Reincarnation Of The Strongest Sword God 2840-2848
ตอนที่ 2840 ทะลุขีดจำกัด
ห้องลับ บริเวณรูปสลักสัตว์อสูรโบราณ :
เมื่อข้อมูลทั้งหมดจากคริสตัลมรดกของจั๊กเกอร์น็อตหลั่งไหลเข้าสู่สมองของไฟเออร์แดนซ์เรียบร้อย มันก็เห็นได้ชัดว่าการควบคุมมานาของไฟเออร์แดนซ์เริ่มจะแข็งแกร่ง และดีขึ้นอย่างชัดเจน ….
ซึ่งนี่มันก็ทำให้ซือเฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะอิจฉาเช่นกัน
สำหรับมรดกของจั๊กเกอร์น็อตนั้นเขาต้องการจะใช้มันทันทีเช่นกัน แต่เขาก็รู้ถึงสิ่งหนึ่งเป็นอย่างดีคือ หากเขาใช้มันตอนนี้มันก็จะไม่มีประโยชนฺมากนัก
เพราะสำหรับเขาตอนนี้เขาไม่ได้ขาดความรู้และความเข้าใจในการควบคุมมานาอีกแล้ว แต่สิ่งที่เขาขาดจริงๆคือค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจที่มันยังไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะช่วยให้เขาควบคุมมานาทั้งหมดได้อย่างที่คิด
ในปัจจุบันตราบใดที่เขามีความแข็งแกร่งในด้านนี้มากพอ เขาก็สามารถจะใช้วิธีเส้นขนานสามเส้นเพื่อควบคุมวงเวทย์ของร่างมานาของเขาได้ ซึ่งนี่มันก็จะทำให้ร่างมานาของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นไปอีกระดับหนึ่งทันที
ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้ก็คือกานเพิ่มความแข็งแกร่งในด้านนี้ของตัวเองให้มากพอ และพยายามหาวิธีที่ดีที่สุดในการจะใช้วิธีเส้นขนานสามเส้นเพื่อควบคุมวงเวทย์ของร่างมานาของตัวเอง ส่วนอย่างอื่นนั้นมันยังไม่จำเป็นเท่าไหร่ ….
“ตอนนี้ฉันเองก็คงจะต้องเริ่มฝึกบ้างแล้วสินะ ….”
ซือเฟิงพึมพำด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เขามองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่ที่ดูเหมือนจะเริ่มมีพัฒนาการขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะนั่งลง และเริ่มฝึกในแบบของตัวเองเช่นกัน
หลังจากที่เขาดูดซับเปลวไฟลึกลับขั้นสี่เข้ามา ตามการคาดการณ์ของเขาค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขาในปัจจุบันก็น่าจะขึ้นไปอยู่ที่จุดสูงสุดของขั้นสี่แล้ว และมันก็น่าจะอยู่ห่างจากขั้นห้าเพียงไม่กี่ก้าว
ซึ่งนี่มันทำให้ซือเฟิงนั้นต้องการจะรีบทำการฝึก และไปให้ถึงขั้นนี้ เพื่อที่หนทางในการจะก้าวไปสู่ขั้นห้าที่แท้จริง พร้อมกับการสร้างโลกของเขาในอนาคตจะได้ง่ายขึ้น
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งวันอย่างรวดเร็วก่อนที่ใครจะทันได้รู้ตัว ….
ในระหว่างที่ซือเฟิงนั้นพยายามจะฝึกใช้วิธีเส้นขนานสามเส้นเพื่อควบคุมวงเวทย์ของร่างมานาของตัวเอง ออร่าของไฟเออร์แดนซ์ก็พุ่งสูงขึ้นจนทำให้เกิดพายุมานาที่ปกคลุมไปทั่วห้องลับ
“เกิดอะไรขึ้นกับพี่สาวไฟเออร์แดนกัน ?! พายุมานานี้มันแข็งแกร่งมากๆ !!!” ฟลายอิ้งชาโด้วมองไปยังหมอกสีขาวหนาแน่นที่ก่อตัวขึ้นรอบๆไฟเออร์แดนซ์ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“มันน่าจะเป็นเพราะร่างมานาของเธอทะลุขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ไปแล้วน่ะ ….” เทอเทิ้ลโดฟกล่าวอย่างอิจฉา
“ไม่ใช่ นี่มันไม่เหมือนกับการทะลุขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ของร่างมานาโดยทั่วไป” เสวี่ยเหวินโหรวกล่าวพลางส่ายหัว ก่อนที่เธอจะกล่าวต่อว่า “ร่างมานาในปัจจุบันของฉันก็ทะลุขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์เช่นกัน แต่ในตอนที่ฉันทะลุขีดจำกัดได้ มันยังไม่เกิดปรากฎการณ์ขนาดนี้เลย ….”
ในตอนที่ร่างมานาของเธอทะลุขีดจำกัดมาถึงหนึ่งร้อยสองเปอเซ็นต์ได้นั้น ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้นมันจัดว่าน้อยกว่าไฟเออร์แดนซ์ในตอนนี้มากๆ ดังนั้นเธอจึงรู้ดีว่าสิ่งที่ไฟเออร์แดนซ์ทำมันไม่ใช่อะไรที่ทั่วๆไปหรือแบบปกติแน่นอน
หลังจากนั้นไม่กี่นาที มานาของไฟเออร์แดนซ์ก็เริ่มเสถียรและคงที่ ก่อนที่เธอจะลืมตาขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“หัวหน้ากิล ฉันทำสำเร็จแล้ว !!!” ไฟเออร์แดนซ์อดไม่ได้ที่จะมองไปยังซือเฟิง และพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ตอนนี้ฉันสามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาไปได้หนึ่งร้อยเจ็ดเปอเซ็นต์แล้ว ถ้าหัวหน้าให้เวลาฉันอีกสักหน่อย การจะปลดล๊อคไปให้ได้ถึงหนึ่งร้อยสิบเปอเซ็นต์ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย”
สำหรับเรื่องร่างมานานั้น เธอเคยได้ยินซือเฟิงพูดมาว่าตราบใดที่สามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาไปได้ถึงหนึ่งร้อยห้าเปอเซ็นต์ มันจะนับเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ แต่หากสามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาไปได้ถึงหนึ่งร้อยสิบเปอเซ็นต์ มันจะนับเป็นการก้าวกระโดด
แม้ว่าในวันนี้เธอจะยังไปไม่ถึงหนึ่งร้อยสิบเปอเซ็นต์ แต่เธอก็มั่นใจว่าด้วยข้อมูลที่เธอได้รับมาจากมรดกของจั๊กเกอร์น็อต บวกกับผลของรูปสลักสัตว์อสูรโบราณ เธอจะสามารถขึ้นไปถึงหนึ่งร้อยสิบเปอเซ็นต์ได้โดยใช้เวลาไม่นานแน่นอน และนี่มันก็จะทำให้เธอขึ้นไปเหนือกว่าไวโอเล็ตคลาวด์ที่ตอนนี้สามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาไปได้หนึ่งร้อยแปดเปอเซ็นต์ด้วย
“นี่คุณทะลุไปได้ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดเปอเซ็นต์ในครั้งเดียวเลยงั้นหรอ ?” ซือเฟิงนั้นรู้สึกตกตะลึงเช่นกัน เมื่อเขาได้ยินข้อมูลจากไฟเออร์แดนซ์
การที่ไฟเออร์แดนซ์สามารถทะลุไปถึงหนึ่งร้อยเจ็ดเปอเซ็นต์ได้ในครั้งเดียวแบบนี้นั้น มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย นี่มันจะทำให้เธอได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่แน่นอน ซึ่งบางทีในอนาคตเธออาจจะขึ้นไปอยู่เหนือกว่าไวโอเล็ตคลาวด์ก็ได้
“มรดกของจั๊กเกอร์น็อตนั้นมีคำอธิบายที่ถ่องแท้ และเข้าใจได้ง่ายมากๆเกี่ยวกับเรื่องร่างมานา แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่ใช่พวกนักดาบ ไม่งั้นการปรับปรุงของฉันจะยิ่งใหญ่กว่านี้แน่นอน” ไฟเออร์แดนซ์กล่าวพลางถอนหายใจ “หากสิ่งนี้ถูกมอบให้เซเว่นไลท์ที่เป็นนักดาบใช้ เขาจะสามารถทะลุหนึ่งร้อยสิบเปอเซ็นต์ได้อย่างไม่ยากเย็นแน่นอน แล้วก็ถ้าหัวหน้ากิลใช้มัน ฉันก็คิดว่ามันน่าจะน่าทึ่งขึ้นไปอีกขั้นเลย”
“เอฟเฟคของมันดีขนาดนั้นเลยงั้นหรอ ?” ซือเฟิงรู้สึกตื่นเต้น เมื่อเขาได้ยินคำพูดของไฟเออร์แดนซ์ แต่เขาก็ยังคงพยายามที่จะระงับความตื่นเต้นไว้ “แต่ตอนนี้ฉันไม่สนใจมันหรอก สำหรับเซเว่นไลท์ ฉันจะมอบให้เขาใช้มันแน่นอน เมื่อเขาสามารถไปถึงขั้นสี่ได้แล้ว ….”
สำหรับการที่จะได้มีร่างมานาที่สามารถปลดล๊อคศักยภาพได้ถึงหนึ่งร้อยสิบเปอเซ็นต์หรือกว่านั้นมันเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเขาสามารถปลดล๊อคไปได้ถึงหนึ่งร้อยสิบห้าเปอเซ็นต์นั้น แม้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบของมังกรเงินศักสิทธิ์ออร์เบ็ค เขาก็จะผ่านไปได้แน่นอน
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาจำเป็นจะต้องฝึกใช้วิธีเส้นขนานสามเส้นเพื่อควบคุมวงเวทย์ของร่างมานาของเขาให้ได้ก่อน เพราะสิ่งนี้นั้นมันนับเป็นพื้นฐานที่จะทำให้เขาเริ่มสร้างร่างมานาเพื่อก้าวไปสู่ขั้นห้าได้ทันทีที่เลเวลของเขาไปถึงหนึ่งร้อยห้าสิบ
สำหรับเรื่องมรดกของจั๊กเกอร์น็อตนั้น ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะให้นักดาบขั้นสี่ใช้เท่านั้น อย่างไรก็ตามสภาสิบแปดปีกนั้นมีนักดาบที่มีความสามารถอยู่แค่ไม่กี่คน และมันก็จะมีแค่ไม่กี่คนที่จะสามารถไปถึงขั้นสี่ได้ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นจะต้องผ่อนปรนเงื่อนไขในส่วนนี้ลงเพื่อทำให้สภาสิบแปดปีกสามารถสร้างผู้เล่นขั้นสี่ที่ทรงพลังได้มากขึ้น
“ฉันเข้าใจล่ะ …” ไฟเออร์แดนซ์กล่าวพลางพยักหน้า
หลังจากนั้นเวลาสิบวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และด้วยผลอันน่ากลัวของรูปสลักสัตว์อสูรโบราณ มันทำให้เหล่าแกนหลักอาวุโสหรือเหนือกว่าขึ้นไปของสภาสิบแปดปีกนั้นพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมากๆ นอกจากนี้มันก็ยังมีการค้นพบดินแดนมรดกขั้นสี่จำนวนหนึ่งในหุบเขาอาร์กติกแกรนด์ ดังนั้นซือเฟิงจึงได้ตัดสินใจจะส่งผู้เล่นจำนวนหนึ่งที่เขาแน่ใจว่าจะสามารถทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ ได้สำเร็จไปทำเควสทันที สำหรับไฟเออร์แดนซ์ หลังจากที่เธอสามารถทะลุขีดจำกัดของร่างมานาจนมาถึงหนึ่งร้อยสิบเปอเซ็นต์ได้ เธอก็ได้เริ่มนำทีมออกล่าและสำรวจในหุบเขาอาร์กติกแกรนด์ ซึ่งนี่มันช่วยเพิ่มรายได้ให้กับสภาสิบแปดปีกอย่างมาก โดยเฉพาะกับวัสดุ อาวุธ และอุปกรณ์คุณภาพสูงที่มีเลเวลหนึ่งร้อยสามสิบหรือมากกว่าที่มันดรอปออกมาเป็นจำนวนมาก และนี่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่กองกำลังทั่วไปจะสามารถหามาได้ง่ายๆเลย
แล้วก็ในบรรดาผลประโยชน์มากมายที่หุบเขาอาร์กติกแกรนด์มอบให้นี้ มันยังมีคริสตัลเจ็ดลูมินาลี่ด้วย โดยมันดรอปในดันเจี้ยนต่างๆของหุบเขา แม้ว่าแต่ละครั้งมันจะดรอปออกมาน้อยมาก แต่มันก็ดรอปในแทบทุกดันเจี้ยนที่นี่ เป็นผลให้ในช่วงสิบวันนี้สภาสิบแปดปีกได้รับคริสตัลเจ็ดลูมินาลี่มาเพิ่มมากกว่าหกร้อยชิ้นแล้ว
ซึ่งนี่มันทำให้ซือเฟิงนั้นก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับเรื่องนี้เช่นกัน เขาไม่คิดเลยว่าผลประโยชน์ที่หุบเขาอาร์กติกแกรนด์มอบให้มันจะน่าอัศจรรย์ขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องคริสตัลเจ็ดลูมินาลี่ และในอนาคตเมื่อสภาสิบแปดปีกมีผู้เล่นขั้นสี่เพิ่มขึ้น พร้อมกับสามารถผูกขาดคริสตัลเจ็ดลูมินาลี่ได้มากขึ้นนั้น เขาก็แทบจะไม่กล้าจินตนาการถึงจำนวนคริสตัลเจ็ดลูมินาลี่ที่กิลจะได้รับเลย
ขณะเดียวกันในช่วงสิบวันที่ผ่านมานี้ หลังจากฝึกอย่างหนัก… ซือเฟิงก็อยู่ห่างเพียงครึ่งก้าวเท่านั้นจากการจะใช้วิธีเส้นขนานสามเส้นเพื่อควบคุมวงเวทย์ของร่างมานาของเขาให้ได้สมบูรณ์
และในช่วงเวลานี้นั้น God domain ก็ได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นหลายอย่าง ….
ประการแรกเมืองเฮยชุ่ยของมือแห่งนักบุญได้ปรากฎขึ้นแล้ว และเมืองนี้ก็เปิดให้สาธารณชนทุกคนได้เข้าไปตามคำประกาศ หลังจากนั้นมหาอำนาจต่างๆก็ได้รับข่าวว่าลู่ชิงหลัว ซึ่งเป็นทายาทของบริษัทสตาร์ไลน์นั้นได้ถูกไล่ออกจากทุกตำแหน่ง รวมไปถึงตำแหน่งทายาทด้วยแล้ว เนื่องจากไอดี God domain ของเขานั้นได้รับความเสียหายอย่างหนักจนแทบจะเรียกได้ว่าพิการ โดยเหตุการณ์นี้มันก็ทำให้ทายาทของมหาอำนาจกลุ่มอื่นๆนั้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดันเช่นกัน
สำหรับสภาสิบแปดปีกสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ของกิลก็คือ กองกำลังพันธมิตรของกิลที่มีจำนวนมากกว่าสองหมื่นคนได้เริ่มเข้าสู่เมืองสภาสิบแปดปีกแล้ว และผู้ที่เข้ามาทั้งหมดก็เข้าใจถึงคุณค่าของเมืองสภาสิบแปดปีกในทันที ซึ่งนี่มันก็ทำให้
โควต้าเข้าเมืองของสภาสิบแปดปีกเริ่มกลับมาได้รับความนิยมมากขึ้น
อย่างไรก็ตามสำหรับสภาสิบแปดปีกนั้นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ เสวี่ยเหวินโหรว อควาโรส จ้าวเยว่รู่ หยานเทียนซิง อี้ลั่วเฟยนั้นได้ทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ได้สำเร็จ และเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งนี่มันก็จะช่วยเพิ่มพลังโดยรวมให้กับสภาสิบแปดปีกอย่างมาก และการออกสำรวจกับล่าภายในหุบเขาอาร์กติกแกรนด์นั้นมันก็จะทำได้ง่ายขึ้นมากด้วย
เมืองสภาสิบแปดปีก ห้องตีเหล็กพิเศษของบริษัทการค้าแสงเทียน :
“แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะก้าวข้ามไปสู่ระดับสุดยอดปรมาจารย์วงเวทย์” ซือเฟิงบ่นพึมพำด้วยใบหน้าซีดเซียว ขณะที่เขามองไปยังเซ็ทมานาขั้นที่เขาลองฝึกทำที่วางอยู่บนโต๊ะ
จากการค้นคว้ามาหลายวันของ มันทำให้เขาได้รู้ว่าเขามีเพียงแค่สองวิธีเท่านั้นที่จะทำให้ตัวเองสามารถใช้วิธีเส้นขนานสามเส้นเพื่อควบคุมวงเวทย์ของร่างมานาของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยหนึ่งก็คือการพัฒนาค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจให้ไปถึงขั้นห้า ขณะที่อีกหนึ่งก็คือการกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์วงเวทย์
ซึ่งซือเฟิงได้เลือกวิธีการที่จะกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์วงเวทย์ เพราะมันทำได้ง่ายกว่ามาก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ฝึกจนสามารถสร้างเซ็ทมานาขั้นสามขึ้นมาได้มากกว่าสองร้อยเซ็ทนั้น ซือเฟิงก็ยังไม่สามารถไปถึงระดับของสุดยอดปรมาจารย์วงเวทย์ได้ และตอนนี้เขาก็รู้สึกราวกับว่ามันมีกำแพงบางๆกั้นอยู่ที่ทำให้เขาไม่สามารถทะลวงไปถึงสิ่งที่เขาต้องการได้
และจากการฝึกทั้งหมดนี้เอง มันก็ทำให้ซือเฟิงได้มาถึงเลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบแล้ว ซึ่งมันเป็นเลเวลที่ตรงตามเงื่อนไขของการจะเลื่อนขั้นเป็นขั้นห้า
“หัวหน้ากิลจากที่หัวหน้าได้ฝากให้บริษัทโบลเดอร์ไปช่วยทำการตรวจสอบเรื่องน้องสาวของเฟิงเฉียนหยู (ฟีนิกซ์เรน) … พวกเขาเจอเธอแล้ว โดยเธออยู่ใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียน” เหลียงจิงกล่าวรายงานซือเฟิง หลังจากที่เธอติดต่อเข้ามาอย่างกระทันหัน
“โอเค …” ซือเฟิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นเขาก็เลือกจะล๊อคเอ้าท์ออกจาก God domain และเริ่มวางแผนที่จะเดินทางไปยัง Upper Zone ของเมืองไห่เทียน
นอกเหนือจากการไปจัดการเรื่องน้องสาวตามคำขอของเฟิงเฉียนหยูแล้ว เขาก็อยากจะลองไปตรวจสอบสภาพแวดล้อมทั้งหมดที่นั่นเพื่อไว้สำหรับทำธุรกิจเช่นกัน ….
ในช่วงนี้นั้นสภาสิบแปดปีกของเขาได้พัฒนาขึ้นไปอย่างรวดเร็วมากๆ ไม่ว่าจะเป็นในโลกแห่งความจริง หรือโลกแห่งเกม ดังนั้นความต้องการทั้งเงินทุน และทรัพยากร
ของกิลมันจึงเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน นี่มันจึงทำให้ซือเฟิงต้องรีบคิดหาหนทางจะทำเงิน และควานหาทรัพยากรเพิ่มเติม เพราะหากใช้วิธีปกติ และรอคอยไปเรื่อยๆ การพัฒนาของสภาสิบแปดปีกอาจจะหยุดชะงัก และไม่ต่อเนื่องได้
ตอนที่ 2841 ห้องฝึกจิต
เมืองไห่เทียน Upper Zone :
เมื่อรถเก๋งซีดานที่ดูหรูหรามาจอดอยู่บริเวณประตูหน้าทางเข้าของ Upper Zone มันก็มีชายและหญิงคู่หนึ่งเดินลงมาจากรถ ซึ่งนี่มันก็ได้ดึงดูดความสนใจของวัยรุ่นชาย และหญิงหลายร้อยคนที่ยืนรอรับการทดสอบอยู่ในทันที
โดยชายและหญิงคู่หนึ่งนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซือเฟิง และมู่ฉิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมู่ฉินที่ถูกเหล่าวัยรุนหญิงจ้องมองมาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“ทำไมทายาทของบริษัทโบลเดอร์ถึงได้มาที่ Upper Zone ของเมืองไห่เทียน ?”
“เธอต้องการจะย้ายมาอยู่ที่ Upper Zone ของเมืองไห่เทียนรึปล่าว ?”
