Reincarnation Of The Strongest Sword God 2920-2921

 ตอนที่ 2920 ห้าผู้ยิ่งใหญ่


เซี่ยชิงหยางนั้นยังไม่ใช่ปรมาจารย์ทางจิตที่แท้จริง ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันทางจิตจำนวนมากที่พุ่งเป้ามาที่ซือเฟิง …. และนี่มันก็ทำให้เธอยังคงแนะนำทุกคนให้ซือเฟิงรู้จักต่อไปได้แบบไม่อึดอัด


คนที่มารวมตัวกันที่นี่ในวันนี้นั้นล้วนเป็นปรมาจารย์ทางจิตที่แท้จริงที่ได้รับการยอมรับจากบริษัทกรีนก๊อดในระดับสูงทั้งหมด ….


นอกเหนือจากนี้แล้วคนเหล่านี้ยังเป็นตัวแทนของห้าตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณที่ช่วยบริษัทกรีนก๊อดวางรากฐานทั้งหมดมาตั้งแต่ตอนเริ่มก่อตั้งด้วย และพวกเขาก็ยังเป็นห้าตระกูลที่ถือหุ้นอยู่มากที่สุดในบริษัทกรีนก๊อด โดยพวกเขานั้นเป็นที่รู้จักกันในฐานะห้าผู้ยิ่งใหญ่ และตระกูลของพวกเขาก็นับเป็นห้าตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก


ระหว่างที่เซี่ยชิงหยางทำการแนะนำทุกคนให้ซือเฟิงรู้จัก ซือเฟิงก็ค่อยๆพยักหน้าอย่างช้าๆและทำการประเมินไปในใจไปด้วย โดยเซี่ยชิงหยางเริ่มจากการแนะนำผู้จัดการชั้นพื้นฐานคนใหม่ของ Upper Zone เมืองหยวนเทียน และอดีตหัวหน้าผู้จัดการที่ปัจจุบันเป็นผู้จัดการชั้นบนสุดให้ซือเฟิงรู้จักก่อน


จากนั้นเธอก็เริ่มแนะนำให้ซือเฟิงรู้จักกับตัวแทนของตระกูลทั้งห้า โดยที่สามในห้านั้นอยู่ห่างจากการเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น และคนทั้งหมดนี้ก็ล้วนอาศัยอยู่ในชั้นบนสุดของ Upper Zone เมืองหยวนเทียน


หลิงกวง ผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลิง สัตว์ประหลาดเก่าแก่ในหมู่สัตว์ประหลาดเก่าแก่ และตัวแทนจากตระกูลหลิง ซึ่งเป็นตระกูลที่ว่ากันว่าสืบเชื้อสายมาจากหงส์ไฟ โดยตระกูลนี้นั้นมีศิลปะการต่อสู้ประจำตระกูลที่มุ่งเน้นไปที่การทำทุกอย่างแบบไม่เลือกวิธีการเพื่อให้ได้รับชัยชนะในการต่อสู้ เพราะพวกเขาถือว่า “ชัยชนะนั้นสำคัญที่สุด” ซึ่งมันเป็นสิ่งที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของพวกเขา


จื่อหมิง ผู้อาวุโสแห่งตระกูลจื่อ โดยเธอเป็นหญิงสาวที่ดูเหมือนจะอยู่ในวัยสาม

สิบกลางๆที่มีรูปร่างหน้าตาที่งดงาม และเย้ายวนมากๆ แต่อย่างไรก็ตามจากการคาดเดาของซือเฟิงคนๆนี้คงจะมีอายุอย่างน้อยสองร้อยปีแล้ว เพราะออร่าที่เธอแผ่ออกมานั้นมันไม่ใช่ออร่าที่คนวัยสามสิบกลางๆจะมีได้เลย ขณะเดียวกันเรื่องที่เธอยังสามารถรักษารูปลักษณ์แบบนี้ของตัวเองไว้ได้มันก็คงเป็นเพราะสินค้าชั้นเลิศต่างๆของบริษัทกรีนก๊อด บวกกับการที่เธอได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ชั้นบนสุดของ Upper Zone มาตลอดแน่นอน และสำหรับตระกูลจื่อนี้ตามตำนานบอกเล่ากันมาว่าพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากเต่าดำโบราณ ซึ่งศิลปะการต่อสู้ของพวกเขานั้นก็มุ่งเน้นไปที่การป้องกันเป็นหลัก และมันก็ยังมีข่าวลืออีกอย่างหนึ่งด้วยว่าจื่อหมิงนั้นไม่เคยผ่านมือชายใดมาก่อนเลย


ปิงเจี้ยง ผู้อาวุโสแห่งตระกูลเจี้ยง ตระกูลที่ว่ากันว่าได้รับพรจากเลือดเสือขาวโบราณ ชายผู้นี้เป็นอีกหนึ่งคนนอกเหนือจากหลิงกวง และจื่อหมิงที่อยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตแล้ว แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจในตัวชายคนนี้ก็คือ ชายคนนี้ดูมีรูปร่างที่เล็กมากๆ เมื่อเทียบกับสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนทั่วไป อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นแบบนี้ซือเฟิงก็ไม่ได้คิดจะประมาทชายผู้นี้เลย เพราะเขาดูแตกต่างมากๆ …. ซึ่งหากให้อธิบายแบบเห็นภาพก็คือเขาดูเหมือนกับเสือที่ซุ่มรอโอกาสโจมตีเหยื่ออยู่ตลอดเวลา


และเมื่อได้ฟังเรื่องราวศิลปะการต่อสู้ของตระกูลเจี้ยงนั้น ซือเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า และยอมรับว่ามันสมเหตุสมผล เพราะมันคือการลอบสังหาร และการโจมตีอย่างรวดเร็ว


หลังจากแนะนำทั้งสามคนนี้เรียบร้อย เซี่ยชิงหยางก็ชี้ไปที่ชายหนุ่มผมสีฟ้าที่ยืนพิงกำแพงอยู่ และกล่าวว่า “ส่วนนี่ก็เมิ่งจาง ผู้อาวุโสของตระกูลเมิ่ง ….”


