอยู่ที่ตรงไหนกันแน่ ?!!!” ซือเฟิงพึมพำอย่างงงงวย ขณะที่เขามองไปยังวงเวทย์ตรงหน้า


“หัวหน้ากิล ฉันว่าดูเหมือนแกนกลางของวงเวทย์พวกนี้จะแปลกๆนะ ….” เมลาน

โครอิคสไมล์ที่เฝ้ามองการกระทำของซือเฟิงอยู่ได้กล่าวขึ้น และทันใดนั้นเธอก็รีบพูดต่อว่า “ดูเหมือนว่าวงเวทย์ทั้งสามวงนี้จะถูกใช้เพื่อนำทางองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ที่แตกต่างกันจากโลกภายนอก และในตอนท้ายนั้นทั้งสามวงนี้ก็ถูกบังคับให้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละ …. องค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์นั้นล้วนมีลักษณะเฉพาะเป็นของตัวเอง พวกมันจะถูกบังคับให้รวมกันได้อย่างไร ?”


ตอนนี้เมลานโครอิคสไมล์อยู่ห่างจากการกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์วงเวทย์แค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากเธอไม่จำเป็นจะต้องต่อสู้แบบซือเฟิง ดังนั้นเธอจึงมีเวลามากพอที่จะทำการวิจัยวงเวทย์ต่างๆ ซึ่งนี่มันก็ทำให้เธอมองเห็นปัญหาของวงเวทย์ที่ซือเฟิงพยายามแกะสลักอยู่ ….


โดยเมื่อได้ยินคำพูดของเมลานโครอิคสไมล์นั้น ซือเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เพราะคำพูดของเมลานโครอิคสไมล์นั้นทำให้เขารู้ถึงสาเหตุที่เขายังคงแกะสลักวงเวทย์นี้ไม่สำเร็จแล้ว ….


“สรุปแล้ววงเวทย์พวกนี้มันคือการประยุกต์ใช้กฎแห่งการทำลายล้างนี่เอง !!!” ซือเฟิงพึมพำด้วยรอยยิ้ม


เมื่อคิดได้ดังนี้ซือเฟิงก็ได้ระดมมานาทั้งหมดของเขาเพื่อควบแน่นให้เกิดเป็นเม็ดทรายออกมา ก่อนที่เขาจะอัดมันเขาไปในแกนกลางวงเวทย์โดยตรง


ตู้ม !!


ทันใดนั้นมันก็เกิดเสียงดังขึ้นที่บริเวณแกนกลางวงเวทย์ของเรือเหาะชางเล่ย และหลังจากนั้นมานาจำนวนมหาศาลก็ได้เริ่มไปรวมตัวกันรอบๆแกนกลางวงเวทย์ จนกระทั่งมันมีมากเพียงพอที่จะจุดเตาหลอมพลังของเรือเหาะชางเล่ยให้เริ่มทำงาน


ระบบ : ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จในการสร้างเรือเหาะชางเล่ย ระดับเหล็กลึกลับ ได้รับค่าความเชี่ยวชาญทางสายอาชีพ หนึ่งร้อยล้านแต้ม และได้รับค่า EXP ที่ทำให้เลเวลเพิ่มขึ้นสองเลเวล


ในขณะเดียวกันผู้เล่นคนอื่นๆที่มีส่วนร่วมในการสร้างเรือเหาะนั้นก็ได้รับเสียงแจ้งเตือนจากระบบที่คล้ายๆกับซือเฟิง เพียงแต่ว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับมันจะด้อยกว่าซือเฟิง ซึ่งเป็นผู้ควบคุมหลักในการสร้างก็เท่านั้น


อย่างไรก็ตามพูดกันตามตรง ณ ตอนนี้นั้นมันก็ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้มากเท่าไหร่นัก เพราะในตอนนี้สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปยังเรือเหาะชางเล่ยที่ถูกสร้างจนเสร็จสิ้น


เรือเหาะลำนี้มีความยาวรวมสามร้อยเมตร และสามารถจุคนได้สูงสุดสามร้อยคน ขณะที่ทั่วลำเรือนั้นก็มีปืนใหญ่เวทย์มนต์ขั้นสูงถูกติดตั้งไว้ทั้งหมดสี่สิบกระบอก ซึ่งการโจมตีของปืนใหญ่เวทย์มนต์ขั้นสูงแต่ละกระบอกนั้นก็มีพลังเทียบเท่ากับขั้นห้าเลย โดยปืนพวกนี้นั้นสามารถจะใช้ได้ทั้งในการรุก และรับ ขณะที่เกราะของเรือนั้น แม้แต่อาชีพขั้นห้าก็ยังยากที่จะทำลายมันได้ และในส่วนของความเร็วในการบินของมันนั้นก็เทียบเท่ากับ อะเม้าท์บินได้ระดับสูง ขั้นพิเศษที่อยู่ในขั้นห้า


อาณาจักรทวินทาวเวอร์ ป้อมปราการสิงโตเหล็ก :


มันมีกำแพงเหล็กที่สูงสี่สิบถึงห้าสิบเมตร และในตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามมากกว่าสามแสนคนที่มีเลเวลตั้งแต่หนึ่งร้อยห้าสิบหรือเหนือกว่าขึ้นไปล้วนมารวมตัวกันที่นี่ทั้งหมด โดยแต่ละคนนั้นก็สวมใส่อาวุธและอุปกรณ์ระดับดาร์คโกล เลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบหรือเหนือกว่าทั้งหมด ขณะเดียวกันในหมู่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้นั้นมันก็มีผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่อยู่เกือบสามสิบคน ซึ่งผู้ที่นำเหล่าผู้เชี่ยวชาญพวกนี้อยู่ก็คือชายที่มีอายุราวหกสิบปีที่เป็นอัศวินนภา ขั้นสี่ เลเวลสองร้อย โดยชายผู้นี้ก็สวมใส่เศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานครบเซ็ท ซึ่งมันทำให้เขาดูไม่ด้อยไปกว่าพวกขั้นห้าที่แท้จริงเลย


ขณะเดียวกันวงเวทย์ป้องกันของป้อมปราการก็ถูกเปิดใช้งานทั้งหมดแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งของวงเวทย์นี้นั้น แม้แต่การโจมตีขั้นห้าก็จะไม่สามารถทำลายมันลงไปได้ง่ายๆ โดยการโจมตีขั้นห้าหนึ่งครั้งจะลดแหล่งพลังงานของมันลงไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น


นอกเหนือจากนี้มันก็มีปราการเวทย์มนต์อยู่สามสิบแห่งรอบป้อมปราการ และมันก็ยังมีหน้าไม้ขนาดใหญ่อีกกว่าหกร้อยอันประจำการอยู่ในแต่ละจุดด้วย


พร้อมกันนั้นมันก็มีเรือเหาะสิบลำลอยอยู่เหนือป้อมปราการ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นเรือเหาะระดับทองแดงด้วย ขณะที่เรือเหาะลำอื่นๆนั้นก็ล้วนเป็นเรือเหาะขั้นสูงทั้งหมด โดยกองกำลังแบบนี้นั้นสามารถจะใช้จัดการกับกองทัพผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ได้สบายๆเลย


และมันก็ยังมีอะเม้าท์บินได้ขั้นสามถึงขั้นสี่อีกมากกว่าหนึ่งร้อยตัวบินวนอยู่เหนือท้องฟ้า ซึ่งฉากนี้นั้นมันอลังการมากๆ และยากจะหาได้ในสถานการณ์ปกติแน่นอน


สำหรับจำนวนผู้เล่นที่มารวมตัวกันที่ป้อมปราการสิงโตเหล็กในตอนนี้นั้นมันก็ทะลุสองล้านคนไปแล้ว ซึ่งมันก็ทำให้ป้อมปราการแออัดขึ้นมามากๆ


แต่อย่างไรก็ตามในเวลานี้นั้น ไม่มีผู้เล่นคนใดในป้อมปราการที่รู้สึกผ่อนคลาย หรือตื่นเต้นเลย


เพราะในเวลานี้มันมีกองทัพมากกว่าสามล้านคนรวมตัวกันอยู่นอกป้อมปราการสิงโตเหล็ก และเท่าที่พวกเขามองด้วยสายตาคร่าวๆนั้น แค่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่กองทัพนี้ก็มีมากกว่าห้าร้อยคนแล้ว และนี่ยังไม่นับรวมอาวุธสงคราม และอาวุธล้อมเมืองอีกมากมาย


ขณะเดียวกันในด้านของปัจจัยอื่นๆอย่างเช่นเรือเหาะ และอะเม้าท์บินได้นั้น กองทัพที่อยู่นอกป้อมปราการก็มีอย่างมากมายมหาศาลเช่นกัน โดยพวกเขามีอะเม้าท์บินได้ที่อยู่ในขั้นสาม และขั้นสี่มากกว่าห้าร้อยตัว ส่วนเรือเหาะนั้นพวกเขาก็มีเรือเหาะระดับทองแดงอยู่หกลำ และนี่ก็ยังไม่นับรวมเรือเหาะขั้นสูงและอื่นๆอีกหลายสิบลำด้วย


ความเหลื่อมล้ำ และแตกต่างระหว่างกำลังรบของทั้งสองฝ่ายนั้นมันสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งนี่มันทำให้ผู้เล่นฝ่ายตั้งรับ และผู้เล่นของทวีปหลักที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่นั้นอดไม่ได้ที่จะมีสีหน้ามืดมน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าผู้เล่นที่ประจำการรอป้องกันอยู่ในจุดอื่นๆของอาณาจักรทวินทาวเวอร์


ในเวลาเดียวกันนั้น ตอนนี้ในฟอรั่มทางการของอาณาจักรทวินทาวเวอร์ มันก็ได้มีการถ่ายทอดสดสงครามครั้งนี้ไปทั่ว


“นี่มันคือการต่อสู้กันระหว่างโลกสองโลกงั้นหรอ ?”


