Reincarnation Of The Strongest Sword God 2868-2871

 ตอนที่ 2868 นักบุญแห่งดาบขั้นห้า


ในขณะที่ซือเฟิงเลือกจะเปลี่ยนร่างมานาของเขาเป็นร่างมานาใหม่ มานาภายในห้องลับทั้งหมดก็เต็มไปด้วยความเดือดพล่าน ในขณะที่มันก็ค่อยๆไหลบ่าเข้าสู่ร่างกายของซือเฟิงอย่างรวดเร็ว


ร่างมานาใหม่ของซือฟิงนั้นเป็นเหมือนกับสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ที่หิวโหย มันได้กลืนกินมานาในบริเวณรอบๆอย่างต่อเนื่อง และบ้าคลั่ง


หลังจากผ่านไปหนึ่งนาทีเต็ม ปรากฎการณ์นี้ก็หยุดลง และมานาภายในห้องลับก็เริ่มค่อยๆกลับมาเป็นปกติ


“ขั้นห้า !!”


“นี่คือความแข็งแกร่งของอาชีพขั้นห้างั้นหรอ ?!!”


ซือเฟิงนั้นรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวที่มันแผ่ออกมาจากร่างกายของเขาได้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกันมันก็มาพร้อมกับความรู้สึกที่สามารถรับรู้สภาพแวดล้อมได้ทั้งหมดแบบที่ไม่อาจอธิบายได้ ซึ่งเมื่อมาถึงตรงนี้นั้นซือเฟิงก็เข้าใจแล้วว่าทำไมแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ถึงไม่สามารถจะต่อกรกับอาชีพขั้นห้าที่แท้จริงได้เลย


ตอนนี้ซือเฟิงเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วจริงๆถึงพลังและความน่ากลัวของอาชีพขั้นห้า !!


เมื่อเทียบกับสายอาชีพขั้นสี่แล้วนั้น มานาภายในร่างมานาขั้นห้าของอาชีพขั้นห้านั้นจัดว่ามีมหาศาลกว่านับสิบเท่า ซึ่งนี่มันนับเป็นข้อแตกต่างที่ยิ่งใหญ่มากๆเลยทีเดียวสำหรับอาชีพขั้นสี่ และขั้นห้า


ยิ่งไปกว่านั้นอาชีพขั้นห้าก็ยังไม่ได้ทรงพลังแค่ในเรื่องนี้


ระบบ : ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่นที่ได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นเบลดเซ้นต์ขั้นห้า (นักบุญแห่งดาบ) ค่าสถานะทั้งหมด + 5,000 แต้ม ค่าความต้านทานเวทย์มนต์ทั้งหมด + 500 แต้ม ความเร็วในการฟื้นฟูมานาเพิ่มขึ้น 300 เปอเซ็นต์ การโจมตีทั้งทางกายภาพและเวทย์มนต์ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นห้ามีผลลดลง 40 เปอเซ็นต์ ค่าสถานะทั้งหมดเพิ่มขึ้น 150 เปอเซ็นต์ ร่างกายทางกายภาพดีขึ้น 200 เปอเซ็นต์ ความเร็วในการตอบสนอง และการคิดเพิ่มขึ้น 100 เปอเซ็นต์ และได้รับคะแนนสกิลมรดก 200 แต้มเป็นรางวัล …


ในตอนที่เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นขั้นสี่นั้น ผู้เล่นได้รับค่าสถานะทั้งหมดเพิ่มขึ้นมาแค่สองพันแต้มเท่านั้น แต่หลังจากเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นขั้นห้าผู้เล่นกับได้รับค่าสถานะทั้งหมดเพิ่มขึ้นมาถึงห้าพันแต้ม และนี่มันก็เป็นเพียงแค่ค่าสถานะเท่านั้น ยังไม่รวมเรื่องโบนัสจากอาวุธกับอุปกรณ์ใดๆ นอกจากนี้มันยังมีเรื่องของช่องว่างร่างกายที่แตกต่างกันออกไปอีก


กล่าวได้ง่ายๆว่าแม้ว่าผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าจะสวมใส่แค่อาวุธและอุปกรณ์ระดับทองแดงครบเซ็ท แต่พวกเขาก็ยังจะสามารถฆ่าผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ที่สวมใส่อาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคครบเซ็ทได้ และแม้ว่าผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่จะมีเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานอยู่หลานชิ้นในตัว แต่มันก็ยังคงเป็นเรื่องยากมากที่จะมีค่าสถานะเหนือกว่าผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าที่สวมใส่อาวุธและอุปกรณ์ระดับทองแดงในด้านใดในด้านหนึ่ง


มันมีเพียงแต่อาวุธระดับตำนานเท่านั้นที่จะช่วยชดเชยช่องว่างนี้ได้ ขณะที่พวกอุปกรณ์ระดับตำนานก็สามารถจะทำได้เช่นกัน เพียงแต่ว่า มันก็จะแย่กว่าอาวุธอยู่นิดหน่อย แต่อย่างไรก็ตามหากเพิ่มปัจจัยขึ้นมาเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าคนหนึ่งที่จะต้องต่อสู้ด้วยนั้นมีมาตราฐานการต่อสู้ที่สูงมาก ผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่นั้นก็จะรับมือกับผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าได้ยากมากๆเลยทีเดียว แม้ว่าตัวผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่จะมีอาวุธระดับตำนานใช้อยู่ก็ตาม


“ด้วยความแข็งแกร่งมากขนาดนี้ ฉันจะสามารถต่อสู้กับ NPC ขั้นห้าทั่วไปได้สบายๆเลยทีเดียว ….” ซือเฟิงที่ทำการตรวจเช็คค่าสถานะล่าสุดทั้งหมดของเขาเริ่มร่างแผนการในอนาคตมากมายสำหรับการพัฒนาของสภาสิบแปดปีกแล้ว ….


เพราะว่าตอนนี้แค่ค่า STR กับค่า AGI ของเขาเพียงอย่างเดียวมันก็ทะลุหกหมื่นแต้มไปแล้ว ขณะที่เบอเซิกเกอร์ขั้นสี่ที่สวมใส่อาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคชั้นยอดที่สามารถใช้ได้จนถึงเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบครบเซ็ท และเน้นการอัพค่าสถานะไปที่ค่า STR แทบทั้งหมดนั้นก็ยังมีค่า STR มากกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันเท่านั้นเอง ….


สำหรับ NPC ขั้นห้า เลเวลหนึ่งร้อยแปดสิบ จากการวิจัยและรวบรวมข้อมูลของผู้เล่นในชีวิตที่ผ่านมาของเขา มันก็พบว่า NPC เหล่านี้มีค่าสถานะแต่ละอย่างแค่ราวเจ็ดหมื่นถึงแปดหมื่นแต้มเท่านั้น


แม้ว่ามันจะมีช่องว่างค่อนข้างมากระหว่างตัวเลขค่าสถานะหกหมื่น เจ็ดหมื่น และแปดหมื่นแต้ม แต่มันก็ไม่ใช่ช่องว่างที่จะไม่สามารถต้านทานได้เลย เพราะท้ายที่สุดหลังจากที่เขาก้าวขึ้นสู่ขั้นห้ามาได้ ทุกครั้งที่เขาเก็บเลเวลจนมีเลเวลเพิ่มขึ้นหนึ่งเลเวลนั้น เขาก็จะได้รับค่าสถานะเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก แถมตอนนี้อุปกรณ์และอาวุธในปัจจุบันของเขาก็ถูกอัพเกรดให้ใช้ได้ไปจนถึงเลเวลหนึ่งร้อยแปดสิบแล้ว ดังนั้นการจะบรรลุค่าสถานะแปดหมื่นแต้มทั้งหมดนั้นไม่ใช่ปัญหาแน่นอน ….


นอกจากนี้เขายังมีมาตราฐานการต่อสู้ที่สูงกว่า NPC ขั้นห้าอย่างมาก และด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นแบบนี้ มันก็จะทำให้เขาสามารถต่อสู้กับ NPC ขั้นห้า เลเวลหนึ่งร้อยแปดสิบได้แน่นอน


แต่อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ยังไม่ได้หยิ่งพอที่จะไปท้าสู้ NPC ขั้นห้าแบบมั่วๆ ….


เพราะตอนนี้ NPC ขั้นห้า เลเวลหนึ่งร้อยแปดสิบที่เขาสามารถสู้ได้นั้นมันจะมีก็แต่พวก NPC ที่ไม่ได้มีเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานหรือเหนือกว่าขึ้นไปเท่านั้น ถ้าเจอ NPC ขั้นห้าประเภทที่มีเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานหรือเหนือกว่าขึ้นไป เขาก็จำเป็นจะต้องใช้วิธีพิเศษในการสู้ แต่หากมันไม่พอ เขาก็ยังคงจะต้องหนีก่อนอยู่ดี ….


“ดูเหมือนว่าตอนนี้ฉันจะต้องเริ่มพาไฟเออร์แดนซ์กับคนอื่นๆไปเก็บรวบรวมอาวุธ และอุปกรณ์ระดับตำนาน รวมไปถึงคริสตัลเจ็ดลูมินาลี่เพิ่มเติมสักหน่อยแล้ว !!!”


