Reincarnation Of The Strongest Sword God 2488 - 2510
ตอนที่ 2488
การล่อลวงของเทพปีศาจ
นี่มันอาจเป็นผลประโยชน์ที่มอบให้ผู้บุกเบิกรึปล่าว ?
หลังจากครุ่นคิดแล้ว นี่ก็เป็นความเป็นไปได้เดียวที่ซือเฟิงจะคิดได้
ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาไม่เคยมีข่าวเลยว่ามีใครพบหีบสมบัติในสุสานดาว แม้ว่าจะมีหลายทีมเข้ามาล่าที่นี่ในตอนนี้ ซึ่งหีบสมบัติใดๆที่ถูกพบและเปิดในสุสานดาวนั้นก็จะต้องดึงดูดความสนใจของผู้เล่นคนอื่นได้มากอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเขานั้นไม่เคยได้ข่าวเรื่องของหีบสมบัติในสุสานดาวเลย
ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าเสมอ เฉกเช่นเดียวกับหลายคนเมื่อก่อนว่าสุสานดาวนั้นไม่มีหีบสมบัติ และผู้เล่นจะได้รับทรัพยากรกับสมบัติผ่านการฆ่าบอสที่นี่เท่านั้น
อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ไม่ได้คิดมากเกินไปในเรื่องนี้ เพราะท้ายที่สุดนั่นคือหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอที่พวกเขากำลังพูดถึง ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่หายากอย่างน่าเหลือเชื่อกว่าจะมาถึง เขาได้รีบพาโคล่าและคนอื่นๆมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ไฟเออร์แดนซ์บอกทันที
ในเวลาเดียวกันรายงานนี้ของไฟเออร์แดนซ์ ก็ทำให้ทั้งทีมรู้สึกกระปี้กระเปร่า
“อึก !! มีหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแออยู่ที่นี่จริงๆ !!?”
“คราวนี้สภาสิบแปดปีกเจอกับโชคหล่นทับอย่างแท้จริง บางทีกิลอาจได้รับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานเลยก็ได้ !!!”
“มีเพียงหัวหน้ากิลของเราเท่านั้นที่มีเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนาน สภาสิบแปดปีกนี่ช่างโชคดีจริงๆ”
รองผู้บัญชาการหลายคนของกองกำลังนรกนั้น เริ่มจะอิจฉาอย่างมาก เมื่อได้ยินข่าวเกี่ยวกับการค้นพบหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอ หากไม่ใช่เพราะสภาสิบแปดปีกเป็นพันธมิตรของพวกเขา พวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อแย่งชิงมันมาแน่นอน
ในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่อาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคนั้นจัดเป็นไอเทมระดับสูงสุดที่มีใน God domain ตอนนี้ ในขณะที่เศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานหรืออะไรที่คล้ายๆกันนั้นจะมีอยู่เพียงแค่ในข่าวลือเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดมันยังไม่มีไอเทมระดับนี้ปรากฎขึ้นในตลาดเลย ในความเป็นจริงมหาอำนาจต่างๆส่วนใหญ่ยังไม่มีข้อมูลที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานด้วยซ้ำ
จากการสืบสวนของจักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้นมันไม่ควรมีเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานอยู่ในมือของผู้เล่นมากกว่าสิบชิ้น ยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีพวกระดับสูงของกิลแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้
สำหรับความแข็งแกร่งของเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานั้น พวกระดับสูงของกิลก็ล้วนเคยเห็นมันมาก่อนเป็นการส่วนตัว มันไม่ใช่สิ่งที่อาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคจะสามารถเปรียบเทียบได้เลย เศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานนั้นจะทำให้ผู้เล่นมีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพอย่างมาก
หากพวกเขาสามารถได้รับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานของ God domain มาใช้สักชิ้น พวกเขาก็จะสามารถทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดของ God domain ได้ทันที
ที่สำคัญที่สุดคือเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานนั้นสามารถจะใช้ได้ตลอดไป และมันก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผู้เล่นไปถึงเลเวลที่สูงขึ้น มันไม่มีวันล้าหลัง
ดังนั้นจักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้นจึงค้นหาเบาะแสของเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานอย่างบ้าคลั่ง และออกตามหาไปทุกที่ที่เบาะแสชี้ไป ในความเป็นจริงต้องบอกเลยว่ากิลนั้นยินดีจะปล่อยให้กองกำลังนรกถูกสังหารหมู่ด้วยซ้ำ ถ้านั่นมันทำให้กิลได้รับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานมาสักชิ้น
อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบและวิจัยของจักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้น โอกาสที่จะได้รับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานจากหีบสมบัติระดับอีปิคนั้นมีน้อยมากๆ มันมีเพียงหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอหรือสูงกว่าขึ้นไปเท่านั้นจึงจะมีสิทได้รับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานมากขึ้น
นี่ประโยชน์ของการบุกเบิกสุสานดาวมันยอดเยี่ยมขนาดนี้เลยงั้นหรอ ? เฮลรัชนั้นอดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความอิจฉา เมื่อได้รู้ถึงสถานการณ์นี้ ดูเหมือนว่าหลังจากนี้เราจะต้องมาทุ่มเทเวลาให้กับการสำรวจสุสานดาวสักหน่อย
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าสุสานดาวนั้นมีทรัพยากรและสมบัติมากมาย ในฐานะที่มันเป็นดันเจี้ยนภูมิภาค โหมดพระเจ้า แต่เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันจะถึงขนาดนี้ พวกเขาอยู่บนชั้นสองของสุสานดาวเท่านั้น แต่พวกเขาก็พบกับหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอแล้ว หากแม้แต่ชั้นสองยังมีสมบัติแบบนี้ เขาก็ไม่กล้าที่จะจินตนาการเลยว่าในชั้นสูงขึ้นไปจะมีสมบัติอะไรอีกบ้าง
หลังจากที่สมาชิกกองกำลังนรกนั้นพูดคุยกันเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ พวกเขาก็รีบตามซือเฟิงไปยังสถานที่ที่ไฟเออร์แดนซ์แจ้งมา
สภาพแวดล้อมในชั้นสองของสุสานดาวนั้นเป็นป่าฝนเขคร้อน อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้เหมือนกับป่าฝนในโลกแห่งความจริง ป่าฝนที่นี่นั้นเป็นที่อยู่ของต้นไม้ขนาดมหึมา และการได้เข้ามาในสถานที่แห่งนี้นั้น มันก็เหมือนกับการได้เข้ามาในดินแดนของยักษ์ มนุษย์ทั่วไปนั้นจะดูตัวเล็กอย่างมากเลยที่นี่
หลังจากเดินทางผ่านป่ามาประมาณยี่สิบนาที ทั้งทีมก็ได้มาถึงบริเวณที่เป็นเนินเขาแห้งแล้ง ซึ่งมีวิหารโบราณตั้งอยู่ โดยมันมีหมอกแห่งความมืดนั้นปกคลุมวิหารอยู่ ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกเศร้าหมองอย่างไม่อาจจะอธิบายได้
ซึ่งเมื่อผ่านประตูที่เปิดอยู่ของวิหารเข้าไป มันก็จะเห็นหีบสมบัติขนาดมหึมาตั้งอยู่กลางวิหาร โดยหีบสมบัตินี้เปล่งแสงสีส้มแดงที่โดดเด่นซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอออกมา
“หัวหน้ากิล ครั้งนี้เราเจอแจ๊คพอตแล้ว !!! มันเป็นหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอจริงๆ !!!” โคล่ากล่าวด้วยความตื่นเต้นที่ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขา เมื่อเขาเห็นหีบสมบัติขนาดมหึมา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โคล่าได้เห็นหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอ แม้ว่าเขาจะไม่คิดว่ารายงานของไฟเออร์แดนซ์ผิดพลาด แต่อย่างไรก็ตามหลังจากได้ยืนยันรายงานของไฟเออร์แดนซ์ด้วยตัวเองแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เพราะท้ายที่สุดตัวเขาเองก็เคยสัมผัสกับความแข็งแกร่งของเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานมาก่อน
ในขณะนี้นอกเหนือจากโคล่าแล้ว สมาชิกกิลคนอื่นๆของสภาสิบแปดปีกก็ยังเผยให้เห็นสีหน้าตื่นเต้นออกมาด้วย เพราะท้ายที่สุดตราบใดที่พวกเขาได้รับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานมาสักชิ้นจากหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอนี้ สภาสิบแปดปีกก็จะมีผู้เชี่ยวชาญระดับสัตว์ประหลาดเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่พวกเขาขาดอยู่
อย่างไรก็ตาม ไม่เหมือนกับผู้เชี่ยวชาญของสภาสิบแปดปีก สมาชิกของกองกำลังนรกนั้นไม่ได้เปิดเผยความสุขหรือความอิจฉาใดๆ ตรงกันข้ามพวกเขากับส่ายหัวด้วยความผิดหวัง
“ช่างน่าเสียดาย มันคือการล่อลวงของเทพปีศาจ ..” เฮลรัชกล่าวถอนหายใจออกมา ขณะที่จ้องมองไปยังวิหารที่มืดมน
หลังจากทำตัวให้ใจเย็นลงแล้ว อควาโรสก็หันไปถามเฮลรัชว่า “การล่อลวงของเทพปีศาจ ? มันคืออะไรกัน ผู้บัญชาการรัช ?”
ก่อนหน้านี้เธอนั้นสามารถรับรู้ได้อย่างรวดเร็วเลยว่าเฮลรัชนั้นมีการตอบสนองอย่างตื่นเต้นและกระตือรือร้นเหมือนคนอื่นๆต่อการค้นพบหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอ อย่างไรก็ตามหลังจากได้เห็นหีบสมบัติแล้ว เขากับละความสนใจจากมันไปทันที นี่มันจึงเป็นเรื่องแปลกมาก
“คุณพึ่งจะมาถึงทวีปด้านตะวันตกเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นคุณจึงอาจจะยังไม่รู้เรื่องนี้ มันมักจะมีวิหารแปลกๆแบบนี้ปรากฎขึ้นในสถานที่อันตรายบางแห่งของทวีปด้านตะวันตก โดยวิหารแปลกๆแบบนี้ไม่เพียงแต่จะเต็มไปด้วยพลังแห่งความมืดที่หนาแน่น แต่วิหารเหล่านี้ยังเป็นที่เก็บสมบัติที่ล้ำค่าอย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย” เฮลรัชอธิบาย “อย่างไรก็ตามวิหารเหล่านี้นั้นก็เป็นเพียงแค่กับดักที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพปีศาจเท่านั้น หากผู้เล่นล้มเหลวในการต่อต้านการล่อลวงนี้และถูกล่อให้เข้าไปภายในวิหาร พวกเขาจะต้องถูกบังคับให้เข้ารับการทดสอบของเทพปีศาจ และต่อสู้กับเงาของเทพปีศาจเป็นการทดสอบ นี่มันจึงทำให้การทดสอบนี้นั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้สำเร็จได้”
“เพื่อทำให้เรื่องแย่ลง ผู้เล่นที่ไม่ผ่านการทดสอบนั้นไม่เพียงแต่จะไม่ได้รีบหีบสมบัติ แต่เลเวลยังจะกลับลงไปที่ศูนย์เลย และวิญญาณอมตะครึ่งหนึ่งของพวกเขาก็จะถูกกลืนกิน ซึ่งจะทำให้พวกเขานั้นตกอยู่ในสถานะที่อ่อนแอเป็นเวลานานมาก และเมื่อไปถึง ณ จุดนั้น ผู้เล่นก็จะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลบไอดีและเริ่มต้นใหม่ ดังนั้นเราจึงเรียกวิหารเหล่านี้ว่าการล่อลวงของเทพปีศาจ”
เมื่อเฮลรัชพูดจบ สมาชิกของกองกำลังนรกทุกคนต่างก็เต็มไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นี่เป็นเพราะว่าสมาชิกหลายคนของกองกำลังนรกตกหลุมพรางนี้มาแล้ว และพวกเขาก็ถูกบังคับให้ต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด
ยิ่งไปกว่านั้นจักรวรรดิโลกใต้พิภพยังไม่ได้เป็นเพียงแค่กิลเดียวที่ล้มเหลวในเรื่องการล่อลวงของเทพปีศาจ มหาอำนาจอื่นๆเองก็ล้มเหลวเช่นกัน ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงหลายคนของ God domain ได้หายไปก็เนื่องจากตกเป็นเหยื่อของกับดักแบบนี้ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่ได้มาพบกับการล่อลวงของเทพปีศาจแบบนี้ ผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆจึงมักจะหน้าซีดกันด้วยความกลัว
“นั่นหมายความว่า เรามาที่นี่โดยจะไม่ได้อะไรกลับไปเลยงั้นสินะ …” อควาโรสรู้สึกสลด เมื่อได้ยินคำพูดของเฮลรัช
แม้ว่าเธอจะต้องการลองท้าทายการล่อลวงของเทพปีศาจดู แต่คำอธิบายของเฮลรัชนั้นก็ได้หยุดเธอเอาไว้ เพราะนอกเหนือจากบทลงโทษที่รุนแรงจากความล้มเหลวแล้ว ถ้าแม้แต่คนอย่างเฮลรัชที่มีมาตราฐานการต่อสู้สูงกว่าเธอและหยานเทียนซิงยังคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เธอก็ควรที่จะหยุดความคิดที่จะท้าทายลงตรงนี้
“อย่าคิดเรื่องท้าทายกันเลย แถมยิ่งสมบัติที่ถูกเก็บไว้ในนี้นั้นมีค่ามากเท่าไหร่ การทดสอบมันก็จะยิ่งยากขึ้นเท่านั้น ก่อนหน้านี้การทดสอบที่มีหีบสมบัติระดับอีปิคเป็นรางวัลนั้น มันบังคับให้ผู้เล่นต้องต่อสู้กับเงาของเทพปีศาจที่อยู่ในขั้นและเลเวลเดียวกัน และตอนนี้ด้วยมีรางวัลเป็นหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอ ฉันกลัวว่าเงาของเทพปีศาจที่ผู้เล่นจะต้องต่อสู้นั้นน่าจะอยู่เหนือกว่าผู้เล่นหนึ่งขั้นด้วย …” เฮลรัชแนะนำ
เขานั้นก็ถูกล่อลวงอย่างมากเช่นกันจากรางวัลนี้ และหากมันมีโอกาสสำเร็จ แม้จะน้อยนิด เขาก็อยากจะลองเสี่ยงดู อย่างไรก็ตามกับการทดสอบตรงหน้านี้ เขามั่นใจว่ามันจะไม่มีที่ผู้เล่นในปัจจุบันจะทำได้สำเร็จแน่นอน เพราะอย่างน้อยเงาเทพของเทพปีศาจที่ถูกเรียกออกมาต่อสู้กับผู้เล่นจะต้องอยู่ในขั้นสี่แน่นอน
สมาชิกคนอื่นๆของกองกำลังนรกเองก็เห็นด้วยกับเฮลรัช ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของพวกเขา พวกเขาจะทำได้แค่ชื่นชมหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอได้จากระยะไกลเท่านั้น พวกเขานั้นจะต้องเบื่อชีวิตมากๆแล้ว พวกเขาถึงจะกระโดดไปลองทำการทดสอบที่เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้เล่นในตอนนี้
“ไม่ เรายังไม่ได้ไร้ทางเลือกโดยสิ้นเชิง” ซือเฟิงกล่าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 2489
การหลีกเลี่ยงกฎ
สมาชิกของกองกำลังนรกรวมทั้งเฮลรัชนั้นต่างก็มองไปยังซือเฟิงอย่างแปลกๆ เมื่อได้ยินคำพูดของเขา พวกเขาได้อธิบายเรื่องการล่อลวงของเทพปีศาจให้กับผู้เล่นจากทวีปด้านตะวันออกเหล่านี้ฟังแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่าซือเฟิงจะยังคงตั้งเป้าไปที่หีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอ การพยายามจะลองเสี่ยงกับอะไรแบบนี้นั้น มันไม่ต่างจากการยอมแลกชีวิตเพื่อความมั่งคั่งเลย
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม คุณไม่สามารถจะใช้สกิลเบอเซิกร์ หรือเครื่องมือใดๆช่วยเหลือตัวเองได้เลยนะภายในวิหาร คุณจะต้องเผชิญหน้ากับเงาของเทพปีศาจโดยอาศัยพลังของคุณเอง และแม้ว่าเงานี้จะไม่ใช่เทพปีศาจที่แท้จริง แต่มันก็เป็นสิ่งที่เทพปีศาจได้สร้างขึ้นมา ซึ่งมันแข็งแกร่งกว่าฮีโร่ในเลเวลและขั้นเดียวกันมาก” เฮลรัชอธิบาย “หากคุณล้มเหลว คุณก็จะต้องสร้างไอดีใหม่เลยนะ …”
เฮลรัชนั้นเข้าใจถึงความปราถนาของซือเฟิง เพราะท้ายที่สุดแล้วหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอนั้นมันก็น่าดึงดูดมากจริงๆ และหีบสมบัตินี้ก็มีสิทจะมอบเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานให้กับผู้ที่เปิดมันสูงมาก
แต่ซือเฟิงนั้นไม่ได้รู้เลยว่าเงาของเทพปีศาจนั้นมันทรงพลังมากขนาดไหน
เฮลรัชอาจพิจารณาถึงการลองเข้าไปทดสอบเช่นกัน หากเขาไม่ได้รู้ถึงพลังของเงาของเทพปีศาจมาก่อน แต่เขานั้นรู้ ….
สมาชิกของกองกำลังนรกพยักหน้าเห็นด้วยกับผู้บัญชาการของพวกเขา พวกเขานั้นยอมรับซือเฟิงอย่างมากในเรื่องของความแข็งแกร่ง แต่ชายคนนี้ก็ไม่ควรจะมีพลังมากพอที่จะท้าทายเงาของเทพปีศาจ และเอาชีวิตรอดออกมาได้
“หัวหน้ากิล ?”
คำพูดของซือเฟิงนั้นทำให้อควาโรสรู้สึกกังวลเล็กน้อย เขายังไม่ได้ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของเขาได้ถึงหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ด้วยซ้ำ และในสุสานดาวนี้ก็ต้องพูดว่าเขายังมีพลังการต่อสู้น้อยกว่าเธออยู่เล็กน้อย หากซือเฟิงล้มเหลวในการทดสอบ มันจะเป็นการที่เขาลากสภาสิบแปดปีกลงไปพร้อมกับเขาเลย ชายคนนี้นั้นเป็นดั่งสัญลักษณ์ของสภาสิบแปดปีก หากเขาถูกบังคับให้ต้องสร้างไอดีใหม่ กิลจะพังทลายลงอย่างรวดเร็วแน่นอน
“เธอเข้าใจผิดไปแล้ว ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะท้าทายเงาของเทพปีศาจโดยตรง” ซือเฟิงรีบอธิบาย เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าวิตกกังวลของพรรคพวกของเขา “ฉันแค่บอกว่าได้รับหีบสมบัตินั้นเป็นไปได้”
“การได้รับหีบสมบัติโดยไม่ต้องท้าทายเงาของเทพปีศาจงั้นหรอ ?” เฮลรัชนั้นมองไปยังซือเฟิงอย่างสับสน เขาคิดว่าผู้ชายคนนี้ต้องล้อเขาเล่นแน่ๆ เมื่อผู้เล่นเข้าไปในวิหารแล้ว พวกเขาจะไม่สามารถออกมาได้จนกว่าการทดสอบจะเสร็จสิ้น และถ้าซือเฟิงไม่สามารถเอาชนะเงาของเทพปีศาจแล้ว เขาจะไปเอาหีบสมบัติมาได้ยังไง ?
“ใช่แล้ว แม้ว่ามันจะค่อนข้างยากก็ตาม” ซือเฟิงตอบพลางพยักหน้า จากนั้นเขาก็หันไปหาอควาโรสและพูดว่า “ตั้งวงเวทย์สตาร์ไลท์แกทเธอลิ่งรอบๆวิหาร จากนั้นฉันต้องการให้ทุกคนช่วยกันเฝ้าและป้องกันไม่ให้มอนสเตอร์โดยรอบเข้ามาใกล้”
ซือเฟิงนั้นมีความรู้อยู่ค่อนข้างมากเกี่ยวกับเทพโบราณและเงาของพวกนี้ ต้องบอกว่าเขามีความรู้มากกว่าใครๆใน God domain ตอนนี้เลย แม้แต่มังกรในขั้นเดียวกันก็ยังไม่สามารถจะเข้าใกล้พื้นที่ที่ถูกปกป้องโดยเงาของเทพได้เลย ความแข็งแกร่งของเงาแบบนี้นั้นมันเทียบเท่ากับมังกรศักสิทธิ์ และในตอนนี้นั้นต่อให้เป็นตัวเขาเองก็จะทนการโจมตีของเงาในขั้นเดียวกันได้แค่สามถึงสี่ครั้งเท่านั้นก่อนจะตายลง ไม่ต้องพูดถึงเงาที่มีขั้นสูงกว่าหนึ่งขั้นเลย
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะเงาของเทพปีศาจได้ แต่กรณีในการได้รับหีบสมบัตินั้นเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไป
ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา มันก็มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ได้ท้าทายการล่อลวงของเทพปีศาจ และท้ายที่สุดก็ถูกบังคับให้ต้องสร้างไอดีใหม่ ซึ่งนี่รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญระดับสัตว์ประหลาดบางคนด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม อยู่ๆมันก็มีผู้เล่นอิสระคนหนึ่งนั้นเอาสมบัติจากการล่อลวงของเทพปีศาจมาได้ ซึ่ง ณ จุดนี้ผู้เล่นอิสระคนนี้ก็ได้โพสต์เกี่ยวกับชัยชนะของเขาในฟอรั่ม ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว God domain และมันก็ทำให้ผู้เล่นทั้งหมดนั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้มากๆ แม้แต่มหาอำนาจต่างๆก็ยังพยายามจะรับสมัครผู้เล่นอิสระคนนี้โดยเสนอกระทั่งตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุด หรือไม่ก็ผู้อาวุโสในกิลให้เลย
อย่างไรก็ตามเมื่อมหาอำนาจต่างๆได้มาพบกับผู้เล่นอิสระผู้นี้ตัวเป็นๆ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เพราะผู้เล่นอิสระคนนี้นั้นเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญทั่วไปเท่านั้น ในตอนนั้นเขายังไม่ได้มาถึงขอบเขตการปรับแต่งเลยด้วยซ้ำ ….
ไม่มีใครคาดคิดกับผลลัพธ์ของเรื่องนี้ เพราะแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมนที่มีเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานอยู่หลายชิ้นจะพยายามทำการทดสอบนี้ แต่ก็ไม่มีใครยืนต่อต้านเงาของเทพปีศาจได้เกินสิบวินาทีเลย และตามธรรมชาติแล้วก็ไม่ต้องพูดถึงการได้รับสมบัติเลย
หลังจากได้สัมภาษณ์โดยละเอียด บรรดามหาอำนาจต่างๆก็ได้รู้ว่าผู้เล่นอิสระผู้นี้นั้นไม่ได้ทำการท้าทายการล่อลวงของเทพปีศาจจริงๆ เพียงแต่ว่าเขาได้ค้นพบสมบัติที่ซ่อนอยู่ในวิหาร
และเพื่อรับเอาสมบัติมา สิ่งที่เขาทำก็แค่ถอดรหัสวงเวทย์ที่ปกป้องวิหารอยู่
เมื่อผู้เล่นถอดรหัสวงเวทย์ได้แล้ว พวกเขาก็จะสามารถใช้เครื่องมือเวทย์มนต์ภายในวิหารได้ ซึ่งสิ่งนี้มันก็จะทำให้พวกเขาตรึงเงาของเทพปีศาจไว้ได้นานพอที่จะรับเอาหีบสมบัติและหนีออกมาได้
ซึ่งมหาอำนาจต่างๆนั้นก็ล้วนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อได้รู้เรื่องนี้ พวกเขาไม่คิดเลยว่ามันจะมีวิธีที่จะหลีกเลี่ยงกฎของระบบแบบนี้ได้ด้วย ผู้เล่นทุกคนใน God domain นั้นล้วนจดจำกฎต่างๆจากระบบหลักของ God domain ได้เป็นอย่างดี และพวกเขาก็คิดว่าคงจะไม่มีใครสามารถท้าทายกฎเหล่านี้ได้ แต่อย่างไรก็ตามผู้เล่นคนนี้กับทำให้พวกเขารู้ว่ามันเป็นไปได้
แน่นอนว่าวิธีการที่ผู้เล่นอิสระผู้นี้ใช้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
การถอดรหัสวงเวทย์ของวิหารนั้นมันต้องใช้เวลานานมาก และการล่อลวงของเทพปีศาจแบบนี้ก็มักจะไม่ได้คงอยู่นานนัก โดยส่วนใหญ่มันจะคงอยู่แค่ราวสองวันเท่านั้น
แม้ว่าผู้เล่นอิสระผู้นี้จะไม่ได้มีความสามารถในการต่อสู้ที่น่าทึ่ง แต่เขานั้นก็เป็นปรมาจารย์นักเวทย์ขั้นสูง และอยู่ห่างเพียงแค่ก้าวเดียวจากการกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์ ดังนั้นเขาจึงสามารถถอดรหัสวงเวทย์ได้ภายในเวลาที่กำหนดและรับเอาสมบัติมาได้
น่าเสียดายที่แม้ว่าจะมีมหาอำนาจมากมายใช้วิธีการเดียวกัน แต่มันก็มีน้อยมากที่จะประสบความสำเร็จ
การล่อลวงของเทพปีศาจนั้นจะปรากฎขึ้นแบบสุ่ม และแม้ว่าผู้เล่นจะมาพบมัน แต่มันก็ไม่มีประโยชน์เลย หากผู้เล่นไม่สามารถถอดรหัสของวงเวทย์ได้ก่อนที่วิหารจะหายไป และแม้ว่าพวกเขาจะทำได้สำเร็จ แต่พวกเขาก็ยังคงต้องหลบหนีจากเทพปีศาจอยู่ดี ซึ่งหากพวกเขาไม่สามารถทนอยู่ได้สักยี่สิบถึงสามสิบวินาที การหลบหนีไปพร้อมกับสมบัตินั้นจะเป็นไปไม่ได้เลย
ตอนนี้ซือเฟิงนั้นเป็นปรมาจารย์นักเวทย์แล้ว แม้ว่าเขาจะอยู่แค่ในขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่เขาก็น่าจะมีโอกาสถอดรหัสวงเวทย์ของวิหารได้ ปัญหาเพียงอย่างเดียวของเขาคือเวลาที่มีจำกัดเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ซือเฟิงก็ไม่ได้สนใจใดๆ เขาอยากจะลองดู มันมีโอกาสน้อยมากที่จะได้มาพบกับการล่อลวงของเทพปีศาจ ซึ่งการยอมแพ้โดยไม่ทำอะไรเลย มันจะเป็นการสูญเปล่ามากๆ
ในขณะเดียวกันอควาโรส และพรรคพวกของเธอก็ได้ทำตามที่ซือเฟิงบอกอย่างสับสน โดยพวกเขาได้ทำการตั้งวงเวทย์สตาร์ไลท์แกทเธอลิ่งไว้รอบๆวิหารทันที ซึ่งในขณะที่พวกเขาทำแบบนี้นั้นวงเวทย์ก็ได้รวบรวมมานาโดยรอบให้มารวมตัวกันรอบวิหาร และทำให้ความหนาแน่นของมานาภายในวงเวทย์นั้นสูงขึ้นมาก
ตอนนี้ความหนาแน่นของมานาก็สูงขึ้นแล้ว ฉันน่าจะถอดรหัสวงเวทย์ได้เร็วขึ้น ต่อไปที่เหลือก็ต้องแข่งกับเวลาแล้ว ซือเฟิงคิดพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้เสาหินที่อยู่รอบวิหาร จากนั้นเขาก็เริ่มทำการถอดรหัสวงเวทย์ที่ปกป้องวิหาร
มันมีเสาหินโบราณหลายต้นนั้นคอยปราบปรามและกั้นพื้นที่รอบๆกับภายในวิหารอยู่ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว พวกมันก็เป็นวงเวทย์หลักที่ทำหน้าที่ปิดผนึกวิหารนี่แหละ หากเขาสามารถถอดรหัสมันได้ เขาก็จะสามารถเข้าและออกวิหารได้อย่างอิสระจนกว่าการซ่อมแซมอัตโนมัติของวงเวทย์จะเสร็จสิ้น เขาจะไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกจัง หรือไม่สามารถใช้เครื่องมือเวทย์มนต์ภายในวิหารได้เลย
“ผู้บัญชาการ แบล๊คเฟรมนั่นบ้าไปแล้ว …. นั่นคือวงเวทย์ของระบบเลยนะที่เรากำลังพูดถึง และเขาก็พยายามจะถอดรหัสพวกมัน …” ธันเดอร์บีสต์ตกตะลึง เมื่อเขาเห็นซือเฟิงเดินเข้าใกล้เสาหินและเริ่มงานของตัวเอง
“ฉันไม่รู้ …” เฮลรัชพูดพลางส่ายหัว “อย่างไรก็ตามเขาได้จ้างเรามา และเนื่องจากเขาต้องการจะลองถอดรหัสของวงเวทย์ เราจึงได้แต่ต้องทำตามความปราถนาของเขาเท่านั้น และไม่ว่าในกรณีใด เราก็สามารถจะใช้โอกาสนี้พักผ่อนได้ด้วย”
แม้ว่าเฮลรัชจะคิดว่าวิธีการที่ซือเฟิงกำลังลองทำนั้นมีความเป็นไปได้น้อยกว่าการเผชิญหน้ากับเงาของเทพปีศาจโดยตรงซะอีก แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลจะหยุดซือเฟิง เพราะท้ายที่สุดแล้ว วิธีนี้มันไม่ได้อันตรายใดๆ
แถมในระหว่างที่ซือเฟิงกำลังทำแบบนี้นั้น กองกำลังนรกก็จะได้พักผ่อนด้วย ในขณะที่คอยเฝ้าระวังมอนสเตอร์โดยรอบให้เขา
ในขณะเดียวกันความตื่นเต้นก็ปรากฎขึ้นในดวงตาของซือเฟิง ขณะที่เขาทำการตรวจสอบวงเวทย์ของวิหาร ปรากฎว่าพวกมันนั้นไม่ได้ทรงพลังอย่างที่เขาคาดเดา เพียงแต่ว่ามันจะค่อนข้างซับซ้อนเพราะประกอบไปด้วยชุดของวงเวทย์ระดับปรมาจารย์ที่เชื่อมโยงถึงกันเท่านั้น สิ่งเหล่านี้นั้นไม่ได้ทรงพลังเท่ากับวงเวทย์ที่ใช้กักขังมังกรเงินศักสิทธิ์ด้วยซ้ำ
หากเขามีเวลาเพียง การจะถอดรหัสพวกมันให้ได้ก็จะไม่มีปัญหาเลย
ซือเฟิงนั้นค่อยๆถอดรหัสวงเวทย์ที่สลักอยู่บนเสาหินโบราณอย่างเมามัน และเวลาก็ค่อยๆผ่านไปเรื่อยๆ
สามชั่วโมง … หกชั่วโมง … สิบสองชั่วโมง …
ยิ่งซือเฟิงพยายามจะถอดรหัสวงเวทย์นี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมีความประทับใจมากขึ้นเท่านั้น วงเวทย์พวกนี้นั้นได้ให้ข้อมูลเชิงลึกแก่เขามากมายเกี่ยวกับโครงสร้างและการปรับแต่งวงเวทย์
โชคไม่ดีที่ซือเฟิงยิ่งถอดรหัสวงเวทย์ไปได้มากเท่าไหร่ ความคืบหน้าของเขาก็ยิ่งช้าลงมากเท่านั้น วงเวทย์ต่อๆไปแต่ละอันนั้นมันมีความซับซ้อนมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก แถมมันยังต้องใช้มานาที่มากขึ้น และการควบคุมมานาที่ดีขึ้นด้วยในการถอดรหัสมัน
ในท้ายที่สุดซือเฟิงก็ถอดรหัสวงเวทย์ได้เพียงแค่ครึ่งเดียว หลังจากผ่านไปนานกว่าหนึ่งวัน เขาจึงเริ่มรู้สึกสลดใจเล็กน้อย
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมในชีวิตที่ผ่านมาของฉัน มันถึงมีมหาอำนาจแค่ไม่กี่กลุ่มที่ใช้วิธีนี้ได้สำเร็จ แม้ว่าผู้เล่นจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับเงาของเทพปีศาจ แต่การมาทำแบบนี้มันก็เป็นการทดสอบความรู้เรื่องวงเวทย์ และการควบคุมมานาของผู้เล่นเช่นกัน เมื่อซือเฟิงสังเกตเห็นวงเวทย์วงต่อไป เขาก็คิดว่าเขาคงหมดสิทจะได้รับหีบสมบัตินี้แล้วแน่เลย ….
