Reincarnation Of The Strongest Sword God 2908-2910
ตอนที่ 2908 พื้นที่ชั้นกลาง
“พื้นที่ชั้นกลางงั้นหรอ ?”
ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้
เท่าที่เขารู้มา แม้ว่าคนๆหนึ่งจะสามารถเข้าไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ชั้นกลางได้ หลังจากกลายเป็นปรมาจารย์ทางจิต แต่คนผู้นั้นก็จำเป็นจะต้องผ่านการทดสอบภายใน และการประเมินจากบริษัทกรีนก๊อดก่อนจึงจะทำแบบนั้นได้ เพราะท้ายที่สุดพื้นที่ชั้นกลางนั้นนับเป็นสถานที่ที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับบริษัทกรีนก๊อด และแม้แต่ตัวตนระดับสูงในพื้นที่ชั้นกลางก็ยังต้องผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดหลายอย่าง ก่อนที่จะสามารถเดินทางเข้าออกพื้นที่ชั้นกลางได้อย่างอิสระ
ขณะเดียวกันเมื่อฉินไป่ยี่ได้ฟังคำพูดของเซี่ยอู๋หยวนนั้นเขาก็รู้สึกพูดไม่ออกอย่างถึงที่สุด
เนื่องจากฉินไป่ยี่นั้นจำได้อย่างชัดเจนว่า เขาต้องเจอกับปัญหามากมายขนาดไหนกว่าจะผ่านการทดสอบ และการประเมินของบริษัทกรีนก๊อดเพื่อเข้าสู่พื้นที่ชั้นกลางได้ หลังจากที่เขาได้กลายเป็นปรมาจารย์ทางจิต …. แต่ตอนนี้ซือเฟิงที่ยังไม่ได้ผ่านการทดสอบ และการประเมินจากบริษัทกรีนก๊อดกับสามารถจะเข้าสู่พื้นที่ชั้นกลางได้โดยตรง ซึ่งถ้าเขาไปเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง มันก็คงจะไม่มีใครเชื่อเขาแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ต้องยอมรับอยู่เรื่องหนึ่งนั่นก็คือ เซี่ยอู๋หยวนนั้นมีพลังที่จะทำแบบนี้ได้ เพราะท้ายที่สุดชายผู้นี้คือผู้จัดการพื้นที่ชั้นกลางซึ่งมีอำนาจแทบจะเบ็ดเสร็จในพื้นที่ชั้นกลางของ Upper Zone เมืองหยวนเทียน และแม้ว่าซือเฟิงจะไม่ใช่ปรมาจารย์ทางจิต แต่ชายผู้นี้ก็สามารถจะนำซือเฟิงไปกับเขา และมอบสถานะผู้อยู่อาศัยถาวรในพื้นที่ชั้นกลางให้ซือเฟิงได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ….
“แน่นอนว่าแม้ว่าคุณจะยังไม่ได้ผ่านการทดสอบ และการประเมินจากบริษัทกรีนก๊อด แต่คุณก็สามารถจะเข้าไปยังพื้นที่ชั้นกลางได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วการที่คุณสามารถต้านทานการโจมตีจากหวู่หมิงได้นานขนาดนี้ มันก็พิสูจน์ให้เห็นได้ชัดแล้วว่าคุณคือปรมาจารย์ทางจิตอย่างแท้จริง” เซี่ยอู๋หยวนพยักหน้าเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “และเนื่องจากเป็นแบบนี้นั้นคุณจึงสมควรจะเข้าไปลงทะเบียนยืนยันตัวตนเพื่อพักอาศัยในพื้นที่ชั้นกลาง หรือว่าคุณไม่ต้องการจะได้รับตัวตน ในฐานะผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ชั้นกลางของ Upper Zone เมืองหยวนเทียนงั้นหรอ ?”
“ไม่อย่างแน่นอน …” ซือเฟิงรีบกล่าวอย่างรีบร้อน “มันย่อมเป็นเรื่องดีกว่าอยู่แล้วที่จะได้รับตัวตนในฐานะผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ชั้นกลางของ Upper Zone เมืองหยวน
เทียน”
ทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่ชั้นกลางนั้นมันเป็นสิ่งที่ทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่ชั้นพื้นฐานเทียบไม่ติดเลย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาได้รับตัวตนในฐานะผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ชั้นกลางแล้ว เขาก็จะมีอำนาจมากพอที่จะซื้อน้ำแห่งชีวิตได้ด้วย
“เอาล่ะ งั้นพวกเราก็ไปกันเลยดีกว่า !!!”
เซี่ยอู๋หยวนนั้นไม่ได้เลือกจะพูดอะไรต่อ และหลังจากนั้นเขาก็ได้โบกมือให้รถบินได้ซึ่งมีโลโก้ของบริษัทกรีนก๊อดแปะอยู่บินลงมา ก่อนที่เขาจะจากไปพร้อมกับซือเฟิง และเซี่ยชิงหยาง ซึ่งนี่สร้างความอิจฉาอย่างมากให้กับหานอี้เฟิง และทายาทของบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆที่ล้วนพยายามจะเข้าไปยังพื้นที่ชั้นกลางกันอย่างบ้าคลั่ง
“ตอนนี้คุณซือเฟิงกำลังจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วสินะ ….” หานอี้เฟิงมองไปยังทิศทางที่ซือเฟิงจากไป พลางพึมพำด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
ตัวเขานั้นได้แสวงหาโอกาสที่จะเข้าไปยังพื้นที่ชั้นกลางมานานแล้ว แต่ตอนนี้ซือ
เฟิงกับสามารถเข้าไปยังพื้นที่ชั้นกลางได้อย่างง่ายมากๆผ่านคำเชิญของเซี่ยอู๋หยวน แถมเท่าที่ดูนั้นมันก็ดูเหมือนว่าเซี่ยอู๋หยวนจะสนใจในตัวซือเฟิงมากๆด้วย ดังนั้นชีวิตในพื้นที่ชั้นกลางของซือเฟิงจึงน่าจะง่ายกว่าคนปกติที่พึ่งจะเข้าไปแน่นอน
“น่าเสียดาย …” ฉินไป่ยี่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
ซือเฟิงนั้นเป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถที่สูง และน่ากลัวมากๆ หากพวกคนใหญ่คนโตใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียนรู้เรื่องนี้พวกเขาคงได้บ้าแน่ๆ และตอนนี้ผู้ที่ให้โอกาสก้าวแรกแก่ซือเฟิงเพื่อให้เขาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ามันก็เป็นเซี่ยอู๋หยวนอีกต่างหาก ….
“นายกลายเป็นปรมาจารย์ทางจิตแล้วงั้นหรอ ? รอก่อนเถอะ !!! อีกไม่นานฉันจะต้องตามนายไปให้ทันให้ได้ !!!” เอนเลสสการ์พึมพำ พลางมองไปยังทิศทางที่ซือเฟิงจากไปด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
อีกด้านหนึ่ง เซี่ยอู๋หยวนก็ได้พาซือเฟิงผ่านการสแกน กับประเมินจากเครื่องจักรกล ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงส่วนครึ่งบนของภูเขา
ขณะเดียวกันเมื่อซือเฟิงได้สัมผัสถึงสภาพแวดล้อมที่นี่ที่เต็มไปด้วยหมอกหนาแน่นที่ห่อหุ้มร่างกายของเขานั้น จิตของซือเฟิงที่ตอนแรกมันแห้งเหือดมากๆจากการต่อสู้กับหวู่หมิงก็กลายเป็นเหมือนกับปลาที่ได้น้ำ และมันก็ได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว โดยจากที่ซือเฟิงประเมินนั้นสภาพแวดล้อมที่นี่ดีกว่าสภาพแวดล้อมในวิลล่าขนาดใหญ่ที่เขาพึ่งได้รับมา ระดับหนึ่งเลยทีเดียว …
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เซี่ยอู๋หยวนพาซือเฟิงไปยังวิลล่าหลังหนึ่งที่อยู่ติดกับน้ำตก และภูเขาสีเขียวนั้น มันก็ยิ่งสร้างความตกตะลึงให้กับซือเฟิงมากๆ
“สภาพแวดล้อมที่นี่มันดีกว่าสภาพแวดล้อมที่พื้นที่ชั้นกลางทั่วไปถึงสองเท่า ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทุกคนนั้นล้วนต้องการจะเข้ามาอาศัยในพื้นที่ชั้นกลาง ด้วยสภาพแวดล้อมแบบนี้ต่อให้คนๆหนึ่งไม่ทำอะไรเลย สมรรถภาพทางกาย และจิตของพวกเขาก็จะยังพัฒนาขึ้นเรื่อยๆอยู่ดี ซึ่งมันก็จะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะเห็นคนๆหนึ่งที่มีอายุยืนสักหนึ่งร้อยหกสิบ ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบปี” เมื่อซือเฟิงรับรู้ได้ถึงข้อแตกต่างของสภาพแวดล้อมภายในวิลล่า และสภาพแวดล้อมในพื้นที่ทั่วไปของชั้นกลางนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง
“นี่คือวิลล่าชั้นยอดที่มีเพียงยี่สิบหลังเท่านั้นในพื้นที่ชั้นกลาง ไม่ต้องพูดถึงการที่จะมีชีวิตอยู่ที่นี่หนึ่งร้อยหกสิบ ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบปีเลย สุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนที่ได้มาอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานานนั้นจะไม่มีปัญหาที่จะมีชีวิตอยู่ถึงสองร้อยปีด้วยซ้ำ” เซี่ยอู๋หยวนมองไปยังซือเฟิงที่มีท่าทีเต็มไปด้วยความตกตะลึง พลางหัวเราะ “ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการที่บริษัทกรีนก๊อดยังคงปรับปรุงเทคโนโลยีของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นในอนาคตต่อให้เป็นคนทั่วไปที่ได้เข้ามาอาศัยในพื้นที่ชั้นกลาง พวกเขาก็จะมีอายุยืนถึงสองร้อยปีกันอย่างไม่มีปัญหา และสำหรับสุดยอดปรมาจารย์ทางจิต การจะมีอายุยืนถึงสามร้อยปีก็จะไม่ใช่ปัญหาใดๆ”
“อายุสามร้อยปี ?” ซือเฟิงรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
สามร้อยปี …. ด้วยเวลาขนาดนี้ ในสมัยโบราณนั้นมันมากพอที่จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงจากราชวงศ์หนึ่งไปอีกราชวงศ์หนึ่งเลย
“ใช่แล้ว แม้ว่ามันจะค่อนข้างเป็นไปได้ยากสำหรับพื้นที่ชั้นกลางในปัจจุบัน แต่พูดกันตามตรงมันก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น” เซี่ยอู๋หยวนกล่าวพลางพยักหน้า “แต่อย่างไรก็ตามสำหรับคุณที่กลายเป็นปรมาจารย์ทางจิตได้ตั้งแต่อายุแค่นี้ สิ่งเหล่านี้มันก็ไม่ยากนักแน่นอน”
“สุดยอดปรมาจารย์ทางจิตมีความแข็งแกร่งขนาดนี้เลยงั้นหรอ ?” ซือเฟิงถามด้วยความประหลาดใจ
ด้วยสมรรถภาพทางกาย และทางจิตในปัจจุบันของเขา แม้ว่าเขาจะได้รับการสนับสนุนจากโพชั่นแห่งชีวิตอยู่เรื่อยๆ แต่เท่าที่เขาประเมิน เขาก็น่าจะมีชีวิตยืนยาวได้แค่ราวสองร้อยปีเท่านั้น
แต่ตอนนี้เซี่ยอู๋หยวนกับกล่าวว่าในอนาคตนั้น หากเขาสามารถกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตได้ เขาอาจจะมีชีวิตยืนยาวได้ถึงสามร้อยปีเลย ซึ่งมันทำให้เขาแอบรู้สึกว่า นี่มันไม่เหมือนมนุษย์อีกต่อไปแล้ว ….
