Reincarnation Of The Strongest Sword God จบบริบูรณ์
ตอนที่ 2918.2
หลังจากเห็นว่าวงเวทย์ป้องกันของเมืองถูกเปิดใช้งานเรียบร้อย อควาโรสก็ได้เปิดใช้งานแหวนแห่งกอสเปลที่ซือเฟิงส่งมาให้เธอ ในระหว่างการสำรวจ และบุกโจมตีซากปรักหักพังโบราณต่างๆ พวกเขาได้อัพเกรดแหวนแห่งกอสเปลให้กลายเป็นไอเทมระดับตำนานได้แล้ว ตอนนี้แหวนจึงสามารถสร้างโลกจิ๋วที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาได้ และเอฟเฟคในการปราบปรามของมันนั้นก็ด้อยกว่ากระจกแห่งโลกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แม้ว่าการเปิดใช้งานโลกจิ๋วในตอนนี้จะมีค่าใช้จ่ายเป็นหินมานาห้าพันก้อน แทนที่จะเป็นคริสตัลเวทย์มนต์แค่ห้าพันชิ้น แต่ระยะเวลาของสกิลมันก็ได้เพิ่มขึ้นจากสิบนาทีเป็นสามสิบนาที แล้วก็ระยะของสกิลก็ขยายไปถึงห้าหมื่นหลา ซึ่งมันทำให้แม้แต่ผู้เล่นขั้นห้าก็ยังไม่สามารถจะใช้ประโยชน์จากมานาภายในพื้นที่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นศัตรูทั้งหมดที่อยู่ต่ำกว่าขั้นหกยังจะถูกลดค่าสถานะพื้นฐาน และร่างกายทางกายภาพลงไปสามสิบเปอเซ็นต์ ในขณะที่ศัตรูขั้นหกจะถูกลดค่าสถานะพื้นฐาน และร่างกายทางกายภาพลงไปสิบห้าเปอเซ็นต์
หลังจากที่โลกจิ๋วถูกเปิดใช้งาน พวกขั้นสามจากโลกอื่นทั้งหมดที่กำลังพุ่งเข้าโจมตีเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์ก็ได้ล้มลงเหมือนกับโดมิโน การเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้นั้นแปรเปลี่ยนเป็นช้าเหมือนเต่าซึ่งมันทำให้พวกเขาไม่สามารถจะต่อสู้ได้เลย สำหรับพวกขั้นสี่ แม้ว่าพวกเขาจะยังคงมีพลังในการต่อสู้เหลือระดับหนึ่ง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถบินได้อีกต่อไป
แต่น่าเสียดายที่ผลของโลกจิ๋วต่อจอมเขมือบโลกนั้นมีน้อยมากๆ โดยโลกจิ๋วทำให้จอมเขมือบโลกสูญเสียค่าสถานะพื้นฐานกับร่างกายทางกายภาพไปแค่สิบเปอเซ็นต์เท่านั้น
ถึงกระนั้นการได้เห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้มันก็ยังทำให้ผู้เล่นในเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะเมื่อสกิลโลกจิ๋วช่วยปราบปรามพวกขั้นสาม และขั้นสี่จากโลกอื่นไว้แบบนี้ มันก็จะทำให้พวกเขาสามารถมุ่งเน้นไปที่การจัดการจอมเขมือบโลก พวกขั้นห้า เรือเหาะ และอะเม้าท์บินได้จากโลกอื่นทั้งหมดนี้ได้ ….
“อาณาจักรศักสิทธิ์ !!!”
อย่างไรก็ตามมหาอำนาจต่างๆจากโลกอื่นนั้นได้เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์นี้ไว้อยู่แล้ว และทันใดนั้นผู้เล่นขั้นสี่สายเวทย์จำนวนหนึ่งพันคนก็ได้รวมตัวกันสร้างบาเรียขนาดใหญ่สามชั้นขึ้นมาเพื่อต่อต้านเอฟเฟคของโลกจิ๋ว
แม้ว่าบาเรียนี้จะไม่ได้ทำให้ผลของโลกจิ๋วนั้นหมดไปเลย แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้พวกเขาสามารถใช้มานาภายในพื้นที่ได้ และคงเหลือผลของโลกจิ๋วแค่เพียงดีบัฟลดค่าสถานะกับร่างกายทางกายภาพเท่านั้น
ช่วงเวลาต่อมาพวกขั้นสี่นับแสนคน และพวกขั้นสามหลายล้านคนก็ได้พุ่งตรงมายังเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์อีกครั้ง
ขณะเดียวกันบนท้องฟ้านั้นจอมเขมือบโลกก็ได้เริ่มการโจมตีวงเวทย์ป้องกันของเมืองด้วยกรงเล็บขนาดยักษ์ของมัน
“โจมตีด้วยทุกสิ่งที่คุณมี !! หยุดกรงเล็บนั่นให้ได้ !!!”
เมื่อเห็นกรงเล็บใกล้เข้ามา ไฟเออร์แดนซ์จึงได้จัดการออกคำสั่งให้ป้อมปราการเคลื่อนที่ กับเรือเหาะชางเล่ยทั้งหมดเริ่มการตอบโต้ และป้องกันตัวเองทันที
ลำแสงแห่งการทำลายล้างนั้นได้พุ่งเข้าใส่กรงเล็บของจอมเขมือบโลก ในขณะเดียวกันหอคอยเวทย์เอลฟ์ และปืนใหญ่เวทย์มนต์ทั้งหมดของเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์ก็ได้ถูกยิงถล่มเข้าใส่จอมเขมือบโลก
การโจมตีระลอกนี้นั้นทำให้ท้องฟ้าทั่วบริเวณแยกออกจนเหลือแต่เพียงความว่างเปล่าเลย แต่น่าเสียดายที่มันส่งผลต่อจอมเขมือบโลกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และท้ายที่สุดแล้วจอมเขมือบโลกก็ยังคงโจมตีวงเวทย์ป้องกันของเมืองต่อไปได้ ….
หลังจากนั้นไม่นานวงเวทย์ป้องกันของเมืองก็เริ่มแตกออก ….
“จอมเขมือบโลกจงเจริญ !! มันถึงเวลาแล้วที่ชาวพื้นเมืองพวกนี้จะต้องถูกส่งไปนรก !!!”
เมื่อผู้เล่นจากโลกอื่นเห็นวงเวทย์ป้องกันของเมืองแตกออกเป็นเสี่ยงๆจากการปะทะกันแค่ไม่นาน พวกเขาก็ส่งเสียงหัวเราะกันออกมา เดิมทีพวกเขาคิดว่านี่จะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก อย่างไรก็ตามตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะจบลงด้วยการเป็นการต่อสู้แบบด้านเดียวโดยสิ้นเชิง และถึงแม้พวกเขาจะไม่เคลื่อนไหวใดๆเลย แต่ NPC กับจอมเขมือบโลกก็จะสามารถทำลายเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์ลงได้อย่างง่ายดายแน่นอน
ในขณะเดียวกันตอนนี้ผู้เล่นในเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์นั้นต่างก็ตกอยู่ในความสิ้นหวังมากๆ ….
พวกเขาจะต่อสู้กับกองทัพจากโลกอื่นได้ยังไง ในเมื่อกองทัพจากโลกอื่นมีมอนสเตอร์ที่น่ากลัวแบบนี้อยู่ด้วย ?
“ไม่มีทางอื่นแล้ว เดี๋ยวอควา กับฉันจะไปจัดการตรึงจอมเขมือบโลกเอาไว้ให้ ส่วนคนอื่นๆให้ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อหยุดยั้งไม่ให้ผู้บุกรุกเหล่านี้เข้ามาในเมืองแล้วกัน !!!” เสวี่ยเหวินโหรวกล่าว ขณะที่เธอมองไปยัง NPC ขั้นห้าหลายคนที่พยายามเข้าขัดขวางจอมเขมือบโลกอยู่ “ตราบใดที่เรายังสามารถยืนหยัดและรักษาที่มั่น รวมไปถึงวงเวทย์หลักเอาไว้ได้ ผู้เชี่ยวชาญ และ NPC จำนวนมากของ God domain ก็จะเดินทางมาสนับสนุนเราแน่นอน !!!”