“หัวหน้ากิล การควบคุมมานาของหัวหน้ากิลนั้นมันค่อนข้างจะหยาบเกินไป เช่นเดียวกับเทคนิคการต่อสู้ มานานั้นทำงานภายใต้กฎบางประการ มันจะง่ายกว่าที่จะควบคุม ถ้าหัวหน้าปฎิบัติตามกฎเหล่านี้” อควาโรสนั้นกล่าวเตือนซือเฟิง เมื่อเห็นว่าเขาเริ่มไปต่อไม่ได้
เทคนิคการต่อสู้ ? ดวงตาของซือเฟิงนั้นเปล่งประกายเมื่อเขาตระหนักได้ถึงบางสิ่ง ใช่แล้ว !!!
จากนั้นเขาก็กัดฟันและดึงคริสตัลความทรงจำที่มีเทคนิคมานาที่ของนักบุญสวรรค์น้ำเงินออกมา
ตอนแรกเขานั้นต้องการจะเก็บมันไว้จนกว่าเขาจะสามารถปลดล๊อคศักยภาพสูงสุดร่างมานาของตัวเองได้ เพราะการใช้เทคนิคนี้จะเกี่ยวข้องกับร่างมานาของเขาด้วย แต่เทคนิคมานานั้นก็เป็นหัวใจหลักในการใช้มานา แม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถใช้เทคนิคมานาของอีเลียดี้ได้ แต่การเรียนรู้มันก็น่าจะทำให้เขาสามารถควบคุมมานาได้ดีขึ้น
ฉันทำได้แค่ลองเท่านั้น !!!
จากนั้นซือเฟิงก็บีบคริสตัลความทรงจำในมือจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และลำแสงสีม่วงทองก็ไหลเข้ามาในหัวของเขา และทำให้เกิดพื้นที่เสมือนจริงภายในจิตใจของเขาทันที
ตอนที่ 2490
มรดกเทคนิคมานา
นี่คือมรดกเทคนิคมานางั้นหรอ ?
ซือเฟิงนั้นรู้สึกตกใจเมื่อมีพื้นที่เสมือนจริงปรากฎขึ้นภายในจิตใจของเขา
ภายในพื้นที่เสมือนจริง ร่างกายของเขาได้แสดงการโจมตีด้วยดาบทั้งสามของอีเลียดี้ ที่อีเลียดี้ใช้กับเขาในการทดสอบมรดก และมันก็เกือบจะรู้สึกว่ามีใครบางคนควบคุมเขาอยู่ แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวและมานาภายในตัวของเขา และเขายังสามารถสัมผัสได้ว่าร่างกายและมานาของเขาถูกควบคุมอย่างไร
การจำลองแบบนี้นั้นดูมีประสิทธิภาพมากกว่าการมองดูคนอื่นใช้เทคนิคมากๆ
ไม่เพียงแต่จะต้องใช้เชี่ยวชาญในองค์ประกอบสี่ธาตุเพื่อใช้เทคนิคมานา แต่ผู้ใช้ยังต้องมีความเชี่ยวชาญในองค์ประกอบสามสายธาตุชั้นยอดที่เหลือด้วย
แม้แต่ปรมาจารย์นักเวทย์ก็ยังต้องพยายามอย่างหนักเลย หากอยากจะสร้างวงเวทย์ที่ควบคุมด้วยองค์ประกอบสี่ธาตุ เพราะท้ายที่สุดคนๆหนึ่งจะต้องทำความคุ้นเคยกับรูปแบบการเคลื่อนไหวของมานาทั้งสี่ธาตุ และสร้างวงเวทย์ตามรูปแบบเหล่านี้
อย่างไรก็ตามเทคนิคมานาของนักบุญสวรรค์น้ำเงินนั้นมีความซับซ้อนมากกว่านั้น โดยมันต้องใช้ความเข้าใจในองค์ประกอบธาตุทั้งเจ็ดอย่างสูงมาก ยิ่งไปกว่านั้นผู้ใช้ยังจะต้องทำทุกอย่างผ่านร่างมานาเพื่อใช้เทคนิคนี้
การใช้เทคนิคมานา การทำลายล้างศักสิทธิ์นั้นมันยากยิ่งกว่าการใช้เทคนิคลับอย่างไลท์นิ่งแฟลชหลายเท่า
การใช้งานไลท์นิ่งแฟลชนั้นอาศัยการเคลื่อนไหวทางกายภาพซึ่งเป็นการกระทำที่ผู้เล่นนั้นคุ้นเคยเป็นอย่างดี การควบคุมทางกายภาพนั้นมันเป็นไปตามธรรมชาติทั้งในโลกแห่งความจริง และโลกเสมือนจริง แต่การควบคุมมานาและร่างมานานั้นเป็นคนละเรื่องกัน ทั้งสองอย่างมันนับเป็นอะไรที่แปลกใหม่ และแค่การทำสมองให้ปลอดโปร่งเพื่อให้จิตใจแจ่มชัดเพื่อให้ควบคุมให้ได้สักขั้นพื้นฐานนั้นก็เป็นสิ่งท้าทายอย่างน่าเหลือเชื่อแล้ว ขณะที่การพยายามควบคุมกับทำความเข้าใจให้ได้อย่างแม่นยำนั้นยากยิ่งกว่า
โชคดีที่คริสตัลความทรงจำนั้นได้บันทึกข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับวิธีจัดการกับองค์ประกอบธาตุทั้งเจ็ดไว้แล้ว ซึ่งแม้ว่าฉันจะรู้วิธีการใช้การทำลายล้างศักสิทธิ์ แต่มันก็จะไม่มีประโยชน์มากนักเลย หากไม่ได้รู้รายละเอียดเหล่านี้ หลังจากได้ดูและวิเคราะห์การใช้ตั้งแต่ดาบที่หนึ่งจนถึงดาบที่สาม และวิเคราะห์เสร็จสิ้น ซือเฟิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกในระดับหนึ่ง
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มให้ความสำคัญกับการเรียนรู้รูปแบบพื้นฐานของมานาทันที
การจำลองของคริสตัลเวทย์มนต์นั้นจะใช้เวลาไม่นาน ซึ่งโดยปกติจะใช้เวลาเพียงสามถึงสี่ชั่วโมงเท่านั้น ในขณะที่คริสตัลความทรงจำบางชิ้นใช้เวลาน้อยกว่านั้นอีก ซึ่งหากฝันจะได้เรียนรู้จากคริสตัลความทรงจำเต็มวันนั้น ก็จะทำได้แค่ฝันเลย
ผู้เล่นนั้นจะต้องพยายามเรียนรู้ให้มากที่สุดในช่วงเวลาที่จำกัดนี้ เพราะท้ายที่เมื่อเวลาหมดลงผลของคริสตัลความทรงจำมันก็จะหายไปโดยไม่สนใจว่าผู้เล่นจะเรียนรู้ได้มากแค่ไหน
เวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ซือเฟิงกำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง
หนึ่งชั่วโมง…สองชั่วโมง…
จากมุมมองของคนนอกนั้นซือเฟิงนั่งอยู่ข้างเสาโบราณต้นหนึ่งเพื่อพักผ่อนเท่านั้น เขาไม่ได้ทำอะไรที่น่าสนใจเลย
“นี่แบล๊คเฟรมจะต้องทำให้เราเสียเวลาไปอีกเท่าไหร่กัน ผู้บัญชาการ ? แล้วนี่เราจะปล่อยให้เขาทำให้เราเสียเวลาต่อไปแบบนี้จริงๆงั้นหรอ ?” ธันเดอร์บีสต์กล่าวถามเฮลรัช พลางมองยังซือเฟิงที่ยังคงนั่งอยู่และไม่เคลื่อนไหวใดๆ
ตอนแรกที่พวกเขามาถึงที่นี่นั้น อย่างน้อยพวกเขาก็ได้ทำการล่ามอนสเตอร์และได้รับ EXP มากมาย แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสิทในไอเทมใดๆที่ดรอปก็ตาม ซึ่งมันก็นับว่าโชคดีที่การช่วยเหลือซือเฟิงของพวกเขานั้นไม่ได้สูญเปล่าโดยสิ้นเชิง
แต่ตอนนี้ ?
พวกเขานั้นใช้เวลาพักผ่อนอยู่ในพื้นที่นี้มามากกว่าหนึ่งวันแล้ว และนอกเหนือจากการสังหารกลุ่มยักษ์ดินที่เดินเข้ามาใกล้วิหารมากเกินไป พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง
ผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆล้วนกำลังล่าและเก็บเลเวลอย่างเมามัน แต่ตอนนี้กองกำลังนรกกับไม่ได้ทำอะไรเลย
“รออีกหน่อย เราตกลงจะติดตามแบล๊คเฟรมเข้ามาที่สุสานเป็นเวลาห้าถึงหกวันนะ ไม่ว่าเขาจะพบสิ่งที่ต้องการหรือไม่ก็ตาม และวันที่ห้านั้นก็ยังไม่หมดลง หลังจากที่มันเลยเวลาที่ตกลงกันไว้ หากเขาจะอยู่ต่อ เราก็จะล่าถอย” เฮลรัชกล่าว เขาเองก็ไม่ค่อยพอใจกับสถานการณ์นี้เช่นกัน
หากกองกำลังนรกเป็นหนึ่งในกองกำลังหลักทั่วไปของจักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้น นี่จะไม่ใช่ปัญหาเลย แต่มันไม่เป็นแบบนั้นกองกำลังนรกนั้นคือกองกำลังหลักที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิโลกใต้พิภพ และสมาชิกทุกคนนั้นล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ พวกเขานั้นไม่ได้มีเวลามากมายจะมาเสียให้กับซือเฟิง
“แบล๊คเฟรมนั้นดื้อรั้นอย่างแท้จริง แม้แต่มหาอำนาจต่างๆก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้เลย แล้วเขาจะทำมันให้สำเร็จด้วยตัวเองได้ยังไงกัน ?” ธันเดอร์บีสต์กล่าวบ่นขณะที่จ้องมองไปยังซือเฟิง
เมื่อทั้งสองพูดคุยกันจบดวงตาของซือเฟิงก็เปิดขึ้น และเขาก็หันกลับมาสนใจการถอดรหัสวงเวทย์ที่สลักอยู่บนเสาหินโบราณต่อ
คราวนี้วงเวทย์นั้นสามารถถูกถอดรหัสได้ง่ายขึ้นมากและมานารอบๆก็เริ่มมารวมตัวกันรอบๆซือเฟิง
“เขาทำอะไรกัน ?” ธันเดอร์บีสต์รู้สึกตกใจเมื่อเขารู้สึกได้ถึงมานาจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆมารวมตัวกันรอบซือเฟิง และมานานั้นมันก็หนาแน่นจนเริ่มเห็นได้อย่างชัดเจนเลย !!!
ชั้นของหมอกนั้นก่อตัวขึ้นรอบๆซือเฟิง แม้ว่ามันจะบางอย่างมาก และอาจจะไม่ทันสังเกตเลยหากพวกเขาไม่ได้โฟกัสจริงๆ แต่มันก็มีสถานที่แค่ไม่กี่แห่งใน God domain เท่านั้น ที่มีมานาหนาแน่นเพียงพอที่จะกลั่นออกมาจนเป็นแบบนี้ได้ และโดยธรรมชาติแล้วมหาอำนาจต่างๆก็ล้วนเข้าครอบครองสถานที่แบบนี้ทุกแห่งแล้ว
“การควบคุมมานาของเขาดีขึ้นแล้ว !!!” เฮลรัชแทบไม่เชื่อสายตัวเอง “และมันก็ดีขึ้นไม่น้อยเลย !!!”
“นี่ผู้เล่นจะสามารถดึงดูดมานาเข้ามาได้มากขึ้นด้วยการควบคุมมานาที่ดีขึ้นจริงๆงั้นหรอ ?” ธันเดอร์บีสต์มองไปยังผู้บัญชาการของเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“หากสามารถควบคุมได้ดีเพียงพอ มันก็เป็นไปได้ ฉันได้พบกับ NPC นักเวทย์ขั้นสี่ ที่รวบรวมมานาจำนวนมหาศาลเข้ามาหาตัวเองได้ด้วยการจัดการกับมานารอบๆตัวได้อย่างดี โดยที่เขาไม่ได้ใช้สกิลหรือเวทย์ใดๆด้วยซ้ำ” Elementalist หญิงข้างเฮลรัชกล่าวขึ้น
“แบล๊คเฟรมนั้นเป็นนักดาบ แล้วเขาจะสามารถควบคุมมานาแบบนั้นได้ยังไงกัน ?” ธันเดอร์บีสต์มองไปที่ซือเฟิงอีกครั้งด้วยความประหลาดใจ
การจะทำตาม NPC นักเวทย์ขั้นสี่นั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผู้เล่นนักเวทย์ขั้นสาม นี่ไม่ต้องพูดถึงพวกระยะประชิดขั้นสามได้เลย แต่ซือเฟิงกับทำได้สำเร็จในฐานะนักดาบขั้นสาม
“นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมั่นใจมากว่าจะช่วยให้คนอื่นปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้งั้นสินะ …” เฮลรัชกล่างพลางนึกถึงคำพูดของซือเฟิงก่อนหน้านี้
แม้ว่าเฮลรัชจะเห็นว่าอควาโรสและพรรพควกของเธอจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองกันได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว แต่นั่นเขาก็คิดว่ามันเป็นผลมาจากการที่สภาสิบแปดปีกใช้วิธีการบางอย่างเร่งกระบวนการ แต่เขาก็มีความสงสัยว่าวิธีนี้จะช่วยให้สมาชิกหลายร้อยคนของกองกำลังนรกทำแบบเดียวกันได้ภายในหนึ่งเดือนหรือไม่ เพราะท้ายที่สุดแล้วผู้เล่นทุกคนนั้นมีร่างมานาที่แตกต่างกัน และการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาก็จะเป็นไปอย่างแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตามการได้เห็นซือเฟิงสามารถควบคุมมานาได้เท่ากับ NPC นักเวทย์ขั้นสี่นั้น มันก็ดูเหมือนว่ากับว่าคำพูดของนักดาบจะเป็นไปได้จริงๆ
การควบคุมมานาของผู้เล่นนั้นมีส่วนอย่างมากในการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของพวกเขา ซึ่งนี่เป็นสาเหตุที่ผู้เล่นนักเวทย์ทำเรื่องนี้ได้ง่ายกว่าผู้เล่นทางกายภาพมาก
และแม้แต่สมาชิกสภาสิบแปดปีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอควาโรส และผู้เล่นนักเวทย์คนอื่นๆก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังซือเฟิงอย่างตกตะลึง ตอนแรกพวกเขานั้นควบคุมมานาได้ดีกว่าซือเฟิงมาก หลังจากปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปสามชั่วโมง ตอนนี้ซือเฟิงกับควบคุมได้ดีกว่าพวกเขาแล้ว
มันเกิดอะไรขึ้น ?
แต่ก่อนที่ใครจะทันได้หายตกตะลึงนั้น วงเวทย์บนเสาหินก็เริ่มจะจางหายไป และเมื่อเป็นเช่นนั้นหมอกแห่งความมืดรอบๆวิหารก็เริ่มสลายไป และบรรยากาศที่มืดมนนั้นมันก็หายไปอย่างสมบูรณ์ ….
ตอนที่ 2491
การควบคุมมานาขั้นพื้นฐาน
“เขาถอดรหัสมันได้จริงๆงั้นหรอ ?”
“มันสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยงั้นหรอ ?”
เมื่อหมอกสีดำหายไป ความเงียบก็เข้าปกคลุมกลุ่มผู้เล่นทั้งหมดในขณะที่พวกเขามองไปยังซือเฟิงด้วยความตกตะลึง พวกเขานั้นตกใจมากกว่าเดิมนับร้อยเท่า หากเทียบกับตอนที่ซือเฟิงมีความหนาแน่นของมานารอบตัวเพิ่มขึ้น
การล่อลวงของเทพปีศาจในวิหารแบบนี้นั้นอยู่รอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ และระบบหลักของ God domain ก็ได้กำหนดกฎเกณฑ์เรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งผู้เล่นไม่ควรจะมีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปฎิบัติตามกฎเหล่านี้ หากต้องการจะพิชิตการล่อลวงของเทพปีศาจให้สำเร็จ และแม้แต่มหาอำนาจต่างๆนั้นก็ยังไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงกฎเหล่านี้ได้
มันไม่มีผู้เล่นคนใดใน God domain ที่กล้าจะฝันถึงการฝ่าฝืนกฎเหล่านี้ เนื่องจากพวกเขาได้ยอมรับว่ากฎจากระบบหลักของ God domain นั้นเป็นส่วนสำคัญของชีวิตพวกเขาที่นี่
อย่างไรก็ตาม ซือเฟิงไม่เพียงแต่จะปฎิเสธที่จะทำตามกฎเหล่านี้ แต่เขายังสามารถทำลายมันได้ด้วย เขาทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับ God domain ของพวกเขาสั่นคลอนเลยทีเดียว
“เขาทำสำเร็จงั้นหรอ ?! เป็นไปได้ยังไงกัน ?!” ธันเดอร์บีสต์จ้องมองไปที่ซือเฟิงด้วยความตกตะลึง เขาแทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ของความพยายามของซือเฟิงมันก็อยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว เขาจึงไม่อาจจะปฎิเสได้เลย “นี่เขาเป็นผู้เล่นจริงๆงั้นหรอ ?”
ธันเดอร์บีสต์นั้นเริ่มสงสัยแล้วว่าซือเฟิงไม่ใช่ผู้เล่น แต่เป็น NPC ปลอมตัวมา ….
ตอนแรกซือเฟิงก็ได้แสดงการควบคุมมานาที่เทียบได้กับ NPC นักเวทย์ขั้นสี่ จากนั้นเขาก็สามารถจะถอดรหัสวงเวทย์ที่ปิดผนึกวิหารไว้ได้สำเร็จ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยสำหรับผู้เล่นปัจจุบันที่จะทำได้
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเผ่าศักสิทธิ์ถึงเต็มใจจะทำงานร่วมกับเขา แม้ว่าจะไม่ได้รับหุ้นของป้อมปราการแสงดาวเลยก็ตาม แถมเผ่าศักสิทธิ์ยังไปไกลถึงขั้นส่งสมาชิกจำนวนมากเข้ามาประจำการที่ป้อมปราการด้วย นี่คือไพ่ลับที่แท้จริงของเขา ? เฮลรัชนั้นอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่นในขณะที่เขาเฝ้าดูวงเวทย์ของวิหารค่อยๆหมดพลังไป
เฮลรัชนั้นคิดว่าสภาสิบแปดปีกโชคดีมากที่ได้รับทั้งมีงกรและคุกป้อมปราการมา หลังจากเข้ายึดป้อมปราการแสงดาวได้สำเร็จ เพราะปัจจัยเหล่านี้นั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้กองกำลังนรกไม่สามารถจะสร้างปัญหาในป้อมปราการได้ ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าถูกคุกคามโดยทีมเล็กๆของสภาสิบแปดปีก
รากฐานทางทวีปด้านตะวันตกของกิลนั้นยังจัดว่าอ่อนแอจนน่าสังเวช แม้ว่ากิลจะมีผู้เชี่ยวชาญห้าคนที่ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้วก็ตาม
ผู้เล่นแค่เพียงไม่กี่คนนั้นไม่เพียงพอที่จะส่งพลต่ออิทธิพล และสถานะของกิลในการแข่งขันใน God domain ตอนนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจต่างๆ
มหาอำนาจต่างๆนั้นอาจไม่มีความแข็งแกร่งมากเพียงพอที่จะเข้ายึดป้อมปราการแสงดาวได้ในตอนนี้ แต่พวกเขาก็สามารถจะพึ่งพาวิธีอื่นได้นั่นก็คือการขโมยโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการ แม้ว่าโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการจะได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนา แต่มันก็ไม่สามารถจะถูกนำออกจากป้อมปราการได้ และโดยปกติแล้วผู้ปกครองจะเก็บโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการไว้ในคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองซึ่งเป็นที่ที่มีการคุ้มกันหนาแน่นที่สุด
สิ่งที่บรรดามหาอำนาจต่างๆต้องทำนั้นก็คือส่งผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเข้ามาล้อมป้อมปราการแสงดาว และคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองไว้ ซึ่งแม้แต่มังกรที่แข็งแกร่งนั้นก็จะไม่สามารถหยุดกองทัพผู้เล่นนับแสนหรือนับล้านคนได้ นอกจากนี้มหาอำนาจต่างๆก็ยังจะสามารถใช้เครื่องมือบางอย่างช่วยตรึงมังกรไว้เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้นการขโมยป้อมปราการจากสภาสิบแปดปีกจึงไม่ใช่ว่าจะเป็นไปปไม่ได้เลย เพียงแต่ว่ามันจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากก็เท่านั้น แต่ตราบใดที่มหาอำนาจต่างๆเต็มใจจะร่วมมือกันทำแบบนี้ พวกเขาก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้
อย่างไรก็ตามเมื่อได้เห็นนักดาบตรงหน้าของเขาตอนนี้ เฮลรัชก็เริ่มจะสงสัยแล้วว่าแม้แต่กองกำลังของมหาอำนาจต่างๆรวมกันก็ไม่น่าจะสามารถขโมยป้อมปราการแสงดาวไปจากชายคนนี้ได้
ด้วยการควบคุมมานาของซือเฟิง และความรู้เกี่ยวกับวงเวทย์ที่ไม่มีผู้เล่นคนใดสามารถเทียบได้นั้น การจะคุกคามหรือขโมยป้อมปราการของเขาในระยะนี้ของเกมมันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย
วงเวทย์อัตโมัติของ God domain และวงเวทย์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เล่นนั้นมีเอฟเฟคที่แตกต่างกัน มหาอำนาจต่างๆนั้นล้วนทำการทดลองลับของตัวเองเพื่อทดสอบแนวคิดนี้แล้ว แต่น่าเสียดายที่การควบคุมวงเวทย์ป้องกันของเมืองนั้นมันทำได้ยากมากๆ ผู้เล่นนั้นไม่เพียงแต่จะต้องมีความเข้าใจที่มากเพียงพอเกี่ยวกับวงเวทย์ แต่พวกเขายังต้องควบคุมมานาให้ดีได้ในระดับหนึ่งด้วย นี่คือสาเหตุที่เมือง NPC ต่างๆนั้นถูกยึดได้ยากมาก
ผู้เล่นทั่วไปนั้นส่วนใหญ่จะคิดว่าวงเวทย์ป้องกันในเมืองของ NPC นั้นแข็งแกร่งกว่าเมืองกิลมาก แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย
วงเวทย์ป้องกันในเมือง NPC นั้นแข็งแกร่งกว่าเมืองกิลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เนื่องจากเมือง NPC ส่วนใหญ่นั้นมักจะได้รับการปกป้องโดย NPC ขั้นสี่ ซึ่ง NPC ขั้นสี่เหล่านี้ก็มักจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับวงเวทย์ป้องกันของเมืองจนสามารถจะต้านทานการโจมตีของ NPC ขั้นห้าได้เป็นเวลานาน ซึ่งหากป้อมปราการแสงดาวมีผู้คอยควบคุมวงเวทย์แบบนี้ แล้วมหาอำนาจใดกันที่จะไปมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะทำลายวงเวทย์ป้องกันได้ ?
ในขณะที่สมาชิกของกองกำลังนรกกำลังเต็มไปด้วยความสับสนและตกตะลึง ซือเฟิงนั้นก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก
ขอบคุณพระเจ้า ฉันทำมันได้สำเร็จ !!!