“ไม่น่าใช่ ฉันได้ยินมาว่าเมื่อเร็วนี้ๆนั้นมิสมู่ฉินได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วมากๆใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียน และได้กลายเป็นผู้มีอำนาจเกรด 1 แล้ว และเมื่อรวมกับการสนับสนุนจากบริษัทโบลเดอร์ และเหล่าผู้บริหารในชั้นพื้นฐานที่เชื่อในตัวเธอ การที่เธอจะไปถึงชั้นกลางได้เมื่อไหร่ มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ดังนั้นเธอจะย้ายมาที่นี่ทำไมกัน ?”
เมื่อได้เห็นการปรากฎตัวขึ้นอย่างกระทันหันของคนระดับมู่ฉินนั้น วัยรุ่นชาย และหญิงทุกคนต่างก็พูดคุยกันด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจ
อย่างไรก็ตามสำหรับมู่ฉินนั้น เธอไม่ได้สนใจวัยรุ่นชาย และหญิงพวกนี้เลย และเธอก็ทำราวกับว่าวัยรุ่นชาย และหญิงพวกนี้เป็นอากาศธาตุ
“ทำไมที่นี่ถึงมีคนจำนวนมากมาเข้ารับการทดสอบกัน ? นี่มันน่าจะมากกว่าผู้ที่เข้ามารับการทดสอบที่เมืองหยวนเทียนราวสิบเท่าเลยนะ” ซือเฟิงมองไปที่วัยรุ่นชาย และหญิงทั้งหมด ขณะที่เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมจำนวนคนที่เข้าร่วมการทดสอบที่เมืองหยวนเทียน กับเมืองไห่เทียนถึงแตกต่างกันมากขนาดนี้ ….
“พื้นที่ของ Upper Zone ที่นี่นั้นมันมีขนาดใหญ่กว่าที่เมืองหยวนเทียนอย่างมาก ดังนั้นนี่มันจึงเป็นเรื่องปกติ” มู่ฉินกล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้ม “แถมวัยรุ่นหญิง และชายที่มาเข้ารับการทดสอบพวกนี้ก็ไม่ใช่คนที่บริษัทกรีนก๊อดคัดเลือกเข้ามาด้วย แต่พวกเขาเป็นเหล่าคนที่เกิดใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียน ซึ่งช่วงนี้มันตรงกับช่วงการทดสอบประจำปีพอดี ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนจำนวนมากมารอรับการทดสอบ”
“โดยการทดสอบในวันนี้จะชี้วัดถึงผู้ที่จะได้รับตำแหน่งทายาทของบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ พร้อมๆกับมันก็จะชี้วัดเรื่องจัดสรรปันส่วนทรัพยากรว่าบริษัทควรจะจัดให้ใคร อะไร และยังไง …. ดังนั้นสำหรับวัยรุ่นเหล่านี้ นี่แหละมันคือช่วงเวลาที่เข้มข้นที่สุดในชีวิต” ขณะที่มู่ฉินพูดนั้น ดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยความเสียใจอยู่เล็กๆ
เนื่องจากมันเป็นแบบนี้นี่แหละ เครุยกับเธอจึงไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากนัก พวกเธอต้องแข่งขันกันตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่ด้วยซ้ำ โลกของ Upper Zone นั้นมันโหดร้ายมากๆ
“เป็นอย่างนี้นี่เอง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมวัยรุ่นพวกนี้ถึงมีร่างกายที่ดูแข็งแกร่งอย่างน่าอัศจรรย์ ….” ซือเฟิงกล่าวพลางมองไปยังเหล่าวัยรุ่นทั้งหมด
ต้องบอกเลยว่าเหล่าวัยรุ่นใน Upper Zone นั้นน่าทึ่งมากจริงๆ และพวกเขาก็เหนือกว่าพวกที่อยู่ในโลกภายนอกมาก หากออกไปในโลกภายนอก พวกเขาคนใดคนหนึ่งในนี้ก็จะสามารถจัดการกับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ทั่วไปได้สบายๆแน่นอน
และด้วยศักยภาพที่น่าทึ่งแบบนี้นั้น หากพวกเขาได้เข้าสู่ God domain พวกเขาน่าจะไปถึงขั้นสี่ได้ง่ายๆเลย พร้อมกันนั้นพวกเขาก็จะมีโอกาสสูงมากที่จะไปถึงขั้นห้าได้
ในเวลานี้ซือเฟิงก็ได้เข้าใจแล้วว่าทำไมมหาอำนาจที่แท้จริงใน God domain ถึงมีผู้เล่นขั้นสี่ กับขั้นห้ามากนัก ที่แท้มันก็มาจากเรื่องนี้นี่เอง ….
“เอาล่ะ พวกเราเข้าไปกันเถอะ ….” มู่ฉินมองดูเวลา และอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า “ถ้าเส้นทางจิตถูกเปิดแล้ว มันจะยากสำหรับเราที่จะเข้าไปหาผู้หญิงที่คุณพูดถึง เพราะท้ายที่สุดแล้วอัตลักษณ์ในปัจจุบันของเรานั้นคือผู้ที่อยู่อาศัยใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียน ไม่ใช่ Upper Zone ของเมืองไห่เทียน”
ซือเฟิงพยักหน้า พร้อมกันนั้นเขาก็ได้เดินตามมู่ฉินเข้าไปใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียนทันที
แม้ว่าพูดกันจริงๆตามกฎแล้วนั้น ผู้ที่มีอัตลักษณ์อยู่ใน Upper Zone นั้นจะสามารถเดินทางเข้าออก Upper Zone ทุกแห่งได้ตามต้องการ แต่ Upper Zone แต่ละแห่งนั้นมันก็เหมือนกับการดำรงอยู่ขององค์กรอิสระ และมันก็มีการแข่งขันกันเกิดขึ้นระหว่าง Upper Zone ต่างๆด้วย ดังนั้นพูดกันตามตรงแล้ว คนใน Upper Zone แต่ละแห่งจึงมักจะไม่ถูกกัน
ในสถานการณ์ปกติ มันเป็นเรื่องปกติมากที่คนจาก Upper Zone แห่งหนึ่งจะไม่ไปยัง Upper Zone อีกแห่ง เพราะมันอาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ง่ายๆเลย
ขณะเดียวกันเมื่อได้เห็นมู่ฉินและซือเฟิงเดินเข้าสู่ Upper Zone ของเมืองไห่เทียนไป เหล่าวัยรุ่นที่เฝ้าดูอยู่ทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความอิจฉามากๆ
เนื่องจากคนที่สามารถเข้าสู่ Upper Zone ได้หลังจากอายุครบยี่สิบปีนั้นคือคนที่ได้รับสถานะใน Upper Zone อย่างแท้จริง ซึ่งมันแตกต่างจากพวกเขาที่ยังต้องดิ้นรนกันอย่างหนัก
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกัน ? เขาถึงขั้นสามารถให้ทายาทและอัจฉริยะของบริษัทโบลเดอร์มานำทางตัวเองได้ ?”
“เขาอาจจะเป็นคนจากชั้นกลางล่ะมั้ง … หรือไม่ก็เขาอาจจะเป็นลูกชายคนโตของสุดยอดปรมาจารย์ทางจิตสักคน ไม่งั้นเขาคงไม่สามารถทำให้คนอย่างมู่ฉินมานำทางเขาได้หรอก ….”
“อึก !! นี่มันน่าอิจฉาสุดๆ !!! จะเป็นอะไรก็แล้วแต่เถอะ แต่การที่เขาไม่ต้องมาดิ้นรนแบบพวกเรานี่มันน่าอิจฉาจริงๆ !!!”
เหล่าวัยรุ่นพูดคุยกันอย่างอิจฉาขณะที่มองไปยังซือเฟิง โดยพวกเขาต่างคาดเดากันไปว่าซือเฟิงน่าจะเป็นผู้ที่อยู่อาศัยใน Upper Zone ชั้นกลางสักแห่ง เพราะไม่งั้นซือเฟิงคงไม่สามารถจะให้คนอย่างมู่ฉินมานำทางได้
เมื่อซือเฟิงเดินเข้ามาใน Upper Zone เขาก็พบว่าที่ Upper Zone ของเมืองไห่เทียนนี้ มันมีประชากรอยู่มากกว่าที่ Upper Zone ของเมืองหยวนเทียนอย่างมาก และที่นี่ก็ดูเหมือนจะมีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่าเมืองหยวนเทียนอยู่เล็กน้อย
ไม่เพียงแต่มันจะมีอาคารสูงมากมายอยู่ตามท้องถนนของที่นี่ แต่ที่นี่มันยังมีโรงฝึกจิตที่ไม่ได้มีให้บริการใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียนด้วย
โดยโรงฝึกจิตทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก ซึ่งมันมีขนาดเท่ากับสนามบาสเก็ตบอลเท่านั้น และพวกมันทั้งหมดก็สูงไม่เกินสองชั้นเลย แต่มันกับมีผู้คนต่อแถวแออัดรอเข้าใช้บริการจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นคนของบริษัทกรีนก๊อด หรือทายาทของบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ
ฉากแบบนี้นั้นมันไม่สามารถจะหาได้อย่างสิ้นเชิงในเมืองหยวนเทียน
แม้แต่มู่ฉินซึ่งเป็นผู้นำทางซือเฟิงมาก็ยังอดไม่ได้ที่จะมีดวงตาที่เปล่งประกายไปด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มองไปยังโรงฝึกจิต และพูดกันตามตรง เธอก็อยากจะกระโจนเข้าไปในโรงฝึกจิตทันทีเลยด้วยซ้ำ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เธอก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น ….
เนื่องจากกฎการเข้าใช้โรงฝึกจิตนั้นมันเข้มงวด และถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนมากๆ โดยมันจะมีแต่ผู้มีอำนาจเกรด 2 หรือเหนือกว่าขึ้นไปที่อาศัยอยู่ใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียนเท่านั้นที่จะมีสิทเข้าใช้บริการ ขณะที่ผู้คนจาก Upper Zone อื่นๆถูกห้ามเด็ดขาด
“สรุป Upper Zone ไม่ได้ยอมให้ผู้ที่มีอัตลักษณ์ของมันได้รับทุกสิ่งอย่างเท่าเทียมงั้นหรอ ?” ซือเฟิงที่ทำการตรวจสอบกฎเหล่านี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเช่นกัน “ทำไม Upper Zone ของเมืองไห่เทียนถึงมีกฎแบบนี้ นี่มันออกจะไม่ยุติธรรมสำหรับผู้คนจาก Upper Zone อื่นๆเลย”
“โรงฝึกจิตนั้นเป็นสิ่งที่ พวก Upper Zone ของเมืองไห่เทียนได้พยายามอย่างหนักกว่าจะสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ ดังนั้นบริษัทกรีนก๊อดจึงได้อนุญาติให้พวกเขาสามารถกำหนดกฎให้แค่เฉพาะผู้ที่อยู่อาศัยใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าใช้ที่นี่ได้” มู่ฉินกล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้มขมขื่น เมื่อได้เห็นท่าทีของซือเฟิง ก่อนที่เธอจะกล่าวต่อว่า “และนี่มันก็เป็นสาเหตุหลักๆที่ทำให้ที่นี่มีมหาอำนาจเข้ามาอาศัยมากกว่าที่อื่นด้วย หากบริษัทโบลเดอร์ของฉันไม่ได้มีรากฐานที่หยั่งลึกอยู่ใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียน ฉันคิดว่าพวกเขาก็คงจะตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่นี่เช่นกัน …”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของมู่ฉิน ซือเฟิงก็เริ่มตระหนักได้ถึงสถานการณ์ทั้งหมด และพูดกันตามตรงใน Upper Zone ที่ความแข็งแกร่งทางจิตนับเป็นทุกสิ่งอย่างนั้น แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกถูกล่อลวงให้อยากจะย้ายมาอยู่ที่ Upper Zone ของเมืองไห่เทียนเลย เพราะท้ายที่สุดหลังจากเขาได้ลองใช้โพชั่นแฟนธ่อมไปสามขวด เขาก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่าเขายังคงอยู่ห่างจากค่าความแข็งแกร่งทางจิตขั้นห้าอยู่ระดับหนึ่งเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ซือเฟิง และมู่ฉินกำลังพูดคุยกันนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันที่ดังมากๆมาจากบริเวณหน้าประตูห้องฝึกแห่งหนึ่ง
“ลู่เทียนตี้ !! อย่าให้มันมากเกินไปนัก !!! ฉันได้พูดไปแล้วว่าทีมนักผจญภัยของฉันจะไม่เข้าร่วมกับคุณ !!!”
หญิงสาวที่มีผิวขาวราวกับหยกและสวมใส่ชุดกีฬาสีฟ้าอ่อนตะโกนพลางมองไปยังชายหนุ่มในวัยยี่สิบต้นๆที่หล่อเหลาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ และความไม่พอใจ
อย่างไรก็ตามชายหนุ่มนั้นไม่ได้สนใจความโกรธหรือท่าทีใดๆของหญิงสาวผู้นี้เลย ตรงกันข้ามเขากับยิ้มบางๆ ก่อนที่ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆเขาจะออกมาพูดแทนว่า “มิสจี้ลั่วหรง คุณไม่จำเป็นจะต้องยอมรับคำเชิญของนายน้อยของฉันก็ได้นะ อย่างไรก็ตามคุณก็รู้ดีว่าหลังจากเป็นแบบนี้มันจะเกิดอะไรขึ้น !!! คุณจะไม่สามารถแลกเปลี่ยนทรัพยากรกับใครใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียนได้อีกเลย !! คุณก็รู้นี่ว่านายน้อยของฉันมีอำนาจจะทำให้คุณเป็นแบบนั้นได้ที่นี่ !!”
“คุณ !!!!”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายวัยกลางคนผู้นี้ แม้ว่าหญิงสาวจะรู้สึกโกรธ แต่เธอก็ไม่สามารถจะเถียงอะไรเขาได้
เนื่องจากลู่เทียนตี้นั้นเป็นทายาทคนปัจจุบันของบริษัทสตาร์ไลน์ และบริษัทสตาร์ไลน์นั้นก็มีอิทธิพลค่อนข้างสูงมากใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียน ดังนั้นคำพูดของชายวัยกลางคนทั้งหมดมันจึงเป็นเรื่องจริงแน่นอน
เมื่อเห็นท่าทีของหญิงสาว ชายร่างท้วมก็กล่าวต่อว่า “มิสจี้ลั่วหรง คุณและทีมนักผจญภัยของคุณมาเข้าร่วมกับเราดีๆเถอะน่า !!! ไม่งั้นคุณจะไม่สามารถอยู่ใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียนได้อีกต่อไปแน่นอน !!! สำหรับการจะรอให้พี่สาวของคุณมารับคุณไปนั้น ตอนนี้มันเป็นแค่ฝันเท่านั้นแหละ !!!”
เมื่อชายวัยกลางคนผู้นี้พูดจบ คนอื่นๆที่อยู่โดยรอบก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังหญิงสาวด้วยความเห็นใจ
ใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียนนั้น แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆก็ยังไม่ต้องการจะยั่วยุบริษัทสตาร์ไลน์เลย ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงพวกคนที่ไม่ได้มีภูมิหลังแข็งแกร่งมากนัก ….
หากหญิงสาวคนนี้ไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ ทุกคนก็สามารถจะบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่าเธอจะไม่สามารถอาศัยอยู่ใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียนได้แน่นอน เนื่องจากขาดทรัพยากร
และเมื่อได้เห็นหญิงสาวผู้นี้เงียบไปชั่วขณะ ชายวัยกลางคนก็ยิ้มออกมาอย่างผู้มีชัย ในขณะที่คนอื่นๆก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
“งั้นหรอ ? แล้วมันจะเป็นยังไงถ้าฉันจะขายทรัพยากรให้ผู้หญิงคนนี้ ?”
ตอนที่ 2842 Upper Zone ที่เงียบสงัด
เมื่อมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาแบบนี้ ฝูงชนที่พูดคุยกันอยู่บนท้องถนนก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหาที่มาของเสียงทันที
ซึ่งฝูงชนก็ได้เห็นว่าเสียงที่พูดขึ้นมาเมื่อกี้นั้นคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่แต่งตัวดูธรรมดามากๆ และเขาก็ไม่ได้แผ่ออร่าที่แข็งแกร่งใดๆออกมาเลย
โดยคนๆนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซือเฟิงที่สวมชุดลำลองสีเทาเข้ม แม้ว่าความสูงของเขาจะเพิ่มขึ้นมาจากสมรรถภาพร่างกายที่ดีขึ้น แต่เขาก็ยังไม่สามารถจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ที่ดูธรรมดาๆของเขาได้เลย
“นี่เขาเป็นใครกัน ? เขากล้าหาญเกินไปหน่อยไหม ?”
“คนๆนี้ได้ตายแน่นอน แม้ว่าเขาจะเป็นทายาทของบริษัทยักษ์ใหญ่ใน Upper Zone เช่นกัน แต่เขาก็ไม่ควรที่จะทำให้ลู่เทียนตี้เสียหน้ากลางที่สาธารณแบบนี้เลย !!!”
“นี่คนๆนี้พึ่งจะเข้าสู่ Upper Zone มาใหม่รึปล่าว ?”
ทุกคนที่อยู่บริเวณที่เกิดเหตุนั้นล้วนมองไปยังซือเฟิงด้วยความตกใจ พวกเขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอยู่ใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียนจริงๆ
ท้ายที่สุดแล้วบริษัทสตาร์ไลน์ก็ยังคงเป็นบริษัทสตาร์ไลน์ พวกเขามีทั้งอิทธิพลและคนของพวกเขาจำนวนมากที่นี่ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ทายาทของบริษัท
สตาร์ไลน์อย่างลู่เทียนตี้จะหยิ่งผยองมากๆ
แถมความหยิ่งผยองของลู่เทียนตี้นั้นมันยิ่งขึ้นไปมากกว่าลู่ชิงหลัว ที่เป็นทายาทคนก่อนหน้านี้ที่ถูกปลดไปด้วย เพราะว่าลู่เทียนตี้นั้นได้รับการสนับสนุนอย่างลับๆอยู่จากยักษ์ใหญ่ในชั้นกลางของ Upper Zone ของเมืองไห่เทียนด้วย ….
เมื่อลู่ชิงหลัวถูกปลดออกจากตำแหน่งทายาทของบริษัทสตาร์ไลน์ ลู่เทียนตี้ก็ได้ถูกแต่งตั้งเข้ามาแทนที่แทบจะทันที และเนื่องจากเรื่องนี้ของลู่เทียนตี้เอง มันก็ทำให้อิทธิพลของบริษัทสตาร์ไลน์ที่นี่เพิ่มขึ้นมากๆจนแม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆก็ยังไม่กล้าจะแตะต้อง
ไม่งั้นอี้กุ้ย พ่อบ้านของลู่เทียนตี้ก็คงจะไม่กล้าประกาศ และพูดอย่างหยิ่งผยองแบบนี้ต่อหน้าสาธารณชนแน่นอน
ขณะเดียวกันจี้ลั่วหรงที่ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังซือเฟิงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ และสงสัย เธอไม่คิดเลยว่ามันจะมีใครที่กล้ายืนหยัดขึ้นเพื่อเธอ ….
แต่อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นแบบนี้นั้น เธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะกังวลมากๆ เพราะท้ายที่สุดตัวตนของลู่เทียนตี้นั้นค่อนข้างพิเศษมากๆ และเขาจะได้ขึ้นไปอาศัยในชั้นกลางเมื่อไหร่มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ซึ่งนี่มันก็ทำให้แม้แต่บริษัทกรีนก๊อดก็ยังต้องให้ใบหน้าแก่เขา ….
แต่ตอนนี้ซือเฟิงกับกระทำการที่เป็นเหมือนการตบหน้าเขากลางที่สาธารณะ ….
“ชายหนุ่ม คุณนี่มันช่างกล้าหาญจริงๆ คุณรู้ไหมว่านายน้อยของฉันเป็นใคร ?” พ่อบ้านอี้กุ้ยอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังซือเฟิงด้วยดวงตาที่เย็นชา “หรือว่าคุณอยากจะเป็นศัตรูกับบริษัทสตาร์ไลน์ของเรา ?”