“หื้ม !?”


“อะไรนะ !?”


“ผู้อาวุโส ?!”


“….”


ไม่เพียงแค่ซือเฟิงเท่านั้นที่รู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้ ทุกคนเองก็เช่นกัน ….


หนึ่งในตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณที่ลึกลับที่สุด ตระกูลเมิ่ง ตำนานกล่าวถึงสายเลือดอันทรงพลังของพวกเขาว่าได้รับการสืบเชื้อสายมาจากมังกรฟ้า


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นยังไงนั้นมันก็ไม่มีใครรู้ได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวของตระกูลพวกนี้มันลึกลับมากๆ


เมื่อผ่านไปชั่วครู่หนึ่งจนหลายคนเริ่มประเมินมวลผลเรื่องนี้กันได้แล้ว หลิงกวงก็เป็นคนแรกที่เริ่มตั้งคำถามกับเรื่องนี้ “ไอ้หนู จิ้งจอกเฒ่านั่นตายแล้วงั้นหรอ ? แล้วถ้าเป็นแบบนั้นทำไมคุณถึงไม่ส่งคำเชิญเรื่องงานศพมาให้ฉันล่ะ ? …. ฉันไม่เชื่อหรอกนะหากคุณจะบอกว่าเขาเต็มใจที่จะสละตำแหน่งของตัวเองให้คุณ ….”


เมื่อได้ยินดังนี้จื่อหมิง กับปิงเจี้ยงก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเมิ่งจางด้วยความอยากรู้อยากเห็น


อย่างไรก็ตามเมิ่งจาง ชายหนุ่มผมสีฟ้าไม่ได้ตอบใดๆ และเขาก็ยังคงยืนพิงกำแพงอยู่อย่างเงียบๆ ….


ซึ่งที่เมิ่งจางทำแบบนี้นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาไม่คิดว่าเขาจะได้ประโยชน์อะไรจากการตอบคำถามนี้ และพูดกันตามตรงถ้าไม่ใช่เพราะคำขอของบริษัทกรีนก๊อด เขาก็คงจะออกคำสั่งให้คนของเขากวาดล้างตระกูลพวกนี้ไปแล้ว ….


ตระกูลเมิ่งของเขานั้นทรงพลังกว่าที่หลายคนคิดมากๆ และในอดีตแม้แต่คนของราชวงศ์ก็ยังจะต้องตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัว เมื่อได้ยินชื่อตระกูลของเขา เพียงแต่ว่าหลังจากที่ตระกูลของเขามาทำงานร่วมกับบริษัทกรีนก๊อดนั้น ตระกูลของเขาก็ได้เลือกจะคงโปรไฟล์ที่ต่ำไว้ด้วยเหตุผลบางประการ


ด้วยสาเหตุนี้เองมันจึงทำให้ตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณอื่นๆเริ่มกล้าที่จะเหยียบหางตระกูลเมิ่งของเขา


สำหรับซือเฟิงเขาอดไม่ได้ที่จะหันไปหาเซี่ยอู๋หยวน และถามว่า “เซี่ยอู๋หยวน ไหนคุณบอกฉันว่าเรามีผู้ที่อยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตอยู่แค่สามคนเท่านั้นที่ Upper Zone ของเมืองหยวนเทียน ….”


เมื่อได้ยินคำถามนี้ของซือเฟิง เมิ่งจางที่แต่เดิมมีท่าทีเฉยเมยก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองยังซือเฟิง


เขาสังเกตเห็นว่าฉันอยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตงั้นหรอ ? ไม่สิ นั่นมันไม่น่าจะเป็นไปได้ … ฉันปกปิดทุกอย่างไว้อย่างดีนะ …. หรือบางทีเขาอาจจะโดนแรงกดดันทางจิตจากเหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆจนเบลอกัน ?


หรือว่าเขาจะยังไม่แน่ใจเลยลองหว่านหินถามทางกับฉัน ?

เซี่ยอู๋หยวนหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำถามของซือเฟิง “ที่ฉันบอกมันก็ถูกต้องตามนั้นนะ เพราะผู้อาวุโสหนุ่มแห่งตระกูลเมิ่งคนนี้ไม่ได้อาศัยอยู่ใน Upper Zone แต่เขาอาศัยอยู่ในคฤหาสถ์แห่งเดียวที่ถูกสร้างขึ้นบนยอดเขาของภูเขา Upper Zone …. ซึ่งที่แห่งนี้มันถูกเรียกกันว่า “จุดสุดยอด” แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต่อให้เขาอยู่ใน Upper Zone ทั้งฉัน และบริษัทกรีนก๊อดก็ไม่คิดจะบอกคุณหรอก หากคุณไม่ได้มีพลังที่มากพอ เพราะท้ายที่สุดแล้วข้อมูลเกี่ยวกับผู้เล่นในโลกหลักนั้นมันจัดเป็นความลับสูงสุด และนี่มันก็นับเป็นเหตุผลหลักเลยที่ทำให้เราไม่สามารถบอกอะไรกับน้องสาวของฟีนิกซ์เรนที่เป็นห่วงเธอได้ ….”


“เขาเป็นผู้เล่นในโลกหลักงั้นหรอ ?” ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้


ขณะเดียวกันเมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกมาผู้อาวุโสอีกสามคนจากสามตระกูลก็เปิดเผยสีหน้าไม่พอใจออกมา เพราะแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตเหมือนกัน แต่พวกเขากับไม่ได้รับการจัดสรรช่องให้แบบผู้อาวุโสหนุ่มแห่งตระกูลเมิ่งเลย


สำหรับเมิ่งจาง เขาเลือกจะตอบซือเฟิงด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก แต่เยาว์วัยว่า “และคุณก็คือสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตคนใหม่ใช่ไหม ?”