“แน่นอน !! สุดยอดปรมาจารย์ทางจิตนั้นแข็งแกร่งกว่าที่คุณคิดไว้มาก !!! เพราะท้ายที่สุดตัวตนระดับนี้นั้นจะสามารถควบคุมสมองของตัวเองได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ ซึ่งสำหรับคนทั่วไปตัวตนระดับนี้ก็เปรียบเหมือนกับเทพเจ้า และบริษัทกรีนก๊อดนั้นก็ถูกก่อตั้งขึ้นโดยเหล่าสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตนี่แหละ …” เมื่อเซี่ยอู๋หยวนกล่าวถึงสุดยอดปรมาจารย์ทางจิต ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความอิจฉา และหวาดกลัว
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ซือเฟิงนั้นก็รู้สึกตกตะลึงมากเช่นกัน
บริษัทกรีนก๊อดซึ่งเป็นบริษัทอันดับหนึ่งของโลก และมีฐานะที่ไม่อาจสั่นคลอนได้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยสุดยอดปรมาจารย์ทางจิต !!! นี่มันเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อสุดๆ !!!
ขณะเดียวกันเซี่ยอู๋หยวนก็มองไปยังซือเฟิงที่กำลังตกตะลึงอยู่ พลางกล่าวอย่างช้าๆว่า “และตอนนี้คุณก็มีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิต ดังนั้นฉันจึงได้ให้สิทธิพิเศษกับคุณ และนำคุณมายังพื้นที่ชั้นกลางเพื่อมาอาศัยอยู่ที่นี่ทันที เพราะท้ายที่สุดมันมีเพียงแต่การอาศัยอยู่ที่นี่ ในวิลล่าแบบนี้เท่านั้นที่จะทำให้คุณพัฒนาไปได้อีกอย่างรวดเร็ว การจะมาปล่อยให้คุณยังคงอาศัยอยู่ในชั้นพื้นฐาน มันเป็นเรื่องที่สิ้นเปลือง และไร้ค่าเกินไป”
เมื่อซือเฟิงได้ยินเรื่องนี้เขาก็รู้สึกตกตะลึงยิ่งขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตามเมื่อประมวลผลทั้งหมด เขาก็พอเข้าใจเหตุผลที่เซี่ยอู๋หยวนมอบสิทพิเศษให้เขา และนำเขามายังพื้นที่ชั้นกลางโดยตรงแล้ว
เซี่ยอู๋หยวนมองไปยังซือเฟิงด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อว่า “คุณคิดว่าด้วยพรสวรรค์ของคุณ แค่ประเมินว่าคุณจะสามารถกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตได้นั้น มันเป็นการประเมินคุณต่ำเกินไปใช่ไหม ?”
ซือเฟิงไม่ได้ปฎิเสธคำพูดของเซี่ยอู๋หยวน เขาเพียงเลือกจะมองไปยังเซี่ยอู๋หยวนโดยตรงเท่านั้น
เนื่องจากในมุมมองของซือเฟิง หากปรมาจารย์ทางจิตนั้นสอดคล้องกับค่าความแข็งแกร่งทางจิตขั้นห้าใน God domain สุดยอดปรมาจารย์ทางจิตก็น่าจะสอดคล้องกับค่าความแข็งแกร่งทางจิตขั้นหกใน God domain
ในตอนนี้เขามีความมั่นใจอย่างมากในการจะเลื่อนขั้นไปเป็นขั้นหก ขอบเขตพระเจ้าใน God domain เพราะท้ายที่สุดเขามีมรดกของเทพโบราณอยู่ และเขาก็ยังมีคริสตัลวิญญาณ กับน้ำวิญญาณที่สามารถช่วยฟื้นฟู และเสริมความแข็งแกร่งทางจิตได้ด้วย ดังนั้นการจะทะลวงไปให้ถึงค่าความแข็งแกร่งทางจิตขั้นหกใน God domain มันจึงไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อมเลย
อย่างไรก็ตามเซี่ยอู๋หยวนที่ดูเหมือนจะเดาความคิดของซือเฟิงออกก็ได้พูดตรงๆว่า “แม้ว่าค่าความแข็งแกร่งทางจิตของคุณใน God domain จะไปถึงขั้นหก แต่คุณก็จะนับว่าอยู่ในระดับครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตเท่านั้น และนี่ก็ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องสุดยอดปรมาจารย์จิตระดับสองดาวเลย”
“ผู้ที่มีค่าความแข็งแกร่งทางจิตขั้นหกใน God domain นั้นจะอยู่แค่ในระดับครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตเท่านั้นงั้นหรอ ?” ซือเฟิงพึมพำอย่างตกตะลึง
เขาเคยได้สัมผัสกับผู้ที่มีค่าความแข็งแกร่งทางจิตขั้นหกมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าตัวตนระดับนี้นั้นทรงพลังมากขนาดไหน และแม้แต่ผู้เล่นขั้นห้าก็ยังจะต้องถูกปราบปรามอย่างหนักเมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนระดับนี้ ในขณะที่ผู้เล่นขั้นสี่นั้นก็จะเป็นเหมือนมดปลวกเลย แต่ตอนนี้เซี่ยอู๋หยวนกับบอกเขาว่าผู้ที่มีค่าความแข็งแกร่งทางจิตขั้นหกใน God domain นั้นเป็นได้แค่ระดับครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตเท่านั้น ….
ซึ่งนี่มันทำให้เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตที่แท้จริงนั้นจะแข็งแกร่งมากขนาดไหน
“แน่นอนว่ามันก็จะมีความแตกต่างกันระหว่างผู้ที่พึ่งมาถึง และผู้ที่มาถึงนานแล้วในขอบเขตนี้เช่นเดียวกับขอบเขตอื่นๆ ขณะเดียวกันใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียนนั้นมันก็มีผู้ที่อยู่ในขอบเขตสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตทั้งหมดสามคน ซึ่งนับว่ามากแล้ว เพราะใน Upper Zone ของเมืองอื่นๆส่วนใหญ่นั้นจะมีแค่สอง หรือหนึ่งคนเท่านั้น ขณะที่ใน Upper Zone ของบางเมืองไม่มีเลยด้วยซ้ำ” เซี่ยอู๋หยวนมองไปยังซือเฟิงที่ยังคงพยายามประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้น พลางพูดต่อว่า “ทั้งนี้ทั้งนั้นมีอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันต้องบอกคุณเลยก็คือ สิทธิพิเศษที่ฉันให้คุณได้มีเพียงการพาคุณเข้ามายังพื้นที่ชั้นกลางโดยตรงเท่านั้น ในส่วนของการที่คุณได้รับอนุญาติให้เข้ามาอาศัยอยู่ในวิลล่าชั้นยอดนั้น มันเป็นเพราะการแนะนำมาจากคนอื่น ไม่งั้นต่อให้คุณมีความสามารถอย่างมาก แต่เต็มที่คุณก็จะสามารถอาศัยอยู่ได้แค่ในวิลล่าทั่วไปเท่านั้น และหากคุณต้องการจะเข้ามาอาศัยในวิลล่าชั้นยอดแบบนี้อย่างน้อยคุณก็จะต้องกลายเป็นปรมาจารย์ทางจิตระดับสามดาวซะก่อน !!!”
“การแนะนำจากคนอื่น ?” ซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็นในเรื่องนี้
ใน Upper Zone เขาพอมีคนรู้จักที่เป็นคนใหญ่คนโตอยู่บ้างในชั้นพื้นฐาน แต่เขาจำไม่เคยได้เลยว่าเขามีคนรู้จักที่เป็นคนใหญ่คนโตอยู่ในชั้นกลางด้วย
“คุณรู้จักคนๆนั้นอยู่แล้ว เธอคือเฟิงเฉียนหยู คนที่คุณพยายามจะสืบเสาะการหายตัวไปของเธออยู่ไง ….” เซี่ยอู๋หยวนกล่าวอย่างเรียบเฉย “ถ้าไม่ใช่เพราะการแนะนำของเธอ คุณก็จะได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าปรมาจารย์ทางจิตทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“เฟิงเฉียนหยู ?” เมื่อได้ยินเรื่องนี้นั้น ซือเฟิงก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก “ตอนนี้เธออาศัยอยู่ในพื้นที่ชั้นกลางงั้นหรอ ? แล้วสภาพของเธอเป็นยังไงบ้าง ?”
