Reincarnation Of The Strongest Sword God 2462 - 2466
ตอนที่ 2462
ประตูทอง
อควาโรสและคนอื่นๆนั้นอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เมื่อได้เห็นประตูทองปรากฎขึ้นตรงหน้าทางเข้าของคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการ
แม้ว่าประตูนี้จะมีความสูงเพียงแค่แปดเมตร แต่มันก็แผ่ออร่าที่ให้ความรู้สึกโบราณกับศักสิทธิ์มากๆออกมา แถมมันยังดึงดูดมานาจำนวนมากให้เข้าหามันด้วย ซึ่งผลของเรื่องนี้นั้นมันส่งผลต่อร่างมานาของสมาชิกสภาสิบแปดปีกทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ
แม้ว่าจะมีอักษรรูนศักสิทธิ์และภาพถูกแกะสลักไว้ที่ประตู แต่อักษรรูนและภาพเหล่านี้นั้นก็ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเลย เมื่อผู้เล่นพยายามจะตรวจสอบมัน เพราะทั้งอักษรรูนและภาพนั้นมันเบลอมาก อย่างไรก็ตามมันก็ให้ความรู้สึกหนักอึ้ง และทำให้หลายคนอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก
“เครื่องหมายบนประตูนั่นคืออะไรกัน ? ฉันพยายามจะตรวจสอบมันมาครู่หนึ่งแล้ว แต่มันผลาญค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของฉันไปอย่างมากยิ่งกว่าการใช้เทคนิคการต่อสู้ขั้นสูงติดต่อกันซะอีก” อควาโรสอุทานออกมาเสียงดัง ซึ่งหลังจากตรวจสอบอักษรรูนและภาพทั้งหมดนี้แล้ว เธอก็ได้เลือกจะถอยห่าง และหันหลังออกจากประตูมา
เธอนั้นได้เห็นสิ่งที่น่าทึ่งมามากมายใน God domain แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่เธอได้พบกับบางสิ่งที่ผลาญค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของเธอได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ หลังจากเธอพยายามใช้สกิลตรวจสอบมองไปแค่ไม่กี่วินาที และเธอก็ไม่สงสัยเลยว่า ถ้าเธอจ้องมองไปยังประตูนี้อีกสักครู่ ค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของเธอจะหมดลงไปเลยแน่นอน
ไฟเออร์แดนซ์และคนอื่นๆก็ทำแบบเดียวกับอควาโรสด้วยความกลัวว่าตัวเองจะเจอกับปัญหาใหญ่ หากยังคงจ้องมองและพยายามตรวจสอบมัน
ผู้เล่นของ God domain นั้นจะหมดสติไปทันที เมื่อค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจหมดลง ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้น ผลลัพธ์ของมันจะรุนแรงยิ่งกว่าที่ค่าสตามิน่าหมดลงซะอีก
เมื่อค่าสตามิน่าของผู้เล่นหมดลง พวกเขาจะสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนที่ไป แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของผู้เล่นหมดลง พวกเขาก็จะถูกบังคับให้เข้าสู่สภาวะหมดสติ และต้องใช้เวลานานมากกว่าจะฟื้นฟูตัวเองได้ ซึ่งนี่มันนับเป็นเรื่องร้ายแรงมากสำหรับผู้เล่นชั้นแนวหน้า
“นี่เป็นเรื่องปกติ ข้อมูลเกี่ยวกับประตูทองนี้นับเป็นมรดกที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นมรดกที่ค่อนข้างสมบูรณ์ และซับซ้อนกว่าเทคนิคการต่อสู้ที่เราเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ทั้งหมด มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้เล่นจะสามารถตรวจสอบและมองเห็นได้ง่ายๆ” ซือเฟิงกล่าว เมื่อเขาเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นของคนของเขา เขาก็ยิ้มอย่างขมขื่น และกล่าวต่อว่า “ถ้าทุกคนพยายามมองและตรวจสอบมรดกนี้นานเกินไป มันจะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูตัวเองมากกว่าห้าวันเลย”
ประตูมรดกที่ถูกทิ้งไว้ในป้อมปราการโบราณแบบนี้นั้นถูกแบ่งออกเป็นสามระดับ ทองแดง เงิน และทอง
ซึ่งแต่ละระดับนั้นจะแข็งแกร่งกว่าระดับก่อนหน้าอย่างมาก และมรดกที่ผู้เล่นจะได้รับจะมีความสมบูรณ์มากแค่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับระดับของประตูนี่แหละ ในทำนองเดียวกันยิ่งระดับของประตูสูงเท่าไหร่ การทดสอบก็จะยิ่งยากขึ้นเท่านั้นเช่นกัน และผู้เชี่ยวชาญขั้นสามหลายคนก็ยังต้องดิ้นรนอย่างมากเลยในการจะเคลียร์การทดสอบโหมดทั่วไป ที่เป็นประตูระดับทองแดง
ขณะที่ประตูระดับทองนั้นก็จะมีแค่เฉพาะในโหมดอาชูร่า และพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งการจะเคลียร์มันให้ได้ก็ยาก และแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดก็ยังต้องรู้สึกสิ้นหวังกับความท้าทายนี้ ….
ซือเฟิงนั้นได้คาดเดาไว้ว่าในกรณีเลวร้ายที่สุด ระดับของประตูในป้อมปราการแสงดาวนั้นก็ควรจะอยู่ที่ระดับเงิน เขาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นประตูมรดกระดับทอง ซึ่งตอนนี้มันทำให้การเข้ายึดคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการแห่งนี้ให้ได้นั้นมันยากพอๆกับการเข้ายึดคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการขนาดใหญ่เลย ….
นี่ระบบได้ยกระดับความยากขึ้น เพราะพวกเราเป็นกลุ่มแรกที่เข้ายึดป้อมปราการโบราณได้งั้นหรอ ? คำถามนี้มันหมุนอยู่ในหัวของซือเฟิง ขณะที่เขาจ้องมองไปยังประตูทองตรงหน้าเขา
โดยปกติป้อมปราการขนาดเล็กส่วนใหญ่นั้นจะมีแค่ประตูระดับเงินเท่านั้น ขณะที่ป้อมปราการขนาดกลางก็จะมีโอกาสเพียงแค่เล็กน้อยที่จะมีประตูระดับทอง เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าในชีวิตที่ผ่านมาของเขามีใครพบประตูระดับทองในป้อมปราการขนาดเล็ก
ลืมมันไปดีกว่า มาลองทำกันไปทีละขั้น … ซือเฟิงส่ายหัว และไล่ความกังวลในใจของเขาออกไป จากนั้นเขาก็กัดฟันและพาทีมของเขามุ่งหน้าเข้าไปในประตูทอง
หากเขาปฎิเสธที่จะเข้ารับการทดสอบในตอนนี้ เขาก็จะต้องรอจนกว่าคูลดาวน์อีกรอบของโทเค่นจะสิ้นสุดลงจึงจะสามารถมาลองได้อีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นการปรากฎขึ้นของประตูทองก็อาจไม่ได้เลวร้ายไปซะทั้งหมด มันอาจเป็นพรสำหรับเขาก็ได้
ประตูมรดกระดับสูงแบบนี้นั้นอาจเป็นเรื่องยากที่จะเคลียร์ แต่มันก็จะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เล่นอย่างมากในการเรียนรู้วิธีการควบคุมร่างมานาของตน
ประตูมรดกนั้นจัดเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของป้อมปราการโบราณ นอกจากนี้มันยังจัดเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับผู้เล่นที่เข้าควบคุมป้อมปราการโบราณได้ มหาอำนาจต่างๆในชีวิตก่อนหน้านี้ของซือเฟิงนั้นไม่ได้รับรู้ถึงความจริงข้อนี้เลย และพวกเขาก็ปฎิบัติกับประตูมรดกเป็นเหมือนกับหนทางที่จะได้ควบคุมป้อมปราการได้มากขึ้นเท่านั้น
มหาอำนาจต่างๆได้ค้นพบคุณค่าที่แท้จริงของประตูมรดกก็หลังจากนั้นไม่นานนัก และพวกเขาก็ได้เรียนรู้ว่าประตูเหล่านี้นั้นเป็นวิธีที่เร็วที่สุดสำหรับผู้เล่นในการปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาทั้งหมด หากผู้เล่นนั้นพยายามสำรวจ และปรับตัวให้เข้ากับร่างมานาโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆเลย การปลดศักยภาพทั้งหมดนั้นจะต้องใช้เวลานานมากๆ
ขณะที่ซือเฟิงและคนอื่นๆเดินผ่านประตูทองเข้าไป โลกรอบตัวพวกเขาก็เริ่มบิดเบี้ยว
หลังจากนั้นไม่นาน ซือเฟิงก็ได้พบว่าตัวเองนั้นมายืนอยู่ต่อหน้าภูเขาสีทองศักสิทธิ์เพียงลำพัง โดยภูเขาสีทองนี้สูงหลายพันเมตร และซือเฟิงไม่สามารถมองเห็นได้เลยว่ามันสิ้นสุดลงตรงไหน และออร่าของภูเขานี้นั้นรุนแรงน้อยกว่าหอคอยสี่เทพเจ้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งในขณะที่ถูกปกคลุมไปด้วยออร่าของภูเขานี้ ซือเฟิงก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่รุนแรงซึ่งส่งผลให้ความคล่องตัวของเขาลดลง
นี่คือการทดสอบของประตูระดับทองงั้นหรอ ? ซือเฟิงมองไปรอบๆตัวเขาด้วยความตกตะลึง
ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา เขาเคยเข้าไปในประตูระดับทองแดงเท่านั้น และเขาก็ได้รับช่องทางในการเข้า หลังจากทำการจ่ายเงินก้อนใหญ่ไป แต่ถึงกระนั้นเขาก็เต็มใจจะจ่ายด้วยความยินดี เพราะถ้าไม่มัน เขาจะต้องเสียเวลาในการสำรวจและปรับตัวให้เข้ากับร่างมานาของตัวเองเช่นเดียวกับผู้เล่นอิสระ ซึ่งมันจะเสียเวลาอย่างมากเลยทีเดียว