หลังจากเวลาแห่งการเรียนรู้สามชั่วโมงจบลง ในที่สุดเขาก็ได้เข้าใจแนวคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับองค์ประกอบธาตุทั้งเจ็ด แม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถใช้การเคลื่อนไหวที่สามอย่างดาบที่สาม การทำลายล้างศักสิทธิ์ได้ แต่ตอนนี้เขาก็เริ่มควบคุมมานาได้ที่ขั้นพื้นฐานแล้ว และตอนนี้เขาก็สามารถจะวาดวงเวทย์ระดับปรมาจารย์ตามรูปแบบการเคลื่อนไหวของธาตุหลักทั้งสี่ได้แล้ว ซึ่งโดยปกตินั้นมันจะมีเพียงแค่ NPC นักเวทย์ขั้นสามเท่านั้นที่จะสามารถทำได้
เขานั้นยังคงอยู่ห่างไกลที่จะควบคุมมานาให้ได้เท่ากับ NPC นักเวทย์ขั้นสี่จริงๆ และเพื่อจะให้บรรลุมาตราฐานนั้น เขาจะต้องวาดวงเวทย์อย่างง่ายที่ประกอบไปด้วยธาตุชั้นยอดอีกสามธาตุให้ได้ด้วย และเมื่อทำได้แล้วเขาจะสามารถสร้างโดเมนมานาเป็นของตัวเองได้ ซึ่งมันก็จะมีประสิทธิภาพมากกว่าการสร้างโดเมนขึ้นด้วยสกิลหรือเวทย์มนต์
ถึงกระนั้นตอนนี้ซือเฟิงก็พอใจกับความก้าวหน้าของเขา
มันมีจอมเวทย์ขอบเขตพระเจ้า ขั้นหกเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นในชีวิตที่ผ่านมาของเขาที่สามารถจะมาถึงมาตราฐานการควบคุมมานาที่ขั้นสามได้ และส่วนใหญ่จะมีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น หลังจากมาถึงขั้นสี่
โชคดีที่เขาจำเป็นต้องควบคุมมานาให้ได้ที่ขั้นพื้นฐาน เขาจึงจะสามารถถอดรหัสวงเวทย์ที่ปกป้องวิหารอยู่ได้ เขาจึงต้องผลักดันขีดจำกัดของตัวเองจนสามารถมาถึงตรงนี้ได้อย่างรวดเร็ว แถมโบนัสจากการได้เรียนรู้เทคนิคมานานี้ มันยังทำให้เขากลายเป็นปรมาจารย์นักเวทย์ขั้นกลางแล้วด้วย ซึ่งมันก็ทำให้เขารู้สึกว่า ถ้าเขาต้องเจอกับอะไรแบบนี้อีกครั้ง เขาจะสามารถจัดการมันได้ง่ายมากๆเลยทีเดียว
อีกทั้งความสำเร็จของซือเฟิงก็ยังสร้างความตื่นเต้นให้กับอควาโรส และผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆของสภาสิบแปดปีกอย่างมาก
ตอนนี้วงเวทย์ได้ถูกถอดรหัสแล้ว นั่นมันก็แปลว่าพวกเขามีสิทจะได้รีบหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอของวิหารแล้ว
ซึ่งหากพวกเขาได้รีบหีบสมบัติระดับนี้มา มันอาจจะทำให้สภาสิบแปดปีกได้รับเศษชิ้ส่วนไอเทมระดับตำนานมาอีกหนึ่งชิ้น และพวกเขาก็จะสามารถสร้างผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดหรือระดับสัตว์ประหลาดขึ้นมาได้อีกหนึ่งคน
อย่างไรก็ตามก่อนที่อควาโรส และสมาชิกสภาสิบแปดปีกคนอื่นๆจะทันได้เฉลิมฉลอง ร่างที่สูงเจ็ดเมตรในชุดเกราะสีดำสนิท และสวมหมวกที่มีเขาก็ปรากฎขึ้นในวิหาร โดยร่างนี้นั้นถือขวานสีดำสนิท และพร้อมสำหรับการต่อสู้อย่างมาก
ในขณะที่ร่างนี้ปรากฎขึ้น วิหารนี้ก็เริ่มแผ่ออร่า Divine Might ออกมาอย่างรุนแรง ซึ่งมันทำให้แม้แต่เฮลรัช กับกองกำลังของเขาที่ยืนอยู่ห่างออกไปสามร้อยหลาจากวิหารก็ยังรู้สึกหวาดกลัว
[เทพปีศาจ, แอทล๊อค] (เงาเทพ ระดับเทพนิยาย)
เลเวล 120
HP??????/??????
ทุกคนนั้นอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นข้อมูลของแอทล๊อค
เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบ ? แม้แต่ซือเฟิงเองก็ยังจ้องมองไปยังแอทล๊อคด้วยความหวาดกลัว
NPC นั้นไม่เหมือนกับผู้เล่น ทุกๆห้าเลเวล พวกเขาจะมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างมาก และพลังการต่อสู้ของ NPC เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบนั้น มันก็อยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจาก NPC เลเวลหนึ่งร้อยสิบ
หากให้พูดกันว่ายๆก็คือ แอทล๊อคนั้นแข็งแกร่งกว่ามังกรเงินศักสิทธิ์ ออร์เบ็ค ซะอีก
“หัวหน้ากิลจะเข้าไปในนั้นจริงๆงั้นหรอ ?” อควาโรสถามอย่างเป็นห่วง
เธอนั้นมั่นใจในโอกาสที่พวกเขาจะได้รับหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอมากๆ ก่อนที่จะทันได้เห็นแอทล๊อค แต่หลังจากได้เห็นเงาของเทพปีศาจด้วยตัวเธอเองแล้ว เธอก็ได้รู้เลยว่าเธอคิดผิดมากแค่ไหน
เธอนั้นจะยืนหยัดต่อต้านเงาของเทพปีศาจได้ไม่เกินห้าวินาทีแน่นอน และแม้จะอยู่ห่างไกลกัน แต่ออร่า Divine Might ของมันก็ลดพลังการต่อสู้ของเธอลงไปอย่างน้อยสามสิบเปอเซ็นต์แล้ว และเธอน่าจะสูญเสียพลังในการต่อสู้มากไปกว่าเดิม เมื่อเธอเข้าไปอยู่ในระยะโจมตี
“ฉันมาไกลขนาดนี้แล้ว ฉันจำเป็นต้องลอง …” ซือเฟิงกล่างพลางกัดฟัน
การล่อลวงของเทพปีศาจนั้นปรากฎขึ้นแบบสุ่ม และคนๆหนึ่งจะต้องจัดว่าโชคดีอย่างไม่น่าเชื่อจึงจะมีสิทได้พบกับมัน
หากการล่อลวงของเทพปีศาจครั้งนี้ มีรางวัลเป็นแค่หีบสมบัติระดับอีปิค เขาก็จะเลือกที่จะยอมแพ้โดยไม่คิดเลย แต่อย่างไรก็ตามสำหรับหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอนั้น เขาไม่สามารถจะทำแบบนั้นได้โดยไม่ลองพยายาม
แม้จะผ่านไปกว่าหนึ่งทศวรรษใน God domain แต่เศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานก็ยังคงจัดว่าหายากมากๆ และทุกชิ้นก็ล้วนจัดเป็นสมบัติล้ำค่า และแม้ว่าซือเฟิงจะมีเบาะแสอีกจำนวนหนึ่งที่จะนำไปสู่เศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานได้ แต่เขาจะได้รับมันมาไหม มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อย่างไรก็ตามตอนนี้เนื่องจากเขามีโอกาสสูงจะได้รับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานแล้ว แล้วจะให้เขาจากไปโดยไม่ต่อสู้ได้อย่างไร ?
คู่ต่อสู้ของเขาอาจจะเป็นเงาของเทพปีศาจ ขั้นสี่ เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบ แต่เขาก็ยังมีโอกาสจะได้รับชัยชนะ เพราะเขาไม่จำเป็นจะต่อสู้กับมันจนตายกันไปข้างหนึ่ง สิ่งที่เขาต้องทำนั้นมีเพียงแค่ซื้อเวลาให้ได้มากพอที่จะขโมยหีบสมบัติออกไปให้ได้เท่านั้น
หลังจากให้คำตอบแล้ว ซือเฟิงก็เดินเข้าไปในวิหาร
“อะไรกัน ? นี่เขาจะเข้าไปปจริงๆงั้นหรอ ?” ธันเดอร์บีสต์อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
คำพูดนั้นมันไม่เพียงพอที่จะอธิบายความแข็งแกร่งเงาของเทพปีศาจได่เลย เพียงแค่มีความกล้าหาญมากพอจะเข้าไปในวิหารมันก็จัดว่าน่าประทับใจมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้กับแอทล๊อคเลย เพราะท้ายที่สุดมันน่าจะฆา NPC ขั้นสี่ ได้ในทันที ไม่ต้องพูดถึงอะไรกับผู้เล่นขั้นสามในปัจจุบันเลย ผู้เล่นในปัจจุบันไม่มีทางจะซื้อเวลาให้มากพอสำหรับคู่ต่อสู้ตนนี้ได้เลย
ซือเฟิงนั้นได้ถอดรหัสวงเวทย์ของวิหารทำให้ผู้เล่นสามารถเข้าและออกวิหารได้อย่างอิสระ และสามารถใช้เครื่องมือเวทย์มนต์ได้ทั้งหมด แต่วงเวทย์ภายในวิหารนั้นยังคงอยู่ครบถ้วน วงเวทย์ด้านในนั้นช่วยให้มั่นใจว่าผู้เล่นจะสามารถเข้าไปด้านในได้ครั้งละหนึ่งคนเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือซือเฟิงจะเผชิญหน้ากับเงาของเทพปีศาจขั้นสี่ด้วยตัวเองเท่านั้น แล้วเขาจะไปซื้อเวลาให้กับตัวเองได้มากแค่ไหนกัน ?
“นักผจญภัยตัวน้อย คุณนั้นค่อนข้างจะมีความสามารถและความกล้าหาญทีเดียว คุณสามารถที่จะถอดรหัสวงเวทย์ที่ฉันตั้งเอาไว้ด้านนอกได้ แถมยังกล้าเข้ามาใวิหารด้วย หลังจากได้เห็นเงาของฉัน” แอทล๊อคกล่าวกับซือเฟิงด้วนน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความชื่นชม และความโกรธ “อย่างไรก็ตามตอนนี้มันจบลงแล้ว !!! เนื่องจากคุณกล้าจะทำลายการทดสอบของฉัน ฉันก็จะกำจัดคุณออกไปจากโลกใบนี้ !!!”
หลังจากพูดจบนั้น ออร่า Divine Might ของแอทล๊อคนั้นก็ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก และซือเฟิงก็รู้สึกราวกับว่ามีน้ำหนักราวหนึ่งตันกดทับลงมาบนไหล่ของเขา และแม้แต่การเดินเคลื่อนไหวธรรมดา มันก็กลายเป็นความท้าทายมากๆแล้ว
แน่นอนเลยว่าการเผชิญหน้ากับเงาของเทพปีศาจขั้นสี่นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย ซือเฟิงมองไปยังแอทล๊อคด้วยรอยยิ้มขมขื่น ขณะที่สัมผัสได้ถึงออร่า Divine Might ของมัน อย่างไรก็ตามฉันก็จำเป็นจะต้องเสี่ยง !!!
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ดึงม้วนคัมภีร์อัญเชิญองครักษ์ส่วนตัวออกมาจากกระเป๋า และทำการเรียกแอนนาออกมายืนข้างๆเขา
ตอนที่ 2492
การต่อสู้ระดับสัตว์ประหลาด
ตอนนี้วงเวทย์ด้านนอกของวิหารนั้นถูกถอดรหัสไปแล้ว ดังนั้นผู้เล่นจึงสามารถจะเรียกองครักษ์ส่วนตัวเข้ามาในวิหารได้ และเมื่อซือเฟิงเปิดใช้งานม้วนคัมภีร์อัญเชิญองครักษ์ส่วนตัวเสร็จสมบูรณ์ ผู้หญิงผมบลอนด์ในชุดเสื้อคลุมสีแดงเข้มก็โผล่ออกมา
ซึ่งทันทีที่ผู้หญิงคนนี้ปรากฎตัว มานาซึ่งถูกแช่แข็งจากผลของออร่า Divine Might ของแอทล๊อค ก็เริ่มผ่อนคลายและสามารถเคลื่อนไหวได้มากขึ้น และซือเฟิงก็ยังรู้สึกว่าแรงกดดันบางอย่างที่มีต่อเขามันหายไป และทำให้มันง่ายต่อเขาในการเคลื่อนไหวมากขึ้น
“ช่างเป็นองครักษ์ส่วนตัวที่มีเลเวลสูงมากๆ !!!” ธันเดอร์บีสต์อุทานออกมา เมื่อได้เห็นแอนนา
แอนนานั้นได้มาถึงเลเวลหนึ่งร้อยสิบเก้าแล้ว ในขณะที่องครักษ์ส่วนตัวที่แข็งแกร่งงที่สุดของจักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้นพึ่งจะมาถึงเลเวลหนึ่งร้อยสิบห้าเท่านั้น แอนนานั้นนับเป็นองครักษ์ส่วนตัวที่เลเวลสูงที่สุดเท่าที่ธันเดอร์บีสต์เคยเห็นมาเลย
แม้ว่ามันจะมีช่องว่างระหว่างแอนนากับองครักษ์ส่วนตัวที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิโลกใต้พิภพเพียงแค่สี่เลเวล แต่จำนวน EXP ที่ทั้งสี่เลเวลต้องการนั้นก็นับเป็นจำนวนมหาศาลเลย
“เขาวางแผนจะทำอะไรกัน ? นี่เขาวางแผนจะทิ้งชีวิตของตัวเองกับองครักษ์ส่วนตัวงั้นหรอ ?” เมื่อเฮลรัชเห็นซือเฟิงเรียกแอนนาออกมา เขาก็คิดว่านักดาบนั้นบ้าไปแล้ว
แม้ว่าเลเวลของแอนนาจะสูงมาก แต่แอทล๊อคนั้นก็มีเลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบ และมันก็มีความแตกต่างระหว่าง NPC เลเวลหนึ่งร้อยสิบเก้า กับ NPC เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบ และที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือแอนนานั้นอยู่ในขั้นสาม ขณะที่แอทล๊อคนั้นอยู่ในขั้นสี่ เมื่อพิจารณาถึงความแตกต่างของชนชั้นสิ่งมีชีวิตทั้งสองฝ่ายแอนนานั้นไม่มีทางจะซื้อเวลาอะไรได้เลยด้วยซ้ำ เงาของเทพปีศาจนั้นจะฆ่าเธอได้ทันที และซือเฟิงจะต้องบ้าแน่นอนที่เรียกเธอออกมาที่นี่
ก่อนที่เฮลรัช และคนของเขาจะืทันได้พูดอะไร แอนนาก็เริ่มร่ายเวทย์ จากนั้นวงเวทย์ขนาดมหึมาที่ใหญ่กว่าปกติสามเท่าก็ปรากฎขึ้นบนเพดานของวิหาร ซึ่งมันก็ทำให้วิหารนี้และบริเวณโดยรอบสว่างไสวไปด้วยแสงสีทองอร่าม
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หญิงสาวในชุดเกราะสีขาวเงินที่มีปีกขนนกสีขาวบริสุทธิ์สามคู่ก็ค่อยๆโผล่ออกมาจากวงเวทย์นี้
“เป็นไปได้ยังไงกัน ?! วัลคีรี่ชั้นสูง ขั้นสี่ ?!”
สมาชิกของกองกำลังนรกทุกคนนั้นล้วนมองไปยังวัลคีรี่ตรงหน้าของพวกเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าและตกตะลึงมากๆ
ผู้เล่นในทวีปด้านตะวันตกนั้นค่อนข้างจะคุ้นเคยกับเรื่องราวของวัลคีรี่ และโดยทั่วไปแล้วเมือง NPC ที่สำคัญๆของทวีปในด้านนี้นั้นก็มักจะอัญเชิญสิ่งมีชีวิตแบบนี้ออกมาช่วยต่อสู้เมื่อต้องรับมือกับกองทัพสิ่งมีชีวิตปีศาจที่ทรงพลัง และวัลคีรี่นั้นก็ถือว่าเป็นไพ่ลับสำคัญของเมือง NPC ที่สำคัญๆในทวีปด้านนี้
ในทางกลับกันวัลคีรี่ชั้นสูงตรงหน้าพวกเขานี้นั้นจะแข็งแกร่งกว่าวัลคีรี่ทั่วไปมาก คะแนนชนชั้นสิ่งมีชีวิตของวัลคีรี่ชั้นสูงนั้นมันแทบจะเทียบเท่ากับมังกรในขั้นเดียวันเลย และวัลคีรี่ชั้นสูงก็จะจัดว่าแทบเป็นอมตะในหมู่ขั้นเดียวกกัน
มันเคยมีมังกรแห่งความมืดนั้นเข้าโจมตีเมืองแถบชายแดนของทวีปด้านตะวันตกครั้งหนึ่ง และในตอนนั้นปรมาจารย์สาขาแห่งวิหารเทพสงครามก็ได้ก้าวออกมา และอัญเชิญวัลคีรี่ชั้นสูงออกมาเพื่อช่วยเมืองของเขา และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปรมาจารย์สาขาของวิหารเทพสงคราม พร้อมกับวัลคีรี่ชั้นสูงนั้นมังกรจึงถูกบังคับให้ต้องล่าถอย
อย่างไรก็ตามตอนนี้ซือเฟิงกับเปิดเผยว่าเขาสามารถอัญเชิญวัลคีรี่ชั้นสูงออกมาได้เช่นกัน แม้ว่าเขาจะทำเช่นนี้ได้โดยอาศัยองครักษ์ส่วนตัว แต่ความจริงที่ว่าเขามีความสามารถนี้มันก็เพียงพอจะทำให้ทุกคนในทวีปด้านตะวันตก ตกตะลึงได้เลย
“วัลคีรี่ชั้นสูง ขั้นสี่นั้นแข็งแกร่งกว่าฮีโร่ขั้นสี่ในเลเวลเดียวกันมาก และวัลคีรี่ชั้นสูงแบบนี้นั้นก็จะไม่มีปัญหาในการทำลายเมืองเล็กๆของ NPC ได้ด้วยตัวเองเลย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังไม่เหมือนกับมังกรเงินศักสิทธิ์ที่ถูกผูกติดไว้กับป้อมปราการแสงดาว ซือเฟิงนั้นสามารถที่จะพาเธอไปด้วยได้ทุกที่และอัญเชิญเธอออกมาช่วยในการต่อสู้ได้ ….
นี่เขามีไพ่ลับของตัวเองกี่ใบกันแน่ ? เฮลรัชนั้นพูดไม่ออก
ไม่เพียงแต่ซือเฟิงจะมีพลังในการควบคุมมานาและพลังในการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา แต่เขายังสามารถอัญเชิญวัลคีรี่ชั้นสูงออกมาได้ทุกเมื่อที่เขาต้องการ เขานั้นเป็นดั่งกองทัพหนึ่งในคนๆเดียวอย่างแท้จริง
หากมหาอำนาจต่างๆที่ต้องการจะลอบสังหารซือเฟิง พบข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาอาจจะละทิ้งความคิดดังกล่าวไปทันทีเลยก็ได้
เมื่อวัลคีรี่ชั้นสูงได้เข้าร่วมการต่อสู้แล้ว ซือเฟิงก็ได้รีบเปิดใช้งานสกิลโลกจิ๋ว และ Ring of Brilliance เพื่อปราบปรามเทพปีศาจ และช่วยให้ค่าสถานะของวัลคีรี่ชั้นสูงเพิ่มสูงขึ้น
“วัลคีรี่ชั้นสูง และ สกิลโลกจิ๋วงั้นสินะ …” ดวงตาของแอทล๊อคเต็มไปด้วยความสนใจ ขณะที่เขามองไปยังคู่ต่อสู้ใหม่ของเขา “ดูเหมือนว่าคุณจะมีความสามารถค่อนข้างมากจริงๆนักผจญภัย แต่น่าเสียดายที่ความพยายามของคุณทั้งหมดนั้นมันไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าเงาของฉัน !!!”
ทันใดนั้นพลังของโลกจิ๋วก็ถูกหยุดลงห่างจากเงาของเทพปีศาจไปหนึ่งร้อยหลา
แม้แต่โลกจิ๋วนั้นก็ไม่สามารถจะปราบปรามมันได้งั้นหรอ ? ซือเฟิงนั้นรู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน เมื่อได้เห็นว่าโลกจิ๋วไม่มีผลกับแอทล๊อคตามที่เขาคาดหวังไว้ แน่นอนเลยว่าเงาของเทพปีศาจนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
เขารู้ว่าเงาของเทพปีศาจนั้นไม่ใช่ NPC ทั่วไป และตอนนี้ความหวังเดียวของเขาในการเปิดใช้งานโลกจิ๋วเพื่อปราบปรามเงาของเทพปีศาจนั้นก็ได้ถูกทำลายลงไปแล้ว
โชคดีที่ซือเฟิงได้เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ไม่คาดฝันมาแล้ว เขาจึงได้รีบเปิดใช้งานหนังสือฮีโร่ทันที
หลังจากนั้นวงเวทย์อีกวงหนึ่งก็ปรากฎขึ้นในวิหาร และชายคนหนึ่งในชุดสีขาวที่ถือดาบสีทองก็ก้าวออกมาจากวงเวทย์
[อาร์สเล็ท] (ฮีโร่ นักบุญแห่งดาบขั้นสี่)
เลเวล 131
HP 112,000,000/112,000,000
นี่เป็นเหตุผลหลักที่ซือเฟิงกล้าจะท้าทายเงาของเทพปีศาจ
คะแนนชนขั้นสิ่งมีชีวิตของฮีโร่ขั้นสี่นั้นอาจจะไม่สามารถเทียบกับเงาของเทพปีศาจได้ แต่ด้วยเลเวลที่สูงกว่าของอาร์สเล็ท เขาจะสามารถลดความได้เปรียบของ
แอทล๊อคลงไปได้มาก
ในขณะเดียวกัน การมาถึงของอาร์สเล็ทก็ทำให้กองกำลังนรกนั้นพูดไม่ออกเลย
ตอนแรกซือเฟิงก็อัญเชิญวัลคีรี่ชั้นสูง ขั้นสี่ออกมา ตอนนี้เขาก็ยังอัญเชิญฮีโร่ขั้นสี่ออกมาได้อีก เขานั้นดูเหมือนจะอยู่เหือกฎเกณฑ์ของทั้งสวรรค์และโลกเลย
“ไป !!!”
เมื่อมีอาร์สเล็ทเข้าร่วมการต่อสู้ ซือเฟิงก็ไม่ได้ลังเลยที่จะออกคำสั่งให้โจมตี
วัลคีรี่ชั้นสูง และอาร์สเล็ทนั้นพุ่งเข้าโจมตีเงาของเทพปีศาจพร้อมกันด้วยความรวดเร็วมากๆจนแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามก็ยังมองตามแทบไม่ทัน มีเพียงไฟเออร์แดนซ์ และคนอื่นๆที่ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้วเท่านั้นที่พอจะมองเห็นสิ่งมีชีวิตขั้นสี่ทั้งสองอยู่เลือนรางบ้าง
ในขณะที่ NPC ทั้งสองเริ่มทำการโจมตีนั้น ซือเฟิงก็ได้เปิดใช้งานสกิล Heavenly Dragon’s Power และพุ่งเข้าไปที่หีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอใจกลางวิหารทันที
โดยปกติการประสานงานกันโจมตีของวัลคีรี่ชั้นสูง ขั้นสี่ และฮีโร่ขั้นสี่นั้นจะนับเป็นหายนะไม่ว่าจะไปอยู่ที่ใด แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับเงาของเทพปีศาจขั้นสี่แล้ว ทั้งสองกับจัดว่าแทบไม่มีอะไรเลย
หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากมังกรศักสิทธิ์ในขั้นเดียวกันอีกหนึ่งตัว การจะหยุดเงาของเทพปีศาจที่เป็นเทพโบราณนั้นก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
อย่างไรก็ตามซือเฟิงนั้นหวังเพียงว่า NPC ที่ถูกอัญเชิญมาทั้งสองจะสามารถซื้อเวลาให้กับเขาได้มากพอ เขาไม่ได้ต้องการอะไรมาก แค่ราวยี่สิบถึงสามสิบวินาทีก็น่าจะเพียงพอแล้ว
หีบสมบัติในการล่อลวงของเทพปีศาจนั้นไม่เคยถูกล๊อคไว้ และแม้แต่หีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอนั้นก็ไม่มีข้อยกเว้น ผู้เล่นนั้นจะสามารถเปิดหีบสมบัติที่พบในการล่อลวงของเทพปีศาจได้ทันที เพียงแต่ว่ามันยังจะต้องใช้เวลาเปิดหีบราวยี่สิบวินาที
ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา ผู้เล่นอิสระคนแรกที่สามารถปล้นสมบัติไปจากที่นี่ได้สำเร็จ เพียงเพราะว่าเขามีคริสตัลเวทย์มนต์โบราณ และเวทย์ป้องกันขั้นห้าอยู่ ซึ่งแม้ว่าคริสตัลเวทย์มนต์โบราณจะเป็นไอเทมแบบใช้ครั้งเดียว แต่ด้วยเวทย์ป้องกันที่อยู่ภายในนี้มันก็ทำให้ผู้เล่นอิสระนั้นมีระยะเวลามากเพียงพอที่จะเปิดหีบสมบัติได้สำเร็จ และล่าถอยออกไปจากวิหารได้ หากไม่ใช่เพราะเวทย์ป้องกันขั้นห้านี้ ผู้เล่นอิสระจะไม่มีทางปล้นสมบัติไปได้เลย แม้ว่าจะถอดรหัสวงเวทย์ด้านนอกของวิหารได้แล้วก็ตาม
น่าเสียดายที่ซือเฟิงนั้นไม่มีม้วนคัมภีร์วงเวทย์ป้องกันขั้นห้า หรือเครื่องมือใดๆที่สามารถปกป้องเขาจากการโจมตีขั้นห้าได้ เขาสามารถพึ่งพาได้แค่วัลคีรี่ชั้นสูง แ ละอาร์สเล็ทเท่านั้นเพื่อช่วยเบี่ยงเบนความสนใจเงาของเทพปีศาจไว้ให้ได้นานพอที่เขาจะทำทุกอย่างจนเรียบร้อย และหลบหนีไปได้
ขณะที่ซือเฟิงกำลังพุ่งเข้าหาหีบสมบัตระดับตำนานที่อ่อนแอนั้น เสียงระเบิดก็ดังขึ้นสองครั้งที่ด้านหลังของเขา
มันมีร่างสองร่างนั้นปลิวกระเด็นไปติดกับกำแพงด้านหนึ่งของวิหาร ซึ่งนั่นก็คือวัลคีรี่ชั้นสูงกับอาร์สเล็ท และทั้งสองนั้นก็มีอาการบาดเจ็บที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเลย แถมแถบ HP ของเขาก็ยังลดลงไปอย่างมาก
ความแตกต่างระหว่างพลังของทั้งสองฝ่ายนั้นมันชัดเจน นี่มันจัดเป็นการเข่นฆ่าฝ่ายเดียวมากกว่าการสู้รบ
ผู้เล่นที่อยู่ด้านนอกของวิหารนั้นอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เมื่อได้เห็นการปะทะกันครั้งแรกนี้
NPC ทั้งสองนั้นสามารถจะทำลายเมืองของ NPC ทั่วไปได้ด้วยตัวเองเลย แต่เงาของเทพปีศาจนั้นกับทำให้ทั้งสองปลิวกระเด็นไปได้ในการโจมตีเดียว
มันไม่มีใครสามารถจะจินตนาการได้เลยว่าผู้เล่นจะต้องใช้พลังมากแค่ไหนจึงจะผ่านการทดสอบนี้ไปได้
ซือเฟิงนั้นได้พบกับช่องโหว่ที่เป็นเหมือนกับการโกงในการรับมือกับการล่อลวงของเทพปีศาจ ซึ่งมันทำให้เขาสามารถใช้เครื่องมือเวทย์มนต์ในการต่อสู้ได้ แต่เขาก็ยังคงเสียเปรียบอย่างสิ้นหวัง หากผู้เล่นทำการทดสอบนี้แบบปกติ ต่อให้เป็นผู้เล่นขั้นห้าก็ไม่มีโอกาสจะผ่านได้แน่นอน ไม่ต้องพูดถึงผู้เล่นขั้นสี่เลย ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังสมมุติว่าเงาของเทพปีศาจเป็นแค่ขั้นสี่เท่านั้น
โชคดีที่ผู้ที่ถูกอัญเชิญมานั้นไม่ได้เป็นผู้เล่น และทั้งสองก็มี HP สูงอย่างไม่น่าเชื่อ และแม้แต่เงาของเทพปีศาจก็น่าจะยังต้องใช้เวลาจัดการทั้งสองราวยี่สิบวินาทีหรือมากกว่านั้น
“มนุษย์โง่เง่า !!! คุณกล้าคิดที่จะขโมยสมบัติของฉันงั้นหรอ ?!! ฉันจะกำจัดคุณ !!!” แอทล๊อคตะโกนออกมา เมื่อเขาสังเกตเห็นซือเฟิงเริ่มเปิดหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอของเขา
จากนั้นบอลไฟสีเงินก็ปรากฎขึ้นในมือข้างที่ว่างของแอทล๊อค และมันก็ค่อยๆมีขนาดใหญ่ขึ้นมากในแต่ละวินาทีที่ผ่านไป หลังจากนั้นบอลไฟนี้ก็มีขนาดเท่ากับอาคารสองชั้น หลังจากผ่านไปสองวินาที และเมื่อแอทล๊อคพอใจกับขนาดของบอลไฟแล้ว มันก็พุ่งเข้าใส่ซือเฟิงทันที
ซือเฟิงนั้นรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามแห่งความตายกำลังใกล้เข้ามาทันที เมื่อเขาสังเกตเห็นบอลไฟสีเงิน และเขาก็ได้สั่งให้วัลคี่รี่ชั้นสูง กับอาร์สเล็ท ใช้การเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อปกป้องเขาทันที
วัลคีรี่ชั้นสูงนั้นรีบตอบโต้ด้วยการขว้างหอกสายฟ้าของเธอไปที่เทพปีศาจ ในขณะที่อาร์สเล็ทก็ทำการใช้สกิลต้องห้ามขั้นสี่ Demonsional Flurry
ตู้ม !!!