เกี่ยวกับเรื่องของเฟิงเฉียนหยูนั้น แม้ว่าเขาจะยังคงพยายามตรวจสอบอยู่เรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่พบอะไรเลย ซึ่งนี่มันก็สร้างความกังวลให้กับจี้ลั่วหรงที่เป็นน้องสาวของเธอมาโดยตลอด … แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่าเซี่ยอู๋หยวนนั้นจะรู้จักเฟิงเฉียนหยูด้วย แถมเฟิงเฉียนหยูยังเป็นคนแนะนำให้เซี่ยอู๋หยวนนำเขามาอาศัยอยู่ที่นี่อีก
“ถ้าให้พูดตรงๆก็คือตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก ฉันตอบคุณได้แค่นี้ …” เซี่ยอู๋หยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หรือจะให้พูดง่ายๆก็คือตอนนี้คุณยังไม่มีสิท และอำนาจมากพอที่จะรู้เรื่องนี้ไปมากกว่านี้”
“ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนักงั้นหรอ ?” ซือเฟิงครุ่นคิด เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ผู้อาวุโสเซี่ย ฉันต้องทำยังไงบ้างถึงจะมีสิทได้รู้เรื่องของเธอเพิ่มเติม ?”
เดิมทีเขาแทบจะรู้สึกหมดหวังไปแล้วกับเรื่องนี้ เพราะจากการตรวจสอบ และไม่พบอะไรเลยนั้นมันทำให้เขาคาดเดาได้อย่างชัดเจนว่าความลับที่เฟิงเฉียนหยูเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนั้นมันจะเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่มากแน่นอน อย่างไรก็ตามตอนนี้ในเมื่อเขาโชคดี และได้ข่าวเล็กน้อยเกี่ยวกับเธอมา เขาจึงได้เริ่มมองเห็นโอกาสที่จะช่วยเธอได้ และหากทำได้จริงๆเขาก็ต้องการจะช่วย เพราะท้ายที่สุดแล้วเฟิงเฉียนหยูนั้นได้ช่วยเหลือเขามามากมาย และตอนนี้จี้ลั่วหรงก็กลายเป็นสมาชิกคนสำคัญของสภาสิบแปดปีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลเลยที่จะไม่ช่วย
“อืมมม …. ถ้าคุณมีคะแนนผลงานใหญ่ๆมากพอ คุณก็น่าจะสามารถเข้าถึงข้อมูลของเธอได้เพิ่มเติมนะ …” เซี่ยอู๋หยวนคิดอยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวออกมา
“ผลงานใหญ่ๆ ?” ซือเฟิงรีบถามต่อทันที เมื่อเขาได้ยินว่ามันมีวิธี และโอกาส “คะแนนผลงานใหญ่ๆที่ว่านี่มันจำเป็นจะต้องมีคะแนนสะสมเท่าไหร่ถึงจะมากเพียงพออย่างที่คุณได้กล่าวมา ….”
“คะแนนผลงานใหญ่ๆที่ว่านี้นั้นไม่สามารถวัดได้จากคะแนนสะสม” เซี่ยอู๋หยวนส่ายหัวเล็กน้อย และพูดอย่างช้าๆว่า “ถ้าคุณต้องการจะสะสมคะแนนผลงานใหญ่ๆให้ได้จำนวนมากอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มันก็มีทางเดียว คือการขับไล่กองทัพ NPC ผู้รุกรานจากโลกอื่นภายใน God domain ออกไปให้ได้ ถ้าทำได้คุณก็น่าจะสามารถเข้าถึงข้อมูลบางส่วนของเธอได้”
“การขับไล่กองทัพ NPC ผู้รุกรานจากโลกอื่นภายใน God domain ออกไปให้ได้งั้นหรอ ?” ซือเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้ยินเรื่องนี้
กองทัพ NPC ผู้รุกรานจากโลกอื่นนั้นทรงพลังกว่ากองทัพผู้เล่นจากโลกอื่นมากๆ เพราะท้ายที่สุดจนถึงตอนนี้กองทัพผู้เล่นนั้นยังไม่ได้มีอาชีพขั้นห้า แต่กองทัพ NPC จากโลกอื่นนั้นมีแล้ว แถมบางคนในหมู่พวกเขายังอาจจะเป็นพวกครึ่งเทพด้วย ซึ่งนี่มันทำให้งานการจะขับไล่กองทัพ NPC แบบนี้นั้นไม่ง่ายเลย
“อย่าพึ่งคิดถึงเรื่องนี้เลย ในตอนนี้แค่พุ่งเป้าไปที่การยกระดับความสามารถทางจิตของคุณก่อนดีกว่า” เซี่ยอู๋หยวนกล่าวเตือน “แม้ว่าคุณจะกลายเป็นปรมาจารย์ทางจิตแล้ว แต่คุณก็ยังอยู่ค่อนข้างห่างจากหวู่หมิง แถมในตอนนี้หวู่ก็ใกล้จะกลายเป็นปรมาจารย์ทางจิตระดับสามดาวแล้ว ซึ่งหากคุณต้องการจะทำตัวเองให้ปลอดภัยจริงๆ คุณก็ควรจะอยู่ที่นี่และพัฒนาตัวเองไปให้ไวที่สุด ไม่งั้น หากคุณต้องการความปลอดภัย คุณก็จะได้อยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตแน่นอน เพราะเมื่อคุณออกจากที่นี่ หวู่หมิงก็จะต้องหาทางกำจัดคุณทันที”
ซือเฟิงที่ได้ยินคำเตือนของเซี่ยอู๋หยวนพยักหน้าอย่างยอมรับ เพราะท้ายที่สุดแล้วตอนนี้เรื่องของหวู่หมิงนั้นมันเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับเขาจริงๆในตอนนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเซี่ยอู๋หยวนปรากฎตัวออกมาช่วยเขา เขาก็คงจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่นอน แถมในฐานะหัวหน้ากิลสภาสิบแปดปีก เขาก็มีหลายอย่างที่ต้องทำ ดังนั้นเขาก็จะไม่สามารถอุดอู้อยู่ที่นี่ไปได้ตลอดชีวิตแน่นอน
“ผู้อาวุโสเซี่ย ฉันจะซื้อน้ำแห่งชีวิตได้ยังไง ?” ซือเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากถาม
ปัจจุบันเขาไม่สามารถที่จะออกจากพื้นที่ชั้นกลางไปได้ และด้วยความที่หวู่หมิงหยิ่งในศักศรีดิ์กับตัวตนของตัวเองอย่างมาก ดังนั้นหวู่หมิงจะไม่ยอมลดตัวไปจัดการกับสมาชิกของสภาสิบแปดปีกคนอื่นๆแน่นอน อย่างไรก็ตามทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ไม่ได้แปลว่าหวู่หมิงจะไม่ทำอะไรใดๆเลย และเท่าที่ซือเฟิงคาดเดา เขาก็คงจะเลือกส่งกองกำลังบางกลุ่มไปวุ่นวาย และก่อปัญหาให้กับสมาชิกของสภาสิบแปดปีกคนอื่นๆแน่นอน
ดังนั้นตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดที่เขาต้องทำก็คือ การฟื้นฟูให้เสวี่ยเหวินโหรว กับอควาโรสนั้นกลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมที่สุด ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งของทั้งสองสาวนั้น พวกเธอก็จะสามารถช่วยเขาปกป้องสภาสิบแปดปีกไว้ได้อย่างไม่ยากนักแน่นอน
ตอนที่ 2909 เพิ่มความแข็งแกร่งทางจิต
“ซื้อน้ำแห่งชีวิต ?” เซี่ยอู๋หยวนมองไปที่ซือเฟิง และพูดด้วยความงงงวยว่า “อำนาจของคุณในปัจจุบันนั้นอยู่ที่ระดับหนึ่งดาว ดังนั้นคุณจึงจะสามารถซื้อน้ำแห่งชีวิตได้แค่หนึ่งขวดต่อปีเท่านั้น ซึ่งน้ำแห่งชีวิตนั้นจะมีผลเน้นไปที่การฟื้นฟูชีวิต แต่อย่างไรก็ตามด้วยความสามารถของปรมาจารย์ทางจิต หากคุณใช้โพชั่นแห่งชีวิต กับโพชั่นสมาธิซึ่งเป็นของเฉพาะในพื้นที่ชั้นกลาง มันก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะฟื้นฟูความเสียหายทั้งหมดที่คุณได้รับ ดังนั้นคุณแน่ใจหรอว่าคุณต้องการจะซื้อน้ำแห่งชีวิต ?”
“ตอนนี้ฉันสามารถซื้อน้ำแห่งชีวิตได้แค่หนึ่งขวดต่อปีงั้นหรอ ?”