ยิ่งร่างมานาแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งยากที่จะปลดล๊อคศักยภาพของมันให้ได้ ด้วยเหตุนี้ผู้เล่นอิสระขั้นสามจึงจะต้องดิ้นรนอย่างหนักกว่าจะมีพลังเหนือกว่าผู้เล่นขั้นสามของมหาอำนาจต่างๆ
แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่มีใครสามารถที่จะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วนี่เป็นสาเหตุหลักจริงๆที่ทำให้ผู้เล่นจำนวนมหาศาลพยายามจะเข้าร่วมกับมหาอำนาจต่างๆ
ภายในประตูระดับทองนั้นซือเฟิงพบว่ามันมีความแตกต่างกับประตูระดับทองแดงอย่างมาก
เมื่อเขาเข้าไปในประตูระดับทองแดงนั้น สภาพแวดล้อมโดยรอบของมันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขา แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ภายในประตูระดับทอง เขากลับรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าในจิตใจของเขา ซึ่งภายในความว่างเปล่านี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงร่องรอยของมานาบางๆ ซึ่งสภาพจิตใจเช่นนี้นับว่ามีประโยชน์อย่างมาก เพราะในขณะที่ผู้เล่นปฎิบัติการในพื้นที่ที่มีมานาน้อยหรือไม่มีเลย สภาพแวดล้อมแบบนี้จะส่งผลต่อความสามารถในการเรียนรู้และเติบโต แม้จะได้รับการสนับสนุนจากร่างมานาก็ตาม
ในขณะที่ซือเฟิงและคนอื่นๆสังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัวพวกเขาอย่างเงียบๆ ร่างของเทพธิดาในชุดเกราะสีน้ำเงินเข้มก็ปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าของพวกเขาทั้งหมด
“ฉันเป็นผู้สร้างประตูมรดกแห่งนี้ อีเลียดี้ ผู้ทดสอบ คุณมีเวลาสองวันในการปีนภูเขาศักสิทธิ์แห่งนี้ และเคลียร์การทดสอบ หากคุณล้มเหลว คุณจะถูกบังคับให้ออกจากสถานที่แห่งนี้ มีเพียงแค่เฉพาะในกรณีที่พวกคุณสามคนสามารถปีนขึ้นไปถึงศาลเจ้าแห่งแรกของภูเขาศักสิทธิ์ได้เท่านั้น คุณจึงจะได้รับเครื่องหมายระดับทองแดงเพื่อทำให้ตัวเองได้รับอำนาจเพิ่มในป้อมปราการแสงดาว จำไว้ว่านี่เป็นโอกาสเดียวของคุณ หากพลาด คุณจะไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าสู่ที่นี่อีกเป็นเวลาหนึ่งเดือน” อีเลียดี้อธิบายพลางมองไปยังซือเฟิง
ทันทีที่อีเลียดี้พูดจบเธอก็หายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
โชคดีที่เรามีเวลาสองวัน ซือเฟิงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หลังจากได้ฟังรายละเอียดของการทดสอบ
เขาได้รับเวลาเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ในตอนที่เขาทำการทดสอบปีนภูเขาศักสิทธิ์ในประตูระดับทองแดงในชีวิตที่ผ่านมาของเขา แต่ตอนนี้เขามีเวลาสองวันในการจะเคลียร์การทดสอบ และมันก็น่าจะเป็นเวลาที่เพียงพอสำหรับอควาโรสและคนอื่นๆที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของที่นี่ เพราะท้ายที่สุดแล้วนี่นับเป็นการทดสอบมรดกครั้งแรกของพวกเขา
ก่อนที่ซือเฟิงจะทันได้เฉลิมฉลองความโชคดีนี้ อัศวินสามคนในชุดเกราะที่สวยงามก็ปรากฎตัวขึ้นบนภูเขาศักสิทธิ์ โดยอัศวินแต่ละคนนั้นล้วนถือดาบอยู่ และที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาก็ยังอยู่ในเลเวลหนึ่งร้อยสิบ ขั้นสาม ซึ่งเมื่ออัศวินเหล่านี้ปรากฎตัวขึ้น พวกเขาก็พุ่งเข้าหาซือเฟิงทันที
อัศวินเหล่านี้นั้นรวดเร็วมากๆ แม้ว่าพื้นที่นี้จะแทบไม่มีมานาเลย และพวกเขาแต่ละคนก็ยังมีมานาที่หนาแน่นล้อมรอบตัวเอง
อัศวินทั้งสามปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้เต็มรูปแบบแล้วงั้นสินะ ? ซือเฟิงตกตะลึงเมื่อเขามองไปยังอัศวินทั้งสามที่กำลังใกล้เข้ามา
ตอนที่ 2463
การปลดล๊อคขั้นพื้นฐาน
เมื่อรู้สึกได้ถึงมานาจำนวนมากที่เคลือบดาบของอัศวินที่เป็น NPC อยู่ ซือเฟิงก็ไม่เต็มใจที่จะเสี่ยงโดยไม่จำเป็น เขารีบชักดาบทั้งสองของเขาออกจากฝักและเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ทันที
เขาอาจไม่กังวลเลยถ้าฝ่ายตรงข้ามของเขาเป็นเพียง NPC ขั้นสามหน้าใหม่ หรือไม่ก็เป็น NPC ขั้นสามที่มีเลเวลต่ำกว่าหนึ่งร้อย อย่างไรก็ตามต่อหน้า NPC ขั้นสามทั้งสามคนนี้ที่ปลดล๊อคร่างมานาได้อย่างเต็มศักยภาพทั้งหมดแล้ว เขาจะตายทันทีแน่นอนหากพลาดเพียงเล็กน้อย
ความแตกต่างระหว่างร่างมานาที่ยังปลดล๊อคได้ไม่เต็มศักยภาพ กับร่างมานาที่ปลดล๊อคได้เต็มศักยภาพแล้ว มันก็เหมือนความแตกต่างระหว่างผู้เชี่ยวชาญขอบเขตการปรับแต่งกับผู้เล่นทั่วไป
นี่คือเหตุผลที่ NPC ขั้นสามบางคนนั้นสามารถจะทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองเมืองเล็กๆในอาณาจักรหรือจักรวรรดิต่างๆได้ ในขณะที่บางคนสามารถเป็นได้แค่หัวหน้าอัศวินของเมืองเท่านั้น และ NPC ขั้นสามที่อ่อนแอบางกลุ่มก็ถูกใช้ให้เฝ้าแค่ประตูทางเข้าวังด้วยซ้ำ สถานะที่แตกต่างเหล่านี้เป็นผลมาจากสถานะร่างมานาของ NPC
NPC ขั้นสามใดๆที่สามารถปลดล๊อคศักยภาพทั้งหมดของร่างมานาของพวกเขาได้ จะจัดว่าเป็นชนชั้นสูงในหมู่ NPC ขั้นเดียวกัน และพวกเขาก็จะไม่ถูกนับว่าเป็น NPC ทั่วไปอีกต่อไป แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญ NPC ขั้นสามที่จะสามารถเอาชนะผู้เล่นระดับผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดได้อย่างสบายๆราวกับเอาชนะผู้เล่นทั่วไป
เมื่อมาถึงเป้าหมายของพวกเขา อัศวิน NPC ทั้งสามก็ได้ทำการฟันดาบของพวกเขามาที่ซือเฟิงจากทิศทางที่แตกต่างกัน
โดยอัศวินเหล่านี้นั้นมีการประสานงานกันอย่างสมบูรณ์แบบราวกับว่าพวกเขานั้นเป็นเพื่อนสนิทที่ร่วมรบด้วยกันมานานนับสิบปี อัศวินสองคนนั้นพยายามที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของซือเฟิง ในขณะที่อีกคนพยายามจะโจมตีจุดบอดของเขา นอกจากนี้การโจมตีของพวกเขานั้นยังมีพลังมากพอที่จะทำให้ลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ในเลเวลเดียวกันปลิวกระเด็นไปได้เลย หากผู้เล่นขั้นสามคนอื่นมายืนอยู่ในตำแหน่งของซือเฟิง มันคงจะใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่พวกเขาจะพ่ายแพ้
น่าเสียดายที่อัศวินทั้งสามนั้นไม่สามารถจะหลอกซือเฟิงได้ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมน เขาสามารถรับรู้ถึงวิถีการโจมตีของอัศวินทั้งสามได้อย่างรวดเร็ว
ซือเฟิงนั้นตอบโต้อัศวินที่โจมตีมายังจุดบอดของเขาด้วยการโจมตีโต้ตอบเข้าไปยังจุดบอดของอัศวินเช่นกัน และบังคับให้อัศวินคนนี้เปลี่ยนวิถีการโจมตีไปปะทะกับดาบของอัศวินอีกสองคน
Peng! Peng! Peng!
อัศวินทั้งสามนั้นถูกบังคับให้ต้องถอยหลังกลับไปจากการปะทะกันเอง แต่อย่างไรก็ตามซือเฟิงเองก็ถูกบังคับให้ต้องถอยไปครึ่งก้าวเช่นกัน และแขนของเขาก็รู้สึกชามากในตอนที่ส่งอาวุธของเขาไปปะทะกับอัศวินคนหนึ่งเพื่อบังคับให้เปลี่ยนวีถีการโจมตี
นี่คือการทดสอบของประตูระดับทองงั้นหรอ ? ซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับเรื่องนี้ และตอนนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะกังวลแทนอควาโรสและคนอื่นๆ
มันแทบจะไม่มีมานาอยู่เลยในโลกแห่งนี้ และด้วยเหตุนี้อควาโรสและคนอื่นๆจะจัดว่าโชคดีมากแล้ว หากพวกเขาแสดงพลังในการต่อสู้ตามปกติออกมาได้สักครึ่งหนึ่ง แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากร่างมานาก็ตาม
การปะทะกันครั้งแรกของซือเฟิงกับอัศวินทั้งสามนั้นเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ แต่เขาก็สามารถบอกได้เลยว่ามาตราฐานการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามของเขานั้นเทียบเท่ากับอยู่ในชั้นห้าของหอคอยทดสอบ มาตราฐานการต่อสู้ของพวกเขาอาจไม่สูงมากนัก แต่ซือเฟิงก็มั่นใจว่าพวกเขามีร่างมานาอย่างน้อยที่ระดับเงินที่ปลดล๊อคศักยภาพทั้งหมดได้แล้ว ไม่งั้นการปะทะกันแค่เพียงครั้งเดียวก็คงจะไม่ทำให้แขนของเขาชา และถูกบังคับให้ต้องถอยกลับมาครึ่งก้าวแบบนี้
แม้แต่ตัวเขาก็ยังจะต้องดิ้นรนอย่างหนักสำหรับเรื่องนี้ ดังนั้นมันก็เป็นเรื่องง่ายเลยที่จะจินตนาการว่าคนอื่นๆจะต้องรู้สึกและเจอกับอะไรบ้าง
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังอยู่ที่เชิงเขาเท่านั้น และยังไม่ได้เริ่มปีนด้วยซ้ำ ….