เขาได้พูดขู่ทั้งหมดไปก่อนหน้านี้ว่าหากจี้ลั่วหรงไม่ตอบรับคำเชิญของนายน้อยของเขา มันก็จะไม่มีใครใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียนกล้าแลกเปลี่ยนทรัพยากรกับเธอแน่นอน แต่ตอนนี้ซือเฟิงกับออกมาพูดโต้ตอบ และย้อนถามคำพูดของเขา ซึ่งนี่มันนับเป็นการตบหน้ากันชัดๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของอี้กุ้ย ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังซือเฟิงด้วยความเห็นใจ ตอนนี้เมื่ออี้กุ้ยเลือกจะใช้คำพูดแบบนี้ หากซือเฟิงพยายามจะต่อต้าน หรือยียวนต่อไป ผลที่ตามมามันจะย่ำแย่สำหรับเขาแน่นอน
และพูดกันตามตรง ซือเฟิงอาจมีสิทที่จะต้องเผชิญชะตากรรมที่แย่กว่าจี้ลั่วหรงเลยก็ได้ ซึ่งนั่นก็คือการถูกขับไล่ออกจาก Upper Zone โดยตรง
จี้ลั่วหรงที่ได้ยินคำพูดของอี้กุ้ยนั้นได้ตัดสินใจที่จะรีบเดินเข้ามาห้ามปรามการกระทำของซือเฟิง เพราะท้ายที่สุดแล้ว เธอไม่อยากจะลากคนที่ไม่เกี่ยวข้องให้เข้ามาเดือดร้อนไปกับเธอด้วย
แต่อย่างไรก็ตามมู่ฉินนั้นได้เข้ามาห้ามจี้ลั่วหรงเอาไว้
“น้องสาวที่น่ารัก คุณไม่ต้องเป็นห่วงหมอนั่นหรอก ….” มู่ฉินกล่าวพลางมองไปยังจี้ลั่วหรงที่มีท่าทีเป็นห่วงซือเฟิงด้วยรอยยิ้ม “เมื่อเขาออกหน้าแบบนี้ แม้แต่บริษัทสตาร์ไลน์ก็จะทำอะไรกับคุณไม่ได้แน่นอน”
ซือเฟิงนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นผู้มีอำนาจเกรด 1 ของ Upper Zone เท่านั้น แต่เขายังเป็นสุดยอดปรมาจารย์ฮั่วจินด้วย (นี่คือชื่อของศิลปะการต่อสู้ที่ซือเฟิงฝึก นับจากนี้แอดจะใช้ชื่อนี้ จะได้แยกศิลปะการต่อสู้แต่ละอย่างออกง่ายๆ ไม่ทับกัน) ดังนั้นทายาทของบริษัทสตาร์ไลน์อย่างลู่เทียนตี้ และพ่อบ้านอี้กุ้ยจะไม่สามารถทำอะไรกับเขาได้แน่นอน
จี้ลั่วหรงมองไปที่มู่ฉินด้วยความประหลาดใจ แม้ว่าเธอจะรู้สึกว่ามู่ฉินนั้นไม่ธรรมดา แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะกังวล “แต่ …”
อย่างไรก็ตามจี้ลั่วหรงยังพูดไม่ทันจบ เสียงที่ทุ้มลึกของซือเฟิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เป็นศัตรูแล้วมันยังไงล่ะ ?”
คำพูดที่ฟังดูง่ายๆของซือเฟิงนั้นทำให้ผู้คนโดยรอบอ้าปากค้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“นี่เขาเป็นบ้ารึไงกัน ?!”
“เขากล้าจะประกาศตัวเป็นศัตรูกับบริษัทสตาร์ไลน์แบบเปิดเผยเนี่ยนะ … เขาเบื่อชีวิตแล้วรึไงกัน ?!!”
ก่อนหน้านี้นั้นทุกคนไม่ได้หวาดกลัวบริษัทสตาร์ไลน์เลย เพราะท้ายที่สุดแล้วอำนาจของพวกเขาก็ล้วนมีเท่าๆกัน และทุกๆคนก็ล้วนเป็นผู้อยู่อาศัยในชั้นพื้นฐานของ Upper Zone เมืองไห่เทียนเหมือนกัน ดังนั้นพวกเขาจะต้องมากลัวบริษัทสตาร์ไลน์ไปทำไม ?
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ทั้งหมดมันได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อลู่เทียนตี้ ทายาทคนใหม่ของบริษัทสตาร์ไลน์นั้นมีคนที่อาศัยอยู่ในชั้นกลางหนุนหลังอยู่
พวกคนที่อาศัยอยู่ในชั้นกลางนั้นสามารถจะหาเหตุผลต่างๆนาๆมาทำให้บริษัทกรีน
ก๊อดไล่พวกเขาออกจาก Upper Zone ได้ง่ายๆเลย และต่อให้พวกเขาไม่ผิดอะไรเลย แต่กว่าจะพิสูจน์ได้มันก็จะต้องใช้เวลานานมาก ซึ่งระยะเวลานี้มันก็จะขยายออกไปอีกด้วย หากต้องการกลับเข้ามาใน Upper Zone เหมือนเดิม
อี้กุ้ยนั้นตกตะลึงไปชั่วครู่หนึ่งกับคำพูดของซือเฟิง ก่อนที่เขาจะแสดงท่าทีที่โกรธมากๆออกมา
“ชายหนุ่ม !!! คุณนี่ช่างรนหาที่ตายจริงๆ !!! ฉันคงจะต้องหักกระดูกคุณสักเล็กน้อยเพื่อสอนบทเรียนให้กับคุณ !!!”
แม้ว่าการต่อสู้กันจะถูกห้ามอย่างเด็ดขาดใน Upper Zone และผู้ที่กล้ากระทำมันก็จะถูกบริษัทกรีนก๊อดขับไล่ออกจาก Upper Zone อย่างถาวร แต่กฎนี้มันไม่ได้ครอบคลุมไปถึงการทะเลาะวิวาทกันเล็กๆ เพราะท้ายที่สุดแล้วบริษัทกรีนก๊อดนั้นเข้าใจดีว่าทุกคนที่ได้เข้ามาที่ Upper Zone ล้วนเป็นยักษ์ใหญ่และผู้มีความสามารถ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้อยากจะขัดแย้งกับคนเหล่านี้มากนัก การทะเลาะวิวาทเล็กๆจึงเป็นสิ่งที่พอจะยอมรับได้ ….
สำหรับอี้กุ้ย เมื่อเขาพูดจบ เขาก็พุ่งเข้าใส่ซือเฟิงทันที โดยในทุกๆที่ที่เขาเคลื่อนตัวผ่านนั้นก็ทำให้พื้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆเลย และเมื่อมาถึงตรงหน้าของซือเฟิง เขาก็ได้ปล่อยหมัดที่รวดเร็วออกไปโดยเล็งเข้าใส่ใบหน้าของซือเฟิงทันที
“หื้ม ?! เขาทำให้พื้นแตกได้แบบนี้ และมีความเร็วแบบนี้ นี่เขาเป็นสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนงั้นหรอ ?!!”
ทุกคนที่เห็นการเคลื่อนไหว และการกระทำของอี้กุ้ยที่พุ่งเข้าโจมตีซือเฟิงนั้นอดไม่ได้ที่จะตกใจ
แม้จะอยู่ใน Upper Zone แต่การจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนนั้นมันก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายๆ โดยคนๆหนึ่งนั้นจะต้องผ่านการฝึกฝนที่หนักและยากลำบากมากๆ เพราะท้ายที่สุดแล้วสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนทุกคนล้วนมีร่างกายที่แข็งแกร่งราวกับสัตว์ประหลาด
และสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนนั้นก็เป็นตัวตนที่ค่อนข้างจะได้รับความเคารพสูงมากจากบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ ….
ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการเลยว่าสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนนั้นได้ยอมมาเป็นพ่อบ้านให้กับทายาทของบริษัทสตาร์ไลน์
ในตอนนี้นั้น ในขณะที่คนอื่นๆรู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้ มันก็มีเพียงแต่จี้ลั่วหรง และลู่เทียนตี้เท่านั้นที่ไม่แปลกใจ
“มันจบแล้ว ….” จี้ลั่วหรงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว และหลับตาลง
เธอรู้มานานแล้ว เรื่องที่อี้กุ้ยนั้นเป็นสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนนั่นเพราะว่าอี้กุ้ยนั้นเคยเปิดเผยความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดให้เธอเห็นมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นเธอจึงรู้ดีเลยว่าอี้กุ้ยนั้นไม่ใช่คนธรรมดา
สำหรับปรมาจารย์ทั่วไปนั้น หากถูกอี้กุ้ยโจมตีโดยตรง อี้กุ้ยก็จะสามารถจะหักกระดูกพวกเขาจนพวกเขาต้องไปนอนโรงพยาบาลเป็นสิบเดือนได้สบายๆเลย ….
ตู้ม !!
การโจมตีของอี้กุ้ยนั้น แม้แต่ผู้ที่อยู่ห่างออกไปนับสิบหลาก็ยังสัมผัสได้ถึงคลื่นความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
ในเวลานี้หลายคนที่เฝ้ามองอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะหลับตาลง เพราะท้ายที่สุดแล้วต่อให้ซือเฟิงเป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ แต่ถ้าเขาถูกสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนอย่างอี้กุ้ยโจมตีโดยตรงแบบนี้ เขาก็จะเละแน่นอน ….
และตอนนี้มันมีเสียงระเบิดที่รุนแรงดังขึ้น ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าซือเฟิงได้ถูกอี้กุ้ยโจมตีโดยตรง ….
แต่เมื่อทุกคนเริ่มลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับภาพที่เห็น
“เป็นไปได้ยังไงกัน ?!”
พวกเขาได้เห็นซือเฟิงยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ซือเฟิงได้ใช้เพียงมือเดียวรับการโจมตีจากหมัดของอี้กุ้ยที่เข้ามา
ณ จุดนี้นั้น แม้แต่อี้กุ้ยซึ่งเป็นผู้โจมตีเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับเรื่องนี้ และพูดกันตามตรง เขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงด้วยซ้ำ
“คุณโจมตีเรียบร้อยแล้วสินะ …” ซือเฟิงกล่าวอย่างสบายๆ ขณะที่มองไปยังอี้กุ้ย “งั้นคราวนี้ก็ถึงตาฉันบ้าง !!!”
ตอนที่ 2843 สร้างชื่อเสียงใน Upper Zone
คำพูดของซือเฟิงนั้นทำให้อี้กุ้ยหน้าซีดลงไปทันที ….
เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมากที่ซือเฟิงสามารถจะป้องกันการโจมตีด้วยหมัดเมื่อครู่ของเขาได้ แต่นั่นมันก็เป็นเพียงแค่เรื่องที่น่าประหลาดใจเท่านั้น
โดยจากเรื่องที่น่าประหลาดใจเรื่องนี้ มันก็ทำให้เขาสามารถบอกได้เลยว่า ซือเฟิงนั้นน่าจะเป็นสุดยอดปรมาจารย์ฮั่วจิน หรือไม่ก็มีพลังใกล้เคียงนี้แน่นอน ….
ซึ่งในตอนแรกที่เขาปล่อยหมัดโจมตีซือเฟิงนั้นเขาใช้ความแข็งแกร่งที่เขามีเพียงห้าสิบเปอเซ็นต์เท่านั้นเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นมองว่าเป็นการใช้กำลังเต็มที่ต่อสู้ และทำให้เรื่องลุกลามเป็นเรื่องใหญ่
อย่างไรก็ตามตอนนี้ซือเฟิงกับแสดงพลังที่เหนือกว่าที่เขาคาดไว้ออกมาโดยสมบูรณ์ และซือเฟิงก็ทำให้เขาให้ต้องอับอายและเสียหน้าอย่างมากต่อหน้าสาธารณชน ซึ่งนี่มันเป็นการบังคับให้เขาต้องแสดงพลังที่แท้จริงทั้งหมดออกมา เพราะถ้าเขาไม่ทำนั้น เขาจะกลายเป็นที่หัวเราะในหมู่สาธารณชนของ Upper Zone แน่นอน หากแต่ว่าถ้าเขาทำแบบนั้น แล้วมันกลายเป็นเรื่องใหญ่ เขาก็จะโดนลงโทษอย่างหนักจากบริษัทกรีนก๊อดแน่นอน และถึงตรงนั้นแม้แต่ลู่เทียนตี้ก็จะไม่สามารถช่วยเขาได้
“ชายหนุ่ม คุณรนหาที่ตายแล้ว !!!”
อี้กุ้ยกล่าวพลางกัดฟัน จากนั้นสเต็ปเท้าของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป โดยเขาได้ก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าว และเหวี่ยงหมัดอีกข้างหนึ่งของเขาเข้าใส่ซือเฟิง
กำปั้นถล่มครึ่งก้าว !!
ครั้งนี้อี้กุ้ยได้เลือกจะทุ่มพลังอย่างเต็มที่ในทันที เพราะเขาต้องการจะทำให้ซือเฟิงเสียใจในสิ่งที่ซือเฟิงได้พูดไป
แต่ในครั้งนี้มันก็เหมือนกับครั้งก่อน ซึ่งซือเฟิงได้เลือกจะป้องกันการโจมตีของอี้กุ้ยด้วยมือเดียวเช่นเดิม
เมื่อเห็นดังนี้นั้นอี้กุ้ยก็ยิ้มอย่างเย็นชาออกมา
ความแข็งแกร่งห้าสิบเปอเซ็นต์ของเขานั้นไม่ได้เป็นภัยต่อสุดยอดปรมาจารย์ฮั่วจิน และสุดยอดปรมาจารย์ฮั่วจินก็สามารถจะรับการโจมตีแบบนี้ของเขาเอาไว้ได้สบายๆโดยใช้ความแข็งแกร่งและทักษะของตัวเอง แต่การโจมตีโดยใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ของเขานั้นมันแตกต่างออกไป แม้ว่าจะเป็นสุดยอดปรมาจารย์ฮั่วจินก็ตาม แต่หากเลือกจะใช้มือเดียวรับการโจมตีแบบนี้ของเขา กระดูกก็จะหักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน …. แต่ตอนนี้ซือเฟิงกับเลือกจะใช้มือเดียวรับหมัดของเขาจริงๆ ….
ตู้ม !
เสียงระเบิดดังขึ้นในอากาศ และมันก็เห็นได้ชัดเลยว่าคลื่นความรุนแรงจากการโจมตีนี้นั้นมันมากกว่าในครั้งก่อนอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่ออกมานั้นมันก็ทำให้อี้กุ้ยตกตะลึงมากๆ เพราะซือเฟิงนั้นสามารถรับการโจมตีจากหมัดของเขาไว้ได้ด้วยมือเดียวเช่นเดิม
เรื่องนี้มันทให้อี้กุ้ยรู้สึกสับสน และไม่เข้าใจมากๆว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง
“นี่ฉันกังวลว่าอาจมีบางอย่างไม่คาดคิดเกิดขึ้นจนใช้พลังออกไปไม่เต็มที่งั้นหรอ ?” อี้กุ้ยพึมพำ และพยายามหาเหตุผลที่มันสมเหตุสมผลที่สุดมารองรับกับเรื่องนี้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่งั้นสุดยอดปรมาจารย์ฮั่วจินจะไปสามารถป้องกันหมัดที่ใช้พลังหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ของเขาด้วยมือเดียวได้ยังไงกัน ?
อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ไม่ได้ให้เวลาอี้กุ้ยได้คิดกับเรื่องนี้นานนัก เขาได้ก้าวไปข้างหน้า และใช้ฝ่ามือของเขาผลักเข้าใส่บริเวณหัวใจของอี้กุ้ยทันที
ซึ่งความเร็วของฝ่ามือของซือเฟิงนั้นนั้นเร็วมากจนอี้กุ้ยไม่มีเวลาจะตอบโต้ใดๆ ….
อย่างไรก็ตามอี้กุ้ยนั้นก็ไม่ได้สนใจใดๆกับเรื่องนี้ เพราะร่างกายของเขานั้นสามารถจะสร้างการป้องกันขึ้นมาเองได้โดยสัญชาตญาณ เมื่อศัตรูโจมตีมาแบบนี้ กล้ามเนื้อร่างกายทั้งหมดของเขาจะเริ่มกระชับเข้าหากันจนมีความแข็งแกร่งเช่นเดียวกับเหล็กกล้า โดยมันสามารถจะรับการโจมตีที่รุนแรงที่เข้ามาและกระจายออกไปดั่งสายน้ำได้ ….
ซึ่งความสามารถแบบนี้นั้นคือความสามารถที่สุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนทุกคนมี …
สุดยอดปรมาจารย์ฮั่วจินนั้นจะเป็นที่รู้จักกันในเรื่องความสามารถของทักษะการต่อสู้ แต่สำหรับสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนนั้น พวกเขาจะเป็นที่รู้จักกันในเรื่องความแข็งแกร่งทางกายภาพ โดยหากทั้งสองฝ่ายมาต่อสู้กันนั้นสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนสามารถจะทนการโจมตีของสุดยอดปรมาจารย์ฮั่วจินได้นับพันครั้ง แต่หากสุดยอดปรมาจารย์ฮั่วจินถูกสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนโจมตีแม้แต่ครั้งเดียว พวกเขาก็อาจจะแพ้ได้ในทันทีเลย ….
ตู้ม !
ฝ่ามือของซือเฟิงโจมตีโดนอี้กุ้ยเต็มๆ แต่อย่างไรก็ตามอี้กุ้ยนั้นไม่ได้ถอยหลังไปหรือมีท่าทีใดๆเลย ตรงกันข้ามเขากับมองไปยังซือเฟิงด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันราวกับว่าฝ่ามือของซือเฟิงนั้นเป็นเพียงสายลมที่ไม่ควรกล่าวถึง
อย่างไรก็ตามไม่มีใครแปลกใจกับเรื่องนี้มากนัก ….
เนื่องจากนี่มันนับเป็นความสามารถตามปกติของสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนเลย ไม่งั้นเหล่ามหาอำนาจต่างๆใน Upper Zone คงจะไม่พยายามกันอย่างบ้าคลั่งเพื่อจะรับสมัครสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนหรอก
“ชายหนุ่ม ฉันยอมรับในความแข็งแกร่งของคุณนะ อย่างไรก็ตามมันเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะทำร้ายฉันได้ …” อี้กุ้ยกล่าวอย่างเหยียดหยาม “ในทางตรงกันข้ามด้วยความแข็งแกร่งและพลังของสุดยอดปรมาจารย์ฮั่วจิน คุณจะมีแรงโจมตีฉันไปได้อีกนานแค่ไหนกันนะ ?”
ในแง่ของการควบคุมร่างกายนั้นสุดยอดปรมาจารย์ฮั่วจินนั้นเก่งกาจกว่าสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดกันถึงด้านพละกำลังและร่างกายทางกายภาพนั้นสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนเหนือกว่ามาก
สุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนนั้นสามารถต่อสู้ได้สามวันสามคืนติดต่อกัน แต่สำหรับสุดยอดปรมาจารย์ฮั่วจินนั้นแค่ครึ่งวันก็เต็มกลืนแล้ว
ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ทั้งสองสายนี้จึงมักจะมีปัญหากระทบกระทั่งกันตลอดเวลา เพราะสายฮั่วจินก็ด่าว่าสายเหิงเหลียนเป็นแค่พวกเต่าหัวหด ขณะที่พวกสายเหิงเหลียนก็ตอบโต้ว่าสุดท้ายแค่ชนะมันก็พอแล้วไม่ใช่หรอ ….
มู่ฉินที่เฝ้าดูอยู่ด้านข้างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะกังวลเช่นกัน เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่าสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนจะยอมรับคนอย่างลู่เทียนตี้เป็นเจ้านาย สำหรับบริษัทโบลเดอร์ของเธอนั้น บริษัทต้องใช้ความพยายามอย่างมากเลยกว่าจะเชิญสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนมาทำงานให้ได้ และนอกจากพวกระดับผู้นำของตระกูลแล้ว สุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนก็ไม่เคยเกรงใจใครเลย
อย่างไรก็ตามตอนนี้อี้กุ้ย สุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนกับยอมรับลู่เทียนตี้เป็นเจ้านายอย่างแท้จริง
และเมื่อคนๆหนึ่งต้องมาเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดแบบนี้ใน Upper Zone ความเป็นอยู่ใน Upper Zone ของพวกเขาก็จะลำบากมากขึ้นแน่นอน
“มันไม่ได้ผลงั้นหรอ ?”
ในเวลานี้แม้แต่ซือเฟิงเองก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังอี้กุ้ยด้วยความประหลาดใจ
ตั้งแต่ที่ค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขาขึ้นไปอยู่ที่จุดสูงสุดของขั้นสี่ใน God domain นั้น เขาก็พบว่าในโลกแห่งความจริง การควบคุมร่างกายของเขาก็ดีขึ้นอย่างมากเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงเริ่มจะสามารถใช้เทคนิคที่เหมือนกับใน God domain ได้ในโลกแห่งความจริงแล้ว
นี่คือสาเหตุที่เขาจงใจจะยั่วยุอี้กุ้ย ….
เพราะตอนนี้เขาอยากรู้ว่าขีดจำกัดในปัจจุบันของเขานั้นอยู่ที่ตรงไหน ….
และเขาก็ได้รู้แล้วจริงๆ หลังจากที่เขาสามารถรับมือกับการโจมตีของอี้กุ้ยได้ด้วยมือเดียวแบบสบายๆ สำหรับตอนนี้ในตอนแรกเขาโจมตีนั้น เขาแค่ต้องการจะทดสอบอี้กุ้ยเท่านั้น อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาจะเริ่มเอาจริงแล้ว ….