อาชีพขั้นห้านั้นนับเป็นจุดสูงสุดใน God domain ในยุคที่ไม่มีเทพขั้นหก แต่มันก็ยังคงมีช่องว่างระหว่างขั้นห้ากับขั้นห้าอยู่ ซึ่งอาวุธกับอุปกรณ์ระดับตำนานนั้นเป็นกุญแจสำคัญในเรื่องนี้


ในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิง ผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าชั้นยอดในหมู่ขั้นห้าด้วยกันนั้นจะต้องมีอาวุธหรืออุปกรณ์ระดับตำนานอย่างน้อยหนึ่งชิ้นเท่านั้น ซึ่งเมื่อมีตามเกณฑ์นี้แล้วพวกเขาก็จะสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างแทบจะไร้ขีดจำกัดเลยในยุคที่ไร้ซึ่งเทพขั้นหกแบบนี้


และหากผู้ที่ก้าวมาถึงขั้นห้าแล้วต้องการจะอาละวาดไปทั่วทั้งทวีป God domain จริงๆ การได้รับอาวุธและอุปกรณ์ระดับตำนานมาอย่างน้อยสองชิ้นมันก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะทำให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายนี้ได้


หลังจากซือเฟิงได้ทำความคุ้นเคยร่างของอาชีพขั้นห้าแล้ว เขาก็ได้เดินออกมาจากห้องลับทันที


อย่างไรก็ตามหลังจากที่ซือเฟิงเดินมาที่ล๊อบบี้ชั้นหนึ่งของคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครอง ซือเฟิงก็ต้องตกตะลึงกับฉากที่เขาได้เห็น เพราะในตอนนี้นั้นที่บริเวณล๊อบบี้มันเต็มไปด้วยฝูงชนที่เข้ามาแออัดกันมากมายจนทำให้ล๊อบบี้ดูเล็กไปเลย


นอกเหนือจากสมาชิกของสภาสิบแปดปีกที่ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณนี้ ที่เหลือนั้นมันก็ล้วนเป็นผู้เล่นที่มาจากกิลขนาดใหญ่ต่างๆรวมไปถึงทีมนักผจญภัยที่มีชื่อเสียง ซึ่งต่างคนต่างก็มีท่าทีเร่งรีบอย่างบ้าคลั่งที่จะเข้าไปเช่าร้านค้า และบ้านส่วนตัวในเมืองสภาสิบแปดปีกที่เค้าเตอร์สำนักงาน


ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้มีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของสภาสิบแปดปีกจำนวนมาก ร่วมกับทหาร NPC ขั้นสามนับร้อย และ NPC ขั้นสี่อีกสามคนคอยดูแลความสงบเรียบร้อย มันก็คงจะเกิดการต่อสู้กันในล๊อบบี้ไปนานแล้วแน่นอน


“ฉันจำได้ว่า ฉันบอกราคาค่าเช้าร้านค้า และบ้านส่วนตัวไปอย่างสูงลิ่วเลยนะ …. นี่

เหลียงจิงไปบอกอะไรสาธารชนผิดรึปล่าว ?” ซือเฟิงมองไปยังฉากตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ


ตราบใดที่คนๆหนึ่งไม่ใช่คนโง่นั้น พวกเขาก็จะสามารถบอกได้แน่นอนว่าเมืองสภาสิบแปดปีกได้รับความนิยมมากขนาดไหน แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าเมืองสภาสิบแปดปีกจะกลายเป็นเมืองหลักแล้ว แต่มันก็ยังคงมีขนาดใหญ่ไม่พอที่จะรองรับความต้องการของผู้เล่นทั้งทวีปด้านตะวันออกได้ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงที่ดิน ร้านค้า และบ้านส่วนตัวในเมืองที่มีอยู่อย่างจำกัดเช่นกัน ดังนั้นการเพิ่มราคาของเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างแน่นอน เพราะมันจะช่วยให้สภาสิบแปดปีกได้รับทรัพยากรมากขึ้น และช่วยลดจำนวนคนที่ต้องการลงไปอีกด้านหนึ่ง ….


อย่างไรก็ตามเมื่อซือเฟิงเดินเข้าไปตรวจสอบเรื่องราวนี้ทั้งหมด เขาก็อดไม่ได้ที่จะขนลุก ….


“เหลียงจิง ผู้หญิงคนนี้ช่างโหดร้ายอย่างแท้จริง !!!”


ในเวลานี้เหลียงจิงได้เพิ่มราคาค่าเช่าขึ้นไปสูงกว่าที่ซือเฟิงสั่งไว้กว่าสองเท่า โดยราคาค่าเช่าร้านค้าเล็กๆในเขตชานเมืองของสภาสิบแปดปีกนั้นมีราคาเป็นคริสตัลเวทย์มนต์สามพันชิ้น และเงินหกร้อยเหรียญทองต่อสัปดาห์แล้ว ….


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องค่าเช่าส่วนหนึ่งที่ต้องจ่ายเป็นคริสตัลเวทย์มนต์สามพันชิ้นนั้นมันไม่ใช่น้อยๆเลย เพราะหลังจากที่มีการรุกรานจากโลกอื่นนั้น ผู้เล่นในทวีปหลักก็ได้รับคริสตัลเวทย์มนต์น้อยลงจากเดิมมากๆ ซึ่งเรื่องนี้มันก็ไม่เว้นแม้แต่กับมหาอำนาจต่างๆด้วยเช่นกัน ….


ตามที่ซือเฟิงคิด หากจะให้จ่ายเพิ่มเป็นคริสตัลเวทย์มนต์ด้วยนั้น ร้านค้าเล็กๆในเขตชานเมืองสภาสิบแปดปีกก็น่าจะคิดราคาเป็นคริสตัลเวทย์มนต์เพิ่มได้แค่ราวหนึ่งพันชิ้นเท่านั้น ….


การคิดราคาเป็นคริสตัลเวทย์มนต์เพิ่มถึงสามพันชิ้นนั้น มันจัดเป็นการปล้นกันกลางวันแสกๆเลยก็ว่าได้ ….


สำหรับการเช่าและซื้อขายที่ดินในเมืองสภาสิบแปดปีกนั้น ที่ดินทุกผืนจะเริ่มตั้งต้นประมูลในราคาเป็นคริสตัลเวทย์มนต์สองหมื่นชิ้น และให้ค่อยๆเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ โดยการเช่าและซื้อที่ดินนั้นก็จะรับเป็นคริสตัลเวทย์มนต์เท่านั้นด้วย ไม่รับเหรียญทอง …..


แต่อย่างไรก็ตามแม้จะมีราคาที่สูงเช่นนี้ มันก็ยังคงมีผู้เล่นที่รอแย่งสิทกันอยู่เต็มไปหมดในล๊อบบี้ ดังนั้นนี่มันจึงเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงมากๆ


และตอนนี้สถานการณ์นี้มันก็กระทั่งทำให้ซือเฟิงรู้สึกว่านี่คริสตัลเวทย์มนต์ดูกลายเป็นของไร้ค่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?


ในระหว่างที่ซือเฟิงกำลังวางแผนที่จะติดต่อเหลียงจิงเพื่อสอบถามถึงสถานการณ์ล่าสุดของเมืองสภาสิบแปดปีก มันก็มีผู้ที่วีดีโอคอลเข้ามาหาเขา ซึ่งคนๆนี้นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเหลียงจิง


“หัวหน้ากิล ฉันมาขัดจังหวะอะไรหัวหน้ารึปล่าว ?” เหลียงจิงถามอย่างกังวล


“ไม่หรอก ว่าแต่มีอะไรรึปล่าว ?” ซือเฟิงถามอย่างแปลกๆ


“ก็ตอนนี้มันมีตัวแทนจากสามในห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดมาขอพบกับหัวหน้า ซึ่งนี่รวมไปถึงศาลาลับด้วย โดยพวกเขาบางส่วนก็มาดี ขณะที่บางส่วนก็ไม่ดี …” เหลียงจิงนั้นกล่าวอย่างค่อนข้างจะกังวล “ตอนนี้พวกเขากำลังรออยู่ในห้องรับรองของกิลเรา และพวกเขาก็ยืนยันว่าวันนี้พวกเขาจะต้องพบหัวหน้าให้ได้ ….”


“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะรีบไปทันที ก็บอกให้พวกเขารอไปจนกว่าฉันจะไปถึงแล้วกัน ….”


ซือเฟิงกล่าวพลางหัวเราะเมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ เขาไม่ได้แปลกใจใดๆนักกับเรื่องนี้ เพราะท้ายที่สุดเมืองสภาสิบแปดปีกในปัจจุบันมันไม่ใช่สิ่งที่พวกมหาอำนาจต่างๆจะสามารถมองข้ามได้อีกต่อไป พูดกันตามตรงหากไม่ได้เจอกับสถานการณ์แบบนี้ต่างหาก เขาจึงจะรู้สึกประหลาดใจ ….


หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้ออกจากคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเมืองสภาสิบแปดปีก และรีบมุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีกทันที


ตอนที่ 2869 ไว้หน้า


สถานที่พักกิลสภาสิบแปดปีก ห้องรับรองชั้นบนสุด :


ในฐานะที่เป็นสถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีกในเมืองสภาสิบแปดปีกที่เป็นเมืองหลักของกิลนั้น สถานที่พักกิลแห่งนี้มันก็มีทั้งหมดสามสิบชั้น และมีความสูงเกือบสองร้อยเมตร ขณะเดียวกันเมื่อมองออกไปจากหน้าต่างของห้องรับรองชั้นบนสุดนั้น มันก็แทบจะสามารถมองเห็นวิวของเมืองสภาสิบแปดปีกได้แทบทั้งหมดเลย


แถมเมืองสภาสิบแปดปีกยังตั้งอยู่ในหุบเขาอาร์กติกแกรนดร์ที่มีทรัพยากรที่ค่อนข้างเฉพาะและเป็นเอกลักษณ์มากๆ ดังนั้นนี่มันจึงทำให้เมืองสภาสิบแปดปีกอยู่เหนือกว่าเมืองส่วนใหญ่ของ NPC แล้ว


ขณะเดียวกันภายใต้มุมมองที่สวยงามนี้มันก็มีคนมากกว่าสิบคนที่นั่งอยู่ในห้องรับรอง โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็มองไปยังแต่ละฝ่ายอย่างวิเคราะห์ซึ่งกันและกัน


“การที่เมืองสภาสิบแปดปีกเปิดให้สาธารณชนทั่วไปเข้าชมแล้วนั้น มันได้ดึงดูดมหาอำนาจต่างๆจำนวนมากให้เข้ามาจริงๆ ….” หยวนเทียนซินกล่าวในขณะที่เขามองไปรอบๆด้วยความรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย “ผู้อาวุโสแห่งไมโทโลจี้ ซือถู ฉิงเทียน ผู้อาวุโสของจักรวรรดิโลกใต้พิภพ เรลอส และแม้แต่วิหารหยินหยาง ซึ่งไม่เคยสนใจการต่อสู้ในทวีปด้านตะวันออกเลยก็ยังส่งผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์อย่างซื่อหยาง เทียน

เหอมาที่นี่ ดูเหมือนว่าทุกกิลจะจริงจังกับเรื่องนี้มากๆทีเดียว ….”


ทั้งสามคนนี้นั้นเป็นตัวแทนจากสามในห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งพวกเขาแต่ละคนนั้นก็มีอำนาจมากพอจะเขย่าทั้งทวีปด้านตะวันออกได้เลย และโดยปกตินั้นมันก็เป็นเรื่องยากมากๆที่จะได้พบกับพวกเขาคนใดคนหนึ่ง แต่ในเวลานี้ทั้งสามคนกลับมารวมตัวกันอยู่ที่เดียวกันจริงๆ ….


แต่อย่างไรก็ตามหยวนเทียนซินก็รู้สึกตกตะลึงแค่เล็กน้อยเท่านั้นกับเรื่องนี้ เพราะท้ายที่สุดแล้วด้วยการเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของสภาสิบแปดปีกนั้น มันจะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยด้วยซ้ำถ้าห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดมารวมกันที่นี่ทั้งหมด


ในสถานการณ์ปกติวงเวทย์เทเลพอร์ตข้ามทวีปที่สามารถจะทำให้ผู้เล่นเทเลพอร์ตข้ามทวีปได้อย่างไม่จำกัด และไม่มีคูลดาวน์ที่ยาวนานมันก็จัดว่ามีค่ามากๆแล้ว แต่ตอนนี้พอมีเรื่องการรุกรานของผู้เล่นจากโลกอื่นขนาดใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย วงเวทย์แบบนี้มันจึงยิ่งมีค่ามากขึ้นอีกมหาศาล ….


ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหัวหน้ากิลของศาลาลับมีธุระที่เร่งด่วนมากๆ และไม่สามารถมาได้จริงๆ เผลอๆเขาก็คงมานั่งอยู่ตรงนี้ด้วยแล้วแน่นอน


“จักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจริงๆ …. เห็นได้ชัดว่าตอนนี้กิลกำลังมุ่งเน้นและเร่งพัฒนาในทวีปด้านตะวันตก แต่ตอนนี้กิลกับส่งผู้อาวุโสอย่างเร

ลอสมาที่นี่จริงๆ ….” แมตซ์ ซึ่งติดตามผู้อาวุโสซือถู ฉิงเทียนมากล่าวพลางมองไปยังชายชราหัวโล้นที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเงียบๆด้วยความประหลาดใจ “ฉันไม่ได้เจอกับผู้อาวุโสผู้นี้มาพักหนึ่งแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะพัฒนาขึ้นไปมากจริงๆ …. มานาที่เขาแผ่ออกมาจากร่างมานาของเขานั้นมันเห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างน้อยสองเท่าเลย แถมดูเหมือนว่าเขาจะยังเปลี่ยนอุปกรณ์ไปอีกสองชิ้นด้วย ….”


“มันก็เป็นเรื่องปกติน่ะแหละ ถ้าเขาไม่ได้พัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ โอดินก็คงจะไม่อยากต่อสู้กับเขาอยู่ตลอดเวลาหรอก ….” ซือถู ฉิงเทียน ชายชราร่างกำยำผมสีขาวที่นั่งอยู่ด้านข้างแมตซ์กล่าวอย่างไม่สนใจ ก่อนที่เขาจะมองไปยังเด็กหนุ่มสวมหน้ากากที่ยืนอยู่ด้านหลังของเรลอส “เด็กหนุ่มนั่นแข็งแกร่งมากเลยทีเดียว วัดจากสายตาคร่าวๆดูเหมือนเขาจะแข็งแกร่งเท่าๆกับ Prosciutto ในปัจจุบันเลย …”


เมื่อได้ยินคำพูดของซือถู ฉิงเทียน แมตซ์ก็มองไปยังเด็กหนุ่มที่ซือถู ฉิงเทียนกล่าวถึงด้วยความประหลาดใจ ในขณะที่หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยไม่อยากจะเชื่อ “เขาแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยงั้นหรอ ?!”


ในตอนนี้ Prosciutto นั้นนับเป็นรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของไมโทโลจี้ ซึ่งนี่ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอาวุธกับอุปกรณ์เลย แค่ร่างมานาของ Prosciutto ในตอนนี้นั้นเขาก็สามารถปลดล๊อคศักยภาพไปได้มากกว่าหนึ่งร้อยสิบเปอเซ็นต์แล้ว โดยคนที่จะสามารถทำแบบ Prosciutto ได้นี้มันก็มีน้อยมากๆเลยทีเดียวใน God domain


ขณะเดียวกันโคลท์ชาโด้วที่นั่งอยู่ด้านข้างของซือถู ฉิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเด็กหนุ่มผู้นี้ด้วยความประหลาดใจเช่นกัน


ผู้อาวุโสซือถู ฉิงเทียนนั้นได้สอนลูกศิษย์มาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน และสายตาของเขาก็เฉียบแหลมกว่าพวกเขามาก และเนื่องจากเขาเป็นผู้เอ่ยปากและทำการประเมินความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มคนนี้เอง ดังนั้นมันก็ไม่น่าจะผิดแน่นอน

“ไม่เพียงแค่เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างเรลอสเท่านั้น เด็กหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้างซื่อหยาง เทียนเหอก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเด็กหนุ่มข้างเรลอสเช่นกัน” ซือถู ฉิงเทียนกล่าวพลางชี้ไปยังเด็กหนุ่มอีกคนด้วยรอยยิ้ม “ฉันต้องบอกเลยว่าเวลามันได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ กว่าฉันจะก้าวมาถึงตรงนี้ได้นั้น ฉันก็ได้เห็นผู้คนมากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่ฉันได้เห็นอะไรแบบนี้”


เมื่อซือถู ฉิงเทียนพูดจบ ดวงตาที่เย็นชาของเขาก็ฉายแววประหลาดใจออกมา …. เขาไม่นึกเลยจริงๆว่าทุกวันนี้อัจฉริยะของแต่ละกิลจะแข็งแกร่งมากขนาดนี้ !!!


ซือถู ฉิงเทียนนั้นพูดไม่ได้ดังมากนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงประโยคสุดท้าย อย่างไรก็ตามตอนนี้ทุกคนที่อยู่ที่นี่นั้นล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงได้ยินคำพูดของซือถู ฉิงเทียนอย่างชัดเจน


และเมื่อเป็นแบบนี้นั้น เหล่ารุ่นเยาว์ทั้งหมดของกิลต่างๆที่ติดตามพวกระดับสูงของกิลตัวเองมาก็ล้วนมองไปยังกันและกันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้


“ซือถู ฉิงเทียน คุณนี่ยังเหมือนเดิมจริงๆ พอไม่มีอะไรทำก็ชอบนินทาชาวบ้าน !!!” ซื่อหยาง เทียนเหอกล่าวพลางจ้องมองไปยังซือถู ฉิงเทียนด้วยความไม่พอใจ “ว่าแต่เด็กหญิงข้างๆคุณนี่ก็ดูใช้ได้เหมือนกันนะ ดูเหมือนเธอจะมีเศษชิ้นส่วนไอ

เทมระดับตำนานอยู่กับตัวราวสี่ชิ้นเลยแหะ ….”


หลังจากซื่อหยาง เทียนเหอพูดจบนั้น ทุกคนที่อยู่ในห้องก็มองไปยังโคลท์ชาโด้วด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาทันที


God domain ในปัจจุบันนั้นอาจมีอาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคโผล่ขึ้นมามากขึ้น แต่สำหรับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานนั้นมันยังคงจัดว่าหายากมากๆแม้แต่ในหมู่ซุเปอร์กิล และมากกว่าเจ็ดสิบเปอเซ็นต์ของผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ภายในกิลของพวกเขานั้นไม่มีเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานใช้ด้วยซ้ำ


แม้ว่าจะเป็นผู้อาวุโสในกิล แต่มันก็จะจัดว่าดีมากแล้วหากพวกเขามีเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานหนึ่งถึงสองชิ้น แต่ตอนนี้โคลท์ชาโด้วกับมีเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานอยู่ราวสี่ชิ้น ดังนั้นเรื่องนี้จะไม่ทำให้ทุกคนอิจฉาเธอได้อย่างไร ?!


เศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานทุกชิ้นนั้นสามารถช่วยปรับปรุงพลังการต่อสู้ของผู้ถือครองได้อย่างมาก ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงพลังที่เศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานสี่ชิ้นจะมอบให้เลย ซึ่งมันจะไม่ธรรมดาแน่นอน


“ไอ้แก่ !!” โคลท์ชาโด้วกล่าวพลางมองไปยังซื่อหยาง เทียนเหอด้วยความโกรธเกรี้ยว


เรื่องพรสวรรค์และความสามารถที่ได้มาจากการพยายามนั้นมัน คนอื่นจะทำได้แค่เฝ้ามองอย่างอิจฉาเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามสำหรับอาวุธและอุปกรณ์นั้นมันเป็นเรื่องที่แตกต่างกันออกไป แม้ว่าตัวเธอเองจะมีความแข็งแกร่งค่อนข้างมาก แต่เธอก็ไม่มั่นใจอยู่ดีหากถูกดักซุ่มโจมตีโดยผู้เชี่ยวชาญหนึ่งในนี้ เพราะท้ายที่สุดแล้วทุกคนล้วนเป็นสัตว์ประหลาดกันทั้งหมด นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าเธอถูกจัดทีมดักซุ่มโจมตีเลย


เมื่อได้ยินคำพูดของโคลท์ชาโด้ว ซื่อหยาง เทียนเหอก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชาว่า “มีอะไรหรอสาวน้อย ? หรือเธออยากจะสู้ ?”


“ซื่อหยาง เทียนเหอ !!!” ซือถู ฉิงเทียนกล่าวพลางมองไปยังซื่อหยาง เทียนเหออย่างเย็นชา “คุณคิดว่าเราไม่กล้างั้นหรอ ?!”


ชั่วครู่หนึ่งบรรยากาศภายในห้องรับรองก็แปรเปลี่ยนเย็นชา และหนาวเหน็บสุดขั้ว ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มเข้าสู่สถานะเตรียมต่อสู้แล้ว แม้ว่าจะยังไม่ได้ชักอาวุธออกมาก็ตาม ….


หากในเวลานี้ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ต่ำกว่าขั้นสี่เข้ามาที่นี่ พวกเขาจะได้เข่าอ่อน และไม่สามารถขยับได้แน่นอน ….


“นี่พวกเขาต้องการอะไรกันเนี่ย ?!”


หยวนเทียนซินมองไปยังสมาชิกของซุเปอร์กิลทั้งสองและก็อดไม่ได้ที่จะเหงื่อตก


หากการต่อสู้ของผู้เชี่ยวชาญระดับนี้เกิดขึ้นจริงๆนี่มันจะนับเป็นหายนะแน่นอน แถมเท่าที่ดูจากท่าทีของสมาชิกจักรวรรดิโลกใต้พิภพแล้ว พวกเขานั้นก็พร้อมจะเคลื่อนไหวทันทีเช่นกัน หากซุเปอร์กิลทั้งสองเริ่มการต่อสู้


อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ภายในห้องรับรองกำลังจะถึงจุดแตกหักนั้น ไฟเออร์แดนซ์ซึ่งมีเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบห้าก็ได้เดินเข้ามา ….


ไฟเออร์แดนซ์ชำเลืองมองไปยังทั้งสองฝ่าย และอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือนว่า “ทุกคน ! ที่นี่มันคือสถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีก !! โปรดไว้หน้าสภาสิบแปดปีกเราบ้าง !!!”


“ไว้หน้าสภาสิบแปดปีกงั้นหรอ ?” ซื่อหยาง เทียนเหอเหลือบมองไปยังไฟเออร์แดนซ์และกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ก็ได้ ! ตราบใดที่คุณทำให้ไอ้ผู้อาวุโสซือถูนี่หุบปากได้ ฉันก็จะไว้หน้าคุณ !!!”


ขณะเดียวกันซือถู ฉิงเทียนนั้นก็มองไปยังไฟเออร์แดนซ์เช่นกันก่อนที่เขาจะกล่าวอะไรที่แทบไม่ต่างจากซื่อหยาง เทียนเหอเลย


เมื่อทั้งสองฝ่ายพูดจบ หยวนเทียนซินกับเพอเพิ้ลเจดก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะ


ไฟเออร์แดนซ์นั้นอาจจะแข็งแกร่งมากๆ แต่เมื่อเทียบกับทั้งสองคนนี้ เธอยังคงด้อยกว่าอยู่ในระดับหนึ่ง ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายสงบลง


และในเวลานี้หยวนเทียนซินกับเพอเพิ้ลเจดก็สามารถจะบอกได้เลยว่า แม้ว่าเรื่องนี้มันจะไม่เกี่ยวข้องกับสภาสิบแปดปีก แต่หากสภาสิบแปดปีกจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดี สภาสิบแปดปีกจะกลายเป็นที่หัวเราะไปทั่วแน่นอน


อย่างไรก็ตามเมื่อได้ยินคำพูดของทั้งสองฝ่ายนั้น ไฟเออร์แดนซ์ก็มองไปยังทั้งสองฝ่ายอย่างสงบ ก่อนที่เธอจะกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “ถ้าพวกคุณยังไม่เลิกบ้ากันก็ออกจากเมืองสภาสิบแปดปีกของเราไป สภาสิบแปดปีกของเราไม่ต้อนรับแขกประเภทนี้ !!!”


ตอนที่ 2870 ส่งกลับ


คำพูดของไฟเออร์แดนซ์นั้นดังก้องไปทั่วห้องรับรอง และมันก็ได้ทำให้ทั้งห้องรับรองนั้นเงียบไปชั่วขณะ ในขณะเดียวกันหยวนเทียนซินกับเพอเพิ้ลเจดก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังไฟเออร์แดนซ์


“นี่เธอบ้าไปแล้วงั้นหรอ ?!”


ซือถู ฉิงเทียน และซื่อหยาง เทียนเหอนั้นเป็นล้วนเป็นยักษ์ใหญ่ที่แท้จริงในกิลของตัวเอง และพวกเขาทั้งสองนั้นก็เป็นตัวตนที่แม้แต่ผู้บริหารระดับสูงหลายคนของกิลพวกเขาก็ยังต้องเกรงใจ


แม้ว่าทั้งคู่จะให้ความสนใจในการจะร่วมมือกับสภาสิบแปดปีกอย่างมาก แต่หากสภาสิบแปดปีกทำให้ทั้งคู่รู้สึกอับอายแบบนี้ ผลที่ตามมามันจะเป็นหายนะแน่นอน


แม้ว่าที่นี่จะเป็นเมืองสภาสิบแปดปีก และเป็นสถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีกที่มีทั้งผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ และ NPC ขั้นสี่ประจำการอยู่จำนวนมาก แต่หากทั้งสองเริ่มลงมือแล้ว มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่จะปราบปรามทั้งสองให้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ และถ้าทั้งสองเลือกจะก่อปัญหาใหญ่ๆก่อนที่จะหนีไป มันก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีกที่จะจับพวกเขาให้ได้


และจุดที่สำคัญที่สุดก็คือทั้งสองนั้นเป็นตัวแทนของซุเปอร์กิลไมโทโลจี้ และวิหารหยินหยาง


อิทธิพลของซุเปอร์กิลทั้งสองแห่งในทวีปด้านตะวันออกนั้นมีมากกว่าอีกสามซุเปอร์กิลที่เหลือมาก แม้ว่าตอนนี้ซุเปอร์กิลทั้งสองจะไม่สามารถทำอะไรกับสภาสิบแปดปีกได้ แต่ซุเปอร์กิลทั้งสองก็จะสามารถจัดการทำลายอาณาจักรสตาร์มูนกับอาณาจักรทวินทาวเวอร์ซึ่งเป็นฐานที่มั่นหลักของสภาสิบแปดปีกได้ง่ายๆแน่นอน


ตอนนี้กองกำลังผู้รุกรานจากโลกอื่นนั้นกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ขณะที่ความแข็งแกร่งของ NPC ในอาณาจักรและจักรวรรดิต่างๆนั้นมันก็มีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่กองกำลังของอาณาจักร และจักรวรรดิต่างๆจะดูแลดินแดนทั้งหมดของพวกเขาได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่กองกำลังผู้รุกรานจากโลกอื่นนั้นกำลังจะเริ่มสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเมื่อเป็นดังนี้นั้นสิ่งที่ซุเปอร์กิลทั้งสองจะต้องทำก็แค่เข้าไปร่วมวงด้วยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และมันก็จะใช้เวลาไม่นานแน่นอนก่อนที่อาณาจักรสตาร์มูน และอาณาจักรทวินทาวเวอร์จะถูกทำลายลงทั้งหมด


ซึ่งหากสภาสิบแปดปีกไม่ได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรสตาร์มูน และอาณาจักรทวินทาวเวอร์ ในตอนนี้แม้ว่าสภาสิบแปดปีกจะมีเมืองสภาสิบแปดปีกที่มีวงเวทย์เทเลพอร์ตข้ามทวีป แต่ผลประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับมันก็จะลดลงมากๆ


เพราะท้ายที่สุดแล้วสภาสิบแปดปีกนั้นมีเส้นทางเทเลพอร์ตสำหรับสาธารณชนเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้นเพื่อที่จะใช้ในการเดินทางมายังเมืองสภาสิบแปดปีก ซึ่งนั่นก็คือที่เมืองสกายสปริง โดยหากอาณาจักรทวินทาวเวอร์ถูกทำลาย มันก็แปลว่าเมือง

สกายปริงจะหายไปด้วย และนี่มันก็หมายความว่าสภาสิบแปดปีกจะขาดเส้นทางการเทเลพอร์ต ซึ่งจะส่งผลให้การเดินทางมายังเมืองสภาสิบแปดปีกของสาธารณชนทั่วไปนั้นเป็นไปได้ยากมากเลยทีเดียว


และสิทธิพิเศษในการเชื่อมเส้นทางเทเลพอร์ตเข้ากับเมืองกิลของตัวเองที่สภาสิบแปดปีกได้รับมาจากวิหารเทพสงครามนั้นมันก็ทำได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เว้นแต่ว่าสภาสิบแปดปีกจะกลายเป็นหนึ่งในสิบสองกิลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ God domain จริงๆซะก่อน ทุกอย่างมันจึงจะมีการเปลี่ยนแปลง ….