การปีนขึ้นไปบนภูเขาให้ได้นั้นนับเป็นเป้าหมายของการทดสอบของมรดกนี้ และเมื่อผู้เล่นปีนขึ้นไปสูงขึ้นได้ พวกเขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม โชคดีที่พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องฆ่าคู่ต่อสู้ ตราบใดที่ผู้เล่นเอาชีวิตรอดจากการโจมตีของผู้ที่อยู่อาศัยบนภูเขานี้ได้เป็นเวลาสามสิบนาที พวกเขาก็จะได้รับอนุญาติให้ผ่านไปได้ แต่นั่นมันก็ยังคงจัดว่าเป็นงานที่ท้าทายอยู่ดี การต่อสู้ PvP ตามปกตินั้นใช้เวลาไม่เกินสิบนาที ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้กับ NPC เลย เพราะมันจะผลาญค่าสตามิน่าและค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของพวกเขาไปอย่างมหาศาลมากๆ
อย่างไรก็ตามในการปะทะกับอัศวินเหล่านี้เป็นครั้งแรก ซือเฟิงก็สัมผัสได้ถึงวงจรมานาของ NPC และวิธีที่พวกเขาใช้มานาจากภายในร่างของตัวเอง
โดยปกติแล้วการรับรู้ถึงสิ่งต่างๆในโลกภายนอกนั้นจะค่อนข้างยากมากๆ เนื่องจากมีมานามากมายในพื้นที่ แต่พื้นที่ในประตูมรดกนี้แทบจะไม่มีมานาเลย เป็นผลให้การไหลของมานาภายในร่างของ NPC ทั้งสามนั้นสังเกตเห็นได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าซือเฟิงจะไม่ใช่ผู้เล่นสายเวทย์มนต์ก็ตาม แต่เขาก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงการไหลของมานาในร่างของอัศวินทั้งสาม
แถมเนื่องจากอัศวินเหล่านี้นั้นมีร่างมานาอยู่แค่ระดับเงินเท่านั้น ดังนั้นร่างมานาของพวกเขาจึงง่ายต่อการจัดการมากกว่าร่างมานาของซือเฟิงอย่างมาก เขาจะไม่ได้รับข้อมูลเชิงลึกมากนักจากการต่อสู้กับอัศวินเหล่านี้ แต่ถึงกระนั้นหากให้เปรียบเทียบ เขาก็จะยังได้รับข้อมูลมากกว่าตอนที่เขาเข้าสู่ประตูระดับทองแดงในชีวิตที่ผ่านมาของเขา
หลังจากซือเฟิงผลักดันให้อัศวินทั้งสามต้องถอยกลับไป พวกเขาก็เริ่มตั้งตัวกันใหม่ และเริ่มโจมตีซือเฟิงอีกครั้งโดยไม่ปล่อยให้ซือเฟิงได้หยุดพัก
อย่างไรก็ตามในครั้งนีอัศวินเหล่านี้เลือกจะใช้วิธีการอื่นในการโจมตี หนึ่งในอัศวินเหล่านี้ได้มุ่งเน้นการโจมตีมาที่ซือเฟิง ในขณะที่อีกสองคนทำการรวบรวมมานาของพวกเขาและรอโอกาส ตอนนี้เหล่าอัศวินนั้นรู้แล้วว่าพวกเขาไม่สามารถจะวัดกันกับซือเฟิงได้ในด้านของเทคนิค และพวกเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะจัดการกับซือเฟิงด้วยพลังดิบที่เหนือกว่า ซึ่งมันทำให้ซือเฟิงอยู่ในตำแหน่งที่ยากลำบากมากๆ
ค่าสถานะพื้นฐานของเขานั้นสูงกว่าอัศวินขั้นสามทั้งสามแน่นอน แต่ด้วยมานาของพวกเขาที่ช่วยเพิ่มพลังให้กับดาบของพวกเขา ซือเฟิงจึงไม่สามารถจะป้องกันการโจมตีจากอาวุธของพวกเขาได้โดยไม่ได้รับผลกระทบ ทำให้เขานั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหลบและถอยหนี โชคดีที่มานานั้นเพิ่มเพียงแค่พลังดิบจากการโจมตีของอัศวินเท่านั้น มันไม่ได้ช่วยเพิ่มความเสียหาย
สิบนาที…สิบห้านาที…ยี่สิบนาที…
เมื่อการต่อสู้ดำนเนินไปยาวนานขึ้น ความตื่นเต้นของซือเฟิงนั้นก็เพิ่มขึ้นมาก เขาได้เรียนรู้และเลียนแบบวิธีการที่อัศวินเหล่านี้ใช้มานาจากภายในร่างกาย และการประสานงานกันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนี่มันเหมือนกับการที่เขาได้เรียนรู้การวาดวงเวทย์ใหม่เลย
และแล้วในที่สุดเมื่อเหล่าอัศวินพุ่งเข้าโจมตีเขาอีกครั้ง ซือเฟิงก็ได้นำมานาออกมาจากร่างของเขาอย่างเงียบๆ และเคลือบไว้ที่ดาบศักสิทธิ์ของเขา
เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
จากนั้นเขาก็เหวี่ยงคิลลิงเรย์ที่เคลือบมานาเข้าใส่อัศวินขั้นสาม
ตู้ม !!
เสียงระเบิดดังก้องที่บริเวณเชิงเขา
ผลกระทบจากการปะทะกันครั้งนี้ทำให้อัศวินขั้นสามทั้งสามนั้นถูกบังคับให้ต้องถอยไปหนึ่งก้าว ในทางตรงกันข้ามซือเฟิงยังคงยืนหยัดอยู่ในตำแหน่งเดิมของเขาได้ และแขนของเขาก็ไม่ได้รู้สึกสั่นอีกต่อไป
ทันใดนั้นเสียงการแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นมาที่หูของซือเฟิง
ระบบ : คุณปลดล๊อคศักยภาพที่แท้จริงของร่างมานาระดับอีปิคได้ห้าเปอเซ็นต์แล้ว
ในที่สุดฉันก็ได้เข้าใจถึงวิธีการปลดล๊อคศักยภาพที่แท้จริงของร่างมานาแล้ว !!! ซือเฟิงนั้นเต็มไปด้วยความสุข ขณะที่เขาจ้องมองไปยังอาวุธของเขา
ในที่สุดเขาก็สามารถเลียนแบบวิธีการที่อัศวินเหล่านี้ใช้มานาเคลือบดาบของตัวเองได้แล้ว
แน่นอนว่าเขาก็ยังไม่สามารถจะเลียนแบบวิธีการของอัศวินเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เนื่องจากร่างมานาของเขาอยู่คนละระดับกับอัศวินทั้งสาม ดังนั้นเขาจึงจำเป็นจำต้องปรับเปลี่ยนมันให้เป็นแนวทางของเขา เพราะท้ายที่สุดแล้วร่างมานาของเขานั้นอยู่ในระดับอีปิคและมันมีความซันซ้อนมากกว่าร่างมานาระดับเงินอย่างมาก เขาจึง
สามารถปลดล๊อคศักยภาพที่แท้จริงได้แค่ห้าเปอเซ็นต์เท่านั้น หลังจากสามารถนำมานามาเคลือบกับดาบได้
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมในชีวิตที่ผ่านมาของฉัน ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากจึงล้วนต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงสิทเข้าสู่ประตูระดับทองแบบนี้ ฉันมีความคืบหน้าในแบบที่ต้องฝึกฝนหนึ่งสัปดาห์ได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เมื่อเห็น NPC ทั้งสามจ้องมองมายังเขาอย่างเป็นปรปักษ์ ซือเฟิงก็ตระหนักได้เลยว่าการได้ฝึกฝนในประตูระดับทองนี้มันมีประสิทธิภาพมากขนาดไหน
หากผู้เชี่ยวชาญที่มีร่างมานาระดับเงินมายืนอยู่ในตำแหน่งของเขา พวกเขาน่าจะสามารถปลดล๊อคศักยภาพที่แท้จริงของร่างมานาระดับเงินได้ทั้งหมดในการเดินทางมาที่นี่เที่ยวเดียว อัศวินเหล่านี้นั้นนับเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สามารถใช้ฝึกฝนได้ และสภาพแวดล้อมที่แทบไม่มีมานาเลยของสถานที่แห่งนี้นั้นก็เหมาะสำหรับสังเกตร่างมานาของผู้อื่นอย่างมาก ซึ่งสิ่งนี้ไม่สามารถจะทำได้เลยในโลกภายนอก
หลังจากผ่านตรงนี้ไปได้ ซือเฟิงก็ได้เลือกจะท้าทายกลุ่มอัศวิน NPC กลุ่มต่อไปทันที เขาต้องการจะทำความคุ้นเคย และปรับตัวให้เข้ากับความรู้สึกใหม่โดยเร็วที่สุด
กลุ่มที่สองนี้ประกอบไปด้วยอัศวิน NPC ทั้งหมดหกคน และพวกเขาก็มีวิธีการใช้ร่างมานาของพวกเขาที่แตกต่างออกไปจากอัศวิน NPC กลุ่มแรกอย่างสิ้นเชิง โดยในหมู่พวกเขานั้นแต่ละคนแข็งแกร่งพอๆกับอัศวิน NPC สามคนแรก แต่ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าหนูทดลองสำหรับซือเฟิง ในขณะที่เขาทำการปรับแต่งร่างมานาระดับอีปิคของเขาให้ดีขึ้น