สี่ฝ่ามือประสาน !!!
ซือเฟิงได้โจมตีออกไป แม้ว่าการโจมตีนี้ของเขามันจะดูเหมือนว่าเป็นฝ่ามือธรรมดาทั่วไป แต่จริงๆแล้วสี่ฝ่ามือที่ว่านี้มันได้หลอมรวมพลังทั้งหมดของเขาเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งการใช้เทคนิคโจมตีแบบนี้นั้นมันจะสูญเสียพลังงานอย่างมาก และต่อวันซือเฟิงก็ไม่น่าจะใช้ได้เกินสามครั้งด้วย
เมื่อโดนการโจมตีนี้เข้ามาอี้กุ้ยก็มองไปที่ซือเฟิงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
“ชายหนุ่ม มันถึงเวลบาที่ฉันจะต้องจัดการคุณสักที !!!”
อี้กุ้ยนั้นต้องการที่จะรีบเคลื่อนไหวโจมตีตอบโต้ทันที หากแต่ว่าเมื่อเขาต้องการจะเคลื่อนไหวนั้น ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน ก่อนที่จะล้มลงกับพื้น พร้อมกันนั้นเขาก็รู้สึกว่าดวงตาของเขาพร่ามัวไป
การเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันแบบนี้ทำให้อี้กุ้ยรู้สึกงุนงงและสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“นี่คุณทำอะไรกับฉันกัน ?!”
อี้กุ้ยเงยหน้าขึ้นไปมองซือเฟิงอย่างไม่เข้าใจ และสงสัยมากๆ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมซือเฟิงที่ใช้แค่ฝ่ามือโจมตีถึงทำให้เขาบาดเจ็บได้ขนาดนี้ ตอนนี้เขาไม่มีแม้แต่แรงจะลุกขึ้นยืนด้วยซ้ำ
สำหรับฝูงชน เมื่อได้เห็นฉากตรงหน้า พวกเขาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
“เอาชนะสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนได้ด้วยฝ่ามือเดียวเนี่ยนะ ?!”
“นี่เขาทรงพลังมากขนาดไหนกัน ?!”
ตอนนี้ทุกคนล้วนมองไปยังซือเฟิงราวกับมองสัตว์ประหลาด และพวกเขาก็แทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าจริงๆ ….
“ดูเหมือนว่าฉันจะเคยได้ยินข่าวของคนๆนี้มาก่อน เมื่อไม่นานมานี้มันมีอัจฉริยะสองคนปรากฎตัวขึ้นที่ Upper Zone ของเมืองหยวนเทียน โดยหนึ่งในนั้นเป็นผู้ที่ได้รับช่องเข้าสู่ Upper Zone มาจากบริษัทโบลเดอร์ และมันมีข่าวลือว่าเขาเป็นหัวหน้ากิลของสภาสิบแปดปีก แม้ว่าใน God domain นั้นแบล๊คเฟรมจะดูแตกต่างไปเล็กน้อย แต่เขาคนนี้ก็น่าจะเป็นหัวหน้ากิลสภาสิบแปดปีก แบล๊คเฟรมแน่นอน !!!”
“ไม่จริงน่า !!! เขาคือคนที่ทำให้ลู่ชิงหลัวต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งทายาทของบริษัทสตาร์ไลน์งั้นหรอ ?!!”
ไม่รู้ว่าใครคนอื่นหนึ่งอุทานเรื่องนี้ขึ้นมา แต่หลังจากนั้นมันก็เริ่มมีการบอกต่อๆกันไปในหมู่ฝูงชน และเมื่อทุกคนเริ่มตรวจสอบจนสามารถยืนยันได้อย่างแน่ใจว่าซือเฟิงคือแบล๊คเฟรม พวกเขาทั้งหมดก็ล้วนเต็มไปด้วยความเดือดพล่าน
ไม่มีใครคิดว่าจักรพรรดิดาบระดับตำนานใน God domain อย่างแบล๊คเฟรมจะมาปรากฎตัวขึ้นที่นี่ แถมตอนนี้เขายังสามารถล้มสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนได้ในฝ่ามือเดียวอีก นี่มันน่าเหลือเชื่อสุดๆไปเลย !!!
“เขาคือแบล๊คเฟรมที่พี่สาวกล่าวถึงงั้นหรอ ?”
จี้ลั่วหรงมองไปที่ซือเฟิง ในขณะที่ปากของเธอก็อ้าค้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อเช่นกันว่านี่มันเป็นเรื่องจริง ตอนนี้บุคคลในข่าวลือใน God domain ที่ทุกคนล้วนกล่าวว่าแม้แต่ห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังต้องปฎิบัติต่อคนๆนี้อย่างระมัดระวังได้มาปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าเธอแล้วจริงๆ
ตอนที่ 2844 แบล๊คเฟรมแห่ง God domain
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงกล้าจะยืนหยัดขึ้นต่อต้านลู่เทียนตี้ ที่แท้เขาก็คือคนที่ทำให้ลู่ชิงหลัวต้องพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ และถูกปลดจากตำแหน่งทายาทของ
บริษัทสตาร์ไลน์นี่เอง และตอนนี้แม้แต่ลู่เทียนตี้ก็ยังจะต้องปฎิบัติกับเขาด้วยความระมัดระวัง”
“สุดยอด !! นี่มันสุดยอดมากจริงๆ !!! ที่แท้ผู้มาใหม่ที่ได้รับอำนาจเกรด 1 ใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียนนั้นก็คือจักรพรรดิดาบแบล๊คเฟรมจริงๆ !!!”
“นี่มันน่าสนใจมาก ดูเหมือนว่าตอนนี้ลู่เทียนตี้จะชนเข้ากับแผ่นเหล็กกล้าซะแล้ว !!!”
สำหรับแบล๊คเฟรมนั้น ผู้ที่เล่น God domain ตอนนี้มันแทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขาเลย พวกเขาอาจไม่รู้มากนักเกี่ยวกับสถานการณ์ของแบล๊คเฟรมในโลกแห่งความจริง เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกเขามีหลายสิ่งที่ต้องทำ และในโลกแห่งความจริงนั้นมันก็มีหลายสิ่งผุดขึ้นทุกวัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้มีเวลาไปตรวจสอบคนๆเดียว
ซึ่งหากบางคนไม่ได้มีความสนใจในเรื่องราวของ God domain จริงๆ และจ่ายเงินเพื่อสืบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียด พวกเขาก็จะไม่ได้รู้เลยว่าใครเป็นใครในโลกแห่งความจริง ….
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนอย่างซือเฟิง ซึ่งเป็นบุคคลที่มักจะทำอะไรไม่ค่อยแคร์ใคร และไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนของตัวเองต่อหน้าสาธารณชน ดังนั้นแล้วนอกเหนือจากมหาอำนาจต่างๆ กิลชั้นสูงบางกิลก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวตนจริงๆของแบล๊คเฟรมนั้นคือซือเฟิง ….
แต่อย่างไรก็ตามสำหรับชื่อของแบล๊คเฟรมนั้นมันแตกต่างออกไป ….
เนื่องจากชื่อนี้นั้นมันโด่งดังมากๆใน God domain ดังนั้นมันจึงมีการบันทึกวีดีโอการต่อสู้และการเคลื่อนไหวต่างๆที่ทำให้ทั่วทั้ง God domain ตกตะลึงครั้งแล้วครั้งเล่าของคนๆนี้ เอาไว้โพสพูดคุย หรือแลกเปลี่ยน กับขายข้อมูลในฟอรั่มทางการของประเทศต่างๆใน God domain เสมอ และวีดีโอการต่อสู้ของแบล๊คเฟรมนั้นก็ถูกถือว่าเป็นโมเดลสำหรับนักดาบขั้นสูงแทบทุกคน
อาจกล่าวได้ว่าในทวีปด้านตะวันออกของ God domain นั้น ตราบใดที่ผู้เล่นได้เข้ามาเล่นที่นี่ พวกเขาก็จะต้องรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงพวกผู้เล่นระดับผู้เชี่ยวชาญที่อาศัยอยู่ใน Upper Zone เลย
แม้ว่าสภาสิบแปดปีกจะไม่มีภูมิหลัง และผู้สนับสนุนใดๆ แต่กิลก็พัฒนาตัวเองขึ้นมาจนกลายเป็นกิลชั้นยอดที่ทรงพลังที่ได้รับการยอมรับจากสาธารณชน ซึ่งสิ่งนี้มันมีอิทธิพลมากกว่ามหาอำนาจต่างๆที่พัฒนาตัวเองขึ้นมาภายใต้การสนับสนุน และภูมิหลังที่มี …. แถมสิ่งนี้มันยังส่งผลให้หลายคนเริ่มคิดว่าสภาสิบแปดปีกอาจจะสามารถไล่ตามอิทธิพลของห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดได้ทันในอนาคต
หรือจะให้พูดง่ายๆก็คือ ตอนนี้สภาสิบแปดปีกได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ของ God domain แล้วนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้จี้ลั่วหรงจึงได้แต่รู้สึกราวกับว่าเธอกำลังฝัน ขณะที่เธอมองไปยังซือเฟิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
และในระหว่างที่ทุกคนกำลังกระซิบพูดคุยกันในเรื่องนี้เบาๆนั้น ลู่เทียนตี้ซึ่งยืนเงียบอยู่นานก็ได้เดินเข้ามาหาซือเฟิงอย่างช้าๆ
“ต้องขอโทษเรื่องที่ทำตัวไม่สุภาพด้วยจริงๆ ที่แท้คุณก็คือหัวหน้ากิลสภาสิบแปดปีก แบล๊คเฟรม ผู้ที่เอาชนะลู่ชิงหลัวได้นี่เอง …” ลู่เทียนตี้กล่าวพลางมองไปยังซือ
เฟิงด้วยรอยยิ้มบางๆ และดูจากท่าทีแล้วเขาก็ไม่ได้แสดงออกถึงอาการโกรธเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าซือเฟิงจะทำให้พ่อบ้านของเขาอย่างอี้กุ้ยบาดเจ็บสาหัสก็ตาม ก่อนที่ลู่เทียนตี้จะกล่าวต่ออีกว่า “แล้วก็สวัสดี ฉันคือลู่เทียนตี้ ทายาทคนปัจจุบันของ
บริษัทสตาร์ไลน์ และหัวหน้ากิลคนปัจจุบันของสตาร์ลิ้ง ฉันต้องขอขอบคุณ คุณอย่างมากจริงๆหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมที่คุณทำให้ลู่ชิงหลัวนั้นพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ ไม่งั้นฉันคงต้องใช้ความพยายามอีกราวปีครึ่งหรือมากกว่านั้นเลยกว่าที่ฉันจะขึ้นไปแทนที่เขาได้”
“ไม่จำเป็นต้องมาขอบคุณฉันเรื่องนั้นหรอก ฉันก็แค่ทำเพราะสตาร์ลิ้งกับสภาสิบแปดปีกเป็นศัตรูกัน …” ซือเฟิงกล่าวอย่างสบายๆ
คนอื่นอาจไม่รู้จักลู่เทียนตี้มากนัก แต่เขารู้จักชายคนนี้เป็นอย่างดี
เพราะลู่เทียนตี้นั้นเป็นหนึ่งในผู้เล่นขั้นหกที่เป็นที่รู้จักกันดีของ God domain ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา โดยในเวลานั้นชายคนนี้ไม่ได้เข้าร่วมกับกิลใดๆ แต่เขามีทีมนักผจญภัยเป็นของตัวเอง โดยทีมนักผจญภัยของเขานั้นอยู่ภายใต้สตาร์ลิ้ง
หากมองแค่ผิวเผินนั้นลู่เทียนตี้ก็จะดูเป็นคนใจดีและไม่มีอะไร แต่อย่างไรก็ตามความเป็นจริงจิตใจของเขานั้นมันยากจะหยั่งถึงมากๆ ในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิงเขาเคยหลอกใช้มหาอำนาจจำนวนหนึ่งจนเปื่อย และกว่าที่มหาอำนาจพวกนั้นจะรู้ตัวลู่เทียนตี้ก็ได้รับผลประโยชน์ไปอย่างมหาศาลแล้ว ด้วยเหตุผลนี้มหาอำนาจต่างๆตอนนั้นจึงเกลียดชังลู่เทียนตี้มากๆ
แต่อย่างไรก็ตามมันเป็นเพราะความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาของลู่เทียนตี้ และทีมนักผจญภัย Tremorous Clown ของเขาที่ติดอันดับหนึ่งในเจ็ดทีมนักผจญภัยสายมืดที่แข็งแกร่งที่สุด มันจึงทำให้มหาอำนาจต่างๆนั้นไม่กล้าแตะต้องเขาเลย
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมอย่าพูดแบบนั้นสิ ลู่ชิงหลัวก็คือลู่ชิงหลัว และฉันก็คือฉัน มันมีหลายคนกลุ่มบริษัทสตาร์ไลน์ที่ไม่พอใจกับความหยิ่งผยองของลู่ชิงหลัวเช่นกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วลู่ชิงหลัวนั้นก็เป็นลูกผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน ดังนั้นมันจึงไม่มีใครกล้าทำอะไรเขา อย่างไรก็ตามตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว และสตาร์ลิ้งภายใต้การนำของฉันมันก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว พวกเราไม่ต้องการจะเป็นศัตรูกับคุณอีก หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม และถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากจะขอเป็นตัวแทนของสตาร์ลิ้งทำสัญญาเป็นพันธมิตรกับสภาสิบแปดปีกด้วยซ้ำ ….” ลู่เทียนตี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “และเนื่องจากมิสจี้ลั่วหรงเป็นเพื่อนของหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ดังนั้นฉันก็จะเลิกที่จะเชิญเธอให้มาเข้าร่วมกับฉัน และก็อย่างที่ฉันพูดไปข้างต้น ฉันอยากจะขอเป็นพันธมิตรกับสภาสิบแปดปีกจริงๆ สำหรับการพิสูจน์ความจริงใจในเรื่องนี้ ฉันยินดีจะชดใช้ค่าเสียหายสำหรับความหยาบคายที่ฉันทำกับคุณคุณและมิสจี้ลั่วหรงในเรื่องนี้ด้วยเจ้านี่เลย …”
เมื่อพูดจบลู่เทียนตี้ก็ได้ทำการส่งข้อมูลของโพชั่นแฟนธ่อมจำนวนหนึ่งที่เขาต้องการจะขายให้ซือเฟิงในราคาทุนด้วยรอยยิ้ม ซึ่งนี่มันก็ทำให้ทุกคนที่เฝ้าดูอยู่นั้นอดจะอิจฉาไม่ได้ ไม่เว้นแม้แต่จี้ลั่วหรง ….
เพราะท้ายที่สุดแล้วตอนนี้เธอนั้นเป็นผู้มีอำนาจเกรด 2 ใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียน และหากเธอได้รับโพชั่นจำนวนนี้มามันก็จะทำให้เธอสามารถทะลวงจิตและเข้าไปสู่ขอบเขตที่แข็งแกร่งขึ้นได้แน่นอน ซึ่งเมื่อเป็นแบบนั้นเธอก็จะได้รับอำนาจเกรด 1 ซึ่งผู้มีอำนาจเกรด 1 ใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียนนั้นมีไม่ถึงสามร้อยคนเลย และทุกคนก็ล้วนเป็นเป้าหมายของบริษัทกรีนก๊อด
และแม้ว่ากองกำลังใน Upper Zone จะต้องการกำหนดเป้าหมายมาที่เธอ แต่ความยากในการจะจัดการเธอมันก็จะสูงขึ้นมาก สำหรับเรื่องทรัพยากรเธอก็จะไม่ต้องเครียดด้วย เพราะผู้มีอำนาจเกรด 1 นั้นสามารถรับงานที่มีรางวัลเป็นทรัพยากรดีๆจากบริษัทกรีนก๊อดได้
“ขอบคุณสำหรับความกรุณาของคุณ หัวหน้ากิลลู่เทียนตี้ แต่อย่างไรก็ตามฉันมีคน และกิลที่ฉันต้องการจะทำงานด้วยอยู่ข้างกายแล้ว และฉันไม่ต้องการคนอื่นๆหรือกิลอื่นๆเพิ่มเติมอีก” ซือเฟิงกล่าวปฎิเสธอย่างรวดเร็ว “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเราขอตัว”
“เป็นอย่างนั้นงั้นหรอ … น่าเสียดายจริงๆ …” ลู่เทียนตี้กล่าวพลางถอนหายใจ “แต่ถ้าหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมคิดจะเปลี่ยนใจ คุณสามารถติดต่อฉันมาได้ทุกเมื่อเลยนะ ….”
ซือเฟิงพยักหน้าและยิ้มอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะพามู่ฉินและจี้ลั่วหรงเดินออกจากบริเวณห้องฝึกจิตไปท่ามกลางสายตาที่เฝ้าดูอยู่ของลู่เทียนตี้ และอี้กุ้ย …
หลังจากนั้นเมื่อเหตุการณ์สงบ และทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว อี้กุ้ยก็ได้ดื่มโพชั่นแห่งชีวิตเข้าไปหนึ่งขวด ซึ่งมันช่วยให้ร่างกายของเขาฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว
ซึ่งในขณะนี้เอง อี้กุ้ยก็อดไม่ได้ที่จะกระซิบกับลู่เทียนตี้ว่า “นายน้อย แบล๊คเฟรมคนนี้หยิ่งผยองมากเกินไป แม้ว่าคุณจะขอร่วมมือกับเขาอย่างจริงใจ แต่เขาก็เลือกจะปฎิเสธโดยไม่คิดเลย แถมจากสายตาของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าพวกเราเป็นแค่ขวากหนามด้วย เราควรจะมอบบทเรียนให้กับเขาสักหน่อยนะ …”
แม้ว่าอี้กุ้ยจะพ่ายแพ้ให้ซือเฟิง แต่เขาก็เห็นอย่างชัดเจนว่าหลังจากที่ซือเฟิงใช้การโจมตีที่สามารถเอาชนะเขาได้เมื่อครู่ไป ซือเฟิงก็หน้าซีดและดูอ่อนแอไปเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงยังคงมั่นใจอยู่ในระดับหนึ่งว่า หากลู่เทียนตี้สนับสนุนอย่างเต็มที่ เขาก็น่าจะสอนบทเรียนให้กับซือเฟิงได้
“ฉันรู้น่า อย่างไรก็ตามเขาแข็งแกร่งมากๆ และสามารถใช้แม้กระทั่งเทคนิคจาก God domain ในโลกแห่งความจริงได้ ดังนั้นคุณคนเดียวรับมือเขาไม่ไหวแน่นอน เดี๋ยวฉันจะติดต่อให้พี่หวังมาร่วมมือกับคุณจัดการกับเขา …” ลู่เทียนกล่าวอย่างเรียบเฉย
“ให้มิสเตอร์หวังมาช่วยด้วยงั้นหรอ ?” อี้กุ้ยนั้นทั้งรู้สึกประหลาดใจและดีใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “ถ้าเป็นอย่างนั้นแบล๊คเฟรมจะได้ตายแน่นอน !!!”
สำหรับมิสเตอร์หวังคนนี้นั้นเขาคือพี่ชายของลู่เทียนตี้ที่อยู่ห่างเพียงครึ่งก้าวจากการเป็นปรมาจารย์ทางจิต และเขาก็ยังอาศัยอยู่ในพื้นที่ชั้นกลางของ Upper Zone มาโดยตลอดด้วย
การที่ได้รับความช่วยเหลือจากคนแบบนี้ในการจัดการกับแบล๊คเฟรม ทุกอย่างมันจะง่ายขึ้นแน่นอน ….
“อย่างไรก็ตามตอนนี้เมื่อคุณกลับไปให้รีบแจ้งคนของเราทั้งหมดทันทีว่าให้รีบทำลายทีมนักผจญภัยของจี้ลั่วหรงโดยเร็วที่สุด” ลู่เทียนตี้กล่าวอย่างสบายๆ “เนื่องจากฉันไม่สามารถรับสมัครพวกเขาได้ ดังนั้นก็จะต้องไม่มีใครได้พวกเขาไปเช่นกัน !!!”
“ไม่ต้องกังวลนายน้อย ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่นายน้อยสั่งอย่างรวดเร็วแน่นอน !!!” อี้กุ้ยกล่าวพลางหัวเราะ
ลู่เทียนตี้พยักหน้ารับ ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในห้องฝึกจิต ….
ตอนที่ 2845 ผนึกที่กำลังจะพังทลาย
ชุมชนเป่ยซาน Upper Zone ของเมืองไห่เทียน :
เมื่อได้มองไปที่วิลล่าหรูสามชั้นที่มีขนาดเท่ากับสนามบาสเก็ตบอลสองสนาม ซือ
เฟิงก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“นี่คุณอาศัยอยู่ในที่แบบนี้มาตลอดเลยงั้นหรอ ?!”