พวกผู้บริหารระดับสูงของหลายกิลต่างพยักหน้าตอบรับคำสั่งของเสวี่ยเหวินโหรว และรีบเคลื่อนไหวกันทันที พวกเขาทั้งหมดนั้นได้เตรียมการที่จะใช้ไพ่ที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาเพื่อต่อกรกับกองทัพจากโลกอื่น เพราะแม้ว่าจอมเขมือบโลกจะทรงพลัง แต่ชัยชนะมันก็ยังไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อมซะทีเดียวสำหรับพวกเขา ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญหลายคนของทวีปหลักของ God domain ยังมาไม่ถึงเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์เลย ดังนั้นยิ่งพวกเขาลากการต่อสู้ออกไปได้นานเท่าไหร่ โอกาสที่พวกเขาจะได้รับชัยชนะมันก็จะยิ่งมีสูงขึ้นเท่านั้น
ต่อจากนั้นเสวี่ยเหวินโหรว และอควาโรสก็ได้บินเข้าไปหาจอมเขมือบโลก
และเมื่อสามารถเข้าถึงระยะการโจมตีได้ เสวี่ยเหวินโหรวก็ได้เหวี่ยงดาบใหญ่ของเธอออกไป และใช้เทคนิคมานาของเธออย่าง Spatial Cleave ทันที ซึ่งนี่มันก็ได้ช่วยเบี่ยงเบนการโจมตีจากกรงเล็บของจอมเขมือบโลกออกไป
ขณะที่อควาโรสนั้นก็ได้โบกคทาของเธอ และจัดการอัญเชิญงูยักษ์น้ำจำนวนมากออกมา จากนั้นเธอก็ได้ให้งูยักษ์น้ำพวกนี้พุ่งตรงไปช่วยจัดการกับกรงเล็บของจอมเขมือบโลกอีกแรง เพื่อป้องกันไม่ให้มันสามารถโจมตีเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์ต่อได้
“นี่พวกเขาเป็นสัตว์ประหลาดรึไงกัน ?” ผู้เล่นจากโลกอื่นอ้าปากค้าง เมื่อพวกเขาได้เห็นเสวี่ยเหวินโหรว และอควาโรสสามารถรับมือกับจอมเขมือบโลกได้
แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าจากโลกอื่นก็ยังประหลาดใจกับสถานการณ์นี้ การโจมตีด้วยกรงเล็บของจอมเขมือบโลกนั้นมันมีพลังอยู่ในขั้นสูงสุดของขั้นหก และแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าที่ใช้อาวุธระดับตำนานก็จะยังสามารถป้องกันการโจมตีของมันได้แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น อย่างไรก็ตามเสวี่ยเหวินโหรว กับอควาโรสนั้นไม่ได้ใช้อาวุธเลย พวกเขาหยุดกรงเล็บของจอมเขมือบโลกด้วยเทคนิคมานา และเทคนิคการต่อสู้ของพวกเขาเท่านั้น
และช่วงเวลาหนึ่งในตอนนี้นั้น เสวี่ยเหวินโหรว อควาโรส กับจอมเขมือบโลกก็ได้กลายเป็นเหมือนศูนย์กลางของท้องฟ้าอย่างแท้จริง
แม้แต่ผู้เล่นขั้นห้าก็ยังไม่กล้าจะเข้าใกล้สองคน และหนึ่งตัวนี้เลย เพราะแม้แต่คลื่นกระแทกของการปะทะกันนั้นมันก็สามารถจะฆ่าผู้เล่นขั้นห้าทั่วไปได้ ขณะเดียวกันนอกเหนือจากพวกขั้นห้าแล้ว มันก็ไม่มีใครที่กล้าจะบินขึ้นมาต่อสู้กันบนท้องฟ้าเลย เนื่องจากพวกเขาได้เห็นชัดเจนแล้วว่าผู้เล่นขั้นสี่ที่พยายามจะบินขึ้นไปนั้นได้สลายกลายเป็นเถ้าถ่านทันที
ดังนั้นในตอนนี้ผู้เล่นขั้นสี่จึงสามารถต่อสู้ได้แค่บนพื้นดินแบบผู้เล่นขั้นสามเท่านั้น เพราะขณะนี้มันมีพวกขั้นห้ามากกว่าเจ็ดร้อยคนต่อสู้กันอยู่บนท้องฟ้า แต่เดิมพวกขั้นห้าของเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์นั้นน่าจะอ่อนแอกว่าเนื่องจากข้อแตกต่างด้านจำนวน กระนั้นตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว เพราะทั้งสองฝ่ายนั้นต่อสู้กันอย่างเท่าเทียม โดยสิ่งนี้มันก็ทำให้พวกขั้นห้าจากโลกอื่นนั้นรู้สึกสับสนมากๆ
“บัดซบ !!! ทำไมชาวพื้นเมืองเหล่านี้ถึงแข็งแกร่งขนาดนี้ ?!!” ซี่หยวนพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ ในขณะที่เขาจ้องมองไปยังจี้ลั่วหรงที่กำลังต่อสู้กับเขาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ไม่เพียงแต่จี้ลั่วหรงจะต่อสู้กับ NPC ขั้นห้าสองคนพร้อมกันได้ แต่เธอยังสามารถตรึงเขาไว้ได้ด้วยในขณะที่ทำแบบนั้น โดยระดับของสกิล เวทย์ รวมไปถึงเทคนิคที่เธอแสดงออกมานั้นมันเห็นชัดเจนเลยว่าเธอมีความเข้าใจเกี่ยวกับมานาสูงอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นจี้ลั่วหรงก็ยังไม่ใช่คนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาคนเหล่านี้
โดยคนที่โดดเด่นที่สุดนั้นก็คือ ไวโอเล็ตคลาดว์ เด็กสาวจากสภาสิบแปดปีกที่เขาเคยคิดว่าเธอนั้นคุณสมบัติมากพอในการจะเข้าร่วมกับร้อยผีโดดเดี่ยว เธอนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง
จากสิ่งที่เขาได้เห็น เขาสามารถบอกได้เลยว่าไวโอเล็ตคลาวด์นั้นอยู่ในขอบเขตโดเมนเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นเธอกับสามารถรับมือกับ NPC ขั้นห้ามากกว่าหนึ่งโหลได้ด้วยตัวเอง และหากไม่ใช่เพราะจูเฟิงหยิงที่ถืออาวุธระดับตำนานอยู่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ NPC ขั้นห้าพวกนี้ก็คงจะตายไปหนึ่ง หรือสองคนแล้วแน่นอน
สำหรับไฟเออร์แดนซ์ และฟางฉีหาน หญิงสาวทั้งสองคนนี้นั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นยมทูตเลย ขณะที่พวกเขาทั้งสองโจมตีประสานกันตัดผ่านสนามรบ พวกเขาทั้งสองสามารถจะฆ่า NPC ขั้นห้าได้ในห้าการเคลื่อนไหว และสามารถจะฆ่าผู้เล่นขั้นห้าได้ในสามการเคลื่อนไหว
เมื่อเวลาผ่านไปพวกขั้นห้าของเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์ก็เริ่มจะขึ้นมาเหนือกว่ามากขึ้นเรื่อยๆในการต่อสู้
“ผู้อาวุโสจูเฟิงหยิง เราเสียผู้เล่นขั้นห้าไปมากกว่าสองโหลแล้ว !!! เราจะเสียเปรียบอย่างร้ายแรง หากสถานการณ์แบบนี้ยังคงดำเนินต่อไป !!!” หญิงสาวผมสั้นข้างจูเฟิงหยิงที่พึ่งผลัก NPC ขั้นห้าคนหนึ่งของเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์ออกไปด้วยขวานของเธอกล่าวกับจูเฟิงหยิงด้วยความกังวล เมื่อเธอเห็นไฟเออร์แดนซ์ และ ฟางฉีหานไล่ฆ่าผู้เล่นขั้นห้าคนอื่นๆของพวกเขาอย่างเมามัน
ในตอนนี้มันไม่มีใครสามารถจะหยุดไฟเออร์แดนซ์ กับฟางฉีหานแห่งสภาสิบแปดปีกได้เลย และแต่เดิมฝ่ายพวกเขาที่ตอนแรกเริ่มต่อสู้ด้วยผู้เล่นขั้นห้ามากกว่าหนึ่งร้อยเจ็ดสิบคนนั้นก็ได้สูญเสียไปมากกว่าสิบเปอเซ็นต์แล้วในเวลาไม่กี่นาที
ในการเปรียบเทียบอีกฝ่ายนั้นสูญเสียผู้เล่นขั้นห้าได้แค่ราวหนึ่งโหลเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นผู้เล่นขั้นห้าที่ตายลงยังสามารถฟื้นคืนชีพ และกลับมาเข้าร่วมการต่อสู้อีกครั้งได้อย่างรวดเร็วด้วย และผู้เล่นขั้นห้าพวกนี้ก็ได้เตรียมอุปกรณ์ทดแทนไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงแทบจะไม่อ่อนแอลงเลยเมื่อกลับมาเข้าร่วมการต่อสู้ ซึ่งจูเฟิงหยิงที่รับรู้ถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้เช่นกันก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เขาไม่เคยคิดเลยว่าสภาสิบแปดปีกจะมีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งมากมายขนาดนี้ นอกเหนือจากเสวี่ยเหวิน
โหรวกับอควาโรสแล้ว ในปัจจุบันผู้เล่นขั้นห้าคนอื่นๆของสภาสิบแปดปีกนั้นก็มีพลังมากพอๆกับผู้เล่นขั้นห้าทั้งเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์รวมกันเลย
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่จูเฟิงหยิงกำลังจะออกคำสั่งให้ทุกล่าถอยนั้น รอยแยกมิติก็ได้ปรากฎขึ้นในระยะที่ไม่ห่างจากเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์มากนัก และหลังจากนั้นมันก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนที่มีลวดลายศักสิทธิ์สีม่วงเข้มบนใบหน้าเดินออกมาจากรอยแยกมิตินี้ ขณะเดียวกันชายหนุ่มผู้นี้ก็มีเทพีตกสวรรค์ขั้นสูงติดตามเขามาด้วย โดยเทพีผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซี่หลู่เอ๋อ และด้วยการมาถึงของทั้งสองคนนี้ทั่วทั้งเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์นั้นก็เงียบลงไปทันที และแม้แต่พวกขั้นห้าที่ต่อสู้กันอยู่บนท้องฟ้าก็หยุดชะงักไป ซึ่งมันเป็นเพราะการปรากฎตัวของชายหนุ่มผู้นี้นั้นน่ากลัวมากๆ
การปรากฎตัวของชายหนุ่มผู้นี้คล้ายกับแสงอาทิตย์ในเวลาเที่ยงวัน ออร่าที่เขาเปล่งออกมาในขณะที่เขายืนอยู่นั้นได้สร้างแรงกดดันให้กับทุกคนอย่างหนัก ซึ่งแม้แต่ NPC ขั้นห้าบางคนก็ยังทนไม่ได้เลย
“ขยะเยอะจริงๆ !!! นี่คุณยังจัดการกับมดพวกนี้ไม่เสร็จอีกงั้นหรอ ?!!” ชายหนุ่มนักวิชาการกล่าวออกมาด้วยความโกรธ ขณะที่เขามองไปยังผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพจากโลกอื่น
“ท่านลอร์ด บุคคลผู้ที่ได้รับพรจากสวรรค์เหล่านี้แข็งแกร่งกว่าที่เราคาดการณ์ไว้มาก และแม้แต่จอมเขมือบโลกก็ยังไม่สามารถจะทำอะไรกับพวกเขาได้มากนักในเวลานี้ …” เฟร็ด ไทน์ ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพจากโลกอื่นในคราวนี้ และหนึ่งในเจ็ดอัศวินจอกศักสิทธิ์กล่าวอย่างยำเกรง เมื่อเขามองไปยังชายหนุ่ม
“หื้ม ?” เมื่อได้รับรายงานจากเฟร็ด ไทน์ ชายหนุ่มก็มองไปยังอควาโรส กับเสวี่ยเหวินโหรว กับเสวี่ยเหวินโหรวที่กำลังรับมือกับจอมเขมือบโลกอยู่ด้วยความประหลาดใจ “ผู้สืบทอด ? ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาสามารถรับมือกับจอมเขมือบโลกได้ อย่างไรก็ตามพวกเขายังคงอ่อนแอไปอยู่ดีเมื่อเทียบกับฉัน !!!”