ซือเฟิงนั้นไม่เพียงแต่จะต้องเผชิญหน้ากับอัศวินแบบนี้จำนวนมากขึ้น ในทุกครั้งที่เขาปีนขึ้นไปบนภูเขาศักสิทธิ์สูงขึ้น แต่เขายังเริ่มเผชิญหน้ากับอัศวินที่มีร่างมานาระดับสูงแล้ว อัศวินกลุ่มแรกที่เขาต้องเผชิญนั้นมีเพียงแค่ร่างมานาระดับเงิน ขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามในตอนนี้ซือเฟิงเริ่มจะเผชิญหน้ากับอัศวินที่มีร่างมานาระดับเงิน ขั้นกลาง และขั้นสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแล้ว เป็นผลให้ซือเฟิงสามารถปรับแต่งร่างมานาระดับอีปิคของเขาให้ดีขึ้นได้เรื่อยๆ
10%… 15%… 20%…
หลังจากผ่านการต่อสู้มานานกว่าเจ็ดชั่วโมง และผ่านความท้าทายกับอัศวินขั้นสามหกคนที่มีร่างมานาระดับเงิน ขั้นสูงสุดมาได้ ซือเฟิงก็ได้มาถึงศาลเจ้าแห่งแรกของภูเขาศักสิทธิ์
หลังจากซือเฟิงเข้ามาในศาลเจ้าแห่งแรก ร่างของอีเลี้ยดี้ก็ปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าของเขาอีกครั้ง โดยออร่าที่อีเลียดี้แผ่ออกมานั้นมันก็ชัดเจนเลยว่าเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตขั้นห้า
“ผู้ทดสอบ คุณได้พิสูจน์แล้วว่าคุณมีความเชี่ยวชาญอย่างมาก คุณได้มาถึงศาลเจ้าแห่งแรกภายในเก้าชั่วโมง เพื่อเป็นรางวัลสำหรับความพยายามของคุณ ฉันจะนำเสนอสองทางเลือกให้กับคุณ โดยทางเลือกแรกคือเอาตัวรอดจากการโจมตีของฉันให้ได้สามครั้ง ซึ่งไม่เพียงแต่คุณจะสามารถเคลียร์การทดสอบนี้ และสามารถเข้าสู่ระดับที่สองของภูเขาศักสิทธิ์ได้ แต่คุณยังจะได้รับคำแนะนำเรื่องมรดกด้วย หากคุณเลือกตัวเลือกที่สอง คุณก็จะต้องเผชิญหน้ากับผู้พิทักษ์ของศาลเจ้าแห่งนี้ ซึ่งหากคุณเอาชนะมันได้ คุณก็จะสามารถไปถึงระดับที่สองได้ เพียงแต่ว่าจะไม่ได้รับรางวัลเพิ่มเติม”อีเลียดี้กล่าวข้อเสนอให้ซือเฟิงฟัง “คุณมีเวลาในการตัดสินใจสามนาที โปรดคิดอย่างรอบคอบ !!!”
ตอนที่ 2464
ดาบศักสิทธิ์ทั้งสาม
เมื่ออีเลียดี้พูดจบ เธอก็หลับตาและรอคำตอบจากซือเฟิงอย่างเงียบๆ เธอไม่ได้แสดงเจตนาที่จะพูดอะไรเพิ่มเติมอีกต่อไป
ผู้เล่นนั้นมีโอกาสจะได้รับคำแนะนำเรื่องมรดกในประตูระดับทองจริงๆงั้นหรอ ? คำอธิบายของเทพธิดานั้นทำให้ซือเฟิงตกตะลึง
จากสิ่งที่เขารู้มาในชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้น ผู้สร้างประตูมรดกจัดเป็นสิ่งทีมีชิวตที่สูงส่งมากๆ และสิ่งเหล่านี้จะปรากฎตัวต่อหน้าผู้เล่นในช่วงเริ่มการทดสอบเพื่ออธิบายกฎเท่านั้น ผู้เล่นไม่ควรจะได้พบสิ่งมีชีวิตแบบนี้อีกหลังจากนั้น
ซือเฟิงนั้นไม่คิดเลยว่าอีเลี้ยดี้จะปรากฎตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง หลังจากเขามาถึงศาลเจ้าแห่งแรกของภูเขาศักสิทธิ์ แถมเธอยังมาเสนอทางเลือกสองทางให้กับเขา ยิ่งไปกว่านั้นหนึ่งในสองทางเลือกนี้ยังจะมีโอกาสทำให้เขาได้รับคำแนะนำเรื่องมรดกด้วย หากผู้เชี่ยวชาญในชีวิตที่ผ่านมาของเขารู้เรื่องนี้ พวกเขาจะได้ไล่ฆ่าซือเฟิงด้วยความอิจฉาแน่นอน
ผู้เล่นนั้นจะไม่ได้รับคำแนะนำใดๆเลยหลังจากมาถึงขั้นสามใน God domain พวกเขาต้องพึ่งพาความสามารถของตัวเองเท่านั้นในการจะเติบโตขึ้นให้แข็งแกร่งมากกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาพยายามจะปลดล๊อคศักยภาพที่แท้จริงทั้งหมดของร่างมานาของตัวเอง
แม้ในการทดสอบของมรดกแบบนี้ ผู้เล่นจะสามารถพึ่งพาการสังเกตเพื่อเรียนรู้ และปรับเรียนรู้และปรับปรุงตัวเองได้ แต่พวกเขาก็จะไม่ได้รับคำแนะนำอะไรแบบนี้แน่นอน
ดังนั้นการได้รับคำแนะนำเรื่องมรดกจึงนับเป็นความฝันสูงสุดของผู้เชี่ยวชาญทุกคน
หากผู้เล่นสามารถปลดล๊อคศักยภาพด้านต่างๆของร่างมานาได้มากขึ้น มันก็จะยิ่งทำให้พวกเขาได้รับประโยชน์มากขึ้น
อย่างไรก็ตามการจะปลดล๊อคศักยภาพด้านต่างๆของร่างมานาออกมาให้ได้ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องยากมาก หากผู้เล่นไปผิดทางในช่วงแรกๆ พวกเขาก็แทบจะไม่มีโอกาสที่จะใช้ร่างมานาได้อย่างเต็มศักยภาพร้อยเปอเซ็นต์เลย นอกจากว่าผู้เล่นจะตัดสินจจะเริ่มต้นใหม่
หากผู้เล่นทุกคนได้รับคำแนะนำจากมรดกโบราณ มันคงจะมีผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิงมากกว่านี้ที่สามารถจะไปถึงขั้นห้าได้ เพราะร่างมานายิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งทำให้ผู้เล่นทำเควสเลื่อนขั้นในอนาคตของพวกเขาได้ง่ายขึ้นเท่านั้น นี่คือสาเหตุที่ผู้เชี่ยวชาญบางคนที่มีร่างมานาระดับเงินสามารถไปถึงขั้นห้าได้ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญที่มีร่างมานาระดับทองบางคนติดอยู่ที่ขั้นสี่
เมื่ออีเลียดี้ได้นำเสนอตัวเลือกแบบนี้นั้น ซือเฟิงจึงรู้สึกราวกับว่าเขากำลังฝันเลย
“ท่านหญิงอีเลี้ยดี้ ฉันขอเลือกความท้าทายของคุณ !!!” ซือเฟิงตัดสินใจทันที
การท้าทายของอีเลี้ยดี้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถประมาทได้เลยอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อย่างไรก็ตามถ้าซือเฟิงพลาดโอกาสแบบนี้ เขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเข้ายึดและควบคุมคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการได้ในตอนนี้ แต่เขาก็สามารถจะกลับมาลองได้อีกครั้ง หลังจากคูลดาวน์ของโทเค่นเสร็จสิ้น อย่างไรก็ตามหากเขาพลาดโอกาสที่อีเลียดี้เสนอมา เขาอาจไม่มีโอกาสได้รับมันอีกในอนาคต
เขามีร่างมานาระดับอีปิค และการจะปลดล๊อคศักยภาพทั้งหมดของมันให้ได้นั้นก็ยากกว่าร่างมานาระดับทองมาก และการพยายามจะปลดล๊อคมันให้ได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ยิ่งนับเป็นความท้าทายอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงการจะปลดล๊อคให้ได้มากกว่านั้นเลย
“ยอดเยี่ยม คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด คุณจะไม่ได้รับโอกาสอีกครั้งในการท้าทายฉัน ไม่ต้องพูดถึงการได้รับคำแนะนำเรื่องมรดกเลย ไม่ว่าคุณจะมาที่นี่อีกกี่ครั้งก็ตาม” อีเลียดี้พูดขณะที่เธอลืมตาขึ้น และเธอก็มองไปยังซือเฟิงด้วยดวงตาที่พึงพอใจ “อย่างไรก็ตามอย่าคิดว่าคุณจะสามารถต้านการโจมตีของฉันสามครั้งได้ง่ายๆ แม้ว่าฉันจะจำกัดความแข็งแกร่งของตัวเอง แม้ว่าฉันจะจำกัดความแข็งแกร่งของตัวเองไว้ที่ขั้นสาม แต่คุณก็มีโอกาสน้อยกว่าสิบเปอเซ็นต์ที่จะผ่านการทดสอบของฉันได้ด้วยร่างมานาระดับอีปิคที่ยังคงปลดล๊อคศักยภาพได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
จากนั้นอีเลียดี้ก็ดึงดาบใหญ่สีน้ำเงินซึ่งปลายแหลมนั้นฝังอยู่ในพื้นที่ตรงหน้าของเธอขึ้น และยกมันขึ้นเหนือหัวของเธอ
ทันใดนั้นมานาที่น่ากลัวก็เข้ามาล้อมรอบตัวเธอ และพายุมานาก็ปรากฎขึ้นรอบๆดาบของอีเลียดี้ โดยพายุนี้มันทรงพลังมากซะจนสามารถฉีกพื้นที่บางส่วนออกจากกันได้
ซือเฟิงนั้นสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่า ปรากฎการณ์ดังกล่าวนี้ไม่ได้เกิดจากสกิลหรือเวทย์ แต่มันเป็นเพียงการโจมตีปกติของอีเลียดี้เท่านั้น “ตอนนี้มาดูกันเลย ดาบแรก ไลท์ชาโด้ว !!!”