“อาณาจักรทวินทาวเวอร์ของเราจะป้องกันการโจมตีในครั้งนี้ได้จริงๆงั้นหรอ ?”


แม้ว่าผู้เล่นหลายคนในอาณาจักรทวินทาวเวอร์จะได้เรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการต่อมาบ้างแล้วผ่านสงครามที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ แต่ข้อมูลส่วนใหญ่ที่พวกเขาได้รับนั้นมันก็มาจากผู้เล่นแค่บางคน หรือไม่ก็เป็นรูปภาพแค่บางส่วนเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่ได้มีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้ และพวกเขาก็มักมีความรู้สึกเสมอว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา อย่างไรก็ตามพอพวกเขาได้มาเห็นฉากแบบนี้ด้วยตัวเองนั้น พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด


โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เล่นที่ตอนนี้เข้ามาคอยป้องกันป้อมปราการสิงโตเหล็ก พวกเขาได้เข้าใจอย่างชัดเจนแล้วว่าอะไรคือสงครามระหว่างโลก สองโลก


ทันใดนั้นเมื่อผู้บัญชาการกองทัพจากโลกอื่นโบกมือ อาวุธสงคราม และปืนใหญ่ทั้งหมดบนเรือเหาะก็ถูกใช้โจมตีเข้าใส่ป้อมปราการสิงโตเหล็กทันที


“เปิดใช้งานการป้องกันทั้งหมด !!! แล้วก็ทุกคนเตรียมพร้อมต่อสู้ !!!” ผู้บัญชาการของป้อมปราการสิงโตเหล็ก อัศวินนภา ขั้นสี่ เลเวลสองร้อย เซเปล กล่าวพลางยกดาบในมือขึ้น และตะโกนเสียงดัง


ในช่วงเวลาหนึ่งฝ่ายป้องกันในป้อมปราการทั้งหมดนั้นก็ได้เริ่มโจมตีโต้ตอบด้วยทุกสิ่งที่พวกเขามี


และการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายที่เกิดขึ้นนั้นมันก็ได้เปลี่ยนทั่วทั้งบริเวณให้กลายเป็นทะเลเพลิง พร้อมกันนั้นเสียงกรีดร้องต่างๆก็เริ่มดังขึ้น โดยมันก็ดังมากซะจนก้องเข้าไปในจิตใจของผู้เล่นทุกคนเลย


ฟางฉีหานมองไปยังทุกคนที่อยู่บนกำแพงป้อมปราการ และกล่าวอย่างสงบว่า “ทุกคนอย่างตื่นตระหนก !!! ทำตามแผนเดิมของเรา !!! อาชีพระยะไกลให้รีบเข้าไปเสริมตามตำแหน่งป้องกันต่างๆทั้งหมดให้แน่นหนาขึ้น ส่วนอาชีพระยะประชิดรอไปก่อน คิวของพวกคุณจะมาถึงเมื่อวงเวทย์ป้องกันของป้อมปราการพังลง โดยหน้าที่ของพวกคุณนั้นก็จะเป็นการปกป้องไม่ให้กองทัพจากโลกอื่นเข้าใกล้พวกอาชีพระยะไกล และคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการได้ ซึ่งเมื่อวงเวทย์ของป้อมซ่อมเสร็จ เราก็จะกลับมามีความได้เปรียบอีกครั้ง ทำอย่างนี้วนไป ไม่นานกองทัพจากโลกอื่นก็จะล้า และถอยไปเองแน่นอน !!!”


วงเวทย์ป้องกันของป้อมปราการนั้นไม่ใช่สิ่งที่อยู่ยงคงกระพันใดๆเลย และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีที่ทรงพลังจำนวนมากแบบนี้ มันจะใช้เวลาไม่นานนักแน่นอนก่อนที่มันจะพังลง อย่างไรก็ตามมันก็ยังสามารถจะซ่อมแซมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ซึ่งบทบาทหลักๆของเหล่าผู้เล่นในทวีปหลักที่มาตั้งรับมันก็จะอยู่ที่ตรงนี้นี่แหละ พวกเขาจะต้องต้านกองทัพจากโลกอื่นไว้ให้ได้นานที่สุด และฆ่าให้ได้มากที่สุดเพื่อยื้อเวลาไปจนกว่าวงเวทย์ป้องกันของป้อมจะซ่อมเสร็จ


เมื่อได้ยินคำสั่งของฟางฉีหาน ผู้เล่นทั้งหมดก็มีท่าทีสงบลง และกลับมามีความมั่นใจมากขึ้น


NPC เมื่อตายไปนั้นจะคืนชีพได้ยากกว่าผู้เล่นมากๆ และก็ไม่ต้องพูดถึงในสถานการณ์สงครามแบบนี้เลย ดังนั้นนี่มันจึงนับเป็นข้อได้เปรียบของเหล่าผู้เล่นที่เป็นฝ่ายตั้งรับ เพราะท้ายที่สุดแล้วต่อให้พวกเขาตาย พวกเขาก็จะสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้ โดยสูญเสียไปเพียงแค่ EXP และอาวุธกับอุปกรณ์บางชิ้นเท่านั้น


แต่อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นสี่นาที ในระหว่างที่ทุกคนยังไม่ทันได้เข้าประจำการกันจนพร้อมสรรพนั้น วงเวทย์ป้องกันของป้อมปราการสิงโตเหล็กก็ได้เริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆแล้ว


“กองทะลวงฟัน !! บุกเข้าไป !!!”


ผู้บัญชาการกองทัพจากโลกอื่นที่ตอนนี้ลอยอยู่กลางอากาศตะโกนออกคำสั่ง และทันใดนั้นกองทัพผู้เชี่ยวชาญขั้นสามจากโลกอื่นก็เริ่มเคลื่อนไหวเข้าโจมตีป้อมปราการสิงโตเหล็กทันที พร้อมกันนั้นผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่จากโลกอื่นก็ได้รีบบินตรงไปยังคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการสิงโตทันทีเช่นกัน ซึ่งนี่มันก็ทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ในป้อมปราการสิงโตเหล็กนั้นต้องรีบเคลื่อนไหว


“ใช้วงเวทย์ และกับดักทุกอย่างที่มีดักจับผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่พวกนั้น !!!” ฟางฉีหานเร่งรีบออกคำสั่ง “ส่วนพวกระยะประชิด ให้ตรึงผู้เชี่ยวชาญขั้นสามจากโลกอื่นไม่ให้เข้าใกล้ป้อมได้ ให้นานที่สุด !!!”

เมื่อได้ยินคำสั่งของฟางฉีหาน เหล่าผู้เล่นก็รีบไปจัดการตามคำสั่งทันที โดยเมื่อพวกเขาเปิดใช้งานวงเวทย์กันนั้น มันก็ทำให้พวกผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่จากโลกอื่นไม่สามารถเข้าใกล้คฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการได้ แถมด้วยผลของวงเวทย์ มันก็ยังทำให้พวกเขาแบ่งพื้นที่ในการต่อสู้ออกเป็นหลายสิบแห่งได้ ซึ่งเหล่าผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่นั้นก็ล้วนรวมพลังกับ NPC ขั้นสี่ในป้อมปราการต่อสู้ปกป้องป้อมปราการ


สำหรับพวกผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม พวกเขาได้ร่วมมือกันต้านทานกองทัพผู้เชี่ยวชาญขั้นสามจากโลกอื่นอย่างบ้าคลั่ง


ในช่วงเวลาหนึ่งเสียงการต่อสู้ และเสียงกรีดร้องนั้นก็ดังก้องไปทั่วทั้งใน และนอกป้อมปราการสิงโตเหล็ก


ซึ่งสำหรับผู้เชี่ยวชาญขั้นสามนั้น เมื่อมีความแตกต่างกันไม่มากนักในด้านของเลเวล กับอุปกรณ์ของทั้งสองฝ่าย มันจึงกลายเป็นการต่อสู้ที่สูสี และนองเลือดอย่างถึงขีดสุด โดยนี่มันก็ทำให้จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายของแต่ละฝ่ายนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


และเมื่อเวลาผ่านไปนั้น ผลลัพธ์มันก็ได้ค่อยๆแสดงออกมาให้ทุกคนเห็นอย่างชัดเจน โดยมันก็ไม่ได้มีพลิกโผอะไร ….