ซึ่งมันก็เป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ไมโทโลจี้ และวิหารหยินหยางนั้นไม่กลัวสภาสิบแปดปีกเลย โดยเฉพาะกับไมโทโลจี้ที่ทำสงครามกับสภาสิบแปดปีกมาหลายครั้ง แต่ตอนนี้พวกเขากับกล้าที่จะมาเจรจาขอร่วมมือกับสภาสิบแปดปีก


ในเวลาเดียวกันนั้นซือถู ฉิงเทียน และซื่อหยาง เทียนเหอก็หันไปมองไฟเออร์แดนซ์ด้วยรอยยิ้มเย็นชา


“สาวน้อย มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่คนระดับเราจะเดินทางมาที่สภาสิบแปดปีกเพื่อเจรจาขอร่วมมือกับกิลคุณด้วยตัวเอง นี่คือวิธีที่สภาสิบแปดปีกปฎิบัติต่อแขกงั้นหรอ ?” ซือถู ฉิงเทียนกล่าวพลางมองไปยังไฟเออร์แดนซ์ “ถ้าสภาสิบแปดปีกไม่ต้องการจะร่วมมือกับไมโทโลจี้ของเรา เราก็คงจะไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ถ้าสภาสิบแปดปีกต้องเจอกับปัญหาใหญ่ๆในอนาคตก็อย่ามาโทษไมโทโลจี้ของเราก็แล้วกัน …”


“แม้ว่าฉันจะไม่ชอบขี้หน้าซือถู ฉิงเทียน แต่ครั้งนี้ฉันเห็นด้วยกับคำพูดของเขานะ …” ซื่อหยาง เทียนเหอจ้องมองไปยังไฟเออร์แดนซ์อย่างเย็นชา ก่อนที่จะกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เรามาที่นี่ด้วยความตั้งใจอันดี เพราะท้ายที่สุดตอนนี้กองกำลังผู้รุกรานจากโลกอื่นกำลังจะเริ่มสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว และเมื่อพวกเราร่วมมือกันเท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถหยุดการรุกรานของกองกำลังจากโลกอื่นได้ …. แต่ถ้าสภาสิบแปดปีกไม่สนใจ ฉันก็คงต้องบอกแบบเดียวกับซือถู ฉิงเทียน คือ ถ้าสภาสิบแปดปีกเจอปัญหาใหญ่ๆในอนาคตก็อย่ามาโทษวิหารหยินหยางของเราก็แล้วกัน …”


เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าของไฟเออร์แดนซ์ก็มืดมนลง


เธอไม่คิดเลยว่าพอเธอทำแบบนี้นั้นซุเปอร์กิลทั้งสองจะคิดที่จะผนึกกำลังกันเพื่อกดดันสภาสิบแปดปีกจริงๆ ….


ซือถู ฉิงเทียนมองไปยังไฟเออร์แดนซ์ที่มีท่าทีเงียบลงไป ก่อนที่เขาจะยิ้มและพูดว่า “ช่วยบอกฉันทีสิว่าเมื่อกี้คุณเผลอพูดผิดไปใช่ไหมสาวน้อย ?”


พูดกันตามตรงซือถู ฉิงเทียนนั้นไม่กล้าที่จะไม่ไว้หน้าสภาสิบแปดปีกอยู่แล้ว เพราะท้ายที่สุดตอนนี้ผลประโยชน์ของเมืองสภาสิบแปดปีกมันมีมากเกินไป แต่อย่างไรก็ตามเขาก็จำเป็นจะต้องสอนบทเรียนให้กับไฟเออร์แดนซ์สักหน่อยในเรื่องการวางตัวให้เหมาะสม และเขาก็ต้องการจะให้เธอรู้ด้วยว่ามันไม่ใช่ทุกคนที่เธอจะสามารถยั่วยุได้


ซื่อหยาง เทียนเหอะพยักหน้าให้กับคำพูดของซือถู ฉิงเทียน ก่อนที่เขาจะกล่าวเสริมว่า “สาวน้อย ถ้าคุณไม่แก้คำพูดของคุณในวันนี้ คุณ และกิลของคุณจะต้องรับผลที่ตามมาที่มันร้ายแรงมากๆเลยทีเดียว !!!”


อีกด้านหนึ่งตัวแทนของจักรวรรดิโลกใต้พิภพอย่างเรลอสนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังไฟเออร์แดนซ์พลางส่ายหัวเล็กน้อย


เห็นได้ชัดว่านี่มันเป็นกับดักของซือถู ฉิงเทียน และซื่อหยางเทียนเหอชัดๆ พวกเขาทั้งสองนั้นจงใจก่อสถานการณ์แบบนี้ขึ้นเพื่อให้ไฟเออร์แดนซ์เข้ามาหุบเหยื่อ และตอนนี้พวกเขาก็พยายามจะบีบให้ไฟเออร์แดนซ์ซึ่งเป็นตัวแทนของสภาสิบแปดปีกละอายใจเพื่อที่จะได้เรียกผลประโยชน์เพิ่มเติมได้


สำหรับการจะไล่คนของซุเปอร์กิลทั้งสองไปนั้นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เว้นแต่ว่าสภาสิบแปดปีกต้องการจะสละอาณาจักรทวินทาวเวอร์ และอาณาจักรสตาร์มูน สถานการณ์นี้มันก็เหมือนกับการที่ซุเปอร์กิลทั้งสองนั้นไม่เต็มใจที่จะแบ่งส่วนผลประโยชน์ของเมืองสภาสิบแปดปีกกับใคร

ต้องบอกเลยว่าในครั้งนี้ไฟเออร์แดนซ์พลาด เพราะความไร้เดียงสาของเธอจริงๆ ….


อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ไฟเออร์แดนซ์ไม่รู้จะพูดอะไรนั้น ประตูห้องรับรองก็ถูกเปิดออก ก่อนที่ร่างที่สูงใหญ่ร่างหนึ่งจะเดินเข้ามาในห้อง และมองไปยังซือถู ฉิงเทียน กับซื่อหยาง เทียนเหอ พลางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “นี่พวกคุณกล้าทำแบบนี้ และไม่ไว้หน้าผู้บัญชาการกองกำลังหลักของสภาสิบแปดปีกเลยงั้นหรอ ?”


“งั้นตอนนี้ในเมื่อฉันมาแล้ว ฉันก็จะทำให้มันชัดเจนเลยแล้วกัน คำพูดของไฟเออร์แดนซ์เมื่อกี้ก็คือคำพูดที่มาจากฉันนั่นแหละ ดังนั้นพวกคุณออกไปกันได้แล้ว !!!”


แม้ว่าซือเฟิงจะไม่ได้พูดดังมากนัก แต่ทุกคนที่อยู่ในห้องก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน และพวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกตกตะลึงกับคำพูดของซือเฟิงมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับซือถู ฉิงเทียน และซื่อหยาง เทียนเหอ


สำหรับไฟเออร์แดนซ์ เธอเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองเช่นกัน เมื่อเธอได้ยินคำพูดของซือเฟิง


ตอนนี้ซือเฟิงได้ใช้คำพูดไล่ตัวแทนของซุเปอร์กิลทั้งสองแบบตรงๆเลย !!!


“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม คุณทำแบบนี้มันจะไม่มากไปหน่อยงั้นหรอ ?” ซือถู ฉิงเทียน อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างเย็นชาว่า “เราสองกิลมาที่นี่ด้วยความจริงใจนะ แต่คุณกับคิดจะออกโรงปกป้องสาวน้อยคนนี้และยอมให้เสียการใหญ่งั้นหรอ ? และการกระทำของคุณแบบนี้มันก็แปลว่าคุณยินยอมจะให้อาณาจักรสตาร์มูน และอาณาจักรทวินทาวเวอร์ถูกทำลายงั้นหรอ ?”


ขณะเดียวกันในด้านของซื่อหยาง เทียนเหอะ เขาก็รีบกล่าวขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า “หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม คุณไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ก็ได้ คุณอย่าให้สาวน้อยคนเดียวมาทำให้ต้องเสียการใหญ่กันเลย …. ”


“หื้ม ?” ซือเฟิงมองไปที่ตัวแทนของซุเปอร์กิลทั้งสองด้วยความเหยียดหยาม “พวกคุณประเมินตัวเองกันสูงเกินไปแล้ว !!! ฉันให้เวลาพวกคุณห้าวินาที รีบออกไปจากที่นี่ซะ !!! ไม่งั้นฉันจะส่งพวกคุณกลับไปที่เมืองของพวกคุณเอง !!!”


คำพูดล่าสุดของซือเฟิงนั้นทำให้ทุกคนตกตะลึง


“นี่เขาไม่ได้อยากจะทำแบบนี้จริงๆใช่ไหม ?” หยวนเทียนซินมองไปที่ซือเฟิง และตอนนี้เขาก็รู้สึกว่าซือเฟิงนั้นบ้าคลั่งยิ่งกว่าไฟเออร์แดนซ์ซะอีก


ก่อนหน้านี้ที่ไฟเออร์แดนซ์ทำไปนั้นมันสามารถบอกได้เลยว่าเป็นการรักษาหน้าของสภาสิบแปดปีก อย่างไรก็ตามตอนนี้ซือเฟิงกับกำลังจะกระทำการฉีกหน้าซุเปอร์กิลทั้งสองแบบตรงๆ


โดยนี่มันก็ได้ผลักดันให้สถานการณ์ทั้งหมดไปไกลเกินกว่าที่จะเคลียร์กันให้จบด้วยคำพูดได้แล้ว ….