หลังจากพูดจบชายหนุ่มนักวิชาการก็ชี้นิ้วไปที่เสวี่ยเหวินโหรว และอควาโรส ซึ่งมันก็ได้มีวงเวทย์ที่ซับซ้อน และซ้อนทับกันห้าวงปรากฎขึ้นที่ปลายนิ้วของเขา
และในทันทีทุกคนในสนามรบก็รู้สึกเหมือนกับเวลาหยุดนิ่ง โดยสำหรับผู้เล่นขั้นสามนั้นแม้แต่ความคิดของพวกเขาก็หยุดนิ่งไปเลย
คำสาปขั้นหก หัตถ์แห่งความตาย !!!
ช่วงเวลาต่อมากรงเล็บขนาดใหญ่ก็ได้ปรากฎขึ้นเหนืออควาโรส และเสวี่ยเหวินโหรว โดยกรงเล็บนี้มันก็มีขนาดใหญ่พอๆกับกรงเล็บของจอมเขมือบโลกเลย โดยมันได้กวาดผ่านท้องฟ้าเข้าโจมตีหญิงสาวทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว
“มันจบแล้ว !!!”
“มันมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวแบบนี้อยู่ในโลกนี้ได้ยังไง ?!!”
เมื่อซิคทีนคลาวด์ อันยีลดิ้งฮาร์ท และผู้เล่นขั้นห้าคนอื่นๆเห็นกรงเล็บขนาดมหึมาจากระยะไกล ความสิ้นหวังก็ได้เข้าท่วมท้นจิตใจของพวกเขา ชายหนุ่มนักวิชาการผู้นี้ไม่เพียงแต่จะชะลอเวลาในสนามรบทั้งหมด แต่เขายังใช้คำสาปขั้นหกโจมตีออกมาพร้อมกันด้วย ซึ่งการโจมตีนี้ของเขานั้นจะสามารถกวาดล้างเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์ทั้งเมืองได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่แค่เฉพาะเสวี่ยเหวินโหรว กับอควาโรส …. อย่างไรก็ตามเมื่อกรงเล็บขนาดมหึมานี้อยู่ห่างจากเสวี่ยเหวินโหรว และอควาโรสเพียงไม่กี่หลา แสงดาบบางอย่างก็พุ่งออกมาจากเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์ และเข้าปะทะกับกรงเล็บ
ตู้ม !!
พร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังขึ้น พันธนาการเวลาทั้งหมดในสนามรบก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในขณะเดียวกันพื้นที่เหนืออควาโรส และเสวี่ยเหวินโหรวนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า
“การโจมตีถูกป้องกันไว้ได้ ?”
“อะไรแบบนั้นมันสามารถป้องกันได้ด้วยงั้นหรอ ? ใครเป็นคนทำกัน ?” ทุกคนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า จากนั้นพวกเขาก็หันไปหาต้นกำเนิดของแสงดาบโดยอัตโนมัติ
ช่วงเวลาต่อมาสิ่งที่ปรากฎสู่สายตาทุกคนนั้นก็คือชายในชุดเสื้อคลุมสีดำที่กำลังถือดาบยาวสีทองได้บินออกมาจากห้องเทเลพอร์ตของเมืองมิลเลี่ยนฟอเร้สต์ ซึ่งนี่มันก็ทำให้ทุกคนอ้าปากค้างอย่างไม่ตั้งใจ
“ขั้นหก ?”
“เขาเลื่อนขั้นเป็นขั้นหกแล้วงั้นหรอ ?”
ทุกคนในปัจจุบันต่างคุ้นเคยกับชายในชุดเสื้อคลุมสีดำเป็นอย่างดี นี่เป็นเพราะเขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแบล๊คเฟรม หัวหน้ากิลสภาสิบแปดปีก อย่างไรก็ตามออร่าที่ซือเฟิงแผ่ออกมานั้นมันเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกผู้เล่นที่เคยไปสำรวจซากปรักหักพังโบราณของเหล่าทวยเทพ ออร่าที่พวกเขาสัมผัสได้จากซือเฟิงนั้นมันเหมือนกับในซากปรักหักพังโบราณพวกนี้เลย เพียงแต่ว่าออร่าของซือเฟิงนั้นดูเหมือนจะมีพลังมากกว่าหลายร้อยเท่า
แน่นอนเลยว่านี่มันคือ Divine Might!
“หัวหน้ากิล คุณทำสำเร็จแล้วงั้นหรอ ?!!” ฟางฉีหานถามขณะที่เธอมองไปยังซือเฟิงที่พึ่งมาถึงตรงหน้าเธอ แม้ว่า Divine Might ของซือเฟิงนั้นมันจะพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าซือเฟิงได้มาถึงขั้นหกแล้ว แต่ฟางฉีหานก็ยังอดไม่ได้ที่จะอยากได้ยินคำยืนยัน
ขั้นหก !!
นี่คือจุดสูงสุดที่แท้จริงของ God domain !!!