เพราะเมื่อเวลาผ่านไป …. ฝ่ายอาณาจักรทวินทาวเวอร์นั้นdHยิ่งเสียเปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ


ไม่ต้องพูดถึงความแตกต่างในด้านกำลังพล เรือเหาะ และอะเม้าท์บินได้เลย เพราะแค่ความแตกต่างของจำนวนผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่เพียงอย่างเดียว ฝ่ายอาณาจักรทวินทาวเวอร์ก็ไม่สามารถจะทดแทนได้แล้ว และแม้ว่าจะมีปราการเวทย์มนต์ รวมทั้งวงเวทย์เสริมพลังคอยช่วยอยู่ แต่มันก็แทบจะนับว่าไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก


และถ้าไม่ใช่เพราะ ไฟเออร์แดนซ์ ไวโอเล็ตคลาว รวมทั้งหยานเทียนซิงที่มีเลเวลหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหรือมากกว่าได้ไปร่วมมือกันช่วยตรึงระดับผู้บัญชาการที่เป็นพวกขั้นห้า เลเวลหนึ่งร้อยแปดสิบไว้ ป้อมปราการนี้ก็อาจจะแตกไปนานแล้วด้วย


สำหรับผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่คนอื่นๆ นอกเหนือจากพวกผู้เชี่ยวชาญขอบเขตอนันต์ หรือสูงกว่าขึ้นไปแล้ว มันก็ไม่มีใครเลยที่จะสามารถต่อสู้กับ NPC ผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่จากโลกอื่นแบบตัวต่อตัวได้


“จำนวนของอาชีพขั้นสี่แตกต่างกันมากเกินไป !!! ไม่น่าแปลกใจเลยที่มหาอำนาจต่างๆที่อยู่ในจักรวรรดิจะพ่ายแพ้กัน !!! หากเราปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป แม้แต่วงเวทย์ที่ทำหน้าที่ป้องกันคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการก็จะแตกแน่นอน !!!”


หลังจากที่ฟางฉีหานจัดการฆ่าจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสี่ เลเวลหนึ่งร้อยแปดสิบลงไปได้ เธอก็ได้เหลือบไปมองการต่อสู้ในด้านอื่นๆ และมันก็ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวัง เพราะท้ายที่สุดหากคำณวนตามตัวเลขกันจริงๆ ผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ฝ่ายป้องกันของพวกเขาแต่ละคนนั้นจะต้องฆ่า NPC ขั้นสี่จากโลกอื่นพวกนี้ให้ได้กันคนละห้าถึงหกคนเลยทีเดียว ….


เมื่อเวลาผ่านไปนั้นทุกอย่างมันก็ยิ่งเด่นชัด เพราะผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่แปดสิบสองคนของพวกเขาได้ถูกฆ่าไป และมากกว่ายี่สิบคนก็ถูกฆ่าไปโดยผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่จากโลกอื่น ขณะที่ด้านผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่จากโลกอื่นนั้น พวกเขาสูญเสียไปเพียงแค่หกคนเท่านั้น โดยสามจากหกคนนั้นฟางฉีหานเป็นคนฆ่าด้วย ….


“ฆ่า !! ฆ่าให้ได้มากที่สุด !!! เราจะต้องไม่ถอยอย่างรวดเร็วในการรบครั้งแรก !!!” ฟางฉีหานมองไปยังจำนวนคนฝ่ายป้องกันที่กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง และอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา “แม้ว่าพวกเราจะต้องตาย !! แต่พวกเราก็จะต้องให้พวกผู้รุกรานเหล่านี้จ่ายในราคาที่สูงลิ่ว !!!!”


ฟางฉีหานนั้นไม่ได้รู้สึกประหลาดใจใดๆเลยกับความสูญเสียของป้อมปราการสิงโตเหล็ก


มันมีช่องว่างอย่างมากมายมหาศาลระหว่างทั้งสองฝ่าย ซึ่งหากพวกเขาต้องการจะเอาชนะกองทัพจากโลกอื่นกองทัพนี้ให้ได้จริงๆนั้น พวกเขาก็ทำได้แค่จะต้องลากการต่อสู้ให้เข้าสู่ช่วงสงครามแห่งการล้างผลาญเท่านั้น และการจะทำแบบนี้ให้ได้นั้นพวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องมอบความเสียหายต่อกองทัพจากโลกอื่นให้ได้มากที่สุดในการปะทะกันครั้งแรก


ซึ่งหากพวกเขาไม่สามารถทำได้ ในครั้งต่อๆไปทุกอย่างมันก็จะยากขึ้นแน่นอน


อย่างไรก็ตามเมื่อฟางฉีหานพูดจบนั้น คนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพจากโลกอื่นที่นั่งอยู่บนเรือเหาะระดับทองแดงก็ได้ลุกขึ้น และปลดปล่อยออร่าที่น่ากลัวออกมา ซึ่งออร่านี้มันก็ได้เข้าปกคลุมไปทั่วป้อมปราการสิงโตเหล็ก และมันก็ทำให้ฝ่ายตั้งรับส่วนใหญ่ที่ได้สัมผัสมันนั้นโดนปราบปรามอย่างหนัก โดยมันเห็นได้ชัดเลยว่าผู้บัญชาการผู้นี้นั้นไม่ได้คิดจะนั่งเฉยๆอีกต่อไปแล้ว และเขาก็ต้องการจะจบการต่อสู้นี้ให้ไวที่สุด


“อัศวินจอกศักสิทธิ์ขั้นห้า เลเวลสองร้อย ?” ฟางฉีหานมองไปยังผู้บัญชาสูงสุดของกองทัพจากโลกอื่นด้วยแววตาตกตะลึง


เนื่องจากคนผู้นี้นั้นแข็งแกร่งกว่าพวกขั้นห้าคนอื่นๆที่พวกเขากำลังต่อสู้อยู่ด้วยอย่างเห็นได้ชัด และเท่าที่ดูคนผู้นี้นั้นก็น่าจะยืนอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นห้าด้วย


โดยหากตัวตนระดับนี้เริ่มเคลื่อนไหว พวกเขาก็จะถูกสังหารหมู่กันทันทีแน่นอน ….


อย่างไรก็ตามก่อนที่คนผู้นี้จะทันได้ทำอะไรนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงคำรามดังขึ้นมาจากท้องฟ้าที่อยู่ไม่ไกลออกไป


และเมื่อทุกคนหันไปมองยังต้นตอของเสียงนั้น พวกเขาก็พบกับร่างสีฟ้าขนาดยักษ์ปรากฎขึ้นใกล้เคียงกับป้อมปราการสิงโตเหล็ก


ซึ่งการปรากฎตัวของร่างนี้มันก็ได้สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนทั่วบริเวณ ….


“เรือเหาะ ?”


“มันคือเรือเหาะจริงๆงั้นหรอ ?!!”


เรือเหาะลำนี้นั้นมีขนาดใหญ่จนน่ากลัว และต่อหน้าเรือเหาะลำนี้ เรือเหาะระดับทองแดงที่ยาวหนึ่งร้อยเมตรก็ดูเหมือนกับเป็นเด็กทารกไปเลย และเมื่อมันแล่นเข้ามาใกล้มากขึ้นนั้นมันก็ทำให้มานาในพื้นที่ รวมทั้งพื้นที่โดยรอบปั่นป่วนไปเล็กน้อย


และเมื่อเรือเหาะลำนี้แล่นลงมาถึงระดับที่เหมาะสมนั้น ชายในชุดเสื้อคลุมสีดำคนหนึ่งก็กระโดดลงมาจากเรือเหาะ ซึ่งเมื่อทุกคนในป้อมปราการสิงโตเหล็กได้เห็นตัวตนของชายผู้นี้นั้น ทุกคนก็เดือดพล่านอย่างมาก


“หัวหน้ากิล ! ในที่สุดคุณก็มาถึง !!!” ฟางฉีหานกล่าวด้วยรอยยิ้มเชิงหงุดหงิดเล็กๆ


เดิมทีเธอคิดว่าซือเฟิงน่าจะมาถึงก่อนสงครามจะเริ่ม หรืออย่างน้อยเขาก็น่าจะมาถึงในตอนที่สงครามยังเริ่มไปได้ไม่นาน แต่ตอนนี้สงครามนั้นเริ่มไปนานแล้ว เขากับพึ่งมาถึง ….


