Reincarnation Of The Strongest Sword God 2905-2907
ตอนที่ 2905 สิทธิพิเศษระดับสูง
ขณะที่เอนเลสสการ์กล่าวออกมานั้น แทบทุกคนในล๊อบบี้ไม่เว้นแม้แต่หานอี้เฟิงนั้นก็ล้วนมองไปยังซือเฟิงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
คำพูดของเอนเลสสการ์ที่พูดต่อซือเฟิงนั้นมันดูสบายๆ และน่ารักมากๆ ราวกับว่าเธอพึ่งพบกับเพื่อนเก่าแก่ที่ไม่ได้เจอมานาน
โดยเฉพาะหานอี้เฟิงนั้นที่เขารู้สึกแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองเลย และตอนนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังซือเฟิงราวกับมองไปยังสัตว์ประหลาด
เอนเลสสการ์นั้นเป็นตัวตนที่ทรงพลังมากๆใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียน แถมเธอก็ยังเป็นลูกสาวของตระกูลที่ทรงพลังด้วย ซึ่งแม้แต่บริษัทไฟฟ์สเตทของเขานั้นก็ยังยากจะเอื้อมถึงได้
และการที่เอนเลสสการ์ริเริ่มจะเข้ามาพูดคุยกับซือเฟิงเองแบบนี้ …. พูดกันตามตรงมันก็เป็นความฝันของเหล่ารุ่นเยาว์นับไม่ถ้วนใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียนเลย
ก่อนหน้านี้ที่เขาได้พูดคุยกับซือเฟิงเกี่ยวกับเรื่องเอนเลสสการ์นั้น เขาคิดว่าน่าจะเป็นซือเฟิงเพียงฝ่ายเดียวที่รู้จักเอนเลสสการ์ แต่เอนเลสสการ์นั้นไม่ได้รู้จักซือเฟิง เพราะท้ายที่สุดมิดไนท์ทีปาร์ตี้นั้นก็โด่งดังมากจริงๆใน God domain และใครก็ตามที่เป็นตัวตนที่ทรงอิทธิพลใน God domain ก็ควรจะต้องเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้างไม่มากก็น้อย
เขาไม่ได้คาดคิดเลยจริงๆว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะดีขนาดนี้ ….
สำหรับเรื่องคำถามของเอนเลสสการ์นั้นซือเฟิงได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น และกล่าวว่า “เธอก็พูดไป มันเป็นเพราะในตอนแรกนั้นสถานการณ์มันบังคับ ฉันจึงจำเป็นจะต้องปิดบังตัวตนของตัวเอง …”
“ก็นะ แต่คุณก็ทำตัวแก่เกินวัย เป็นผู้ใหญ่ได้เหมือนจริงๆ ….” เอนเลสสการ์กล่าวพลางยิ้มอย่างขมขื่น
ในตอนแรกเธอคิดว่าซือเฟิงนั้นน่าจะอายุมากกว่าเธอ และซือเฟิงก็น่าจะมีอายุประมาณสามสิบปีหรือมากกว่านั้น ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขานั้นแข็งแกร่งกว่าเธออย่างมาก และนี่มันก็ทำให้เธอนั้นพยายามหาวิธีที่จะขึ้นไปเหนือกว่าเขาให้ได้ อย่างไรก็ตามหลังจากได้เห็นการแสดงที่น่าทึ่งครั้งแล้วครั้งเล่าของซือเฟิง เธอก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่าคนๆหนึ่งนั้นจะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้
ดังนั้นเธอจึงได้เรื่องจะพักเรื่องของมิดไนท์ทีปาร์ตี้ไว้ และบ้ากับการออกไปผจญภัยอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน ซึ่งนี่เองมันก็ทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก
แต่อย่างไรก็ตามในระหว่างที่เธอกำลังจะติดต่อกับซือเฟิงนั้นเธอก็ได้รับข่าวที่น่าตกตะลึง ….
นั่นคือตัวตนที่แท้จริงของแบล๊คเฟรมนั้นมีอายุไม่ถึงยี่สิบห้าปีด้วยซ้ำ แถมตัวตนจริงๆของแบล๊คเฟรมนั้นก็ยังไม่มีภูมิหลังใดๆ และไม่เคยได้รับคำแนะนำ หรือการฝึกสอนจากผู้เชี่ยวชาญคนใดเลย
สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกหดหู่ และนอยด์กับตัวเองเป็นเวลานาน
“เธอเนี่ยน้า …” ซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแห้งๆ เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากจะบอกว่าเขาอายุประมาณสามสิบมันก็ไม่ผิดนัก เพราะท้ายที่สุดเขาก็อายุสามสิบแล้วจริงๆในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา “ว่าแต่หลังจากไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่ๆ เธอเปลี่ยนไปมากเลยนะ แถมตอนนี้เธอยังกลายเป็นคนดังใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียนซะด้วย”
“ฉัน ? นายคิดผิดแล้วแหละ …” เอนเลสสการ์ส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม พลางชี้ไปยังชายหนุ่มในชุดสีขาวที่อยู่ไม่ไกล และกล่าวว่า “ให้ฉันแนะนำพี่ชายของฉันให้คุณรู้จักก่อนแล้วกัน เดี๋ยวมันก็จะทำให้คุณเข้าใจเรื่องทั้งหมดเองนั่นแหละ !!!”
เมื่อเอนเลสสการ์พูดคำว่า “พี่ชาย” ชายหนุ่มในชุดสีขาวก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น และเดินเข้ามาหาทั้งสองอย่างช้าๆ
“นี่คือ ?” ซือเฟิงมองไปที่ฉินไป่ยี่ที่เดินเข้ามาด้วยความรู้สึกคุ้นเคยราวกับว่าเขาเคยเห็นชายผู้นี้ที่ไหนมาก่อน เพียงแต่ว่าเขานึกไม่ออกก็เท่านั้น
“สวัสดีหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม เราเจอกันอีกครั้งแล้วนะ ….” ฉินไป่ยี่กล่าวทักทายซือเฟิงด้วยรอยยิ้ม
“เจอกันอีกครั้ง ? เราเคยพบกันมาก่อนงั้นหรอ ?” ซือเฟิงมองไปยังฉินไป่ยี่ที่ทักทายเขาด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตรด้วยความประหลาดใจ
“แน่นอนนายเคยเจอเขา เพียงแต่ว่าเขาชอบทำตัวแก่เกินวัยเป็นผู้ใหญ่เหมือนนายนั่นแหละ ….” เอนเลสสการ์กล่าวด้วยรอยยิ้มพลางมองไปยังฉินไป่ยี่
ฉินไป่ยี้ยิ้ม และกล่าวเสริมว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันขอแนะนำตัวเองเพิ่มเติมแล้วกัน นายสามารถเรียกชื่อจริงของฉันซึ่งก็คือฉินไป่ยี่ได้ หรือไม่ก็เรียกชื่อใน God domain ของฉันที่มีชื่อว่า บรีซไวน์ก็ได้ แล้วแต่นาย ….”