วิหารนั้นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเมื่อการโจมตีนี้เกิดขึ้น และบอลไฟสีเงินนั้นก็สลายหายไป ซึ่งมันก็ช่วยให้ซือเฟิงรอดพ้นจากความตาย
“มดที่น่ารังเกียจ !!! พวกคุณคิดหรอว่ากลเม็ดเล็กๆน้อยของพวกคุณจะเพียงพอจะหยุด ฉัน ?!!”
ความโกรธของแอทล๊อคนั้นเพิ่มสูงขึ้น หลังจากที่วัลคีรี่ชั้นสูงและอาร์สเล็ททำการตอบโต้มัน ก่อนที่มันจะยกขวานขึ้น และเหวี่ยงเข้าใส่สิ่งมีชีวิตอัญเชิญทั้งสองทันที
ซึ่งการโจมตีนี้ของแอทล๊อคนั้นก็แหวกผ่านอากาศและทำให้เกิดรอยฉีกขาดเชิงพื้นที่อย่างมาก ในขณะที่มันพุ่งเข้าใส่สิ่งมีชีวิตอัญเชิญทั้งสองอย่างรวดเร็ว
เทคนิคมานา ? การโจมตีนี้มันคุ้นเคยมากสำหรับซือเฟิง เพราะมันมีส่วนที่เหมือนดาบที่สาม การทำลายล้างศักสิทธิ์อยู่ อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่ ….
ทั้งวัลคีรี่ชั้นสูง และอาร์สเล็ทนั้นไม่สามารถจะตอบโต้การโจมตีนี้ได้ การโจมตีนี้จึงส่งทั้งสองปลิวกระเด็นไปกระแทกเข้ากับกำแพงของวิหารอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้มันกระทั่งทำให้กำแพงทึบของวิหารเริ่มแตกร้าวเลย
แถมตอนนี้สิ่งมีชีวิตอัญเชิญทั้งสองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ….
“โจรผู้โง่เง่า !!! คราวนี้ถึงตาคุณแล้ว !!!” แอทล๊อคคำรามและเย้ยหยันออกมา ขณะที่มันหันไปหาซือเฟิง
จากนั้นแอทล๊อคก็เหวี่ยงขวานโดยเล็งไปที่นักดาบซึ่งอยู่ห่างออกไปห้าสิบหลา
และตอนนี้การโจมตีนี้ก็พุ่งเข้าหาซือเฟิงอย่างรวดเร็ว ….
เมื่อตระหนักว่าวัลคีรี่ชั้นสูง และอาร์สเล็ทนั้นไม่สามารถจะช่วยเขาได้แล้วในครั้งนี้ ซือเฟิงจึงกัดฟัน และเปิดใช้งานสกิลโดเมนสมบูรณ์แบบของแหวนเจ็ดลูมินาลี่ทันที
ป้องกัน !!!
ตอนที่ 2493
ยื้อยุดเทพปีศาจ
“มันจบแล้ว !!”
“นี่เงาของเทพปีศาจตัวนี้จะไม่แข็งแกร่งเกินไปหน่อยงั้นหรอ ?!!”
ทุกคนนั้นอ้าปากค้าง ในขณะที่พวกเขาเฝ้าดูจากการโจมตีของแอทล๊อคกำลังพุ่งเข้าใส่ซือเฟิง
การโจมตีนี้มันทรงพลังมากพอๆกับเวทย์ทำลายล้างขนาดใหญ่ เพียงแต่ว่ามันไม่ได้มีระยะเวลาในการร่ายเลย ….
มันเป็นท่าเดียวกับที่แอทล๊อคใช้ในการทำให้วัลคีรี่ชั้นสูง และอาร์สเล็ทบาดเจ็บสาหัส และหากแม้แต่สิ่งมีชีวิตทั้งสองก็ยังไม่สามารถทนต่อการโจมตีนี้ได้ แล้วผู้เล่นขั้น
สามอย่างซือเฟิงจะมีโอกาสรอดไปจากมันได้อย่างไร ?
แม้แต่สกิลอมตะที่ทรงพลังก็ยังไม่สามารถจะช่วยนักดาบได้แน่นอนในตอนนี้
มันไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสกิลอมตะที่แท้จริงใน God domain สิ่งที่เรียกว่าสกิลหรือเวทย์อมตะภายในเกมนั้นเป็นเพียงสกิลและเวทย์ป้องกันที่สามารถจะดูดซับความเสียหาย และป้องกันการโจมตีจากคู่ต่อสู้ได้ อย่างไรก็ตาม หากการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามมีพลังมากกว่าสกิลป้องกันหรือค่าความทนทานต่อความเสียหายของผู้เล่น ผู้เล่นก็จะยังคงได้รับความเสียหายบางส่วน
จากการแสดงพลังของแอทล๊อค เห็นได้ชัดเลยว่ามันมีความแข็งแกร่งที่ขั้นห้าแน่นอน และมันอาจมีพลังการต่อสู้มากกว่ามังกรศักสิทธิ์ในขั้นห้าด้วยซ้ำ และแม้แต่วงเวทย์ป้องกันของ NPC ก็ไม่ควรจะสามารถจัดการกับพลังประเภทนี้ได้
อย่างมากสกิลและเวทย์อมตะของผู้เล่นในปัจจุบันนั้นก็น่าจะสามารถป้องกันการโจมตีขั้นสี่ได้เท่านั้น พวกมันจะไร้ประโยชน์อย่างถึงที่สุดกับการโจมตีขั้นห้า และมันก็มีตัวอย่างให้เห็นมาหลายเคสแล้วสำหรับผู้เล่นที่โชคไม่ดีที่เผอิญไปเจอกับอะไรแบบนี้ และพยายามจะใช้สกิลหรือเวทย์อมตะเอาชีวิตรอด …. พวกเขานั้นตายแทบจะทันทีเลย ….
ขณะเดียวกัน การโจมตีนี้ก็กินพื้นที่มากพอจนซือเฟิงนั้นไม่สามารถจะหลบได้เลย
อย่างไรก็ตามทันใดนั้นอักษรรูนสีทองก็ปรากฎขึ้นรอบๆตัวของนักดาบ และมันก็แผ่ความรู้สึกอันศักสิทธิ์ยากจะพรรณนาออกมา
ตู้ม !!
การระเบิดนี้ทำให้วิหารสั่นสะเทือน และคลื่นกระแทกของการโจมตีนี้ก็ส่งผลไปถึงกองกำลังนรกที่อยู่ไกลออกไปด้วย แอทล๊อคนั้นมีพลังในการจะทำลายทั้งสวรรค์และโลกอย่างแน่นอน
“แน่นอนเลยว่าการทดสอบนี้เป็นกับดัก ไม่มีทางที่ผู้เล่นจะเคลียร์มันได้เลย”
สมาชิกของกองกำลังนรกทุกคนส่ายหัวและถอนหายใจออกมา ขณะที่มองไปยังฝุ่นที่บดบังวิหาร
ถ้าแอทล๊อคไม่ได้ใช้การโจมตีที่น่ากลัวแบบนี้ บางทีซือเฟิงอาจจะมีสิทได้รับหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอก็ได้ภายใต้การช่วยเหลือของวัลคีรี่ชั้นสูง และฮีโร่ขั้นสี่ แต่น่าเสียดายที่เงาของเทพปีศาจนั้นทรงพลังมากเกินไป ผู้เล่นในปัจจุบันไม่มีความหวังจะต่อกรกับมันได้เลย
เมื่อเห็นสิ่งนี้สมาชิกของสภาสิบแปดปีกก็อดไม่ได้ที่จะแสดงออกอย่างหวาดกลัว
ซือเฟิงและสภาสิบแปดปีกนั้นจะสามารถฟื้นฟูตัวเองได้แน่นอน หากเขาตายตามปกติ แต่ถ้าเขาตายในวิหารแห่งนี้เขาจะต้องสร้างไอดีใหม่
“เดี๋ยวก่อน !! ฉันเห็นแสงสีทองในวิหาร !!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าการต่อสู้นั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว มันก็มีคนสังเกตเห็นแสงสีทองจางๆที่เปล่งประกายออกมาจากภายในวิหาร
“เขาป้องกันมันได้งั้นหรอ ?”
เฮลรัชจ้องมองไปยังฉากตรงหน้าที่ฝุ่นเริ่มจางลงไปด้วยความประหลาดใจ เพราะเขาสังเกตเห็นซือเฟิงที่ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอ นักดาบนั้นมีสภาพค่อนข้างน่าสังเวช และสูญเสีย HP ไปมากกว่าครึ่ง แต่การโจมตีเมื่อครู่ของเงาของเทพปีศาจก็ยังไม่สามารถฆ่าเขาลงได้
“นี่เขาเป็นมนุษย์จริงๆงั้นหรอ ?”
เมื่อสมาชิกกองกำลังนรกทั้งหมดสังเกตเห็นเรื่องนี้ พวกเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างมาก
มังกรขั้นห้านั้นสามารถจะทำลายเมืองทั้งเมืองได้ในการโจมตีเดียว แต่ถึงแม้จะได้รับการโจมตีที่มีพลังเทียบเท่ากับขั้นห้านี้ ซือเฟิงก็ยังรอดชีวิตมาได้ โดยที่เขาสูญเสีย HP ไปมากกว่าครึ่งเท่านั้น พลังป้องกันของเขานั้นนับว่าท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง
“คุณนั้นค่อนข้างๆจะโชคดีมากจริงๆนักผจญภัยตัวน้อย คุณสามารถจะทลายขีดจำกัดของตัวเองได้ในนาทีสุดท้าย และเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับวงเวทย์ของแหวนนั่นของคุณได้” แอทล๊อคกล่าวพลางจ้องมองไปยังซือเฟิง จากนั้นมานาภายในวิหารก็กลายเป็นน้ำแข็ง “อย่างไรก็ตามโชคของคุณจะต้องสิ้นสุดลงที่นี่ แหวนนั่นช่วยคุณได้เพียงครั้งเดียว !!! คุณคิดว่าคุณจะสามารถป้องกันการโจมตีครั้งต่อไปของฉันได้งั้นหรอ ?”
แอทล๊อคจับขวานของมันด้วยมือสองอย่างอย่างแน่นหนา ก่อนที่จะยกมันขึ้นเหนือหัว และหลับตาพลางเริ่มรวบรวมมานาเข้ามาอยู่โดยรอบอาวุธของมัน โดยมานาที่มันรวบรวมมานี้หนาแน่นมากๆจนในไม่ช้ามันก็กลายเป็นรูปแบบทางกายภาพ
หลุมดำ !!!
ด้วยมีขวานเป็นแกนกลาง หลุมดำนาดเล็กก็ก่อตัวขึ้นเหนือแอทล๊อค และกลืนกินทุกสิ่งที่อยู่ใกล้ๆ และมันก็มีแรงดึงดูดที่น่ากลัวมากๆจนมันสามารถดึงดูดแทบทุกสิ่งโดยรอบเข้าไปได้ ….
นี่มันยังไม่ได้เอาจริงอีกงั้นหรอ ? ซือเฟิงมองไปยังเงาของเทพปีศาจด้วยรอยยิ้มขมขื่น
เป็นไปตามที่แอทล๊อคได้กล่าว ซือเฟิงนั้นได้ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์นักเวทย์ขั้นกลางแล้วอย่างแท้จริงในช่วงเวลาสุดท้าย และเขาก็ได้จัดการเสริมความแข็งแกร่งให้กับวงเวทย์ของแวหนเจ็ดลูมินาลี่ ซึ่งเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับโดเมนสมบูรณ์แบบด้วย แต่กระนั้นมันก็ยังไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะสกัดกั้นพลังโจมตีทั้งหมดของแอทล๊อคได้
ที่แย่กว่านั้นคือเขาจะไม่สามารถใช้โดเมนสมบูรณ์แบบได้อีกเป็นเวลาหลายนาที
แม้ว่าเขาจะใช้สกิลในตอนนี้ แต่เขาก็ไม่น่าจะสามารถหยุดหลุมดำของแอทล๊อคได้ ….
“หนีในระหว่างที่มันยังไม่พร้อมโจมตีเถอะ หัวหน้ากิล !!!! ถ้าหัวหน้าปล่อยให้มันโจมตีเข้ามาและฆ่าหัวหน้าได้ทุกสิ่งที่เราทำมานั้นจะจบลงทันที !!! เรายังมีโอกาสที่จะได้รับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานอีกมากมายในอนาคตนะ !!!” อควาโรสตะโกนผ่านแชททีม
การโจมตีก่อนหน้านี้ของแอทล๊อคนั้นก็จัดว่าน่ากลัวมากอยู่แล้ว แต่การเคลื่อนไหวตอนนี้ที่แอทล๊อคกำลังเตรียมจะใช้นั้นมันทำให้อุณภูมิภายในรัศมีหกร้อยหลาเพิ่มขึ้นจนสูงลิ่วอย่างมาก ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าการโจมตีครั้งนี้นั้นทรงพลังกว่าครั้งก่อนมาก ถ้ามันโดนซือเฟิงเต็มๆ เขาจะไม่เหลือแม้แต่ขี้เถ้าแน่นอน
เหลืออีกหกวินาที ?
เมื่อได้ยินคำแนะนำที่รีบเร่งของอควาโรส ซือเฟิงก็เหลือบไปเห็นแถบดาวโหลดที่ลอยอยู่เหนือหีบสมบัติ และสิ่งที่เขาเห็นนั้นมันก็ทำให้เขาพูดไม่ออก
แอทล๊อค อาร์สเล็ท วัลคีรี่ชั้นสูงได้ทำการแลกเปลี่ยนปะทะกันไปมากกว่าสิบครั้งแล้ว และซือเฟิงก็จงใจที่จะอยู่นิ่งๆ หลังจากการโจมตีครั้งสุดท้ายของเงาของเทพปีศาจ เขานั้นพยายามจะซื้อเวลาให้มากขึ้น แต่มันก็ผ่านไปเพียงสิบสี่วินาทีเท่านั้น ….
ซือเฟิงนั้นตระหนักแล้วว่าเขาไม่สามารถจะพึ่งพาวัลคีรี่ชั้นสูง และฮีโร่ขั้นสี่ได้อีกต่อไป เนื่องจากทั้งคู่นั้นสูญเสียพลังการต่อสู้ที่จุดสูงสุดของตัวเองไปแล้ว
“หนี ? คุณคิดว่าฉันจะปล่อยให้คุณหนีไปได้ง่ายๆอย่างงั้นหรอ ?” แอทล๊อคนั้นตระหนักถึงสิ่งที่ซือเฟิงเริ่มคิดภายในใจ และเมื่อเขาเห็นการแสดงออกของนักดาบ เขาก็กล่าวต่อว่า “เนื่องจากคุณกล้าที่จะมาปล้นหีบสมบัติของฉันโดยยังไม่ผ่านการทดสอบของฉัน มันก็มีผลลัพธ์เดียวเท่านั้นที่รอคุณอยู่ !!!”
พื้นที่รอบๆหลุมดำขนาดเล็กนั้นเริ่มแข็งตัว และซือเฟิงก็แทบจะไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ นับประสาอะไรกับการใช้เวทย์เทเลพอร์ต “โจรผู้โง่เขลา จงหายไปจาก God domain ซะ !!!”
ดวงตาของแอทล๊อคนั้นเริ่มเปล่งปประกายด้วยแสงแปลกๆสีแดงเข้ม และเขาก็เหวี่ยงขวานของเขาเป็นแนวโค้ง ผลักหลุมดำขนาดเล็กนี้ไปทางซือเฟิง ซึ่งอาวุธของเงาของเทพปีศาจนี้ก็เข้าไปหลอมรวมกันในระหว่างกระบวนการ
เมื่อหลุมดำถูกปล่อยออกไปนั้น แรงดึงดูดภายในวิหารก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า และหลุมดำขนาดเล็กก็กลืนกินทุกอย่างจนเหลือเพียงแค่ความว่างเปล่าเท่านั้นในเส้นทางของมัน
อย่าคิดว่าจะฆ่าฉันได้ง่ายๆขนาดนั้นสิเว้ย !!!
ซือเฟิงนั้นตระหนักดีว่าการหลบหนีมันเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ในขณะที่เขาเฝ้าดูหลุมดำขนาดเล็กใกล้เข้ามา เขาได้ตัดสินใจที่จะทุ่มสุดตัวแล้วโดยการนำเรือเหาะมังกรสีเลือดออกมาจากกระเป๋าของเขา พร้อมกับใช้ม้วนคัมภีร์เวทย์มนต์ป้องกันขั้นสี่เพื่อเสริมการ้องกันให้กับเรือเหาะ
เรือเหาะมังกรสีเลือดนั้นมีความสามารถในการป้องกันที่สูงกว่าขั้นสามมากๆ และมันมีความอ่อนแอกว่ากำแพงเมืองใหญ่ของ NPC เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งโดยปกติก็จะมีแต่การโจมตีที่อยู่ในขั้นสี่หรือสูงกว่าขึ้นไปเท่านั้จึงจะสามารถสร้างความเสียหายให้กับเรือเหาะได้
ลำเรือขนาดมหึมาของเรือเหาะมังกรสีเลือดก็ปรากฎขึ้นมาคั่นระหว่างซือเฟิงและหลุมดำที่กำลังใกล้เข้ามา และหลังจากนั้นบาเรียเวทย์มนต์ป้องกันก็ปรากฎขึ้นรอบๆเรือเหาะ
ป้องกันมัน !!!
หลุมดำขนาดเล็กนี้กระแทกเข้ากับเรือเหาะมังกรสีเลือด
เมื่อต้องเผชิญห้ากับการโจมตีนี้ บาเรียเวทย์มนต์ของเรือเหาะก็ค่อยๆหลอมละลายเหมือนเทียนท่ามกลางพายุไฟ แต่อย่างไรก็ตามก็โชคดีที่ตัวเรือเหาะนั้นยังทนได้ เพียงแต่ว่ามันก็เริ่มสูญเสียค่าความทนทานไปเรื่อยๆเช่นกัน
หลังจากสามวินาทีสั้นๆ ค่าความทนทานของเรือเหาะก็ลดลงจากห้าลงมาเหลือน้อยกว่าสองพันแต้ม ….
แม้ว่าเรือเหาะจะยังคงสูญเสียค่าความทนทานต่อไปเรื่อยๆ แต่มันก็เห็นได้ชัดว่ามันเริ่มช้าลงแล้ว อันเนื่องมาจากหลุมดำนั้นมันค่อยๆหมดหลังลงไป
ขอร้องละป้องกันมันไว้ให้ได้เถอะ !!!
ความวิตกกังวลของซือเฟิงนั้นเริ่มเพิ่มขึ้น ในขณะที่เฝ้าดูค่าความทนทานของเรือเหาะมังกรสีเลือดลดลงเหลือแค่ราวห้าร้อยแต้ม ถ้าแม้แต่เรือเหาะก็ยังไม่สามารถจะป้องกันหลุมดำเอาไว้ได้จริงๆ เมื่อมันเข้ามา มันจะฆ่าเขาได้ทันทีแน่นอน ….
ห้าร้อย…สามร้อย…หนึ่งร้อย…
ซือเฟิงนั้นคิดว่าทุกอย่างคงจะจบลงแล้ว ในขณะที่ค่าความทนทานของเรือเหาะมังกรสีเลือดลดลงถึงศูนย์ แต่ทันใดนั้นหลุมดำขนาดเล็กก็เริ่มจางหายไป และครู่ต่อมาพื้นที่ภายในวิหารก็กลับมาเป็นปกติ
เมื่อหลุมดำหายไปนั้นการเปิดหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอมันก็สิ้นสุดลง และมันก็มีแสงจำนวนมากเปล่งประกายออกมาจากหีบสมบัติจนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเลยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในชั้นสองของสุสานดาว
สำเร็จ !!
ซือเฟิงรู้สึกดีใจมากๆ เมื่อได้เห็นฝาหีบสมบัติเปิดอยู่ เขานั้นรีบเอื้อมมือไปหยิบไอ
เทมทุกชิ้นมาใส่กระเป๋าโดยไม่ได้คิดจะตรวจสอบใดๆทันที
แม้ว่าซือเฟิงจะมีความรวดเร็วมากๆ แต่หีบสมบัตินั้นมันก็มีขนาดใหญ่มากเกินไป และภายในของมันนั้น ไอเทมก็ไม่ได้ถูกจัดอย่างมีระเบียบเลย ยิ่งไปกว่านั้นในหีบยังมีไอเทมมากกว่ายี่สิบชิ้น และเมื่อซือเฟิงเก็บรวบรวมมาได้ถึงชิ้นที่สิบนั้น แอทล๊อคก็เต็มไปด้วยความโกรธอย่างมาก
“คุณจะไม่มีวันออกจากที่นี่ไปได้ทั้งๆที่ยังมีชีวิต !!!” แอทล๊อคตะโกน
ซือเฟิงนั้นได้ยินเสียงโซ่ที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ และตอนนี้ความแข็งแกร่งของเงาของเทพปีศาจก็เพิ่มขึ้นจากขั้นสี่ไปเป็นขั้นห้าอย่างแท้จริง ตอนนี้เงาของเทพปีศาจตัวนี้นั้นก็มีพลังมากพอที่จะทำให้แม้แต่เฮลรัช กับกองกำลังนรกของเขาที่อยู่ห่างจากวิหารออกมาอย่างมากก็ยังหวาดกลัวมากๆ และสัญชาตญาณของพวกเขานั้นก็กรีดร้องให้พวกเขารีบหนีไป
“อึก !! ทุกคนวิ่งเดี๋ยวนี้ !!!”
ซือเฟิงนั้นมองไปยังแอทล๊อคที่ดูเหมือนจะเข้าสู่สถานะเบอเซิกร์แล้วด้วยความหวาดกลัว เขาไม่คาดคิดเลยว่าสถานการณ์มันจะพัฒนามาถึงขั้นนี้ หลังจากที่เขาได้ออกคำสั่งให้ถอยแล้ว เขาก็ได้ใช้ม้วนคัมภีร์เคลื่อนย้ายทันทีขั้นสามที่เขาเตรียมไว้ล่วงหน้าทันที ….
ตอนที่ 2494
อีเว้นระดับตำนาน
เมื่อเห็นซือเฟิงหายตัวไป แอทล๊อคก็ยิ่งเต็มไปด้วยความโกรธมากยิ่งขึ้น
คุณคิดว่าคุณจะสามารถหลบหนีฉันไปได้ง่ายๆงั้นหรอ ? โจรผู้โง่เขลา !!!
ดวงตาของเงาของเทพปีศาจหรี่ลงขณะที่มันจ้องมองไปทางตอนใต้สุดของป่า และด้วยการตวัดมือเพียงแค่ครั้งเดียว แอทล๊อคก็ได้สร้างสปาร์เชี่ยลเกตขึ้นมา และก้าวเข้าไปในนั้นโดยปล่อยให้แอนนา วัลคีรี่ชั้นสูง และอาร์สเล็ทไว้ในวิหาร
ขณะที่แอทล๊อคจากไปนั้น วิหารก็เริ่มจางหายไป ผู้เล่นนอกวิหารนั้นก็อ้าปากค้างมากยิ่งกว่าเดิม พวกเขาไม่เคยคิดฝันเลยว่าซือเฟิงจะสามารถหนีรอดไปได้ทั้งๆแบบนี้ และประสบความสำเร็จในสิ่งที่แม้แต่มหาอำนาจต่างๆในทวีปด้านตะวันตกก็ยังไม่สามารถจะทำได้
แม้ว่าซือเฟิงจะใช้วิธีการที่เหมือนการโกง แต่มันก็เป็นความจริงที่ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าเขาได้รับสมบัติจาการล่อลวงของเทพปีศาจ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจมากที่สุดก็คือ เงาของเทพปีศาจนั้นได้ทลายขีดจำกัดจนมาถึงขั้นห้าได้ในช่วงวินาทีสุดท้าย ….
หลังจากได้เห็นพลังการต่อสู้ของเงาของเทพปีศาจที่อยู่ในขั้นสี่ พวกเขาทุกคนก็รู้ว่ามันจัดว่าจัดว่าแทบจะเป็นอมตะเลยแม้แต่ในหมู่พวกขั้นห้าก็ตาม และการจะทำลายทั้งจักรวรรดินั้นก็จะง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเลยสำหรับสิ่งมีชีวิตแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงอาณาจักร ….
นอกจากนี้เงาของเทพปีศาจก็ได้ออกจากวิหารไปเพื่อไล่ล่าซือเฟิงต่อ สถานการณ์นี้มันช่างบ้าบอสุดๆ ….
“ผู้บัญชาการ พวกเราก็รีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ !!! หากเงาของเทพปีศาจกลับมา มันจะไม่หยุดจนกว่าพวกเราทุกคนจะตายแน่นอน !!!” ธันเดอร์บีสต์ได้กระตุ้นให้เฮลรัชรีบออกคำสั่ง เมื่อเขาเห็นแอทล๊อคใช้สปาร์เชี่ยลเกตจากไป
แม้จะไม่มีคำเตือนจากซือเฟิงให้หนี แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าสถานการณ์ในปัจจุบันของพวกเขานั้นมันอันตรายมากแค่ไหน
“ถอย !!!”
เฮลรัชนั้นทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ ขณะที่เขามองไปยังพื้นที่ทางตอนใต้ของป่า แม้ว่าซือเฟิงจะได้รับสมบัติมาแล้ว แต่ตอนนี้เงาของเทพปีศาจขั้นห้าก็กำลังตามล่าเขาอยู่ ซึ่งมันทำให้โอกาสในการรอดชีวิตของซือเฟิงแทบจะไม่มีอยู่จริงเลย
ตัวตนของเงาของเทพปีศาจขั้นห้านั้นไม่ใช่ตัวตนที่จัดว่าเล็กน้อยเลย แม้แต่มังกรขั้นห้าก็ยังไม่สามารถจะหลบหนีจากความโกรธเกรี้ยวของแอทล๊อคได้
ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญของกองกำลังนรก และสภาสิบแปดปีกกำลังทำการเดินทางกลับไปยังชั้นแรกของสุสานดาว ซือเฟิงผู้ซึ่งหนีไปด้วยม้วนคัมภีร์เคลื่อนย้ายทันทีขั้นสามก็ได้เปิดใช้งานพลังสึกกร่อนของตัวเอง เพื่อทำให้ตัวเองขึ้นไปอยู่ในขั้นสี่ชั่วคราว จากนั้นเขาก็เปิดใช้งานเกลโดเมน และบินไปยังทางออกของสุสานดาวด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งความเร็วของเขานั้นก็ไม่ได้ช้าไปกว่าอะเม้าท์บินได้เลย
อย่างไรก็ตามก่อนที่ซือเฟิงจะไปได้ถึงระยะสองพันหลา สปาร์เชี่ยลเกตก็เปิดออกขึ้นมาขวางทางของเขา และแอทล๊อคก็โผล่ออกมา
มันเทเลพอร์ตมาที่นี่โดยตรง ?
เมื่อได้เห็นเงาของเทพปีศาจนั้นมันก็ทำให้ซือเฟิงพูดไม่ออกเลย เขาไม่คาดคิดเลยว่าแอทล๊อคจะโหดเหี้ยมมากขนาดนี้
จากสิ่งที่ซือเฟิงจำได้จากชีวิตที่ผ่านมาของเขา เงาของเทพปีศาจที่เฝ้าวิหารอยู่นั้นไม่ควรจะสามารถไล่ตามผู้เล่นมาได้ เมื่อผู้เล่นออกมาจากวิหารพร้อมสมบัติ แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่แอทล๊อคจะยังคงไล่ล่าเขาต่อ มันยังเทเลพอร์ตมาหาเขาโดยตรงด้วย ….
“ฉันจะจำกัดทุกส่วนของคุณไม่ให้เหลืออยู่ในโลกแห่งนี้เลย !!!” ในขณะที่แอทล๊อค
มองเห็นเหยื่อของมัน มันก็เริ่มร่ายเวทย์
ท้องฟ้าที่อยู่เหนือซือเฟิงนั้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และมันก็มีไฟไหลออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดครอบคลุมรัศมีสี่พันหลา
ตำสาปขั้นห้า Extinction Flames !