“อืม ฉันทำสำเร็จแล้ว …” ซือเฟิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
จริงๆแล้วเขาอยากจะบอกด้วยว่าเขาไม่ได้แค่เลื่อนขั้นเป็นขั้นหกด้วยร่างเทพทั่วไป แต่เขาเลื่อนขั้นเป็นขั้นหกด้วยร่างเทพขั้นสูง ซึ่งความแตกต่างระหว่างทั้งสองนั้นมันก็คล้ายกับความแตกต่างระหว่างมอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย กับมอนสเตอร์ระดับผู้อาวุโสเทพนิยาย ทั้งสองนั้นอยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
และเมื่อได้ยินคำตอบของซือเฟิงนั้น เหล่าสมาชิกของสภาสิบแปดปีกก็เต็มไปด้วยความสุขอย่างถึงที่สุด เพราะเมื่อซือเฟิงมาถึงขั้นหกแล้วนั้น NPC และผู้เล่นจากโลกอื่นก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นนับจากนี้สภาสิบแปดปีกก็จะกลายเป็นกิลอันดับหนึ่งแห่ง God domain แบบไร้ข้อครหาแล้ว
ในส่วนของผู้เล่นจากโลกอื่น พวกเขาตกตะลึงกับเรื่องนี้มากๆ
เพราะท้ายที่สุดแล้วตอนนี้นั้นมหาอำนาจต่างๆจากโลกอื่นล้วนพยายามกันอย่างหนักเพื่อที่จะให้เหล่าผู้มีพรสวรรค์ในกิลของพวกเขาเลื่อนขั้นไปเป็นขั้นห้า และการจะมีสมาชิกคนใดคนหนึ่งในกิลที่ไปถึงขั้นหกได้ในระยะนี้ของเกมนั้น เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคิดฝันเลย เนื่องจากพวกเขาไม่มีข้อมูลใดๆเลยว่าผู้เล่นจะไปถึงขั้นหกได้อย่างไร
“คุณมาถึงขั้นหกแล้วยังไงละ ? คุณก็ไม่ได้เป็นอะไรอื่นมากไปกว่ามดอีกตัวบนโลกใบนี้หรอก !!! คุณคิดว่าคุณจะสามารถต่อกรกับฉันได้จริงๆงั้นหรอ ?” ชายหนุ่มนักวิชาการกล่าวอย่างดูถูกในขณะที่เขาชี้คทาสีทองของตัวเองไปยังซือเฟิง
ทันใดนั้นทั่วทั้งบริเวณก็เงียบลงไปอีกครั้ง ในตอนที่ชายหนุ่มนักวิชาการเปิดการโจมตีครั้งก่อนนั้น ผู้เล่นขั้นสี่ในปัจจุบันยังคงพอจะมีสติอยู่บ้าง แต่ตอนนี้แม้แต่ผู้เล่นขั้นห้าก็ยังพบว่าสมองของพวกเขาหยุดนิ่งไปอย่างเห็นได้ชัด และมันก็เห็นได้ชัดเลยว่าเวลาในสนามรบในครั้งนี้ถูกทำให้ช้าลงไปอีกมาก
ช่วงเวลาต่อมาโซ่สีม่วงเข้มที่ถูกสลักด้วยรูนเทพก็โผล่ออกมาจากท้องฟ้า และผืนดิน ซึ่งเมื่อได้เห็นโซ่เหล่านี้ แม้แต่จอมเขมือบโลกก็ยังอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นด้วยความกลัว
หลังจากโซ่เหล่านี้ปรากฎขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ พวกมันก็ได้พุ่งเข้าหาซือเฟิงจากทุกทิศทาง
เมื่อพวกขั้นห้าสัมผัสได้ถึงออร่าของโซ่สีม่วงนี้ความกลัวก็ได้เข้าครอบงำพวกเขาแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และแม้แต่วิญญาณของพวกเขาก็เตือนโดยสัญชาตญาณว่าอย่าแตะโซ่เหล่านี้เด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
นี่คือโซ่แห่งกฎในตำนานงั้นหรอ ? ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเขาได้เห็นโซ่สีม่วง
มรดกของเทพโบราณที่เขาได้รับมานั้นมีข้อมูลเกี่ยวกับโซ่แห่งกฎอยู่เช่นกัน โดยข้อมูลระบุว่าโซ่เหล่านี้นั้นมีพลังเหนือกว่าขั้นสูงสุดของขั้นหกซะอีก และแม้แต่เทพขั้นหกก็ยังยากจะเคลื่อนไหวได้เมื่อถูกพันธนาการด้วยโซ่เหล่านี้ เว้นแต่ว่าความแข็งแกร่งของเทพขั้นหกผู้นั้นจะเกินมาตราฐานขั้นสูงสุดของขั้นหกไปแล้ว ไม่งั้นยังไงพวกเขาก็จะตายไปพร้อมกับโซ่นี้แน่นอนหากถูกพันธนาการ …. ซึ่งเมื่อเป็นดังนี้นั้นซือเฟิงก็ได้ตัดสินใจจะใช้ดาบโซโลมอน ประสานกับดาบแสงแห่งสองโลก
วงโคจรดาบ !!!
ซือเฟิงนั้นสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยที่เขาไม่ได้รับผลกระทบจากการหน่วงเวลาในสนามรบเลย โดยแสงดาวที่เปล่งประกายก็ได้ก่อตัวขึ้นรอบตัวเขา ซึ่งแสงดาวพวกนี้ก็ได้ช่วยทำลายโซ่ทั้งหมดที่กำลังพุ่งเข้ามาใกล้ซือเฟิงทันที พร้อมกันนั้นแสงดาวรอบๆซือเฟิงก็ได้พุ่งต่อไปทำลายการหน่วงเวลาในสนามรบลงไปทั้งหมด
“เป็นไปไม่ได้ !!!”
สีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและสับสนปรากฎขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มนักวิชาการ เมื่อเขาได้เห็นซือเฟิงโผล่ออกมาโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของเขาเลย
นั่นคือโซ่แห่งกฎเลยนะ !!! แม้แต่เทพขั้นหกที่แท้จริงส่วนใหญ่ก็ยังจะต้องหนีเมื่อเชิญหน้ากับโซ่เหล่านี้ เพราะพวกเขาจะตายแน่นอนหากพวกเขาถูกโซ่เหล่านี้พันธนาการได้
กระนั้นซือเฟิงกับรับมือกับโซ่ทั้งหมดได้ด้วยเทคนิคดาบง่ายๆ !!!
และสิ่งที่ชายหนุ่มนักวิชาการพบว่ามันไม่น่าเชื่อที่สุดก็คือเทคนิคหน่วงเวลาของเขานั้นใช้ไม่ได้ผลกับซือเฟิง …
“คุณคิดว่ามันแปลกงั้นหรอ ?” ซือเฟิงหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของชายหนุ่มนักวิชาการ “คุณคิดว่าคุณซึ่งเป็นพวกเทพโบราณ เป็นแค่กลุ่มเดียวที่จะมีร่างเทพขั้นสูงได้งั้นหรอ ?”
ร่างเทพขั้นสูงนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นปัจจัยหลักที่อยู่เบื้องหลังพลัง และความสำเร็จของเทพโบราณ ซึ่งมันก็เป็นเพราะว่ามีเพียงแต่ร่างเทพขั้นสูงเท่านั้นที่จะสามารถใช้พลังของโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในขณะเดียวกันโซ่แห่งโลกมันก็เป็นวิธีการหนึ่งในการใช้พลังของโลก อย่างไรก็ตามในเมื่อซือเฟิงสามารถจะดูดซับพลังของโลกได้แบบสมบูรณ์เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงสามารถจะใช้ดาบของเขาหยุดโซ่นี้ไว้ได้อย่างง่ายดาย
ตอนที่ 2918.3
“คุณ … มีร่างเทพขั้นสูงงั้นหรอ ?!!”
ชายหนุ่มนักวิชาการรู้สึกตกตะลึงอย่างถึงที่สุด เมื่อเขาได้ยินคำพูดของซือเฟิง
ร่างเทพขั้นสูงนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่เทพโบราณก็ยังสร้างขึ้นมาได้ยากมากๆ แต่ตอนนี้ซือเฟิงซึ่งเป็นเพียงมดที่โง่เขลาในสายตาของชายหนุ่มนักวิชาการกับสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ หากชายหนุ่มนักวิชาการไปบอกเทพโบราณคนอื่นๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันก็จะไม่มีใครเชื่อเขาแน่นอน
“การอาละวาดของคุณจะต้องจบลงที่นี่ !!!” หลังจากพูดจบซือเฟิงก็ได้หายตัวไป และไปปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าชายหนุ่มนักวิชาการ โดยความเร็วในการเคลื่อนไหวของเขานั้นมันก็อยู่ในระดับที่น่ากลัวมากๆ จากนั้นเขาก็ได้เปิดใช้งานสกิลดาบสุดท้าย และแสงทลายโลกพร้อมกัน
โดยการโจมตีทั้งสองนี้ก็ได้เข้าหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งการโจมตีแบบนี้นั้นซือเฟิงก็ได้ฝึกฝนมันมาอย่างต่อเนื่อง และทำให้มันสมบูรณ์แบบจนได้ในช่วงเดือนที่ผ่านมา
นอกเหนือจากการหลอมรวมสกิลทั้งสองนี้ ซือเฟิงก็ยังได้ฝึกจนเขาสามารถสร้างเทคนิคการต่อสู้ระดับเงิน ขั้นสูงขึ้นมาได้
ซอร์ดริปเปิ้ล !!!
ลำแสงที่สาดส่องไปทั่วท้องฟ้าได้ลบทุกอย่างตรงหน้าของซือเฟิงออกไป และเมื่อลำแสงจางลงไป มันก็ไม่มีใครเห็นชายหนุ่มนักวิชาการอีกแล้ว พร้อมกันนั้นซือเฟิงก็ได้รีบตรงเข้าไปเก็บสมบัติชั้นยอดสามจากเจ็ดชิ้นที่ดรอปมาจากชายหนุ่มนักวิชาการทันที
วินาทีต่อมาร่างโปร่งแสงร่างหนึ่งก็ปรากฎขึ้นจากความว่างเปล่า ซึ่งคนๆนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชายหนุ่มนักวิชาการ เพียงแต่ว่าในเวลานี้นั้นชายหนุ่มนักวิชาการไม่มีลวดลายศักสิทธิ์เหลือบนใบหน้าอีกต่อไป โดยในตอนนี้เมื่อมองไปยังชายหนุ่มผู้นี้เขาก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากชายหนุ่มทั่วไปแล้ว
“แม่ง !! แบบนี้อีกแล้ว !!! ทำไมมดที่หยิ่งผยองถึงจะต้องมาทำลายแผนการของฉันอยู่เสมอเลย !!!” ชายหนุ่มนักวิชาการกล่าว ขณะที่เขามองไปยังซือเฟิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเคือง อย่างไรก็ตามในไม่ช้าความโกรธนั้นก็เริ่มหายไป และเขาก็เริ่มหัวเราะออกมาแทน “แต่อย่าภูมิใจในตัวเองมากเกินไปล่ะ คุณไม่สามารถจะทำอะไรฉันได้หรอก แม้ว่าคุณจะมีร่างเทพขั้นสูงที่เหนือกว่าฉัน !!! วิญญาณของฉันมันเป็นนิรันดร์ และไม่สามารถจะทำลายได้ สิ่งที่คุณทำลายไปนั้นมันไม่มีอะไรเลยนอกจากเปลือกหุ้มวิญญาณของฉัน !!! ฉันสามารถจะสร้างเปลือกแบบนี้ขึ้นมาใหม่ได้โดยใช้เวลาไม่นาน ไม่ช้าก็เร็วฉันจะกลับมาทำให้พวกมดที่หยิ่งผยองแบบคุณหายไปจากโลกนี้ !!!”