“ฉันขอโทษที่ปล่อยให้พวกคุณรอนาน !!” ซือเฟิงกล่าวพลางมองไปยังฟางฉีหาน และคนอื่นๆด้วยความรู้สึกผิด และหลังจากนั้นเขาก็ได้หันไปมองกองทัพผู้รุกรานจากโลกอื่น ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แต่ตอนนี้ฉันมาแล้ว !! ดังนั้นปล่อยที่เหลือให้เป็นหน้าที่ฉันเอง !!!”


ตอนที่ 2914 พลังของกิลที่มีชื่อว่าสภาสิบแปดปีก


คำพูดของซือเฟิง แม้มันจะดูสบายๆ แต่มันก็ทำให้ไฟเออร์แดนซ์ โคล่า ไวโอเล็ต

คลาวด์ และสมาชิกสภาสิบแปดปีกคนอื่นๆอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสบายใจ และตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด


“หัวหน้ากิล สถานการณ์ในปัจจุบันนั้นฝั่งของเราเสียเปรียบมากๆ อันเนื่องมาจากกองทัพจากโลกอื่นนั้นมีความแข็งแกร่งทางอากาศมากเกินไป ….” ฟางฉีหานมองไปยังเรือเหาะของกองทัพจากโลกอื่นที่มีมากกว่าสามสิบลำ และอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างกังวลว่า “แถมการซ่อมแซมวงเวทย์ป้องกันเพื่อให้มันเปิดใช้งานใหม่ได้อีกครั้งนั้นก็จะต้องใช้เวลาราวสิบนาทีเลยทีเดียว ซึ่งฉันกลัวว่าพวกเราจะไม่สามารถต้านทานไว้ได้นานขนาดนั้น ….”


ในตอนนี้แม้ว่าซือเฟิงจะช่วยพวกเขาต้าน NPC ขั้นห้าทั้งหมดไว้ได้ แต่พวกเขาก็ยังจะต้องเผชิญหน้ากับ NPC ขั้นสี่หลายร้อยคน และอะเม้าท์บินได้อีกหลายร้อยตัวอยู่ดี


ขณะเดียวกันในด้านของพวกเขานั้นก็มีผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่อยู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยคน และแม้ว่าพวกเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากวงเวทย์อีกส่วนหนึ่งของป้อมปราการที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้ แต่พวกเขาก็ยังแทบจะทำอะไรไม่ได้มากนักอยู่ดี เพราะท้ายที่สุดแล้วนั้นจำนวนของทั้งสองฝ่ายมันแตกต่างกันมากเกินไป


และนี่ก็ยังไม่นับรวมเรื่องทหาร NPC ขั้นสี่ในป้อมปราการอีก โดยในตอนนี้ทหาร NPC ขั้นสี่พวกนี้ตายไปมากกว่ายี่สิบคนแล้ว ขณะที่ผู้บัญชาการป้อมปราการนี้ที่เป็นอัศวินนภา ขั้นสี่นั้นก็เหลือ HP อยู่น้อยกว่าครึ่งแล้วเช่นกัน


“มั่นใจได้ …” ซือเฟิงมองไปที่ฟางฉีหาน พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าปัญหาอยู่ที่กำลังทางอากาศ ตอนนี้เรากำลังทางอากาศของเราก็ไม่ได้เลวร้ายนักนะ ….”


“ไม่ได้เลวร้าย ?”


เมื่อได้ยินคำพูดของซือเฟิง ฟางฉีหานก็ได้มองไปยังเรือเหาะชางเล่ย หากแต่ว่าเธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลใจอยู่ดี


แน่นอนว่าเธอรู้ถึงพลังของเรือเหาะระดับเหล็กลึกลับดี และเธอก็รู้ดีว่ามันสามารถที่จะใช้ต่อกรกับพวกขั้นห้าได้ แต่อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้นั้น พวกขั้นห้าของกองทัพจากโลกอื่นนั้นก็ไม่ได้จัดอยู่ในระดับทั่วไปเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพจากโลกอื่น แถมนี่ยังไม่นับรวมมอนสเตอร์ที่พวก NPC ขั้นสี่หลายสิบคนพึ่งจะอัญเชิญออกมาด้วย


โดยมอนสเตอร์ที่พวก NPC ขั้นสี่หลายสิบคนพึ่งจะอัญเชิญออกมานั้นก็ คือ มังกรกระดูกขนาดมหึมาที่มีลำตัวยาวหลายร้อยเมตร ขณะที่รัศมีปีกของมันนั้นก็มีความยาวหลายพันเมตรเลยทีเดียว และพวกเขาก็ไม่ได้อัญเชิญมันออกมาแค่ตัวเดียวด้วย พวกเขายังอัญเชิญมังกรกระดูกขั้นสูงอีกหลายสิบตัวออกมาอีก !!! ซึ่งมังกรกระดูกขั้นสูงนี้ก็อ่อนแอกว่ามังกรกระดูกโบราณอยู่ไม่มากนัก


ซึ่งเมื่อมังกรกระดูกปรากฎตัวขึ้นนั้นมันก็แผ่ออร่าที่รุนแรงมากๆออกมาจนทำให้ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามส่วนใหญ่ตัวสั่นด้วยความกลัว และมีบางส่วนที่ถึงขั้นทรุดลงไปกับพื้นเลย


(มังกรกระดูกโบราณ) (สิ่งมีชีวิตอันเดธ ระดับโดเมนศักสิทธิ์) เลเวล 180 HP 2 แสนล้าน


เมื่อเห็นข้อมูลของมังกรกระดูกโบราณ ผู้เล่นฝ่ายป้องกัน และผู้เล่นที่เฝ้าดูอยู่จากทุกช่องทางก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวและตกตะลึง


มังกรกระดูกโบราณตัวนี้อยู่ในระดับโดเมนศักศิทธิ์ขั้นห้าอย่างแน่นอน ซึ่งทุกคนที่เฝ้าดูสงครามครั้งนี้อยู่ล้วนได้เห็นอย่างชัดเจน


ดังนั้น ณ ตอนนี้ นอกเหนือจากความสิ้นหวังแล้ว แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอด ขั้นสี่หลายคนก็ยังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น


ไม่ต้องพูดถึงเรื่องขนาดตัวที่ใหญ่ของมันที่จะทำให้มันมีระยะการโจมตีที่มากเพียงพอที่จะทำให้อาชีพขั้นสี่สิ้นหวังเลย ….


เพราะเอาแค่สกิลฟื้นฟูในระหว่างการต่อสู้เพียงอย่างเดียวของมังกรกระดูกโบราณตัวเดียวนั้น มันก็จะสามารถฟื้นฟู HP ของตัวเองได้สองเปอเซ็นต์ทุกๆห้าวินาทีแล้ว ซึ่งนี่มันก็จะเท่ากับว่ามังกรกระดูกโบราณนั้นสามารถจะฟื้นฟู HP ของตัวเองได้สี่พัน

ล้านทุกๆห้าวินาทีเลย และเมื่อบวกกับพลังป้องกันขั้นห้าของมันนั้น ต่อให้ผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่หลายร้อยคนเข้ารุมมัน มันก็ยังจะแทบไม่มีโอกาสเอาชนะมันได้เลย


“จบสิ้นแล้ว …”


“พวกเราทั้งหมดตายแน่ ….”


ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามหลายคนในป้อมปราการสิงโตเหล็กพึมพำอย่างสิ้นหวัง ในขณะที่พวกเขาจ้องมองไปยังมังกรกระดูกโบราณ


ซือเฟิงซึ่งเป็นนักบุญแห่งดาบขั้นห้าที่พึ่งมาถึงนั้นนับเป็นความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขา แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้ ตัวซือเฟิงเพียงคนเดียวนั้นก็ไม่สามารถจะเผชิญหน้ากับ NPC ขั้นห้าหลายคน และมังกรกระดูกโบราณพร้อมกันได้แน่นอน และนี่ก็ยังไม่นับรวมผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพจากโลกอื่นที่ดูจะแข็งแกร่งเหนือกว่าเหล่า NPC ขั้นห้าในกองทัพของตัวเองอีก ….