โดยปกติแล้ว มหาจอมเวทย์ที่เป็นพวกสายเวทย์ศักสิทธิ์ขั้นห้านั้นจะต้องใช้เวลามากกว่าสิบวินาทีในการร่ายเวทย์นี้ แต่แอทล๊อคกับสามารถร่ายมันได้ทันที
ยิ่งไปกว่านั้นผู้เล่นยังจะไม่สามารถใช้ม้วนคัมภีร์เคลื่อนย้ายทันทีขั้นสามได้ในคำสาป AOE แบบ Extinction Flames ด้วย
เมื่อสังเกตเห็นฉากนี้จากระยะไกล สมาชิกของกองกำลังนรกและสภาสิบแปดปีกก็ล้วนเต็มไปด้วยความตกตะลึงมากๆ แม้จะมองจากที่ไกลๆ พวกเขาก็สามารถจะมองเห็นเปลวไฟที่ลุกท่วมพื้นที่เหนือป่าทางตอนใต้ได้ และเปลวไฟพวกนี้ก็ดูเหมือนมันจะค่อยๆกลืนกินพื้นที่ป่าอย่างรวดเร็วเลยทีเดียว
ใครจะไปรอดพ้นจากการโจมตีที่น่ากลัวแบบนี้ได้ ?
ทันใดนั้นรอยแยกมิติก็เปิดขึ้นตรงหน้าทีมของพวกเขา และก็มีร่างๆหนึ่งกระโดดออกมา ซึ่งร่างนี้นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซือเฟิงที่อยู่ในสภาพน่าสังเวชมากๆ แถม HP ของเขาก็ยังลดลงติดถึงขั้นวิกฤตแล้ว
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ? นี่คุณสามารถหนีการโจมตีนั่นมาได้จริงๆงั้นหรอ ?” เฮลรัชอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างประหลาดใจ เมื่อได้เห็นนักดาบ
ขณะเดียวกันสมาชิกทีมที่เหลือนั้นก็ทำได้แค่จ้องมองมายังฉากนี้ด้วยความตกตะลึงเท่านั้น ….
เทพปีศาจนั้นได้ใช้คำสาปขั้นห้าใส่ซือเฟิงอย่างชัดเจน แต่เขาก็ยังสามารถหนีรอดมาได้ทั้งๆที่ยังมีชีวิต นี่มันไม่น่าเชื่อเลย !!!
“ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม เงาของเทพปีศาจยังไม่สังเกตเหห็นฉัน !!! ฉันจะเปิดสปาร์เชี่ยลเกต และพาเราเทเลพอร์ตไปที่ชั้นหนึ่ง !!! ซึ่งทันทีที่ฉันเปิดมัน ให้รีบก้าวเข้าไปทันที !!!” ซือเฟิงตะโกนออกคำสั่ง เมื่อเขาเห็นเพื่อนร่วมทีมของเขาจ้องมองมาที่เขา
วิธีการเดียวที่จะหลบหนีออกมาจากคำสาปขั้นห้าได้นั้นจะต้อใช้ม้วนคัมภีร์เคลื่อนย้ายทันทีขั้นสี่เป็นอย่างน้อย แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าซือเฟิงจะไม่มีมันอยู่ในมือ แต่เขาก็มีแหวนเจ็ดลูมินาลี่ ซึ่งมีสกิลที่ไม่ธรรมดาที่ช่วยให้เขาหลบหนีได้
ซึ่งด้วยสกิลการเคลื่อนย้ายอวกาศของแหวนเจ็ดลูมินาลี่นั้น มันก็ทำให้เขาจะสามารถเทเลพอร์ตไปยังสถานที่ใดก็ได้ภายในรัศมีหกแสนหลา แต่เมื่อเขากระโดดหนีเข้ามาในรอยแยกมิตินี้เปลวไฟของคำสาปกับตามเขามาด้วย และมันก็เกือบจะกลืนกินชีวิตของเขา โชคดีที่เขาเปิดใช้งานพลังสึกกร่อน ซึ่งทำให้เขาได้รับพลังป้องกัน และ HP รวมทั้งความสามารถของผู้เล่นขั้นสี่มาชั่วคราว หากเขาอาศัยเพียงแต่พลังจากสกิลเบอเซิกร์ของเขา เขาจะตายไปนานแล้วแน่นอน
อย่างไรก็ตามสกิลการเคลื่อนย้ายอวกาศนั้นมีคูลดาวน์สามนาที และหากเงาของเทพปีศาจมาหาเขาอีกครั้ง เขาจะไม่รอดแน่นอน
เขาไม่สามารถจะทิ้งกองกำลังนรก และพรรคพวกของเขาไว้ที่นี่ได้ และตอนนี้นั้นแอทล๊อคก็โกรธอย่างมาก และมันก็มีสิทสูงมากที่แอทล๊อคจะเปลี่ยนทุกตารางนิ้วของสุสานดาวให้กลายเป็นดินแดนแห่งความตาย ซึ่งอควาโรสและคนอื่นๆนั้นจะสามารถรอดชีวิตไปได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาออกจากดันเจี้ยนภูมิภาคแห่งนี้ไปแล้วเท่านั้น
ขณะเดียวกันพรรคพวกของเขา รวมทั้งกองกำลังนรกก็ตระหนักได้ถึงสถานการณ์ที่อันตรายอย่างมากดี ซึ่งเมื่อซือเฟิงทำการเปิดสปาร์เชี่ยลเกต พวกเขาก็รีบกระโจนเข้าไปอย่างไม่รีรอ และหายไปจากชั้นสองของสุสานดาวทันที
กว่าแอทล๊อคจะตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้และพยายามจะตามมานั้น ทุกคนก็หนีไปได้ทั้งหมดแล้ว
“โจรที่น่ารังเกียจ ยังไงซะฉันก็จะไม่ปล่อยให้คุณหนีไปได้แน่นอน !!!” แอทล๊อคคำราม ขณะมองไปยังสปาร์เชี่ยลเกตของซือเฟิงที่พึ่งจะหายไป ในขณะเดียวกัน เมื่อซือเฟิงอยู่นอกสุสานดาว เขาก็ได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ
ระบบ : คุณได้เปิดใช้งานเควสระดับตำนาน “ความโกรธเกรี้ยวของเทพปีศาจ” คุณได้ขโมยสมบัติของเทพปีศาจแอทล๊อค และเทพปีศาจนั้นได้ใช้คำสาปวิญญาณกับคุณเป็นการตอบโต้ ไม่เพียงแต่เทพปีศาจแอทล๊อค และญาติของเขาจะตามล่าคุณ แต่คุณยังจะได้รับโทษจากการตายมากกว่าเดิมถึงสามเท่า นอกจากนี้คุณยังจะสูญเสียหนึ่งเลเวลทุกๆเจ็ดวัน และเมื่อเลเวลของคุณลดลงต่ำกว่าหนึ่งร้อย เทพปีศาจก็จะค้นพบคุณ
เนื้อหาของเควส : ฆ่าเงาของเทพปีศาจแอทล๊อค ไม่จำกัดเวลา รางวัล : Unknown
เมื่อซือเฟิงได้รับการแจ้งเตือนจากระบบ ทุกคนก็ได้ยินเสียงประกาศจากระบบ
ประกาศจากระบบภูมิภาคหุบเขาดาว : ผู้เล่นได้ทำการเปิดอีเว้นระดับตำนานของหุบเขาดาว “ความโกรธเกรี้ยวของเทพปีศาจ” ศาลเจ้าของเทพปีศาจจะถูกเปิดขึ้นในหุบเขาดาวภายในหนึ่งวัน และมันจะทำให้ผู้เล่นมีโอกาสได้รับมรดกเทพปีศาจได้
ประกาศของระบบนั้นดังขึ้นสามครั้งซ้อน และผู้เล่นทุกคนในหุบเขาดาวนั้นก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน ชั่วขณะหนึ่งความโกลาหลได้เข้าปกคลุมไปทั่วหุบเขาดาวเลยทีเดียว
ตอนที่ 2495
สั่นสะเทือนหุบเขาดาว
“หุบเขาดาวมีมรดกเทพปีศาจ ?”
“มันเกิดอะไรขึ้นกัน ? ระบบจะปล่อยมรดกของเทพออกมางั้นหรอ ? นี่มันจะไม่ทำให้ผู้เล่นเป็นอมตะใน God domain เลยงั้นหรอ หากได้รับมันมา !!!”
“ศาลเจ้าของเทพปีศาจงั้นหรอ ? ต้องลองไปเช็คดูสักหน่อยแล้ว !!!”
หลังจากได้ยินประกาศของระบบ ผู้เล่นหลายคนในหุบเขาดาวต่างก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่ารีบพุ่งไปที่ศาลเจ้าของเทพปีศาจเพื่อตรวจสอบสถานการณ์
ใน God domain มรดกนั้นมีความสำคัญมากกว่าอาวุธและอุปกรณ์
มรดกนั้นสามารถจะเปลี่ยนแปลงรากฐานของผู้เล่นได้ตั้งแต่จุดเริ่มต้น และมันก็จะช่วยให้ผู้เล่นที่มีมันก้าวหน้ากว่าผู้เล่นที่ไม่มี และด้วยมีมรดกอันทรงพลัง ผู้เล่นยังจะสามารถเรียนรู้สกิลและเวทย์ที่แข็งแกร่งขึ้นได้ด้วย แถมพวกเขายังจะสามารถรับเอาอาวุธและอุปกรณ์ชั้นยอดที่เฉพาะเจาะจงสำหรับมรดกของพวกเขาได้ด้วย และแค่มรดกทั่วไปก็สามารถจะทำให้ผู้เล่นทั่วไปกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญได้แล้ว
อย่างไรก็ตามมรดกนั้นก็หายากอย่างไม่น่าเชื่อใน God domain มันหายากกว่าไอเทมระดับอีปิคเลยด้วยซ้ำ และสิ่งสำคัญที่สุดคือมรดกนั้นไม่ได้เผยแพร่สู่สาธารณะ ผู้เล่นจะได้รับมันผ่านโชคเท่านั้น
แต่ตอนนี้นั้นไม่เพียงแต่ศาลเจ้าของเทพปีศาจจะนำเสนอมรดกให้ มันยังประกาศออกมาต่อหน้าสาธารณชนด้วย ซึ่งนี่มันก็เท่ากับว่าคนทั่วไปก็มีสิทจะได้รับมันเช่นกัน แถมฟังจากประกาศของระบบแล้ว มันก็ดูเหมือนจะเป็นมรดกจากเทพปีศาจโดยตรง ซึ่งมันไม่ใช่มรดกธรรมดาแน่นอน ดังนั้นทำไมผู้เล่นจึงจะไม่ตื่นเต้นกันล่ะ ?
มรดกของเทพนั้นจัดเป็นมรดกขั้นสูงสุดใน God domain แล้ว และแม้แต่พวกระดับสูงต่างๆของซุเปอร์กิลก็ล้วนใฝ่ฝันจะได้รับมันมา แต่น่าเสียดายที่มรดกของเทพนั้นหายากอย่างไม่น่าเชื่อ และผู้เล่นจะได้พบกับพวกมันก็ต่อเมื่อพวกเขาโชคดีจริงๆเท่านั้น
ในขณะที่ผู้เล่นในหุบเขาดาวกำลังเต็มไปด้วยความโกลาหล ข่าวเรื่องนี้ก็เริ่มไปถึงมหาอำนาจต่างๆอย่างรวดเร็ว
“อะไร ? มรดกของเทพปีศาจงั้นหรอ ?!”
“มีใครบางคนค้นพบมรดกของเทพปีศาจงั้นหรอ ? รีบไปจับตาดูเรื่องนี้ทันที !!! ค้นหามาให้ได้ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบในการเปิดใช้งานศาลเจ้าของเทพปีศาจ !! ผู้เล่นคนนั้นจะต้องมีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่นอน !!! และฉันก็ต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของกิลเราทุกคนรีบมุ่งหน้าไปที่หุบเขาดาวทันที !!! เราต้องรับเอามรดกของเทพปีศาจมาให้ได้ก่อนมหาอำนาจอื่นๆ !!!”
มหาอำนาจต่างๆนั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เมื่อพวกเขาได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับศาลเจ้าของเทพปีศาจ และพวกเขาก็รีบจัดส่งทีมผู้เชี่ยวชาญไปยังหุบเขาดาวทันที แถมพวกเขาก็ยังสั่นให้เริ่มสืบหาผู้เล่นที่เป็นผู้เปิดศาลเจ้าแล้ว
ในช่วงเวลาหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆและผู้เชี่ยวชาญอิสระต่างหลั่งไหลกันเข้ามาในหุบเขาดาว
ในขณะที่ผู้เล่นจำนวนมากกำลังมารวมตัวกันเพื่อค้นหาศาลเจ้าของเทพปีศาจ ความเงียบก็เข้าครอบงำกองกำลังนรกซึ่งอยู่ห่างจากสุสานดาวไปไม่ไกล ไม่มีใครแน่ใจว่าควรแสดงความยินดีกับซือเฟิงหรือสงสารเขา
ไม่มีใครจะรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้มากไปกว่าพวกเขา
ซือเฟิงนั้นเป็นผู้รับผิดชอบการเปิดใช้งานศาลเจ้าของเทพปีศาจในหุบเขาดาว รวมไปถึงเรื่องมรดกของเทพด้วย แต่เขานั้นก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย อีเว้นระดับตำนานที่มาจากระบบนี้มันดูเหมือนจะกำลังเยาะเย้ยนักดาบอยู่ด้วยซ้ำ
สถานการณ์นี้ยังเปลี่ยนสิ่งที่พวกเขาเข้าใจเกี่ยวกับ God domain ไปทั้งหมดด้วย
ซือเฟิงนั้นได้เปลี่ยนความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับ God domain ไปอย่างมาก แต่ตอนนี้อีเว้นระดับตำนานี้กับทำมากกว่านั้นอีก
แม้จะมีส่วนร่วมมากที่สุดในการเปิดใช้งานอีเว้นระดับตำนานนี้ แต่ซือเฟิงก็มีโอกาสน้อยที่สุดที่จะได้รับรางวัลจากอีเว้น
ดูเหมือนว่าเทพปีศาจแอทล๊อคนั้นจะจงใจทำแบบนี้เพราะซือเฟิง เพราะแม้ว่าซือเฟิงจะเป็นผู้เปิดศาลเจ้าของเทพปีศาจ และรู้เรื่องราวส่วนใหญ่ขออีเว้นนี้ แต่เขาก็จะไม่มีโอกาสได้รับมรดกของเทพครั้งนี้ แอทล๊อคนั้นแสดงความแค้นออกมาเช่นเดียวกับมนุษย์เลยทีเดียว สมาชิกของกองกำลังนรกนั้นถึงกับสงสัยว่าเทพปีศาจตนนี้เป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ เพราะนี่มันใช้อารมณ์เหมือนกับมนุษย์ล้วนๆเลย มันไม่ได้ดูเหมือนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เลย
นี่คือมรดกของเทพที่พวกเขากำลังพูดถึง !!!
มรดกดังกล่าวนั้นมีค่ามากกว่าเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานหลายเท่า ทั้งสองไม่ได้อยู่ในขอบเขตเดียวกันเลยในแง่ของคุณค่า
“นี่มันจำเป็นต้องทำขนาดนี้เพราะเรื่องหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอเลยงั้นหรอ ?” ซือเฟิงมองไปยังการแจ้งเตือนของระบบด้วยรอยยิ้มขมขื่น
โดยปกติการล่อลวงของเทพปีศาจนั้นควรจะจบลงในช่วงที่เขาหนีออกมาจากวิหารได้ และนั่นคือผลลัพธ์ที่ผู้เล่นทุกคนที่เคยปล้นหีบสมบัติจากการล่อลวงของเทพปีศาจได้สำเร็จเจอมาในชีวิตที่ผ่านมาของเขา แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง สถานการณ์ของเขามันกลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ไม่เพียงแต่เงาของเทพปีศาจยังคงไล่ตามเขา หลัจากเขาออกจากวิหารได้ แต่แอทล๊อคยังทำการประกาศกึ่งเป็นการตั้งค่าหัวเขาด้วย มันกระทั่งเสนอรางวัลเป็นมรดกของเทพเลยด้วยซ้ำเพื่อเรื่องนี้ นี่มันบ้าชัดๆ ….
“มันแค่มรดกของเทพแหละน่าหัวหน้ากิล มันไม่คุ้มค่ากับเวลาของเราหรอก !!!” โคล่ากลางพลางเดาะลิ้น ขณะที่เขาอ่านประกาศของระบบ
“ใช่แล้ว !! เราแข็งแกร่งพอที่จะมีโอกาสมากมายได้มรดกของเทพอื่นๆในอนาคต !!!” อควาโรสกล่าวพลางพยักหน้าเห็นด้วย
แม้ว่าโคล่าและอควาโรสจะพยายามสร้างความมั่นใจให้กับหัวหน้ากิลของพวกเขา แต่สมาชิกของกองกำลังนรกทุกคนก็ตระหนักดีว่านี่มันเป็นเพียงคำปลอบใจเท่านั้น พวกเขากำลังพูดถึงมรดกของเทพเลยนะ และมันจะมีเพียงแค่ผู้เล่นที่โชคดีที่สุดเท่านั้นไมใช่หรอที่จะได้รับมรดกไปสักชิ้น ?
ยิ่งไปกว่านั้นสาเหตุนี้มันก็ยังเกิดขึ้นเพราะซือเฟิงทำลายกฎเกณฑ์ของ God domain ดังนั้นข้อกำหนดของการได้รับมรดกจะเกี่ยวข้องกับซือเฟิงแน่นอน เพราะท้ายที่สุด NPC มักจะตามล่าผู้เล่นที่ทำอะไรแบบนี้ไม่หยุดหย่อนแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากเทพแบบแอทล๊อคนั้นไม่สามารถจะปรากฎตัวในทวีปหลักของ God domain ได้ มันจึงถูกบังคับให้ต้องตั้งค่าหัวซือเฟิงนั่นเอง
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก เทพปีศาจอาจใช้มรดกของเทพเป็นเหยื่อล่อ แต่การจะได้มันมาจริงๆนั้นน่าจะเป็นความท้าทายอย่างมาก และนี่ก็อาจเป็นอีกหนึ่งกับดักของเทพปีศาจ คิดซะว่าอย่างน้อยคุณก็สามารถปล้นหีบนั่นมาได้นะ …” เฮลรัชกล่าวอย่างพยายามปลอบใจซือเฟิงอีกคน
“ขอบคุณสำหรับคำปลอบใจของคุณ ผู้บัญชาการรัช แต่ฉันไม่ได้สนใจในสถานการณ์นี้เท่าไหร่นักอยู่แล้ว” ซือเฟิงกล่าวพลางยิ้มให้กับเฮลรัชที่มองมายังเขาอย่างสงสาร
เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องที่แอทล๊อคตั้งค่าหัวเขาเลย เขากังวลเรื่องที่ว่าถ้าเขาตายโทษจากการตายจะเพิ่มขึ้นสามเท่า และการถูกลดเลเวลรายสัปดาห์มากกว่า แต่อย่างไรก็ตามตราบใดที่เขาดูแลตัวเองดีเป็นพิเศษ และรักษาความเร็วในการเก็บเลเวลของตัวเองได้ เรื่องนี้มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรสำหรับเขา
แม้ว่ามรดกของเทพปีศาจอาจมีค่ามากกว่าเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนาน แต่เขาก็ไม่ได้ต้องการมันเลย เพราะอย่างดีที่สุดมรดกของแอทล๊อคนั้นก็จะเทียบได้กับมรดกขั้นสูงของเทพแห่งท้องทะเลที่อควาโรสมีนั่นแหละ
ยิ่งไปกว่านั้นเฮลรัชก็ไม่ได้รู้เลยว่าแอทล๊อคนั้นไม่ใช่เทพปีศาจเพียงตนเดียวที่คุกคามชีวิตเขา ….
เขามีระเบิดเวลามากมายที่คุกคามชีวิตเขาใน God domain มีเพิ่มอีกสักหนึ่งจะเป็นอะไรไป ?
หากการยั่วยุเทพปีศาจจะทำให้เขาได้รับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานมาเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง เขาก็ไม่ได้ลังเลที่จะทำมันอีกครั้งเลย
อย่างไรก็ตามสมาชิกของกองกำลังนรกนั้นไม่ค่อยเชื่อคำพูดของซือเฟิงมากนัก พวกเขาทั้งหมดนั้นได้เห็นความแข็งแกร่งของนักดาบด้วยตาตัวเองแล้ว หากใครก็ตามที่มีโอกาสจะได้รับมรดกของเทพที่ว่านี่จริงๆมันก็ควรจะเป็นซือเฟิง แต่เนื่องจากชายคนนี้เลือกจะตอบแบบปัดๆไป พวกเขาจึงทำได้แค่ยิ้มและพยักหน้าตอบเท่านั้น
“โอ้ ใช่แล้วหัวหน้ากิล หัวหน้าได้อะไรมาจากหีบสมบัติบ้าง ?” โคล่าถามอย่างกระตือรือร้นโดยไม่ได้สนใจท่าทีของกองกำลังนรก
คำถามของโคล่านั้นได้เตือนให้ซือเฟิงเริ่มตรวจสอบไอเทมที่เขาได้รับมา หลังจากช่วงเวลาอันยากลำบาก
ก่อนหน้านี้เขายุ่งมากกับการหนีเอาชีวิตรอด ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาตรวจสอบไอเทมที่เขาปล้นมาได้ และเมื่อเขาหนีออกจากสุสานดาวมาได้ ทั้งประกาศจากระบบภูมิภาค และประกาศเควสส่วนตัวของเขาก็ได้ดึงความสนใจของเขาไป
ในขณะที่ซือเฟิงเริ่มการตรวจสอบไอเทม เขาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างมาก
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมปฎิกิริยาของเทพปีศาจมันจึงรุนแรงขนาดนี้ ถ้าฉันอยู่ในตำแหน่งของมัน ฉันก็คงเป็นบ้าเช่นกัน เมื่อซือเฟิงเห็นคริสตัลที่แผ่ออร่า Divine Might ในกระเป๋าของเขา เขาก็เริ่มเข้าใจสาเหตุหลายๆอย่าง
ตอนที่ 2496
สมบัติจากหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอ
“เป็นอะไรไปหัวหน้ากิล ?” อควาโรสถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นการแสดงออกที่ตกตะลึงของซือเฟิง
พวกเขานั้นใช้ทั้งเวลาและความพยายามอย่างมากในการปล้นหีบสมบัติจากการล่อลวงของเทพปีศาจ หากไอเทมที่ได้รับมาไม่มีค่านั้น มันจะนับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่เลย
“ไม่มีอะไร ฉันแค่รู้สึกตกตะลึงน่ะ เพราะการเก็บเกี่ยวของพวกเราครั้งนี้มันยอดเยี่ยมมากๆ !!” ซือเฟิงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ “ไม่เพียงแต่เราจะได้รับวัสดุระดับตำนานมาบางส่วนพร้อมกับดาวแห่ง แต่เรายังได้รับเซ็ทอาวุธระดับอีปิค เศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนาน รวมไปถึงแบบแปลนเซ็ทอุปกรณ์ระดับดาร์คโกลมาด้วย”
จากนั้นซือเฟิงก็ได้ทำการแชร์ข้อมูลไอเทมที่เขาได้รับมาทั้งหมดผ่านแชททีม เขาไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดข้อมูลใดๆ
[เงาสมบูรณ์แบบ] (กริช [อาวุธหลัก],ระดับอีปิค)
เลเวล 100 – เลเวล 150
ความต้องการอุปกรณ์ : STR 2,300
ค่าสถานะปรับตามเลเวลของผู้ใช้
พลังโจมตี +6,325 (เลเวลหนึ่งร้อย)
STR +422 AGI +376 Endurance +350 ความเร็วในการโจมตี +18
การโจมตีด้วยพลังแห่งเงา ระหว่างการโจมตี :
จะมีโอกาสลดพลังป้องกันของเป้าหมายลง 30 เปอเซ็นต์
มีโอกาส 35 เปอเซ็นต์ที่จะสร้างความเสียหายเพิ่มขึ้น 270 เปอเซ็นต์
มีโอกาส 10 เปอเซ็นต์ที่ Shadow Raid จะถูกเปิดใช้งาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วในการโจมตีของผู้ใช้ขึ้น 40 เปอเซ็นต์ เป็นเวลา 3 วินาที
เมื่อติดตั้ง :
ค่าสถานะหลักทั้งหมดเพิ่มขึ้น 10 เปอเซ็นต์
ค้าสถานะรองทั้งหมดเพิ่มขึ้น 8 เปอเซ็นต์
ความเร็วในการตอบสนองเพิ่มขึ้น 10 เปอเซ็นต์
ผลของสกิลที่เกี่ยวกับอาวุธทั้งหมดเพิ่มขึ้น 10 เปอเซ็นต์
อัตราความสำเร็จในการใช้สกิลด้วยอาวุธชิ้นนี้เพิ่มขึ้น 2 เปอเซ็นต์
Ignore Levels +10
สกิลพาสซีฟเพิ่มเติม
Shadow Strike : ทุกหนึ่งการโจมตีจะสะสมพลังเงาไว้หนึ่งแต้ม (เป็นอิสระจากเงาสมบูรณ์แบบที่เป็นอาวุธรอง) เมื่อสะสมพลังเงาครบ 12 แต้ม พลังเงาทั้งหมดจะถูกปลดปล่อยโดยอัตโนมัติเพื่อเพิ่มค่า STR ให้กับผู้ใช้ขึ้น 100 เปอเซ็นต์
ตั้งค่าเอฟเฟค :
เมื่อติดตั้งทั้งอาวุธหลักและอาวุธรองเงาสมบูรณ์แบบ มันจะช่วยเพิ่มค่าสถานะหลักขึ้น 15 เปอเซ็นต์ ช่วยเพิ่มค่าสถานะรองขึ้น 10 เปอเซ็นต์ ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางกายภาพขึ้น 15 เปอเซ็นต์
และได้รับสกิล ดาร์คแดนซ์
ดาร์คแดนซ์ : เมื่อเปิดใช้งานผู้ใช้จะเข้าสู่สถานะ Stealth และความเร็วในการโจมตีจะเพิ่มขึ้น 20 เปอเซ็นต์ ความเร็วในการเคลื่อนที่จะเพิ่มขึ้น 30 เปอเซ็นต์ ผู้ใช้จะถูกบังคับให้ออกจาก Stealth หากถูกโจมตีหรือเริ่มการโจมตี
ระยะเวลา : 15 วินาที
คูลดาวน์ : 10 นาที
[เงาสมบูรณ์แบบ] (กริช [อาวุธรอง],ระดับอีปิค)
เลเวล 100 – เลเวล 150
ความต้องการอุปกรณ์ : STR 2,100
ค่าสถานะปรับตามเลเวลของผู้ใช้
พลังโจมตี +5,725 (เลเวลหนึ่งร้อย)
STR +385 AGI +355 Endurance +324 ความเร็วในการโจมตี +16
การโจมตีด้วยพลังแห่งเงา ระหว่างการโจมตี :
ค่าเจาะเกราะเพิ่มขึ้น 20 เปอเซ็นต์
โอกาส 25 เปอเซ็นต์ ที่จะสร้างความเสียหายเพิ่มขึ้น 300 เปอเซ็นต์
มีโอกาส 15 เปอเซ็นต์ที่ Phantom Strike จะถูกเปิดใช้งาน และจะสร้างความเสียหายเทียบเท่ากับค่า STR 120 เปอเซ็นต์ของผู้ใช้ ในพื้นที่ 3*15 หลา
เมื่อติดตั้ง :
ค่าสถานะหลักทั้งหมดเพิ่มขึ้น 10 เปอเซ็นต์
ค้าสถานะรองทั้งหมดเพิ่มขึ้น 7 เปอเซ็นต์
ความเร็วในการตอบสนองเพิ่มขึ้น 10 เปอเซ็นต์
ผลของสกิลที่เกี่ยวกับอาวุธทั้งหมดเพิ่มขึ้น 10 เปอเซ็นต์
อัตราความสำเร็จในการใช้สกิลด้วยอาวุธชิ้นนี้เพิ่มขึ้น 2 เปอเซ็นต์
Ignore Levels +10
สกิลพาสซีฟเพิ่มเติม
Frenzied Shadow : ทุกหนึ่งการโจมตีจะสะสมพลังเงาไว้หนึ่งแต้ม (เป็นอิสระจากเงาสมบูรณ์แบบที่เป็นอาวุธหลัก) เมื่อสะสมพลังเงาครบ 30 แต้ม พลังเงาทั้งหมดจะถูกปลดปล่อยโดยอัตโนมัติเพื่อเพิ่มความเร็วในการโจมตีของผู้ใช้ขึ้น 30 เปอเซ็นต์ เป็นเวลา 3 วินาที
[จี้เวทย์แห่งแสง] (สร้อยคอ เศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนาน)
ความต้องการอุปกรณ์ : INT 2,000 Vitality 2,100
ค่าสถานะปรับตามเลเวลของผู้ใช้
เมื่อติดตั้ง :
ค่าสถานะทั้งหมดเพิ่มขึ้น 35 เปอเซ็นต์
ได้รับร่างเวทย์แห่งแสง ทำให้ร่างกายทางกายภาพและความสัมพันธ์กับมานาดีขึ้น 30 เปอเซ็นต์
สกิลพาสซีฟเพิ่มเติม 1
Mana Draw : ดึงมานาจากสภาพแวดล้อมเพื่อมาฟื้นฟูมานาของผู้ใช้ ผู้ใชะจะฟื้นฟูมานาได้ 1 เปอเซ็นต์ของมานาสูงสุดทุกๆ 5 วินาที
สกิลพาสซีฟเพิ่มเติม 2
Mana Heart : เอฟเฟคของเวทย์ทั้งหมดเพิ่มขึ้น 30 เปอเซ็นต์ เวลาในการร่ายลดลง 25 เปอเซ็นต์ อัตราความสำเร็จในการใช้สกิลเวทย์เพิ่มขึ้น 5 เปอเซ็นต์
สกิลใช้งานเพิ่มเติม
Mana Recharge : เพิ่มเอฟเฟคเวทย์ทั้งหมดขึ้นหนึ่งขั้น (สูงสุดที่ขั้น 5) เป็นเวลา 12 วินาที คูลดาวน์ : 3 ชั่วโมง
[แบบแปลนเซ็ทอุปกรณ์ปีศาจแห่งความมืด] (ระดับดาร์คโกล)
เซ็ทเลเวล 110-125 เซ็ทหกชิ้น :
ถุงมือปีศาจแห่งความมืด
เกราะปีศาจแห่งความมืด
หมวกปีศาจแห่งความมืด
เกราะขาปีศาจแห่งความมืด
รองเท้าปีศาจแห่งความมืด
เกราะแขนปีศาจแห่งความมืด
ข้อจำกัดอาชีพ : สายเกราะ
ตั้งค่าเอฟเฟค :
เอฟเฟคเมื่อสวมใส่ครบสี่ชิ้น : เพิ่มค่าสถานะหลัก 10 เปอเซ็นต์ และเพิ่มอัตราความสำเร็จของสกิลทั้งหมด 3 เปอเซ็นต์
เอฟเฟคเมื่อสวมใส่ครบหกชิ้น : ทำให้ร่างกายทางกายภาพดีขึ้น 20 เปอเซ็นต์ และอัพเกรดเกราะกายภาพให้เป็นเกราะเวทย์มนต์
เมื่อพวกเขาเห็นรายละเอียดของไอเทมต่างๆทั้งสมาชิกของสภาสิบแปดปีก และสมาชิกของกองกำลังนรกก็ล้วนเต็มปด้วยความตกตะลึง
“นี่ไอเทมที่มาจากหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอมันจะไม่ดีเกินไปหน่อยงั้นหรอ ?”