หลังจากพูดจบนั้นเสียงหัวเราะของชายหนุ่มนักวิชาการก็ดังขึ้นเรื่อยๆ โดยอารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆไปพร้อมกัน ซึ่งคำพูดของชายหนุ่มนักวิชาการนั้นมันก็ทำให้ทุกคนในสนามรบสั่นสะท้าน หากสัตว์ประหลาดอย่างชายหนุ่มนักวิชาการสามารถฟื้นคืนชีพได้แบบไม่มีที่สิ้นสุด มันก็จะนับเป็นฝันร้ายแน่นอนสำหรับพวกเขา
“ถูกต้อง คุณมีวิญญาณที่เป็นนิรันดร์ และแม้แต่เทพโบราณที่แท้จริงก็ไม่สามารถจะลบล้างการดำรงอยู่ของคุณได้ ….” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า จากนั้นเขาก็มองไปยังชายหนุ่มนักวิชาการพลางหัวเราะเบาๆ และพูดต่อว่า “อย่างไรก็ตามแม้ว่าวิญญาณของคุณจะเป็นนิรันดร์ และไม่สามารถทำลายได้ แต่ตอนนี้มันก็อ่อนแอลงไปมาก ฉันเดาว่าคุณคงจะต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว ใช่ไหมล่ะ ?”
หลังจากพูดจบซือเฟิงก็ได้หยิบสมบัติชั้นยอดทั้งเจ็ดออกมาจากกระเป๋าของเขา ซึ่งเมื่อพวกมันถูกรวบรวมได้ครบนั้น พวกมันก็สะท้อนซึ่งกันและกัน ก่อนจะฟื้นคืนสู่สถานะสูงสุดทันที ….
“คุณ !!!”
การแสดงออกของชายหนุ่มนักวิชาการเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเขาได้เห็นสมบัติชั้นยอดทั้งเจ็ด และเขาก็ได้หันหลังกลับ พร้อมกับพยายามจะหนีเข้ารอยแยกมิติไป อย่างไรก็ตามซือเฟิงไม่ได้ให้โอกาสชายหนุ่มนักวิชาการในการทำเช่นนั้น เขาได้จัดการเปิดใช้งานโซลออบที่ได้รับการซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยแล้วทันที
“กลืนกิน !!!”
โซลออบได้เริ่มดูดซับวิญญาณของชายหนุ่มนักวิชาการ และทำให้มันอ่อนแอลงเรื่อยๆทันที ซึ่งหลังจากสถานการณ์นี้ดำเนินไปเป็นเวลาสี่นาที วิญญาณของชายหนุ่มนักวิชาการก็หายไป และโซลออบก็ได้สร้างคริสตัลวิญญาณเก้าสีออกมา
ระบบ : ยินดีด้วย !! คุณได้ทำเควส “การตื่นขึ้นของเทพโบราณ” เสร็จสิ้น รางวัล : คริสตัลวิญญาณเทพโบราณ และเลเวลของอำนาจโลกเพิ่มขึ้นสองเลเวล
“คริสตัลวิญญาณเทพโบราณ ?” หลังจากสังเกตคริสตัลวิญญาณเก้าสี้นี้อยู่ชั่วครู่ ซือเฟิงก็ได้โยนมันเข้าปาก และกลืนมันลงไปทันที เขาต้องการจะดูว่าคริสตัลวิญญาณเทพโบราณนั้นมีผลอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นการทำแบบนี้ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้ชายหนุ่มนักวิชาการสามารถฟื้นคืนพลังของตัวเองได้ โซลออบอาจดูดซับวิญญาณของชายหนุ่มนักวิชาการเข้าไป และทำให้ดูเหมือนเขาตายแล้ว แต่นั่นมันก็ไม่เป็นความจริงเลย เพราะในเวลาต่อมาวิญญาณบางส่วนที่หลงเหลือในโซลออบของชายหนุ่มนักวิชาการก็ได้พยายามจะฟื้นฟูตัวเองขึ้นมา ซึ่งนั่นมันก็นับเป็นส่วนที่น่าทึ่งของเทพโบราณ
ทันทีที่ซือเฟิงกลืนคริสตัลวิญญาณเทพโบราณเข้าไป เขาก็รู้สึกเสียวซ่าน และแสบร้อนในสมองของเขา ซึ่งนี่มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความรู้สึกตอนที่เขากลืนคริสตัลวิญญาณที่ทำจากวิญญาณของการูด้าที่เป็นเทพีตกสวรรค์ขั้นสูงเข้าไป
หลังจากความรู้สึกเหล่านี้ดำเนินไปอีกเป็นเวลาหลายนาทีมันก็ได้ค่อยๆจางหายไป … นี่คือ … พลังของขั้นสูงสุดของขั้นหกงั้นหรอ ? เมื่อซือเฟิงมองไปที่โลกรอบตัวเขา เขาก็พบว่ามันชัดเจน และสมจริงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่สิ !! แม้ว่าค่าความแข็งแกร่งทางจิตของฉันจะมาถึงที่จุดสูงสุดของขั้นหกแล้ว แต่มันก็ไม่ควรจะมีความเปลี่ยนแปลงที่มากขนาดนี้ !!! นี่ฉันพึ่งจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตได้งั้นหรอ ?!!
นอกเหนือจากการที่ตัวเขาทะลวงเข้าสู่ขอบเขตสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตได้นั้น ซือเฟิงก็ไม่สามารถคิดถึงคำอธิบายใดๆที่เหมาะสมได้แล้วสำหรับสถานการณ์นี้ ซึ่งนี่มันก็เป็นเพราะกระบวนการคิดในปัจจุบันของเขานั้นเร็วกว่าเดิมอย่างน้อยสิบเท่า นอกจากนี้เขายังสามารถทำการปรับเปลี่ยนมานาภายในคริสตัลเจ็ดลูมินาลี่ได้ราวกับมันเป็นเพียงผ้านุ่มๆด้วย
อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงนี้มากนัก เพราะเขายังมีศัตรูอีกมากมายตรงหน้าเขาที่เขาต้องจัดการ
“วิ่ง !!!”
“ทุกคนถอย !!!”