สำหรับฟางฉีหาน และพวกผู้บริหารระดับสูงของสภาสิบแปดปีกทุกคนนั้นก็ล้วนมีสีหน้าบิดเบี้ยวเช่นกัน เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นล่าสุด


พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่า NPC จากโลกอื่นจะสามารถอัญเชิญมอนสเตอร์ระดับโดเมนศักสิทธิ์ขั้นห้าที่แท้จริง ซึ่งนับว่าเหนือกว่าเหล่าบอสโลกที่พวกเขาเคยเผชิญ ออกมาได้ด้วย


โดยการอัญเชิญมอนสเตอร์ระดับโดเมนศักสิทธิ์ขั้นห้าที่แท้จริงออกมานี้มันจะมีข้อแตกต่างอยู่เล็กน้อยจากการอัญเชิญโดยใช้วงเวทย์ เนื่องจากหากต้องการจะให้มอนสเตอร์ที่ถูกอัญเชิญมาหายไปนั้น พวกเขาจะต้องฆ่ามอนสเตอร์ หรือไม่ก็ผู้อัญเชิญที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดให้ได้ การทำลายแค่วงเวทย์อัญเชิญนั้นจะไม่เพียงพออีกต่อไป ….


และเมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังตกอยู่ในความสิ้นหวังนั้น ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพจากโลกอื่น ลอส เฟอไรท์ ก็ชี้ไปที่ป้อมปราการสิงโตเหล็กและกล่าวว่า “ไปจัดการพวกชาวพื้นเมืองทุกคน !!!”


เมื่อลอส เฟอไรท์ออกคำสั่ง มังกรกระดูกขั้นสูงมากกว่าสามสิบตัว เรือเหาะทั้งหมด และมังกรกระดูกโบราณก็เริ่มโจมตีเข้าใส่ป้อมปราการสิงโตเหล็กทันที


โดยเมื่อทั้งหมดนี้โจมตีประสานกันนั้น มันก็ทำให้เกิดแสงแห่งการทำลายล้างเข้าปกคลุมไปทั่วป้อมปราการสิงโตเหล็กเลย

ตู้ม !!


การโจมตีที่น่ากลัวนี้นั้นส่งผลให้เกิดคลื่นกระแทก และผืนดินสั่นสะเทือนทั่วบริเวณระยะสองถึงสามพันหลาเลย


ขณะเดียวกัน NPC จากโลกอื่นทุกคนนั้นก็ล้วนมองไปยังฉากตรงหน้าด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความปลื้มปิติ และความสุขจากชัยชนะ


เพราะหากปราศจากวงเวย์ป้องกันของป้อมปราการนั้น ผู้คนทั้งหมดที่โดนการโจมตีเข้าไปเต็มๆก็จะไม่มีทางรอดไปได้แน่นอน


และมันก็นับเป็นเรื่องโชคร้ายสำหรับป้อมปราการสิงโตเหล็กที่วงเวทย์ป้องกันของพวกเขานั้นมันไม่สามารถจะซ่อมให้เสร็จได้ในระยะเวลาสั้นๆ


อย่างไรก็ตามเมื่อการโจมตีทั้งหมดนี้สิ้นสุดลง และควันเริ่มจางลงไป ทุกฝ่ายนั้นก็ล้วนเต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างถึงที่สุด


“นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน ?!”


ณ ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นฝ่ายป้องกัน หรือกองทัพจากโลกอื่นก็ล้วนมองไปยังสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อ


โดยในเวลานี้นั้นมันมีวงเวทย์บาเรียป้องกันที่พวกเขาไม่รู้จักเข้าปกคลุมไปทั่วป้อมปราการสิงโตเหล็กอยู่ ซึ่งวงเวทย์บาเรียป้องกันนี้ก็ช่วยป้องกันป้อมปราการสิงโตเหล็กจากการโจมตีทั้งหมดเมื่อครู่ไว้ได้แบบไร้รอยขีดข่วนเลย


และหลังจากตั้งสติได้พวกเขาก็ได้พยายามมองหาที่มาของวงเวทย์บาเรียป้องกันนี้ ซึ่งเมื่อพวกเขาค้นพบที่มานั้น พวกเขาก็ยิ่งตกตะลึงขึ้นไปอีก เพราะมันมาจากเรือเหาะชางเล่ย ….


“วงเวทย์บาเรียป้องกันเมื่อกี้มันมาจากเรือเหาะลำนี้งั้นหรอ ?!!”


“อึก !! นี่มันคือเรือเหาะจริงๆงั้นหรอ ?!! นั่นคือการโจมตีประสานกันของมอนสเตอร์ระดับโดเมนศักสิทธิ์ ขั้นห้า เรือเหาะ และมอนสเตอร์ตัวอื่นๆอีกนับสิบเลยนะ !!!”


สำหรับตัวฟางฉีหานในตอนนี้นั้น เธอเองก็อ้าปากค้างให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเช่นกัน และเธอก็ต้องยอมรับเลยว่าเธอไม่คิดเลยจริงๆว่าเรือเหาะระดับเหล็กลึกลับนั้นจะมีพลังมากขนาดนี้


อย่างไรก็ตามสำหรับซือเฟิงนั้นเขาไม่ได้แปลกใจใดๆกับเรื่องนี้มากนัก ….


แม้ว่าเรือเหาะชางเล่ยจะเป็นเพียงเรือเหาะระดับเหล็กลึกลับ แต่สกิลของมันนั้นก็จัดว่าอยู่ในระดับสุดยอดเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสกิลที่สร้างวงเวทย์ป้องกันขึ้นมา และเท่าที่ซือเฟิงคิดนั้น หากเขาปรับปรุงและใช้วัสดุดีกว่านี้ในการสร้างมัน มันก็อาจจะกลายเป็นเรือเหาะระดับลึกลับขั้นเงินได้เลยด้วยซ้ำ


“พวกคุณโจมตีกันเสร็จแล้วใช่ไหม ? งั้นก็ถึงตาฉันบ้างนะ !!!” ซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ พลางโบกมือส่งสัญญาณให้สมาชิกสภาสิบแปดปีกบนเรือเหาะชางเล่ย เริ่มใช้อาวุธทุกอย่างโจมตีเข้าใส่กองทัพจากโลกอื่นทันที


ทันใดนั้นปืนใหญ่เวทย์เอลฟ์ขั้นสูง และปืนใหญ่เวทย์มนต์มากกว่าสี่สิบกระบอกก็เริ่มยิงออกไปพร้อมกัน โดยเป้าหมายก็คือ อะเม้าท์บินได้ เรือเหาะของศัตรูที่อยู่ในระยะ และมอสเตอร์อัญเชิญทั้งหมดของศัตรู


ตู้ม … ตู้ม … ตู้ม …


ณ ตอนนี้มันดูเหมือนกับว่าสวรรค์กำลังลงโทษบางอย่างเลย เพราะมันมีลำแสง และสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นมา ….


อย่างไรก็ตามฝั่งของกองทัพจากโลกอื่นนั้นก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยพวกเขาก็ได้เลือกจะเปิดใช้งานวงเวทย์ และเวทย์ป้องกันเพื่อต้านทานการโจมตีที่เข้ามา


แต่กระนั้น เมื่อการโจมตีทั้งหมดนี้เข้าปะทะกับเป้าหมายจริงๆ มันก็มีเพียงการป้องกันของมังกรกระดูกโบราณขั้นห้าเท่านั้นที่พอจะป้องกันไว้ได้บ้าง ขณะที่การป้องกันของคนอื่นๆ และเรือเหาะนั้นแตกออกไปอย่างรวดเร็ว และเรือเหาะที่โดนเข้าไปเต็มๆสามจากสี่ลำนั้นก็ตกอยู่ในสภาพเสียหายอย่างหนักทันที


ซึ่งแม้ว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่จะเคยเห็นการต่อสู้ทางอากาศกันมาบ้างแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เคยเห็นอะไรที่มันจะทรงพลังเท่ากับเรือเหาะชางเล่ยเลย


“นี่ … นี่มัน … จะแข็งแกร่งเกินไปไหม ?!!”


“นี่คือภูมิหลังของสภาสิบแปดปีกงั้นหรอ ?”


ตอนนี้เมื่อได้เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเรือเหาะชางเล่ยนั้น พวกเขาล้วนพูดไม่ออกกันจริงๆ ตอนแรกมันเป็นที่ชัดเจนว่าความแข็งแกร่งทางอากาศของพวกเขานั้นด้อยกว่าในทุกๆด้านเลย แต่ตอนนี้ด้วยเรือเหาะชางเล่ยแค่ลำเดียว …. ทุกอย่างได้พลิกกลับตาลปัตรทั้งหมด …. !!!