ซือเฟิงมองไปยังจี้ลั่วหรงที่นำทางเขามาด้วยท่าทีประหลาดใจ
เนื่องจากวิลล่านี้มันดูแทบจะหรูหรากว่าวิลล่าที่บริษัทโบลเดอร์ซื้อไว้ซะอีก แถมมันยังครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า ขณะที่ราคาของวิลล่าที่บริษัทโบลเดอร์ซื้อนั้นก็สูงถึง สามสิบล้านคะแนนการค้าแล้ว ดังนั้นวิลล่านี้ก็น่าจะมีราคาสูงกว่ามาก
ที่ Upper Zone นั้น จี้ลั่วหรงอาจกล่าวได้ว่าไร้พลังอย่างสิ้นเชิง เพราเธอมีเพียงแค่ตัวคนเดียวเท่านั้น โดยที่เธอมีเพียงแค่ตระกูลที่อาศัยอยู่ภายนอกเท่านั้นที่คอยสนับสนุนเธออยู่ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการเลยว่าจี้ลั่วหรงจะสามารถจ่ายค่าวิลล่าหลังใหญ่นี้ได้
ไม่ต้องพูดถึงซือเฟิงเลย แม้แต่มู่ฉินก็ยังรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้เช่นกัน โดยปกติวิลล่าแบบนี้นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถซื้อได้ง่ายๆเลยในชั้นพื้นฐาน และอย่างน้อยผู้ซื้อมันก็จะต้องเป็นผู้มีอำนาจเกรด 1 หรือเหนือกว่าขึ้นไป แต่ข้อมูลที่เธอได้ตรวจสอบจี้ลั่วหรงมานั้น เธอเป็นเพียงผู้มีอำนาจเกรด 2 เท่านั้น และเธอก็มีเพื่อนอีกคนหนึ่งที่เป็นผู้มีอำนาจเกรด 2 เช่นกัน ดังนั้นหากพูดกันตามเหตุผลแล้วเธอนึกไม่ออกจริงๆว่าจี้ลั่วหรงไปซื้อวิลล่านี้มาได้ยังไง
“นี่คือวิลล่าที่ปู่ของฉันทิ้งไว้ให้ ….” จี้ลั่วหรงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพราะตระกูลของฉันนั้นได้ล่มสลายไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถอาศัยอยู่ได้แค่ภายนอกเท่านั้น แต่เพราะความสามารถทางจิตของฉันค่อนข้างดี ดังนั้นทางตระกูลจึงให้ปู่ทำการมอบที่ที่เหลืออยู่ที่เดียวให้ฉัน”
เมื่อจี้ลั่วหรงพูดจบ ซือเฟิงก็รู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้อยู่เล็กน้อย
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแต่เดิมเฟิงเฉียนหยูถึงไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ และมีเพียงจี้ลั่วหรงเท่านั้นที่อาศัยอยู่ที่นี่
อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็เข้าใจในจุดนี้ดี เพราะท้ายที่สุดแล้ว Upper Zone นั้นดำรงอยู่มานานแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีตระกูลที่ล่มสลาย ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม และต้องออกจาก Upper Zone ไป ….
สำหรับตระกูลของจี้ลั่วหรงนั้นเห็นได้ชัดว่าเคยเป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากใน Upper Zone อย่างเห็นได้ชัด เพราะไม่งั้นพวกเขาคงจะไม่สามารถรักษาวิลล่านี้ และสิทในการอยู่อาศัยของจี้ลั่วหรงไว้ได้
ส่วนเรื่องความสามารถที่น่ากลัวทั้งหมดของเฟิงเฉียนหยูที่ซือเฟิงเคยได้ยินจากชีวิตที่ผ่านมานั้น ตอนนี้มันก็เริ่มมีเหตุผลหลายๆอย่างที่เริ่มมารองรับเรื่องนี้แล้ว ….
ในขณะที่จี้ลั่วหรงกำลังเล่าเรื่องราวของตระกูลเธอและตัวเธอให้ซือเฟิงกับมู่ฉินฟัง เธอก็ได้นำทั้งสองเดินเข้าไปในวิลล่า ….
ซึ่งนี่มันก็ทำให้ซือเฟิงต้องยอมรับเลยว่าวิลล่าแบบนี้มันก็ดีตามราคาจริงๆ นอกจากมันจะมีพื้นที่ที่กว้างขวางมากแล้ว มันยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าบ้านทั่วไปอีก และนอกเหนือจากนี้ผลต่อสภาพจิตของที่นี่มันก็ยังดีกว่าที่บ้านทั่วไปมากด้วย ซึ่งหากซือเฟิงได้มาฝึกที่นี่ เขาก็คิดว่าเขาน่าจะสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตทางจิตต่อไปได้อย่างรวดเร็วแน่นอน ….
ขณะเดียวกันนั้นซือเฟิงก็ได้เริ่มพูดคุยกับจี้ลั่วหรง และเรียนรู้ถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของเธอ อีกทั้งเขาก็ยังได้บอกเธอถึงการปรากฎตัวของเฟิงเฉียนหยูใน God domain
ซึ่งข่าวของเฟิงเฉียนหยูนั้นมันก็ทำให้จี้ลั่วหรงถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา
หลังจากเฟิงเฉียนหยูหายตัวไป เธอก็กังวลมากเช่นกัน และเธอก็ได้ตามสืบจนพบว่าเฟิงเฉียนหยูนั้นถูกส่งไปอยู่ที่ Upper Zone ซึ่งเธอก็ได้พยายามค้นหาทั่ว Upper Zone ชั้นพื้นฐานของเมืองไห่เทียนแล้ว แต่เธอก็ไม่พบตัวพี่สาวของเธอเลย ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่ทำใจในเรื่องนี้ …
อย่างไรก็ตามเธอก็คิดไม่ได้ว่าที่เรื่องนี้มันเกิดขึ้นนั้น มันเป็นเพราะเธอหรือปล่าว บางทีพี่สาวของเธออาจจะถูกขู่บางอย่างที่เกี่ยวกับความเป็นความตายของเธอ และถูกบังคับพาไปอาศัยอยู่ใน Upper Zone ชั้นกลางสักแห่ง
แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้เมื่อเธอได้รู้ว่าเฟิงเฉียนหยูปรากฎตัวขึ้นใน God domain อีกครั้งแล้ว มันก็ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา เพราะอย่างน้อยเธอก็ได้รู้ว่าตอนนี้พี่สาวของเธอปลอดภัย
“โอ้ใช่แล้ว ว่าแต่ทำไมจู่ๆลู่เทียนตี้ถึงมาตามหาตัวคุณ …?” ซือเฟิงถามจี้ลั่วหรงด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ก่อนหน้านี้พวกคุณมีความไม่พอใจอะไรกันเกิดขึ้นรึปล่าว ?”
จุดประสงค์หลักที่เขามาในครั้งนี้ก็เพื่อดูสถานการณ์ของจี้ลั่วหรง เพราะท้ายที่สุดเขาได้สัญญากับเฟิงเฉียนหยูไว้แล้วว่าเขาจะช่วยเธอดูแลจี้ลั่วหรง ดังนั้นเขาจึงจำเป็นที่จะต้องรู้เรื่องราวของเธอทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องของเธอกับลู่เทียนตี้เพื่อที่เขาจะได้เตรียมรับมือได้อย่างถูกต้อง
“ฉันไม่ได้มีความไม่พอใจหรือปัญหาใดๆกับเขาเลย และการพบกันวันนี้ของเรามันก็เป็นการพบกันครั้งที่สองเท่านั้น …” จี้ลั่วหรงถอนหายใจ และเธอก็กล่าวต่อว่า “สำหรับเรื่องจุดประสงค์ของลู่เทียนตี้ในเรื่องนี้นั้นมันก็คือการที่เขาต้องการจะผสานรวมทีมนักผจญภัยเอเทอนอลกลอรี่ของฉันเข้ากับทีมนักผจญภัย Tremorous Clown ของเขา …”
“หื้ม ?” ซือเฟิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้
เขาจำได้ว่าในชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นทีมนักผจญภัย Tremorous Clown นั้นมักจะปฎิบัติงานอยู่ในทวีปด้านตะวันตกตลอดเวลา ขณะที่สมาชิกในทีมแต่ละคนนั้นก็มีความแข็งแกร่งสูงมาก โดยที่จุดสูงสุดนั้นพวกเขามีผู้เล่นขั้นหกถึงสามคน และผู้เล่นขั้นห้าถึงเก้าคน ซึ่งพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่มหาอำนาจต่างๆจะยั่วยุได้ง่ายๆเลย
สำหรับเรื่องการที่จะได้เข้าสู่ทีมนักผจญภัยทีมนี้นั้มันก็ยากมาก เพราะเงื่อนไขในการรับสมัครของทีมนักผจญภัย Tremorous Clown นั้นสูงมาก และโดยส่วนใหญ่มันก็จะมีแต่พวกขั้นสี่ขึ้นไปเท่านั้นที่จะสามารถผ่านไปได้
ส่วนจี้ลั่วหรงและทีมนักผจญภัยที่เธอก่อตั้งขึ้นนั้น ซือเฟิงรู้เรื่องราวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตามแม้ว่าเธอจะไม่เก่งกาจเท่าเฟิงเฉียนหยู (ฟีนิกซ์เรน) แต่ท้ายที่สุดที่จุดสูงสุดเขาก็จำได้ว่าจี้ลั่วหรงนั้นอยู่ในสถานะร่างครึ่งเทพแล้ว (ครึ่งก้าวก่อนเป็นขั้นหกน่ะ) แถมนอกเหนือจากเธอแล้วทีมนักผจญภัยของเธอยังมีผู้เล่นขั้นหกหนึ่งคน และผู้เล่นขั้นห้าอีกสามคนด้วย ซึ่งนี่มันทำให้ความแข็งแกร่งของทีมนักผจญภัยของเธอในตอนนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากิลชั้นสูงมากนักเลย ….
แต่สำหรับตอนนี้เท่าที่เขารู้มาทีมนักผจญภัยทีมนี้ของจี้ลั่วหรงนั้นยังคงอยู่ในสถานะที่อ่อนแอมากๆ และอาจจะถึงขั้นที่ว่าพวกเขาไม่มีขั้นสี่อยู่ในทีมเลย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าทำไมลู่เทียนตี้ถึงได้มาสนใจทีมนักผจญภัยแบบนี้
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกจี้ลั่วหรง แต่จากข้อมูลที่เขามีนั้น ตอนนี้ทีมนักผจญภัย Tremorous Clown ก็น่าจะแข็งแกร่งในระดับหนึ่งแล้ว แถมเมื่อได้รับการสนับสนุนจากสตาร์ลิ้งอีก ความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาก็คงจะสูงมาก ดังนั้นนี่มันจึงเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจจริงๆที่พวกเขาต้องการจะมารับสมัครทีมนักผจญภัยเอเทอนอลกลอรี่ของจี้ลั่วหรง
“ฉันรู้นะว่าคุณคิดอะไร แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของทีมนักผจญภัยของฉันนั้นมันไม่มากพอที่จะทำให้ลู่เทียนตี้สนใจอยู่แล้ว …. สิ่งที่ลู่เทียนตี้สนใจคือมรดกพิเศษที่สมาชิกในทีมนักผจญภัยของฉันได้รับมาน่ะ …” จี้ลั่วหรงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อไม่นานมานี้ทีมนักผจญภัยของเราได้เข้าไปสำรวจในดินแดนลับที่พิเศษมากๆมา โดยมันมีช่องทางเข้าสู่โลกขนาดใหญ่ที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ นอกจากนี้มันก็ยังมีเทพขั้นหกที่น่าสงสัยด้วย”
“แต่อย่างไรก็ตามจากข้อมูลที่เทพขั้นหกคนนั้นบอกมานั้น ดูเหมือนว่าผนึกของโลกนี้กำลังจะพังทลายลง และสงครามโลกกำลังจะเกิดขึ้น โดยทีมนักผจญภัยของเรานั้นได้รับมรดกพิเศษจากเทพคนนั้นที่จะช่วยปิดผนึกโลกนี้ไว้เช่นเดิมมา ซึ่งมันจะต้องแลกกับค่า EXP จำนวนมหาศาลของเรา และนี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่จะยับยั้งไม่ให้เกิดสงครามโลกได้”
“โดยในตอนนั้นนอกเหนือจากทีมนักผจญภัยของเราแล้ว มันยังมีผู้เล่นอื่นๆเข้ามาด้วย ซึ่งฉันคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นคนของทีมนักผจญภัย Tremorous Clown”
เมื่อได้ฟังคำพูดของจี้ลั่วหรง ซือเฟิงก็ตกตะลึงอย่างมาก
เพราะในชีวิตที่ผ่านมาของเขา เขาก็เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน และพอมาในชีวิตนี้จี้ลั่วหรงก็ยังได้มาการันตีอีกว่ามันเป็นเรื่องจริง แถมนอกเหนือจากคำการันตีของจี้ลั่วหรงแล้ว เขายังเคยเดินทางไปยังโลก God domain ยุคโบราณแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถเชื่อได้เลยว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการเดินทางออกมาจากโลกอื่นๆ และมาทำสงครามกับโลกบุคปัจจุบันของ God domain ที่เขาอยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นการปรากฎตัวของพวกร้อยผีโดดเดี่ยว ซือเฟิงจึงยิ่งแน่ใจกับเรื่องนี้มากขึ้นมาก และจากที่ซือเฟิงคาดเดานั้น ในสงครามโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น พวกเขาก็อาจจะต้องต่อสู้กับผู้เล่นจากทวีปดวงดาวด้วย ….
ซึ่งหากมันเป็นแบบนี้จริงๆ มันก็จะบังเกิดหายนะขึ้นในทวีปหลักของ God domain ยุคปัจจุบันตอนนี้แน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกผู้เล่นจากทวีปดวงดาวนั้นมีทรัพยากรใน God domain ที่ดีกว่าผู้เล่นในทวีปหลักของ God domain ยุคปัจจุบันมาก และนี่มันก็ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งมากๆแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ในทวีปหลักของ God domain ยุคปัจจุบันด้วยซ้ำ … ดังนั้นหากมีการรุกรานเกิดขึ้นจริงๆ มันก็มีสิทสูงมากที่มหาอำนาจหลายกลุ่มในทวีปหลักของ God domain ยุคปัจจุบันจะต้องล่มสลายไป ….
แม้แต่สภาสิบแปดปีกของเขาในปัจจุบัน หากต้องเผชิญกับปัญหานี้มันก็จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัดแน่นอน
ซึ่งหากผนึกพังทลายลงจริงๆ มันก็มีสิทที่กิลของเขาจะไม่สามารถทำอะไรได้เลยด้วยซ้ำ
และเมื่อมาถึงจุดนี้ซือเฟิงก็ได้เข้าใจแล้วว่าทำไมลู่เทียนตี้ถึงต้องการจี้ลั่วหรง และทีมนักผจญภัยของเธอมากนัก เพราะท้ายที่สุดถ้าผนึกพังทลายลงเมื่อไหร่ เหล่าคนที่มีมรดกพิเศษเหล่าจะนับเป็นไพ่ที่ดีแน่นอน
สำหรับมู่ฉิน เมื่อเธอได้ยินเรื่องนี้ใบหน้าของเธอนั้นก็มืดมนลงเช่นกัน ฟรอสต์ฮีฟเว่น
ของเธอนั้นก็ได้รับข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้มาบ้างเช่นกัน แต่เธอก็ยังคงไม่อยากจะเชื่อ ….
อย่างไรก็ตามเมื่อเธอได้รับคำยืนยัน และข้อมูลเพิ่มเติมจากจี้ลั่วหรง พร้อมกับได้เห็นท่าทีของลู่เทียนตี้นั้น เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องทำใจเชื่อในเรื่องนี้
โดยในตอนนี้เธอก็รู้สึกดีใจมากๆที่ได้ติดตามซือเฟิงมาที่ Upper Zone ของเมืองไห่เทียน และได้มารับฟังคำยืนยัน และข้อมูลเพิ่มเติมจากจี้ลั่วหรง เพราะหาก
ฟรอสต์ฮีฟเว่นของเธอยังคงทำตัวครึ่งๆกลางไม่เชื่อเรื่องนี้ และเตรียมตัวไม่ดีนั้น
ฟรอสต์ฮีฟเว่นก็อาจจะล่มสลายได้เลยอย่างแน่นอน
เมื่อมู่ฉินได้คิดไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง เธอก็จ้องมองไปยังซือเฟิง ก่อนที่จะหันไปหาจี้ลั่วหรง และพูดอย่างจริงจังว่า “ลั่วหรง เนื่องจากตอนนี้ลู่เทียนตี้จับจ้องคุณอยู่ และการที่ซือเฟิงกับคุณไปทำให้เขาเสียหน้าแบบนี้ ฉันก็คิดว่าเขาคงจะไม่ปล่อยให้คุณอยู่อย่างสงบใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียนแน่นอน คุณควรจะย้ายไปที่ Upper Zone แห่งอื่นๆจะปลอดภัยกว่า ซึ่งตอนนี้ตัวฉันนั้นได้อาศัยอยู่ใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียน และยังมีวิลล่าอยู่ในเขตด้วย แม้ว่ามันจะไม่ดีเท่าที่นี่ แต่มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาในการฝึกและใช้ชีวิตประจำวันของคุณ คุณสนใจจะไปกับฉันไหม ?”
เธอนั้นรู้ดีถึงนิสัยของคนอย่างลู่เทียนตี้ ตราบใดที่เขาคิดจะนับคนๆหนึ่งเป็นศัตรูแล้ว เขาจะไม่ปล่อยไปง่ายๆแน่นอน นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเขามีทั้งบริษัทสตาร์ไลน์ และคนจาก Upper Zone ชั้นกลางของเมืองไห่เทียนคอยสนับสนุนอีก
“ย้ายไปอยู่ที่ Upper Zone ของเมืองหยวนเทียนงั้นหรอ ?”
จี้ลั่วหรงรู้สึกลังเลกับข้อเสนอนี้ แต่เธอก็รู้ดีว่ามู่ฉินนั้นพูดถูก เธอไม่สามารถจะอาศัยอยู่ใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียนได้แล้วแน่นอน เว้นแต่ว่าเธอจะได้ขึ้นไปอยู่อาศัยในชั้นกลางเลย ซึ่งมันยังเป็นไปไม่ได้แน่นอน
“มิสลั่วหรง หากคุณไม่สะดวกใจที่จะไปอยู่กับคนของฉัน คุณก็สามารถจะมาอาศัยอยู่กับฉันโดยตรงได้เลย แม้ว่าบริษัทโบลเดอร์ของเราจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับบริษัท
สตาร์ไลน์ในตอนนี้ แต่พวกเราก็มีรากฐานที่มั่นคงอยู่ใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียนนะ” มู่ฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม ….
“มิสมู่ฉิน อย่าพึ่งเข้าใจผิด ฉันไม่ได้ไม่สะดวกในเรื่องนั้น ความจริงต้องบอกว่าฉันยินดีมากๆด้วยซ้ำ ..” จี้ลั่วหรงส่ายหัว และพูดว่า “เพียงแต่ว่าตอนนี้ฉันเป็นห่วงเพื่อนของฉันบางคนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ใน Upper Zone หากลู่เทียนตี้คิดจะจัดการกับพวกเขา พวกเขาคงจะแย่แน่ๆ ….”