ขณะที่เธอพูดจบ อีเลียดี้ ก็เหวี่ยงดาบใหญ่ของเธอเข้าใส่ซือเฟิงซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปราวสี่สิบหลา
ใบดาบขนาดมหึมาปรากฎขึ้นในมือของเทพธิดาก่อนที่มันจะพุ่งเข้าหาซือเฟิงอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นนี่คือวิธีการใช้งานร่างมานาที่แท้จริงงั้นหรอ ? ซือเฟิงตกตะลึงเมื่อเห็นใบดาบกำลังใกล้เข้ามา
เขาเคยได้พบกับ NPC ขั้นห้ามามากมาย แต่เขาไม่เคยเห็นใครที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้ร่างมานามากขนาดนี้เลย
แม้ว่าอีเลียดี้จะจำกัดความแข็งแกร่งของตัวเองไว้ที่ขั้นสาม แต่การโจมตีปกติของเธอก็ยังมีพลังเทียบเท่ากับขั้นสี่เลย ….
ซือเฟิงได้รีบเปิดใช้งานสกิล Heavenly Dragon’s Power อย่างไม่ลังเล
การทดสอบของมรดกนั้นตั้งอยู่ในพื้นที่อื่นที่แยกออกมาจากหุบเขาดาว แม้ว่าผู้เล่นจะไม่ได้รับอนุญาติให้ใช้สกิลอมตะ แต่พวกเขาก็สามารถใช้สกิลและเวทย์อื่นๆที่พวกเขามีได้ นี่คือเหตุผลที่ซือเฟิงกล้าจะยอมรับคำท้าทายของอีเลียดี้
อักษรรูนศักสิทธิ์นั้นปรากฎขึ้นรอบตัวของซือเฟิง และมันก็ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาขึ้นอย่างมาก จากนั้นเขาก็เหวี่ยงดาบของเขาเข้าใส่ใบดาบมานาที่กำลังเข้ามา
เทคนิคลับ ไลท์นิ่งแฟลช !!!
ตู้ม !!
เมื่ออาวุธของทั้งสองฝ่ายปะทะกันมันก็ทำให้เกิดคลื่นกระแทกที่สั่นสะเทือนไปทั่วพื้นที่โดยรอบ และก็มีเสียงระเบิดดังก้องไปทั่วภูเขาศักสิทธิ์
จากนั้นร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากฝุ่นควันที่ห้อมล้อมสนามรบ ซึ่งร่างนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นอกจากซือเฟิง
ซือเฟิงนั้นยังไม่ตาย หากแต่ว่าเขาก็สูญเสีย HP ไปหนึ่งในห้า และมีสภาพที่น่าสังเวชพอตัว
อย่างไรก็ตามก่อนที่ซือเฟิงจะตั้งตัวได้อย่างมั่นคงอีกครั้งเทพธิดาผู้นี้ก็ได้พร้อมโจมตีอีกครั้งแล้ว อย่างไรก็ตามครั้งนี้เธอเหวี่ยงดาบโจมตีออกมาเป็นแนวนอน
“ดาบที่สอง โฮลี่ดีวอร์ !!!”
พายุมานาอีกลูกก่อตัวขึ้นรอบตัวเธอ และมันดูเหมือนว่าแทบจะกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้เลย คราวนี้ซือเฟิงรู้สึกตกตะลึงมากจริงๆ เพราะพายุนี้ดูดมานาในตัวของเขาออกไป และแรงกดดันของมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ยากมาก
ซือเฟิงนั้นไม่ได้มีเวลาที่จะตอบสนองอะไรอย่างเหมาะสมเลยก่อนที่อีเลียดี้จะเหวี่ยงดาบใหญ่ของเธอ
ตอนนี้เปลวไฟที่ลุกโชนก็ได้พุ่งเข้ามาหาซือเฟิง และมันก็ดูเหมือนกับว่ามันพร้อมจะกลืนกินทุกอย่างที่ขวางหน้า
เปลวไฟเหล่านี้นั้นมีพลังมากกว่าใบดาบมานาก่อนหน้านี้สองเท่า ….
นี่ล้อกันเล่นรึไง ? ความตกตะลึงของซือเฟิงพุ่งขึ้นสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในขณะที่เขามองดูเปลวไฟเหล่านี้กำลังพุ่งเข้ามาหาเขา
โดยปกติแล้ว แม้แต่ฮีโร่ก็ไม่สามารถจะแสดงพลังของขั้นสี่ออกมาได้ในการโจมตีปกติที่ตัวเองจำกัดความแข็งแกร่งของตัวเองไว้ที่ขั้นสาม แต่ตอนนี้การโจมตีปกติครั้งนี้ของเทพธิดาผู้นี้กับมีพลังอยู่ในขั้นกลาง ของขั้นสี่ หากเขานำเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟัง ก็จะไม่มีใครเชื่อเขาแน่นอน
อย่างไรก็ตาม แม้จะรู้สึกตกตะลึง แต่ซือเฟิงก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสู้ต่อ เขาได้รีบเปิดใช้งานสกิล Blade Liberation อีกสกิล และใช้ไลท์นิ่งแฟลชอีกครั้งทันที
ตู้ม !!
เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วเมื่อการโจมตีของทั้งสองปะทะกัน
ซึ่งครั้งนี้นั้นอีเลียดี้ก็ทำให้ซือเฟิงปลิวกระเด็นไปได้ พร้อมกันนั้นก็ทำให้ HP ของเขาลดลงเหลือน้อยกว่าห้าสิบเปอเซ็นต์แล้ว อย่างไรก็ตามก่อนที่ซือเฟิงจะทันได้ลุกขึ้นยืนและตั้งตัวได้ เขาก็ได้ยินเสียงอีเลียดี้อีกครั้ง
“ดาบที่สาม การทำลายล้างศักสิทธิ์ !!!”
อีเลียดี้นั้นไม่ได้แสดงเจตนาที่จะชะลอการโจมตีของตัวเองเลย เธอกระโดดขึ้นไปในอากาศและเหวี่ยงดาบใหญ่ของเธอมายังซือเฟิงอีกครั้ง
คราวนี้การโจมตีของเทพธิดาผู้นี้ทำให้ซือเฟิงรู้สึกเลยว่าไม่ว่าเขาจะหลบหรือพยายามยังไง เขาก็จะไม่สามารถทำอะไรกับมันได้
การโจมตีนี้มันรุนแรงกว่าการโจมตีครั้งที่สองของเธอหลายเท่า …. “พลังสึกกร่อน เปิดใช้งาน !!!”
ตอนที่ 2465
เครื่องหมายระดับเงิน
พร้อมกับเสียงตะโกนของซือเฟิง พลังสึกกร่อนก็เริ่มไหลออกมาจากเกราะ Disintegration และเข้าล้อมรอบพื้นที่รอบซือเฟิง ในเวลาเดียวกันส่วนหนึ่งของพลังสึกกร่อนก็ไหลเข้าสู่ร่างกายของซือเฟิง และยกระดับของเขาไปสู่ขั้นสี่ในทันที
ทันใดนั้นข้อจำกัดเชิงพื้นที่ และแรงกดดันที่น่ากลัวซึ่งเดิมทีทำให้ร่างกายของซือเฟิงนั้นอ่อนแอลงอย่างมากมันก็ไร้ผลไป และทำให้เขาสามารถกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วอีกครั้ง อย่างไรก็ตามแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ แต่ซือเฟิงก็ยังไม่รู้สึกปลอดภัยเลย ในทางตรงกันข้ามตอนนี้ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวด้วยซ้ำ
ก่อนหน้านี้ในตอนที่เขายังอยู่ในขั้นสาม เขารู้สึกว่าการโจมตีครั้งที่สามของอีเลียดี้นั้นไม่ได้มีมานาประกอบมากเท่ากับการโจมตีครั้งที่สองของเธอ อย่างไรก็ตามหลังจากถูกยกระดับให้มาถึงขั้นสี่ชั่วคราว เขาก็ได้รู้ว่าตัวเองนั้นคิดผิดไปมากแค่ไหน
ปัจจุบันพื้นที่ภายในรัศมีห้าสิบหลารอบอีเลียดี้นั้นเต็มด้วยมานาที่หนาแน่นราวกับเหล็กกล้า
ใน God domain การดำรงอยู่ของมานานั้นคล้ายกับอากาศ และมันจะรวมตัวกันเป็นหมอกหลังจากที่มันมีความหนาแน่นของมานาสูงเพียงพอแล้วเท่านั้น อย่างไรก็ตามมานาที่อยู่รอบๆอีเลียดี้นั้นได้อยู่เหนือสถานะของหมอกและของเหลวไปแล้ว
โดยปกติแล้วใน God domain ยิ่งมานาผ่านการกลั่นให้บริสุทธิ์มามากเท่าไหร่ พลังงานของมันก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
หากนำมานาที่อยู่ในสถานะก๊าซไปรวมกับคริสตัลเวทย์มนต์ จำนวนพลังงานที่จะได้รับก็จะมีปริมาณที่แตกต่างกันมาก
เมื่อเห็นการโจมตีที่น่ากลัวของอีเลียดี้กำลังพุ่งเข้ามาหาเขา ซือเฟิงก็ได้ผลักดันประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาไปให้ถึงขีดจำกัด และใช้สกิลที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาอย่าง Void Slash เพื่อตอบโต้การโจมตีนี้ ก่อนที่เขาจะอธิษฐานในใจว่าขอร้องล่ะ โปรดป้องกันมันให้ได้เถอะ !!!