“บรีซไวน์ ?!! นายคือบรีซไวน์งั้นหรอ ?!!!” ซือเฟิงนั้นรู้สึกตกตะลึงเมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้
บรีซไวน์นั้นเป็นผู้บัญชาการของมิดไนท์ทีปาร์ตี้ ซึ่งเขาได้เคยร่วมงานด้วย และทำความคุ้นเคยกันมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตามพอได้มารู้ความจริงนั้น เขาก็ต้องยอมรับเลยว่าบรีซไวน์ในโลกแห่งความจริง กับใน God domain นั้นต่างกันมากเลยทีเดียว
ในขณะที่ซือเฟิงกำลังรู้สึกตกตะลึงกับเรื่องนี้นั้น หานอี้เฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆเขาก็มีท่าทีตกตะลึงมากๆ ….
ฉินไป่ยี่คือใคร ?
เขาเป็นปรมาจารย์ทางจิตใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียน แถมเขายังเป็นปรมาจารย์ทางจิตที่อายุน้อยที่สุดในรอบยี่สิบปีด้วย ดังนั้นใครจะคิดกันละว่าคนแบบนี้จะเป็นผู้บัญชาการของมิดไนท์ทีปาร์ตี้ได้ ? และหลังจากวันนี้ถ้าเขานำเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟัง มันก็คงจะไม่มีใครเชื่อเขาง่ายๆแน่นอน ….
ขณะเดียวกันตอนนี้นั้นเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมแม้แต่ห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังไม่กล้าจะยั่วยุมิดไนท์ทีปาร์ตี้แบบมั่วๆ
“ฮ่าๆๆ …” ฉินไป่ยี้ขำแห้งๆด้วยความรู้สึกอายเล็กน้อย เมื่อเขาได้เห็นท่าทีประหลาดใจของซือเฟิง “จริงๆฉันก็ไม่ได้คิดจะปกปิดตัวตนนะ เพียงแต่ว่าการเล่น God domain ในตอนนั้นมันเป็นเพียงความสนใจส่วนตัวของฉันเท่านั้น”
ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเอนเลสสการ์ถึงเป็นที่ชื่นชอบ และโปรดปรานของตัวตนที่ยิ่งใหญ่ สาเหตุหลักๆมันก็คงจะมาจากคำแนะนำของฉินไป่ยี่นี่แหละ นอกจากนี้นี่มันก็น่าจะเป็นเหตุผลหลักเลยที่ทำให้มิดไนท์ทีปาร์ตี้ในชีวิตแล้วของเขา รวมไปถึงในชีวิตนี้ไม่กลัวมหาอำนาจใดๆ
ด้วยสถานะแบบนี้ของฉินไป่ยี่ มหาอำนาจใน God domain จะกล้ายั่วยุมิดไนท์ทีปาร์ตี้แบบมั่วๆได้ยังไงกัน ?
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม นายมาที่นี่เพื่อลงทะเบียนยืนยันตัวตนเรื่องที่อยู่อาศัยใช่ไหม ?” ฉินไป่ยี่มองไปยังซือเฟิง และอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า “เราเองก็กำลังจะไปทำเรื่องเดียวกัน ดังนั้นทำไมนายไม่ไปพร้อมกับเราล่ะ ?”
“งั้นฉันคงต้องขอรบกวนหน่อยแล้ว ….” ซือเฟิงนั้นไม่ได้ปฎิเสธ และเลือกจะตอบตกลงไปทันที
ท้ายที่สุดแล้วแม้ว่าตอนนี้มันจะมีคนต่อแถวที่เค้าเต้อร์ยืนยันตัวตนของ VIP น้อยกว่าที่เค้าเต้อร์ยืนยันตัวตนของคนทั่วไป แต่มันก็ยังคงมีอยู่ ดังนั้นการให้ฉินไป่ยี่ช่วยจึงจะช่วยประหยัดเวลาของเขาไปได้มาก เพราะท้ายที่สุดการให้อควาโรส กับเสวี่ยเหวินโหรวได้เข้ามาอาศัยในสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้น เร็วเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งดีมากเท่านั้น
ขณะที่หานอี้เฟิงที่อยู่ข้างๆนั้นก็ไม่ได้ปฎิเสธความหวังดีของฉินไป่ยี่เช่นกัน เพราะท้ายที่สุดแล้วตัวเขาเองนั้นก็อยากจะสร้างสัมพันธ์กับฉินไป่ยี่อยู่แล้วด้วย
แม้ว่าบริษัทไฟฟ์สเตทของเขาจะมีรากฐานที่มั่นคงในพื้นที่ชั้นพื้นฐาน แต่มันก็ไม่คุ้มค่าที่จะกล่าวถึงเลยเมื่อเทียบกับฉินไป่ยี่ และหากเขาสร้างความสัมพันธ์กับฉินไป่ยี่ได้ แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม การเข้าสู่ชั้นกลางของเขา และใช้ชีวิตในชั้นกลางก็น่าจะง่ายขึ้น เพราะท้ายที่สุดการแข่งขันในพื้นที่ชั้นกลางนั้นมันก็ดุเดือดกว่าในชั้นพื้นฐานอย่างมาก
ท้ายที่สุดภายในเวลาไม่ถึงสิบนาทีกระบวนการทั้งหมดก็เสร็จสิ้น
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่พวกเขากำลังจะออกจากอาคารของบริษัทกรีนก๊อดกันนั้น มันก็มีรถคันหนึ่งบิน แล่นเข้ามาจอดอยู่ที่ตรงหน้าอาคาร ซึ่งสิ่งนี้มันก็สร้างความประหลาดใจให้กับหลายคนอย่างมาก เพราะท้ายที่สุดรถบินได้นั้นมันจะมีแต่ผู้ที่มีสถานะสูงๆใน Upper Zone เท่านั้นที่จะมีมันได้
หลังจากนั้นไม่นานนัก มันก็มีชายสองคนก้าวลงมาจากรถคันนี้ โดยคนหนึ่งคือลู่เทียนตี้ ทายาทของบริษัทสตาร์ไลน์ และอีกคนหนึ่งคือชายชราชุดดำที่ลู่เทียนตี้นั้นเดินตามหลังเขามาติดๆด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเคารพ
ซึ่งเมื่อได้เห็นดังนี้นั้น ทายาทของบริษัทยักษ์ใหญ่หลายคนไม่เว้นแม้แต่หานอี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
“ทำไมเขาถึงมาที่นี่ด้วยตัวเอง ?”