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ที่เรื่องราวภายใน God domain ไม่ได้มีความสำคัญมากนักนั้น เธอจะไม่กังวลกับเรื่องนี้เลย แต่อย่างไรก็ตามทุกอย่างตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว แถมบริษัทกรีนก๊อดก็ยังให้ความสำคัญกับหลายสิ่งใน God domain มากๆ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่คนอย่างลู่เทียนตี้จะยินดีใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อให้ตัวเองได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ
ซือเฟิงยิ้ม และพูดว่า “เรื่องนี้ง่ายมาก คุณก็ให้พวกเขาเดินทางไปที่สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกเลย ที่นั่นฉันสามารถจะจัดการทุกเรื่องได้”
การได้ผู้เชี่ยวชาญจากเอเทอนอลกลอรี่มาเข้าร่วมด้วยนั้นมันนับเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง เพราะท้ายที่สุดเมื่อคนเหล่านี้เติบโตขึ้นไปจนแข็งแกร่งมากขึ้นในอนาคต พวกเขาก็จะสามารถเป็นพันธมิตรที่มีประโยชน์ของสภาสิบแปดปีกได้
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ปรมาจารย์เหล่ยเปาก็ได้มาถึงขอบเขตครึ่งก้าวก่อนเป็นสุดยอดปรมาจารย์แล้ว ซึ่งหากบวกความสามารถของเหล่ยเปาเข้ากับคนอื่นๆทั้งหมด และบวกเข้ากับระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงที่สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกมี แม้แต่สุดยอดปรมาจารย์ก็ยังยากจะเข้ามาก่อปัญหาแน่นอน
เมื่อจี้ลั่วหรงได้ยินคำพูดของซือเฟิงเธอก็อดไม่ได้ที่จะดีใจ และพูดอย่างตื่นเต้นว่า ‘ขอบคุณมากหัวหน้ากิลซือ ฉันสัญญาว่าเมื่อพวกเขาทั้งหมดไปถึงที่สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีก พวกเขาจะเชื่อฟังทุกอย่างที่สภาสิบแปดปีกสั่ง และไม่ก่อเรื่องยุ่งยากแน่นอน”
ตัวเลือกในการไปที่สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกในตอนนี้นั้น มันนับเป็นตัวเลือกที่ดีเลย เพราะท้ายที่สุดแล้วตอนนี้สภาสิบแปดปีกนั้นแข็งแกร่งขึ้นมามากๆทืั้งในโลก God domain และโลกแห่งความจริง ซึ่งอย่างน้อยสภาสิบแปดปีกก็น่าจะช่วยปกป้องพวกเขาได้ในระดับหนึ่ง
หลังจากที่ซือเฟิงกับจี้ลั่วหรงพูดคุยรายละเอียดทั้งหมดกันจนเสร็จ จี้ลั่วหรงก็ได้รีบติดต่อกับเพื่อนของเธอทั้งหมดที่อยู่นอก Upper Zone โดยบอกให้รีบเดินทางไปที่สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกทันที
ตอนที่ 2846 สำนักงานใหญ่หลักสภาสิบแปดปีกที่น่ากลัว
ในขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังตกดิน และท้องฟ้าก็มืดลงไปเรื่อยๆ ….
มันควรจะเป็นเวลาที่พนักงานออฟฟิศจำนวนนับไม่ถ้วนต้องกลับบ้าน อันเนื่องมาจากการเลิกงาน แต่ในเวลานี้ไฟของอาคารสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกกับยังคงสว่างอยู่ และเมื่อเทียบกับอาคารอื่นๆรอบๆแล้ว ผู้คนที่เข้าและออกที่นี่ก็ดูจะมีชีวิตชีวามากกว่าด้วย
และในขณะนี้แม้แต่ที่ทางเข้าด้านหน้าอาคาร มันก็ยังคงมีชายและหญิงจำนวนมากต่อแถวเพื่อรอลงชื่อสมัครเข้ารับการทดสอบพื้นฐานเพื่อเข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีก
อย่างไรก็ตามตอนนี้ทางเข้าด้านหน้าอาคารของสภาสิบแปดปีกที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา มันก็ได้มีผู้คนหลายสิบคนที่อยู่ในชุดที่แตกต่างกันปรากฎตัวขึ้น โดยตอนนี้คนทั้งหมดนี้ก็ได้พยายามตรวจสอบทุกอย่างเกี่ยวกับสภาสิบแปดปีกอย่างเงียบๆ และพวกเขาก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องราวของสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกมากๆ
“นี่คือสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกงั้นหรอ ?” ชายหนุ่มที่มีฝ้ากระบนใบหน้ามองไปยังชาย และหญิงจำนวนมากที่รอเข้ารับการทดสอบพื้นฐานเพื่อเข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีกด้วยสายตาเหยียดหยาม “ฉันนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าผู้บัญชาการคิดอะไรอยู่ ทำไมผู้บัญชาการถึงได้เลือกจะส่งเรามาที่สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกเพื่อเรียนรู้และฝึกฝนสักพักกัน …. ความแข็งแกร่งของสภาสิบแปดปีกใน God domain นั้นจัดว่าแข็งแกร่งมากแน่นอน ….”
“แต่คนที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงหรือเก่งกาจกว่านั้นของสภาสิบแปดปีกนั้นดูเหมือนจะมีไม่มากนัก อีกทั้งพวกหน้าใหม่หลายคนที่รอสมัครเข้ารับการทดสอบพื้นฐานเพื่อเข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีกหลายคนนั้นก็ดูอ่อนแอมากๆ และไม่น่าจะผ่านชั้นสามของหอคอยทดสอบของ Divine Colosseum ได้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เรากับต้องการฝึกกับสภาสิบแปดปีกเนี่ยนะ ?”
สำหรับคำพูดของชายหนุ่มคนนี้นั้น มันไม่มีใครในหมู่พวกเดียวกันกับเขาเลยที่คัดค้าน และมันเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเห็นด้วยกับคำพูดของชายหนุ่ม
เหล่าผู้ที่เข้าร่วมทีมนักผจญภัยนั้นล้วนเป็นพวกที่ไม่ชอบถูกควบคุมให้อยู่ในกฎเกณฑ์ ในขณะเดียวกันพวกเขาส่วนใหญ่ก็ล้วนดูถูกสมาชิกของกิลต่างๆ เพราะพวกเขาถือว่าสมาชิกของกิลต่างๆนั้นแข็งแกร่งขึ้นได้จากการได้รับการป้อนทรัพยากรเท่านั้น ซึ่งไม่ได้เหมือนกับพวกเขาเลยที่ต้องใช้ทั้งความพยายาม และความตั้งใจอย่างมากในทุกๆด้านกว่าจะฝึกจนขึ้นมาแข็งแกร่งและได้รับการยอมรับได้ ….
และพวกเขาก็ถือว่าด้วยความสามารถทั้งหมดของพวกเขานั้น หากพวกเขาตัดสินใจเข้าร่วมกับกิลใหญ่ๆ พวกเขาก็น่าจะได้เป็นสมาชิกระดับสูงหรือสูงกว่านั้นแน่นอน ไม่เว้นแม้แต่กับซุเปอร์กิล …. ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้เองมันจึงทำให้พวกเขาคิดว่าการเข้ามาฝึกที่สภาสิบแปดปีกนั้นมันเป็นเรื่องเสียเวลา ….
เมื่อได้เห็นชายหนุ่มที่มีฝ้ากระบนใบหน้ามองพูดแบบนี้ ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำคนทั้งหมดนี้เข้ามาก็หันไปมองชายหนุ่มอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “คุณก็รู้นะว่านี่มันเป็นคำสั่งของผู้บัญชาการน่ะเทียนตง !!! ถ้าคุณไม่คิดจะทำตามคุณก็ออกจากทีมนักผจญภัยของเราไปได้เลย ฉันอนุญาติ !!!”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายวัยกลางคนผู้นี้ ชายหนุ่มที่มีฝ้ากระบนใบหน้าที่ชื่อเทียนตงก็ไม่กล้ากล่าวบ่นหรือแสดงท่าทีต่อต้านใดๆอีกต่อไป ตรงกันข้ามเขากับดูสงบลงไปราวกับถูกปิดสวิทซ์เลย แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่มีความสุขกับเรื่องนี้ แต่มันก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่กล้าจะโต้เถียงใดๆกับชายวัยกลางคนผู้นี้เลย
ขณะที่คนอื่นๆที่มาด้วยกันนั้นก็ได้แต่เฝ้าดูอย่างเงียบๆ และไม่กล้าจะแสดงความคิดเห็นใดๆ
เพราะชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ได้เป็นเพียงรองผู้บัญชาการของทีมนักผจญภัยเอเทอนอลกลอรี่ของพวกเขาเท่านั้น แต่เขายังเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในทีมนักผจญภัยของพวกเขาเท่าด้วย ซึ่งแม้แต่จี้ลั่วหรง ซึ่งเป็นผู้บัญชาการของพวกเขาก็ยังแทบจะไม่สามารถต่อกรกับชายคนนี้ได้เลย
ในทวีปด้านตะวันตก ผู้เล่นหลายคนนั้นเรียกเขาว่าปีศาจสีเลือด !!!
ซึ่งที่ผู้เล่นหลายคนในทวีปด้านตะวันตกเรียกชายวัยกลางคนว่าปีศาจสีเลือดนั่นเป็น เพราะมันมีครั้งหนึ่งที่ชายวัยกลางคนผู้นี้ได้ลงทุนฝ่าแผนที่ที่ถูกปิดผนึกโดยกองทัพนับหมื่นของกิลชั้นยอดเพื่อไปช่วยพรรคพวกของตัวเอง ซึ่งในระหว่างทางนั้นชายวัยกลางคนผู้นี้ก็ได้ต่อสู้และตีฝ่าไปเรื่อยๆจนนำพรรคพวกของเขาหนีออกมาได้ และเขายังได้มอบความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับกองทัพนับหมื่นของกิลชั้นยอด โดยที่ทั้งกองทัพไม่สามารถจะทำอะไรได้เลยด้วย
และผลจากเรื่องนี้เองมันก็ทำให้ต่อมานั้นชีวิตในการล่าในแผนที่ต่างๆของพวกเขาทั้งหมดที่เป็นสมาชิกของทีมนักผจญภัยเอเทอนอลกลอรี่นั้นง่ายขึ้นมากเลยทีเดียว
สำหรับตัวตนในโลกแห่งความจริงของชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าปีศาจสีเลือดผู้นี้นั้นก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เพราะเขาเป็นอดีตบอร์ดี้การ์ดที่มีชื่อเสียงอย่างมากในวงการ และจนถึงตอนนี้มันก็ยังคงมีบริษัท และองค์กรขนาดใหญ่ต่างๆมากมายที่ต้องการจะว่าจ้างเขา อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้สนใจใดๆ และเลือกจะอุทิศเวลาทั้งหมดของตัวเองตอนนี้ให้กับ God domain ซึ่งการที่เขาได้จับพลัดจับผลูมาเข้าร่วมทีมนักผจญภัยเอเทอนอลกลอรี่นั้นมันก็เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้วในตอนที่เขาเข้าร่วมทีมนักผจญภัยเอเทอนอลกลอรี่นั้น ทีมนักผจญภัยยังคงจัดว่าอ่อนแอมากๆ ….
เมื่อเห็นว่าสมาชิกในทีมนักผจญภัยทั้งหมดของเขาเงียบลงไปแล้ว ปีศาจสีเลือดก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ และพาทั้งหมดเดินตรงไปที่ล๊อบบี้ชั้นหนึ่งทันที
ซึ่งเมื่อทั้งหมดเข้ามาถึงที่ล๊อบบี้ชั้นหนึ่ง มันก็ได้มีหญิงสาวสวยในชุดกีฬาที่ไว้ไว้ผมบ๊อบเดินเข้ามาหาพวกเขา โดยสัญลักษณ์แกนหลักที่ปักอยู่ที่เสื้อของเธอนั้นก็แสดงให้เห็นถึงฐานะของเธอในสภาสิบแปดปีก
ปีศาจสีเลือดอดไม่ได้ที่จะมองไปยังหญิงสาวผู้นี้อย่างพินิจพิเคราะห์ว่า หากเขาต่อสู้กับเธอนั้นเขาจะมีโอกาสชนะกี่เปอเซ็นต์ และผลลัพธ์จากการคำณวนที่ได้ออกมามันก็ทำให้เขาต้องประหลาดใจ เพราะเขาคิดว่าเขาน่าจะมีโอกาสเอาชนะเธอได้ราวสี่สิบถึงห้าสิบเปอเซ็นต์เท่านั้น ซึ่งนั่นมันก็เกิดจากความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาเพียงอย่างเดียวเลย ….
“เธอคือผู้บัญชาการกองกำลังหลักของสภาสิบแปดปีก ไฟเออร์แดนซ์รึปล่าว ?”
เมื่อมองไปที่หญิงสาวสวยตรงหน้านั้น ปีศาจสีเลือดก็คิดคำอธิบายออกเพียงแค่อย่างเดียวสำหรับเรื่องนี้ ไม่งั้นเขาคงจะไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมหญิงสาวสวยตรงหน้าของเขาถึงมีความแข็งแกร่งมากขนาดนี้ ….
“พวกคุณคือสมาชิกของทีมนักผจญภัยเอเทอนอลกลอรี่ใช่ไหม ?” เทอเทิ้ลโดฟ หญิงสาวสวยที่เหล่าสมาชิกของทีมนักผจญภัยเอเทอนอลกลอรี่กำลังวิเคราะห์กล่าวขึ้น ก่อนที่เธอจะกล่าวต่อว่า “เรียกฉันว่าเทอเทิ้ลโดฟก็ได้ ฉันได้ยินหัวหน้ากิลพูดถึงพวกคุณมาแล้ว และเนื่องจากพวกคุณได้มาถึงที่สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกแล้ว ดังนั้นฉันก็จะขอให้คุณคิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านอีกหลังของคุณแล้วกัน ห้องในชั้นบนถูกจัดไว้สำหรับพวกคุณทุกคนแล้ว พวกคุณสามารถเข้าไปพักผ่อนได้ทุกเมื่อ”
เมื่อพูดจบเทอเทิ้ลโดฟก็ได้นำปีศาจสีเลือดและคนของเขาเดินตรงไปขึ้นลิฟต์ที่บริเวณเล้าจ์
“เทอเทิ้ลโดฟ ?”
ปีศาจสีเลือดและสมาชิกทีมนักผจญภัยเอเทอนอลกลอรี่คนอื่นๆนั้นอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเทอเทิ้ลโดฟด้วยความประหลาดใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีศาจสีเลือด ก่อนที่จะมาที่นี่นั้น พวกเขาได้ทำการตรวจสอบสภาสิบแปดปีกมาอย่างละเอียดแล้ว และในบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสูงหรือเก่งกาจกว่านั้นของกิลนั้น มันไม่ได้มีชื่อของเทอเทิ้ลโดฟเลย
“แรงกดดันทางจิตที่เธอแผ่ออกมานั้นหาได้ยากมากๆ แม้แต่ในหมู่พวกขั้นสี่ก็ตาม นี่เธอเป็นหนึ่งในไพ่ลับของสภาสิบแปดปีกงั้นหรอ ?” เทียนตงพึมพำอย่างประหลาดใจ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นผู้เชี่ยวชาญระดับนี้มาก่อน เพราะท้ายที่สุดแล้วปีศาจสีเลือด รองผู้บัญชาการของเขานั้นก็เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ อย่างไรก็ตามที่เขาประหลาดใจนั่นมันเป็นเพราะว่า หญิงสาวผู้นี้ไม่ได้มีรายชื่ออยู่ในบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสูงหรือเก่งกาจกว่านั้นของสภาสิบแปดปีกเลย ….
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังจะเดินเข้าไปในลิฟต์นั้น มันก็ได้มีชายสองคนเดินสวนพวกเขาออกมาจากลิฟต์
โดยทั้งสองคนนั้นก็สวมชุดกีฬาเช่นเดียวกับเทอเทิ้ลโดฟ และมีสัญลักษณ์ของแกนหลักของสภาสิบแปดปีกปักอยู่ที่เสื้อเช่นกัน …. ซึ่งเมื่อชายสองคนนี้เดินออกมาจากลิฟต์นั้น มันก็ทำให้สมาชิกของทีมนักผจญภัยเอเทอนอลกลอรี่ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะหยุดชะงักลงไป …. ในขณะที่แผ่นหลังของพวกเขาทั้งหมดก็มีเหงื่อไหลเย็นออกมา
เพราะว่าชายสองคนที่ออกมาจากลิฟท์นั้นแผ่ออร่าที่เหมือนกับสัตว์อสูรที่ดุร้ายและแข็งแกร่งมากๆออกมา แถมเท่าที่ดูนั้นสมรรถภาพร่างกายของพวกเขาก็น่าจะอยู่เหนือกว่าปีศาจสีเลือดด้วยซ้ำ ….
อีกทั้งการปรากฎตัวของชายสองคนนี้นั้นก็ไม่ได้ทำให้เหล่าสมาชิกสภาสิบแปดปีกคนอื่นๆประหลาดใจแต่อย่างใด ตรงกันข้าม พวกเขาทั้งหมดนั้นดูคุ้นเคยกับชายสองคนนี้มากๆ และพวกเขาต่างก็พูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนิทชิดเชื้อ
“นี่พวกคนในสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกเป็นอะไรกันไปหมด ?” เทียนตงเหลือบไปมองสมาชิกของสภาสิบแปดปีกที่อยู่รอบตัวเขา และพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “นี่พวกเขาไม่รู้สึกถึงแรงกดดันที่คนเหล่านี้แผ่ออกมาเลยงั้นหรอ ?”
แรงกดดันที่คนเหล่านี้แผ่ออกมานั้นมันทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับถูกสิงโตตัวหนึ่งจ้องมอง และรอจะจัดการพวกเขาเสมอ
ซึ่งหากคนทั่วไปมาอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้เป็นเวลานานนั้น พวกเขาก็อาจจะเป็นบ้าได้เลย แต่เหล่าคนจากสภาสิบแปดปีกทั้งหมดกับดูไม่มีปฎิกิริยาใดๆเลย
เมื่อมองไปที่ชายสองคนนี้ ปีศาจสีเลือดก็อดไม่ได้ที่จะหันไปถามเทอเทิ้ลโดฟว่า “มิสเทอเทิ้ลโดฟ ผู้ชายสองคนที่พึ่งเดินผ่านไปเมื่อครู่เป็นใครกัน ?”
ปีศาจสีเลือดนั้นมั่นใจเลยว่าหากชายสองคนนี้ร่วมมือกันต่อสู้กับเขา เขาจะไม่สามารถต้านทานได้แน่นอน ….
“พวกเขาคือฟลายอิ้งชาโด้ว และชาโด้วซอร์ด” เทอเทิ้ลโดฟกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ช่วงนี้นั้นพวกเขาพัฒนาไปอย่างเชื่องช้ามากๆ ดังนั้นพวกเขาจึงถูกพี่สาวไฟเออร์แดนซ์สั่งให้มาฝึกเพิ่มเติมกับปรมาจารย์เหล่ยเปาอีกวันละสองรอบทุกวันเป็นเวลาหลายชั่วโทง ไม่งั้นพวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาติให้ล๊อคอินกลับเข้าสู่ God domain”
“พัฒนาไปอย่างเชื่องช้า ?!” เมื่อเทียนตงได้ยินดังนี้เขาก็รู้สึกพูดไม่ออก
อวด !!!
ถูกต้อง !!! นี่มันต้องเป็นการอวดแน่นอน !!!
ชายสองคนที่มีพลังเทียบเท่าหรือเหนือกว่าปีศาจสีเลือดถูกบอกว่าพัฒนาไปอย่างเชื่องช้า และต้องมาฝึกเพิ่มเติม …. นี่มันบ้าชัดๆ !!!
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ปีศาจสีเลือด เทียนตง และสมาชิกของทีมนักผจญภัยเอเทอนอลกลอรี่คนอื่นๆได้เข้าไปในห้องฝึกของสภาสิบแปดปีก พวกเขาก็ได้พบว่าสภาสิบแปดปีกนั้นเป็นเสมือนค่ายที่รวบรวมเหล่าสัตว์ประหลาดเอาไว้อย่างแท้จริง
แถมพวกเขายังได้เห็นการฝึกแบบสองรุมหนึ่งด้วย ซึ่งฝ่ายสองนั้นก็คือชาโด้วซอร์ด และฟลายอิ้งชาโด้วที่เข้าไปรุมต่อสู้กับหญิงสาวสวยอีกคนหนึ่งในชุดเสื้อและกางเกงสีแดงเข้ม หากแต่ว่าชาโด้วซอร์ด และฟลายอิ้งชาโด้วนั้นไม่สามารถจะทำอะไรกับหญิงสาวผู้นี้ได้เลย ก่อนที่พวกเขาจะแพ้ไปแบบหมดรูป ….
ในขณะที่สมาชิกของทีมนักผจญภัยเอเทอนอลกลอรี่กำลังเริ่มฝึกกันที่สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีก ซือเฟิงและคนอื่นๆก็ได้เดินทางกลับมาถึงที่ Upper Zone ของเมืองหยวนเทียนในเวลากลางคืน ….
ซึ่งหลังจากกลับมาถึงนั้น มู่ฉินก็ได้เลือกจะรีบกลับไปยังที่พักของเธออย่างรวดเร็วเพื่อไปรายงานถึงสถานการณ์ของสงครามโลกที่กำลังจะมาถึงให้กิลของเธอได้รับรู้ และเตรียมตัว ….
สำหรับจี้ลั่วหรง เธอได้เลือกจะตรงมาที่บ้านทั่วไปที่ซือเฟิงอาศัยอยู่ ….