ขณะนั้นเอง โคล่าที่เฝ้ามองอยู่จากระยะไกลก็อดไม่ได้ที่จะหันไปถามว่า “หัวหน้ากิล ฉันขอซื้อมันสักลำได้ไหม ?”


มันชัดเจนเลยว่าหากเขามีเรือเหาะแบบนี้นั้น เขาจะสามารถเดินทางไปได้ทั่วทุกที่ที่เขาต้องการใน God domain และแม้แต่อะเม้าท์บินได้ที่แข็งแกร่งส่วนใหญ่ก็ยังไม่สามารถจะหยุดเขาได้แน่นอน


อีกทั้งการได้ขับยักษ์เหล็กที่ทรงพลังแบบนี้มันก็นับเป็นความฝันของลูกผู้ชายเลยทีเดียว !!!


“อนาคต ทุกคนจะมีโอกาสซื้อมันแน่นอน …” ซือเฟิงมองไปที่โคล่าด้วยความรู้สึกตื่นเต้น “แต่เรือเหาะลำนี้ต้องใช้คนอย่างน้อยสิบคนในการจัดมัน การจะขับคนเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้”


เมื่อซือเฟิงกล่าวจบ เหล่าสมาชิกสภาสิบแปดปีกที่ได้ฟังก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น


เนื่องจากความหมายในคำพูดของซือเฟิงนั้นมันชัดเจนมากๆว่าเขาตั้งใจจะขายมันในกิลในอนาคต ซึ่งนี่มันก็จะทำให้ทุกคนมีโอกาสซื้อมันได้


แต่อย่างไรก็ตามในขณะที่ซือเฟิงกำลังพูดคุยกับเหล่าสมาชิกสภาสิบแปดปีกอยู่นั้น ลอส เฟอไรท์ ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพจากโลกอื่นก็มองไปยังซือเฟิงด้วยรอยยิ้มบางๆ โดยที่เขาไม่ได้มีท่าทีเพิกเฉยกับซือเฟิงเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว


“คุณเป็นชายหนุ่มผู้ได้รับพรจากสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมมากๆ ….” ลอส เฟอไรท์กล่าวอย่างชื่นชม “ฉันขอทราบได้ไหมว่าคุณชื่ออะไร ?”


“แบล๊คเฟรม” ซือเฟิงกล่าว


แม้ว่าแบล๊คเฟรมจะไม่ใช่ชื่อไอดีที่แท้จริงของเขา แต่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นศัตรู หรือมิตรนั้นก็ล้วนรู้จักชื่อนี้ของเขามากกว่า ….


“แบล๊คเฟรม ?” ลอส เฟอไรท์ผู้ซึ่งมีอายุมากกว่าห้าสิบปีพยักหน้าอย่างจริงจัง เมื่อซือเฟิงบอกชื่อของตัวเองออกมา “ฉันสังกัดกองทัพผู้ลงทัณฑ์แห่ง God domain ฉันมีชื่อว่าลอส เฟอไรท์ เป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 19 และฉันก็เป็นหนึ่งในเจ็ดอัศวินจอกศักสิทธิ์ด้วย ตั้งแต่วินาทีนี้ฉันขอยอมรับคุณในฐานะศัตรูของฉัน !!!”


หลังจากพูดจบ ออร่าของลอส เฟอไรท์ก็พุ่งสูงขึ้นราวกับสัตว์ร้ายที่พึ่งจะลืมตาตื่นขึ้น และทันใดนั้นลอส เฟอไรท์ก็ได้เปิดใช้งานการสร้างโลกของตัวเอง และให้มันเข้าปกคลุมป้อมปราการสิงโตเหล็กทันที ซึ่งนี่มันก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ในป้อมปราการสิงโตเหล็กนั้นรู้สึกว่าร่างกายของพวกเขาหนักขึ้นมากๆ นอกเหนือจากนี้มันยังรู้สึกเหมือนกับร่างกายกำลังจะไหม้ด้วย ขณะเดียวกันสำหรับผู้เชี่ยวชาญขั้นสามนั้นมันยิ่งกว่า …. เพราะมันราวกับว่าพวกเขากำลังอยู่ในนรกที่กำลังแผดเผาพวกเขาเลย


ซึ่งทั้งหมดนี้มันก็ทำให้ทุกคนในป้อมปราการสิงโตเหล็กนั้นสามารถบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่าลอส เฟอไรท์นั้นเหนือกว่าพวก NPC ขั้นห้าที่พวกเขาเคยต่อสู้ด้วยก่อนหน้านี้อย่างเทียบไม่ติดเลย


“หนึ่งในเจ็ดอัศวินจอกศักศิทธิ์ ?” ซือเฟิงมองไปที่รูปลักษณ์ของลอส เฟอไรท์


แม้ว่าเขาจะไม่เคยได้ยินชื่อของอัศวินจอกศักสิทธิ์มาก่อน แต่เขาก็รู้จักอะไรคล้ายๆแบบนี้ ซึ่งนั่นก็คือนักบุญทั้งสิบแห่งทวีปหลักของ God domain ผู้ซึ่งมีความแข็งแกร่งอยู่ในสิบอันดับแรกของวิหารเทพสงคราม และตามข่าวลือที่ซือเฟิงได้ยินมานั้นดูเหมือนว่าแต่ละคนจะอยู่ในสถานะร่างครึ่งเทพทั้งหมด โดยที่พลังในการต่อสู้ของพวกเขานั้นก็นับว่ายืนอยู่ในจุดสูงสุดในทวีปหลักของ God domain ในยุคปัจจุบัน


ซึ่งลอส เฟอไรท์ตรงหน้าของซือเฟิงนี้ก็คงจะไม่ต่างอะไรจากตัวตนระดับนี้มากนัก เพราะท้ายที่สุดแล้วซือเฟิงสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนจากการสร้างโลกที่ลอส เฟอไรท์ใช้ออกมาว่าเขาอยู่ในสถานะร่างครึ่งเทพแน่นอน และเมื่อตัวตนระดับนี้มีอาวุธระดับตำนานใช้ด้วยนั้น มันก็จะยิ่งเพิ่มความอันตรายเข้าไปอีกมากเลยทีเดียว ….

แต่อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้ การสร้างโลกของซือเฟิงนั้นมันแข็งแกร่งกว่าลอส เฟอไรท์อยู่เล็กน้อย !!!


และเมื่อซือเฟิงเปิดใช้งานการสร้างโลกของตัวเองนั้น ไม่เพียงแต่มันจะลบผลการสร้างโลกของลอส เฟอไรท์ออกไป แต่มันยังส่งผลกระทบต่อลอส เฟอไรท์เล็กน้อยด้วย


“ยอดเยี่ยม !!! มาเริ่มกันดีกว่า …. แสดงให้ฉันเห็นถึงพลังของผู้ที่ได้รับพรจากสวรรค์หน่อย !!!” ลอส เฟอไรท์นั้นยังคงไม่มีท่าทีหวั่นเกรงใดๆ แม้ว่าการสร้างโลกของเขาจะหายไป ตรงกันข้ามเขากับยิ้ม และชักดาบของตัวเองออกมา พลางเริ่มโจมตีทันทีด้วย ….


โดยความเร็วของลอส เฟอไรท์นั้นมันก็เร็วมากๆจนแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่บางคนก็ยังไม่สามารถจะมองตามได้ทัน


สกิลขั้นห้า เงา !!


หลังจากใช้สกิลนี้แล้วลอส เฟอไรท์ก็ได้เริ่มตวัดดาบในมือของตัวเอง


สกิลขั้นห้า Holy Light big cross-slash!


สกิลขั้นห้า Dragon Funxing!


โดยเมื่อลอส เฟอไรท์ใช้ทั้งสองสกิลนี้ออกมานั้น การโจมตีทั้งหมดของเขาก็กลายเป็นเหมือนมังกรไวเวิร์นทองขนาดใหญ่จำนวนมหาศาลพุ่งเข้าใส่ซือเฟิงจากทุกทิศทาง !!


“เทคนิคการหลอมรวมสกิลขั้นห้างั้นหรอ ?!!” ไฟเออร์แดนซ์ และคนอื่นๆที่เฝ้าดูอยู่อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น


เทคนิคการหลอมรวมสกิลนั้นมันใช้ได้ยากมากๆ เพราะคนๆหนึ่งที่ต้องการจะใช้มันนั้นจะต้องมีความเข้าใจในสกิลที่ตัวเองต้องการใช้หลอมรวมในระดับที่สูงมาก และแม้แต่ไฟเออร์แดนซ์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมนนั้นก็ยังใช้เทคนิคนี้หลอมรวมสกิลได้แค่สองอย่างเท่านั้น ….