ซือเฟิงที่ได้ยินเรื่องนี้เงียบไปครู่หนึ่ง
ด้วยสภาพของอควาโรส และเสวี่ยเหวินโหรวในตอนนี้ หากพวกเธอได้อาศัยอยู่ในวิลล่าขนาดใหญ่ในชั้นพื้นฐาน มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาใดๆที่จะรอไปอีกหนึ่งปี แต่สถานการณ์ในปัจจุบันของสภาสิบแปดปีกนั้นไม่สามารถจะปล่อยให้ล่าช้าได้อีกต่อไปแล้ว เขาจำเป็นจะต้องให้พวกเธอทั้งสองคนเข้ามาช่วยงานในหลายส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีก เพราะไฟเออร์แดนซ์ กับเหล่ยเปานั้นจะไม่สามารถต้านทานผู้ที่เข้ามาก่อปัญหาทั้งหมดได้แน่นอน และนี่ยังไม่นับรวมในตอนที่เขาจะต้องนำไฟเออร์แดนซ์ และเหล่ยเปาเข้ามาฝึกใน Upper Zone ด้วย
“ถ้าคุณต้องการน้ำแห่งชีวิตเพิ่มเติม มันก็ไม่มีทางอื่น …” เซี่ยชิงหยางที่ยืนอยู่ข้างๆเซี่ยอู๋หยวนมองไปยังซือเฟิงที่เงียบไปด้วยรอยยิ้มบางๆ “บริษัทกรีนก๊อดของเรานั้นจะมีรางวัลให้กับอัจฉริยะ ผู้ที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์ทางจิตได้ก่อนอายุสามสิบแบบคุณ ….”
“รางวัล ?” ซือเฟิงหันกลับมามองเซี่ยชิงหยางด้วยความสนใจทันที
“ใช่ มันเป็นรางวัลสำหรับผู้ที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์ทางจิตได้ก่อนอายุสามสิบ …” เซี่ยอู๋หยวนกล่าวเสริม พลางพยักหน้า “แต่ฉันไม่แนะนำให้คุณแลกรางวัลนี้เป็นน้ำแห่งชีวิตนะ เพราะรางวัลนี้นั้นมันเป็นรางวัลที่ปรมาจารย์ทางจิตในพื้นที่ชั้นกลางทุกคนล้วนกระตือรือร้นที่จะได้รับมากๆ ซึ่งนั่นก็คือคุณจะได้รับสิทในการเข้าสู่พื้นที่ชั้นบนสุดบนยอดเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือน โดยสิ่งนี้นั้นมันจะช่วยพัฒนาความสามารถทางจิตของคุณไปได้อีกไกลมาก ดังนั้นมันจึงไม่คุ้มค่าเลยที่จะนำมาแลกกับน้ำแห่งชีวิต เนื่องจากน้ำแห่งชีวิตนั้นสามารถที่จะแลกเปลี่ยนได้ตลอดเวลา แต่รางวัลแบบนี้นั้นจะได้รับเพียงครั้งเดียวเมื่อคุณไปถึงขอบเขตปรมาจารย์ทางจิตระดับสามดาว แถมระยะเวลาของมันก็ยังสั้นแค่สิบวันด้วย ซึ่งแตกต่างจากตอนนี้มากๆ …. แน่ใจหรอว่าต้องการจะแลกมันเป็นน้ำแห่งชีวิต ?”
“แน่ใจ !! ฉันจะแลกมัน !!!” ซือเฟิงกล่าวอย่างไม่ลังเล
“โอเคๆ …. ฉันล่ะไม่เข้าใจคนหนุ่มสาวจริงๆ ….” เซี่ยอู๋หยวนมองไปยังซือเฟิงที่มีท่าทีมุ่งมั่นพลางถอนหายใจออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจกับตัวเลือกของซือเฟิง และคิดว่ามันเป็นการเสียโอกาสอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ได้หันไปพูดกับเซี่ยชิงหยางที่อยู่ข้างๆว่า “ฉันจะต้องไปรายงานเรื่องนี้ ดังนั้นฉันจะขอฝากส่วนที่เหลือให้ชิงหยางจัดการให้คุณก็แล้วกัน ….”
เมื่อได้ยินดังนี้เซี่ยชิงหยางก็พยักหน้า และหลังจากนั้นเซี่ยอู๋หยวนก็หันหลังกลับ และออกจากวิลล่าไปโดยไม่ได้คิดจะคุยใดๆกับซือเฟิงเพิ่มเติมอีก ซึ่งนี่มันก็ทำให้ซือ
เฟิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น
“ไม่ต้องไปสนใจมากนักหรอก คุณปู่ก็เป็นแบบนี้แหละ และเขาก็ไม่ได้รู้สถานการณ์เฉพาะของคุณด้วย …” เซี่ยชิงหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อได้เห็นท่าทีของซือเฟิงที่มองไปยังทิศทางที่เซี่ยอู๋หยวนจากไป “เนื่องจากคุณยืนยันในเรื่องจะแลกสิทที่ได้รับเป็นน้ำแห่งชีวิต มันก็แปลว่าคุณต้องการน้ำแห่งชีวิตแค่สองขวดใช่ไหม ?”
“ฉันสามารถแลกเปลี่ยนน้ำแห่งชีวิตพร้อมกันสองขวดได้เลยงั้นหรอ ?” ซือเฟิงกล่าว
อย่างตกตะลึง
เดิมทีเขาคิดว่ารางวัลที่เขาได้รับนั้นจะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นน้ำแห่งชีวิตได้เพียงหนึ่งขวดเท่านั้น และเขาก็น่าจะจำเป็นต้องใช้คะแนนสะสม กับคะแนนการค้าที่เขาเก็บมาเพื่อแลกอีกหนึ่งขวด แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถแลกเปลี่ยนน้ำแห่งชีวิตได้พร้อมกันสองขวดเลย ….
“รางวัลที่บริษัทกรีนก๊อดมอบให้คุณนั้น หากคุณต้องการจะนำมันมาแลกเปลี่ยนกับน้ำแห่งชีวิต คุณจะสามารถแลกเปลี่ยนมันได้สามขวด ซึ่งหากคุณต้องการน้ำแห่งชีวิตแค่สองขวด คุณก็จะมีสิทเหลืออยู่อีกหนึ่งขวด ดังนั้นฉันจึงจะขอแนะนำให้คุณแลกมันเป็นโพชั่นสมาธิ โดยผลของโพชั่นนี้ไม่เพียงแต่จะมีมากกว่าโพชั่นแฟนธ่อม แต่มันยังจะมีผลช่วยในการฟื้นฟูจิตอีกด้วย ซึ่งปรมาจารย์ทางจิตระดับหนึ่งดาวนั้นจะสามารถแลกเปลี่ยนได้เพียงแค่ห้าขวดต่อปี แต่ถ้าคุณแลกเปลี่ยนกับสิทของน้ำแห่งชีวิตที่เหลืออยู่หนึ่งขวดตอนนี้นั้น คุณจะสามารถแลกมันได้ทันทีเลยสิบขวด”
“โอเค งั้นฉันจะขอแลกมันกับโพชั่นสมาธิสิบขวด …” ซือเฟิงพยักหน้าด้วยความรู้สึกที่แอบประหลาดใจเล็กน้อยกับรางวัลของบริษัทกรีนก๊อด และตอนนี้เขาก็เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเซี่ยอู๋หยวนถึงไม่ค่อยพอใจเขา เมื่อเขาได้เลือกแบบนี้ เพราะท้ายที่สุดแล้วนั้น มูลค่าของรางวัลแต่ละอย่างมันเทียบกันไม่ได้เลยจริงๆ
เซี่ยชิงหยางพยักหน้า และพูดอย่างช้าๆว่า “อย่างไรก็ตามตอนนี้คุณไม่สามารถจะกลับไปที่ชั้นพื้นฐานได้ ดังนั้นเดี๋ยวฉันจะนำน้ำแห่งชีวิตสองขวดมามอบให้กับคุณโดยตรง สำหรับโพชั่นสมาธิสิบขวด คุณสามารถจะไปแลกเปลี่ยนที่ห้องเก็บของในวิลล่าได้โดยตรง”
“งั้นฉันคงต้องขอรบกวนคุณด้วย ผู้จัดการเซี่ย ….” ซือเฟิงกล่าวด้วยท่าทีขอบคุณ
“ไม่มีปัญหา อีกอย่างนี่มันก็เป็นหน้าที่ของฉัน เพราะท้ายที่สุดคุณนั้นถือได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ฉันค้นพบ ตราบใดที่ความสามารถ และอำนาจของคุณในพื้นที่ชั้นกลางเพิ่มมากขึ้น มันก็จะช่วยฉันได้มากเช่นกัน” เซี่ยชิงหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ งั้นฉันก็จะไม่รบกวนคุณแล้ว ฉันขอตัวก่อน ! คุณพักผ่อนเถอะ !! ….”