หานอี้เฟิงมองไปยังชายชราชุดดำด้วยความไม่เชื่อ
เพราะชายชุดดำผู้นี้นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากปรมาจารย์หวู่หมิง ซึ่งเป็นปรมาจารย์ทางจิตที่อาศัญอยู่ในพื้นที่ชั้นกลางของ Upper Zone แถมเขาก็ยังเป็นผู้มีอำนาจระดับสูง สองดาวใน Upper Zone ด้วย
ใน Upper Zone ใครก็ตามที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของบริษัทกรีนก๊อดที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์ทางจิตได้จะมีสิทได้รับสิทธิพิเศษระดับสูง และสามารถเข้าสู่พื้นที่ชั้นกลางได้ หลังจากผ่านการทดสอบ
ขณะเดียวกันในชั้นกลางนั้นระดับอำนาจของปรมาจารย์ทางจิตจะเรียงตั้งแต่ระดับหนึ่งดาวไปจนถึงสามดาว โดยปรมาจารย์ทางจิตส่วนใหญ่ในชั้นกลางนั้นก็จะอยู่ในระดับหนึ่งดาวเท่านั้น และมันมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้รับอำนาจระดับสองดาว ซึ่งอำนาจระดับนี้นั้นก็จะมีอำนาจเกือบจะเทียบเท่ากับผู้จัดการในชั้นกลางเลย และเมื่อมีอำนาจระดับนี้มันก็ยังจะได้รับช่องบางส่วนในชั้นกลางด้วย แถมยังมีอำนาจที่จะขับไล่ปรมาจารย์ทางจิตที่ทำผิดกฎออกจาก Upper Zone เป็นเวลาหนึ่งถึงสามปีอีก
สำหรับตัวหานอี้เฟิงนั้นเขาก็รู้มาบ้างว่าซือเฟิง กับปรมาจารย์หวู่หมิงมีเรื่องขัดแย้งกัน แต่เท่าที่เขารู้เรื่องนี้มันก็ไม่น่าจะถึงขั้นให้คนระดับปรมาจารย์หวู่หมิงต้องออกมาเองเลยนะ ….
“คุณคือซือเฟิง ผู้ที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ศิษย์ของฉัน หวังซวนหมิง ถูกไล่ออกไปจาก Upper Zone ใช่ไหม ?” ปรมาจารย์หวู่หมิงได้เดินเข้ามาหาซือเฟิง และถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ซึ่งเมื่อทุกคนที่เฝ้าดูอยู่ได้ยินดังนั้น พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังซือเฟิงอย่างเห็นอกเห็นใจ และพวกเขาต่างก็สงสัยมากๆว่านี่ซือเฟิงไปทำเรื่องร้ายแรงอะไรกันถึงทำให้คนอย่างปรมาจารย์หวู่หมิงต้องออกมาเอง ….
และมันก็เห็นได้ชัดเลยว่าหากซือเฟิงจัดการรับมือกับเรื่องนี้ได้ไม่ดีนั้น เขาก็อาจจะถูกปรมาจารย์หวู่หมิงหาเหตุผลมาไล่เขาออกไปจาก Upper Zone เป็นการชั่วคราวได้
และหากเป็นแบบนั้นชีวิตของซือเฟิงก็จะต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างถึงที่สุดแน่นอน
ขณะเดียวกันเมื่อเห็นสถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้นั้นฉินไป่ยี่ก็พยายามที่จะออกหน้าเพื่อช่วยเหลือซือเฟิง อย่างไรก็ตามปรมาจารย์หวู่หมิงนั้นก็ยังคงไม่สนใจ แถมเขายังกล่าวดูหมิ่นฉินไป่ยี่ด้วยว่าต่อให้อาจารย์ของฉินไป่ยี่มาที่นี่เขาก็จะไม่สนใจ !!! ….
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ฉินไป่ยี่กำลังคิดว่าจะพยายามหาหนทางติดต่ออาจารย์ของเขาให้มาที่นี่ให้ไวที่สุดนั้น ซือเฟิงก็ได้ก้าวออกไปเผชิญหน้ากับปรมาจารย์หวู่หมิง
“หวังซวนหมิง ?” ซือเฟิงมองไปยังปรมาจารย์หวู่หมิงด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อว่า “ถ้าคุณหมายถึงคนที่บุกเข้ามาในบ้านส่วนตัวของฉันที่ฉันจับส่งให้กับบริษัทกรีนก๊อดละก็ตามนั้นเลย คุณมีอะไรงั้นหรอ ?”
ตอนที่ 2906 การต่อสู้กับปรมาจารย์ทางจิต
ที่บริเวณด้านหน้าอาคารของบริษัทกรีนก๊อด คำพูดของซือเฟิงที่ดูสบายๆ และไม่สนใจโลกได้ทำให้เหล่าผู้ชมที่เฝ้าดูอยู่รวมไปถึงหานอี้เฟิง และคนอื่นๆเงียบลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหานอี้เฟิงที่ตอนนี้นอกเหนือจากเขาจะเงียบลงไปแล้ว ใบหน้าของเขายังมืดมนอย่างสุดจะพรรณนาด้วย
“นั่นคือปรมาจารย์หวู่หมิงเลยนะ …. เขาบ้าไปแล้วรึไงกัน ?”
หานอี้เฟิงนั้นมองไปยังท่าทีของซือเฟิงที่ดูเหมือนจะไม่ยอมถอยเลยด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
สำหรับตัวเขาซึ่งเป็นผู้ที่อยู่อาศัยอยู่ใน Upper Zone มาเป็นเวลานาน เขารู้ดีว่าปรมาจารย์ทางจิตนั้นเป็นตัวตนที่ไม่สามารถจะยั่วยุได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรมาจารย์ทางจิตที่มีอำนาจระดับสองดาวนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยั่วยุ และแม้แต่กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในชั้นพื้นฐานของ Upper Zone ก็จะยังไม่กล้ายั่วยุตัวตนระดับนี้แน่นอน
และแม้ว่าปรมาจารย์ทางจิตที่มีอำนาจระดับสองดาวจะก่อเรื่องตามอำเภอใจใน Upper Zone อย่างการสั่นสอนคนที่เขาไม่พอใจ หรือหยิ่งผยองต่อหน้าเขานั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วบริษัทกรีนก๊อดก็จะลงโทษเขาแค่การหักคะแนนการค้า และคะแนนสะสมบางส่วนเท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้นับว่ามีอะไรมากนักเลยสำหรับปรมาจารย์ทางจิตระดับนี้
ขณะเดียวกันแม้ว่าคำพูดของซือเฟิงจะไม่ได้เป็นการหาเรื่องปรมาจารย์หวู่หมิงโดยชัดเจน แต่มันก็นับเป็นการตบหน้าเขาต่อหน้าสาธารณชนอยู่ดี
ซึ่งนี่มันก็ทำให้หานอี้เฟิง และฉินไป่ยี่นั้นมีใบหน้าที่มืดมนลงไปมากๆ พวกเขาไม่เข้าใจเลยเลยจริงๆว่าทำไมซือเฟิงถึงเลือกจะทำแบบนี้
อีกด้านหนึ่งแม้แต่หานหรงหรงที่ตอนแรกนั้นอยากจะลองประมือกับซือเฟิงมากๆก็ยังอดไม่ได้ที่จะยืนตัวสั่น และจ้องมองไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความหวาดกลัว
เพราะในเวลานี้สิ่งที่แผ่ออกมาจากตัวของปรมาจารย์หวู่หมิงนั้นมันชัดเจนมากๆ
เจตนาฆ่าฟัน !!!
โดยเจตนาฆ่าแบบนี้นั้นสามารถจะกล่าวได้เลยว่าเป็นเจตนาฆ่าที่น่ากลัวอย่างถึงที่สุดในแบบที่หานหรงหรงไม่เคยพบมาก่อน
ชั่วขณะหนึ่งในตอนนี้นั้น แม้แต่ปรมาจารย์บางคนที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเข่าอ่อนเมื่อได้สัมผัสกับเจตนาฆ่านี้
“นี่คือพลังของปรมาจารย์ทางจิตที่มีอำนาจระดับสองดาวงั้นหรอ ?” เอนเลสสการ์จ้องมองไปยังปรมาจารย์หวู่หมิงด้วยดวงตาที่จริงจัง
ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ถึงพลังปรมาจารย์ทางจิตเลย เพราะท้ายที่สุดตัวเธอนั้นก็ได้ฝึกซ้อมต่อสู้กับฉินไป่ยี่อยู่บ่อยๆ ….