แต่ลอส เฟอไรท์กับหลอมรวมสกิลได้ถึงสามสกิล แถมมันยังเป็นสกิลขั้นห้าทั้งหมดด้วย พลังของเขานั้นมันอยู่ในระดับที่น่าเหลือเชื่อมากๆ !!!


และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีแบบนี้ ที่ใช้อาวุธระดับตำนานนั้น แม้แต่มังกรโตเต็มวัยขั้นห้าก็ยังจะมีสิทได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่นอน !!!


“น่าทึ่งจริงๆ !!!”


ซือเฟิงมองไปที่มังกรไวเวิร์นทองทั้งหมดที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเขา และอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างชื่นชม ….


การเคลื่อนไหวแบบนี้ของลอส เฟอไรท์นั้นมันค่อนข้างจะคล้ายกับการเคลื่อนไหวหนึ่งที่ชายหนุ่มลึกลับที่เป็นนักวิชาการใช้โจมตีเขาเลย


และก็แน่นอนว่ามันยากที่จะรับมือมากๆในสายตาของฝูงชน แต่สำหรับซือเฟิงในตอนนี้นั้นมันไม่ใช่ !!!


หลังจากที่ค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขามาถึงที่ขั้นสูงสุดของขั้นห้า ปฎิกิริยาตอบสนอง ความเร็วในการคิด และประมวลผล รวมไปถึงอื่นๆอีกมากมายนั้นมันก็เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกราวสามถึงสี่เท่าเลย ซึ่งนี่มันก็ทำให้ซือเฟิงนั้นทรงพลังขึ้นมากๆ


อย่างไรก็ตามซือเฟิงนั้นก็ไม่กล้าจะประมาทการโจมตีที่กำลังเข้ามา โดยตัวเขานั้นก็ได้จัดการชักดาบแสงแห่งสองโลกของตัวเองออกจากฝักทันที


วัฎสงสารแห่งดาบ !!!


การรับมือกับการโจมตีที่ใช้เทคนิคหลอมรวมสกิลขั้นห้าตรงๆนั้น …. ซือเฟิงรู้ดีว่ามันเป็นการรนหาที่ตายมากๆ ดังนั้นเขาจึงได้เลือกจะใช้เทคนิคป้องกันของเขาในการรับมือกับมัน


อีกทั้งดาบแสงแห่งสองโลกของซือเฟิงนั้นก็ยังเป็นหนึ่งในสิบอาวุธระดับตำนานที่แข็งแกร่งที่สุดใน God domain ด้วย ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่อาวุธระดับตำนานทั่วไปจะสามารถเทียบได้เลย


โดยเมื่อซือเฟิงเริ่มการใช้เทคนิควัฎสงสารแห่งดาบนั้น รอบๆบริเวณที่ซือเฟิงยืนอยู่ก็กลายเป็นเหมือนดอกบัวทองคำด้วยการกวัดแกว่งดาบของซือเฟิง และท้ายที่สุดแล้วนั้นมันก็สามารถที่จะป้องกันการโจมตีที่เข้ามาของลอส เฟอไรท์ไว้ได้ทั้งหมด


เมื่อลอส เฟอไรท์เห็นดังนี้นั้น เขาก็ได้รีบเคลื่อนไหว และทำการโจมตีซือเฟิงต่อทันที โดยเขาก็ได้เลือกใช้สกิลที่รุนแรงขึ้นสามสกิล และใช้เทคนิคหลอมรวมสกิลโจมตีเข้าใส่ซือเฟิงเช่นเดิม


ซึ่งเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่รุนแรงแบบนี้นั้น ไม่ต้องพูดถึงผู้เล่นที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าเลย ต่อให้เป็นผู้เล่นที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นหกก็ยังจะรับมือกับมันได้อย่างยากลำบากมากๆ


แต่ในขณะที่การโจมตีชุดนี้ของลอส เฟอไรท์กำลังจะเข้าถึงตัวซือเฟิงนั้น ซือเฟิงก็ได้เริ่มเคลื่อนไหวด้วยการเปิดใช้งานสกิล Divine Step เพื่อแยกร่างออกมา และจัดการสลับร่างกับแต่ละร่างไปเรื่อยๆ พลางใช้ดาบแสงแห่งสองโลกนั้นป้องกันการโจมตีที่เข้ามา


ฉากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นระหว่างซือเฟิง กับลอส เฟอไรท์นั้นมันดูน่ากลัว และรวดเร็วมากๆจนเหล่าผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ทั้งหมดนั้นอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น และอ้าปากค้างไปพร้อมกัน นอกเหนือจากนี้ทุกคนก็สามารถจะรับรู้ได้อย่างชัดเจนด้วยว่า หากพวกเขาเข้าไปยุ่งนั้น พวกเขาจะได้กลายเป็นเถ้าถ่านทันทีแน่นอน


“ดาบในมือของคุณช่างทรงพลังมากจริงๆ ไม่เพียงแต่มันจะทำลายการโจมตีของฉันได้ทั้งหมด แต่มันยังทำให้ฉันได้รับความเสียหายบางส่วนด้วย …” ลอส เฟอไรท์ที่ผละออกมาจากซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างประหลาดใจ


ดาบในมือของเขานั้นก็จัดเป็นอาวุธระดับตำนานชั้นยอดเช่นกัน แต่มันกับเทียบกับดาบในมือของซือเฟิงไม่ได้เลย แถมดาบของซือเฟิงยังสามารถโจมตีทะลวงผ่านดาบของเขามาสร้างความเสียหายให้กับเขาได้โดยตรงด้วย นี่มันนับว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากๆ


ขณะเดียวกันสำหรับผู้เล่นทุกคนในป้อมปราการตอนนี้นั้น พวกเขาไม่คิดว่านี่เป็นการต่อสู้ของมนุษย์อีกต่อไปแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็มองซือเฟิงเป็นดั่งทวยเทพเลยทีเดียว ซึ่งถ้าซือเฟิงไม่ปรากฎตัวขึ้นมาช่วยรับมือกับลอส เฟอไรท์นั้น พวกเขาก็คิดว่าอาณาจักรทวินทาวเวอร์ก็คงจะต้องถึงคราวจบสิ้นแล้วแน่นอน

“ฉันจะให้รางวัลสำหรับความสามารถของคุณหน่อยก็แล้วกัน ….”


ซือเฟิงมองไปที่ลอส เฟอไรท์ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนที่เขาจะเปิดใช้งานสกิลวิญญาณทอง และผลักดันค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของตัวเองให้ขึ้นไปอยู่ที่ขั้นหกทันที


และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยนั้นซือเฟิงก็ได้ยกดาบแสงแห่งสองโลกที่ตอนนี้เริ่มสว่างไสวในมือของเขาขึ้น


การทำลายล้างศักสิทธิ์ !!!


เมื่อค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของซือเฟิงถูกผลักดันให้ขึ้นมาอยู่ที่ขั้นหกนั้น ซือ

เฟิงก็ยิ่งสามารถใช้การทำลายล้างศักสิทธิ์ได้สมบูรณ์ได้มากขึ้น เพราะเมื่อมีค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจขั้นหกนั้นมันก็ทำให้ซือเฟิงเข้าใจกฎแห่งการทำลายล้างมากขึ้น


หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้ตวัดดาบที่เต็มไปด้วยแสงสว่างไสวเข้าใส่ลอส เฟอไรท์ทันที โดยการโจมตีนี้ของซือเฟิงนั้นมันก็มีพลังอยู่ในขั้นกลางของขั้นหก ซึ่งมันก็ไม่ใช่อะไรที่ีพวกขั้นห้าจะสามารถรับมือได้เลย


“กฎแห่งการทำลายล้าง ?!!”


ลอส เฟอไรท์ที่ได้เห็นฉากตรงหน้านั้นรู้สึกตกใจอย่างถึงที่สุด ตัวเขาเองนั้นก็พอจะเข้าใจในเรื่องการใช้กฎของโลกอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตามเท่าที่เขารู้นั้น พวกครึ่งเทพขั้นห้าไม่น่าจะสามารถใช้กฎของโลกได้ดีขนาดนี้นี่นา ….


อย่างไรก็ตามเมื่อต้องเจอกับอะไรแบบนี้นั้น ลอส เฟอไรท์ก็ไม่กล้าที่จะประมาทเลย เขาได้รีบเปิดใช้งานสกิลจากอาวุธของเขาทันที


เปลวไฟแห่งสงคราม !!!


ตู้ม !!!