หลังจากเซี่ยชิงหยางกล่าวจบ เธอก็จากไป และทิ้งให้ซือเฟิงนั้นยืนมองวิลล่าชั้นยอดในพื้นที่ชั้นกลางอยู่คนเดียวอย่างเงียบๆ
วิลล่าชั้นยอดแห่งนี้นั้นมีพื้นที่ใหญ่กว่าวิลล่าขนาดใหญ่ในชั้นพื้นฐานอย่างมาก โดยแค่น้ำตกที่อยู่ภายในวิลล่าเพียงแห่งเดียวมันก็มีขนาดเท่ากับสนามบาสเก็ตบอลสองสนามแล้ว และไอน้ำที่ออกมาจากน้ำตกนั้นมันก็น่าเหลือเชื่อมากๆ เพราะเพียงแค่โดนตัวเพียงนิดเดียว มันก็ทำให้คนๆหนึ่งรู้สึกสบายไปทั้งร่างกายแล้ว สำหรับผลในเรื่องการช่วยฟื้นฟูนั้น เท่าที่ซือเฟิงสัมผัสเขาคิดว่ามันน่าจะมีผลเท่ากับสารอาหารเหลวระดับ S เลย เพียงแต่ว่ามันจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ”
อาจกล่าวได้ว่าน้ำตกที่อยู่ตรงหน้าของซือเฟิงนี้คือแหล่งของสารอาหารเหลวระดับ S ที่ไม่มีที่สิ้นสุดก็ว่าได้ ซึ่งเรื่องนี้นั้นกองกำลังขนาดใหญ่ต่างๆในโลกภายนอกก็จะไม่คาดคิดแน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้วในโลกภายนอกนั้น สารอาหารเหลวระดับ S มันหายากมากๆ และแม้แต่กองกำลังขนาดใหญ่ต่างๆก็ยังได้รับกันมาอย่างจำกัด และสำหรับกองกำลังขนาดใหญ่ในชั้นพื้นฐานนั้น การจะมีอะไรแบบนี้ไว้ให้กับตัวเอง มันก็เป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น
จากนั้นซือเฟิงก็ได้เดินเข้าไปในตัวบ้าน
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม เมื่อผู้คนที่อาศัยอยู่ในชั้นพื้นฐานได้มาที่นี่แล้ว พวกเขาจะไม่ต้องการกลับลงไปที่ชั้นพื้นฐานอีก …” ซือเฟิงมองไปที่ห้องโถงตรงหน้าเขาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ
เนื่องจาก หลังจากเดินเข้ามาในตัวบ้านของวิลล่าแล้วนั้นเขาก็ไม่ได้ยินเสียงน้ำตกภายนอกเลย ซึ่งเท่ากับว่าที่นี่มันมีการป้องกันเสียงที่สมบูรณ์แบบ และพลังงานพิเศษภายในนี้นั้นมันก็มีมากกว่านอกตัวบ้านถึงสองเท่า
หากเขาเป็นคนทั่วไปที่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่นั้น ต่อให้เขานอนนิ่งๆ และวันๆไม่ทำอะไรเลย แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็จะยังคงสามารถไปถึงขอบเขตครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนอยู่ดี และหากออกกำลัง กับฝึกฝนเพียงแค่เล็กน้อย คนทั่วไปนั้นก็จะไม่มีปัญหาเลยในการจะเข้าถึงขอบเขตสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียน
นี่ยังไม่นับรวมเรื่องผลทางจิตอีก โดยหากคนทั่วไปได้อยู่ฝึกที่นี่เป็นเวลานานนั้น ต่อให้ไม่สามารถจะเข้าถึงขอบเขตปรมาจารย์ทางจิตได้ แต่ก็จะอยู่ไม่ไกลแน่นอน
ดังนั้นนี่มันจึงทำให้ซือเฟิงเข้าใจได้อย่างชัดเจนเลยว่าการต้องออกจากสภาพแวดล้อมแบบนี้ และกลับไปใช้ชีวิตในชั้นพื้นฐานนั้นมันน่ากลัวขนาดไหน หากให้เปรียบเทียบมันก็คงจะเหมือนกับเศรษฐีพันล้านที่อยู่ๆก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดา โดยช่องว่างแบบนี้นั้นมันเป็นเรื่องธรรมดามากๆที่ผู้คนที่เคยได้สัมผัสมันจะไม่สามารถยอมรับได้ และมันก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฟางฉีหานจะต้องการรักษาช่องเข้าสู่พื้นที่ชั้นกลางของตัวเองเอาไว้”
ตราบใดที่ฟางฉีหานสามารถเข้ามาอาศัยในพื้นที่ชั้นกลางได้ โอกาสในการจะกลายเป็นปรมาจารย์ทางจิตของเธอก็จะมีเพิ่มขึ้นมากกว่าการอยู่อาศัยในชั้นพื้นฐานสองเท่า
“นี่คือห้องเก็บของงั้นหรอ ?” ซือเฟิงมองไปที่ห้องที่เป็นเหมือนกับบ้านหลังเล็กๆที่ทำจากโลหะพิเศษทั้งหมด และเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประทับใจกับความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทกรีนก๊อด
เนื่องจากจอแสดงผลในห้องเก็บของนี้แสดงทรัพยากรทั้งหมดที่เขาสามารถจะแลกเปลี่ยนได้ในพื้นที่ชั้นกลางทั้งหมด และแม้แต่น้ำแห่งชีวิตก็มีให้แลกเปลี่ยนโดยตรงหากต้องการจะแลกเปลี่ยน ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถทำได้ในเวลาอันรวดเร็ว ไม่เหมือนกับในชั้นพื้นฐานเลย ….
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้ลองใช้มันทันที โดยเมื่อเขาทำการเปิดใช้งานการแลกเปลี่ยนนั้นมันก็ได้มีเลเซอร์โผล่ขึ้นมาสแกนใบหน้าของซือเฟิง ก่อนที่หน้าจอแสดงผลข้อมูลจะแสดงผลขึ้นมาว่าซือเฟิงจะสามารถแลกเปลี่ยนโพชั่นสมาธิสิบขวดแบบฟรีๆได้ อย่างไรก็ตามถ้าเป็นในสถานการณ์ปกตินั้น โพชั่นสมาธิจะมีราคาเป็นคะแนนการค้าสี่ล้านแต้ม และคะแนนสะสมหนึ่งแสนแต้มต่อขวด
คะแนนการค้าสี่ล้านแต้มนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับกองกำลังขนาดใหญ่ในชั้นพื้นฐาน แต่คะแนนสะสมหนึ่งแสนแต้มนั้นมันนับว่ามหาศาลมากๆ และแม้แต่กับบริษัทไฟฟ์สเตทเอง ราคาขนาดนี้มันก็นับว่าหนักสำหรับพวกเขาเช่นกัน
และท้ายที่สุดแล้วซือเฟิงก็ได้เลือกแลกเปลี่ยนโพชั่นสมาธินี้ออกมาหนึ่งขวด โดยยังเก็บสิทที่เหลือที่สามารถแลกฟรีไว้อีกเก้าขวดเอาไว้มาแลกเปลี่ยนวันหลัง เพราะจากข้อมูลที่จอแสดงผลของห้องเก็บของบอกเขานั้น โพชั่นนี้มันจำเป็นจะต้องเก็บไว้ในสภาพแวดล้อมที่พิเศษมากๆ และเมื่อนำมันออกมาข้างนอกนั้นมันก็จะสามารถเก็บไว้ได้แค่วันเดียว ในวันต่อไปมันจะไม่มีเอฟเฟคอะไรเหลือเลย ดังนั้นในแต่ละครั้งเขาจึงจำเป็นที่จะต้องแลกเปลี่ยนมาเท่ากับจำนวนที่เขาต้องการใช้ดื่ม
“นี่มันพิเศษมากจริงๆ ….”
ซือเฟิงมองไปที่โพชั่นสีน้ำเงินเข้มในมือของเขาด้วยความรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เพราะโพชั่นนี้มันมีความผันผวนทางจิตอยู่ด้วย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเขาจะรู้สึกได้จากพวกสิ่งมีชีวิตเท่านั้น
อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก โดยเขาได้จัดการดื่มโพชั่นนี้เข้าไปในทันที เพราะท้ายที่สุดแล้วตอนนี้ สภาพทางจิตของเขานั้นไม่ค่อยดีนัก และมันก็จำเป็นที่จะต้องได้รับการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน
ในการต่อสู้กับหวู่หมิงนั้น เขาได้ผลักดันให้สมองของเขาไปถึงขีดสุด และใช้งานมันอย่างหนักเป็นเวลานาน บนพื้นผิวเขาอาจจะสามารถพูดคุย และหัวเราะกับเซี่ยชิงหยาง กับเซี่ยอู๋หยวนได้อย่างสบายๆ แต่จริงๆแล้วเขาได้อาศัยความแข็งแกร่งทางจิตอย่างมากในการทำแบบนี้ หากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เขามาอยู่แทนที่เขาในสถานการณ์แบบนี้ คนอื่นที่ว่านั้นก็จะล้มลงไปนานแล้วแน่นอน
โดยในช่วงเวลาที่ซือเฟิงดื่มโพชั่นนี้เข้าไป สมองของเขาที่แต่เดิมรู้สึกร้อนรุ่มราวกับถูกแผดเผานั้นก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที และในไม่ช้าผิวที่ซีดเผือดของเขาก็เริ่มกลับมามีสีเลือดในความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
“สุดยอด !! นี่มันน่าทึ่งมากจริงๆ !!!” ซือเฟิงที่รู้สึกได้ถึงสภาพจิตใจของตัวเองนั้นก็รู้สึกประหลาดใจอย่างถึงที่สุด
หลังจากดื่มไปเพียงขวดเดียวเขาฟื้นตัวกลับมาอย่างสมบูรณ์ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าสภาพจิตใจของเขามันกลับมาดีขึ้นกว่าเดิมจนน่าประหลาดใจด้วย แถมการรับรู้ทางจิตของเขามันก็ยังดีขึ้นเล็กน้อย ซึ่งนี่มันเทียบได้กับการที่เขาได้กินคริสตัลวิญญาณใน God domain เข้าไปเลย
“ผลของโพชั่นสมาธิสิบขวดนี้มันจะช่วยปรับปรุงความแข็งแกร่งทางจิตของฉันได้อย่างมากแน่นอน …. ฉันนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าบริษัทกรีนก๊อดนั้นสามารถจะสร้างของแบบนี้ได้ยังไง และฉันสามารถจัดหามันได้ในปริมาณมหาศาล ฉันก็น่าจะสามารถสร้างปรมาจารย์ทางจิตขึ้นมาได้จำนวนมาก” ซือเฟิงมองไปที่สิทของเขาที่ยังคงเหลือให้แลกโพชั่นสมาธิเก้าขวดฟรีอยู่ด้วยความตกตะลึง
และหลังจากซือเฟิงฟื้นตัวจนสมบูรณ์ เขาก็ได้ล๊อคอินกลับเข้าสู่ God domain
แม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่มีวิธีขับไล่กองทัพ NPC ผู้รุกรานจากโลกอื่นออกไปได้ แต่เขาก็อยากจะไปบอกข่าวที่เขาได้รู้มาให้จี้ลั่วหรงฟัง เพราะท้ายที่สุดแล้วนั้นอย่างน้อยเธอก็จะได้รู้ว่า ณ ตอนนี้ พี่สาวของเธอยังไม่ได้เป็นอะไร
อาณาจักรทวินทาวเวอร์ เมืองสกายสปริง :
เมื่อซือเฟิงกลับมาออนไลน์นั้น เขาก็รู้สึกว่าในตอนนี้การรับรู้ และจิตใน God domain ของเขานั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่รู้ว่านี่มันเป็นเพราะผลของโพชั่นสมาธิที่เขาดื่มเข้าไป หรือเป็นเพราะผลจากการต่อสู้กับหวู่หมิงที่เขาได้ผลักดันขีดจำกัดตัวเองไปจนถึงขีดสุดเป็นเวลานาน ….