“มันยิ่งกว่าคำว่าดีซะอีก !!! หากแอสซาซินได้ใช้เซ็ทอาวุธระดับอีปิคนี้ พลังโจมตีของพวกเขาไม่เพียงแต่จะทะลุโลกไปเลยเท่านั้น แต่พวกเขายังสามารถซุ่มโจมตีผู้เล่นคนอื่นได้โดยไม่ถูกตรวจพบด้วย !!!”
“กริชทั้งสองนี้มันน่าประทับใจอย่างแท้จริง แต่มันก็จัดเป็นขยะไปเลย เมื่อเทียบกับสร้อยคอสำหรับนักเวทย์ หากฉันมีสร้อยคอนี้ ฉันคิดว่า ฉันจะสามารถท้าทายเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ได้เลย เมื่อไปถึงเวลที่กำหนดแล้ว”
“เอฟเฟคของเซ็ทระดับดาร์คโกลนี่มันก็น่าเหลือเชื่อมากพอๆกัน เอฟเฟคเมื่อสวมใส่ครบหกชิ้นนั้นมันจะช่วยแปลงเกราะกายภาพเป็นเกราะเวทย์มนต์ได้เลย ซึ่งมันจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีช่วงเวลาที่ยากลำบากมากๆในการจะสร้างความเสียหายให้กับผู้สวมใส่เซ็ทนี้ หากทั้งทีมสามารถสวมใส่เซ็ทปีศาจแห่งความมืดได้ ทีมจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเทียบได้เลย”
สมาชิกของกองกำลังนรกทุกคนนั้นแทบน้ำลายไหล เมื่อพวกเขาได้เห็นไอเทม พวกเขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าสภาสิบแปดปีกจะได้รับไอเทมที่น่าทึ่งแบบนี้ ไม่เพียงแต่ซือเฟิงนั้นจะได้รับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานมา แต่เขายังได้รับเซ็ทอาวุธระดับอีปิค และแบบแปลนเซ็ทอุปกรณ์ปีศาจแห่งความมืดมาด้วย
เฮลรัชนั้นรู้สึกิจฉาอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาเห็นข้อมูลของเซ็ทอุปกรณ์ปีศาจแห่งความมืด มันจัดเป็นอุปกรณ์ระดับเทพสำหรับสายเกราะเลย ชั่วครู่หนึ่งนี่มันทำให้เขาลืมเรื่องมรดกของเทพปีศาจไปเลย
เกราะเวทย์มนต์นั้นมีความใกล้เคียงมากที่สุดกับเกราะศักสิทธิ์ ไม่เพียงแต่มันจะช่วยลดความเสียหายจากการโจมตีแบบไม่เจาะเกราะในขั้นเดียวกันลงได้ถึง 30 เปอเซ็นต์ แต่มันยังจะช่วยลดค่าความเสียหายเวทย์มนต์ที่จะได้รับลงด้วย และเอฟเฟคทั้งหมดนี้ก็จะเพิ่มเป็นสองเท่าหากเผชิญหน้ากับการโจมตีที่อยู่ขั้นต่ำกว่า พูดง่ายๆก็คือนี่มันเป็นเซ็ทที่สายเกราะทุกคนนั้นล้วนใฝ่ฝันจะได้รับ
หากเขาสามารถทำให้กองกำลังนรกได้สวทใส่เซ็ทอุปกรณ์ปีศาจแห่งความมืดได้ พวกเขาก็จะกลายเป็นกองกำลังที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้เลยในสนามรบ แม้จะต้องเผชิญหน้ากับผู้มีมรดกของเทพปีศาจก็ตาม เพราะท้ายที่สุดแล้วนั้นผลของมรดกจะเห็นได้ชัดในตอนที่ผู้เล่นไปถึงเลเวล และขั้นที่สูงกว่านี้ ซึ่งตรงกันข้ามกับเซ็ทอุปกรณ์ปีศาจแห่งความมืดที่เมื่อผู้เล่นสวมใส่มันก็จะเห็นผลลัพธ์ได้ทันที
หลังจากได้เห็นไอเทมทั้งหมดนี้ เฮลรัชนั้นก็มั่นใจเลยว่าซือเฟิงไม่ได้ขาดทุนจากการทำแบบนี้
ซือเฟิงอาจสูญเสียโอกาสที่จะได้รับมรดก แต่ด้วยไอเทมเหล่านี้เขาจะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับกองกำลังหลักของสภาสิบแปดปีกได้ ซึ่งพวกมันจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง เมื่อสภาสิบแปดปีกบุกโจมตีดันเจี้ยนขนาดใหญ่พิเศษ
“หัวหน้ากิล หัวหน้าหุนหันพลันแล่นเกินไปแล้ว …. หัวหน้าไม่ควรแชร์ข้อมูลนี้นะ ตอนนี้มันคงอีกไม่นานก่อนที่มหาอำนาจต่างๆจะค้นพบไอเทมเหล่านี้ และพวกเขาบางคนจะต้องพยายามขโมยมันไปจากเราแน่นอน โดยเฉพาะกับจี้เวทย์แห่งแสง และฉันก็กลัวว่าเผลอๆแล้วผู้เชี่ยวชาญนักเวทย์ของมหาอำนาจอื่นๆจะทำทุกอย่างเพื่อแย่งชิงมันไปจากเรา …” อควาโรสดุ เธอนั้นรู้สึกโกรธเล็กน้อยที่ซือเฟิงเลือกจะแชร์ข้อมูลนี้ให้สมาชิกของกองกำลังนรกดูด้วย
เธอตระหนักดีว่า ซือเฟิงนั้นต้องการสร้างความมั่นใจว่าสภาสิบแปดปีกไม่ได้รับความทุกข์ใดๆจากเรื่องที่ซือเฟิงทำ แต่การเปิดเผยเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานแบบจี้เวทย์แห่งแสงออกมา มันก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดเลย
“มันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่ ถ้าพวกเขาจะรู้ …. นอกจากนี้ยังไงซะพวกที่ไม่เป็นมิตรกับเราก็จะต้องรู้แน่ว่าเราได้ไอเทมที่ทรงพลังมา แม้ว่าเราจะไม่พูดอะไรก็ตาม เพราะท้ายที่สุดฉันพึ่งจะเปิดหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอไปนะ ดังนั้นแทนที่จะปล่อยให้พวกเขาเดาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าและกำหนดเป้าหมายมาที่เราแบบลับ สู้ปล่อยให้พวกเขารู้ทุกอย่างไปเลยดีกว่า ด้วยวิธีนี้เราจะสามารถลดความเสี่ยงได้” ซือเฟิง
กล่าวพลางหัวเราะเบาๆ “เอาล่ะ มันก็ถึงเวลาที่เราต้องกลับกันแล้ว”
การปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับไอเทมที่เขาได้รับมานั้นมันจะไม่มีปัญหาใดๆเลย หากกองกำลังนรกไม่ได้เฝ้ามองตอนเขาเปิดหีบสมบัติระดับตำนานที่อ่อนแอ แต่อย่างไรก็ตามกองกำลังนรกนั้นได้เห็นทุกอย่าง ดังนั้นการจะปกปิดจากพวกเขามันจึงเป็นไปไม่ได้
อีกทั้งเขาเลือกจะเปิดเผยรายละเอียดของไอเทมพวกนี้ออกมาก็เพราะต้องการจะยกระดับชื่อเสียงของสภาสิบแปดปีกมากกว่ายอมปล่อยให้มหาอำนาจต่างๆตามล่ากิลจากในเงามืดเพื่อค้นหาสิ่งที่เขาได้รับมา อาวุธและอุปกรณ์ชั้นยอดนั้นจัดเป็นประเด็นร้อนในหมู่ผู้เล่นเสมอ เมื่อสาธารณชนได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาก็จะได้รู้เกี่ยวกับกิลที่มีชื่อว่า สภาสิบแปดปีก
แถมที่เขาเปิดเผยข้อมูลของไอเทมเหล่านี้ออกมานั้นก็เพราะเขาต้องการจะเบี่ยงเบนความสนใจของกองกำลังนรก และซ่อนคริสตัลชิ้นหนึ่งไว้ด้วย ซึ่งคริสตัลชิ้นนี้เพียงชิ้นเดียวก็มีค่ามากกว่าของอื่นๆรวมกันซะอีก
แม้แต่ NPC ขั้นสูงก็ยังจะต้องพยายามแย่งชิงคริสตัลนี้ไปจากเขาแน่นอน หากค้นพบว่าเขามีคริสตัลนี้ และเขาก็จะไม่แปลกใจเลยถ้าคริสตัลนี้ทำให้เขาโดนโจมตีในเมือง NPC
คริสตัลนี้นั้นคือหัวใจเทพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่าไอเทมระดับตำนานด้วยซ้ำ และคริสตัลชิ้นเล็กๆชิ้นนี้มันก็เพียงพอจะสร้างความโกลาหลไปทั่ว God domain แล้ว
ซือเฟิงนั้นยังไม่กล้าที่จะใช้สกิลตรวจสอบกับคริสตัลนี้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงการนำมันออกมาจากกระเป๋า เพราะท้ายที่สุดแล้วถ้าคริสตัลนี้ทำให้เกิดความปั่นป่วน และทำให้เขาตายจนคริสตัลนี้ดรอปออกมา เขาคงจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
ด้วยเหตุนี้ซือเฟิงจึงได้ดึงม้วนคัมภีร์วาร์ปกลับเมืองออกมาจากกระเป๋าของเขา และเทเลพอร์ตกลับไปยังป้อมปราการแสงดาวทันที ตอนนี้เขาอยู่ในสุสานดาวมานาพอสมควรแล้ว
ตอนที่ 2497
ความเปลี่ยนแปลงที่ป้อมปราการแสงดาว
หุบเขาดาว ป้อมปราการแสงดาว :
ขณะที่ซือเฟิงและคนอื่นๆกลับมาที่ป้อมปราการแสงดาว ฉากที่หน้าประหลาดใจนั้นก็ตรงเข้ามาทักทายพวกเขา
ตอนนี้มันมีผู้เล่นอัดแน่นเต็มไปหมดในป้อมปราการแสงดาวที่ก่อนหน้านี้ไม่เป็นที่นิยม ขณะที่ผู้เล่นบางคนนั้นก็ยังมีเลเวลไม่ถึงหนึ่งร้อยด้วยซ้ำ ผู้เล่นเหล่านี้นั้นเข้ามาตั้งแผงขายของตามถนนของป้อมปราการโดยพวกเขาทำการขายโพชั่น และอุปกรณ์เพิ่มค่าความต้านทานทุกชนิด ขณะที่บางส่วนก็ขายอาวุธและอุปกรณ์ระดับลึกลับขั้นเงิน เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยด้วย ความเจริญรุ่งเรืองดังกล่าวนั้นมันทำให้เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการเลยว่าป้อมปราการแสงดาวนั้นเป็นเพียงป้อมปราการขนาดเล็กที่พึ่งจะเปิดได้ไม่ถึงสัปดาห์ ตอนนี้มันดูเหมือนกับป้อมปราการขนาดกลางทั่วไปที่เปิดให้สาธารณชนเข้าชมมานานแล้ว
“ทำไมถึงมีผู้เล่นมากมายที่นี่กัน ?” ธันเดอร์บีสต์นั้นเต็มไปด้วยความสับสน และตกตะลึง ขณะที่เขามองไปยังถนนที่เต็มไปด้วยความแออัด
เขานั้นจำได้ว่ามันมีผู้เล่นอยู่จำนวนไม่มากนักในป้อมปราการแสงดาว นอกเหนือจากคนของเผ่าศักสิทธิ์ และคนของจักรวรรดิโลกใต้พิภพในตอนก่อนที่เขาจะออกเดินทาง เพราะท้ายที่สุดแล้วค่าเข้าสู่ป้อมปราการ และค่าใช้จ่ายทั้งหมดภายในป้อมนั้นมันสูงมากเกินไป และการที่ต้องการจะอยู่ในป้อมปราการแสงดาวเพิ่มพิเศษอีกหนึ่งวัน ผู้เล่นก็จะต้องจ่ายด้วยคริสตัลเวทย์มนต์หนึ่งชิ้นต่อวันเลย แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญอย่างเขาก็แทบจะไม่สามารถทนต่อราคาที่สูงขนาดนี้ได้ ไม่ต้องพูดถึงผู้เล่นทั่วไปเลย
ด้วยวิธีที่ซือเฟิงใช้จัดการกับป้อมปราการแสงดาวนั้น ธันเดอร์บีสต์คิดว่าชายคนนี้จะโชคดีมากแล้ว หากเขามีรายได้มากเพียงพอที่จะสนับสนุนการดำเนินงานประจำวันของป้อมปราการ
แต่มันตรงกันข้ามกับความคิดของเขา ตอนนี้ป้อมปราการแสงดาวกับเต็มไปด้วยความมั่งคั่งซึ่งส่วนใหญ่นั้นมันก็มาในรูปแบบของคริสตัลเวทย์มนต์ ป้อมปราการนี้นั้นเกือบจะทำกำไรได้มากกว่าเส้นเลือดแร่เกรดสามด้วยซ้ำ
สถาการณ์นี้ก็ทำให้เฮลรัชตกตะลึงเช่นกัน
แม้ว่าศาลเจ้าของเทพปีศาจจะดึงดูดผู้เล่นเข้ามาที่หุบเขาดาวไม่น้อย แต่ป้อมปราการแสงดาวนั้นก็ไม่ควรจะสามารถพัฒนาไปได้เร็วขนาดนี้ มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ? เฮลรัชเฝ้ามองผู้เล่นที่เดินไปตามท้องถนนของป้อมปราการด้วยความสับสน
เขานั้นคาดไว้อยู่แล้วว่าป้อมปราการแสงดาวจะกลายเป็นที่นิยมแน่นอนในหุบเขาดาว อันเนื่องมาจากมรดกของเทพปีศาจ เพราะท้ายที่สุดแล้วมันมีมหาอำนาจในทวีปด้านตะวันตกแค่ไม่กี่กลุ่มหรอกที่จะสามารถต้านทานสิ่งล่อลวงนี้ได้ และหากต้องการจะได้รับมรดกของเทพปีศาจ พวกเขาก็จำเป็นจะต้องมาใช้เวลาอยู่ในพื้นที่
ซึ่งมันก็ไม่สามารถปฎิเสธได้เลยป้อมปราการแสงดาวนั้นเป็นจุดพักผ่อนที่ดีที่สุดในหุบเขาดาว แม้ว่าค่าครองชีพที่นี่จะสูงอย่างมาก แต่มันก็จัดว่าถูกไปเลยเมื่อเทียบกับมรดกของเทพปีศาจ
อย่างไรก็ตามผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังจากการประกาศของระบบ มันมีผู้เล่นจำนวนมากมารวมตัวกันภายในป้อมปราการในเวลาไม่ถึงสามสิบนาทีได้ยังไง ?
“ผู้บัญชาการ ฉันคิดว่ามานาที่นี่นั้นเปลี่ยนไป ตั้งแต่เรากลับมาถึงความสัมพันธ์ของฉันกับมานาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก” Elementalist ขั้นสามกล่าวบอกกับเฮลรัช “ฉันสัมผัสได้ถึงองค์ประกอบธาตุชั้นยอดสามธาตุโดยรอบของป้อมปราการ …”
“องค์ประกอบธาตุชั้นยอดสามธาตุ ? นี่มันหมายความว่าสภาพแวดล้อมในป้อมปรากรสามารถเทียบได้กับสมัยโบราณงั้นหรอ …?” เฮลรัชนั้นอดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อเขาได้ยินคำพูดของ Elementalist ขั้นสาม
ผู้เล่นทั่วไปนั้นอาจไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในสมัยโบราณหรือผลกระทบที่มีต่อผู้เล่นมากนัก แต่ในฐานะของผู้บัญชาการกองกำลังนรกเขามีข้อมูลและความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างดี หากสภาพแวดล้อมภายในป้อมปราการแสงดาวนี้เหมือนกับในสมัยโบราณ ผู้เล่นที่อยู่ในป้อมปราการก็จะมีช่วงเวลาที่ง่ายขึ้นมากในการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตน ร่างมานาของผู้เล่นทุกคนนั้นประกอบไปด้วยองค์ประกอบธาตุทั้งเจ็ด และภายในสภาพแวดล้อมที่ขาดองค์ประกอบธาตุชั้นยอดสามธาตุนั้น การจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาสักร่างหนึ่งมันก็ทำได้ยากมากๆ
“หัวหน้ากิล หัวหน้าทำอะไรกัน ? ตอนนี้มันมีผู้เล่นมากมายแล้ว และรายได้ต่อวันของเราก็น่าจะคิดเป็นคริสตัลเวทย์มนต์มากกว่าสองแสนชิ้นแล้ว !!!” อควาโรสถามซือเฟิง เมื่อเธอเห็นถนนที่แออัด “ซึ่งด้วยคริสตัลเวทย์มนต์จำนวนมากมายขนาดนี้ เราจะไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการผลิตเซ็ทอุปกรณ์ปีศาจแห่งความมืดเลย”
การผลิตเซ็ทอุปกรณ์ปีศาจแห่งความมืดนั้นไม่เพียงแต่จะต้องใช้วัสดุหายากจำนวนมาก แต่มันยังต้องใช้คริสตัลเวทย์มนต์จำนวนมากด้วย และการจะผลิตเซ็ทอุปกรณ์ปีศาจแห่งความมืดให้ได้สักหนึ่งเซ็ทนั้นมันก็ต้องใช้คริสตัลเวทย์มนต์ถึงหนึ่งหมื่นชิ้นแล้ว และนี่ยังไม่นับรวมวัสดุหายากอื่นๆที่สามารถซื้อได้ด้วยคริสตัลเวทย์มนต์เท่านั้น โดยรวมแล้วการผลิตเซ็ทอุปกรณ์ปีศาจแห่งความมืดหนึ่งเซ็ทนั้นนั้นจะมีราคาเป็นคริสตัลเวทย์มนต์อย่างน้อยสองหมื่นชิ้นเลย ซึ่งแม้แต่มหาอำนาจทั่วไปก็ยังยากจะจ่ายต้นทุนการผลิตที่สูงแบบนี้ได้
สภาสิบแปดปีกได้ใช้คริสตัลเวทย์มนต์ไปเกือบหมดแล้วเพื่อจัดซื้อวัสดุจากเผ่าศักสิทธิ์ และในการยึดป้อมปราการแสงดาว ซึ่งตอนนี้มันทำให้พวกเขาเหลือคริสตัลเวทย์มนต์อยู่ในมือไม่มากเท่าไหร่แล้ว และการใช้มันเพื่อพัฒนาป้อมปราการแสงดาวก็นับว่าเป็นเรื่องท้าทายมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการผลิตเซ็ทอุปกรณ์ปีศาจแห่งความมืดเลย
ป้อมปราการแสงดาวนั้นมันทำงานเป็นเหมือนกับเครื่องจักรขนาดยักษ์ที่กลืนกินคริสตัลเวทย์มนต์อย่างไม่ลดละ เพียงแค่ทำให้วงเวทย์ของป้อมปราการทำงานอยู่ได้มันก็คิดเป็นค่าใช้จ่ายมหาศาลแล้ว นี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของหอคอยอัญเชิญ และคุกป้อมปราการเลย
โดยรวมแล้วการดำเนินงานของป้อมปราการแสงดาวนั้นจะคิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อวันอย่างน้อยอยู่ที่คริสตัลเวทย์มนต์สามหมื่นชิ้น สภาสิบแปดปีกนั้นถูกบังคับให้ต้องยืมคริสตัลเวทย์มนต์จากเผ่าศักสิทธิ์เพื่อรักษาป้อมปราการด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามตอนนี้จำนวนผู้เล่นของป้อมปราการแสงดาวนั้นกับทะลุสองแสนคนไปแล้ว ซึ่งนี่มันจะทำให้พวกเขามีรายได้ขั้นต่ำเป็นคริสตัลเวทย์มนต์สองแสนชิ้นต่อวันเลย และแม้จะหักค่าใช้จ่ายต่างๆรวมทั้งค่าดำเนินการที่จำเป็นของป้อมปราการทั้งหมดแล้ว สภาสิบแปดปีกก็จะยังคงมีกำไรเป็นคริสตัลเวทย์มนต์มากกว่าหนึ่งแสนชิ้นต่อวัน
กำไรเป็นคริสตัลเวทย์มนต์มากกว่าหนึ่งแสนชิ้นต่อวัน !!!
สภาสิบแปดปีกนั้นไม่สามารถจะได้รับคริสตัลเวทย์มนต์จำนวนมากขนาดนี้ต่อวันได้เลย ผ่านเมืองป่าหิน เมืองสภาสิบแปดปีก เมืองอื่นๆ และรวมไปถึงเส้นเลือดแร่ที่พวกเขาครอบครองรวมกัน
“ฉันยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยนี่ เพียงแค่ผู้เล่นเริ่มรับรู้ถึงหลายเรื่องมากขึ้นก็เท่านั้น” ซือเฟิงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆให้กับความตื่นเต้นของอควาโรส
ป้อมปราการแสงดาวนั้นเป็นป้อมปราการโบราณ เมื่อเปิดให้สาธารณชนเข้าชมนั้นมันจะค่อยๆดึงดูดองค์ประกอบธาตุชั้นยอดสามธาตุจากสภาพแวดล้อมเข้ามาเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมดั้งเดิมขึ้นมาใหม่ อย่างไรก็ตามนี่เป็นกระบวนการที่ยาวนานและยากลำบากมากๆ มันยังคงต้องใช้เวลาพอสมควรก่อนที่ป้อมปราการจะมีสภาพแวดล้อมที่เทียบได้กับในสมัยโบราณ ถึงกระนั้นคุณลักษณะนี้มันก็มีค่ามากสำหรับผู้เล่นของ God domain
สภาพแวดล้อมนี้ไม่เพียงแต่จะมีประโยชน์สำหรับผู้เล่นที่พยายามจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตน แต่มันยังจะช่วยเป็นบันไดให้ผู้เล่นปีนข้ามขั้นได้ง่ายขึ้น
ในขณะที่ผู้เล่นไปถึงขั้นที่สูงขึ้น พวกเขาก็จะต้องมีความเข้าใจขั้นพื้นฐาน และการควบคุมองค์ประกอบธาตุทั้งเจ็ดเพิ่มขึ้น หากทั้งสองอย่างนี้ของพวกเขาย่ำแย่ พวกเขาจะอ่อนแอกว่าคนอื่นๆในขั้นเดียวกันมาก
สำหรับเรื่องเซ็ทอุปกรณ์ปีศาจแห่งความมืด เขาเองก็เคยรู้สึกปวดหัวกับเรื่องนี้เช่นกัน
การผลิตพวกมันไม่กี่เซ็ทนั้นจะไม่เป็นปัญหามากนัก อย่างไรก็ตามการผลิตพวกมันให้ได้จำนวนมากๆนั้นจำเป็นจะต้องใช้คริสตัลเวทย์มนต์จำนวนมหาศาล ซึ่งมันก็มหาศาลมากพอที่จะทำให้มหาอำนาจทั่วไปบางกลุ่มหน้าซีดได้เลย
โชคดีที่ป้อมปราการแสงดาวนั้นพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่ ซึ่งหากมันไม่ได้เป็นแบบนี้ เขาก็คงจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเก็บแบบแปลนนี้ไว้ก่อนเท่านั้น
อย่างไรก็ตามตอนนี้แม้ว่าจะแก้ปัญหาเรื่องวัสดุได้ แต่เขาก็ยังต้องการกำลังคนอยู่ดี เขาไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้ทั้งหมด เขาต้องการปรมาจารย์ช่างตีเหล็กขั้นสูงอีกอย่างน้อยสองคนเพื่อให้แน่ใจว่าอัตราความสำเร็จในการผลิตมันจะเป็นที่น่าพอใจ เมื่อทำการผลิตเซ็ทอุปกรณ์ปีศาจแห่งความมืด เพราะท้ายที่สุดแค่ต้นทุนแห่งความล้มเหลวมันก็มากพอจะทำให้กิลชั้นสูงล้มละลายได้เลย
ทันใดนั้นทีมผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดที่มีเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยหก ซึ่งนำโดยหญิงสาวสวยคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาซือเฟิง โดยหญิงสาวสวยคนนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฟิธาเลีย ผู้บัญชาการกองกำลังดีไวน์ไฮม์
น่าแปลกใจที่ฟิธาเลียนั้นดูเหมือนจะสูญเสียเลเวลไป เพราะเลเวลของเธอตกลงไปอยู่ที่หนึ่งร้อยหก และมันก็มีออร่าแห่งความตายล้อมรอบเธอที่แสดงให้เห็นว่าเธออยู่ในสถานะอ่อนแออย่างชัดเจน
เรื่องนี้ทำให้ซือเฟิงและคนอื่นๆตกตะลึง
“ในที่สุดฉันก็ได้พบคุณ หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม” ฟิธาเลียพูดด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“มีอะไรเกิดขึ้น ?” ซือเฟิงถาม
การสื่อสารระหว่างผู้ที่อยู่ในสุสานดาวกับโลกภายนอกนั้นมันถูกตัดขาด และหากผู้เล่นต้องการจะติดต่อกัน พวกเขาก็จะต้องทำด้วยวิธีออฟไลน์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ซือเฟิงก็ไม่ได้รู้สักกังวลใดๆเรื่องของป้อมปราการ เพราะมันมีกองกำลังของเผ่าศักสิทธิ์กับมังกรเงินศักสิทธิ์คอยปกป้องอยู่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้ทิ้งผู้เชี่ยวชาญของกิลเขา แม้แต่คนเดียวไว้ที่ป้อมปราการ
“ผู้เล่นของไมโทโลจี้ได้มาที่นี่ พวกเขาไม่เพียงแต่จะเรียกร้องให้เผ่าศักสิทธิ์ส่งมอบสถานที่พักกิลชั่วคราวให้พวกเขา แต่พวกเขายังเรียกร้องให้สภาสิบแปดปีกยอมมอบหุ้นห้าสิบเอ็ดเปอเซ็นต์ของป้อมปราการแสงดาวให้พวกเขาด้วย” ฟิธาเลียกล่าว
“แล้วเรื่องเลเวลของคุณล่ะ ?” ซือเฟิงนั้นไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ซุเปอร์กิลอย่างไมโทโลจี้จะตั้งเป้ามาที่ป้อมปราการแสงดาว แต่อย่างไรก็ตามเขาประหลาดใจเรื่องที่เห็นว่าฟิธาเลียสูญเสียเลเวลไป
“มันไม่มีอะไรมากหรอก ฉันแค่ต่อสู้กับคนของไมโทโลจี้และพ่ายแพ้น่ะ …” ฟิธาเลียอธิบาย “นี่คือสิ่งที่ฉันอยากจะคุญกับคุณ ฉันไม่รู้ว่าสมาชิกของไมโทโลจี้นั้นได้รับพลังแบบไหนมา แต่พวกเขานั้สามารถจะปปกปิดออร่าของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้ในป้อมปราการ แต่มังกรศักศิทธิ์ก็ต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะค้นพบเรื่องนี้ ถ้าไมโทโลจี้ทำให้ป้อมปราการตกอยู่ในความโกลาหล ฉันกลัวว่า …”
“แม้แต่เธอก็เทียบกับพวกเขาไม่ได้งั้นหรอ ?” เฮลรัชตกตะลึง เมื่อได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุด
เฮลรัชนั้นรู้ดีว่าฟิธาเลียแข็งแกร่งแค่ไหน เธอนั้นแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเขาอย่างแน่นอน แม้แต่สัตว์ประหลาดเก่าแก่ของไมโทโลจี้ก็น่าจะยังมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการเอาชนะเธอ นี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเธอมักไปไหนมาไหนโดยมีองครักษ์ส่วนตัวที่เป็นผู้เล่นติดตามไปตลอด ตามเหตุผลแล้วมันไม่ควรจะมีคนที่สามารถฆ่าเธอได้เลย
“พวกเขามีวิธีปกปิดออร่าของพวกเขางั้นหรอ ?” ซือเฟิงตกอยู่ในห้วงความคิดลึกสักครู่
เขานั้นรู้วิธีมากมายในการปกปิดออร่าของคนๆหนึ่งใน God domain แต่มันไม่ควรจะมีวิธีใดเลยที่สามารถใช้ซ่อนตัวจากมังกรศักสิทธิ์ได้ในช่วงหนึ่ง
“คนของไมโทโลจี้ยังฝากฉันมาบอกคุณว่า พวกเขาจะปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง เมื่อศาลเจ้าของเทพปีศาจถูกเปิดขึ้น และหวังว่าสภาสิบแปดปีกจะพิจารณาคำขอของพวกเขาอย่างรอบคอบ หากสภาสิบแปดปีกปฎิเสธก็จะต้องรับผลที่ตามมา”
ฟิธาเลียนั้นปวดหัวอย่างมากกับสถานการณ์นี้ กลุ่มผู้เล่นที่ไมโทโลจี้ส่งเข้ามายังป้อมปราการนั้นทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ และพวกเขาก็สามารถปกปิดออร่าของพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์ หากการต่อสู้ระหว่างพวกเขาเกิดขึ้น ป้อมปราการแสงดาวก็จะได้รับความเสียหายไปด้วย
ตอนที่ 2498
หัวใจเทพ
เมื่อฟิธาเลียพูดจบนั้น ความเงียบก็เข้าปกคลุมไปทั่วในหมู่พวกเขา เฮลรัชนั้นขมวดคิ้วเมื่อได้ยินข่าวนี้
“ไมโทโลจี้นั้นหยิ่งผยองเกินไปแล้ว !!! นี่พวกเขาไม่เห็นจักรวรรดิโลกใต้พิภพอยู่ในสายตาเลยงั้นหรอ ?!!” ธันเดอร์บีสต์ที่สูงเกือบสามเมตรกล่าวออกมาด้วยความโกรธ
นี่มันน่าโมโหอย่างมาก !!!