“ก็คงอย่างนั้นแหละ …” ซือเฟิงยักไหล่ตอบแบบไม่แยแส


เขาไม่เคยพบกับสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตคนอื่นมาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตอบได้แบบมั่นใจว่าเขาเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตแล้วหรือยัง แม้ว่าเขาจะได้รับการยืนยันจากบริษัทกรีนก๊อดมาแล้วก็ตาม ….


“คำตอบอะไรวะเนี่ย ?!!” หลิงกวงตะโกนขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ “สรุปคุณเป็นหรือไม่เป็นกันแน่ ?!!!”


“เซี่ยอู๋หยวน คุณเล่นอะไรกับเรา ? เราควรจะถูกเรียกตัวมาเพื่อพบกับสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตคนใหม่ แต่เด็กคนนี้กับไม่แน่ใจว่าเขาเป็นไหมเนี่ยนะ ?!!”


“ผู้อาวุโสหลิง ใจเย็นก่อนๆ … ฉันรับรองได้ ….” เซี่ยอู๋หยวนยังพูดไม่ทันจบเขาก็ถูกขัดขึ้น


“ใจเย็นๆ ? คุณรับรอง ? ฉันควรจะรู้สึกยังไงกับการรับรองของปรมาจารย์ทางจิตงั้นหรอ ? เอาไว้คุณกลายเป็นผู้ที่อยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตก่อนนะค่อยมาพูดอะไรแบบนี้ !!!”


แต่แล้วในระหว่างที่หลิงกวงกำลังโวยวายนั้น จื่อหมิงก็ได้กล่าวขึ้นมาว่า “เด็กคนนี้ทนรับแรงกดดันทางจิตจากพวกเราได้ค่อนข้างดีมากๆ … แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่จะพิสูจน์ว่าเขาเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตหรือปล่าวมันก็มีแต่การต้องสู้กันเท่านั้น …. ถ้าเขาสามารถรับมือกับครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตสองคนพร้อมกันได้ มันก็แปลว่าเขาเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตแน่นอน คุณเห็นด้วยไหมหลิงกวง ?”


เมื่อได้ยินคำพูดของจื่อหมิง หลิงกวงก็หัวเราะออกมาทันที “เหมือนคุณอ่านใจฉันได้เลยนะ !!! ฉันเห็นด้วยร้อยเปอเซ็นต์เลย !!! มาดูกันดีกว่าว่าสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตคนใหม่จะทรงพลังมากขนาดไหนกัน !!!”


“เดี๋ยวสิ พวกคุณไม่ควร …” เซี่ยชิงหยางกล่าวขัดจังหวะอย่างกังใจ “เขาพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากการใช้ร่างกาย และจิตใจไปอย่างหนักนะ ….”


“ไม่ต้องห่วงหรอกที่รัก …. นี่มันในระบบ Mind Space นะ แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่มันก็จะเป็นการได้รับบาดเจ็บแบบไม่ถาวรแน่นอน ….” จื่อหมิงโบกมืออย่างไม่สนใจคำพูดของเซี่ยชิงหยาง ก่อนที่เธอจะยิ้มด้วยรอยยิ้มสนุก และกล่าวออกมาว่า “แต่ความตายมันก็คงจะไม่รวดเร็วนักหรอกนะ !!!”


เหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆนั้นคุ้นเคยกับนิสัยของผู้อาวุโสหลิงกวงดี แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจมากๆที่ในตอนนี้ผู้อาวุโสจื่อหมิงตัดสินใจจะเข้าร่วมกับชายคนนี้ด้วย … แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพวกเขาก็ไม่ได้คิดจะขัดขวางใดๆ พร้อมกันนั้นพวกเขายังเปิดระบบป้องกันตัวเองในพื้นที่กันอย่างพร้อมเพรียงด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็อยากรู้เช่นกันว่าสรุปแล้วซือเฟิงนั้นเป็นสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตจริงๆรึปล่าว


ทุกคนที่อยู่ในระบบ Mind Space ของบริษัทกรีนก๊อดนั้นถูกตั้งค่าให้มีร่างมานาระดับดาร์คโกลขั้นสามเท่ากัน เพียงแต่ว่าจะไม่สามารถใช้สกิลได้เท่านั้น ดังนั้นการได้ต่อสู้กันที่นี่มันจึงจะช่วยประเมินความสามารถของแต่ละฝ่ายได้มากทีเดียว


หลิงกวงที่ใจร้อนนั้นได้พุ่งเข้าโจมตีซือเฟิงด้วยฝ่ามือของเขาทันที


เทคนิคมานา กรงเล็บฟีนิกซ์ !!!


แม้ว่าจะมีเพียงแค่ร่างมานาที่อยู่ในระดับดาร์คโกลขั้นสาม แต่การใช้เทคนิคมานามันก็เป็นสิ่งที่ง่ายมากๆ สำหรับเหล่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณเหล่านี้


ฝ่ามือของหลิงกวงถูกห่อหุ้มด้วยเพลิง และมันก็ดูเหมือนว่าอุณภูมิความร้อนนั้นกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆขณะที่เข้าใกล้ซือเฟิง


หื้ม ? นี่บริษัทกรีนก๊อดใส่มานาไว้ในระบบ Mind Space ด้วยงั้นหรอ ? ช่างฟุ่มเฟือยจริงๆ !!!


ดาบที่หนึ่ง ไลท์ชาโด้ว !!


เงาของดาบขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นข้างๆซือเฟิง


Void Steps !!