ซึ่งนี่มันก็ทำให้จี้ลั่วหรงได้พบกับสิ่งที่ไม่คาดคิดนั่นก็คือ หญิงสาวสองคนที่อาศัยอยู่กับซือเฟิงที่ดูแข็งแกร่งมากๆ และความแข็งแกร่งของทั้งสองนั้นก็แทบจะไม่ได้ด้อยไปกว่าพี่สาวของเธอเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเสวี่ยเหวินโหรวที่ความแข็งแกร่งของเธอนั้นดูเหมือนกับเทพธิดาสงครามที่ได้จุติลงมายังโลกเลย ความแข็งแกร่ง และมาตราฐานการต่อสู้ที่สูงลิ่วของทั้งสองคนนั้นมันทำให้จี้ลั่วหรงประหลาดใจมากจริงๆ และต่อหน้าสองคนนี้ เธอก็ดูจะเป็นเพียงแค่เด็กประถมเท่านั้น
ขณะเดียวกันที่ Upper Zone ของเมืองหยวนเทียน บริเวณร้านอาหารไม่ไกลจากเขตที่พักของซือเฟิง :
อี้กุ้ยที่ยืนอยู่ข้างๆชายหนุ่มที่รูปร่างกำยำกล่าวรายงานอย่างเคารพว่า “มิสเตอร์หวัง จากที่ฉันสืบมานั้น ซือเฟิง และเหล่าหญิงสาวตัวเล็กๆได้อาศัยอยู่ที่บริเวณที่อยู่เขตนั้น แต่ตอนนี้พวกเขานั้นอยู่ในบ้านของตัวเอง มันจึงอาจจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่เราจะลงมือ เราน่าจะต้องเลื่อนเวลาออกไปสักหน่อยก่อน ….”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ในเวลากลางคืนแบบนี้ฉันสามารถจะหลบหลีกหน่วยรักษาความปลอดภัยเข้าไปได้สบายๆอยู่แล้ว แถมนี่มันก็เป็นแค่การสอนบทเรียนให้กับสุดยอดปรมาจารย์ฮั่วจินด้วย มันไม่ได้มีอะไรเลย ….” ชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่มีชื่อว่าหวังซวนหมิงกล่าวอย่างสบายๆ
“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็คงต้องขอรบกวนคุณหน่อยแล้ว ….” อี้กุ้ยกล่าวอย่างไม่ได้คิดสงสัยใดๆ
สำหรับอี้กุ้ยงานนี้อาจจะเป็นงานยาก แต่มันไม่ใช่สำหรับหวังซวนหมิงเลย ซึ่งหากซือเฟิงอาศัยอยู่ในเขตวิลล่าสถานการณ์มันก็อาจจะแตกต่างออกไปจากนี้ อย่างไรก็ตามซือเฟิงนั้นอาศัยอยู่แค่ในเขตบ้านทั่วไปเท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีมากนัก ….
ตอนที่ 2847 รังลับของสัตว์ประหลาด
ในเวลากลางคืนที่เงียบสงบ และมีท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง :
แม้ว่าจะเป็นเขตที่อยู่อาศัยใน Upper Zone ก็ตาม แต่นอกเหนือจากบริเวณไฟถนนตามรายทางเล็กน้อยแล้ว มันก็มีแต่ไฟในบ้านบางหลังเท่านั้นที่ถูกเปิดไว้ ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าทุกคนในเขตนี้ส่วนใหญ่นั้นได้หลับกันไปหมดแล้ว
ไม่ไกลจากบริเวณประตูของเขตนี้ อี้กุ้ยที่เดินมาพร้อมกับหวังซวนหมิงได้รายงานว่า
“มิสเตอร์หวัง ตอนนี้มีบริเวณสถานที่ที่คอยตรวจสอบความปลอดภัยแค่ไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ยังเปิดอยู่ นอกจากนี้ เรายังพบกับหุ่นยนต์ต่อสู้สามสิบสองตัวที่คอยลาดตระเวนไปมาทั่วบริเวณ แต่พวกมันก็ไม่ได้ลาดตระเวนอย่างสม่ำเสมอมากนัก”
ซึ่งเหตุผลที่ทำให้ Upper Zone ได้รับการยอมรับว่ามีความปลอดภัยสูงมากนั้น หุ่นยนต์พวกนี้ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลนี่แหละ เพราะท้ายที่สุดแล้วหุ่นพวกนี้เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่มีสติปัญญาสูงมาก และตัวของพวกมันทั้งหมดก็ทำจากไทเทเนียมผสมกับโลหะพิเศษ โดยแม้ว่าจะถูกปืนใหญ่ยิง แต่พวกมันก็ยังจะได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งนี่มันทำให้เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับปรมาจารย์ทั่วไปที่จะสามารถทำลายหุ่นนี้ได้ด้วยตัวเอง แถมมาตราฐานการต่อสู้ของหุ่นยนต์พวกนี้นั้นมันยังเทียบเท่ากับปรมาจารย์ฮั่วจินอีกด้วย ….
ต่อหน้าหุ่นยนต์ต่อสู้แบบนี้นั้น ปรมาจารย์ฮั่วจิน และปรมาจารย์เหิงเหลียนจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย และเทคโนโลยีที่น่ากลัวแบบนี้นั้นมันก็ถือเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของบริษัทกรีนก๊อดมาโดยตลอด โดยมันก็ได้ถูกนำมาใช้ในงานด้านการป้องกันแทบทุกด้าน และมันสามารถถูกเรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ทรงพลังที่สุดในโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกนั้นกลัวบริษัทกรีนก๊อด
และเนื่องจากหุ่นยนต์ต่อสู้นี้เอง มันก็ทำให้แม้แต่สุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนก็ยังไม่กล้าจะทำอะไรแบบบุ่มบ่าม เพราะท้ายที่สุดพวกมันตัวเดียวนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าถูกพวกมันรุมนั้น สุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนก็จะมีจุดจบที่น่าสังเวชเช่นกัน ….
“สามสิบสอง ?” หวังซวนหมิงพยักหน้า “โอเค งั้นขอแผนที่ที่แจกแจงตำแหน่งคร่าวๆของพวกมันมาหน่อย …”
เรื่องจำนวนของหุ่นยนต์ต่อสู้พวกนี้นั้นเขาไม่ได้แปลกใจมากนัก เพราะมันอยู่ในขอบเขตที่เขาคาดการณ์ไว้แล้ว หุ่นยนต์ต่อสู้พวกนี้ในเขตทั่วไปนั้นมันมีน้อยกว่าที่ในเขตวิลล่าซึ่งมีมากกว่าสองร้อยตัวอย่างมาก ซึ่งทุกอย่างมันก็เป็นไปตามราคาที่อยู่อาศัยนั่นแหละ ….
แต่ถึงกระนั้น หากเขาต้องการจะลอบเข้าไปสอนบทเรียนให้กับสุดยอดปรมาจารย์ฮั่วจินจริงๆ เขาก็จะต้องคำณวนเวลาให้ดี เพราะเท่าที่เขารู้หุ่นยนต์ต่อสู้พวกนี้นั้นถูกตั้งค่าให้รีบพุ่งมายังบ้านที่เกิดการต่อสู้ภายในเวลาแปดวินาที ….
ซึ่งในช่วงเวลาสั้นๆนี้ แม้แต่ปรมาจารย์เหิงเหลียนก็ยังยากที่จะจัดการคู่ต่อสู้ของเขาให้เสร็จ และทำการหลบหนีไปให้ได้เลย …. โดยตราบใดที่ถูกค้นพบ แม้แต่ปรมา
จารย์เหิงเหลียนก็ควรจะเลิกหวังที่จะหลบหนี ไม่งั้นมันก็จะเป็นการแสวงหาความตายโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น ….
ดังนั้นเมื่อคำณวนเวลาทั้งหมดนี้เข้าด้วยกัน เวลาสำหรับการต่อสู้จึงจะเหลือน้อยลงไปอีกมาก ….
“นี่คือที่อยู่ของหุ่นยนต์ต่อสู้สามสิบสองตัวเมื่อสิบวินาทีที่แล้ว” อี้กุ้ยจัดการส่งแผนที่ที่แสดงถึงตำแหน่งของหุ่นยนต์ต่อสู้สามสิบสองตัวไปให้หวังซวนหมิงอย่างว่าง่าย
ซึ่งเมื่อได้รับข้อมูลมาแล้ว หวังซวนหมิงก็ได้เริ่มเปิดภาพโฮโลแกรมของแผนที่ทั้งหมดขึ้นเช็คตำแหน่งทันที “เซี่ยชิงหยางนี่มีความสามารถค่อนข้างมากจริงๆ ด้วยการจัดการกระจายตัวกันแบบนี้ในบริเวณเขตบ้านทั่วไป มันจะทำให้ฉันมีเวลาอย่างมากที่สุดก็แค่เจ็ดวินาทีเท่านั้น …”
“เจ็ดวินาที ?” อี้กุ้ยที่ได้ยินการประเมินของหวังซวนหมิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “ให้ฉันช่วยดึงดูดความสนใจของพวกหุ่นยนต์ไหม ?”
“ไม่ต้องกังวลน่า …” หวังซวนหมิงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม เมื่อได้เห็นท่าทีของอี้กุ้ย ‘ฉันเคยผ่านสถานการณ์อันตรายมากกว่านี้มาแล้ว และแค่เจ็ดวินาทีมันก็เพียงพอแล้วสำหรับฉัน ….”
สำหรับเขาผู้มีความสามารถสูง และอยู่ห่างจากขอบเขตปรมาจารย์ทางจิตเพียงครึ่งก้าวนั้น เขาสามารถที่จะระเบิดพลังทั้งหมดของตัวเองออกมา และฆ่าสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนได้ในสามวินาทีเท่านั้น ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงการทำให้บาดเจ็บสาหัสซึ่งง่ายกว่ามากเลย และนี่ก็ไม่ต้องพูดถึงกับสุดยอดปรมาจารย์ฮั่วจินที่มีร่างกายทางกายภาพแย่กว่าสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนเลย
เมื่อได้ยินดังนี้อี้กุ้ยนั้นก็ไม่ได้เลือกจะพูดอะไรต่อ เพราะท้ายที่สุดแล้วเขารู้ดีว่าหวังซวนหมิงเป็นคนที่แข็งแกร่งมากๆ เนื่องจากเขาเคยปะทะกับหวังซวนหมิงและพ่ายแพ้มาก่อน แถมชายผู้นี้ยังเป็นศิษย์ของผู้ที่อยู่อาศัยในชั้นกลางของเมืองไห่เทียนด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่น่าจะประเมินเรื่องงานที่จำเป็นต้องทำในทุกๆด้านผิดพลาด
หลังจากที่หวังซวนหมิงได้เตรียมการทุกอย่างเรียบร้อย เขาก็ได้ลอบเข้าไปในบริเวณเขตบ้านที่อยู่อาศัยนี้เพียงคนเดียว
โดยหวังซวนหมิงนั้นสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วและไม่มีเสียงใดๆเลย ซึ่งในสามวินาที หวังซวนหมิงก็ได้หายตัวไปจากบริเวณถนนของเขต ….
“นี่ความสามารถในการควบคุมร่างกายของเขาก้าวขึ้นไปอีกขั้นแล้วงั้นหรอ ?!”
อี้กุ้ยที่ได้เห็นฉากตรงหน้านั้นอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง และตัวสั่น นี่ถ้าหากเขาต้องตกเป็นเป้าหมายของหวังซวนหมิงในตอนนี้ ผลที่ตามมันคงจะย่ำแย่มากแน่นอน ….
ซึ่งในขณะที่อี้กุ้ยกำลังรู้สึกตกตะลึงกับพลังของหวังซวนหมิงนั้น หวังซวนหมิงก็ได้หลบหลีกเหล่าหุ่นยนต์ต่อสู้ทั้งหมด และมาถึงบริเวณบ้านที่ซือเฟิงอยู่อาศัยอย่างรวดเร็ว
เมื่อหวังซวนหมิงได้มาถึงนั้น เขาก็ยังไม่ได้รีบเข้าไปในบ้าน แต่เขาเลือกจะซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง และสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ กับคาดเดาตำแหน่งล่าสุดของหุ่นยนต์ต่อสู้ทั้งสามสิบสองตัวก่อน
เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากเขาเริ่มปฎิบัติการเมื่อไหร่ เขาจะต้องพังประตูเข้าไป ซึ่งมันจะเป็นการไปเตือนให้พวกหุ่นยนต์ต่อสู้รู้ตัว ดังนั้นเขาจึงจำเป็นที่จะต้องคำณวนเวลาทุกอย่างให้แม่นยำ
“โอเค ดูเหมือนว่ามันจะมีทางหนีอยู่ทั้งหมดสามทาง !!!”
“ตราบใดที่ฉันสามารถสอนบทเรียนให้กับซือเฟิงได้ภายในเวลาห้าวินาที ฉันก็จะสามารถหนีออกไปจากที่นี่ได่โดยไม่ได้รับอันตรายใดๆแน่นอน !!!”
หลังจากหวังซวนหมิงทำการจำลองสถานการณ์ และคาดเดาทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้เริ่มปฎิบัติโดยการพังประตูเข้าไปทันที ….
ซึ่งทันทีที่เขาทำแบบนี้นั้น หุ่นยนต์ต่อสู้หกตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ได้รับการแจ้งเตือน และรีบพุ่งมาที่บ้านของซือเฟิงทันที
ขณะเดียวกันเสียงแจ้งเตือนนี้ก็ได้ไปถึงซือเฟิงที่อยู่ในห้องเกมเคบินด้วย โดยเขาได้ถูกบังคับตัดการเชื่อมต่อจากระบบรักษาความปลอดภัยทันที เพราะท้ายที่สุดแล้วการกล้าบุกรุกบ้านผู้อยู่อาศัยใน Upper Zone แบบนี้ ผู้บุกรุกจะต้องแข็งแกร่งมากๆ ดังนั้นระบบรักษาความปลอดถัยจึงถูกตั้งให้ตัดการเชื่อมต่อกับโลกเสมือนจริงทันทีที่มีสัญญาณแจ้งเตือนเพื่อให้ตัวเจ้าของบ้านพอมีเวลาจะป้องกันตัวเองได้ก่อนที่หุ่นยนต์ต่อสู้จะมาถึง ….
อย่างไรก็ตามหลังจากที่หวังซวนหมิงเคลื่อนที่เข้ามาในบ้านอย่างรวดเร็ว และได้มาถึงห้องนั่งเล่น พร้อมทั้งกำลังเตรียมตัวจะขึ้นไปยังห้องนอนของซือเฟิงนั้นเขาก็ต้องตกตะลึง ….
เพราะเขาไม่รู้เลยว่ามันมีคนมานั่งอยู่ที่บริเวณโซฟาของห้องนั่งเล่นเมื่อไหร่ โดยคนที่มานั่งนั้นก็สวมชุดนอนสีขาวราวกับหิมะ ขณะที่ใบหน้าของคนผู้นี้นั้นแม้จะดูสวยงาม แต่มันก็ไม่ได้มีอารมณ์ใดๆอยู่เลย โดยภายใต้แสงยามค่ำคืนนี้ มันก็ทำให้คนผู้นี้ดูเหมือนกับนางฟ้าที่จุติลงมาเลย และคนผู้นี้ก็ได้เฝ้าดูหวังซวนหมิงอยู่อย่างเงียบๆ
ซึ่งนี่มันทำให้หวังซวนหมิงได้หยุดลงและมองไปยังหญิงสาวที่งดงามตรงหน้าของเขาพลางหัวเราะ ก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “คุณผู้หญิง คุณนี่โชคไม่ดีจริงๆเลย !! จริงๆแล้วเวลานี้คุณควรจะไปพักผ่อนได้แล้วนะ !!!”
เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้มากนัก เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขารับข้อมูลมาแล้วว่ารองหัวหน้ากิลของสภาสิบแปดปีกสองคน ซึ่งเป็นหญิงสาวที่งดงามได้อาศัยอยู่กับซือเฟิงด้วย
และหลังจากพูดจบนั้น หวังซวนหมิงก็ได้ก้าวเท้าพุ่งเข้าโจมตีไป๋ฉิงเฉวโดยใช้มีดในมือของเขาทันที ….
อย่างไรก็ตามเมื่อการโจมตีของหวังซวนหมิงกระทบเข้ากับสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นร่างของไป๋ฉิงเฉวนั้น หวังซวนหมิงก็ต้องตกตะลึง
“ห้ะ ?!”
ภาพติดตา !!!
ขณะเดียวกัน ในระหว่างนี้นั้นหวังซวนหมิงก็ไม่สามารถรับรู้ใดๆได้เลย ก่อนที่ไป๋ฉิง
เฉวจะมาปรากฎตัวขึ้นที่ด้านข้างของเขา ซึ่งไป๋ฉิงเฉวนั้นก็ยังคงมองไปยังหวังซวนหมิงอย่างเงียบๆ และมันก็ไม่มีความเศร้า หรือสุขปรากฎขึ้นในดวงตาของเธอเช่นเดิม
แต่อย่างไรก็ตามมันก็สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ เธอไม่ได้รับผลกระทบใดๆเลยจากการโจมตีของหวังซวนหมิงหมิง ….
“อึก !! นี่ซือเฟิงไปหาสัตว์ประหลาดแบบนี้มาจากไหนกัน ?!!”
หวังซวนหมิงนั้นมองไปยังไป๋ฉิงเฉวที่ยืนอยู่ข้างเขาในเวลานี้ด้วยความรู้สึกที่ตกตะลึง และเริ่มหวาดกลัว นี่คนอายุน้อยแบบนี้มีความสามารถมากขนาดนี้ได้ยังไงกัน ?!
ตอนแรกเขาก็วางแผนที่จะต่อสู้และทำทุกอย่างให้จบอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตามหลังจากได้มาเผชิญหน้ากับไป๋ฉิงเฉวเขาก็รู้แล้วว่าแผนของเขาทั้งหมดนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย !!! เพราะไป๋ฉิงเฉว หญิงสาวตรงหน้าของเขานั้นน่ากลัวมากๆ !!!
ไม่สิ !!
คำว่าน่ากลัวไม่สามารถใช้บรรยายความสามารถของเธอได้อีกต่อไป !!!
มันต้องบอกว่าเธอนั้นอยู่ในระดับที่เหนือมนุษย์ไปแล้ว !!!
เขาสามารถบอกได้อย่างขัดเจนว่าสมรรถภาพทางกายของไป๋ฉิงเฉวนั้นอยู่ในระดับปรมาจารย์เหิงเหลียน ซึ่งเทียบกับเขาไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามเมื่อเธอเริ่มหลบการโจมตีของเขานั้น เขาก็ได้สัมผัสถึงความน่ากลัวที่แท้จริงของเธอ ….
ซึ่งก็คือความสามารถทางจิตของเธอที่มันสูงมากๆ และการที่คนๆหนึ่งจะมีความสามารถทางจิตที่สูงแบบนี้นั้นมันก็ควรจะต้องผ่านการต่อสู้ และฝึกที่เดิมพันด้วยชีวิตและความตายมานับพันครั้ง
โดยสำหรับเขาที่มีอายุสามสิบห้าปีนั้น เขาพึ่งจะแตะขอบเขตประตูที่ไป๋ฉิงเฉวอยู่ได้เท่านั้น
แต่ตอนนี้ไป๋ฉิงเฉว หญิงสาวที่มีอายุน้อยกว่าเขามากกับไปถึงขอบเขตนั้นได้แล้วจริงๆ ….
เมื่อคิดได้ดังนี้นั้น หวังซวนหมิงก็ไม่ได้รีรออีกต่อไป เขารีบหันหลังกลับ และพยายามจะวิ่งหนีไปที่ประตูทันที
ถ้าเขาต้องต่อสู้กับสัตว์ประหลาดแบบนี้นั้น มันก็เป็นไปได้เลยที่จะสามารถตัดสินผลลัพธ์ได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และเวลาของเขาในตอนนี้ก็มีจำกัดด้วย ซึ่งถ้าหากเขาถูกจับโดยหุ่นยนต์ต่อสู้ เขาก็จะซวยเอาได้
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่หวังซวนหมิงกำลังจะไปถึงบริเวณประตูนั้น มันก็มีร่างอีกร่างหนึ่ง ซึ่งก็คือร่างของอควาโรสปรากฎตัวขึ้นมาขวางทางเจา
“รนหาที่ตายแล้ว !!!”