ไม่เพียงแต่ไมโทโลจี้ประกาศจะรีดไถสภาสิบแปดปีก แต่พวกเขายังดูเหมือนจะทำแบบไม่เห็นจักรวรรดิโลกใต้พิภพอยู่ในสายตาด้วย
สาธารณชนนั้นได้เรียนรู้มานานแล้วเกี่ยวกับการเป็นหุ้นส่วนของจักรวรรดิโลกใต้พิภพกับป้อมปราการแสงดาว และมหาอำนาจในทวีปด้านตะวันตกทุกกลุ่มก็รู้เรื่องนี้ แน่นอนว่าไม่มีทางที่ซุเปอร์กิลอย่างไมโทโลจี้จะไม่รู้เรื่องนี้
แต่ถึงกระนั้นไมโทโลจี้กับเรียกร้องหุ้นถึงห้าสิบเอ็ดเปอเซ็นต์ของป้อมปราการแสงดาว ซึ่งแม้แต่จักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้นก็ยังไม่มีส่วนแบ่งให้หุ้นเลย ซึ่งการกระทำแบบนี้ของไมโทโลจี้นั้นมันก็เท่ากับว่าพวกเขาประกาศตัวเองว่าทรงพลัง และมีความสำคัญเหนือกว่าจักรวรรดิโลกใต้พิภพ
“ฟิธาเลีย คุณรู้ไหมว่าไหมว่าใครเป็นหัวหน้าทีมของไมโทโลจี้ ?” เฮลรัชถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ดูเหมือนว่ามันจะนานมากแล้ว ตั้งแต่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเรากับไมโทโลจี้ และมันดูเหมือนว่าคนของไมโทโลจี้จะลืมเรื่องของกองกำลังนรกไปแล้ว !!!”
อุณภูมิในพื้นที่รอบๆที่พวกเขาพูดคุยกันนั้นลดลงทันที เมื่อเฮลรัชพูดขึ้น มานาโดยรอบนั้นเริ่มแข็งตัวราวกับมันมีปฎิกิริยาต่ออารมณ์ของเขา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการควบคุมมานาของเฮลรัชนั้นจัดว่าดีในระดับหนึ่งแล้ว
“ผู้บัญชาการรัช คุณจะต้องไม่ผลีผลาม คนเหล่านี้นั้นอยู่ในทีมที่ตั้งขึ้นใหม่จากไมโทโลจี้ หัวหน้าทีมของพวกเขาเป็นชายหนุ่มผมสีเงิน และเขาดูเหมือนจะอายุแค่ประมาณยี่สิบสองถึงยี่สิบสามเท่านั้น แถมเขาก็ได้เข้าแทนที่เทรมบิ้งแฮนด์ ในฐานะรองผู้บัญชาการของกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของไมโทโลจี้แล้ว และเพื่อนร่วมทีมของเขาทุกคนนั้นก็มีอายุไล่เลี่ยกัน แต่พวกเขากับแข็งแกร่งมากอย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่แอสซาซินที่แข็งแกร่งที่สุดในทีมของเราก็ยังเร็งไม่เท่าพวกเขาเลย พวกเขานั้นเคลื่อนไหวเหมือนกับภูติผี และตอนที่พวกเขามาปรากฎตัวขึ้นข้างหลังฉัน ฉันก็ไม่ได้สังเกตเห็นการปรากฎตัวของพวกเขาเลย” ฟิธาเลียรีบอธิบายอย่างละเอียด เมื่อเธอรู้ว่าเฮลรัชนั้นต้องการจะจัดการกับคนของไมโทโลจี้พวกนี้ “ทีมของพวกเขาจะถูกจัดการลงได้ยากขึ้นไปอีกแน่นอน ถ้าอยู่ในแผนที่ล่า”
เธอเข้าใจถึงความโกรธของเฮลรัชดี แต่ทีมนี้นั้นมีผู้เล่นมากกว่าหนึ่งโหลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และพวกเขาทั้งหมดก็ล้วนมาและไปราวกับภูติผี หากกองกำลังนรกต่อสู้กับผู้เล่นเหล่านี้ในป้อมปราการแสงดาว พวเขาก็คงจะไม่มีปัญหาใดๆ แต่อย่างไรก็ตาม มันจะเป็นการวิ่งเข้าหาความตายของกองกำลังนรกแน่นอน หากออกไปล่าทีมๆนี้ในแผนที่ล่า
ด้วยภูมิประเทศที่ซับซ้อนในแผนที่ล่า การไม่สามารถสัมผัสได้ถึงคู่ต่อสู้ก็จะทำให้ตาบอดไปข้างหนึ่งแล้ว แม้ว่าเฮลรัชและคนอื่นๆจะแข็งแกร่ง แต่สมาชิกของไมโทโลจี้นั้นก็มีความรวดเร็วมากเป็นพิเศษ และการจะตรึงผู้เล่นสักคนของพวกเขาไว้ก็น่าจะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดห้าถึงหกคน เป็นอย่างน้อย ….
ซึ่งในทีมของไมโทโลจี้นั้นมีผู้เชี่ยวชาญแบบนี้มากกว่าหนึ่งโหล ….
เมื่อผู้เล่นเหล่านี้โจมตี ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดนับสิบคนภายใต้คำสั่งของเธอนั้นก็ไม่สามารถจะหยุดพวกเขาได้เลย สมาชิกของไมโทโลจี้เหล่านี้ได้เลือกจะตั้งเป้าไปที่ผู้เล่นคนเดียว ก่อนที่พวกเขาจะหนีไปเมื่อฆ่าผู้เล่นเป้าหมายได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะจินตนาการเลยว่าพวกเขาจะน่ากลัวแค่ไหนในแผนที่ล่า
“เขาเข้ามาแทนที่เทรมบิ้งแฮนด์ ? เป็นไปได้ยังไง ?” ธันเดอร์บีสต์ประหลาดใจ
เทรมบิ้งแฮนด์นั้นเป็นที่รู้จักกันในฐานะอัจฉริยะ นับตั้งแต่เขาเข้าร่วมโลกแห่งเกมเสมือนจริง และเขาก็ต่อสู้ในโลกเกมเสมือนจริงต่างๆมานานกว่าสิบปีแล้ว และเขาก็ได้มาถึงขอบเขตโดเมนแล้ว ซึ่งขอบเขตโดเมนที่เขามาถึงได้นั้นก็พอๆกับเฮลรัช และชายคนนี้ก็ยังอยู่ในช่วงอายุราวสามสิบเท่านั้น โดยตอนนี้เขาก็นับว่าอยู่ในช่วงสำคัญของตัวเอง และยังสามารถปรับปรุงไปได้อีกมาก
บรรดาพวกระดับสูงของมหาอำนาจต่างๆนั้นก็ล้วนเชื่อว่าเทรมบิ่งแฮนด์เป็นผู้เล่นที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะกลายเป็นผู้บัญชาการกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของไมโทโลจี้คนต่อไป แต่ตอนนี้เขากับต้องมาสูญเสียตำแหน่งรองผู้บัญชาการให้กับชายหนุ่มคนหนึ่ง ….
แม้แต่เฮลรัชก็ยังมีสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อได้ยินข่าวนี้ ….
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงกล้าจะพูดเรื่องบ้าๆแบบนี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้มีดีแค่คุยโวสินะ !!! ดวงตาของเฮลรัชหรี่ลง ในขณะที่เขากำลังคิดว่าเขาจะจัดการกับคนเหล่านี้อย่างไร
ถ้าสิ่งที่ฟิธาเลียพูดเป็นความจริง นี่จะนับเป็นปัญหาใหญ่เลยทีเดียว
มันมีสมาชิกเพียงไม่กี่คนของกองกำลังนรกเท่านั้นที่สามารถจะต่อสู้กับเทรมบิ้งแฮนด์ได้ และที่เหลือนั้นก็จะต่อกรกับคนๆนี้ได้ไม่นานนัก ในขณะเดียวกันชายหนุ่มที่ฟิธาเลียกล่าวถึงนั้นสามารถจะหลีกเลี่ยงการตรวจจับได้ และแข็งแกร่งยิ่งกว่าเทรมบิ้งแฮนด์ หากเป็นเช่นนี้จริงๆมันจะไม่มีสมาชิกของกองกำลังนรกคนใดที่สามารถรับมือกับชายหนุ่มผมสีเงินคนนี้ได้นานนัก
เว้นแต่ว่าเป้าหมายนั้นจะมีสกิลหรือเวทย์อมตะ แม้แต่เฮลรัชเองก็ยังไม่น่าจะสามารถรับมือกับชายหนุ่มคนนี้ได้เกินสามถึงสี่การเคลื่อนไหว ในขณะเดียวกันหากชายหนุ่มคนนี้ต้องการจะหลบหนี พวกเขาก็จะต้องการผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดอย่างน้อยยี่สิบคนเพื่อหยุดชายหนุ่ม และผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดทั้งหมดเหล่านี้ก็จะต้องไม่ละสายตาจากชายหนุ่มด้วย
“ผู้บัญชาการฟิธาเลีย คุณมีบันทึกการเข้าและออกป้อมปราการของพวกเขาไหม ?” ซือเฟิงถาม
“ไม่เลย และมันก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพึ่งปรากฎตัว และจากความสามารถของพวกเขา พวกเขาก็ไม่น่าจะมีปัญหาในการหนีออกผ่านประตูป้อมปราการไป และมันก็ไม่มีแม้แต่ NPC ขั้นสามที่จะสังเกตเห็นพวกเขา” ฟิธาเลียพูดพลางส่ายหัว
เผ่าศักสิทธิ์นั้นได้ส่งองครักษ์ส่วนตัวขั้นสามบางส่วนเข้ามาประจำการที่ประตูหน้าของป้อมปราการแสงดาว แต่เมื่อเธอตรวจสอบบันทึกของ NPC แล้ว มันกับไม่มีการกล่าวถึงผู้เล่นของไมโทโลจี้เลย มันราวกับว่าผู้เล่นเหล่านี้โผล่มาจากอากาศมที่ว่างเปล่า
การหยุดผู้เล่นเหล่านี้ไว้ที่ประตูหน้าของป้อมปราการนั้นมันเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ
“นี่มันน่าสนใจจริงๆ …” ซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“น่าสนใจ ?” ฟิธาเลียนั้นอดไม่ได้ที่จะกลอกตา เมื่อได้ยินคำพูดของซือเฟิง ครู่หนึ่งเธอแอบสงสัยว่าซือเฟิงนั้นเข้าใจถึงความรุนแรงของสถานการณ์ไหม
ด้วยความสามารถในการเข้าและออกป้อมปราการแสงดาวได้อย่างอิสระ มันจะไม่มีใครสามารถหยุดยั้งผู้เล่นเหล่านี้ไม่ให้ก่อความวุ่นวายในป้อมปราการแสงดาวได้
ป้อมปราการแสงดาวนั้นพึ่งจะถูกเปิดขึ้น หากเกิดความวุ่นวายและความโกลาหลขึ้นภายใน มันจะทำให้เกิดโศกนาฎกรรมต่อการพัฒนาของป้อมปราการแน่นอน มันไม่มีใครต้องการจะอยู่ในสถานที่ที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเกี่ยวข้องกับธุรกรรมทรัพยากรที่สำคัญ
“ใช่แล้ว ปล่อยที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของสภาสิบแปดปีกเอง แต่อย่างไรก็ตาม ฉันก็ยังคงจะต้องขอรบกวนคุณเกี่ยวกับเรื่องการรักษาความปลอดภัยประจำวันของป้อมปราการหน่อยแล้วกัน ผู้บัญชาการฟิธาเลีย ….” ซือเฟิงกล่าว ขณะที่เขาพยักหน้าอย่างมั่นใจ
หากสิ่งนี้เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะได้รับหัวใจเทพ ผู้เชี่ยวชาญที่เหมือนภูติผีเหล่านี้ก็จะทำให้เขาปวดหัวได้อย่างมากเลยทีเดียว ด้วยความสามารถแบบนี้ของผู้เล่นเหล่านี้ พวกเขานั้นก็สามารถที่จะปรากฎตัวขึ้นแบบสุ่มในป้อมปราการ และฆ่าผู้เล่นที่พวกเขาต้องการได้อย่างสบายๆเลย ซึ่งมันก็จะทำให้ซือเฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปล่อยคนเหล่านี้ไป
อย่างไรก็ตามตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว
ตอนนี้เขามีหัวใจเทพ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานนิรันดร์ที่เทียบได้กับดีไวน์อาติแฟคแล้ว
ไม่เพียงแต่เขาจะสามารถใช้หัวใจเทพในฐานะแกนพลังได้ แต่เขายังจะสามารถปลดปล่อยพลังงานนิรันดร์ที่มีอยู่ และใช้มันเพื่อเรียนรู้แนวคิดใหม่ๆได้ มันนับเป็นไอเทมที่ดีที่สุดเลย เมื่อพยายามจะทำความเข้าใจข้อมูลใหม่ๆ
พลังงานนิรันดร์นั้นเป็นพลังงานที่ทรงพลังยิ่งกว่ามานา และมันมีเพียงเหล่าเทพเท่านั้นที่สามารถจะใช้และรวบรวมพลังงานได้ ซึ่งแม้แต่เหล่าเทพก็ยังจะทำเรื่องนี้ได้ยากด้วยซ้ำ ….
เนื่องจากเหล่าเทพนั้นได้หายตัวออกไปจากทวีปหลักของ God domain นานแล้ว ดังนั้นพลังงานนิรันดร์จึงกลายเปป็นของหายากอย่างไม่น่าเชื่อใน God domain แม้แต่สำหรับ NPC ขั้นห้าที่จัดว่ายืนอยู่แทบจะสูงสุดใน God domain แล้ว ก็ยังพร้อมจะก่อสงครามกับพวกผู้เล่นขั้นหก ขอบเขตพระเจ้ากันเลย เพื่อแย่งชิงพลังงานนิรันดร์ที่เข้มข้นเพียงหนึ่งหยด
ในขณะเดียวกันหัวใจเทพในกระเป๋าของซือเฟิงนั้นเป็นรูปแบบที่ควบแน่นของพลังงานนิรันดร์ ซึ่งแม้แต่ใช้ความมั่งคั่งทั้งหมดที่จักรวรรดิๆหนึ่งมีก็ยังยากจะซื้อได้เลย
ในตอนแรก ซือเฟิงต้องการจะเรียนรู้เนื้อหาส่วนที่เหลือของคริสตัลความทรงจำ เมื่อเขากลับไปยังทวีปด้านตะวันออก และได้พบสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับใช้ศึกษาข้อมูล รากฐานของผู้เล่นขั้นสามนั้นคือร่างมานาของพวกเขา และการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาระดับอีปิคของเขาให้ได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์เท่านั้นจึงจะทำให้เขาสามารถแสดงความแข็งแกร่งออกมาได้อย่างเต็มที่ จากนั้นเขาก็สามารถจะไปสำรวจแผนที่ที่มีชิ้นส่วนที่เหลือของดาบโซโลมอนได้ ดังนั้นเขาจึงต้องการสถานที่ที่จะทำให้เขาได้รับประโยชน์สูงสุดจากคริสตัลความทรงจำของอีเลียดี้
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขามีหัวใจเทพแล้ว เขาจึงไม่จำเป็นจะต้องพยายามอย่างมากเพื่อค้นหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้เนื้อหาในคริสตัลความทรงจำอีกต่อไป
เมื่อพบว่ามีความเป็นส่วนตัวมากเพียงพอที่จะนำหัวใจเทพออกมาจากกระเป๋าโดยไม่ให้คนอื่นรู้ได้ เขาก็จะสามารถสร้างสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเขาที่สุดใน God domain ได้
ซึ่งก็โชคดีที่คฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองนั้นนับเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบ
จากนั้นซือเฟิงก็แยกทางกับฟิธาเลียและคนอื่นๆก่อนจะเดินปที่คฤหาสถ์
ฟิธาเลียนั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึง เมื่อเธอเห็นซือเฟิง และสมาชิกของสภาสิบแปดปีกเดินจากไป เธอนั้นไม่สามารถจะทำความเข้าใจกับความคิดของนักดาบได้เลย
ในช่วงเวลานี้ซือเฟิงกับเลือกจะตอบสนองแบบเดียวกับเฮลรัช โดยคิดจะจัดการกับผู้เล่นของไมโทโลจี้ ….
“ตอนนี้เราควรจะทำยังไงกันดี ผู้บัญชาการ ?” ชิลวอริเออร์ขั้นสามข้างๆฟิธาเลียถาม “ผู้เล่นของไมโทโลจี้เหล่านั้นได้สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้เล่นพ่อค้ามากมาย ถ้าคนเหล่านั้นก่อเรื่องอีก ฉันกลัวว่าเราจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อีกต่อไปนะ …”
“ลืมมันไปแล้วกัน ฉันไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว ให้คนของไมโทโลจี้ทำทุกอย่างตามที่พวกเขาต้องการไปก่อน เมื่อสภาสิบแปดปีกรู้ว่าสถานการณ์รุนแรงแค่ไหน เราก็ค่อยมาทำการควบคุมผู้เล่นของไมโทโลจี้เหล่านั้น เพราะเมื่อสามกิลทำงานร่วมกัน เราทำได้แน่” ฟิธาเลียกล่าวพลางขมวดคิ้ว เธอนั้นได้เรียนรู้แล้วว่าการพยายามห้ามซือเฟิงจากการทำอะไรบ้าๆนั้นมันเป็นการเสียเวลา เธอจึงคิดอยากจะลองปล่อยให้เขาจัดการตามที่เขาต้องการ เพราะถ้าเขาล้มเหลว เขาก็จะกลับมาหาเผ่าศักสิทธิ์เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกันเอง
“อย่าพึ่งมองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้น ผู้บัญชาการฟิธาเลีย ใครจะรู้กัน ? บางทีหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมอาจแสดงให้คนของไมโทโลจี้เห็นได้สำเร็จก็ได้ว่าใครกันคือผู้ปกครองที่แท้จริงของที่นี่ ความแข็งแกร่งของสภาสิบแปดปีกนั้นเป็นของจริง แม้ว่าผู้เล่นของสภาสิบแปดปีกจะไม่สามารถหยุดผู้เชี่ยวชาญของไมโทโลจี้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่พวกเขาก็ไม่น่าจะปล่อยให้คนเหล่านั้นทำอะไรได้ง่ายๆแน่นอน” เฮลรัชกล่าวอย่างพยายามจะปลอบใจฟิธาเลีย
เฮลรัชนั้นไม่คิดว่าสภาสิบแปดปีกจะมีพลังมากเพียงพอจะกำจัดทีมนี้ของไมโทโลจี้ออกไปได้ด้วยตัวเองเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามด้วยผู้เชี่ยวชาญอย่างไฟเออร์แดนซ์ และคนอื่นๆ พวกเขาก็ควรจะทำให้ทีมของไมโทโลจี้ปวดหัวได้อย่างมากแน่นอน หากคิดจะก่อปัญหา
ตอนนี้ก็แค่รอดูกันว่าใครจะทนได้นานกว่ากัน
ในขณะที่ฟิธาเลียและเฮลรัชพูดคุยกัน ซือเฟิงก็ได้มาถึงห้องหลักของคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครอง และเขาก็ได้ใช้โทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการเพื่อเปิดใช้งานวงเวทย์ป้องกันของห้องก่อนที่เขาจะดึงหัวใจเทพที่แผ่ออร่าของ Divine Might ออกมาอย่างระมัดระวัง
ตอนที่ 2499
ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาระดับอีปิค
ในขณะที่ซือเฟิงดึงหัวใจเทพออกมาจากกระเป๋าของเขา ชีพจรมานาก็เริ่มกระพริบไปทั่วห้องหลักที่มืดและเงียบ มันอาจเป็นมานาไม่มากนัก แต่มันก็มีพลังมากพอที่จะทำให้พื้นที่ภายในห้องสั่นไหวได้
เมื่อชีพจรพบกับบาเรียเวทย์มนต์ของห้อง มันก็เริ่มสั่นสะเทือนจนแทบจะล้มเหลวในการปิดกั้นมานา
แน่นอนเลยว่าหัวใจเทพนั้นมันทรงพลังอย่างมาก ฉันแค่หยิบมันออกมาจากกระเป๋า แต่มันก็เกือบจะทำลายบาเรียเวทย์มนต์ของห้องลงได้แล้ว ซือเฟิงจ้องมองไปที่บาเรียเวทย์มนต์รอบห้องด้วยความประหลาดใจ
โชคดีที่เขาอยู่ห้องหลักของป้อมปราการโบราณ บาเรียเวทย์มนต์เหล่านี้มันจึงแข็งแกร่งกว่าบาเรียทั่วไปมาก แม้แต่มอนสเตอร์ระดับเทพนิยายก็ยังจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการพยายามจะทำลายมัน หากเขานำหัวใจเทพออกมาจากกระเป๋าในบริเวณอื่นของป้อมปราการแสงดาว มันจะไม่มีที่ไหนสามารถทนต่อชีพจรมานาได้แน่นอน พลังงานจะหลุดรอดออกไปและดึงดูดความสนใจของทุกคนในป้อมปราการทันที
อย่างไรก็ตามตอนนี้ชีพจรมานานั้นได้เพิ่มความหนาแน่นของมานาภายในห้องขึ้นอย่างมาก ตอนนี้มันมีชั้นหมอกที่ดูอ่อนโยนอยู่เต็มห้องหลัก หากผู้เล่นได้มาฝึกฝนที่นี่ พวกเขาก็มีแนวโน้มจะฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้ระดับทองแดงได้โดยไม่ต้องพัก พวกเขานั้นสามารถจะฝึกฝนไปได้จนกว่าพวกเขาจะพอใจเลย
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้เปิดใช้งานสกิลตรวจสอบที่ผสานเข้ากับตราทองคำเพื่อประเมินหัวใจเทพ
[หัวใจของออกัสตัสที่ได้รับความเสียหาย] (วัสดุระดับดีไวน์อาติแฟคที่อ่อนแอ)
นี่คือหัวใจของออกัสตัส เทพแห่งความป่าเถื่อน และมันมีการตกผลึกของพลังงานนิรันดร์ เมื่อออกัสตัสตายลง เทพปีศาจแอทล๊อคได้นำหัวใจของเขามาทำการปรับปรุงและแก้ไขซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อเปิดใช้งานวงเวทย์ที่สลักไว้ที่หัวใจ ผู้ใช้จะได้สัมผัสกับพลังงานที่หนาแน่นเป็นเวลาสิบสองชั่วโมง และวงเวทย์นั้นจะต้องใช้เวลาสามเดือนในการฟื้นฟู หลังจากเปิดใช้งานแต่ละครั้ง และการคืนค่าพลังงานนิรันดร์ให้กับวงเวทย์นี้ก็ทำได้ด้วยการสังเวยคริสตัลเทพเจ้าหนึ่งชิ้น
นี่มันน่าทึ่งมากจริงๆ !!! แอทล๊อคได้เปลี่ยนหัวใจเทพให้กลายเป็นเครื่องมือที่สามารถจัดหาพลังงานนิรันดร์ได้ไม่รู้จบ !! เมื่อซือเฟิงอ่านข้อมูลของหัวใจของออกัสตัส เขาก็ตกตะลึงอย่างมาก
โดยทั่วไปหัวใจเทพนั้นเป็นยุทธปัจจัยที่สามารถใช้ได้ครั้งเดียว เมื่อผู้เล่นปลดปล่อยพลังงานนิรันดร์ที่มีอยู่ภายในหัวใจเทพทั้งหมดออกมา ในที่สุดหัวใจเทพก็จะหมดพลังงานนิรันดร์และจางหายไปจากการดำรงอยู่
มันมี NPC ขั้นห้าเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถจะปลดปล่อยและควบคุมพลังงานนิรันดร์จากหัวใจเทพได้ ซึ่งนี่มันก็จะทำให้พวกเขานั้นสามารถใช้พลังงานนิรันดร์ได้หลายครั้ง ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าหัวใจเทพนั้นจะหายไปเมื่อพลังงานนิรันดร์หมดลง
แต่ถึงกระนั้นแอทล๊อคกับแก้ไขหัวใจของออกัสตัสได้สำเร็จโดยเปลี่ยนมันเป็นเครื่องมือที่สามารถนำเสนอพลังงานนิรันดร์ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซือเฟิงนั้นได้รับแจ๊คพอตอย่างมากแน่นอนในครั้งนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมแอทล๊อคถึงมุ่งมั่นที่จะฆ่าโดยถึงขนาดใช้มรดกของเทพปีศาจเป็นเหยื่อล่อ
แม้ว่าจะสามารถใช้หัวใจของออกัสตัสที่ถูกแก้ไขได้เพียงสิบสองชั่วโมงสั้นๆ แต่มันก็นับเป็นเวลาที่มากเกินพอสำหรับผู้เล่น ข้อเสียที่สำคัญเพียงอย่างเดียวของมันก็คือ มันมีคูลดาวน์นานสามเดือน แต่ถึงกระนั้นหัวใจของออกัสตัสก็ยังจัดว่าน่าทึ่งอย่างมาก
ผู้เล่นนั้นจะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคนับไม่ถ้วนบนเส้นทางที่จะนำไปสู่ขั้นที่สูงขึ้น และมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะอุปสรรคทั้งหมดนี้ให้ได้ในคราวเดียว ผู้เล่นจะต้องค่อยๆเผชิญหน้ากับพวกมันไปทีละอย่างๆ ร่างมานาในขั้นสาม และการควบคุมมานาในขั้นสี่เป็นสองตัวอย่างที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามซือเฟิงนั้นสามารถจะทลายขีดจำกัดทั้งหมดนี้ได้ด้วยหัวใจของออกัสตัส
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังจะสามารถใช้คริสตัลเทพเจ้าเพื่อหลีกเลี่ยงคูลดาวน์ได้ด้วย ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างพอใจอย่างมากกับความพยายามครั้งล่าสุดของเขา
หากข้อมูลของหัวใจแห่งออกัสตัสรั่วไหลออกไป ทั่วทั้ง God domain จะเข้าสู่ความบ้าคลั่งแน่นอน ไม่เว้นแม้แต่ผู้เล่น และ NPC
ซือเฟิงนั้นใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อระงับความตื่นเต้นของเขา และเริ่มเปิดใช้งานวงเวทย์ภายในหัวใจของออกัสตัส ก่อนที่เขาจะเตรียมพร้อมที่จะรับมรดกมานาของนักบุญสวรรค์น้ำเงิน
อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ขมวดคิ้ว เมื่อเขาได้ตรวจสอบวงเวทย์
วงเวทย์นี้มันซับซ้อนกว่าที่เขาเคยพบมาก่อนอย่างมาก การจัดการมันจะเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากแม้ว่าเขาจะกลายเป็นปรมาจารย์นักเวทย์ขั้นกลางแล้วก็ตาม ปรมาจารย์นักเวทย์ขั้นพื้นฐานนั้นจะไม่มีโอกาสเปิดใช้งานวงเวทย์นี้ได้เลย
แน่นอนเลยว่าระบบหลักของ God domain จะไม่ยอมมอบพลังที่มากเกินไปให้กับผู้เล่น ซือเฟิงมองไปยังวงเวทย์ตรงหน้าเขาด้วยรอยยิ้มขมขื่น
เขาต้องการจะใช้คริสตัลเทพเจ้าเพื่อเร่งเวลาและช่วยให้โคล่ากับคนอื่นๆสามารถปลดล๊อคศักยภาพสูงสุดของร่างมานาของพวกเขาให้ได้ เมื่อเขาทำมันได้สำเร็จ เพราะท้ายที่สุดยิ่งทำเรื่องนี้ได้เร็วเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งได้รับประโยชน์มากขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ ….