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ?” ซือเฟิงที่สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเองนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย
ในตอนนี้ซือเฟิงนั้นรู้สึกว่าการรับรู้ และจิตของเขาใน God domain นั้นมันดูเหมือนจริงขึ้น แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
“หรือว่ามันจะเกิดจากการที่ฉันใช้เทคนิคการต่อสู้ที่คล้ายกับใน God domain ในโลกแห่งความจริงงั้นหรอ ?”
ในตอนนี้ซือเฟิงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าค่าความแข็งแกร่งทางจิตของเขานั้นพัฒนาไปอย่างมาก โดยมันได้พัฒนาไปถึงที่จุดสูงสุดของขั้นห้าแล้ว และอยู่ห่างอีกเพียงก้าวเดียวก็จะไปถึงขั้นหก
อย่างไรก็ตามในขณะที่ซือเฟิงยังไม่สามารถประมวลผลเรื่องนี้ทั้งหมดได้ ฟางฉีหานก็ได้ติดต่อเขาเข้ามาทันที
“หัวหน้ากิล คุณโอเคไหม ?” ฟางฉีหานมองไปที่ใบหน้าของซือเฟิงที่ปรากฎอยู่ในวีดีโอคอล พลางกล่าวอย่างกังวลว่า “ฉันได้ยินมาว่าคุณได้ต่อสู้กับปรมาจารย์หวู่หมิง ผู้ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับการจะกลายเป็นปรมาจารย์ทางจิตระดับสามดาวแล้ว …. ดังนั้นฉันจึงได้ลองติดต่อมาถามดู เพราะท้ายที่สุดแล้วปรมาจารย์หวู่หมิงนั้นสามารถจะทำให้ผู้ที่พึ่งจะก้าวมาถึงขอบเขตปรมาจารย์ทางจิตอย่างคุณนั้นพิการได้เลย”
พลังของปรมาจารย์ทางจิตแบบหวู่หมิงนั้นมันไม่ได้เป็นความลับสำหรับคนที่อยู่อาศัยในชั้นกลาง และแม้แต่ชนชั้นสูงบางคนในชั้นพื้นฐานก็ยังรู้ถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
“ไม่ต้องกังวล ตอนนี้ฉันฟื้นตัวเต็มที่แล้ว” ซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนี้ซือเฟิงอยากจะบอกด้วยซ้ำว่าถ้าเขาต้องต่อสู้กับหวู่หมิงอีก เขาจะไม่อยู่ในสถานะที่เสียเปรียบอย่างหนักแบบครั้งที่แล้วแน่นอน
“ฟู่วว …” ฟางฉีหานโล่งใจเมื่อได้ยินคำตอบของซือเฟิง จากนั้นเธอก็พูดอย่างช้าๆว่า “อย่างไรก็ตามหัวหน้ากิล ไม่นานหลังจากที่คุณล๊อคเอ้าท์ออกไปนั้น กองทัพ NPC จากโลกอื่นก็ได้เข้าร่วมสงครามแล้ว โดยในปัจจุบันคนของฉันก็ได้ต่อสู้กับ NPC ต่างๆเพื่อตรวจสอบข้อมูลอยู่ในหลายประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศนี้ก็ล้วนได้รับความเสียหายอย่างหนัก และจากที่ฉันคาดการณ์อีกไม่นานสงครามก็จะลามมาถึงอาณาจักรทวินทาวเวอร์ กับอาณาจักรสตาร์มูน รวมไปถึงพื้นที่รอบๆด้วยแน่นอน ขณะเดียวกันอีกไม่นานกองทัพสงครามของอาณาจักรก็กำลังจะมาถึงเมืองสกายสปริงเพื่อประชุมกันแล้ว แต่อย่างไรก็ตามกองทัพของประเทศที่ยังไม่ถูกรุกรานจะเข้าร่วมกับเราไหม เรื่องนี้ฉันก็ยังไม่แน่ใจ เพราะท้ายที่สุดแล้วมันยังมีอีกหลายปัจจัยให้ต้องประเมิน”
“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว …” ซือเฟิงพยักหน้า “แล้วก็ฝากไปบอกพวกเขาทีให้เปลี่ยนสถานที่ประชุมไปเป็นเมืองสตาร์มูน !!!”
“เปลี่ยนไปเป็นเมืองสตาร์มูนงั้นหรอ ?” ฟางฉีหานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำสั่งของซือเฟิง
สภาสิบแปดปีกของพวกเขานั้นมีสาขาในเมืองสตาร์มูน แต่เมืองสตาร์มูนนั้นไม่ใช่เมือง NPC หลักของพวกเขา แถมพวกเขาก็มีกำลังคนอยู่ในเมืองสตาร์มูนไม่มากนัก ดังนั้นการที่จะให้ย้ายสถานที่ประชุมไปที่เมืองสตาร์มูนภายใต้การจัดการของสภาสิบแปดปีกนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องกำลังพล ที่ทั้งคุณภาพและจำนวนที่มีอยู่ในเมืองสกายสปริงนั้นมันเหนือกว่าในเมืองสตาร์มูนมากๆ และนี่มันก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะสะท้อนให้มหาอำนาจอื่นๆเห็นถึงความแข็งแกร่งของสภาสิบแปดปีกในการเตรียมพร้อมจะต่อสู้กับกองทัพ NPC จากโลกอื่นด้วย
“ใช่แล้ว ไปทำตามที่ฉันบอก !!!” ซือเฟิงกล่าวยืนยัน
“โอเค งั้นเดี๋ยวฉันจะไปแจ้งให้พวกเขาทราบทันที !!” เมื่อได้ยินคำยืนยันจากซือเฟิง ฟางฉีหานก็เลือกจะไม่พูดอะไรต่อ และรีบไปทำตามคำสั่งทันที
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งนั้นซือเฟิงก็ได้เทเลพอร์ตไปยังเมืองสตาร์มูน และมุ่งหน้าไปที่สำนักงานใหญ่หลักของวิหารเทพสงครามในอาณาจักรสตาร์มูนทันที
ฮาร์เวิร์ด สตอร์มเรจ ลอร์ดแห่งวิหารเทพสงครามได้สัญญากับเขาว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้สภาสิบแปดปีกได้เข้าประจำการที่เมืองสตาร์มูน และตอนนี้มันก็ผ่านมานานแล้ว ดังนั้นมันจึงควรจะเสร็จ หรืออย่างน้อยก็ใกล้เสร็จแล้ว ….
ตอนที่ 2910 ภูมิหลังของอาณาจักร
เมืองสตาร์มูน วิหารเทพสงคราม :
ในขณะที่ซือเฟิงเดินเข้าไปที่ห้องโถงในชั้นหนึ่งของวิหารเทพสงคราม ผู้จัดการทั่วไปขั้นสี่ เลเวลหนึ่งร้อยแปดสิบก็ได้เดินเข้ามาหาเขาด้วยความเคารพ ซึ่งนี่มันก็ได้ดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้เล่นที่มารับ และส่งเควสที่วิหารเทพสงครามอย่างมาก โดยแต่ละคนนั้นก็ไม่สามารถจะซ่อนความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองได้ ในขณะที่พวกเขามองไปยังซือเฟิงที่สวมเสื้อคลุมสีดำที่มีใบหน้าถูกปกคลุมไปด้วยหมอกจางๆ
“ผู้จัดการทั่วไปขั้นสี่ออกมาต้อนรับเขาเป็นการส่วนตัวเลย นี่เขาเป็นใครกัน ?”
“ฉันจำได้ว่าตอนที่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่หลายคนได้เข้ามารับ และส่งเควสที่นี่นั้น ผู้จัดการทั่วไปไม่ได้สนใจพวกเขาเลย แต่ตอนนี้เขากับริเริ่มที่จะทักทายชายคนนี้ ชายคนนี้คือแบล๊คเฟรมรึปล่าว ?”
“แน่นอน เขาต้องเป็นนักบุญแห่งดาบแบล๊คเฟรมอย่างแน่นอน !!! ฉันได้ยินมาว่าแบล๊คเฟรมมักจะเดินทางคนเดียว และชอบซ่อนตัวตนของตัวเอง นอกเหนือจากนี้นั้นทั่วทั้งอาณาจักรสตาร์มูน ผู้ที่จะทำให้ผู้จัดการทั่วไป ขั้นสี่ เลเวลหนึ่งร้อยแปดสิบ ออกมาต้อนรับด้วยความเคารพแบบนี้ มันก็มีเพียงเขาเท่านั้นแหละ !!!!”
ทุกคนในห้องโถงนั้นล้วนจ้องมองไปที่ซือเฟิง และหลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะพุ่งเข้าไปล้อมรอบตัวซือเฟิง ด้วยความต้องการที่จะถ่ายภาพ บันทึกวีดีโอ …. และรวมไปถึงบางคนที่พยายามจะทักทายซือเฟิงด้วย
ในตอนนี้ซือเฟิงนั้นเป็นดั่งตำนานที่มีลมหายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักดาบอิสระหลายคนที่เลือกจะเล่นอาชีพนี้ก็เพราะเขานี่แหละ ….
และในตอนนี้มันก็มีหลายโพสที่ปรากฎขึ้นบนฟอรั่มทางการของอาณาจักรสตาร์มูน โดยมันก็เกี่ยวกับการที่นักบุญแห่งดาบแบล๊คเฟรมมาปรากฎตัวขึ้นที่เมืองสตาร์มูน
ชั่วขณะหนึ่งซือเฟิงนั้นรู้สึกพูดไม่ออกอย่างถึงที่สุด ….