หวังซวนหมิงมองไปยังอควาโรสที่อยู่ในชุดนอนสีฟ้าอ่อนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ ตอนนี้เขารู้สึกโกรธมากจริงๆ ถ้าเขาถูกยืดเวลาออกไป และถูกหุ่นยนต์ต่อสู้จับ เขาได้ซวยแน่ …. นี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ภารกิจของเขาล้มเหลวเลย
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้นั้น หวังซวนหมิงจึงม่ได้คิดจะยั้งมือใดๆอีกต่อไป และเริ่มเอาจริงทันที
ในพริบตาเขาก็เริ่มปล่อยหมัดออกไปมากกว่าหนึ่งโหลเพื่อโจมตีเข้าใส่อควาโรส ซึ่งทุกหมัดนั้นล้วนรวดเร็วมากๆ และทุกหมัดก็มีพลังมากพอจะทำให้อี้กุ้ยบาดเจ็บสาหัสได้เลย
แต่อย่างไรก็ตามการโจมตีทั้งหมดนี้ของหวังซวนหมิงกับไม่โดนอควาโรสเลย แม้แต่นิดเดียว โดยเธอสามารถหลบพวกมันทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่เธอจะเข้าประชิดตัวของหวังซวนหมิงมาได้ และใช้ฝ่ามือโจมตีไปที่บริเวณหัวใจของหวังซวนหมิง
มันดูจะเป็นการโจมตีที่แผ่วเบา หากแต่ว่ามันก็ทำให้หวังซวนหมิงนั้รู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก และเขาก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้นอกจากต้องยอมถอยสองก้าวเพื่อตั้งหลักร่างกายให้คงที่ ก่อนที่เขาจะมองไปยังผู้หญิงตรงหน้าของเขาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นไปได้ยังไงกัน ?!”
สัตว์ประหลาด !!
สัตว์ประหลาดีอีกคน ?!!
ในเวลานี้ไป๋ฉิงเฉวก็ได้เข้ามาประชิดด้านหลังของหวังซวนหมิงแล้วเช่นกัน โดยที่เธอก็ได้มองไปยังหวังซวนหมิงอย่างไร้อารมณ์เช่นเดิม
ชั่วขณะหนึ่งหวังซวนหมิงนั้นก็ทำได้แค่มองไปยังอควาโรส และไป๋ฉิงเฉวสลับกันด้วยรอยยิ้มขมขื่น และพูดกันตามตรงตอนนี้เขาก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้ฆ่าอี้กุ้ยเลย
นี่ไอ้บ้านั่นมันไปรวบรวมข้อมูลมาแบบไหนกัน ?!
ไอ้บ้านั่นมันไม่รู้เลยรึไงว่ามีสัตว์ประหลาดแบบนี้สองคนอาศัยอยู่กับซือเฟิง ?!
ตอนที่ 2848 ผิดคาด
นอกเขตที่อยู่อาศัยของบ้านทั่วไปที่ซือเฟิงอยู่ บริเวณทางเข้าเขต :
“มันผ่านไปสิบนาทีแล้ว …” อี้กุ้ยมองไปยังเวลาของนาฬิกาควอนคัมในมือของเขาด้วยรอยยิ้ม “มิสเตอร์หวังน่าจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว …”
เขานั้นไม่เคยมีความสงสัยเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของหวังซวนหมิงเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหุ่นยนต์ต่อสู้ที่คอยรักษาความปลอดภัยนั้นมันน่ากลัวมากๆ เขาก็คงจะรีบวิ่งติดตามหวังซวนหมิงเข้าไปเพื่อดูสีหน้าหวาดกลัว และรู้สึกไร้พลังของซือเฟิงที่มองไปยังหวังซวนหมิงแล้ว
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังของหวังซวนหมิงนั้น ซือเฟิงที่เป็นสุดยอดปรมาจารย์ฮั่วจินจะไม่สามารถต่อต้านใดๆได้เลย และสิ่งที่เขาทำได้มันก็จะมีเพียงแต่การหลบหนีเท่านั้น
ซึ่งเมื่อจัดการกับซือเฟิงได้แล้ว การจัดการกับจี้ลั่วหรงก็จะทำได้ง่ายขึ้นมาก ….
ระหว่างที่อี้กุ้ยกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น มันก็มีเสียงดังขึ้นในเขต ….
“เรียบร้อยแล้วงั้นหรอ ?”
เมื่อได้ยินเสียงเหล่านี้นั้น อี้กุ้ยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น และเขาก็ได้เลือกที่จะค่อยๆเดินเข้าไปดูในบริเวณบ้านของซือเฟิงที่เกิดเสียง เพราะเขาต้องการจะเห็นภาพทุกอย่างให้ชัดเจนที่สุด และเขาก็อยากรู้ว่าซือเฟิงจะทนต่อต้านหวังซวนหมิงได้สักกี่วินาที
สามวินาที ?
หรือสี่วินาที ?
ความแข็งแกร่งที่ซือเฟิงได้แสดงออกมาตอนต่อสู้กับเขานั้น มันนับว่าเหนือกว่าเขามากทีเดียว แต่ถ้าเขาต้องต่อสู้กับซือเฟิงในชีวิตจริง เขาก็มีโอกาสจะชนะได้เช่นกัน เพราะสุดยอดปรมาจารย์เหิงเหลียนอย่างเขานั้นมีร่างกายที่แข็งแกร่ง และยืดหยุ่นมากๆ และหากเขาเตรียมตัวมาดีพอ มันก็มีสิทที่เขาจะล้มซือเฟิงได้
พูดกันง่ายๆก็คือซือเฟิงจะมีข้อได้เปรียบเขาแค่เรื่องพลังทำลายล้าง และความเร็วเท่านั้น แต่ข้อได้เปรียบนี้ของซือเฟิงจะใช้ไม่ได้ผลเลยกับหวังซวนหมิง โดยบางทีซือเฟิงก็อาจจะตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่กว่าเขาได้เลย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหวังซวนหมิง
ซึ่งอี้กุ้ยนั้นก็ได้มาทันเห็นฉากที่หวังซวนหมิงพังประตูเข้าไปในบ้านของซือเฟิง ….
อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านไปราวสองวินาที หวังซวนหมิงนั้นก็ได้พยายามจะวิ่งกลับออกมาจากบ้านของซือเฟิงแล้ว ….
“เร็วมากๆ !!!”
อี้กุ้ยมองไปยังหวังซวนหมิงที่ปรากฎตัวขึ้นที่บริเวณประตูบ้านของซือเฟิงด้วยความตกใจไปครู่หนึ่ง
เขาไม่เคยคิดเลยว่าหวังซวนหมิงจะแข็งแกร่งมากขนาดถึงกับจบการต่อสู้ลงได้ภายในเวลาแค่ราวสองวินาทีเท่านั้น ความแข็งแกร่งของชายคนนี้มันอยู่เหนือกว่าสัตว์ประหลาดทั่วไปแล้วอย่างแท้จริง …..
แต่อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาต่อมาอี้กุ้ยก็พูดไม่ออก เมื่อเขาได้เห็นฉากตรงหน้า ….
เพราะมันมีหญิงสาวคนหนึ่งได้ปรากฎตัวขึ้นมาขวางทางหวังซวนหมิง และมันก็ดูเหมือนว่าหญิงสาวผู้นี้จะไปทำให้หวังซวนหมิงโกรธจนเขาเริ่มระดมโจมตีใส่เธออย่างบ้าคลั่ง
ซึ่งพลังที่น่ากลัวของหวังซวนหมิงนั้น แม้แต่อี้กุ้ยที่ยืนอยู่ห่างออกไปหลายร้อยหลาก็ยังสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน
บ้าแล้ว !!!
เธอตายแน่ๆ !!!
ภายใต้หมัดที่รวดเร็วและรุนแรงนี้ มันจะไม่มีใครสามารถรอดไปได้แน่นอน และคนที่ถูกเล็งเป้านั้นก็จะทำได้แค่รอความตายเท่านั้น
“นี่เขาบ้าไปแล้วงั้นหรอ ?” เรื่องนี้ทำให้อี้กุ้ยอดไม่ได้ที่จะตกใจ
หากหวังซวนหมิงจัดการซือเฟิงจนทำให้ซือเฟิงต้องไปนอนโรงพยาบาลสักสองถึงสามเดือน บริษัทกรีนก๊อดก็จะไม่ไปไกลมากนักแน่นอนกับเรื่องนี้ และอย่างมากบริษัทก็จะเสริมความปลอดภัยให้กับเขตนี้ และให้ค่าทำขวัญแก่ซือเฟิงเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตามเรื่องชีวิตมนุษย์นั้น มันคือเส้นที่บริษัทกรีนก๊อดขีดไว้อย่างชัดเจนว่าห้ามข้าม ซึ่งหากหวังซวนหมิงฆ่าคนไปสักคนใน Upper Zone เขาจะถูกบริษัทกรีน
ก๊อดตามล่าจนกว่าจะสามารถจับตัวได้แน่นอน และแม้แต่อาจารย์ของหวังซวนหมิงในชั้นกลางของ Upper Zone ก็จะไม่สามารถช่วยเขาได้
โดยในระหว่างที่อี้กุ้ยกำลังรู้สึกตกใจกับเรื่องนี้นั้น เขาก็ได้เห็นฉากที่มันน่าตกใจยิ่งกว่า เนื่องจากหญิงสาวคนที่ปรากฎตัวขึ้นมาขวางทางหวังซวนหมิงที่บริเวณประตูนั้นได้หลบการโจมตีของหวังซวนหมิงได้ทั้งหมด ก่อนที่เธอจะสามารถเข้าไปใกล้หวังซวนหมิง และใช้ฝ่ามือของเธอโจมตีบริเวณหัวใจของหวังซวนหมิงได้
ซึ่งการโจมตีจากหญิงสาวนั้นมันก็บังคับให้หวังซวนหมิงต้องถอยไปสองก้าว และกุมบริเวณหัวใจของตัวเอง โดยมันเห็นได้ชัดเลยว่าหวังซวนหมิงนั้นได้รับบาดเจ็บพอตัวจากการโจมตีเมื่อครู่ และมันก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้หวังซวนหมิงได้มองไปยังหญิงสาวตรงหน้าของเขาด้วยดวงตาที่หวาดกลัวมากๆ
“นี่เธอทรงพลังมากขนาดไหนกัน ?! ทำไมถึงมีสัตว์ประหลาดแบบนี้อยู่ในบ้านของซือเฟิง ?!”
อี้กุ้ยมองไปยังฉากตรงหน้าซึ่งอควาโรสเป็นผู้กระทำด้วยความไม่เชื่อ และตอนนี้เขาก็รู้สึกราวกับว่าเขากำลังเห็นผี
หวังซวนหมิงนั้นเป็นสุดยอดปรมาจารย์ horizontal refining (วิชาที่มันฝึก เดะจะมีชื่อนี้โผล่มาเพิ่มในตอนในอนาคตด้วย ใครพอนึกชื่อไทยมันออกก็ซิบมาบอกแอดทีนะ) ที่แข็งแกร่งมากๆ แต่ตอนนี้มันกับเห็นได้ชัดเลยว่าเขาดูเสียเปรียบผู้หญิงที่ดูอ่อนแอคนนี้มากๆ
ในระหว่างที่อี้กุ้ยกำลังรู้สึกไม่เชื่อกับสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า มันก็มีหญิงสาวอีกคนหนึ่งออกมาโจมตีหวังซวนหมิงร่วมกับหญิงสาวคนแรก และเมื่อดูจากท่าทีของหวังซวน
หมิงที่พยายามต่อสู้ และตอบโต้อย่างบ้าคลั่ง พลางพยายามหลอกล่อให้หญิงสาวทั้งสองคนมาในที่แคบแล้วนั้น เขาก็สามารถจะบอกได้เลยว่าหญิงสาวอีกคนนี้นั้นก็เป็นสัตว์ประหลาดเช่นกัน ….
โดยสำหรับเรื่องนี้นั้นอี้กุ้ยก็เข้าใจในการกระทำของหวังซวนหมิง เพราะท้ายที่สุดการหลอกล่อให้หญิงสาวทั้งสองมาต่อสู้ในบริเวณที่แคบที่มีแค่หนทางการถอยหนีหรือเดินหน้านั้น มันจะช่วยลดความเสียเปรียบของหวังซวนหมิงลงไปได้มาก …. ซึ่งหากหวังซวนหมิงไม่ทำแบบนี้ และปล่อยให้หญิงสาวทั้งสองผลักดันการต่อสู้ออกมาในที่โล่ง เขาจะเสียเปรียบอย่างสิ้นเชิงแน่นอน
อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นแบบนี้นั้น แต่อควาโรสกับไป๋ฉิงเฉวก็ยังไม่ได้มีท่าทีกังวลใดๆเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับไป๋ฉิงเฉวที่เธอมองไปยังประตูบ้านที่ถูกหวังซนหมิงทำลายลงไปอย่างเสียดาย และมันก็ดูเหมือนว่าเธอจะให้ความสำคัญกับประตูนี้มากกว่าหวังซวนหมิงด้วยซ้ำ
ขณะเดียวกันการพยายามต่อสู้ และตอบโต้ของหวังซวนหมิงนั้นก็กลายเป็นเหมือนของเล่นเด็กสำหรับอควาโรส และไป๋ฉิงเฉว แถมพวกเธอทั้งสองยังดักโจมตีหวังซวนหมิงได้เรื่อยๆ และทำให้อาการบาดเจ็บของหวังซวนหมิงแย่ลงไปเรื่อยๆด้วย
ในอีกสี่วินาทีต่อมามันก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหวังซวนหมิงไม่สามารถจะใช้พลังเท่าเดิมต่อสู้ได้อีกต่อไป ….
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่หวังซวนหมิงกำลังจะพยายามดิ้นรนต่อนั้น หุ่นยนต์ต่อสู้ก็ได้มาถึงแล้ว
ซึ่งหลังจากหุ่นยนต์ต่อสู้มาถึงนั้น พวกมันก็ทำการกำราบและจับกุมหวังซวนหมิงได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับอี้กุ้ยที่ได้เห็นฉากทั้งหมด และได้เห็นหวังซวนหมิงถูกจับนั้น เมื่อได้เห็นไป๋ฉิงเฉวมองมายังทิศทางที่เขาอยู่ เขาก็รู้สึกขนลุก และตื่นตระหนกมากๆ ก่อนที่เขาจะรีบตัดสินใจที่จะถอยหนีออกไปจาก Upper Zone ของเมืองหยวนเทียนอย่างรวดเร็ว
ซึ่งเมื่อออกมาจาก Upper Zone ของเมืองหยวนเทียนได้แล้วนั้น อี้กุ้ยถึงหายจากอาการขนลุก และตื่นตระหนก ….
“นี่มันโครตจะน่ากลัวเลย !! มีสัตว์ประหลาดแบบนี้อยู่บนโลกได้ยังไง ?!” อี้กุ้ยรู้สึกขนลุก เมื่อนึกถึงการจ้องมองของไป๋ฉิงเฉว “ฉันจะต้องรีบกลับไปแจ้งเรื่องนี้ให้นายน้อยและพวกระดับสูงรู้ หญิงสาวระดับสัตว์ประหลาดทั้งสองคนนี้นั้นไม่ใช่อะไรที่พวกเราจะสามารถยั่วยุได้ง่ายๆเลย !!!”
ไม่นานหลังจากที่อี้กุ้ยหนีออกไปจาก Upper Zone ของเมืองหยวนเทียนได้ เซี่ยชิงหยาง ผู้จัดการชั้นพื้นฐาน และเหล่าหัวหน้างานหลายคนก็ได้เดินทางมายังบ้านที่ซือเฟิงพักอาศัยอยู่
“ฉันไม่คิดเลยจริงๆว่าจะมีคนที่กล้า และบ้ามากพอที่จะบุกเข้าโจมตีคนที่อยู่อาศัยในเขตบ้านทั่วไปของ Upper Zone แบบนี้” ลั่วหานปิงที่เป็นหัวหน้างานกล่าวพลางขมวดคิ้ว
การโจมตีแบบนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว และในครั้งล่าสุดที่มันเกิดขึ้น ซึ่งก็คือหลายปีก่อนนั้น ผู้ที่กล้าทำแบบนี้ถูกบริษัทกรีนก๊อดจับกุมและซ้อมอย่างสาหัส ก่อนที่จะถูกขับไล่ออกไปนอก Upper Zone แถมยังถูกจำคุกอีกสิบปีด้วย ดังนั้นนี่มันจึงทำให้หลายคนเห็นถึงความโกรธ และเส้นที่บริษัทกรีนก๊อดสั่งห้ามก้าวข้ามอย่างชัดเจนเลย
แต่ตอนนี้มันกับมีคนที่กล้าทำแบบนี้อีกแล้ว ดังนั้นพวกผู้บริหารระดับสูงของบริษัทกรีนก๊อดจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่นอน
อย่างไรก็ตามเมื่อลั่วหานปิงได้เข้าไปในบ้านของซือเฟิง และได้เห็นคนที่หุ่นยนต์ต่อสู้จับกุมไว้นั้น ดวงตาของเขาก็แทบจะถลนออกจากเบ้า
หวังซวนหมิง !!
อัจฉริยะที่ยากจะหาใครเทียบใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียน !!!
หากไปที่ Upper Zone ของเมืองไห่เทียน แม้แต่หัวหน้างานอย่างลั่วหานปิงก็ยังจะต้องปฎิบัติต่อคนผู้นี้อย่างสุภาพ และความแข็งแกร่งของคนผู้นี้นั้นก็สามารถจะติดสามอันดับแรกในชั้นพื้นฐานของ Upper Zone ที่ไหนๆก็ได้แบบสบายๆเลย นอกเหนือจากนี้เขายังมีอาจารย์ที่อยู่ในชั้นกลางของ Upper Zone เมืองไห่เทียนคอยสนับสนุนอีก และการที่เขาจะได้กลายเป็นใหญ่ในชั้นกลางเมื่อไหร่นั้น มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
ในเวลานี้ไม่ใช่แค่ลั่วหานปิงเท่านั้นที่รู้สึกตกใจกับเรื่องนี้ แม้แต่เซี่ยชิงหยาง ผู้จัดการชั้นพื้นฐานเองก็ยังมีท่าทีคล้ายๆกัน
ตอนแรกพวกเขาคิดว่าผู้ที่กล้าทำแบบนี้มันคงจะเป็นพวกที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอย่างแน่นอน พวกเขาไม่นึกเลยว่ามันจะกลับกลายเป็นอัจฉริยะของ Upper Zone เมืองไห่เทียนแทน ….
ตอนนี้แม้แต่เซี่ยชิงหยางก็ยังอดที่จะอยากรู้ไม่ได้ว่าซือเฟิงจับหวังซวนหมิงได้อย่างไร
เธอนั้นพอจะรู้จักพลังของหวังซวนหมิงดี และแม้ตัวเธอเองจะสามารถต่อกรกับเขาได้สบายๆ แต่หากเขาคิดหนี เธอก็ไม่สามารถจะตรึงเขาไว้ได้จนหุ่นยนต์ต่อสู้มาจับเขาได้แบบนี้แน่นอน
เซี่ยชิงหยางมองไปที่ซือเฟิงที่นั่งอยู่ในห้องโถงและอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “คุณนี่เป็นคนที่สร้างเรื่องประหลาดใจได้บ่อยจริงๆ ก่อนหน้านี้คุณก็ทำลายสถิติเส้นทางจิตของ Upper Zone เมืองหยวนเทียน พอมาตอนนี้คุณก็สามารถจะจับหวังซวนหมิง อัจฉริยะที่น่ากลัวของ Upper Zone เมืองไห่เทียนได้อีก”
“มันก็แค่อุบัติเหตุน่ะ และฉันก็ไม่นึกเลยว่าพวกคนระดับสูงจาก Upper Zone ของเมืองไห่เทียนจะมาโจมตีฉันแบบไม่คาดคิดอย่างนี้” ซือเฟิงกล่าวพลางยิ้มอย่างขมขื่น
ตั้งแต่ที่หวังซวนหมิงพังประตูเข้ามาจนเหตุการณ์ทุกอย่างจบลงนั้น เขาไม่ได้ทำอะไรเลย เขาเพียงเฝ้าดูจากด้านข้าง และปล่อยให้อควาโรส กับไป๋ฉิงเฉวจัดการเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ต้องการจะเปิดเผยความสามารถของสองสาว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เลือกจะแก้ความเข้าใจผิดของเซี่ยชิงหยาง ….
“โอเคๆ …” เมื่อเซี่ยชิงหยางเห็นว่าซือเฟิงไม่ได้คิดจะบอกอะไรเพิ่มเติม เธอก็ไม่ได้คิดจะซีกไซร้ต่อ “อย่างไรก็ตามนับจากนี้คุณจะต้องระวังให้มาก เพราะท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าบริษัทกรีนก๊อดของเราจะทำการจับกุมหวังซวนหมิง และลงโทษเขาได้ แต่อาจารย์ที่อยู่เบื้องหลังเขาก็จะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้จบลงง่ายๆแน่นอน …”
ผู้ที่อาศัยอยู่ในชั้นกลาง และเป็นอาจารย์ของหวังซวนหมิงนั้นมีอำนาจมากพอจะทำให้ผู้จัดการชั้นพื้นฐานอย่างเธอปวดหัวได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงผู้มีอำนาจเกรด 1 อย่างซือเฟิงเลย
“ขอบคุณสำหรับคำเตือน …” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า
ไม่นานหลังจากที่เซี่ยชิงหยางทำการลากตัวหวังซวนหมิงออกไป ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็เริ่มแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วราวกับไฟป่า ….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น