“ดี ! ดีมาก !!” ซือถู ฉิงเทียนมองไปยังซือเฟิงก่อนจะยิ้มออกมาและกล่าวว่า “เนื่องจากหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมต้องการจะเป็นศัตรูกับไมโทโลจี้ของเรา และถึงขั้นยอมแลกกับสองอาณาจักร ชายชราผู้นี้ก็ต้องขอกล่าวชื่นชม แต่อย่างไรก็ตามชายชราผู้นี้อยากเห็นจังว่าหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมจะส่งชายชราผู้นี้กลับเมืองของตัวเองได้ยังไงกัน ?!!”


เมื่อพูดจบจบซือถูฉิงเทียนก็ได้ลุกขึ้น ก่อนที่เขาจะชักดาบสงครามสายฟ้ามืดของเขาออกมาจากฝัก และเริ่มแผ่ออร่า กับโดเมนของตัวเองออกมา ซึ่งมันก็น่ากลัวซะจนทำให้ไฟเออร์แดนซ์ และรุ่นเยาว์คนอื่นๆต้องถอยห่างออกไปเลย ….


“ดูเหมือนว่าซือถู ฉิงเทียนจะสามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองไปได้มากกว่าหนึ่งร้อยสิบห้าเปอเซ็นต์แล้วสินะ …. และด้วยพลังของเขาในตอนนี้ เขาจะสามารถเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายชั้นยอดในเลเวลเดียวกัน ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวได้อย่างไม่มีปัญหาเลย !!!” เรลอสกล่าวพลางมองไปยังซือถู ฉิงเทียนด้วยความประหลาดใจ


“ทุกคนล้วนพูดกันว่าหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังที่สุดอันดับหนึ่งใน God domain ดังนั้นชายชราจึงอยากรู้สักหน่อยว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริงไหม !!!”


เมื่อซือถู ฉิงเทียนเริ่มเคลื่อนไหวนั้น ซื่อหยาง เทียนเหอก็ได้เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน โดยเขาก็ได้หยิบคทาไฟเลือดของเขาออกมา และเริ่มเข้าสู่สถานะเตรียมต่อสู้ โดยทั้งออร่า และโดเมนของเขานั้นก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าซือถู ฉิงเทียนเลย แถมเลเวลของเขายังมากกว่าซือถู ฉิงเทียนที่เป็นเบอเซิกเกอร์อยู่หนึ่งเลเวลด้วย ซึ่งตัวซื่อหยาง เทียนเหอนั้นมีเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบสี่

“สุดยอด ! นี่มันสุดยอดเลย !! นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของสัตว์ประหลาดจากสองในห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดงั้นหรอ ?!!” หยวนเทียนซินพึมพำ ขณะที่มองไปยังซือถู ฉิงเทียน และซื่อหยาง เทียนเหอด้วยความประหลาดใจ


ในปัจจุบันด้วยความที่เขาเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะต่อกรกับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายชั้นยอดในเลเวลเดียวกันได้ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงการมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะจัดการกับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายชั้นยอดในเลเวลเดียวกันแบบตัวต่อตัวเลย ….


แต่ตอนนี้สัตว์ประหลาดสองคนจากสองในห้าของซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดกับมีความแข็งแกร่งมากพอจริงๆ และด้วยเรื่องนี้มันก็สามารถจะบอกได้เลยว่าพลังการต่อสู้ของทั้งสองคนนี้นั้นก็จะต้องอยู่ในจุดสูงสุดของ God domain แน่นอน


พูดกันตามตรงต่อให้ผู้เชี่ยวชาญทั่วไปขั้นสี่นับโหลเข้ารุมทั้งสองคนนี้ มันก็ยังไม่แน่เลยว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะทั้งสองคนนี้ได้ไหม ….


“ตอนนี้มาดูกันหน่อยดีกว่าว่าแบล๊คเฟรมจะรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไง !!!”


โคลท์ชาโด้วที่เฝ้าดูสถานการณ์นี้อยู่จากด้านข้างอดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น


เธอนั้นไม่รู้เลยว่าซื่อหยาง เทียนเหอแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เธอนั้นรู้ดีว่าซือถู ฉิงเทียนแข็งแกร่งแค่ไหน และเธอก็ไม่ได้เห็นเขาต่อสู้มานานแล้ว


แต่ในเวลานี้เมื่อทั้งสองร่วมมือกัน แม้แต่สัตว์ประหลาดอย่างซือเฟิงก็ยังจะรับมือกับทั้งสองได้อย่างยากลำบากแน่นอน


ซือเฟิงนั้นเป็นที่รู้จักกันในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังที่สุดเป็นอันดับหนึ่งใน God domain และในตอนนี้เขาก็จะต้องมาต่อสู้กับตัวตนระดับตำนานสองคน นี่มันจึงนับเป็นศึกการต่อสู้ชั้นยอดใน God domain แน่นอน หากทั้งสองฝ่ายใช้เวลาต่อสู้กันนาน เธอก็จะสามารถใช้โอกาสนี้เก็บเกี่ยวหลายสิ่งจากสองฝ่ายเพื่อไปพัฒนาตัวเองได้ด้วย


ไม่ใช่แค่โคลท์ชาโด้วเท่านั้นที่คิดแบบนี้ เพอเพิ้ลเจด เด็กหนุ่มสวมหน้ากาก และรุ่นเยาว์คนอื่นๆทั้งหมดนั้นก็ล้วนคิดแบบเดียวกัน ตอนนี้พวกเขาทุกคนล้วนอยากรู้มากว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะเป็นอย่างไร ….


“เนื่องจากพวกคุณสองคนต้องการให้ฉันส่งพวกคุณกลับเมือง ! ดังนั้นฉันก็จะสงเคราะห์ให้ และฉันก็จะทำมันแบบสมบูรณ์แบบเลย !!!”


ซือเฟิงมองไปที่ทั้งสองคนก่อนที่เขาจะปลดปล่อยออร่าและพลังทั้งหมดของเขาออกมา


ซึ่งในขณะที่ซือเฟิงทำแบบนี้นั้น ภายในห้องรับรองทั้งหมดมันก็ดูเหมือนจะถูกแช่แข็ง พร้อมกันนั้นมานาภายในห้องรับรองมันก็ยังทำการปราบปรามทุกคนอย่างหนัก และแม้แต่ซือถู ฉิงเทียน กับซื่อหยาง เทียนเหอก็ยังไม่สามารถจะทำอะไรได้ก่อนจะถูกบังคับให้ถอยไปสองก้าว ก่อนที่พวกเขาจะหันกลับขึ้นมามองซือเฟิงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสับสน


“ขั้นห้า ?”


คำถามผุดขึ้นมาจากส่วนลึกในสมองของพวกเขา แต่ก่อนที่พวกเขาทั้งสองจะทันได้ตอบสนองอะไร ซือเฟิงก็ได้มาปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าของพวกเขา และใช้ดาบที่แหลมคมแทงเข้าไปยังหัวใจของพวกเขาแล้ว


จากนั้นซือเฟิงก็ได้กลับไปยืนอยู่ที่บริเวณหน้าต่างของห้องรับรองด้วยท่าทีสงบ โดยการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขานั้น มันก็รวดเร็วมากๆจนหลายคนมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่าเขาชักดาบออกจากฝักไปโจมตี และกลับมายืนอยู่ที่บริเวณหน้าต่างของห้องรับรอง พร้อมกับเก็บดาบเรียบร้อย เมื่อไหร่ ….


ในขณะเดียวกันซือถู ฉิงเทียน และซื่อหยางเทียนเหอซึ่งทั้งคู่มี HP มากกว่าสิบล้านนั้น พวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่ที่ HP ของพวกเขาลดลงถึงศูนย์ พวกเขามารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ร่างกายของพวกเขาทรุดลงไป พร้อมกับทัศวิสัยที่เริ่มมืดลงแล้ว โดยตั้งแต่ต้นจนจบนั้น พวกเขาไม่สามารถจะตอบสนองใดๆได้เลย ….


ตอนที่ 2871 สั่นสะเทือนทั่วทั้ง God domain


“ตาย ?”


ทั่วทั้งห้องรับรองนั้นตกตะลึงไปชั่วขณะจากการตายของซือถู ฉิงเทียน และซื่อหยางเทียนเหอ และพวกเขาก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งที่พวกเขาได้เห็นนั้นมันเป็นเรื่องจริง


โดยเฉพาะอย่างยิ่งโคลท์ชาโด้ว คนสนิทของซือถู ฉิงเทียน และเด็กหนุ่มที่เป็นคนสนิทของซื่อหยาง เทียนเหอที่ชั่วครู่หนึ่งนั้นพวกเขาอดจะคิดไม่ได้ว่า สิ่งที่พวกเขาเห็นตอนนี้ มันเป็นภาพหลอนหรือปล่าว ?….


“เป็นไปได้ยังไงกัน ?!”


“นี่ผู้ฝึกสอนไม่สามารถจะป้องกันการโจมตีได้แม้แต่นิดเดียวเลยงั้นหรอ ?”