ในช่วงเวลาต่อมาลำแสงดาบหกลำแสงก็ปรากฎขึ้นมาจากความว่างเปล่า จากนั้นมันก็รวมเป็นหนึ่งเดียวกันปะทะเข้ากับการโจมตีของอีเลียดี้
เมื่อรวมกับผลของสกิลเบอเซิกร์ของซือเฟิง การโจมตีนี้ของเขาอาจจัดว่ามีพลังมากที่สุดเท่าที่ซือเฟิงจะสามารถทำได้ในปัจจุบันแล้ว ในความเป็นจริงเขาได้ใช้สกิล Void Slash ด้วยอัตราความสำเร็จในการใช้สกิลหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ด้วย ซึ่งมัจะสามารถทำให้มอนสเตอร์ระดับเทพนิยายทั่วไปปลิวกระเด็นไปได้ไกลเลยอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นไปได้มากว่า แม้แต่ NPC ขั้นสี่นั้นก็ไม่มีข้อยกเว้น
ตู้ม !!
เสียงนั้นดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ หลังจากการโจมตีของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน และภูเขาศักสิทธิ์ทั้งลูกนั้นก้มีการสั่นสะเทือนเล็กน้อย
ในช่วงเวลาต่อมา ร่างหนึ่งก็ปลิวกระเด็นออกมาจากศาลเจ้าแห่งแรกของภูเขาศักสิทธิ์และไปหยุดอยู่ที่เชิงเขา ซึ่งการปลิวกระเด็นของร่างนี้ก็ได้ทำให้เกิดปล่องภูเขาไฟที่มีความลึกกว่าสามเมตรเลย
“ช่างน่าเสียดายจริงๆ ฉันรอมานานมากแล้วสำหรับการท้าทายของผู้มีร่างมานาระดับอีปิค ถ้าเขาสามารถปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาของพวกเขาได้มากกว่านี้อีกสักหน่อยก่อนจะมาถึงที่นี่ และเมื่อรวมกับพลังในฐานะตัวตนขั้นสี่ชั่วคราวของเขา เขาอาจจะสามารถต้านทานการโจมตีครั้งสุดท้ายของฉันได้ !!!” อีเลียดี้กล่าวพลางถอนหายใจ เมื่อเธอเห็นซือเฟิงปลิวกระเด็นหายไปจากศาลเจ้า
อย่างไรก็ตามในขณะที่เธอกำลังจะจากไป ทันใดนั้นเธอก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง จากนั้นร่างของเธอก็หายไปจากศาลเจ้าและมาปรากฎขึ้นอีกครั้งที่เชิงเขา เพื่อความแม่นยำเธอได้มาปรากฎตัวขึ้นข้างปล่องภูเขาไฟที่ร่างของซือเฟิงปลิวกระเด็นมา
“เขาไม่ตายงั้นหรอ ?” ความประหลาดใจปรากฎขึ้นในดวงตาของอีเลียดี้เป็นครั้งแรก เมื่อเธอเห็นซือเฟิงยืนขึ้นมาได้จากในปล่องภูเขาไฟ
แม้ว่านักดาบจะรับการโจมตีของเธอเข้าไป แต่ HP ของเขานั้นก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่นิดเดียว มันมีเพียงแค่รอยแตกเชิงพื้นที่เท่านั้นที่เห็นได้ชัดว่าล้อมรอบเขาอยู่ อย่างไรก็ตามรอยแตกเหล่านี้ก็ซ่อมแซมตัวเองและในที่สุดบาเรียที่สมบูรณ์ก็ได้ก่อตัวขึ้นรอบตัวเขา
เกือบไปแล้วจริงๆ …. ถ้าฉันไม่มีสกิลของผ้าคลุมไหล่ไนท์วอร์คเกอร์อย่างโล่วอย การโจมตีเมื่อครู่จะฆ่าฉันแน่นอน ซือเฟิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะที่เขามองไปยังบาเรียที่ปกป้องเขา
เขายอมรับเลยว่าเขาได้ประเมินการโจมตีครั้งสุดท้ายของอีเลียดี้ต่ำไปมาก
การโจมตีครั้งสุดท้ายของเธอนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าการโจมตีของปืนใหญ่มานาของเรือเหาะมังกรสีเลือดซะอีก ซึ่งการโจมตีของเธอนั้นเทียบได้กับปืนใหญ่ระดับเเวทย์เอลฟ์เลย เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีตัวตนที่สามารถแสดงพลังที่สูงสุดของขั้นสี่ได้ ในการโจมตีปกติของขั้นสาม
โชคดีที่เขามีเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานอยู่กับตัวมากกว่าหนึ่งชิ้น และหนึ่งในนั้นยังเป็นไอเทมที่เน้นไปในด้านการป้องกันด้วย ไม่งั้นมันจะมีเพียงแต่ความตายเท่านั้นจริงๆที่รอเขาอยู่ในการทดสอบนี้
หลังจากเฉลิมฉลองอยู่ชั่วครู่ ซือเฟิงก็รีบปีนขึ้นจากปล่องภูเขาไฟและเดินไปหาอีเลียดี้อย่างรวดเร็ว
“ท่านหญิงอีเลียดี้ ฉันผ่านการทดสอบหรือยัง ?” ซือเฟิงถามขณะมองไปยังเทพธิดา
แม้ว่าเขาจะรอดชีวิต แต่เขาก็ถูกส่งให้ปลิวกระเด็นลงมาจากภูเขาศักสิทธิ์ เนื่องจากข้อตกลงที่เขาทำไว้กับอีเลี้ยดี้นั้นคือ เขาต้องรับการโจมตีของเธอให้ได้สามครั้ง เขาจึงไม่แน่ใจว่าการถูกส่งให้ปลิวกระเด็นออกมาจากศาลเจ้าจะถูกตัดสิทธิ์ไหม เพราะอีเลียดี้ไม่ได้ระบุเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน
“คุณผ่านแล้ว …” อีเลียดี้กล่าวพลางพยักหน้า “ยิ่งไปกว่านั้นการแสดงของคุณนั้นมันยอดเยี่ยมมากจริงๆ คุณสามารถรับการโจมตีทั้งสามของฉันได้โดยที่ยังไม่สามารถปลดล๊อคร่างมานาของคุณได้อย่างเต็มศักยภาพทั้งหมด ในบรรดาผู้ท้าทายทั้งหมดที่ฉันเจอมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา คุณเป็นคนแรกจริงๆที่ทำได้สำเร็จเพื่อเป็นรางวัลไม่เพียงแต่ฉันจะมอบคำแนะนำเรื่องมรดกให้กับคุณ แต่ฉันจะมอบเครื่องหมายระดับเงินของป้อมปราการแสงดาวให้กับคุณด้วย”
หลังจากพูดจบ อีเลี้ยดี้ก็ดึงอักษรรูนสีเงินขึ้นมากลางอากาศ และทำการสลักมันลงไปในโทเค่นที่ผูกไว้รอบข้อมือของซือเฟิง
ระบบ : ยินดีด้วย !! คุณได้รับเครื่องหมายระดับเงิน และกลายเป็นลอร์ดระดับเงินแห่งป้อมปราการแสงดาว คุณสามารถจะเข้าสู่คฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการได้อย่างอิสระ และสามารถใช้ประโยชน์จากฟังชั่นขั้นสูงของป้อมปราการแสงดาวได้
ระบบ : คุณสามารถผ่านความท้าทายของผู้สร้างประตูมรดกได้สำเร็จ รางวัล เลเวล
บวกเพิ่มขึ้นหนึ่งเลเวล และคำแนะนำเรื่องมรดก
เมื่อได้รับเสียงแจ้งเตือนของระบบที่ดังขึ้นเป็นชุดๆซือเฟิงก็ตกอยู่ในความงุนงง เขาไม่เคยคิดเลยว่ารางวัลสำหรับการผ่านความท้าทายนี้มันจะมากขนาดนี้
เพียงแค่โอกาสในการที่จะได้รับคำแนะนำเรื่องมรดกก็มีค่ามากพอๆกับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานแล้ว ในความเป็นจริงถ้าผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขารู้เรื่องนี้ พวกเขาน่าจะเต็มใจแลกเปลี่ยนเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานกับคำแนะนำเรื่องมรดกเลย เพราะท้ายที่สุดแล้วใน God domain ความแข็งแกร่งของตัวเองนั้นมีความสำคัญสูงสุด สิ่งของภายนอกเช่นอาวุธหรืออุปกรณ์นั้นจัดว่าเป็นเรื่องรอง
ยิ่งไปกว่านั้นตราบใดที่มีความแข็งแกร่งมากเพียงพอ การจะได้รับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย ยกตัวอย่างเช่นผู้เชี่ยวชาญอิสระบางคนของทีมนักผจญภัย ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีบริษัทใดๆสนับสนุน แต่พวกเขาก็สามารถจะก้าวขึ้นไปยืนในจุดสูงสุดของ God domain ได้
ในขณะเดียวกันคนเหล่านี้ก็ประสบความสำเร็จโดยอาศัยพลังของตัวเองทั้งหมด
อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากการได้รับคำแนะนำเรื่องมรดกแล้ว เขายังได้รับเครื่องหมายระดับเงินของป้อมปราการแสงดาวมาด้วยเช่นกัน หากมหาอำนาจต่างๆในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขารู้เรื่องนี้ พวกเขาจะได้ไล่ควักหัวใจของซือเฟิงแน่ๆ
ในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิงเพื่อเพิ่มอำนาจของพวกเขาในป้อมปราการโบราณที่พวกเขาควบคุม มหาอำนาจต่างๆนั้นได้ทุ่มทรัพยากรนับไม่ถ้วนเพื่อจะเลี้ยงดูผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดขึ้นมา อย่างไรก็ตามมันก็มีมหาอำนาจเพียงแค่ไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่สามารถรับเอาเครื่องหมายระดับเงินมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับป้อมปราการโบราณที่เป็นที่ตั้งของประตูระดับทองด้วย
นี่เป็นเพราะว่าเครื่องหมายระดับเงินนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดแค่ไม่กี่คนจะสามารถนำเอามันมาได้ การจะได้รับเครื่องหมายระดับเงินนั้นมันจำเป็นจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญสิบคนไปถึงศาลเจ้าแห่งที่สองของภูเขาศักสิทธิ์ หรือไม่งั้นก็ต้องมีผู้เชี่ยวชาญสามคนที่สามารถไปถึงยอดภูเขาศักสิทธิ์ได้ในครั้งแรก