ด้วยจังหวะ และเวลาที่สมบูรณ์แบบ ซือเฟิงสามารถหลบการโจมตีได้ง่ายๆเลย ก่อนที่ร่างของเขาจะหายไป และไปปรากฎตัวขึ้นที่บริเวณจุดบอดของหลิงกวงเพื่อทำการโจมตีโต้ตอบ


แต่แทนที่ไลทชาโด้วของซือเฟิงจะโจมตีโดนเป้าหมาย มันกับปะทะเข้ากับกำแพงน้ำแข็งที่อยู่ๆก็ปรากฎขึ้นมา ….


ซึ่งนี่มันก็ทำให้ซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองคู่ต่อสู้ของเขาอีกคนอย่าง จื่อหมิง ด้วยความรู้สึกประหลาดใจ


“นี่เธอเจอจุดบอดภายในจุดบอดงั้นหรอ ? ช่างน่ากลัวซะจริงๆ !!!” ซือเฟิงพึมพำ “เธออยู่ในขอบเขตที่เหนือกว่าโดเมนขั้นสูงแล้วงั้นหรอ ?”


เมื่อคิดได้ดังนี้ซือเฟิงก็ได้รีบใช้งานวงโคจรดาบ พร้อมกับไลท์ชาโด้วเพื่อป้องกันตัวเองทันที อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงถูกโจมตีมานิดหน่อยอยู่ดีจากดาบเงาที่อยู่ๆก็โผล่ออกมา


ซึ่งการโจมตีจากดาบเงาที่เข้ามานี้ มันก็ไม่ใช่ของใครอื่นนอกจากปิงเจี้ยงที่ดูเหมือนจะรอโอกาสนี้มานานแล้ว ….


และ ณ ตอนนี้แม้ว่าวงโคจรดาบจะสามารถสร้างระยะห่างระหว่างซือเฟิงกับทั้งสามได้ แต่มันก็แทบจะไม่ได้ช่วยอะไรซือเฟิงเลย ….



 

 

 


ตอนที่ 2921 ปะทะครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจา...

 

เปลี่ยนนิดหน่อยนะ beyond domain realm expert จากขอบเขตโดเมนขั้นสูง เป็นขอบเขตเหนือโดเมน เหนือโดเมนขั้นสูง //ตอนที่ 2921 ปะทะครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิต


หากการต่อสู้อันยาวนาน80ปี ทำให้อควาโรสกับเสวี่ยเหวินโหรวเข้าสู่ขอบเขตเหนือโดเมนได้ เช่นนั้นแล้วเหล่าสัตว์ประหลาดเก่าแก่อายุสองถึงสามร้อยปีก็สามารถทำได้เช่นกัน อีกทั้งยังเป็นขอบเขตเหนือโดเมนขั้นสูงอีกด้วย

วิชาของเหล่าสัตว์ประหลาดล้วนเป็นวิชาต่อสู้พื้นฐานแทบทั้งหมด ซึ่งมีเป้าหมายเดียวกันคือการผ่านขอบเขตสวรรค์เพื่อเข้าสู่ขอบเขตที่แท้จริง ซือเฟิงจึงเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า แท้จริงแล้วพวกผู้อาวุโสตั้งใจเข้าสู่ขอบเขตสวรรค์หรือบังเอิญกันแน่

เทคนิคมานาของเหล่าสัตว์ประหลาดล้วนเต็มไปด้วยกฎต่างๆ โดยหลิงกวงใช้กฎแห่งอัคคี จื่อเมิ่งใช้กฎแห่งเหมันต์ และปิงเจี้ยงใช้กฎแห่งเงา หากพวกเขาเข้าใจกฎแห่งธาตุเหล่านี้อีกเพียงนิด ก็จะมีคุณสมบัติเข้าสู่การเป็นเทพขั้น6 แน่นอน!

ช่างเป็นสัตว์ประหลาดโดยแท้ ระหว่างการรุกรานจากโลกอื่นพวกเขาไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกัน?

โดยรวมแล้ว มาตรฐานการต่อสู้ของเหล่าผู้อาวุโสก็ไม่ถือว่าน่าแปลกใจนัก ตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณได้พัฒนาวิชาต่อสู้มาหลายรุ่นแล้ว ซึ่งพวกผู้เฒ่าเหล่านี้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด ก็ได้ขัดเกลาวิชาต่อสู้มานับร้อยปีแล้วเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ซือเฟิงจะเอาประสบการณ์ในก็อดโดเมนเพียง11ปีมาสู้ได้อย่างไรกันล่ะ? ซือเฟิงได้เปรียบตรงที่เขาเข้าสู่ขอบเขตที่แท้จริงและเข้าใจกฎแห่งการทำลายล้างอย่างถ่องแท้ แน่ล่ะ เขาสามารถเอาชนะเหล่าผู้อาวุโสได้อย่างง่ายดาย แค่ช่องว่างระหว่างสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตครึ่งก้าวกับเต็มก้าวก็นับว่ากว้างใหญ่มากแล้ว

เพียงชั่ววินาทีเดียวหลังจากวงโคจรดาบถูกใช้ออกไป หลิงกวงไม่ยอมให้ซือเฟิงได้มีเวลาตั้งตัว เขาตวัดแขนปรากฏเป็นมานาดาบเพลิงแผดเผากลางอากาศ

เทคนิคมานา – ปีกฟินิกซ์

ซือเฟิงยกแขนขึ้น รวบรวมมานาและสร้างดาบยาวสีดำภายใต้กฎแห่งการทำลายล้าง

ดาบที่สอง โฮลี่ดีวอร์

วัฏสงสารแห่งดาบ!


เทคนิคมานาทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน พลังมานาโดยรอบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนกลายเป็นคลื่นกระแทกพุ่งชนหน้าต่างทุกบานจนแตกละเอียด โฮลี่ดีวอร์ซึ่งอยู่ภายใต้กฎแห่งการทำลายล้างสามารถเอาชนะปีกฟินิกซ์ที่ไม่สมบูรณ์ได้อย่างง่ายดาย แต่มานาของดาบสังสารวัฏกลับพุ่งไปหาเทคนิคมานาของปิงเจี้ยง ผู้อยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง

ปิงเจี้ยงสามารถหลบการโจมตีนี้ได้อย่างง่ายดาย เพราะเขาเข้าสู่ขอบเขตเหนือโดเมนแล้ว แต่การโจมตีซือเฟิงไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่ากับการถ่วงเวลา หลังจากโจมตีปัดเบี่ยงออกไป ซือเฟิงถึงกับชะงักเมื่อพบว่าบนพื้นปกคลุมไปด้วยหิมะหนาหนัก และมีแท่งน้ำแข็งงอกออกมาบนพื้นและเพดาน โดยหวังผลในการจำกัดการเคลื่อนไหวของซือเฟิง จื่อหมิงแม่เฒ่าอายุสองร้อยปีผู้กำลังสวมใส่เนื้อหนังของสาวงามเยาว์วัย กลับแสยะยิ้มหัวเราะเยาะใส่เขาที่กำลังทำหน้าหงุดหงิดรำคาญใจ


หลิงกวงเองก็รวบรวมมานาอัคคีเป็นหอกและขว้างใส่ซือเฟิง ซึ่งกำลังหยุดชะงักเพราะหิมะกับแท่งน้ำแข็ง เทคนิคมานา- หอกฟินิกซ์! หอกของหลิงกวงพุ่งเป็นวิถีโค้งแล้วข้ามผ่านแท่งน้ำแข็ง จวนจะถึงซือเฟิงแล้ว

“เฮอะ!” ซือเฟิงพ่นลมหายใจอย่างรุนแรง

ดีไวน์เชนจ์

ดาบที่สอง โฮลี่ดีวอร์

ซือเฟิงได้พัฒนาดีไวน์เชนจ์ขึ้นมาเพื่อต่อต้านดีไวน์วิลของรูปปั้นโบราณในเมืองไลท์ฟอร์ก เทคนิคนี้เคยเป็นเทคนิคต่อสู้ระดับทองแดงขั้นสูง ทำให้เขาสามารถควบคุมกล้ามเนื้อทั้งหมดถึง15% แต่หากเป็นตอนนี้ ด้วยระดับสุดยอดปรมาจารย์ทางจิต เขาสามารถควบคุมกล้ามเนื้อได้ถึง30% ซึ่งอย่างน้อยก็ควรจัดเป็นเทคนิคต่อสู้ระดับเงิน มานาที่ถูกสร้างขึ้นใหม่รวมตัวกันภายใต้กฎแห่งการทำลายล้าง กลายเป็นเงาดาบยาวสีดำ อีกทั้งยังรวดเร็วกว่าหอกอัคคีที่กำลังมาถึงตัวซือเฟิงแล้ว

ไลท์นิ่งแฟลช!

ไลท์นิ่งแฟลชเป็นเทคนิคการต่อสู้เชิงรุกระดับทองแดงที่เขาได้รับมาจากโบราณสถานรูนศักดิ์สิทธิ์ของจักรวรรดิออร์ค เป็นเทคนิคต่อสู้ที่สลับซับซ้อนและต้องควบคุมร่างกายให้ดี หากใช้ร่างกายขั้น3ที่อ่อนแอ เทคนิคต่อสู้นี้ไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน ดังนั้นแล้วเทคนิคดีไวน์เชนจ์จึงนับเป็นการเตรียมพร้อมที่สำคัญมาก


ซือเฟิงตวัดดาบที่ปกคลุมด้วยความมืดออกไป ก่อเกิดเป็นคลื่นดาบสิบเจ็ดคลื่นตัดกับหอกเพลิงของหลิงกวง ดูแล้วช่างเป็นภาพที่งดงามเสียจริง


“หลิงกวง หลบไป!” จื่อหมิงตะโกนร้องเตือนอย่างตื่นตระหนก ดวงตาของหลิงกวงเบิกกว้าง พร้อมกับกลิ้งตัวไปด้านข้างอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่นิด ตามมาด้วยเศษอิฐ แท่งน้ำแข็ง กระจก และเฟอร์นิเจอร์ที่แตกกระจาย ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆไปทั่วทั้งห้อง ก่อเกิดเป็นเสียงดังจนหูแทบหนวก

หลิงกวงถึงกับตะลึงงันเมื่อหันกลับไปมองสิ่งที่เกิดขึ้น ห้องประชุมแถบหนึ่งถูกกลืนกินจนว่างเปล่า และเกิดรอยแยกขึ้นระหว่างหลิงกวงกับจื่อหมิง แม้แต่จื่อหมิงที่มีพลังป้องกันอย่างเบ็ดเสร็จสามารถสกัดกั้นการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้ ถึงจะน่าประหลาดใจที่เธอตะโกนบอกให้หลบการโจมตีนี้ แต่เพราะรู้จักเธอมานับร้อยปีแล้ว จึงทำให้เขาไม่สงสัยในการตัดสินใจของเธอสักนิดเลย

เทคนิคมานาของซือเฟิงสามารถเอาชนะหอกฟินิกซ์ได้ ซึ่งเป็นเทคนิคมานาที่ทรงพลังที่สุดที่หลิงกวงมีแล้ว ทั้งยังมีมานาหลงเหลือมากพอที่จะโจมตีหลิงกวงได้อีก

สวรรค์! ช่างเป็นการโจมตีที่ทรงพลังอะไรเยี่ยงนี้?