เมื่อดาบทั้งสองเล่มปะทะกันนั้นท้องฟ้าบริเวณที่พวกเขาปะทะกันก็แปรเปลี่ยนเป็นว่างเปล่าไปในทันที ก่อนที่หลังจากนั้นไม่นานมันจะปรากฎทะเลเพลิงขึ้นไปทั่ว ซึ่งฉากที่เกิดขึ้นนี้มันก็ทำให้ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามส่วนใหญ่ที่เฝ้าดูอยู่นั้นถึงกับเข่าอ่อนด้วยความหวาดกลัวเลย


ขณะที่สำหรับพวกผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่นั้น พวกเขาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงมากๆ และมันก็มีบางส่วนที่กลัวจนเลือกจะไปซ่อนตัว และเฝ้าดูอยู่ไกลๆเพื่อความปลอดภัยของตัวเองด้วย


โดยหลังจากการปะทะกันในรอบนี้ผ่านไปอีกหลายวินาทีนั้น ผลลัพธ์มันก็ออกมาชัดเจนคือลอส เฟอไรท์นั้นแทบจะไม่สามารถรับการโจมตีเข้ามาซือเฟิงได้ และหลังจากการปะทะกันในรอบนี้จบลงนั้น ซือเฟิงก็ได้เลือกจะรีบโจมตีต่อทันที ….


และท้ายที่สุดแล้วเมื่อผลของสกิลวิญญาณทองหมดลงนั้น ซือเฟิงก็สามารถทำให้ลอส เฟอไรท์อยู่ในสภาพที่น่าสังเวช และบาดเจ็บสาหัสได้ โดย HP ของลอส เฟอไรท์นั้นก็ลดลงไปมากกว่าห้าสิบเปอเซ็นต์เลย


ซึ่งเมื่อทุกอย่างดำเนินมาถึงจุดนี้นั้น ผลลัพธ์มันก็ออกมาชัดเจนแล้ว เพราะแม้ว่าจะปราศจากสกิลวิญญาณทอง แต่ซือเฟิงก็ยังจะสามารถใช้การทำลายล้างศักสิทธิ์ได้อีกสองถึงสามครั้งอยู่ดี และด้วยสภาพของลอส เฟอไรท์ในตอนนี้นั้น เขาไม่มีทางที่จะรับมือกับมันได้แน่นอน


ในด้านของตัวลอส เฟอไรท์นั้น ตัวเขาเองก็รู้เรื่องนี้ดี และนอกเหนือจากนี้แล้วนั้น ด้วยพลังของเรือเหาะชางเล่ย ซึ่งเป็นเรือเหาะระดับเหล็กลึกลับนั้น มันก็ได้พลิกสถานการณ์สงครามทางอากาศระหว่างทั้งสองฝ่ายไปอย่างสิ้นเชิง ….


โดยตอนนี้นั้นฝั่งของกองทัพจากโลกอื่นนั้นแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นเสียเปรียบแทน และภายใต้การโจมตีของเรือเหาะชางเล่ย กับการป้องกันจากส่วนต่างๆนั้น มันก็ทำให้กองกำลังของพวกเขาไม่สามารถจะเข้าใกล้ป้อมปราการสิงโตเหล็ก และเรือเหาะชางเล่ยได้เลย


ขณะเดียวกัน ณ ตอนนี้นั้น เรือเหาะระดับทองแดงที่มีหกลำของกองทัพจากโลกอื่นก็สูญเสียไปถึงสี่ลำแล้ว และในส่วนของเรือเหาะระดับต่ำกว่านั้นลงไปพวกเขาก็สูญเสียไปเกือบยี่สิบลำแล้วด้วย นอกเหนือจากนี้นี่ยังไม่นับรวมพวกอะเม้าท์บินได้อีก ซึ่งพวกมันตอนนี้แทบจะเป็นเหมือนเป้านิ่งในการโจมตีของฝ่ายป้องกันเลย


พร้อมกันนั้นวงเวทย์ป้องกันของป้อมปราการก็กำลังเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆจนมันใกล้จะกลับมาสมบูรณ์แล้ว


NPC ขั้นห้าที่ผละออกมาจากไฟเออร์แดนซ์ได้ ได้รีบหันมาเตือนลอส เฟอไรท์ว่า “ท่านลอส ตอนนี้มันไม่เหลือทางสำหรับเราแล้ว และเมื่อวงเวทย์ป้องกันของป้อมปราการก่อตัวขึ้นจนกลับมาสมบูรณ์เมื่อไหร่ เราก็จะตกเป็นเป้านิ่งของพวกชาวพื้นเมืองอย่างสิ้นเชิงเลยนะ !!!”


ลอส เฟอไรท์ที่ได้ยินคำเตือนนั้นก็พยักหน้า ก่อนที่เขาจะกัดฟัน และกล่าวว่า “ทุกคนถอย !!!”


เมื่อได้รับคำสั่งจากลอส เฟอไรท์นั้น กองทัพของเขาก็เริ่มทำการถอยกันอย่างเป็นระเบียบทันที โดยที่ลอส เฟอไรท์ และ NPC ขั้นห้าคนอื่นๆ รวมทั้งมังกรกระดูกโบราณนั้นในกองทัพนั้นคอยอยู่รั้งท้ายเพื่อป้องกันการโดนตลบหลัง หรือไล่ตาม …. และด้วยการทำแบบนี้เอง มันก็ทำให้ซือเฟิง กับคนอื่นๆนั้นไม่กล้าที่จะไล่ตามกองทัพผู้รุกรานไป


ท้ายที่สุดแล้วกองทัพผู้รุกรานจากโลกอื่นนั้นก็สามารถถอยทัพออกไปได้อย่างปลอดภัย โดยที่ทิ้งมังกรกระดูกโบราณไว้คอยกันแนวหลังให้พวกเขา เนื่องจากมังกรกระดูกโบราณที่ถูกอัญเชิญออกมาแบบนี้นั้น พวกเขาจะสามารถควบคุมมันได้แค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องให้มันถอยไปด้วย แถมการทิ้งมันไว้แบบนี้ มันก็จะยังเป็นการช่วยประวิงเวลาซือเฟิงกับคนอื่นๆเพิ่มด้วย


และแล้วในตอนจบของสงครามครั้งนี้นั้น ซือเฟิง และคนอื่นๆก็ได้เข้ารุมจัดการกับมังกรกระดูกโบราณ โดยพวกเขานั้นก็ใช้เวลามากกว่ายี่สิบนาทีเล็กน้อยในการล้มมัน ซึ่งเมื่อล้มมันได้ ไฟเออร์แดนซ์ และคนอื่นๆนั้นก็ได้รับ EXP อย่างมหาศาลจนเลเวลเพิ่มขึ้นไปกันคนละหนึ่งเลเวลทันที


ขณะเดียวกันที่ร่างของมังกรกระดูกโบราณนั้นมันก็ได้มีดาบกระดูก ซึ่งเป็นอาวุธระดับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานดรอปออกมา และนอกเหนือจากนี้แล้วมันก็ยังมีวัสดุระดับตำนานอีกหลายสิบชิ้นดรอปออกมาด้วย ซึ่งซือเฟิงก็ได้จัดการแบ่งให้ทุกคนที่มีส่วนร่วมตามความเหมาะสม


หลังจากทุกอย่างเรียบร้อย ซือเฟิงก็ได้รีบกระโดดกลับขึ้นเรือเหาะชางเล่ย และออกเดินทางต่อทันที โดยเป้าหมายของเขานั้นก็คือเขาต้องการจะไปสนับสนุนสถานที่อีกสองแห่ง


อย่างไรก็ตามเมื่อซือเฟิงไปถึง เขาก็ต้องแปลกใจ เพราะสถานการณ์ของเมืองเล่ยเซีย และป้อมปราการหนามแดงนั้นมันดีกว่าที่ป้อมปราการสิงโตเหล็กมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เมืองเล่ยเซียที่มีอควาโรส ซึ่งเป็นมหาจอมเวทย์ขั้นห้าคอยดูแลอยู่ กองทัพ NPC จากโลกอื่นที่เข้าโจมตีเมืองนั้นพ่ายแพ้ และสูญเสียอย่างสิ้นเชิง ขณะที่ป้อมปราการหนามแดงนั้นก็หนักกว่าที่เมืองเล่ยเซียนิดหน่อย แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ถูกจัดการได้ทั้งหมด ….


เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น และมันชัดเจนแล้วว่าพวกเขาได้รับชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จในสามสมรภูมินั้น …. ผู้เล่นในอาณาจักรทวินทาวเวอร์ก็เดือดพล่านมากๆ


ขณะเดียวกันข่าวที่น่าอัศจรรย์นี้ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทวีปด้านตะวันออกอย่างรวดเร็ว และนี่มันก็ทำให้ทั่วทั้งทวีปด้านตะวันออกนั้นสั่นสะเทือน !!!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)