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับฉินไป่ยี่นั้น นี่มันคนละชั้นกันเลย !!!
ปรมาจารย์ทางจิตอย่างฉินไป่ยี่นั้นมีความสามารถสูงกว่าเธอในเรื่องการรับรู้ทางจิต และการทำงานของสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการทำงานของสมองที่เขาจะสามารถประเมินผลได้เร็วกว่าเธอราวสิบเท่า ซึ่งมันอยู่ในระดับที่เหนือมนุษย์ไปแล้ว
แต่อย่างไรก็ตามปรมาจารย์หวู่หมิงในปัจจุบันนั้นไม่เพียงแต่จะมีความสามารถแบบเดียวกับฉินไป่ยี่ เขายังมีความสามารถที่จะสามารถมีอิทธิต่อจิตใจ และเจตจำนงของผู้อื่นได้ด้วย หรือจะให้พูดง่ายๆก็คือมันเหมือนกับว่าเขานั้นสามารถจะใช้การสะกดจิตขั้นสูงต่อเป้าหมายของเขาได้
ขณะเดียวกันความสามารถนี้ของปรมาจารย์หวู่หมิงนั้นก็ไม่ได้ถูกใช้พุ่งเป้ามาที่เธอโดยตรง แต่มันก็ยังทำให้เธอรู้สึกกดดันได้มากขนาดนี้ ดังนั้นเธอจึงจินตนาการถึงสภาพของผู้ที่ปรมาจารย์หวู่หมิงใช้ความสามารถนี้ด้วยโดยตรงไม่ออกเลย
สำหรับฉินไป่ยี่ แม้ว่าเขาจะมีสภาพที่ดีกว่าเอนเลสสการ์อย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้รับผลกระทบจากความสามารถนี้ของปรมาจารย์หวู่หมิงอยู่ดี
“มันจบแล้ว !!! หวู่หมิงได้ทำลวงไปถึงจุดนั้นแล้ว !!! และตอนนี้ด้วยพลังของเขาแบบนี้นั้น มันก็ไม่ใช่สิ่งที่สุดยอดปรมาจารย์ทั่วไป หรือแม้แต่ปรมาจารย์ทางจิตบางคนจะสามารถต้านทานได้เลย !!!” ฉินไป่ยี่พึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้ามืดมน ในขณะที่เขาจ้องมองไปยังซือเฟิงด้วยความสงสาร
ในความคิดของเขาซือเฟิงนั้นนับเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีมากๆ นี่ยังไม่ต้องพูดการที่เขาสามารถกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์ฮั่วจินได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แค่การที่เขาสามารถเอาชนะสุดยอดปรมาจารย์นับสิบได้ด้วยตัวตนเดียว …. มันก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาแข็งแกร่งมากๆ และเขาก็น่าจะอยู่ห่างจากระดับของปรมาจารย์จิตเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น
ในตอนแรกเขาวางแผนที่จะกระชับความสัมพันธ์กับซือเฟิงให้มากขึ้น และจากนั้นเขาก็จะนำซือเฟิงไปแนะนำให้อาจารย์ของเขารู้จัก
แต่ตอนนี้แผนทุกอย่างของเขามันพังยับแล้ว !!!
การสะกดจิตขั้นสูงแบบนี้นั้นมันคือการบังคับปลดปล่อยความกลัวที่แท้จริงที่อยู่ในจิตใจของเป้าหมายออกมา ซึ่งนี่มันก็จะทำให้เป้าหมายนั้นถูกปราบปราม และถูกกดขี่อย่างหนัก และอาจจะไปถึงขั้นสูญเสียความสามารถในการพัฒนาทางจิตของตัวเองในอนาคตได้เลย
ซึ่งความสามารถแบบนี้นั้น แม้แต่ในพื้นที่ชั้นกลางของ Upper Zone มันก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถจะใช้ได้ และคนที่สามารถจะใช้ได้ส่วนใหญ่นั้นก็ล้วนเป็นปรมาจารย์ทางจิตที่มีอำนาจระดับสามดาวด้วย แต่ตอนนี้หวู่หมิงกับใช้มันได้จริงๆ ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าตอนนี้เขาได้พัฒนาตัวเองไปจนมีพลังใกล้เคียงกับปรมาจารย์ทางจิตที่มีอำนาจระดับสามดาวแล้ว
แต่อย่างไรก็ตามฉากที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นมันก็ทำให้ฉินไป่ยี่ตกตะลึงมากๆ
“เป็นไปได้ยังไงกัน ?!!”
เพราะซือเฟิงในเวลานี้นั้นแม้จะโดนการสะกดจิตขั้นสูงแบบนี้ แต่ใบหน้า และดวงตาของเขาก็ยังไม่ได้มีท่าทีจะแสดงความหวาดกลัวออกมาเลย ซึ่งมันก็เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถจะรับมือกับความสามารถนี้ของหวู่หมิงได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
“ดี ! ยอดเยี่ยมมากๆ !!” หวู่หมิงจ้องมองไปยังซือเฟิงที่ดูจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆเลยจากพลังของเขา พลางหัวเราะ “เมื่อวันก่อนในตอนที่ฉันได้ข่าวมาว่าคุณได้กลายเป็นปรมาจารย์ทางจิตแล้วนั้น ฉันไม่เชื่อเลย แต่อย่างไรก็ตามพอได้มาเห็นคุณต่อหน้าจริงๆ ดูเหมือนว่าฉันจะต้องยอมรับแล้วว่าข่าวนั้นมันเป็นเรื่องจริง !!!”
เมื่อหวู่หมิงพูดจบ เหล่าผู้ชมก็ล้วนมองไปยังซือเฟิงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหานอี้เฟิง ….
“นี่เขาเป็นมนุษย์จริงๆงั้นหรอ ?”
ในตอนที่เขาได้พบกับซือเฟิงครั้งแรกนั้น แม้ว่าซือเฟิงจะเป็นหัวหน้ากิลขนาดใหญ่ที่สร้างมาปฎิหาริย์มามากมาย แต่ซือเฟิงก็แข็งแกร่งกว่าค่าเฉลี่ยของผู้คนใน Upper Zone ไม่มากนัก ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วแค่นี้มันก็ยังไม่คุ้มค่าที่จะให้เขาต้องสนใจมากนัก
แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ซือเฟิงเข้าสู่ Upper Zone มาได้ไม่นานนั้น เขากับสามารถจัดหาทรัพยากรจำนวนมากมายมหาศาลให้กับตัวเองได้อย่างรวดเร็ว แถมตอนนี้เขายังได้กลายเป็นปรมาจารย์จิต ซึ่งเป็นตัวตนที่กองกำลังในพื้นที่ชั้นพื้นฐานของ Upper Zone ส่วนใหญ่นั้นล้วนหวาดกลัวด้วย อัตราการเติบโตของซือเฟิงนั้นมันน่าเหลือเชื่อ และจัดว่าเหนือมนุษย์จนเกินไป !!!