หลิงกวงมองไปยังจื่อหมิงที่ยืนอยู่อีกฟากของรอยแยก พิจารณาปฏิกิริยาของเธอ พบว่าดูไม่ตกใจสักเท่าใดนัก แต่เธอกลับขบกรามกัดฟันกรอด พร้อมกับปรายตามองซือเฟิงด้วยสีหน้าคับข้องระคนกระวนกระวายใจ

ทำไมกันล่ะ? หลิงกวงเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ


ส่วนซือเฟิงนั้น พบว่าปิงเจี้ยงกำลังร่อนมาพร้อมกับมีเงาดาบสีขาวสว่างวาบพุ่งเข้าหา ซือเฟิงตวัดดาบกลางอากาศเพียงหนึ่งครั้งเพื่อลากร่างนั้นลงกับพื้น ปรากฏหยาดโลหิตไหลรินบนคมดาบราวกับชำระล้างใบดาบให้สะอาดหมดจด

ตัวตนของครึ่งก้าวสุดยอดปรามาจารย์ทางจิตนับเป็นอะไร ไม่มีผู้ใดกล้าดูหมิ่นเหยียดหยามตัวตนนั้น แต่ซือเฟิงกลับไม่สะทกสะท้านไม่แยแสสิ่งใด ทั้งยังทำให้ฝ่ายตรงข้ามถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งตัว ราวกับการลงมือสังหารปิงเจี้ยงช่างง่ายดายดั่งบดขยี้หนอนแมลง

ทันใดนั้นจื่อหมิงก็เอ่ยปากว่า “เด็กน่าตายผู้นี้ถือว่ามีเทคนิคมานาที่แข็งแกร่งอยู่บ้าง”

“สำหรับคู่ต่อสู้อย่างมัน ฉันจะใช้กฎสนับสนุนแทน”

หลิงกวงชำเลืองมองไปยังจื่อหมิงพร้อมกับคิดในใจ หมายความว่าผู้อาวุโสแห่งสายเลือดเต่าดำซึ่งมีชื่อเสียงในด้านการป้องกัน ก็ยังไม่สามารถสกัดกั้นเทคนิคของซือเฟิงได้เลย แต่เธอกลับหยิ่งยโสเกินกว่าจะยอมรับความจริงข้อนี้ได้ แล้วตัวเขาที่เป็นผู้อาวุโสแห่งตระกูลหลิง ผู้สืบสายเลือดแห่งหงส์เพลิง ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านการโจมตีแต่ก็ไม่อาจเอาชนะซือเฟิงได้ เขาสามารถยอมรับความจริงนี้ได้ด้วยหรือไม่?

หลิงกวงพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความเกรี้ยวกราดเต็มไปด้วยไฟที่ลุกโชนขึ้นมา

เก้าย่างปีศาจ! ท่าเท้าของหลิงกวงทำให้เกิดภาพติดตากลายเป็นหลิงกวงเก้าร่าง นับเป็นเทคนิคต่อสู้ผสมกับเทคนิคมานา ที่ทำให้เกิดภาพติดตาซึ่งไม่อาจแยกออกได้เลยว่าร่างใดเป็นร่างจริง


ดาบที่หนึ่ง ไลท์ชาโดว์

วงโคจรดาบ

ปรากฏมานาล้อมรอบเงาดาบโปร่งแสงจนกลายเป็นกลุ่มดาวกาแล็กซี่ที่ตัดกับแสงอันสว่างไสวของดาบ


“หึ! มุกเดิมๆหรือไง?” หลิงกวงสูดลมหายใจเข้าพร้อมกับเกิดคำถามสงสัย แต่ทันใดนั้น ก็มีดาวลูกหนึ่งพุ่งเข้ามาหาเขา

อะไรนะ? นี่มันสามารถขว้างปาดาบเงาในลักษณะนี้ได้ด้วยหรือ?

“เหอะ ไม่มีผลกับฉันหรอก”

เก้าปีศาจ, หนึ่งสังหาร!

ดาวจากดาบของซือเฟิงกำลังกลืนกินร่างทั้งเก้าของหลิงกวง ทำให้แต่ละร่างที่เป็นภาพติดตาค่อยๆหายไปทีละร่าง จนเหลือร่างสุดท้าย ซึ่งเป็นร่างจริงของหลิงกวงพร้อมกับฝ่ามือที่พุ่งออกไป

ตะวันสีชาด!

ภาพที่ซือเฟิงเห็นกลับกลายเป็นแสงสว่างเจิดจ้า และรู้สึกได้ถึงสภาวะไร้น้ำหนัก

‘เทคนิคมานาภาพลวงตาอย่างนั้นหรือ’ ซือเฟิงขมวดคิ้วเกิดคำถามขึ้นมาในใจ ‘ไม่สิ นี่เป็นแสงสว่างจากมานาอัคคีชัดๆ แต่ทำไมถึงเกิดสภาวะไร้น้ำหนักได้?’ จากนั้นซือเฟิงก็ตัดสินใจปกป้องตัวเอง

ดีไวน์เชนจ์

ดาบที่สอง, โฮลี่ดีวอร์

วงโคจรดาบ!

เมื่อมานาอัคคีที่กำลังส่องสว่างอยู่ค่อยๆจางหายลงไป พร้อมกับสายตาที่กลับมาเป็นปกติ ทุกคนในห้องประชุมกลับพบว่า ซือเฟิงยืนอยู่ได้โดยไม่มีรอยขีดข่วนใดๆ กลับกัน ยังปรากฏกลุ่มดาวกาแล็กซี่ที่อยู่ล้อมรอบดาบอันสว่างไสว ราวกับเขายืนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า


“เป็นไปได้อย่างไรกัน?” หลิงกวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตกใจ เขาใช้เทคนิคมานาได้อย่างไม่มีที่ติแล้วแท้ๆ ซึ่งนั่นจะทำให้ดวงตามืดบอดไปชั่วขณะ และด้วยแท่งน้ำแข็งของจื่อหมิงที่สามารถทำให้อีกฝ่ายลอยขึ้นไปในอากาศ ขณะที่มันกำลังอยู่ในสภาวะมืดบอดและไร้น้ำหนัก พวกเขาทั้งสองก็กระหน่ำเทคนิคมานาใส่คู่ต่อสู้อย่างไม่หยุดยั้ง แม้แต่ผู้ที่อยู่ในขอบเขตเหนือโดเมนที่เผชิญหน้ากับเทคนิคประสานก็ยังยากจะต้านทานได้