เขาคิดว่าเขานั้นปกปิดตัวตนของตัวเองไว้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แต่เหล่าผู้เล่นทั้งหมดที่อยู่ทั่วบริเวณนี้กับจำเขาขึ้นมาได้จากชื่อเสียงของเขาซะยังงั้น ….
“นายท่าน ท่านลอร์ดของพวกเราได้สั่งไว้แล้วว่า หากนายท่านมาถึงให้มอบสิ่งนี้ให้นายท่าน ….” ผู้จัดการทั่วไปได้จัดการหยิบม้วนกระดาษหนังแกะออกมาด้วยความเคารพ และส่งให้กับซือเฟิง “ขั้นตอนที่เหลือมันก็มีแค่นายท่านต้องลงชื่อเท่านั้น แล้วมันก็จะมีผลโดยตรงทันที !!!”
เมื่อเห็นดังนี้ซือเฟิงก็ได้รับม้วนกระดาษหนังแกะมา ก่อนที่เขาจะพยักหน้า และกล่าวว่า “ฝากขอบคุณท่านลอร์ดแทนฉันด้วย”
ม้วนกระดาษหนังแกะที่ผู้จัดการทั่วไปส่งมาให้ซือเฟิงนั้นคือสัญญาที่ถูกร่างขึ้นโดยกษัตริย์แห่งอาณาจักรสตาร์มูน และตราบใดที่เขาเซ็นสัญญา กิลสภาสิบแปดปีกของเขาก็จะได้เข้าประจำการในอาณาจักรสตาร์มูนอย่างเป็นทางการ และกลายเป็นกิลผู้พิทักษ์ของอาณาจักรสสตาร์มูนทั้งหมด แถมกิลของพวกเขายังจะสามารถพัฒนาอาณาจักรสตาร์มูน และสั่งระดมกองทัพบางส่วนของอาณาจักรได้ด้วยตัวเองด้วย ….
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้เซ็นสัญญา และลงนามในชื่อของเขาทันที
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เสียงแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นที่หูของซือเฟิง
ระบบ : ขอแสดงความยินดีกับกิลสภาสิบแปดปีกของผู้เล่นที่ได้เข้าประจำการในอาณาจักรสตาร์มูน และกลายเป็นกิลผู้พิทักษ์ของอาณาจักรสตาร์มูนอย่างเป็นทางการ โดยกิลจะได้เพลิดเพลินไปกับอำนาจส่วนหนึ่งในการจัดการอาณาจักรสตาร์มูนด้วย
ในเวลาเดียวกัน ประกาศจากระบบก็ดังขึ้นไปทั่วอาณาจักรสตาร์มูน ….
ประกาศจากระบบ : ขอแสดงความยินดีกับกิลสภาสิบแปดปีกของผู้เล่นที่ได้เข้าประจำการในอาณาจักรสตาร์มูน และกลายเป็นกิลผู้พิทักษ์ของอาณาจักรสตาร์มูนอย่างเป็นทางการ โดยกิลจะได้เพลิดเพลินไปกับอำนาจส่วนหนึ่งในการจัดการอาณาจักรสตาร์มูนด้วย
ประกาศจากระบบนั้นดังขึ้นสามครั้งติดกัน และมันก็ทำให้ผู้เล่นทั้งหมดในอาณาจักร
สตาร์มูนที่ได้ยินนั้นตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
“นี่มันอะไรกัน ?”
“เข้าประจำการในอาณาจักรสตาร์มูน ?”
“ไม่ใช่ว่ามันจะมีแต่สิบสองกิลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหรอที่จะสามารถเข้าประจำการในประเทศต่างๆของ God domain ได้ ?”
เมื่อได้ยินประกาศอย่างกระทันหันนี้นั้นผู้เล่นหลายคนก็แทบจะไม่สามารถประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นแบบนั้น แต่ทุกคนก็รู้ถึงสิ่งหนึ่งดี โดยเฉพาะกับเหล่าผู้เล่นของสภาสิบแปดปีก ….
เพราะแม้แต่คนโง่ที่สุดใน God domain นั้นก็ยังจะสามารถบอกได้ว่าในอนาคตนับจากวันนี้นั้น สภาสิบแปดสิบแปดปีกจะกุมอำนาจในอาณาจักรสตาร์มูนอย่างเบ็ดเสร็จแน่นอน และนี่มันก็จะทำให้แม้แต่มหาอำนาจต่างๆก็ยังจะต้องคิดแล้วคิดอีก หากคิดจะสร้างปัญหาในอาณาจักรสตาร์มูน ซึ่งเรื่องนี้มันก็ทำให้พวกสมาชิกหน้าใหม่ของสภาสิบแปดปีกสามารถจะมั่นใจได้ว่าตัวเองจะสามารถเก็บเลเวลภายในแผนที่ของอาณาจักรสตาร์มูนได้อย่างสบายๆ และพวกเขาก็ยังจะสามารถรับเควสจำนวนมากที่ผู้เล่นคนอื่นไม่สามารถรับได้อีกด้วย และด้วยเรื่องทั้งหมดนี้นั้น มันก็จะทำให้ผู้ที่เป็นสมาชิกของสภาสิบแปดปีกสามารถพัฒนาตัวเองไปได้อย่างรวดเร็วมากๆ
ในตอนนี้ แม้แต่กองกำลังจำนวนมากในอาณาจักรสตาร์มูนก็ยังยากจะจินตนาการได้ว่าการพัฒนาของสภาสิบแปดปีกจะเป็นไปอย่างรวดเร็วแค่ไหนในอนาคต
เนื่องจากเมื่อสภาสิบแปดปีกสามารถกุมอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จในอาณาจักรสตาร์มูน สภาสิบแปดปีกก็จะสามารถรับสมัครสมาชิกกิลหน้าใหม่เข้ามาได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยที่พวกเขาก็ไม่จำเป็นจะต้องกังวลอีกต่อไปว่าจะมีแผนที่เก็บเลเวล และทรัพยากรต่างๆไม่เพียงพอ ….
ซึ่งนี่มันก็จะเป็นการช่วยลบข้อบกพร่องต่างๆแต่เดิมของสภาสิบแปดปีกไปได้ในทันที ….
เพราะท้ายที่สุดแล้วเมื่อก่อนนั้นพวกเขาสามารถรับสมัครได้แค่ผู้เล่นระดับสูงขึ้นไปเท่านั้น แต่ผู้เล่นระดับสูงนั้นก็มีจำนวนน้อยมาก ดังนั้นพวกเขาจึงประสบปัญหาขาดแคลนกำลังคนอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา และนี่มันก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้สภาสิบแปดปีกยังคงจัดว่าอยู่ด้อยกว่ากิลชั้นยอด และซุเปอร์กิลทั่วไป แม้ว่าจะได้รับการยอมรับอย่างสูงจากสาธารณชนแล้วก็ตาม ….
“โอเค !! ในที่สุดมันก็สำเร็จ !!!” ซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม เมื่อเขาได้ยินการแจ้งเตือนของระบบ
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้รีบออกจากวิหารเทพสงคราม และมุ่งตรงไปยังคลังสมบัติของอาณาจักรสตาร์มูนทันที
กิลที่ได้เข้าประจำการในประเทศต่างๆของ God domain จะมีผลประโยชน์แอบแฝงที่พวกเขามีสิทจะได้รับอยู่ นอกเหนือจากกิลจะได้รับความเคารพอย่างมากจากอาณาจักรแล้ว พวกเขาก็ยังจะได้รับทรัพยากรมากมายทุกเดือน นอกจากนี้มันยังมีอีกหนึ่งผลประโยชน์ที่นับว่าสำคัญที่สุด
โดยผลประโยชน์ที่ว่านั้นก็ คือ การได้รับสิทในการเข้าถึงคลังสมบัติของประเทศนั้นๆที่พวกเขาเข้าประจำการ
แต่อย่างไรก็ตามการจะเข้าถึงคลังสมบัติของประเทศต่างๆใน God domain เพื่อไปแลกเปลี่ยนทรัพยากรนั้น คนๆหนึ่งจะต้องมีสถานะเป็นถึงแกรนด์ดยุคในประเทศนั้นๆเลย
และแม้ว่าตัวซือเฟิงจะไม่ได้มีสถานะเป็นแกรนด์ดยุคของอาณาจักรสตาร์มูน แต่เขาก็มีสถานะเป็นผู้อาวุโสของวิหารเทพสงคราม ซึ่งสถานะนี้นั้นมันสูงกว่าแกรนด์ดยุคของจักรวรรดิด้วยซ้ำ ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วเรื่องนี้มันจึงไม่มีปัญหาใดๆ
ใน God domain นั้น ประเทศต่างๆล้วนมีภูมิหลังที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามประเทศส่วนใหญ่นั้นเทียบไม่ได้กับองค์กรขนาดใหญ่ที่ทรงพลังแบบวิหารเทพสงครามเลย เพราะองค์กรแบบนี้นั้นสามารถจะเปลี่ยนประเทศทั้งประเทศได้อย่างสิ้นเชิง
ซึ่งนี่มันก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้การจะได้รับการยอมรับว่าเป็นสิบสองกิลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน God domain นั้นยากมากๆ
ภายในระยะเวลาสั้นๆซือเฟิงก็สามารถเดินผ่านวัง และเข้ามาถึงคลังสมบัติของอาณาจักรได้อย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีข้อจำกัดใดๆ
คลังสมบัติของอาณาจักรสตาร์มูนนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในอาณาจักรสตาร์มูนแล้ว เนื่องจากแค่ทหาร NPC เฝ้าคลังเพียงอย่างเดียว มันก็เพียงพอที่จะสร้างความปวดหัวให้กับผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่แล้ว โดยทหาร NPC เฝ้าคลังนั้นมีอยู่แปดคน ซึ่งทั้งหมดล้วนอยู่ในขั้นสี่ และมีเลเวลหนึ่งร้อยแปดสิบ ถึงสองร้อย นอกจากนี้พวกเขาทั้งหมดก็ยังสวมใส่เศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานกันแบบครบเซ็ทด้วย
และเมื่อบวกกับวงเวทย์ป้องกันของคลังนั้น หากคนๆหนึ่งไม่มีอาชีพขั้นห้าร่วมมือด้วยสามถึงสี่คนเป็นอย่างน้อย พวกเขาก็ควรจะเลิกคิดที่จะบุกเข้ามาที่นี่เลย
“นายท่าน ท่านมีธุระอะไรกันถึงมาที่นี่ ?” หัวหน้าทหาร NPC เลเวลสองร้อย ที่ทำหน้าที่เฝ้าคลังจ้องมองไปยังซือเฟิง และกล่าวถามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเคารพ
“ฉันมาที่นี่เพื่อแลกเปลี่ยนทรัพยากรในคลัง …” ซือเฟิงกล่าวไปตรงๆ
“โปรดตามฉันมา …”
หัวหน้าทหาร NPC เลเวลสองร้อยกล่าวก่อนที่เขาจะเดินนำซือเฟิงเข้าไปยังส่วนที่ลึกที่สุดในคลังสมบัติของอาณาจักรสตาร์มูนทันที
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้เดินลึกลงไปถึงที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สี่ ซึ่งเมื่อซือเฟิงมาถึงนั้นเขาก็สังเกตเห็นห้องลับที่ถูกปกคลุมไปด้วยวงเวทย์ทันที นอกเหนือจากนี้ซือเฟิงก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่สูงมากๆ เมื่อเขาได้เห็น และสัมผัสได้ถึงชายชราคนหนึ่งที่นั่งอยู่เงียบๆภายในห้องลับ
“มหาจอมเวทย์ศักสิทธิ์ ขั้นห้า ?” ซือเฟิงมองไปที่ชายชราที่นั่งอยู่เงียบๆ และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เขาไม่คิดเลยว่าภูมิหลังของอาณาจักรสตาร์มูนนั้นจะแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้มาก แถมชายชราคนนี้ก็ยังสวมใส่หมวกเวทย์มนต์ระดับตำนานด้วย ซึ่งหากผู้เล่นขั้นห้าทั่วไปต้องเผชิญหน้ากับชายคนนี้ พวกเขาก็จะต้องพ่ายแพ้อย่างอย่างแน่นอน
“ท่านนักบุญแห่งดาบ เชิญเข้าไปได้เลย !! ….” หัวหน้าทหารกล่าวพลางโค้งคำนับ และชี้ไปที่ด้านในห้องลับ
เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าทหารนั้นมีคุณสมบัติเพียงแค่มาส่งถึงที่หน้าประตูห้องลับเท่านั้น แต่ไม่มีสิทจะเข้าไป
ซือเฟิงพยักหน้า และเดินตรงเข้าไป ….