เมื่อเห็นว่าซือเฟิงสามารถจัดการกับชายหนุ่มนักวิชาการได้ กองทัพจากโลกอื่นทั้งหมดก็เริ่มถอยหนีออกจากสนามรบกันอย่างบ้าคลั่ง ในตอนนี้พวกเขาทั้งหมดไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการวิ่งกลับไปที่เส้นทางผ่านระหว่างโลก พวกเขารู้สึกว่าการที่พวกเขาได้กลับไปที่ God domain ของพวกเขาเท่านั้น มันจึงจะนับว่าปลอดภัยจากซือเฟิงอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตามซือเฟิงนั้นไม่มีความตั้งใจที่จะปล่อยให้คนเหล่านี้หลบหนีไปได้ และด้วยการกวัดแกว่งดาบเพียงไม่กี่ครั้ง เขาก็ได้ทำการสังหารหมู่กองทัพจากโลกอื่น พร้อมทั้งกวาดล้างป่าตรงหน้าเขาออกไปอย่างง่ายดาย ซึ่งทั้งหมดนี้มันก็ทำให้กองทัพจากโลกอื่นที่มีกันหลักร้อยล้านนั้นไม่หลงเหลือแม้แต่เศษขี้เถ้าอยู่ในสนามรบด้วยซ้ำ
บทสรุปของการต่อสู้ครั้งนี้นั้นได้สั่นสะเทือนไปทั่วทั้ง God domain และนี่มันก็ทำให้ NPC กับผู้เล่นจากโลกอื่นที่อยู่ในทวีปด้านตะวันออกทั้งหมดได้รีบถอยกลับไปยังบ้านเกิดของตัวเองทันทีเมื่อได้รับข่าวความสำเร็จของซือเฟิง ในตอนนี้ไม่มีใครกล้าที่จะดื้อรั้นอยู่ในทวีปด้านตะวันออกอีกต่อไป นอกจากนี้สภาสิบแปดปีกก็ได้กลายเป็นกิลอันดับหนึ่งแห่ง God domain แบบไร้ข้อครหาจากการต่อสู้ครั้งนี้ ซึ่งนี่มันก็ทำให้ผู้เล่นนับไม่ถ้วนนั้นพยายามที่จะเข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีก และเมืองกิลของสภาสิบแปดปีกหลายแห่งก็แออัดไปด้วยผู้เล่น
อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากนัก เขาเพียงแต่ส่งมอบเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้รองหัวหน้ากิลของเขา และหลังจากเขากลับไปส่งเควสเนื้อเรื่องหลักเกี่ยวกับสมบัติชั้นยอดทั้งเจ็ดเสร็จเรียบร้อย เขาก็ได้เลือกที่จะล๊อคเอ้าท์ออกจากเกม และเดินทางไปพบเซี่ยอู๋หยวน เพราะท้ายที่สุดตอนนี้เขาอยากรู้มากๆเกี่ยวกับเรื่องของฟีนิกซ์เรน และตอนนี้เขาก็ได้ปฎิบัติตามเงื่อนไขที่เซี่ยอู๋หยวนกล่าวมาทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงควรจะมีคุณสมบัติที่จะได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหลังจากที่เขากลืนคริสตัลวิญญาณเทพโบราณเข้าไป เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขามีคำถามมากมายเกี่ยวกับการค้นพบใหม่ๆเหล่านี้ และเขาก็คิดว่าเซี่ยอู๋หยวน กับฟีนิกซ์เรนน่าจะมีคำตอบให้เขา
ชั้นกลาง ลานฝึกของบริษัทกรีนก๊อด :
ลานฝึกของบริษัทกรีนก๊อดนั้นเป็นสถานที่ที่สงวนไว้สำหรับสมาชิกภายในของบริษัทกรีนก๊อดโดยเฉพาะ และนอกเหนือจากการที่มันมีที่อยู่อาศัยตั้งอยู่บริเวณนี้แล้ว มันก็ยังเป็นสำนักงานที่ทำหน้าที่ดูแลกิจการต่างๆในชั้นกลางด้วย
โดยมันก็มีผู้คนอยู่ไม่มากนักที่นี่ และแม้ว่าซือเฟิงจะเดินมาจนถึงหน้าที่พักของเซี่ยอู๋หยวนแล้ว แต่ซือเฟิงก็ได้พบกับผู้คนทั้งหมดที่ผ่านมาเพียงแค่ไม่กี่สิบคนเท่านั้น ซึ่งนี่มันก็ทำให้เขาสามารถบอกได้เลยว่าบริษัทกรีนก๊อดนั้นมีสมาชิกภายในไม่มากนัก
เมื่อซือเฟิงเดินเข้าไปในที่พักของเซี่ยอู๋หยวน เขาก็พบชายชรานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น และกำลังชงชาอยู่ นอกจากนี้มันยังมีถ้วยชาชงสดอยู่อีกด้านหนึ่งตรงข้ามกับเซี่ยอู๋หยวน ซึ่งมันราวกับว่าเขารู้ล่วงหน้าแล้วว่าซือเฟิงจะมาเยี่ยมเยียนเขา
เซี่ยอู๋หยวนชี้ไปที่โซฟาตรงข้ามกับตัวเองพลางมองไปยังซือเฟิง และพูดว่า “นั่งลงสิ”
“คุณรู้ว่าฉันจะมาหาคุณตอนนี้งั้นหรอ ?” ซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะถาม
“แน่นอน ฉันรู้ทุกสิ่งที่คุณทำใน God domain นั่นแหละ …” เซี่ยอู๋หยวนกล่าวพลางจิบชา ก่อนที่เขาจะยิ้ม และพูดต่อว่า “ฉันรู้ด้วยว่าคุณได้ผ่านเกณฑ์ของปรมาจารย์ทางจิตระดับสามดาวนานแล้ว และตอนนี้คุณก็ได้ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตสุดยอดปรมาจารย์ได้สำเร็จแล้ว …”
“คุณรู้ ?” ซือเฟิงเริ่มเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดทันที เมื่อเขาได้ยินคำตอบของเซี่ยอู๋หยวน “ดูเหมือนว่าบริษัทกรีนก๊อดจะเป็นผู้พัฒนาที่อยู่เบื้องหลัง God domain จริงๆ …”
“คุณพูดถูกแค่ครึ่งเดียว …” เซี่ยอู๋หยวนกล่าวพลางส่ายหัว
“คุณหมายความว่ายังไง ?” ซือเฟิงถาม
“บริษัทกรีนก๊อดนั้นไม่ได้เป็นผู้พัฒนา God domain เราเพียงแค่เปิดใช้งาน กับเรียกใช้มันเท่านั้น …” เซี่ยอู๋หยวนอธิบาย
“บริษัทกรีนก๊อดไม่ได้เป็นผู้พัฒนา God domain งั้นหรอ ?” ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับคำตอบนี้ จากสิ่งที่เขารู้นอกเหนือจากบริษัทกรีนก๊อดแล้ว มันก็ไม่หน้าจะมีบริษัทใดอีกที่มีเทคโนโลยีมากพอจะพัฒนา God domain ได้ “เป็นไปได้ยังไง ? มันจะมีบริษัทใดในโลกที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้ากว่าบริษัทกรีนก๊อดด้วยงั้นหรอ ?”
“คุณอยากจะพบกับเฟิงเฉียนหยู (ชื่อในโลกจริงของฟีนิกซ์เรน ย้ำไว้เผื่อใครลืม) ไม่ใช่หรอ ?” เซี่ยอู๋หยวนกล่าวขึ้นมาอย่างกระทันหัน
เมื่อได้ยินคำกล่าวของเซี่ยอู๋หยวนที่กล่าวถึงฟีนิกซ์เรนขึ้นมาอย่างกระทันหันนั้น ซือเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะสับสน อย่างไรก็ตามเขาก็ได้เลือกที่จะถามว่า “ฉันขอพบเธอตอนนี้ได้ไหม ?”
“แน่นอน ตอนนี้คุณมีคุณสมบัติแล้ว …”
เซี่ยอู๋หยวนกล่าวพลางดีดนิ้วของเขา และทันใดนั้นโฮโลแกรมของคนๆหนึ่งก็ปรากฎขึ้นข้างๆเขา ซึ่งคนๆนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฟีนิกซ์เรน
“ความเร็วในการพัฒนาของคุณนั้นมันสุดยอด และไม่น่าเชื่ออย่างถึงที่สุดเลยทีเดียว ….” ฟีนิกซ์เรนกล่าวด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เธอมองไปยังซือเฟิง “ถ้าไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสเซี่ยคอยอัพเดทข้อมูลให้ฉัน ฉันคงไม่อาจจะทำใจเชื่อได้เลยว่าคุณได้เติบโตมาถึงขั้นนี้แล้ว”
“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ?” ซือเฟิงถามเข้าประเด็นโดยตรง ตอนนี้เขาอยากรู้มากเกี่ยวกับการปรากฎตัวขึ้นมาอย่างกระทันหันของฟีนิกซ์เรน ในการพบกันครั้งก่อน เธอพูดราวกับว่าเธอรู้มานานแล้วว่าชายหนุ่มนักวิชาการจะก่อปัญหาใหญ่ใน God domain และด้วยเหตุนี้เธอจึงได้เตือนเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นแน่นอนว่าตอนนี้ความเข้าใจใน God domain ของเธอนั้นมันเหนือกว่าเขาอย่างมากทีเดียว และการที่บริษัทกรีนก๊อดปฎิเสธที่จะให้คนหลายคนพบกับฟีนิกซ์เรนนั้นมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาสงสัยเช่นกัน
“ดูเหมือนว่าคุณจะเดาได้แล้วว่าฉันไม่ได้อยู่ในโลกที่คุณอาศัยอยู่ ….” ฟีนิกซ์เรน
กล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส “ซึ่งการคาดเดาของคุณนั้นมันก็ถูกต้อง เพราะตอนนี้ฉันไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกที่คุณอยู่ หรือโลก God domain เดิม ซึ่งมันก็คือโลกที่อยู่เหนือกว่า God domain หรือถ้าจะให้พูดให้ถูกคือฉันอาศัยอยู่ใน God domain ที่แท้จริง”
“คุณไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกแห่งความจริง และใน God domain เดิม แต่อาศัยอยู่ใน God domain ที่แท้จริงงั้นหรอ ? คุณหมายถึงอะไรกัน ? จิตวิญญาณของคุณกลายเป็นดิจิทัลงั้นหรอ ?” ซือเฟิงรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก
เมื่อมองไปที่การแสดงออกที่สับสน และตกตะลึงของซือเฟิงนั้นฟีนิกซ์เรนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ และพูดว่า “จิตวิญญาณของฉันไม่ได้กลายเป็นดิจิทัล แต่ตอนนี้จิตวิญญาณของฉันอยู่ในโลกสามมิติพิเศษ God domain ที่คุณเล่นมาตลอดเวลานั้นมันก็เป็นโลกสามมิติอีกแห่งหนึ่งเช่นกัน และด้วยความบังเอิญอย่างถึงที่สุด ฉันถึงได้มาจบลงที่การถูกส่งเข้ามาในโลกสามมิติที่สูงกว่าโลก God domain เดิมหรือคุณจะเรียกมันว่าโลกสามมิติหลักก็ได้ถ้าคุณต้องการ ในทางกลับกัน God domain ที่คุณเล่นอยู่นั้นเป็นเพียงหนึ่งในโลกย่อยนับไม่ถ้วนของโลกสามมิติหลักนี้”
“โลกสามมิติหลัก ? God domain ที่ฉันเล่นอยู่เป็นเพียงหนึ่งในโลกย่อยของโลกสามมิติหลัก ?” ในตอนนี้ซือเฟิงรู้สึกว่าสมองของเขานั้นแทบจะประมวลผลไม่ทันเลยทีเดียวกับข้อมูลที่ฟีนิกซ์เรนให้มา แม้ว่าปรากฎการณ์ต่างๆใน God domain ที่เขาเล่นอยู่จะสามารถใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าโลกของ God domain ที่เขาเล่นอยู่นั้นไม่ใช่โลกเสมือนจริงธรรมดา แต่การที่มันถูกเรียกว่าเป็นโลกสามมิติย่อยนั้นก็ทำให้เขารู้สึกสับสนมากๆ แล้วมันก็จะต้องใช้เทคโนโลยีแบบไหนกันที่จะให้ใครสักคนเชื่อมต่อกับโลกสามมิติหลัก หรือโลกสามมิติใบอื่นๆ
“สิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นความจริง โลก God domain ที่คุณกำลังเล่นอยู่นั้นเป็นโลกสามมิติ อย่างไรก็ตามโลกสามมิตินี้มันก็มีความพิเศษมากๆ และบุคคลภายนอกก็สามารถเข้ามาได้ทางจิตใจเท่านั้น” เซี่ยอู๋หยวนอธิบายด้วยรอยยิ้ม เมื่อเขาเห็นใบหน้าที่ยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยของซือเฟิง “อย่างไรก็ตามตอนนี้คุณได้กลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตแล้ว ดังนั้นคุณจึงมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรู้ความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัทกรีนก๊อด”
“ฉันเคยบอกคุณไปก่อนหน้านี้แล้วว่าผู้ก่อตั้งบริษัทกรีนก๊อดนั้นเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิต และเขาก็นับว่าเป็นมนุษย์คนแรกในโลกที่สามารถพัฒนาความแข็งแกร่งทางจิตของตัวเองไปถึงขอบเขตสุดยอดปรมาจารย์ได้ และหลังจากที่เขาไปถึงขอบเขตนี้ได้ เขาก็ได้ไปเปิดใช้งานอุปกรณ์อารยธรรมสี่มิติที่เขาค้นพบเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งอารยธรรมสี่มิตินี้นั้นก็อยู่เบื้องหลังอารยธรรมสามมิติทั้งหมด โดยอุปกรณ์นี้มันก็ช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าสู่โลกสามมิติพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นโดยอารยธรรมสี่มิติได้ ซึ่งโลกสามมิตินั้นมันก็คล้ายกับโลกแห่งเกมที่ทุกอย่างนั้นล้วนมีข้อมูล กับสถิติ และคนๆหนึ่งก็สามารถจะเติบโตขึ้นในโลกนั้นได้ผ่านการฝึกฝน”
“นอกจากนี้อารยธรรมสี่มิติยังได้ทิ้งมรดกเทคโนโลยีทั้งหมดไว้ในโลกสามมิติพวกนี้ และพวกเขาก็ทำให้อารยธรรมสามมิติใดก็ตามที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมโลกก็ได้จะรับได้มรดกของเทคโนโลยีทั้งหมดที่พวกเขาทิ้งไว้ไป ….”
“ดังนั้นอารยธรรมสามมิติใดๆก็ตามที่ค้นพบโลกพิเศษนี้จึงจะพยายามแย่งชิงมันอย่างบ้าคลั่ง …. เพราะท้ายที่สุดแล้วด้วยเทคโนโลยีที่อารยธรรมสี่มิติเหลือไว้นั้น ไม่เพียงแต่มันจะทำให้พลเมืองของอารยธรรมนั้นๆได้รับอายุขัยที่แทบจะไม่มีที่สิ้นสุด แต่อารยธรรมสามมิติยังสามารถจะกลายเป็นผู้ปกครองอารยธรรมสามมิติอื่นๆได้ด้วย”
“อารยธรรมสี่มิติ ?” แม้ว่าซือเฟิงจะยังคงรู้สึกสงสัย หลังจากได้ฟังคำอธิบายของ
เซี่ยอู๋หยวน แต่ตอนนี้เขาก็เริ่มเปิดรับความเป็นไปได้เรื่อง God domain ที่แท้จริง และโลกสามมิติพิเศษแล้ว เพราะท้ายที่สุดมนุษย์ในโลกนั้นเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตสามมิติเท่านั้น และพวกเขาก็ไม่อาจจะหยั่งรู้ถึงความแข็งแกร่งของอารยธรรมสี่มิติได้เช่นเดียวกับที่สิ่งมีชีวิตสองมิติไม่สามารถจะเข้าใจสิ่งมีชีวิตสามมิติได้
“โลกของเรานั้นโชคดีมาก ไม่เพียงแต่โลกของเราจะสามารถสร้างสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตขึ้นมาได้ แต่เรายังค้นพบอุปกรณ์ที่อารยธรรมสี่มิตทิ้งไว้เบื้องหลังด้วย ดังนั้นโลกของเราจึงมีคุณสมบัติมากพอที่จะแข่งขันเพื่อแย่งชิงโลกสามมิติพิเศษ นอกจากนี้มันก็ยังเป็นเพราะโลกสามมิติพิเศษใบนี้นี่แหละที่ทำให้บริษัทกรีนก๊อดสามารถสร้างปาฎิหาริย์มาได้มากมายจนถึงตอนนี้” เซี่ยอู๋หยวนค่อยๆกล่าวอธิบาย…. “อย่างไรก็ตามพวกเราก็นับว่าอ่อนแอมากในตอนที่ไปเริ่มต้นที่โลกสามมิติพิเศษ และก็แทบจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย และในส่วนของอุปกรณ์ที่อารยธรรมสี่มิติทิ้งไว้นั้น มันก็มีเพียงแต่สุดยอดปรมาจารย์ทางจิตเท่านั้นที่จะสามารถใช้มันได้ และสุดปรมาจารย์ทางจิตหนึ่งคนนั้นก็จะสามารถนำผู้ติดตามของตัวเองเข้าสู่โลกพิเศษไปพร้อมกันด้วยได้หกสิบคน โดยที่ผู้ติดตามทั้งหมดจะต้องอยู่ในระดับครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ ดังนั้นกลุ่มคนของเราที่ก่อตั้งขึ้นในโลกสามมิติพิเศษนั้นจึงไม่ต่างจากกิลเล็กๆที่ไร้ความสำคัญใน God domain เลย”
“แต่มันก็โชคดีที่ผู้คนในโลกของเรานั้นพัฒนาขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง และจำนวนผู้ที่อยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้นเราจึงสามารถเข้าจัดการเข้าควบคุม และรักษาสิทธิ์โลก God domain ที่คุณเล่นอยู่เอาไว้ได้ และเนื่องจากมันเป็นเพียงแค่โลกย่อย เงื่อนไขในการเข้ามันจึงไม่เข้มงวดเท่าไหร่ โดยตราบเท่าที่ไม่มีใครเป็นทารก หรือเด็กเกินไปนั้น พวกเขาก็จะสามารถเข้าสู่โลกย่อยนี้ได้อย่างอิสระ”
“ซึ่งการพัฒนาความแข็งแกร่งทางจิตในโลกย่อยนี้มันก็ง่ายกว่าในโลกแห่งความจริงของเรามาก โดยผู้คนส่วนใหญ่ที่ได้เข้าไปพัฒนาในโลกย่อยแบบนี้นั้นจะไปได้ไกลถึงขอบเขตครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตเลยทีเดียว และมันก็มีคนแบบคุณบางส่วนที่สามารถไปถึงได้แม้แต่ขอบเขตสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตในโลกย่อย”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เซี่ยอู๋หยวนก็มองไปยังซือเฟิงด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้โลกนี้นั้นมีผู้เชี่ยวชาญระดับสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตเพิ่มมาอีกหนึ่งคนแล้ว ซึ่งนี่มันก็ไปช่วยเพิ่มโควต้าในการเข้าสู่โลกสามมิติพิเศษของพวกครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตด้วย โดยสิ่งนี้มันก็จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับโลกนี้อย่างมาก ….