เมื่อเทียบกับคนอื่นๆแล้วโคลท์ชาโด้ว และเด็กหนุ่มที่เป็นคนสนิทของซื่อหยาง เทียนเหอนั้นมีความเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของซือถู ฉิงเทียน และซื่อหยางเทียนเหอมากที่สุด


ไม่ต้องพูดถึงเรื่องมาตราฐานการต่อสู้ของทั้งสองเลย แค่เรื่องค่าสถานะพื้นฐาน และร่างมานา รวมไปถึงพลังมานาของพวกเขานั้นมันก็แข็งแกร่งมากพอที่จะเทียบกับ

มอนสเตอร์ระดับเทพนิยายชั้นยอดในเลเวลเดียวกันได้แน่นอน


แต่สองคนที่แข็งแกร่งราวกับสัตว์ประหลาดแบบนี้กับถูกซือเฟิงฆ่าในการโจมตีเดียว โดยที่ไม่สามารถจะตอบโต้ใดๆได้เลยด้วย ใครกันจะเชื่อเรื่องแบบนี้ ?


หยวนเทียนซินและเพอเพิ้ลเจดที่เฝ้าดูฉากนี้อยู่ไม่ไกลนั้นก็ตกตะลึงมากเช่นกัน และกว่าที่พวกเขาจะสามารถประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมกับหายตกตะลึงได้นั้น พวกเขาก็ต้องใช้เวลานานมากๆ


เดิมทีพวกเขาคิดว่ามันน่าจะเป็นการต่อสู้ที่สั่นสะเทือนโลกแน่นอน และพวกเขาก็คิดว่าการที่ซือเฟิงตัดสินใจทำแบบนี้นั้นมันไม่ฉลาดเลย


ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองคนนั้นมีพลังเทียบเท่ากับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายชั้นยอดในเลเวลเดียวกัน แม้ว่าที่นี่จะเป็นสถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีก และแม้ว่าในท้ายที่สุดทั้งสองก็จะต้องถูกฆ่า แต่สภาสิบแปดปีกก็จะต้องจ่ายสำหรับเรื่องนี้อย่างมหาศาลแน่นอน


แต่ตอนนี้ ….


ในระหว่างที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับการตายของซือถู ฉิงเทียน และซื่อหยาง เทียนเหอนั้น เรลอส ผู้อาวุโสแห่งจักรวรรดิโลกใต้พิภพก็ได้มองไปยังซือเฟิงที่ยืนอยู่บริเวณหน้าต่างด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและหวาดกลัว


“นักบุญแห่งดาบขั้นห้า ?”


แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ช่วงแวบเดียว แต่เรลอสก็สามารถสัมผัสได้ถึงความกลัวอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนจากร่างของซือเฟิง โดยเขาก็สามารถบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่านี่มันไม่ได้เกิดจากค่าสถานะ ร่างมานา หรือมาตราฐานการต่อสู้ที่เหนือกว่าเพียงอย่างเดียว แต่มันเกิดจากเรื่องความแตกต่างของชนชั้นสิ่งมีชีวิตด้วย มันเป็นความกลัวที่เกิดจากสัญชาตญาณ ….


และหากวิเคราะห์กันแบบเป็นเหตุเป็นผลนั้น มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่ดีที่ผู้เล่นที่อยู่ในขั้นสี่ด้วยกัน และมีพลังใกล้เคียงกันจะสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ในการโจมตีเดียว


ดังนั้นความเป็นไปได้ที่เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวก็คือซือเฟิงนั้นไม่ได้เป็นจักรพรรดิดาบขั้นสี่อีกต่อไปแล้ว ….


โดยตอนนี้เขาได้ขึ้นไปเป็นอะไรที่เหนือกว่านั้นแล้ว …. ซึ่งนั่นก็คือนักบุญแห่งดาบขั้นห้า !!!


แม้ว่าเรลอสจะพึมพำเบาๆแบบพูดกับตัวเอง แต่ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดขั้นสี่ทั้งหมด ดังนั้นพวกเขาจึงได้ยินคำพูดของเรลอสอย่างชัดเจน


“นักบุญแห่งดาบขั้นห้า ?”


เมื่อได้ยินคำพูดของเรลอสนั้น ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังซือเฟิงทันที การตายของซือถู ฉิงเทียน และซื่อหยางเทียนเหอนั้นมันน่าตกตะลึงเกินไปจนทำให้พวกเขาลืมนึกถึงพลังของซือเฟิง แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของเรลอส และได้นึกถึงพลังของซือเฟิงแล้ว พวกเขาทุกคนก็ล้วนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“เป็นไปได้ยังไงกัน !!! เขาได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นขั้นแล้วแล้วจริงๆ !!!”


ใบหน้าของโคลท์ชาโด้ว และเด็กหนุ่มคนสนิทของซื่อหยาง เทียนเหอนั้นมืดมนลง ในขณะที่หัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ


ในเวลานี้ทุกอย่างมันชัดเจนมากจริงๆว่าซือเฟิงนั้นได้กลายเป็นอาชีพขั้นห้าแล้ว เพราะเมื่อพวกเขาได้ลองสัมผัสจริงๆ ออร่าที่ซือเฟิงแผ่ออกมานั้น มันแตกต่างจากอาชีพขั้นสี่อย่างชัดเจน


หากในคืนที่มืดมิด อาชีพขั้นสี่นั้นเป็นเปลวไฟใหญ่ที่ลุกโหม อาชีพขั้นห้าก็เป็นดั่งดวงอาทิตย์ ซึ่งมันเทียบกันไม่ติดเลย ….


“นี่คือเหตุผลที่เขาไม่สนใจซุเปอร์กิลทั้งสองเลยสินะ ?”


หยวนเทียนซินมองไปยังซือเฟิงที่ทำการฆ่าซือถู ฉิงเทียน และซื่อหยาง เทียนเหออย่างไม่ลังเลด้วยความตกตะลึงอย่างถึงที่สุด ขณะที่เพอเพิ้ลเจดเองก็พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ในขณะที่การแสดงออกด้านอารมณ์บนใบหน้าของเธอนั้นมันก็เต็มไปด้วยความซับซ้อน


ตอนแรกที่เธอเดินทางมาที่นี่นั้น เธอคิดว่าจะลองมาประมือกับซือเฟิงเพื่อเช็คความสามารถและการเติบโตของเธอตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา รวมไปถึงเธอก็อยากจะรู้ว่าเธอเข้าใกล้ซือเฟิงได้แค่ไหนแล้ว ….


แต่ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงการเข้าใกล้เลย เพราะทั้งสองอยู่ในขั้นที่แตกต่างกันแล้ว !!


อาชีพขั้นห้า !!


ในยุคที่พวกเทพขั้นหกไม่ได้โผล่ออกมาแล้ว อาชีพขั้นห้านั้นนับเป็นจุดสูงสุดใน God domain และอาชีพขั้นห้านั้นก็สามารถจะทำลายอาณาจักรหนึ่งได้สบายๆเลย พวกเขาไม่ใช่ตัวตนที่ผู้เล่นขั้นสี่ในปัจจุบันจะสามารถต่อกรได้


“หัวหน้ากิล !!”


ไฟเออร์แดนซ์ และสมาชิกของสภาสิบแปดปีกคนอื่นๆที่อยู่ในห้องรับรองมองไปที่ซือเฟิงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความปิติยินดี และตกตะลึง

เพราะท้ายที่สุดแล้วข่าวนี้มันน่าทึ่งมากๆ !!!


ถ้าก่อนหน้านี้สภาสิบแปดปีกต้องกลัวห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุด ตอนนี้พวกเขาก็จะไม่ต้องกลัวห้าซุเปอร์กิลนี้แล้ว เพราะท้ายที่สุดช่องว่างระหว่างขั้นห้า และขั้นสี่นั้นมันยิ่งใหญ่มากๆ แม้ว่ามันจะมีสัตว์ประหลาดอยู่จำนวนมากในห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุด แต่พวกนั้นทั้งหมดก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอาชีพขั้นห้าแน่นอน แต่หากพวกเขากล้าคิดจะต่อสู้ พวกเขาก็มีโอกาสสูงมากที่จะถูกสังหารหมู่


เว้นแต่ว่าห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดจะมีผู้เล่นขั้นห้าโผล่ขึ้นมา ไม่งั้นต่อให้พวกเขาจะมีผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่มากขนาดไหน มันก็จะไม่มีประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าของซือเฟิงที่เป็นผู้เล่นขั้นห้า ….


เนื่องจากอาชีพขั้นห้านั้นสามารถจะทำลายเมืองกิลเมืองหนึ่งลงได้อย่างง่ายดาย ซึ่งหากคนๆหนึ่งต้องการจะต้านทานการโจมตีของพวกขั้นห้านั้น มันก็จะสามารถทำได้แค่ในเมืองใหญ่ๆระดับเมืองหลักหรือเหนือกว่าขึ้นไปเท่านั้น แต่หากไม่มีวิธีการรับมือที่ดีพอ แม้แต่เมืองใหญ่ๆก็อาจจะทนการโจมตีของพวกขั้นห้าได้ไม่นานด้วยซ้ำ


หลังจากช่วงเวลาแห่งความปิติยินดีของไฟเออร์แดนซ์กับคนอื่นๆ ซือเฟิงก็ได้หันไปมองโคลท์ชาโด้ว และเด็กหนุ่มคนสนิทของซื่อหยาง เทียนเหอ ก่อนที่เขาจะกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “วันนี้ฉันจะจัดการลงโทษแค่สองคนนี้เท่านั้น !!! ถ้าครั้งหน้าพวกคุณยังกล้าจะมาทำตัวใหญ่โตหรือก่อปัญหาให้สภาสิบแปดปีกอีก ก็อย่าโทษฉันแล้วกันถ้าฉันจะไปเยี่ยมสำนักงานใหญ่หลักของกิลพวกคุณด้วยตัวเอง !!!”