ยิ่งไปกว่านั้นความยากในระดับที่สองของภูเขาศักสิทธิ์ก็ยังยากกว่าในระดับแรกมาก
ระดับแรกของภูเขาศักสิทธิ์นั้นเป็นระดับพื้นฐานที่สุดสำหรับการทดสอบของมรดกแล้ว มันทำหน้าที่เป็นเครื่องมือให้ผู้เล่นศึกษามากกว่าเป็นความท้าทาย
อย่างไรก็ตามมันจะเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไป เมื่อผู้เล่นเข้าสู่ระดับที่สองของภูเขาศักสิทธิ์ ระดับที่สองหรือสูงกว่าขึ้นไปนั้นจะแตกต่างจากเดิมมาก มันไม่ได้มีไว้ให้ผู้เล่นศึกษา มันมีไว้ให้ผู้เล่นเอาชีวิตรอดเป็นหลัก
ในกรณีของระดับที่สองของภูเขาศักสิทธิ์ที่เป็นประตูระดับทองแดง ผู้เล่นจะต้องเผชิญหน้ากับวิญญาณฮีโร่ขั้นสามที่มีมาตราฐานการต่อสู้ที่สูงมาก และที่อ่อนแอที่สุดในหมู่วิญญาณฮีโร่เหล่านี้นั้นก็อยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวก่อนการปรับแต่งแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นผู้เล่นต้องต่อสู้กับวิญญาณฮีโร่จำนวนมากพร้อมกันด้วย
สำหรับระดับที่สามของภูเขาศักสิทธิ์นั้นมีข่าวลือฝ่ายตรงข้ามของผู้เล่นจะเป็นฮีโร่ขั้นสามที่แท้จริงเลย
แน่นอนว่าผู้เล่นไม่จำเป็นจะต้องเอาชีวิตรอดนานถึงสามสิบนาที ในระดับที่สองหรือสูงกว่าขึ้นไป อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังคงจะต้องเอาตัวรอดให้ได้สิบนาที
หากประตูระดับทองแดงยังยากขนาดนี้ ซือเฟิงก็ไม่กล้าจะจินตนาการเลยว่าอะไรจะรอเขาอยู่ในระดับที่สองของภูเขาศักสิทธิ์ในประตูระดับทอง
“เอาล่ะ ฉันมีทางเลือกให้คุณ คุณต้องการรับคำแนะนำเกี่ยวกับการปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาระดับอีปิค หรือต้องการจะรับคำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคมานา ?” อีเลียดี้กล่าวถาม ขณะที่เธอจ้องมองไปยังการแสดงออกอันตกตะลึงของซือเฟิง
ตอนที่ 2466
ผู้สืบทอดสวรรค์น้ำเงิน
นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกในการเรียนรู้เทคนิคมานาด้วยงั้นหรอ ?
ซือเฟิงนั้นอดไม่ได้ที่จะลังเลขึ้นมา เมื่อได้ยินตัวเลือกที่อีเลียดี้มอบให้กับเขา
เทคนิคมานานั้นนับเป็นอะไรที่ซือเฟิงค่อนข้างคุ้นเคย เพราะมันคือเทคนิคการใช้มานาที่ผู้เล่นสามารถใช้ได้หลังจากมาถึงขั้นสามและได้รับร่างมานาแล้ว มันถูกจัดเป็นเทคนิคการต่อสู้ประเภทหนึ่งใน God domain
เพียงแต่ว่าเทคนิคการต่อสู้นั้นจะมุ่งเน้นไปที่การใช้ร่างกายทางกายภาพ ขณะที่เทคนิคมานาจะมุ่งเน้นไปที่การใช้มานาส่วนบุคคล
อย่างไรก็ตาม มันมีผู้เล่นเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มีโอกาสที่มีโอกาสจะได้เรียนรู้เทคนิคมานาใน God domain อันเนื่องมาจากส่วนใหญ่ของมันได้สูญหายไปนานแล้ว โดยปกติผู้เล่นจะต้องอาศัยแรงบันดาลใจจากตัวเองเท่านั้นในการสร้างเทคนิคมานาของตัวเอง
สำหรับซือเฟิง แม้ว่าจะเล่น God domain มานานนับสิบปีในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา แต่เขาก็ไม่เคยได้เรียนรู้เทคนิคมานามาก่อนแม้แต่เทคนิคเดียว
ถ้าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เห็นการโจมตีทั้งสามครั้งของอีเลียดี้มาก่อนอย่างชัดเจน เขาก็คงจะเลือกรับคำแนะนำเกี่ยวกับการปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาระดับอีปิคอย่างไม่ลังเล เพราะว่าเทคนิคมานาที่เขาเคยเห็นเหล่าผู้เชี่ยวชาญใช้ในชีวิตที่ผ่านมาของเขาใช้นั้นล้วนไม่ได้ทรงพลังอะไรมากนัก เทคนิคมานาเหล่านั้นล้วนช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับสกิลและเวทย์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้มีประโยชน์เท่ากับเทคนิคการต่อสู้เลย
อย่างไรก็ตามเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของเทพธิดาผู้นี้ทั้งสามครั้ง เขาก็รู้สึกเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิด
เพราะท้ายที่สุดแล้วเทคนิคมานาที่อีเลียดี้แสดงออกมานั้น มันทำให้เธอสามารถมีพลังโจมที่สูงสุดของขั้นสี่ได้ แม้ว่าจะจำกัดพลังตัวเองไว้ที่ขั้นสาม ซึ่งความแข็งแกร่งของเทคนิคมานาที่เธอใช้นั้นมันก็เหนือกว่าเทคนิคการต่อสู้ระดับทองแดงหลายเท่า
แน่นอนว่าส่วนหนึ่งของเหตุผลที่เธอสามารถแสดงความแข็งแกร่งออกมาได้สูงขนาดนี้มันก็เป็นเพราะว่าเธอมีความเข้าใจในเทคนิคมานาสูงด้วย แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งนี้ก็ยังพอจะทำให้ซือเฟิงนั้นได้รับไอเดียทั่วไปเกี่ยวกับพลังของเทคนิคมานา
ถ้าเขาสามารถใช้ดาบที่สาม การทำลายล้างศักสิทธิ์ได้อย่างเชี่ยวชาญแบบอีเลียดี้ เขาก็จะสามารถเคลื่อนไหวไปได้ทุกที่อย่างไร้ขีดจำกัดเลยใน God domain
โดยปกติผู้เล่นจะต้องพึ่งพาไอเทมระดับตำนานเพื่อก้าวข้ามขั้น ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งขั้นสูงเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งยากในการก้าวข้ามมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งช่องว่างระหว่างขั้นสามกับขั้นสี่นั้นก็จัดว่าใหญ่มากแล้ว แม้จะมีไอเทมระดับตำนาน แต่ผู้เล่นขั้นสามที่เป็นเจ้าของมันก็จะต่อสู้กับผู้ขั้นสี่ที่มีมาตราฐานการต่อสู้เดียวกันและทำให้มันออกมาดีที่สุดได้ก็แค่ผลเสมอเท่านั้น มันจะต้องใช้มากกว่าไอเทมระดับตำนานในการเอาชนะผู้เล่นขั้นสี่ที่แท้จริง
ในขณะเดียวกันเท่าที่ซือเฟิงสังเกต เทคนิคมานาของอีเลียดี้นั้นแค่เข้าใจในขั้นพื้นฐานก็น่าจะมีพลังมากพอที่จะก้าวข้ามขั้นในระดับหนึ่งแล้ว ในขณะเดียวกัน หากผู้เล่นมีเวลามากเพียงพอ ผู้เล่นก็จะสามารถปลดล๊อคศักยภาพทั้งหมดของร่างมานาได้แทบทั้งหมดอยู่แล้ว ไม่เว้นแม้แต่ร่างมานาระดับอีปิค
“คุณมีเวลาสามสิบวินาทีในการพิจารณาเรื่องนี้ หากคุณไม่ตัดสินใจ ฉันจะถือว่าคุณสละโอกาในการเรียนรู้ คุณมีโอกาสเพียงครั้งเดียว ดังนั้นฉันหวังว่าคุณจะพิจารณาการตัดสินใจของคุณให้ดี” อีเลียดี้กล่าวขณะที่เธอจ้องมองไปยังซือเฟิง
ทันทีที่อีเลียดี้กล่าวจบ ตัวจับเวลาของระบบก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของซือเฟิง และเริ่มนับถอยหลังเป็นวินาที
สามสิบวินาที…
ยี่สิบห้าวินาที …
ยี่สิบวินาที…
เสียงนับถอยหลังนี้มันเหมือนเสียงแห่งความตายเลยทีเดียว และมันก็กระตุ้นความคิดของซือเฟิงอย่างมาก
เขานั้นมีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะได้เรียนรู้เทคนิคมานา และหลังจากที่เขาเชี่ยวชาญมันแล้ว เขายังสามารถนำมันไปสอนให้คนอื่นๆได้ด้วย เทคนิคมานานี้จะช่วยสภาสิบแปดปีกได้อย่างมากในอนาคต
อย่างไรก็ตามหากต้องเขาการจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาระดับอีปิคของเขาให้ได้มากกว่าหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ เขาก็สามารถทำได้โดยอาศัยคำแนะนำจากอีเลียดี้เท่านั้น ไม่งั้นหากเขาทำด้วยตัวเองเขาเองโอกาสที่เขาจะทะลุศักยภาพหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ไปได้นั้นแทบจะเป็นศูนย์เลย
“คุณมีเวลาเหลืออีกสิบวินาทีในการพิจารณา …” อีเลียดี้กล่าวเตือน ขณะที่เธอมองไปยังซือเฟิงที่ยังคงครุ่นคิด
อย่างไรก็ตามตอนนี้ซือเฟิงไม่ได้ยินคำเตือนของอีเลียดี้แล้ว เขาจมดิ่งลงไปในห้วงความคิดลึกของเขา
“คุณมีเวลาเหลือห้าวินาที” อีเลียดี้เตือนครั้งสุดท้าย “ตัดสินใจ !!!”