“ดังนั้นนี่ก็คือสาเหตุที่โลก God domain อื่นๆพยายามจะรุกรานเราสินะ …. พวกเขาพยายามจะได้รับสิทในการปกครองโลกย่อยอื่นๆ ….” ในตอนนี้ซือเฟิงเริ่มเข้าใจหลายสิ่งแล้ว โลกย่อยของ God domain นั้นมันคล้ายกับสถานรับเลี้ยงเด็กสำหรับเลี้ยงดูผู้มาใหม่ ความแตกต่างระหว่างการมีกับไม่มีโลกย่อยแบบนี้ และการมีโลกย่อยหลายแห่ง กับโลกย่อยแห่งเดียวนั้นมันแตกต่างกันมากๆ
“การเข้าสู่โลกสามมิติหลักนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ขณะเดียวกัน ในส่วนของอารยธรรมสามมิติอื่นๆยิ่งควบคุมโลกย่อยได้มากเท่าไหร่ โอกาสในการสร้างผู้เล่นขั้นหก หรือครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตมันก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ในกรณีของเฟิงเฉียนหยู เธอสามารถเข้าสู่โลกสามมิติหลักได้เพราะความโชคดี แต่น่าเสียดายที่มันไม่ใช่ว่าคนจำนวนมากจะโชคดีขนาดนั้น” เซี่ยอู๋หยวนกล่าวพลางถอนหายใจออกมา “โอกาสที่เฟิงเฉียนหยูได้รับนั้นมันเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากๆ ซึ่งหากเธอล๊อคเอ้าท์ออกจากเกมเธอก็จะไม่มีโอกาสได้เข้าสู่โลกสามมิติหลักอีกต่อไป ดังนั้นเมื่อสังเกตเห็นถึงเรื่องนี้ เราจึงได้รีบย้ายร่างของเธอไปที่บริเวณแกนกลางของชั้นบนสุดของ Upper Zone ทันที”
“ซึ่งด้วยพลังของพื้นที่บริเวณนั้น มันจึงทำให้เธอไม่ต้องกังวลกับร่างกายของเธอ แม้ว่าเธอจะอยู่ในโลกสามมิติหลักเป็นเวลานานก็ตาม”
ซือเฟิงเข้าใจถึงสิ่งที่เซี่ยอู๋หยวนพยายามจะพูด เนื่องจากสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตสามารถนำผู้ติดตามระดับครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตเข้าสู่โลกสามมิติหลักไปกับตัวเองได้เพียงหกสิบคนเท่านั้น นักสู้ทุกคนที่ได้เข้าไปโลกนั้นจึงจัดว่ามีค่ามากๆ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับบริษัทกรีนก๊อดที่จะต้องการให้เฟิงเฉียนหยูเชื่อมต่อกับโลกสามมิติหลักต่อไป
“แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ทุกอย่างจะดีขึ้นอีกมากแน่นอน เพราะเมื่อคุณมาอยู่ที่นี่ เราก็จะมีช่วงเวลาที่ง่ายขึ้นมากในโลกสามมิติหลัก” เซี่ยอู๋หยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้วว่าเฟิงเฉียนหยูจะเลือกล๊อคเอ้าท์กลับออกมาหรือไม่ …. เพราะคุณได้ทำให้โลกของเราได้รับช่องมาเพิ่มอีกหกสิบช่องแล้ว เมื่อข่าวการพัฒนาของคุณแพร่กระจายออกไป ไอ้พวกจิ้งจอกเฒ่าใน Upper Zone ต่างๆจะต้องพยายามขอซื้อช่องจากคุณแน่นอน อย่างไรก็ตามคุณต้องไม่ขายช่องพวกนี้มั่วๆ ก่อนหน้านี้ไอ้พวกจิ้งจอกเฒ่านั่นได้ขโมยทรัพยากรจำนวนมากไปจาก Upper Zone ของเรา แต่ตอนนี้ Uppper Zone ของเราจะสามารถพึ่งพาคุณในการกู้คืนชื่อเสียงได้แล้ว !!!”
“และในตอนนี้หากคุณต้องการจะจัดการกับหวู่หมิง เพียงแค่คุณกล่าวออกมา คุณก็จะสามารถทำให้เขาถูกเนรเทศออกจาก Upper Zone ได้ทันที ฉันพนันได้เลยว่าพวกจิ้งจอกเฒ่าใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียนจะไม่กล้าพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่นอน”
ซือเฟิงพยักหน้าให้กับคำพูดของเซี่ยอู๋หยวน สำหรับเรื่องของหวู่หมิงตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องที่เขากังวลอีกต่อไป เพราะสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตอย่างเขานั้นมีความแข็งแกร่งมากกว่าปรมาจารย์ทางจิตระดับสามดาวหลายเท่า และเขาก็สามารถจะทำให้หวู่หมิงต้องทนทุกข์ทรมาณทั้งทางกาย และทางจิตได้ง่ายมากๆ
หลังจากนั้นในอีกไม่กี่วันต่อมา ทุกอย่างมันก็เป็นไปตามที่เซี่ยอู๋หยวนกล่าวจริงๆ เพราะผู้จัดการทั่วไปของ Upper Zone ต่างๆจากทั่วโลกได้เข้ามาที่เมืองหยวนเทียนเพื่อต้องการจะขอซื้อช่องในการเข้าสู่โลกสามมิติหลักจากซือเฟิง ยิ่งไปกว่านั้นโดยที่ซือเฟิงยังไม่ทันได้พูดอะไร พวกระดับสูงใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียนก็ได้ริเริ่มที่จะจัดการกักขัง และขับไล่หวู่หมิง
อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ไม่ได้ขายช่องเข้าสู่โลกสามมิติหลักแบบมั่วๆ เพราะท้ายที่สุดเขาได้รู้ถึงความสำคัญของโลกสามมิติหลัก (โลก God domain ที่แท้จริง) แล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องการให้ให้สมาชิกของสภาสิบแปดปีกได้รับช่องพวกนี้ไปให้มากที่สุด โดยในท้ายที่สุดซือเฟิงก็เลือกจะขายช่องพวกนี้เพียงสิบช่องเท่านั้นให้แก่ Upper Zone สิบอันดับแรกของโลก ซึ่งการที่เขาตัดสินใจแบบนี้มันก็เป็นเพราะเขาต้องการจะเชื่อมสัมพันธ์กับ Upper Zone พวกนี้ เพื่อเตรียมการที่จะสร้าง Upper Zone ของตัวเอง Upper Zone ที่ตั้งอยู่ทั่วโลกนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่มันถูกสร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีของอารยธรรมสี่มิติ
อย่างไรก็ตามการจะสร้าง Upper Zone ขึ้นมาสักหนึ่งแห่งนั้นมันต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ซึ่ง Upper Zone สิบอันดับแรกของโลกพวกนี้ก็สามารถจะหามาให้เขาได้ และเมื่อเขามีทรัพยากรครบแล้ว ตราบใดที่เขาได้รับไอเทมเพิ่มเติมจากโลก God domain ที่แท้จริง เขาก็จะสามารถสร้าง Upper Zone ของตัวเองขึ้นมาได้ และเมื่อเขามี Upper Zone ของตัวเองแล้ว เขาก็จะไม่จำเป็นต้องปฎิบัติตามกฎของ Upper Zone อื่นๆอีกต่อไป เขาสามารถจะพาใครก็ได้ที่เขาต้องการเข้ามาสู่ Upper Zone ของเขา
หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปอีกสามเดือนอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ที่ซือเฟิงกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิต
ในช่วงสามเดือนนี้ซือเฟิงได้พาครอบครัวของเขา และสมาชิกแกนหลักของสภาสิบแปดปีกหลายคนเข้าสู่ Upper Zone ของเมืองหยวนเทียน และในส่วนของโลก God domain เดิม (โลกย่อย) เขาก็ได้มอบหมายให้กิลแย่งชิงทรัพยากร และผู้เล่นจำนวนมหาศาลมาให้ได้ แถมเขายังได้มอบหมายให้กิลเตรียมการบุกโลกอื่นเพื่อปล้น และยึดครองทรัพยากรที่นั่นด้วย
นอกจากนี้ต้องขอบคุณทรัพยากรของ Upper Zone และมรดกของเทพโบราณที่ทำให้ อควาโรส เสวี่ยเหวินโหรว ไวโอเล็ตคลาวด์ ไฟเออร์แดนซ์ โคลท์ชาโด้ว หยานเทียนซิง ไลฟ์เลสธอร์น และบลูฟอร์ส สามารถเลื่อนขั้นเป็นขั้นหกได้ ซึ่งความสำเร็จนี้มันก็หมายความว่าพวกเขาได้กลายเป็นครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตแล้ว และพวกเขาก็มีคุณสมบัติในการจะเข้าสู่โลก God domain ที่แท้จริงแล้ว
ภายในคฤหาสถ์หลังใหญ่ในบริเวณแกนกลางของชั้นบนสุดของ Upper Zone เมืองหยวนเทียน ….
หลังจากได้เห็นเสวี่ยเหวินโหรว และคนอื่นๆเข้าสู่ห้องเคบินพิเศษของพวกเขาแล้ว ซือเฟิงก็ได้เข้าไปในห้องเคบินพิเศษหลัก และเตรียมพร้อมตัวเองเพื่อเริ่มการเดินทางครั้งใหม่ “ล๊อคอิน !!!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น