เมื่อซือเฟิงกล่าวจบนั้น โคลท์ชาโด้ว และเด็กหนุ่มคนสนิทของซื่อหยาง เทียนเหอก็ไม่ได้คิดจะโต้ตอบ หรือพูดอะไรเลย โดยพวกเขาก็ได้รับนำคนของพวกเขาที่เหลือเดินออกจากห้องรับรองไปทันที และเมื่อมาถึงตรงนี้นั้น มันก็เหลือแต่เพียงคนของศาลาลับ และจักรวรรดิโลกใต้พิภพเท่านั้นที่ยังคงอยู่ ซึ่งคนจากทั้งสองกิลนี้ก็ได้แต่เฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลายในใจของพวกเขา


หากก่อนหน้านี้พวกเขาปฎิบัติต่อสภาสิบแปดปีกในฐานะกิลชั้นยอด ตอนนี้พวกเขาก็จะต้องปฎิบัติต่อสภาสิบแปดปีกในฐานะกิลที่มีสถานะเทียบเท่ากับซุเปอร์กิลแบบพวกเขาแล้ว


ในตอนนี้นอกเหนือจากนักบุญแห่งดาบขั้นห้าแล้ว สภาสิบแปดปีกก็ยังมีดินแดนศักสิทธิ์อย่างเมืองสภาสิบแปดปีกอยู่ในครอบครองอีก ซึ่งห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นเทียบกับพวกเขาไม่ได้เลยในด้านนี้ และหากมีเวลาเพียงพอนั้น พวกเขาจะสามารถก้าวขึ้นไปเป็นกิลอันดับหนึ่งของ God domain รวมถึงก้าวไปแทนที่ห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดได้แน่นอน


ในเวลานี้เรลอส ผู้อาวุโสที่เป็นตัวแทนของจักรวรรดิโลกใต้พิภพก็ได้ลุกขึ้นยืน และเดินเข้าไปหาซือเฟิง พลางกล่าวด้วยความเคารพว่า “หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ฉันมีชื่อว่าเรลอส ฉันเป็นผู้อาวุโสและตัวแทนของกิลจักรวรรดิโลกใต้พิภพที่มาเพื่อเจรจาขอร่วมมือกับสภาสิบแปดปีก โดยสิ่งที่จักรวรรดิโลกใต้พิภพของเราต้องการนั้นก็มีเพียงแค่สถานที่พักกิลชั่วคราวในเมืองสภาสิบแปดปีก ซึ่งเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนนั้นจักรวรรดิโลกใต้พิภพของเราจะจัดหาทรัพยากร และช่องทาง รวมไปถึงคอนเนคชั่นต่างๆที่สภาสิบแปดปีกต้องการในทวีปด้านตะวันตกให้ นอกจากนี้เราก็จะเข้าเป็นพันธมิตรกับสภาสิบแปดปีกเพื่อช่วยสภาสิบแปดปีกตั้งรับการโจมตีของกองกำลังผู้รุกรานจากโลกอื่นด้วย หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมคิดว่ายังไง ?”


สำหรับเรื่องพฤติกรรมที่ดูให้ความเคารพ รวมทั้งเงื่อนไขที่จริงใจของเรลอสนั้น เด็กหนุ่มสวมหน้ากากกับหยวนเทียนซินนั้นไม่ได้ประหลาดใจเลย


แม้กระทั่งสำหรับผู้เชี่ยวชาญอย่างเรลอส การจะเลื่อนขั้นไปเป็นขั้นห้าให้ได้นั้นมันก็จัดว่ายากมากๆ เพราะการจะเลื่อนขั้นไปเป็นขั้นห้านั้นมันไม่เกี่ยวข้องกับมาตราฐานการต่อสู้ของผู้เล่น มันขึ้นอยู่กับความเข้าใจ และการควบคุมมานากับองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ของผู้เล่น ซึ่งจำเป็นจะต้องมีให้มากพอเพื่อที่พวกเขาจะได้สร้างร่างมานาใหม่ของขั้นห้าขึ้นมาได้


สำหรับผู้ที่ยังไปไม่ถึงขั้นห้านั้น การมาทำตัวหยิ่งผยองกับผู้ที่อยู่ในขั้นห้ามันก็เท่ากับการแสวงหาความตายชัดๆ


ขณะเดียวกันหยวนเทียนซินที่อยู่ไม่ไกลนั้นก็ไม่พลาดเช่นกัน เขาได้เป็นตัวแทนของศาลาลับมาเสนอเงื่อนไขที่แทบจะคล้ายกับจักรวรรดิโลกใต้พิภพเลย ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวของศาลาลับกับจักรวรรดิโลกใต้พิภพก็คือ ศาลาลับจะช่วยสภาสิบแปดปีกในการป้องกันเมืองป่าหิน กับเมืองสภาสิบแปดปีกเท่านั้น และจะไม่เข้าร่วมการต่อสู้อื่นๆ


“ฉันไม่ได้มีปัญหากับเงื่อนไขของพวกคุณหรอกนะ อย่างไรก็ตามตัวฉันเองก็มีเงื่อนไขของตัวเองอยู่ข้อหนึ่ง ซึ่งหากพวกคุณตกลง เราก็มาเซ็นสัญญากันได้เลย …” ซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเรลอสได้ยินดังนี้เขาก็รีบพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม โปรดบอกฉันมาเลย …”


ในตอนแรกเขาคิดว่าซือเฟิงจะไม่เต็มใจที่จะยอมรับข้อเสนอนี้ เพราะท้ายที่สุดแล้วด้วยเมืองสภาสิบแปดปีกนั้น ซือเฟิงจะมีตัวเลือกอีกมากมายที่ต้องการจะเข้าเป็นพันธมิตรกับเขา และขอน้อยกว่านี้แน่นอน ซึ่งหากรวมๆกัน ซือเฟิงก็อาจจะได้รับมากกว่าข้อเสนอที่เขาเสนอไป อย่างไรก็ตามตอนนี้เมื่อซือเฟิงยอมรับแล้ว มันก็นับเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน


ด้านหยวนเทียนซินนั้นก็พยักหน้าเช่นกัน ….


ซือเฟิงมองไปที่ทั้งสองก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เงื่อนไขของฉันนั้นง่ายมาก ฉันต้องการมรดกขอบเขตโดเมนที่สมบูรณ์ของกิลทั้งสองของพวกคุณ ซึ่งหากพวกคุณตกลง เราก็มาเซ็นสัญญากันได้เลย !!”


ปัจจุบันสภาสิบแปดปีกนั้นไม่ได้ขาดแคลนสิ่งอื่นๆเลย ตราบใดที่ยังมีเมืองสภาสิบแปดปีก การที่พวกเขาจะได้รับทรัพยากรที่พวกเขาต้องการทั้งตอนนี้และในอนาคตก็จะไม่เป็นปัญหาแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามการจะใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่พวกเขามีให้เกิดประโยชน์ได้สูงสุดนั้น พวกเขาก็จำเป็นจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่มีความสามารถพิเศษจำนวนมากด้วย


ดังนั้นการได้รับมรดกขอบเขตโดเมนที่สมบูรณ์มาจึงมีความสำคัญอย่างมากต่อสภาสิบแปดปีกในตอนนี้ ซึ่งมันก็เป็นไปเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญของพวกเขาสามารถเติบโตไปจนถึงขอบเขตโดเมนได้


“โอเค ฉันยอมรับเงื่อนไขของคุณในนามของจักรวรรดิโลกใต้พิภพ !!!” เรลอสตอบตกลงอย่างไม่ลังเล


สำหรับหยวนเทียนซิน เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกัดฟันและพูดว่า “ศาลาลับของเราก็ยินดีจะยอมรับเงื่อนไขของคุณเช่นกัน …”


เมื่อซือเฟิงได้ยินดังนี้เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะท้ายที่สุดมรดกกิลที่สมบูรณ์นั้นมีความสำคัญมากๆสำหรับแต่ละกิล และหลายกิลก็ยินดีที่จะถูกทำลายดีกว่าจะมอบให้คนอื่น ….


หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้กล่าวออกมาว่า “ยอดเยี่ยม !! งั้นมาเซ็นสัญญากันเลย และฉันก็ขอให้ทั้งสามกิลของพวกเราร่วมมือกันแบบนี้ไปได้นานๆ !!!”


เมื่อได้ยินคำพูดของซือเฟิง ทั้งหมดต่างก็เซ็นสัญญาอย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่มันทำให้ทั้งสามฝ่ายของพวกเขานั้นมีความสุขมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซือเฟิง เพราะนี่มันนับเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้สภาสิบแปดปีกกลายเป็นกิลอันดับหนึ่งของ God domain ในอนาคต


หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยซือเฟิงก็ใช้เวลาอีกนิดหน่อยในการพูดคุยรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆกับตัวแทนทั้งสอง ซึ่งในระหว่างนี้นั้นข่าวเรื่องที่ซือเฟิงกลายเป็นขั้นห้า และข่าวที่ซือถู ฉิงเทียน กับซื่อหยาง เทียนเหอถูกฆ่าที่สถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีกก็ได้แพร่กระจายออกไปในหมู่มหาอำนาจของ God domain อย่างรวดเร็ว


และชั่วครู่หนึ่ง ข่าวนี้มันก็ทำให้ทั่วทั้ง God domain สั่นสะเทือน !!!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)