เมื่อสายตาของซือเฟิงกลับมาเป็นปกติ เขาก็ไม่ได้อยู่เฉย กลับคว้าอะไรบางอย่างกลางอากาศ ราวกับกำลังล้วงเข้าไปหยิบสิ่งของจากอีกมิติหนึ่ง ทันใดนั้นมานาที่อยู่รอบๆตัวก็บิดเบี้ยว ปั่นป่วน ราวกับกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดที่ถูกกระชากออกจากกัน ก่อนที่หลิงกวงกับจื่อเมิ่งจะทันรู้สึกตัว มานาที่ฝ่ามือของซือเฟิงได้ก่อเกิดเป็นหลุมดำเล็กๆจากนั้นก็ขยายใหญ่จนกลายเป็นดาบยาวที่สร้างขึ้นมาจากขุมนรก มานาบริสุทธิ์ที่รวมกันอย่างหนาแน่นกลับสร้างพลังทำลายล้างอย่างมหาศาล พวกมันเป็นดั่งสสารมืดที่ค่อยๆดูดกลืนพื้นที่โดยรอบ

ด้วยการปรากฏตัวของซือเฟิงในครั้งนี้ ทำให้ทุกผู้คนรู้สึกสยดสยอง ราวกับความตายกำลังคืบคลานเข้ามา ราวกับหลุมดำกำลังกัดกินแก่นกลางของดวงดาว

“นั่นคือการทำให้เกิดรอยแยกมิติอย่างนั้นหรือ? เจ้าเด็กนั่นเข้าใจกฎแห่งมิติด้วยงั้นหรอ ?” ร่างกายของหลิงกวงสั่นสะท้านขณะจับจ้องมองหลุมดำด้วยความไม่เข้าใจ ทันใดนั้น ซือเฟิงก็หันเหความสนใจไปยังจื่อหมิงที่กำลังยืนอยู่ไกลๆ จื่อหมิงรู้สึกได้ถึงความน่ารังเกียจที่อยู่บนฝ่ามือของซือเฟิง พลันหน้าขาวซีดด้วยความหวาดกลัว

คุกเหมันต์! (Permafrost Prison)

เธอถึงกับต้องใช้เทคนิคมานาก้นหีบซึ่งแข็งแกร่งที่สุดแล้วสำหรับเธอ มานาธาตุน้ำแข็งที่อยู่รอบๆพลันรวมตัวกัน ก่อเกิดเป็นผลึกโปร่งใสอยู่รอบกายจื่อหมิง และคิดว่าจะไม่มีอะไรทะลุเข้ามาได้อย่างแน่นอน

‘แต่มันจะทะลุผ่านเข้ามาได้ไหมล่ะ?’ เธอเกิดคำถามอยู่ภายในใจ จากนั้นซือเฟิงก็ตวัดดาบลงมา ดาบที่นำพาความว่างเปล่ามาสู่โลกใบนี้

ดาบที่สาม, การทำลายล้างศักดิ์สิทธิ์!

ทันทีที่ซือเฟิงเลือกเป้าหมายที่จะฟาดฟันดาบใส่ จื่อหมิงก็ผละจากคุกเหมันต์ไป และรีบใช้มานาเหมันต์ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าสร้างเป็นแท่งน้ำแข็งเพื่อผลักตัวเองไปยังอีกฟากของหลุมดำ ฉับพลันเธอก็เห็นว่าหลุมดำนั้นพุ่งลงมายังคุกเหมันต์และหายไปในพริบตา ตลอดทั้งกระบวนการล้วนไม่ส่งเสียงใดๆทั้งสิ้น ดังเช่นที่ความว่างเปล่าก็คือความว่างเปล่า มันช่างเงียบงัน จบกันแล้ว เทคนิคที่ไม่อาจทำลายได้ของจื่อหมิง… ถูกทำลายลงไปในพริบตาแล้ว

เธอมองไปยังซือเฟิงที่กำลังต่อสู้พัวพันอยู่กับหลิงกวง ซือเฟิงกวัดแกว่งดาบไลท์ชาโดว์ปะทะกับหอกฟินิกซ์ของหลิงกวง ซึ่งเป็นเทคนิคหอกของตระกูลหลิง แต่ดูเหมือนว่า ซือเฟิงจะเอาชนะหลิงกวงได้ในไม่ช้า ไม่สิ พวกเราไม่อาจยอมให้เด็กเหลือขอผู้นี้มาทำให้ขายหน้าอย่างเด็ดขาด!

ทันใดนั้นจื่อหมิงก็รวบรวมมานาน้ำแข็งให้เป็นหอกแล้วขว้างไปยังจุดบอดของซือเฟิง แต่เขากลับเบี่ยงตัวหลบได้อย่างไม่คาดคิด

ดาบที่หนึ่ง, ไลท์ชาโดว์

วัฏสงสารแห่งดาบ!

เงาดาบอันเจิดจ้าก่อตัวตรงหน้าซือเฟิงและปัดหอกน้ำแข็งให้พ้นจากจุดบอดและพุ่งใส่หน้าอกทะลุหัวใจของหลิงกวงอย่างพอดิบพอดี ร่างของชายชราหยุดนิ่งอยู่กับที่ หอกเพลิงในมือเขาค่อยๆสลายหายไป ผู้คนทั่วไปเมื่อพบเจอกับความตายอย่างกระทันหันต่างก็แสดงสีหน้าตื่นตกใจ แต่หลิงกวงกลับจ้องมองจื่อหมิงด้วยแววตาแห่งความผิดหวัง หน้าขาวซีด คุกเข่าลงก่อนจะล้มลงไปพร้อมกับลมหายใจเฮือกสุดท้าย