ในเวลานี้ไม่เพียงแต่หานอี้เฟิงเท่านั้นที่มีท่าทีตกตะลึงอย่างถึงที่สุด แม้แต่ฉินไป่ยี่เองก็เช่นกัน และกว่าที่เขาจะสงบสติอารมณ์ลงได้นั้นมันก็ต้องใช้เวลาพักหนึ่งเลยทีเดียว
“นี่คุณกลายเป็นปรมาจารย์ทางจิตทั้งๆที่มีอายุน้อยกว่ายี่สิบห้าปีงั้นหรอ ?”
ก่อนหน้านี้ฉินไป่ยี่นั้นไม่แน่ใจในเรื่องนี้มากนัก อย่างไรก็ตามเมื่อตัวตนระดับหวู่หมิงกล่าวออกมาเองแบบนี้นั้น เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องทำใจและยอมรับว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องจริงหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์
ปรมาจารย์ทางจิตนั้นจัดเป็นตัวตนทีพิเศษมากๆใน Upper Zone และทุกคนที่อยู่ใน Upper Zone นั้นก็ล้วนตั้งเป้าที่จะไปให้ถึงขอบเขตนี้ให้ได้ และต่อให้คนๆหนึ่งจะไปถึงขอบเขตนี้ได้ตอนอายุหกสิบหรือเจ็ดสิบปี มันก็ยังคงจัดว่าเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจมากๆ
ในส่วนของตัวเขาที่สามารถจะกลายเป็นปรมาจารย์ทางจิตได้ตอนอายุราวสามสิบนั้นเขาก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากมากๆใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับซือเฟิงในตอนนี้แล้ว ความสามารถของเขานั้นมันดูไร้ค่าไปเลย
ซือเฟิงนั้นตรงข้ามกับเขามากๆ เนื่องจากซือเฟิงนั้นยังอายุไม่ถึงยี่สิบห้าด้วยซ้ำ และความสามารถในการพัฒนาของซือเฟิงก็ยังคงจัดว่าอยู่ในจุดสูงสุด ดังนั้นเขาจึงยังคงมีเวลาที่จะสามารถพัฒนาตัวเองไปได้อีกไกล ซึ่งมันตรงกันข้ามกับเขา เพราะท้ายที่สุดแล้วความสามารถในการพัฒนาของคนๆหนึ่งจะเริ่มช้าลงหลังจากอายุก้าวเข้าสู่เลขสาม
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้นั้นฉินไป่ยี่ก็อดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และในตอนนี้เขาก็อยากจะแนะนำซือเฟิงให้กับอาจารย์ของเขามากๆ
แต่อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ฉินไป่ยี่กำลังตื่นเต้นกับเรื่องนี้นั้น หวู่หมิงก็กล่าวออกมาอย่างเย็นชาว่า “ฉันต้องยอมรับเลยว่าคุณนั้นมีความสามารถสูงมากๆ แต่อย่างไรก็ตามคุณคิดหรอว่าคุณที่พึ่งสามารถจะเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์ทางจิตได้จะสามารถเทียบกับฉันได้น่ะ ?”
เมื่อหวู่หมิงพูดจบ เขาก็ได้ปล่อยหมัดเข้าใส่ซือเฟิง
หมัดนี้นั้นแม้จะดูเป็นเหมือนหมัดธรรมดา แต่ในสายตาของทุกคนที่เฝ้าดูอยู่มันก็สามารถจะบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่าหมัดนี้มีพลังทำลายล้างที่สูงมาก และมันก็เป็นหมัดที่ไม่มีใครสามารถจะหยุดยั้งหรือเอาชนะได้แน่นอน ซึ่งความรู้สึกนี้ก็ได้แทรกซึมลงไปในจิตใจของทุกคน และทำให้ร่างกายของทุกคนนั้นสั่นด้วยความกลัวอย่างมาก
“ไม่ดีแล้ว !!!” เมื่อฉินไปยี่ได้เห็นฉากตรงหน้านี้ใบหน้าของเขาก็มืดมนลงอย่างถึงที่สุด “นี่เขาบ้าไปแล้วงั้นหรอ ?!!”
ตอนนี้มันเห็นได้ชัดเลยว่าหลังจากที่หวู่หมิงได้เห็นศักยภาพที่แท้จริงของซือเฟิงแล้ว เขาก็ได้ตั้งใจจะกำจัดซือเฟิงเพื่อขจัดปัญหาในอนาคต !!!
ขณะเดียวกันด้านของซือเฟิงนั้นเขาก็เข้าใจถึงพลังของหมัดนี้เป็นอย่างดีเช่นกัน และเขาก็รู้ดีว่าหากเขาโดนเข้าไปเต็มๆนั้น เขาก็อาจจะถึงขั้นพิการได้เลย เพราะท้ายที่สุดด้วยพลังในปัจจุบันของเขานั้น เขาไม่สามารถจะต้านทานหมัดนี้ได้แน่นอน
“ไม่ !! ฉันมาไกลถึงขนาดนี้แล้ว ฉันจะไม่ยอมมาตายหรือพิการอยู่ตรงนี้หรอก !!!”
ซือเฟิงมองไปที่หมัดที่เข้ามาใกล้มากขึ้น พลางเริ่มใช้สมองของตัวเองคิดวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดเพื่อหาวิธีการที่จะต่อต้านหมัดนี้
และเมื่อหมัดของหวู่หมิงใกล้เข้ามาจนเหลือระยะเพียงแค่ครึ่งเมตรก็จะโดนซือเฟิง ซือเฟิงก็คิดถึงความเป็นไปได้บางอย่างออก ก่อนหน้านี้มันเป็นเพราะสมรรถภาพทางกาย และปฎิกิริยาทางจิตของเขานั้นยังไม่รวดเร็วพอ เขาจึงไม่สามารถจะใช้มันในโลกแห่งความจริงได้
“มาลองดูกันหน่อย !!!”
ซือเฟิงตะโกนพลางเริ่มกวัดแกว่งฝ่ามือของเขาให้เหมือนกับเทคนิคดาบที่เขามักใช้ป้องกันตัวเองใน God domain ซึ่งเทคนิคนี้นั้นซือเฟิงก็เคยใช้มันมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
วัฎสงสารแห่งดาบ !!!
ตอนที่ 2907 ปรมาจารย์ทางจิตระดับสามดาวที่ยากจะสั่นสะเทือน
ตู้ม !
เสียงระเบิดจากการปะทะกันดังขึ้นอย่างชัดเจน และคลื่นกระแทกที่เกิดจากการปะทะกันนั้นมันก็รู้สึกได้ชัดเจนมากๆ แม้แต่กับผู้คนที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบหลาก็ตาม
หมัดของหวู่หมิงนั้นได้ถูกผลักดันให้ต้องหยุดลงไปอย่างกระทันหัน ในขณะที่ตัวซือเฟิงนั้นก็ถูกบังคับให้ต้องถอยไปหลายก้าวกว่าที่จะทำให้ร่างกายของตัวเองคงที่ได้
ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมานี้มันก็ทำให้หานอี้เฟิง และคนอื่นๆอดไม่ได้ที่จะมองไปยังซือ
เฟิงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“ป้องกันได้ !!”