เมื่อได้ยินคำเตือนครั้งสุดท้ายของอีเลียดี้ซือเฟิงก็ได้ออกจากห้วงความคิด และสูดหายใจเข้าลึกๆทันที
“ท่านหญิงอีเลียดี้ฉันขอเลือกจะรับคำแนะนำเกี่ยวกับการปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาระดับอีปิคของฉัน !!!” ซือเฟิงกล่าวด้วยความมุ่งมั่น
“คุณแน่ใจงั้นหรอ ?” อีเลียดี้ถามพลางจ้องมองมายังซือเฟิงอย่างจริงจัง
“ฉันแน่ใจ” ซือเฟิงยืนยันพลางพยักหน้า
ในความคิดของเขาเทคนิคมานานั้นน่าทึ่งมากๆ ในความเป็นจริงมูลค่าของเทคนิคมานาของอีเลียดี้นั้นจะสูงกว่ามูลค่าของไอเทมระดับตำนานด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามการได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาระดับอีปิคนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเขา เพราะท้ายที่สุดแล้วร่างมานาจของผู้เล่นนั้นจัดเป็นรากฐานสำหรับทุกสิ่ง ในชีวิตก่อนหน้านี้ของซือเฟิง ผู้เล่นที่สามารถก้าวเข้าสู่ขั้นหกได้นั้นล้วนมีศักยภาพของร่างมานาทะลุหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ทั้งหมด ซึ่งหากซือเฟิงต้องการจะเป็นแบบนั้น เขาก็จำเป็นจะต้องเดินตามรอยนี้และพัฒนาศักยภาพร่างมานาของเขาให้เกินหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์
สำหรับเทคนิคมานาของอีเลียดี้ แม้ว่ามันจะช่วยให้เพิ่มพลังต่อสู้ให้กับผู้เล่นแบบก้าวข้ามขั้นได้ แต่มันก็จะมีแค่เฉพาะขั้นเป็นหลักเท่านั้นที่สามารถจะเอาชนะทุกสิ่งได้
นี่เป็นเรื่องจริงอย่างยิ่งโดยเฉพาะสำหรับขั้นหก !!
แม้ว่าผู้เล่นขั้นห้าจะมีอาวุธระดับตำนานที่ทรงพลังอย่างมาก แต่พวกเขาก็สามารถจะทำได้ดีที่สุดก็คือทำให้ผู้เล่นขั้นหกที่อ่อนแอที่สุดต้องหยุดชะงักเท่านั้น การจะเอาชนะผู้เล่นขั้นหกนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย นี่ก็นับเป็นกรณีเดียวกันต่อให้อาศัยเทคนิคมานาก็ตาม
ในสมัยโบราณ แม้ว่ามนุษย์จะมีมรดกเทคนิคมานาที่สมบูรณ์ พวกเขาก็ยังไม่สามารถจะเทียบกับเทพขั้นหกได้อยู่ดี
ดังนั้นขั้นจึงนับเป็นทุกสิ่งทุกอย่างใน God domain !!!
ยกตัวอย่างเช่น God domain ในปัจจุบัน ผู้เล่นขั้นสองนั้นจะไม่สามารถทำอะไรกับผู้เล่นขั้นสามได้เลย ซึ่งนี่ก็รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญขั้นสองของมหาอำนาจต่างๆด้วย ปัจจุบันมหาอำนาจต่างๆจะสามารถแข่งขันกันได้โดยอาศัยผู้เล่นขั้นสามเท่านั้น แม้ว่าตอนนี้จะมีผู้เล่นขั้นสองบางส่วนที่น่าทึ่งพอจะรับมือกับผู้เล่นขั้นสามได้ แต่มันก็เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อผู้เล่นขั้นสามมีเลเวลสูงขึ้นและเวลาผ่านไปนานขึ้น ทุกอย่างมันก็จะเริ่มแตกต่างกันอย่างเทียบไม่ติด
“ยอดเยี่ยม !!!” เมื่อได้ยินคำตอบอันมุ่งมั่นของซือเฟิง รอยยิ้มอันงดงามไร้ที่ติก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของอีเลียดี้
ในเวลาเดียวกันเสียงแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นมาที่หูของซือเฟิงอีกครั้ง
ระบบ : ยินดีด้วย ! คุณผ่านการทดสอบลับ “การเลือกพลัง” และได้รับการยอมรับจากอีเลียดี้
การทดสอบลับ ?! ซือเฟิงนั้นตกตะลึงอย่างมาก เมื่อเขาได้ยินเสียงการแจ้งเตือนของระบบในครั้งนี้ เขานั้นไม่คิดเลยว่าการทดสอบนี้จะมีการทดสอบลับซ่อนอยู่อีกชั้นด้วย
NPC ใน God domain นั้นล้วนมีบุคลิกที่แตกต่างกันออกไป และโดยปกติ พวกเขาจะให้การทดสอบที่ตรงไปตรงมาสำหรับผู้เล่นเท่านั้น อย่างไรก็ตามมันก็มี NPC ที่ให้การทดสอบกับผู้เล่นแบบทดสอบซ้อนทดสอบเช่นกัน ซึ่งในกรณีแบบนี้นั้น ต่อให้ผู้เล่นผ่านการทดสอบพื้นผิวมาได้ มันก็จะไม่มีความหมายเลย เพราะพวกเขาก็จะไม่ได้รับรางวัลใดๆ
“เนื่องจากคุณได้เลือกที่จะรับคำแนะนำเกี่ยวกับการปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาระดับอีปิคของคุณ มันก็ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ถูกล่อลวงด้วยอำนาจ ในสมัยโบราณ มนุษย์นั้นได้แสวงหาความแข็งแกร่งถึงขีดสุดอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในที่สุดพวกเขาจะได้รับความแข็งแกร่งนี้ แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับการทำลายล้างเพราะมันเช่นกัน” อีเลียดี้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่พึงพอใจ ก่อนที่เธอจะพูดต่อว่า “อย่างไรก็ตามคุณไม่ได้ตกเป็นเหยื่อของอำนาจที่ฉันแสดงให้ดู ดังนั้นคุณผ่านการทดสอบของฉันแล้ว นับจากนี้เป็นต้นไปคุณคือผู้สืบทอดของฉัน และมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับมรดกของฉัน”
ระบบ : ยินดีด้วย ! คุณได้ผ่านการท้าทายของนักบุญสวรรค์น้ำเงิน อีเลียดี้ และกลายเปป็นผู้สืบทอดของเธอ รางวัล : มรดกร่างมานา และ มรดกการทำลายล้างศักสิทธิ์”
หลังจากการแจ้งเตือนของระบบก็สิ้นสุดลง อีเลียดี้ก็ได้หยิบคริสตัลความทรงจำสองชิ้นที่เปล่งประกายหลากสีออกมายื่นให้ซือเฟิง
“จากคริสตัลความทรงจำทั้งสองชิ้นนี้ หนึ่งคือคำแนะนำเกี่ยวกับการปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาระดับอีปิคของคุณ และอีกหนึ่งคือบันทึกเกี่ยวกับเทคนิคมานาที่ฉันสร้างขึ้น คุณสามารถใช้คริสตัลแต่ละชิ้นนี้ได้เพียงครั้งเดียว ฉันหวังว่าคุณจะใช้มันได้อย่างดีและถูกต้อง …” อีเลียดี้กล่าวก่อนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และที่ซือเฟิงที่ยังคงตกตะลึงไว้อยู่ที่บริเวณเชิงเขาศักสิทธิ์
นี่มันเกือบไปแล้วจริงๆ … ซือเฟิงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หลังจากที่ได้เห็นอีเลียดี้หายตัวไป
ถ้าไม่ใช่เพราะเขารู้ถึงความสำคัญของร่างมานา และความแข็งแกร่งของขั้น เขาก็น่าจะเลือกเทคนิคมานาที่อีเลียดี้เสนอมาแทนไปนานแล้ว เพราะท้ายที่สุดจากสิ่งที่เขาได้เห็นเทคนิคมานาของอีเลียดี้นั้นจะช่วยเพิ่มพลังการต่อสู้ให้กับผู้เล่นอย่างมาก และตราบใดที่ผู้เล่นขั้นสามในปัจจุบันได้เรียนรู้เทคนิคมานาของอีเลียดี้ พลังการต่อสู้ของพวกเขาจะขึ้นสู่จุดสูงสุดของขั้นสามเลย หรืออาจไปถึงมาตราฐานทั่วไปของขั้นสี่ด้วยซ้ำ ในขณะเดียวกันหากใครมีพลังการต่อสู้ที่ขั้นสี่ ในระยะนี้ของเกม พวกเขาก็จะจัดว่าอยู่ยงคงกระพันในหมู่ผู้เล่นปัจจุบันอย่างแน่นอน ซึ่งใครจะต้านทานการล่อลวงแบบนี้ได้ ?
อย่างไรก็ตามถ้าซือเฟิงเลือกเทคนิคมานาของอีเลียดี้จริงๆ เขาก็จะไม่ได้รับอะไรเลย ….
ตอนนี้ฉันได้รับเครื่องหมายและมรดกมาแล้ว ถึงเวลากลับแล้ว ….
หลังจากหายจากอาการตกตะลึง ซือเฟิงก็ได้เก็บคริสตัลความทรงจำสองชิ้นเข้ากระเป๋าของเขา ก่อนที่จะเดินไปที่วงเวทย์เทเลพอร์ตเพื่อออกจากภูเขาศักสิทธิ์ เขานั้นไม่ได้รีบร้อนที่จะใช้คริสตัลความทรงจำ เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกมันทั้งสองชิ้นสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว และเขาจะสามารถเรียนรู้ได้มากแค่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเขาเองทั้งหมด มันจะป็นการสูญเปล่าเกินไป หากเขาไม่ได้ใช้คริสตัลเวทย์มนต์สองชิ้นนี้ในสภาพและสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น