การตายของหลิงกวงเป็นความผิดของจื่อหมิง นี่ถือเป็นการบอกกล่าวโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดๆออกมา และจื่อหมิงก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องนี้ได้ เธอควรจะใช้เทคนิคสนับสนุน เพื่อมุ่งเน้นไปที่การก่อกวนและจำกัดการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ แต่เธอกลับเลือกที่จะโจมตีทำให้ซือเฟิงใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้อย่างง่ายดาย

ความผิดพลาดที่สำคัญคือทั้งหลิงกวงและจื่อหมิงคาดว่าซือเฟิงหงายไพ่ครบทุกใบแล้ว แต่เขากลับสร้างดาบมานาได้สองเล่ม จื่อหมิงควรคิดได้ว่าซือเฟิงกำลังเก็บงำไพ่เด็ดไว้อยู่ แต่ด้วยความหวาดกลัวและความยโสอันโง่เขลากลับบดบังการตัดสินใจของเธอไป

จื่อหมิงเอ่ยเสียงที่ไร้ความเย่อหยิ่งกับซือเฟิงว่า “เธอยังมีไพ่ตายอยู่อีกหรือไม่?”

ซือเฟิงหัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “แน่นอนว่าต้องมีสิ นี่เป็นเรื่องพื้นฐานเลยนะ การซ่อนไพ่ตายไว้ทำให้กิลด์ของผมอยู่รอดได้ในก็อดโดเมนมาตลอดเลยล่ะ” พูดจบ ซือเฟิงก็ยื่นมือออกไปราวกับหยิบยื่นดวงตะวันให้ เงาดาบอันเจิดจ้าทั้งสองเล่มลอยล่องอยู่ด้านหลังซือเฟิงก็แยกออก จนปรากฏดาบที่สาม

ดาบสามเล่มงั้นหรือ? ไม่ใช่สิ… สี่เล่ม ห้าเล่ม…

ปรากฏดาบมานาแปดเล่มแผ่ออกเป็นวงกว้างอยู่ข้างหลังซือเฟิง ราวกับนกยูงแพนหางที่สวยงามสง่า ราวกับอาชูร่าที่กำลังเผยให้เห็นแขนหลายข้าง


จื่อหมิงอ้าปากกว้างที่ได้เห็นภาพที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง แต่เมื่อเธอสบตากับซือเฟิง โลกของเธอก็พลันมืดลง ปรากฏภาพสยองขวัญ การเข่นฆ่า การสังหารหมู่ต่างก็หลั่งไหลเข้ามาในห้วงจิตใจของเธอ

แรงกดดันทางจิตอย่างนั้นหรือ? (Mental oppression) ร่างกายของจื่อหมิงชะงักค้าง แข็งทื่ออยู่กับที่ ความกลัวแล่นผ่านเข้าไปในสมองจนเธอไม่อาจสั่งการร่างกายของเธอได้เลย

“สะ…สุดยอดปรมาจารย์….” จื่อหมิงพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว ในเวลานี้เธอเชื่อแล้วว่า มีเพียงสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถเอาชนะพลังจิตของครึ่งก้าวสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตได้ พวกเราเป็นถึงผู้อาวุโสตระกูลเก่าแก่กลับกลายเป็นของเล่นของเจ้าหนุ่มนี่มาตลอด ในสายตาเขาพวกเราก็เป็นเพียงแมลงที่โง่งม ซึ่งจะบดขยี้เมื่อใดก็ได้ตามที่ใจต้องการ และควรจะหยุดการเคลื่อนไหวตั้งแต่แรกเริ่มเพื่อช่วยชีวิตพวกเราจากการเข่นฆ่าอย่างไร้ความปราณี

ช่างน่าขายหน้าเสียจริง

“ธะ..เธอ ชนะแล้ว…” จื่อหมิงพยายามพูดออกมาให้เป็นคำ ก่อนที่จะล็อกเอาท์ออกจากระบบไป

เมิ่งจางชายหนุ่มผมสีฟ้าที่ยืนพิงกำแพงมองการต่อสู้มาตลอด ไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใด แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันทางจิต ในที่สุดก็ทำให้เขาลืมตาขึ้นมา และเมื่อซือเฟิงสบตากับเมิ่งจาง เขาก็รู้สึกสั่นสะท้าน

ผู้ชายคนนี้มีดวงตาที่เป็นเอกลักษณ์มาก นั่นเพราะเป็นดวงตาที่ไม่อาจพบเห็นได้ตามธรรมชาติของมนุษย์ ซือเฟิงเคยเห็นดวงตาแบบนี้ในวีดีโอจากชีวิตก่อนหน้า แต่ไม่เคยเจอกับผู้เล่นเลย ดวงตาคู่นั้นเป็นสีดำสนิท ไร้แสงสว่าง ไร้อารมณ์ ไร้ความเห็นอกเห็นใจ ไร้มนุษยธรรม NPC ระดับเทพโบราณที่มีดวงตาปกติก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีมนุษยธรรม ยิ่งไปกว่านั้นในขณะที่แรงกดดันทางจิตแผ่ขยายไปทั่วทั้งห้อง เมิ่งจางดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆเลย ราวกับพายุหิมะที่ปะทะเข้ากับภูเขาที่แข็งแกร่ง

อย่าประเมินคนผู้นี้ต่ำไป… ถ้าอย่างนั้นก็มีสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตอีกคนหนึ่งแล้วน่ะสิ น่าสนใจจริงๆ

เมิ่งจางพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแล้วล็อกเอาท์ออกจากระบบไป


เมื่อซือเฟิงถอนแรงกดดันทางจิตกลับมา แล้วมองไปยังสองคนที่เหลืออยู่ในห้อง

“เอาล่ะ.. ทีนี้ใครจะอธิบายเรื่องต่างๆในโลกหลักให้ผมฟัง?”

“….” เซี่ยชิงหยางพูดไม่ออก

“….” เซี่ยอู๋หยวนก็พูดไม่ออกเช่นเดียวกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)