“เขาป้องกันมันได้ยังไงกัน ?!!”
พลังหมัดของหวู่หมิงนั้นมันรุนแรงมากๆ โดยมันรุนแรงมากซะจนทำให้พื้นใต้เท้าของหวู่หมิงผู้ที่ปล่อยหมัดนี้ออกมานั้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆเลย
ซึ่งพื้นใต้เท้าของหวู่หมิงนั้น สิ่งที่ใช้ปูบนพื้นนั้นมันมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเหล็กกล้าเลย และแม้สุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนจะใช้พลังของตัวเองอย่างเต็มที่ แต่มันก็จะทำให้สิ่งที่ใช้ปูพื้นที่อยู่ใต้เท้าของสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนแตกออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตามพลังของหวู่หมิงกับทำให้สิ่งที่ใช้ปูพื้นนั้นมันแตกออกเป็นเสี่ยงๆเลย
และเมื่อเผชิญหน้ากับหมัดที่มีพลังแบบนี้ของหวู่หมิงนั้น หากโดนเข้าไปเต็มๆคนหนึ่งก็จะกระเด็นไปไกลหลายสิบเมตรอย่างแน่นอน
“เขาทำมันได้ยังไงกัน ?!!”
ฉินไป่ยี่มองไปยังซือเฟิงที่ถูกบังคับให้ถอยออกมา แต่ยังคงปลอดภัยดีด้วยความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น
เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ณ ที่นี้ ฉินไป่ยี่นั้นมั่นใจว่าเขารู้ดีที่สุดว่าหมัดของหวู่หมิงเมื่อครู่นั้นทรงพลังมากแค่ไหน และแม้แต่ตัวเขาเองหากต้องรับหมัดเมื่อครู่เข้าไปนั้นก็ยังจะต้องได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ดังนั้นการที่ผู้ที่พึ่งเข้าถึงขอบเขตปรมาจารย์ทางจิตสามารถรับหมัดนี้ได้โดยที่ไม่บาดเจ็บใดๆ มันจึงน่าเหลือเชื่อมากๆ
ซึ่งซือเฟิงก็สามารถทำมันได้จริงๆด้วยการอาศัยเทคนิคบางอย่างที่แปลกประหลาดของเขา โดยเทคนิคนี้นั้นมันก็รวดเร็วและน่าเหลือเชื่อมากๆ เพราะมันได้เบี่ยงเบนพลังหมัดของหวู่หมิงออกไปในชั่วพริบตา และทำให้ผู้ใช้สามารถแบกรับพลังส่วนที่เหลือไว้ได้โดยปลอดภัย
ในความเป็นจริงไม่ใช่แค่ฉินไป่ยี่เท่านั้นที่รู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้ แต่ตัวซือเฟิงเองก็รู้สึกประหลาดใจ พร้อมทั้งมีความสุขมากๆเช่นกัน เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะทำมันได้สำเร็จจริงๆ และแม้ว่าเขาจะไม่สามารถใช้พลังของวัฎสงสารแห่งดาบในโลกแห่งความจริงได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ แต่ตอนนี้มันก็ดูเหมือนว่ามันจะมีพลังมากเพียงพอแล้วที่จะใช้ป้องกันตัวเองจากหวู่หมิงได้
แต่อย่างไรก็ตามการใช้เทคนิคแบบนี้มันก็เป็นภาระอย่างมากต่อทั้งจิต และร่างกายทางกายภาพของซือเฟิง เพราะเขาจำเป็นจะต้องผลักดันให้สมอง และร่างกายของเขาปลดปล่อยพลังออกมาถึงขีดสุด ….
“นี่คุณเบี่ยงเบนความแข็งแกร่งของร่างกายของฉันได้งั้นหรอ ?”
หวู่หมิงจ้องมองไปยังซือเฟิงด้วยความประหลาดใจ เพราะสิ่งที่เขาสัมผัสได้ก็คือเมื่อหมัดของเขาปะทะเข้ากับสองฝ่ามือของซือเฟิงนั้น มันก็ได้ถูกพลังประหลาดบางอย่างทำการเบี่ยงเบน และกระจายความรุนแรงออกไป ซึ่งนี่มันก็ทำให้หมัดของเขาสูญเสียพลังส่วนใหญ่ไปในทันที
และก็ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้ซือเฟิงนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆเลย แม้จะถูกบังคับให้ต้องถอยไปหลายก้าวก็ตาม
โชคดีงั้นหรอ ?
โชคดีเนี่ยนะ ?
หวู่หมิงส่ายหัวให้กับความคิดนี้ ก่อนที่เขาจะรีบพุ่งตรงเข้าไปโจมตีซือเฟิงต่อทันที โดยเขาก็ได้ปล่อยหมัดแล้วหมัดเล่าราวกับพายุเข้าใส่ซือเฟิง และไม่เปิดช่องให้ซือเฟิงได้พักหายใจเลย
เดิมทีเขาได้มาที่นี่โดยตั้งใจจะมาสอนบทเรียนให้กับซือเฟิง รวมทั้งล้างแค้นให้กับศิษย์ของตัวเอง และบังคับให้ซือเฟิงต้องยอมมอบหุ้นส่วนใหญ่ของสภาสิบแปดปีกให้เขาก็เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้หลังจากได้เห็นศักยภาพของซือเฟิงนั้น เขาก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะต้องจัดการชายหนุ่มคนนี้ให้ได้ ไม่งั้นชายหนุ่มคนนี้จะกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขาในอนาคตแน่นอน
และนี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่ซือเฟิงกล้าจะทำตัวหยิ่งผยองต่อหน้าเขาอีก ดังนั้นยังไงซะวันนี้เขาก็จะต้องจัดการซือเฟิงให้ได้ !!!
โดยถ้าเขาสามารถมอบความเสียหายที่รุนแรงในทางกายภาพ และมอบความหวาดกลัวทางจิตให้กับซือเฟิงอย่างหนักได้ มันก็จะทำให้ซือเฟิงมีปัญหาแน่นอนในการจะพัฒนาตัวเองบนเส้นทางจิตในอนาคต ซึ่งนี่มันก็จะทำให้บริษัทกรีนก๊อดนั้นหมดความสนใจในตัวของซือเฟิงไป และมันก็จะทำให้เขาไม่ต้องถูกลงโทษร้ายแรงนัก
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อทำการระดมโจมตีและปล่อยหมัดราวกับพายุแบบนี้นั้น มันก็ไม่ใช่ทุกหมัดของหวู่หมิงที่จะมีความแข็งแกร่งเท่ากับหมัดแรกที่เขาปล่อยออกมาโจมตีซือเฟิง อย่างไรก็ตามทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ปรมาจารย์ทางจิตทั่วไปจะสามารถต้านทานได้อยู่ดี
“นี่หมอนี่บ้าไปแล้วรึไงกัน ?” ซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น และพึมพำออกมา …..
อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็รู้ดีว่าเขาไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ดังนั้นเขาจึงได้เลือกจะปลดปล่อยศักยภาพของร่างกายทางภาย และทางจิตออกมาเพื่อใช้ต่อต้านการโจมตีเหล่านี้ทันที
วัฏสงสารแห่งดาบ !!