เมื่อซือเฟิงเดินเข้ามาในห้องลับนั้น เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าสภาพแวดล้อมในห้องลับนี้ค่อนข้างพิเศษมาก เพราะบางส่วนของมันนั้นคล้ายกับสภาพแวดล้อมใน God domain ยุคโบราณ ซึ่งมันหาได้ยากมากๆใน God domain ยุคปัจจุบัน
“ยอดเยี่ยม !! นักบุญแห่งดาบ เนื่องจากสถานะของคุณ และการที่คุณได้เซ็นสัญญา และลงนามกับกษัตริย์แห่งอาณาจักรสตาร์มูนแล้ว ดังนั้นคุณจึงมีสิทจะแลกเปลี่ยนทรัพยากรจากคลังสมบัติไปได้” ชายชรามองไปที่ซือเฟิงก่อนที่เขาจะโบกมือของตัวเอง และทันใดนั้นไอเทมสามชิ้นก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของซือเฟิง “สิ่งของทั้งสามชิ้นนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่ถูกเหลือไว้โดยกษัตริย์ผู้ก่อตั้งอาณาจักรสตาร์มูน นอกจากนี้พวกมันก็ยังเป็นปัจจัยหลักๆที่ทำให้อาณาจักรสตาร์มูนของเราสามารถยืนหยัดอยู่รอดใน God domain มาได้จนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นฉันจึงหวังว่าไอเทมหนึ่งจากสามชิ้นนี้จะช่วยคุณได้ !!!”
และเมื่อซือเฟิงมองไปยังสิ่งของทั้งสามชิ้นตรงหน้าของเขานั้น ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงด้วยความตกตะลึง
เนื่องจากภูมิหลังของอาณาจักรสตาร์มูนนั้น มันเกินจินตนาการของซือเฟิงมากเกินไป และแม้แต่ใจของซือเฟิงเองในบางส่วนก็ยังแทบทำใจให้เชื่อไม่ได้เลยว่าอาณาจักรสตาร์มูนมีภูมิหลังแบบนี้
โดยสิ่งของทั้งสามชิ้นนี้นั้นไม่ใช่ไอเทมระดับตำนาน และไม่ใช่ไอเทมระดับนักบุญที่อ่อนแอ
แต่มันเป็นแบบแปลน และสูตร !!!
ซึ่งแบบแปลน และสูตรพวกนี้นั้นสามารถจะส่งผลกระทบถึงจักรวรรดิทั้งจักรวรรดิได้เลยด้วยซ้ำ !!!
โดยสิ่งของชิ้นแรกนั้นก็คือ แบบแปลนเรือเหาะระดับเหล็กลึกลับ ซึ่งถ้านำมาเทียบกับแบบแปลนเรือเหาะมังกรสีเลือดที่สภาสิบแปดปีกมีอยู่ที่เป็นเพียงเรือเหาะขั้นสูงนั้น ซือเฟิงก็จินตนาการไม่ออกเลยว่าเรือเหาะระดับเหล็กลึกลับนั้นจะทรงพลังมากขนาดไหน แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ซือเฟิงสามารถบอกได้อย่างชัดเจนก็คือ แค่เรือเหาะระดับทองแดงนั้นมันก็สามารถจะใช้ต่อกรกับอาชีพขั้นสี่ได้แล้ว ดังนั้นจากที่ซือเฟิงคาดเดา เรือเหาะระดับเหล็กลึกลับนั้นน่าจะมีพลังมากพอที่จะทำลายวงเวทย์ป้องกันขั้นห้าของเมืองๆหนึ่งได้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งก็ไม่ต้องพูดถึงพวกผู้เล่น หรือ NPC ทั่วไปเลย และมันก็สามารถจุคนได้สูงสุดถึงสามร้อยคน
ขณะเดียวกันมันก็ต้องใช้เงินหนึ่งล้านห้าแสนเหรียญทอง และคริสตัลเวทย์มนต์หนึ่งล้านชิ้นในการแลกเปลี่ยน
ส่วนของชิ้นที่สองนั้นก็คือสูตรโพชั่นระดับปรมาจารย์ซึ่งเป็นโพชั่นเวทย์มนต์ที่ค่อนข้างพิเศษ
ซึ่งผลของโพชั่นนี้มันก็คือสามารถจะทำให้ผู้เล่นที่ดื่มมันเข้าไปเลื่อนขั้นขึ้นไปหนึ่งขั้นได้ชั่วคราวเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง โดยสามารถเลื่อนขั้นไปได้สูงสุดที่ขั้นสี่
ใน God domain นั้นแค่สามารถมาถึงขั้นสามได้ก็จะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงแล้ว ขณะเดียวกันสำหรับผู้ที่ไปถึงขั้นสี่ได้นั้นจะถือเป็นนกฟีนิกซ์ในหมู่คนทั่วไปเลย แต่โพชั่นนี้กับสามารถทำให้คนๆหนึ่งเลื่อนขั้นขึ้นไปได้หนึ่งขั้นเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง และสูงสุดที่ขั้นสี่ มันจึงจัดว่าเป็นโพชั่นที่น่าเหลือเชื่อมากๆเลยทีเดียว
หากมีโพชั่นแบบนี้นั้น แม้แต่กิลชั้นสูงทั่วไปก็จะสามารถกลายเป็นกิลที่น่ากลัวเทียบเท่ากับห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดได้ทันที
โดยมันก็ต้องใช้เงินหนึ่งล้านเหรียญทอง และคริสตัลเวทย์มนต์หนึ่งล้านห้าแสนชิ้นในการแลกเปลี่ยน
สำหรับของชิ้นที่สามนั้นมันคือ แบบแปลนหุ่นกลผู้พิทักษ์ระดับลึกลับขั้นเงิน ซึ่งแม้แต่ซือเฟิงผู้ที่มีประสบการณ์ใน God domain มาสองชีวิตก็ยังเคยเห็นตัวหุ่นกลระดับนี้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ในขณะที่แบบแปลนของหุ่นกลระดับนี้นั้นเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
หุ่นกลผู้พิทักษ์ระดับทองแดงนั้นจะมีพลังอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นสาม และพวกมันก็ยังคงจัดว่ามีพลังอำนาจค่อนข้างมากใน God domain ยุคปัจจุบัน และอย่างน้อยพวกขั้นสี่ก็ยังยากจะทำลายมันได้
ขณะที่หุ่นกลผู้พิทักษ์ระดับเหล็กลึกลับนั้นจะมีพลังอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นสี่ และพวกมันก็จะสามารถต่อกรกับพวกขั้นสี่ได้สบายๆเลย
ในส่วนของหุ่นกลผู้พิทักษ์ระดับลึกลับขั้นเงิน !!
พลังของมันนั้นก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพอย่างมากจนมันมีพลังอยู่ในระดับพื้นฐานของขั้นห้า และพวกขั้นสี่นั้นก็แทบไม่มีสิทจะทำลายมันได้เลย และโดยทั่วไปแล้วนั้นมันก็จะมีเพียงแต่พวกขั้นห้าเท่านั้นที่มีสิทจะทำลายมันได้
ซึ่งมันก็ต้องใช้เงินสองล้านเหรียญทอง และคริสตัลเวทย์มนต์หนึ่งล้านชิ้นในการแลกเปลี่ยน !!!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น