ตู้ม ! ตู้ม ! ตู้ม !
โดยการปะทะกันระหว่างหวู่หมิงกับซือเฟิงนั้น เหล่าผู้ชมที่เฝ้าดูส่วนใหญ่นั้นแทบจะมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของพวกเขาเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพวกเขาก็ยังคงได้ยินเสียงระเบิด และได้รับรู้ถึงคลื่นกระแทกของการปะทะกันระหว่างทั้งสองอย่างชัดเจน
และหลังจากเวลาผ่านไปอีกราวสองถึงสามวินาที แม้ว่ามันจะเห็นได้ชัดว่าซือเฟิงสามารถป้องกันการโจมตีของหวู่หมิงได้ทั้งหมด แต่ทุกคนก็สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าซือเฟิงนั้นอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบ เพราะใบหน้าของเขานั้นซีดลงไปเรื่อยๆ ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าเทคนิคที่เขาใช้ป้องกันการโจมตีของหวู่หมิงนั้นมันเป็นภาระต่อเขามาก
“มาดูกันว่าคุณจะทนได้นานแค่ไหน !!!” หวู่หมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว
แม้ว่าการโจมตีแบบนี้นั้นมันจะทำให้ร่างกายของเขาซึ่งเป็นผู้ทำการโจมตีต้องแบกรับภาระหนักมากเช่นกัน แต่เต็มที่สิ่งที่เขาต้องทำเพื่อฟื้นฟูตัวเองมันก็แค่ดื่มโพชั่นแห่งชีวิตในปริมาณที่เหมาะสมเป็นเวลาหนึ่งเดือน แล้วร่างกายของเขาก็จะค่อยๆฟื้นฟูกลับมาเองตามธรรมชาติ ซึ่งตรงกันข้ามกับซือเฟิงที่หากโดนการโจมตีของเขาเข้าไปแม้แต่หมัดเดียวนั้น มันก็มีสิทที่จะส่งผลกระทบถึงอนาคตของตัวเองได้เลย
หลังจากนั้นเวลาแต่ละวินาทีก็ค่อยๆผ่านไป ซึ่งมันก็ทำให้ฉินไป่ยี่ที่เฝ้าดูอยู่จากด้านข้างนั้นเต็มไปด้วยความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
“พี่ชาย พี่ทำอะไรไม่ได้เลยงั้นหรอ ?” ขณะเดียวกันเอสเลสสการ์ที่เฝ้าดูอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามขึ้น
ฉินไปยี่มองไปที่ทั้งสองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ และกล่าวออกมาอย่างไม่สามารถจะทำอะไรได้ว่า “ฉันเองก็อยากจะเข้าไปแทรกแซงเช่นกัน แต่การต่อสู้ระหว่างพวกเขาทั้งสองในตอนนี้นั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะสามารถเข้าไปยุ่งได้เลย แม้ว่าจะต้องการก็ตาม ฉันทำได้แค่รอให้อาจารย์ของฉันมาถึงเท่านั้น ….”
มันไม่ใช่ว่าเขาที่เป็นปรมาจารย์ทางจิตเช่นกันจะไม่ต้องการเข้าแทรกแซง เพียงแต่ว่าถ้าเขาเข้าไปแทรกแซงนั้น เขาก็มีสิทจะล้มลงไปด้วยในทันที …..
หลังจากเวลาผ่านไปอีกราวสิบวินาทีนั้น ผิวของหวู่หมิงก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ในขณะที่ผิวของซือเฟิงนั้นก็ซีดลงไปจนแทบจะไร้สีเลือด พร้อมกันนั้นดวงตาของเขาก็แสดงความอ่อนล้าออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าเขาจะทนได้อีกไม่กี่วินาทีแน่นอน
“ตายไปซะ !!!”
หวู่หมิงมองไปยังสภาพล่าสุดของซือเฟิงและตัดสินใจที่จะเร่งความเร็วในการโจมตีของตัวเองขึ้นทันที แม้ว่ามันจะทำให้ร่างกายของเขาต้องรับภาระหนักขึ้นก็ตาม
ชั่วขณะหนึ่งฉินไป่ยี่นั้นอดไม่ได้ที่จะหลับตาลง เพราะไม่สามารถทนดูภาพตรงหน้าได้ ในขณะที่เอนเลสสการ์นั้นก็มีใบหน้าที่มืดมนอย่างถึงที่สุด
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่หมัดของหวู่หมิงกำลังจะเอาชนะการป้องกันของซือเฟิงได้นั้น มันก็มีเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นมาในหูของทุกคน
“หยุดการกระทำนั่นซะ !!!”
แม้ว่าเสียงนี้จะไม่ได้ดังมากนัก แต่มันก็สร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนทั่วบริเวณที่เฝ้าดูอยู่อย่างมาก
ขณะเดียวกันเสียงนี้นั้นมันก็แผ่แรงกดดันทางจิตที่ยากจะพรรณนาออกมาจนทำให้หวู่หมิง นั้นต้องรีบผละออกจากซือเฟิง
ซึ่งฉากที่เกิดขึ้นนี้มันก็ทำให้ทุกคนที่เฝ้าดูอยู่ในปัจจุบันอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ และตอนนี้พวกเขาก็ล้วนสงสัยถึงตัวตนของผู้ที่ทำให้คนอย่างหวู่หมิงยอมถอยออกห่างจากซือเฟิงมากๆ
และเมื่อทุกคนหันไปมองยังที่มาของเสียงนั้น พวกเขาก็พบกับคนสองคนที่กำลังเดินเข้ามา โดยคนหนึ่งนั้นเป็นหญิงสาวที่งดงาม ขณะที่อีกคนหนึ่งนั้นเป็นชายชราในชุดสีขาว
ซึ่งหญิงสาวที่งดงามนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเซี่ยชิงหยาง ผู้จัดการชั้นพื้นฐาน ขณะเดียวกันในด้านของชายชราที่เดินเคียงข้างมากับเซี่ยชิงหยางนั้น เมื่อฉินไป่ยี่ได้เห็น ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว และความเคารพมากๆ
ในขณะเดียวกันนั้นหวู่หมิงก็มองไปยังชายชราคนนี้พลางกัดฟัน และพูดว่า “ผู้อาวุโสอู๋หยวน ฉันแค่ต้องการจะสอนเด็กหนุ่มที่หยิ่งผยองคนนี้ คุณคิดจะเข้ามาแทรกแซงงั้นหรอ ?”
เซี่ยอู๋หยวน !!
ผู้จัดการที่แท้จริงแห่งชั้นกลางของ Upper Zone เมืองหยวนเทียน และเขาก็ยังเป็นปรมาจารย์ทางจิตที่มีอำนาจระดับสามดาวที่แท้จริงด้วย และมันก็มีข่าวลือว่าจนถึงตรงนี้นั้นชายคนนี้อยู่ห่างจากการกลายเป็นปรมาจารย์ทางจิตขั้นสูงเพียงแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น และเมื่อเขากลายเป็นปรมาจารย์ทางจิตขั้นสูงเมื่อไหร่ เขาก็จะมีสิทก้าวเข้าสู่พื้นที่ชั้นบนสุดของ Uppper Zone ของเมืองหยวนเทียนทันที
และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหวู่หมิง ผู้ซึ่งพึ่งจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตปรมจารย์ทางจิตขั้นกลางนั้น ชายผู้นี้ก็จะสามารถบดขยี้หวู่หมิงได้ง่ายๆเลย
“หวู่หมิงที่นี่เป็นพื้นที่ Upper Zone ของเมืองหยวนเทียนนะ คุณคิดว่าคุณจะสามารถทำอะไรก็ได้ที่ต้องการที่นี่งั้นหรอ ?” เซี่ยอู๋หยวนมองไปที่หวู่หมิง และพูดอย่างช้าๆว่า “ขอให้เรื่องนี้มันจบลงที่นี่ !! ซือเฟิงนั้นผู้มีพรสวรรค์สูงที่มีค่าของเมืองหยวนเทียน หากคุณคิดจะยุ่งกับเขาอีกก็อย่ามาโทษฉันแล้วกัน !!!”
คำพูดของเซี่ยอู๋หยวนนั้นเปรียบเสมือนกับฟ้าผ่าลงที่ใจกลางหน้าของหวู่หมิง ซึ่งนี่มันก็ทำให้ใบหน้าของหวู่หมิงนั้นบิดเบี้ยวไปอย่างน่าเกลียดทันที ก่อนที่เขาจะหันไปมองซือเฟิง และพูดว่า “ชายหนุ่ม วันนี้คุณโชคดีมาก !!! แต่ครั้งหน้าที่เราอจกันคุณจะไม่โชคดีอย่างนี้แน่นอน !!!”
เมื่อหวู่หมิงกล่าวจบ เขาก็พาลู่เทียนตี้กลับขึ้นรถของตัวเองไปทันทีโดยไม่ได้คิดจะพูดคุยกัยเซี่ยอู๋หยวนต่อ
“อาจารย์ เราจะปล่อยซือเฟิงไปแบบนี้งั้นหรอ ?” ลู่เทียนตี้อดไม่ได้ที่จะถาม
ตอนนี้ศักยภาพที่ซือเฟิงแสดงออกมานั้นมันได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอนาคตของซือเฟิงนั้นไร้ขีดจำกัด และตอนนี้พวกเขาก็ไปตั้งตัวเป็นศัตรูกับซือเฟิงแล้ว ดังนั้นหากพวกเขาปล่อยซือเฟิงไว้แบบนี้ ในอนาคตพวกเขาจะเจอกับปัญหาใหญ่แน่นอน
หวู่หมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางส่ายหัว ก่อนที่จะพูดว่า “เท่าที่ฉันรู้มาเซี่ยอู๋หยวนนั้นอยู่ห่างจากการเป็นปรมาจารย์ทางจิตขั้นสูงเพียงครึ่งก้าวแล้ว ซึ่งเขาไม่ใช่ตัวตนที่ฉันที่พึ่งจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์ทางจิตขั้นกลางจะสามารถต่อสู้ด้วยได้เลย แต่อย่างไรก็ตามครั้งหน้าที่เจอกัน ฉันจะทำให้แน่ใจว่าซือเฟิงนั่นจะไม่หลุดมือฉันไปแน่นอน หลังจากนี้ฉันจะไปสมัครคัดเลือกเพื่อรับเอาสิทขั้นสูงในการเข้าสู่พื้นที่บนสุดเพื่อไปฝึก ซึ่งเมื่อฉันได้ฝึกและจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วนั้น ครั้งหน้าซือเฟิงก็จะไม่สามารถต้านทานฉันได้แน่นอน !!!”
ลู่เทียนตี้นั้นรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยิน
ถ้าอาจารย์ของเขาสามารถเข้าสู่พื้นที่ชั้นบนสุดเพื่อไปฝึกได้ อาจารย์ของเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน และการจะจัดการกับซือเฟิงมันก็จะง่ายกว่าตอนนี้มาก ขณะเดียวกันจุดที่สำคัญที่สุดก็คือหลังจากฝึกแล้ว อาจารย์ของเขาก็น่าจะได้รับอำนาจระดับสามดาว ซึ่งจะทำให้อาจารย์ของเขาทำสิ่งต่างๆได้ง่ายขึ้นมาก
ในขณะที่หวู่หมิง กับลู่เทียนตี้จากไปนั้น ซือเฟิงก็ได้เดินเข้าไปขอบคุณเซี่ยชิงหยาง กับเซี่ยอู๋หยวน โดยเฉพาะกับเซี่ยอู๋หยวนที่ถ้าไม่ได้เขาออกมารับหน้าให้ ซือเฟิงก็อาจจะถูกจัดการไปแล้วก็ได้
“ชายหนุ่ม คุณมีความสามารถที่น่าทึ่งมากจริงๆ !!” เซี่ยอู๋หยวนที่ทำการตรวจสอบซือเฟิงกล่าวด้วยความชื่นชม ก่อนที่เขาจะพูดต่ออย่างช้าๆว่า “ชิงหยางเคยบอกฉันถึงเรื่องของคุณแล้ว และเธอบอกกระทั่งว่าคุณมีพรสวรรค์สูงกว่าฉินไป่ยี่ด้วย แต่ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อ อย่างไรก็ตามโชคดีจริงๆที่ฉันมีธุระต้องมาทำที่นี่ในวันนี้ เพราะมันช่วยให้ฉันได้เห็นพลังของคุณได้อย่างชัดเจน และช่วยปกป้องคุณจากหวู่หมิงไว้ได้ทัน”
“ขอบคุณมากๆสำหรับคำชม และความช่วยเหลือของคุณ มิส กับมิสเตอร์เซี่ย …” ซือเฟิงกล่าวขอบคุณอีกครั้งอย่างจริงใจ
เซี่ยชิงหยางมองไปที่ซือเฟิงพลางพยักหน้าเล็กน้อย “คุณทำให้ฉันประหลาดใจ และตกตะลึงมากจริงๆ แม้ว่าฉันจะรู้อยู่แล้วว่าคุณคงใช้เวลาไม่นานแน่นอนในการจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์ทางจิต แต่ฉันก็ไม่คิดเลยว่ามันจะเร็วขนาดนี้ และการที่ฉันเชิญปู่ของฉันมาในครั้งนี้มันก็นับว่าคุ้มค่าทีเดียว”
ซือเฟิงนั้นรู้สึกเขินอายอยู่เล็กน้อย และไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพราะเอาจริงๆแล้วการที่เขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนมาถึงจุดนี้ได้นั้น มันเป็นเรื่องที่แม้แต่เขาก็คาดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิง
“เอาล่ะ พวกคุณสองคนหยุดคุยกันก่อน เดี๋ยวในอนาคตพวกคุณจะมีเวลาพูดคุยกันอีกมากแน่นอน ….” เซี่ยอู๋หยวนกล่าวพลางกระแอม ก่อนที่เขาจะมองไปยังซือเฟิง และพูดอย่างช้าๆว่า “ชายหนุ่ม ในเมื่อคุณกลายเป็นปรมาจารย์ทางจิตแล้วก็ตามฉันเข้าไปที่พื้นที่ชั้นกลางกันเลย !!!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น