การเปิดใช้งานวงเวทย์ของหัวใจของออกัสตัส จะเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เว้นแต่จะกลายเป็นปรมาจารย์นักเวทย์ขั้นกลางแล้ว ตอนนี้ความฝันของเขาในการจะจัดตั้งกองทัพผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังได้สลายไปแล้ว
การจะก้าวหน้าต่อไปในฐานะปรมาจารย์นักเวทย์ใน God domain นั้นทำได้ยากกว่าการก้าวหน้าต่อไปในฐานะปรมาจารย์ช่างตีเหล็กอย่างมาก และมันก็มีผู้เล่นเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สำเร็จ
เพราะท้ายที่สุดการจะก้าวหน้าไปต่อหลังจากกลายเป็นปรมาจารย์นักเวทย์ขั้นพื้นฐานแล้วมันยากอย่างไม่น่าเชื่อด้วยความซับซ้อนของวงเวทย์ ….
ในสภาสิบแปดปีกทั้งหมด มันมีเพียงอควาโรสและไวโอเล็ทคลาวด์เท่านั้นที่มีโอกาสจะกลายเป็นปรมาจารย์นักเวทย์ขั้นพื้นฐาน และก้าวหน้าต่อไปได้ คนอื่นๆยังคงมีหนทางอีกยาวไกล ดังนั้นแค่ตัวเขา กับผู้เล่นอีกสองคนจึงยังไม่เพียงพอจะสร้างกองทัพได้
ซือเฟิงนั้นส่ายหัวและขับไล่ความคิดของเขาออกไป โดยเขาได้เริ่มมุ่งความสนใจไปที่การเรียนรู้และถอดรหัสวงเวทย์ทันที
สิบนาที…ยี่สิบนาที…สี่สิบนาที…
เมื่อซือเฟิงทำการถอดรหัสเส้นทางมานาสุดท้าย หัวใจของออกัสตัสก็สว่างไสวด้วยแสงหลากสี จากนั้นกระแสหมอกสีม่วงก็ไหลจากไอเทมมาเข้าสู่ซือเฟิง
ทันใดนั้นซือเฟิงก็รู้สึกสบายใจอย่างไม่น่าเชื่อ และจิตใจของเขาก็ปลอดโปร่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พลังงานนิรันดร์นั้นมันพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพมากกว่ามานาที่หนาแน่นหลายเท่า
หลังจากนั้นไม่นาน ซือเฟิงก็ได้ดึงคริสตัลความทรงจำที่อีเลียดี้มอบให้เขาออกมา และทำการศึกษามรดกร่างมานาที่เธอทิ้งไว้ให้
เทคนิคร่างมานาของเทพธิดานั้นซับซ้อนกว่าเทคนิคมานาของเธอซะอีก ไม่เพียงแต่มันจะมีข้อมูลเกี่ยวกับมานาและการควบคุมมานา แต่มันยังมีข้อมูลที่กระชับเกี่ยวกับโครงสร้างของมานาด้วย
จากการวิจับของอีเลียดี้ ยิ่งร่างมานานั้นมีระดับสูงเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งวิธีการที่จะใช้ควบคุมร่างมานาของตนมันก็จะยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้นไปด้วย ร่างมานาระดับอีปิคนั้นเทียบเท่ากับวงเวทย์ขนาดใหญ่พิเศษซึ่งประกอบไปด้วยวงเวทย์ขนาดเล็กหลายร้อยวง
มันมีหลายวิธีในการจะควบคุมวงเวทย์ขนาดใหญ่พิเศษนี้ แต่มันมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ผู้เล่นสามารถควบคุมวงเวทย์ทั้งหมดได้อย่างเต็มที่ พวกเขาจะต้องสร้างวงเวทย์อย่างง่ายที่จะช่วยผู้ใช้ในการควบคุมวงเวทย์หลักหลายๆวงเวทย์ และยิ่งวงเวทย์อย่างง่ายนี้สามารถควบคุมวงเวทย์หลักได้มากเท่าไหร่ พลังของวงเวทย์ขนาดใหญ่พิเศษมันก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
หากซือเฟิงพยายามประมวลผลข้อมูลทั้งหมดภายในคริสตัลความทรงจำ ก่อนที่เขาจะได้รับหัวใจแห่งออกัสตัสมา เต็มที่มานาที่หนาแน่นก็จะช่วยไม่ให้เขาปวดหัวเท่านั้น อย่างไรก็ตามโชคดีที่พลังงานนิรันดร์นั้นมีประโยชน์มากกว่านั้น เพราะมันช่วยเพิ่มความเข้าใจและความทรงจำของเขาด้วย แต่มันยังช่วยให้เขาสร้างวงเวทย์ง่ายๆที่จำเป็นสำหรับการการควบคุมการไหลของมานาภายในร่างของเขาได้ดีขึ้นด้วย
ในช่วงเวลาหนึ่ง ซือเฟิงได้แผ่มานาทั้งที่หนาแน่น และเบาบางออกมาแบบสุ่ม โดยมานาที่หนาแน่นที่สุดที่เขาแผ่ออกมาได้นั้นมันหนาแน่นพอๆกับมานาในเมืองป่าหินเลย และที่เบาบางที่สุดซือเฟิงก็สามารถแผ่มานาออกมาได้หนาแน่นในระดับที่ใกล้เคียงกับเมือง NPC ทั่วไป
ในระหว่างกระบวนการ ซือเฟิงก็ได้ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของเขาอย่างรวดเร็ว
40%… 55%… 70%…
อย่างไรก็ตามยิ่งซือเฟิงปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของเขาไปได้มากเท่าไหร่ ความคืบหน้าของเขาก็เริ่มจะช้าลง และเมื่อระยะเวลาของคริสตัลความทรงจำสิ้นสุดลง ซือเฟิงก็ปลดล๊อคไปได้แค่แปดสิบสองเปอเซ็นต์เท่านั้น มันยังคงอยู่ห่างไกลจากหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์
ผ่านไปเก้าชั่วโมง หลังจากที่ซือเฟิงเปิดใช้งานหัวใจของออกัสตัสแล้ว เขาก็ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของเขาไปได้เก้าสิบเอ็ดเปอเซ็นต์เท่านั้น ….
เมื่อเวลาผ่านไปเกือบสิบสองชั่วโมง คลื่นมานาที่รุนแรงก็ระเบิดออกมาจากร่างของ.ซือเฟิง และก่อตัวเป็นหมอกในห้องหลัก หมอกนั้นดูเบาบางมากๆ และผู้เล่นที่ไม่ได้สนใจอาจจะพลาดมันไปได้เลย แต่มันก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าซือเฟิงกำลังหลั่งมานาที่หนาแน่นมากออกมาจนสามารถกลั่นตัวเป็นของเหลวได้
ในที่สุดก็สำเร็จ !!!
ดวงตาของซือเฟิงกระพริบด้วยความตื่นเต้น ขณะที่เขาสังเกตเห็นมานาที่ไหลไปทั่วร่างกายของเขาโดยอัตโนมัติ
ตอนที่ 2500
การปรับปรุงที่น่ากลัว
ใน God domain NPC ขั้นสามนั้นถือว่าเป็นตัวตนที่ทรงพลังที่สามารถปกครองเมืองของ NPC ได้เลย อย่างไรก็ตามผู้เล่นจะกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลังอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อพวกเขาสามารถปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว
เมื่อมีร่างมานาที่ปลดล๊อคศักยภาพได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว ผู้เล่นจะสามารถเข้าและออกจากสถานที่บางแห่งได้อย่างอิสระ ซึ่งหากพวกเขาพยายามจะทำโดยยังไม่ปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้น มันจะมีเพียงแต่ความตายเท่านั้นที่รอพวกเขาอยู่
ข้อกำหนดในการเข้าสู่ดันเจี้ยนภูมิภาคของหุบเขาดาวอย่างสุสานดาวนั้นค่อนข้างต่ำ และแม้แต่ผู้เล่นขั้นสามที่ยังไม่ได้ปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้อย่างเต็มที่ก็ยังสามารถจะเข้าไปสำรวจพื้นที่บางส่วนได้
ในการเปรียบเทียบพื้นที่เฉพาะบางแห่งนั้นจะเต็มไปด้วยพลังที่กัดกร่อนอย่างน่าเหลือเชื่อ และผู้เล่นขั้นสามก็จะใช้เวลาอยู่ได้ไม่เกินห้านาทีเท่านั้นในพื้นที่เหล่านี้ หากยังไม่ได้ปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ การปลดล๊อคศักยภาพร่างมานานั้นเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผู้เล่นสามารถป้องกันตนเองจากพลังที่กัดกร่อนได้
นี่คือเหตุผลที่ผู้เล่นจะถูกพิจารณาว่าเป็นตัวตนที่ทรงพลังก็ต่อเมื่อพวกเขาสามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว ที่สำคัญคือสกิลและเวทย์ที่ผู้เล่นใช้นั้นจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากกว่าตอนที่พวกเขายังไม่สามารถจะปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์
ดังนั้นนี่คือร่างมานาระดับอีปิคงั้นหรอ ? ซือเฟิงนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงความหนาแน่นของมานาที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา
เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าร่างมานาระดับอีปิคนั้นจะทรงพลังมากขนาดนี้
โดยปกติร่างมานานั้นจะอาศัยมานาของตัวเองในการทำงาน แต่ร่างมานาของเขานั้นสามารถดึงดูดมานาโดยรอบ และใช้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายได้
ร่างมานาระดับอีปิคของเขานั้นยังเคลือบร่างกายภาพของเขาไว้ด้วยมานาบางๆด้วย โดยหากผู้เล่นไม่ได้สังเกตร่างกายของซือเฟิงอย่างใกล้ชิด พวกเขาก็จะไม่มีทางค้นพบมานาบางๆนี้เลย มันเกือบจะให้ความรู้สึกเหมือนกับชุดรัดรูป แถมมันยังดักจับส่วนสำคัญของมานาที่แผ่ออกมาจากเขา และช่วยลดปริมาณมานาที่เสียไปได้อย่างมาก อีกทั้งมันยังช่วยฟื้นฟูตัวเขาได้อย่างรวดเร็ว และทำให้มานาโดยรอบเขานั้นหนาแน่นกว่าปกติมากๆ
ซึ่งการมีบาเรียมานาเพียงอย่างเดียวนี้ก็ช่วยเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของเขาในสนามรบขึ้นสองถึงสามเท่าเลย โดยเฉพาะกับในสภาพแวดล้อมที่มีมานาต่ำ และเมื่อเขาต่อสู้ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ เขาก็จะไม่ต้องกังวลที่จะไม่สามารถแสดงพลังต่อสู้ที่แท้จริงออกมาได้
ซือเฟิงนั้นพยายามจะจัดการกับร่างมานาของเขาโดยนำมานารอบตัวเขามาไว้ในกำมือของเขา ซึ่งทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวของเขาเองเหมือนหลุมดำ เมื่อมานาที่อยู่รอบตัวเขานั้นมารวมตัวกัน ในพริบตาหมอกหนาจางๆก็ก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือของเขา
จากนั้นซือเฟิงก็ลองปล่อยหมัดชกออกไปในอากาศที่ว่างเปล่า
Peng!
อากาศนั้นระเบิดรอบๆหมัดของเขาราวกับว่าหมัดได้สร้างสูญญากาศขึ้น และพื้นที่รอบตัวของเขาก็สั่นสะท้านไปด้วยพลังของการโจมตีนี้ ซึ่งแม้แต่บาเรียเวทย์มนต์ของห้องหลักก็ยังจะต้องสั่นสะเทือนเลย
ด้วยพลังนี้ตอนนี้ฉันจะสามารถโซโล่กับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายในเลเวลเดียวกันได้เลย แม้ว่าจะไม่มีสกิลเบอเซิกร์ก็ตาม ซือเฟิงอ้าปากค้าง เมื่อเขาเห็นผลลัพธ์ของการชกของเขา
สิ่งที่เขาทำนั้นมันเป็นเพียงแค่การชกธรรมดาเท่านั้น ยังไม่ได้ใช้อาวุธด้วยซ้ำ
ความแตกต่างระหว่างพลังการโจมตีของผู้เล่นที่มีอาวุธอยู่ในมือ กับไม่มีอาวุธอยู่ในมือ ใน God domain นั้นยิ่งใหญ่มากๆ
แต่ถึงกระนั้นตอนนี้ซือเฟิงกับสามารถแสดงพลังออกมาได้เท่ากับตอนที่เขาถือคิลลิงเรย์อยู่ ….
ร่างมานาระดับอีปิคนี้มันให้พลังที่น่ากลัวมากๆ !!!
ในความคิดของเขาแม้ว่าร่างมานาจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผู้เล่น แต่มันก็ไม่ควรจะให้พลังแก่ผู้เล่นได้มากขนาดนี้ ประโยชน์ของการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของเขาในตอนนี้นั้น มันอาจเป็นคู่แข่งของอาวุธระดับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้นนี่มันยังเป็นการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้แค่หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์เท่านั้น ถ้าเขาทะลวงขีดจำกัดเข้าไปได้อีก ความแข็งแกร่งของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน
หลังจากมาถึงขอบเขตหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้น ทุกเปอเซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นมันก็จะให้พลังแก่ผู้เล่นอย่างมหาศาล เท่าที่ซือเฟิงรู้ มันมีผู้เล่นที่ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบเปอเซ็นต์ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา ดังนั้นนี่มันก็แทบจะทำให้เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าศักยภาพของร่างมานาระดับอีปิคที่สามารถปลดล๊อคได้หนึ่งร้อยยี่สิบเปอเซ็นต์นั้นจะทรงพลังมากขนาดไหน
แม้แต่การก้าวข้ามขั้นก็เป็นไปได้
หลังจากนั้นซือเฟิงก็เริ่มฝึกฝนเทคนิคมานาของอีเลียดี้
ตอนนี้เขาสามารถจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว และการจะไปให้ได้เหนือกว่านั้นมันก็จะต้องใช้เวลานานและยากพอสมควร เช่นเดียวกับการที่นักเวทย์ฝึกหัด พยายามสร้างวงเวทย์ระดับปรมาจารย์
อย่างไรก็ตามการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาระดับอีปิคให้ได้มากกว่าหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้นก็ไม่ใช่แค่วิธีเดียวที่จะทำให้เขาสามารถก้าวข้ามขั้นได้ เขายังสามารถพึ่งพาความช่วยเหลือจากเทคนิคมานาได้ เขานั้นเคยผ่านประสบการณ์รับมือกับการทำลายล้างศักสิทธิ์ของอีเลียดี้มาแล้ว และแม้ว่าเธอจะจำกัดพลังของตัวเองไว้ที่ขั้นสาม แต่การโจมตีของอีเลียดี้ในตอนนั้นก็จะสามารถฆ่าหรือทำให้สิ่งมีชีวิต ขั้นสี่ บาดเจ็บสาหัสได้ทันที หากซือเฟิงสามารถใช้ได้แบบอีเลียดี้ มันก็จะนับเป็นประโยชน์สำหรับเขาอย่างมาก
เขาไม่สามารถจะเรียนรู้เทคนิคเหล่านี้ก่อนหน้านี้ได้ก็เนื่องจากเขายังไม่ได้ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของเขาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ แต่ตอนนี้เขาทำได้แล้ว เขาจึงน่าจะสามารถฝึกฝนการทำลายล้างศักสิทธิ์ของอีเลียดี้ได้อย่างแท้จริง
เทคนิคมานานั้นไม่เหมือนกับเทคนิคการต่อสู้ เทคนิคการต่อสู้นั้นมันจะผลาญค่าสตามิน่าและค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของผู้ใช้ลงไปอย่างมาก แต่ในทางกลับกัน เทคนิคมานาจะใช้เฉพาะค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจเท่านั้น ซึ่งโดยทั่วไปนั้นผู้เล่นจะหลีกเลี่ยงการใช้เทคนิคการต่อสู้ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง และพยายามที่จะสงวนค่าสตามิน่าของพวกเขาไว้ อย่างไรก็ตามด้วยข้อยกเว้นบางประการ สภาพแวดล้อมที่รุนแรงเหล่านี้จะไม่ส่งผลเรื่องการผลาญค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจ
ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญของ God domain ที่เข้าใจเทคนิคมานาไม่ว่าจะเรียนรู้มาด้วยตนเอง หรือเรียนรู้จากระบบก็จะมีช่วงเวลาในการสำรวจโลกแห่ง God domain ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกับในแผนที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย
ตอนนี้ซือเฟิงนั้นบรรลุเป้าหมายของเขาในการมาเยี่ยมชมทวีปด้านตะวันตกแล้ว และหลังจากนี้เขาก็จำเป็นจะต้องรีบค้นหาชิ้นส่วนที่เหลือของดาบโซโลมอนเพื่อรักษาความได้เปรียบของตัวเอง และปูเส้นทางที่ราบรื่นยิ่งขึ้นไว้ให้สำหรับอควาโรสและพรรคพวกคนอื่นๆของเขา ในขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไปที่เป้าสู่ขั้นสี่ ซึ่งนี่มันจะช่วยทำให้สภาสิบแปดปีกยังคงได้เปรียบมหาอำนาจอื่นๆ
แถมหากเขาสามารถเรียนรู้เทคนิคมานาได้ในตอนนี้ เขาก็ยังจะสามารถนำมันไปสอนให้กับอควาโรสและคนอื่นๆได้ด้วย
ในขณะที่ซือเฟิงกำลังพยายามจะเลียนแบบวิธีที่อีเลียดี้ใช้ดาบแรก ไลท์ชาโด้ว นักบุญสวรรค์น้ำเงินผู้นี้ก็ทำให้เขาประหลาดใจอีกครั้ง เพราะเทคนิคมานาที่เธอใช้นั้นมันดูเหมือนจะเหนือกว่าเทคนิคมานาที่เทพปีศาจแอทล๊อคใช้อยู่เล็กน้อย
ดาบแรกไลท์ชาโด้วนั้นใช้องค์ประกอบของธาตุทั้งเจ็ดรวมกัน และการใช้มันนั้นก็ทำได้ยากกว่าไลท์นิ่งแฟลช ซึ่งเป็นเทคนิคการต่อสู้ระดับทองแดงอย่างมาก ซือเฟิงนั้นจำเป็นจะต้องสร้างช่องทางและรวบรวมมานาของเขาเป็นเวลาหลายวินาทีก่อนเขาจะพยายามเรียกใช้ไลท์ชาโด้วได้จริงๆ
แอทล๊อคนั้นยังต้องใช้เวลาเตรียมตัวก่อนที่จะใช้เทคนิคมานาของเขา เทพปีศาจนั้นใช้เวลาหลายวินาทีในการเตรียมหลุมดำซึ่งเป็นการโจมตีครั้งสุดท้ายที่มันใช้กับซือเฟิง และแม้ว่าแอทล๊อคจะใช้เทคนิคมานาผ่านเงาของตัวเอง แต่มันก็ยังคงอยู่ในมาตราฐานขั้นห้า
ในทางกลับกันอีเลียดี้ นั้นใช้ทั้งไลท์ชาโด้ว โฮลี่ดีวอร์ และการทำลายล้างศักสิทธิ์ โดยไม่ใช้เวลาเตรียมการใดๆเลย ในทางตรงกันข้าม มันดูเหมือนว่าเธอจะสามารถหยุดเทคนิคของเธอได้ชั่วคราว และปล่อยการโจมตีได้เมื่อเธอต้องการ เธอสามารถทำได้อย่างเป็นระบบ ซือเฟิงคิดย้อนกลับไปถึงตอนที่เขาปะทะกับอีเลียดี้
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ทำการฝึกฝนการใช้ไลท์ชาโด้วไปเรื่อยๆ จนสามารถลดระยะเวลาการเตรียมตัวก่อนใช้ของตัวเองลงได้ ในตอนแรกเขาใช้เวลาเกือบแปดนาทีในการเตีรยมการโจมตี แต่ตอนนี้เขาใช้น้อยกว่าห้านาทีแล้ว และยิ่งซือเฟิงฝึกฝนมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมีความเข้าใจเกี่ยวกับการควบคุมมานามากขึ้น
สองชั่วโมง…หกชั่วโมง…สิบสองชั่วโมง…
ในขณะที่ซือเฟิงกลังหมกหมุ่นอยู่กับการฝึก ฟิธาเลียก็ติดต่อเขามา
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม คนของไมโทโลจี้กลับมาแล้ว พวกเขาทั้งหมดนั้นมารวมตัวกันอยู่ที่บาร์แสงดาว และฉันคิดว่าพวกเขาน่าจะพบวิธีที่จะจัดการกับมังกรศักสิทธิ์ของคุณแล้ว และพวกเขาก็มามากกว่าครั้งที่แล้วเช่นกัน ตอนนี้มันมีผู้เล่นในทีมพวกเขามากกว่าสามสิบคน” ฟิธาเลียรายงานด้วยสีมืดหม่น
ตอนแรกผู้เล่นของไมโทโลจี้ที่มีมากกว่าหนึ่งโหลเพียงนิดหน่อยนั้นก็จัดการได้ยากมากแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขากับมาเพิ่มขึ้นอีก และต่อให้สภาสิบแปดปีกกับกองกำลังนรกร่วมมือกัน เธอก็ยังเชื่อว่ามันเป็นไปได้ยากมากจริงๆที่จะจัดการพวกเขาได้
“พวกเขากลับมาอย่างรวดเร็วเลยงั้นหรอ ?” ซือเฟิงพึมพำด้วยความประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขามองไปที่เวลานั้น เขาก็พบว่าเขาฝึกฝนมานานกว่าครึ่งวันแล้ว และมันก็รู้สึกเหมือนเวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าตอนที่เขากำลังเร่งปลดล๊อคศักยภาพร่างมานา จากนั้นเขาก็เก็บดาบเข้าฝักและแสยะยิ้ม “เอาลา่ะ ฉันจะไปที่นั่นทันที !!”
หลังจากนั้นซือเฟิงก็วางสายไป และเดินทางไปหาเป้าหมายของเขาทันที ….
ตอนที่ 2501
การมาถึงของไมโทโลจี้
บาร์แสงดาวนั้นเป็นบาร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในป้อมปราการแสงดาว แต่ตอนนี้บาร์ซึ่งมีขนาดเป็นครึ่งหนึ่งของสนามฟุตบอลนั้นกับเงียบกริบ ขณะที่ทุกคนนั้นก็กำลังกำลังจ้องมองไปยังกลุ่มผู้เล่นในชุดเสื้อคลุมสีดำที่กำลังนั่งดื่มกัน ไม่มีใครกล้าจะหายใจดังเกินไปด้วยซ้ำ
ฝูงชนที่เหลือนั้นไม่เพียงแต่จะแสดงปฎิกิริยาในลักษณะนี้ออกมา เพราะว่าออร่าที่ผู้เล่นเหล่านี้แผ่ออกมา แต่มันยังเกิดจากตราสัญลักษณ์กิลที่ติดอยู่ที่หน้าอกของผู้เล่นเหล่านี้คือไมโทโลจี้ด้วย
“ดังนั้น พวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญจากไมโทโลจี้ตามข่าวลืองั้นหรอ ?”
“น่าทึ่งมากๆ ฉันสามารถมองเห็นพวกเขาได้ แต่ฉันกับไม่รู้สึกถึงการปรากฎตัวของพวกเขามาก่อนเลย พวกเขาทำได้ยังไงกัน ?”
“ดูเหมือนว่าตอนนี้ แม้แต่ไมโทโลจี้ก็ไม่สามารถจะนั่งนิ่งๆได้แล้ว เมื่อศาลเจ้าของเทพปีศาจปปรากฎขึ้น …”
ทุกคนนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงเมื่อเห็นผู้เล่นเหล่านี้ และพวกเขาต่างก็พูดคุยกันอย่างเงียบๆ ในขณะที่บางคนรู้สึกกลัว และบางคนก็รู้สึกตื่นเต้น
ไมโทโลจี้นั้นเป็นหนึ่งในห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเกมเสมือนจริง และผู้เล่นทุกคนในทวีปด้านตะวันตกนั้นก็ล้วนคุ้นเคยกับชื่อๆนี้ดี
ข่าวเรื่องที่ผู้เล่นในชุดเสื้อคลุมสีดำก่อความวุ่นวายนั้นได้แพร่กระจายไปทั่วป้อมปราการแล้ว ผู้เล่นเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะสามารถหลีกเลี่ยงความโกรธเกรี้ยวของมังกรศักสิทธิ์ได้ แต่พวกเขายังสามารถฆ่าผู้เชี่ยวชาญของเผ่าศักสิทธิ์ไปได้จำนวนหนึ่งด้วย
แม้แต่ฟิธาเลีย ผู้บัญชาการกองกำลังดีไวน์ไฮม์ของเผ่าศักสิทธิ์ก็ยังตายลงในระหว่างการต่อสู้
ในการตอบสนอง เผ่าศักสิทธิ์นั้นได้ส่งผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากขึ้นเข้ามาลาดตระเวนบริเวณรอบๆถนนของป้อมปราการแสงดาว และพวกเขากระทั่งส่งองครักษ์ส่วนตัวขั้นสามจำนวนมากมาเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนด้วย
อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่เพียงแต่ผู้เชี่ยวชาญของไมโทโลจี้จะแอบเข้ามาในป้อมปราการได้อีกครั้ง แต่พวกยังเข้ามาได้ด้วยจำนวนที่มากขึ้นกว่าเดิมด้วย และตอนนี้พวกเขาก็ยังมารวมตัวกันที่บาร์แสงดาว ซึ่งเป็นบาร์ที่ได้รับความนิยมที่สุดในป้อมปราการแสงดาว โดยมานั่งดื่มเหมือนกับลูกค้าทั่วไป พวกเขานั้นปฎิบัติต่อป้อมปราการแสงดาวราวกับเป็นบ้านของตัวเองเลย
“ไมโทโลจี้นั้นยอดเยี่ยมมากเลยจริงๆบอส พวกเขาไม่ได้สนใจมังกรศักสิทธิ์ของป้อมปราการแสงดาวเลย ดูเหมือนว่าป้อมปราการแสงดาวจะมีผู้ปกครองคนใหม่ในไม่ช้า …” ชายผู้โหดเหี้ยมจากทีมนักผจญภัยหัวใจพายุกล่าวอย่างชื่นชม ในขณะที่เขาเฝ้าดูผู้เล่นในชุดเสื้อคลุมสีดำจากไมโทโลจี้
ในตอนที่เขาได้พบกับมังกรศักสิทธิ์ของป้อมปราการแสงดาว เขามีแต่ความรู้สึกหวาดกลัวเท่านั้น ผู้เล่นไม่มีทางจะมีโอกาสต่อต้านมันได้เลยในความคิดของเขา แต่ผู้เล่นในชุดเสื้อคลุมสีดำเหล่านี้กับทำราวกับว่ามังกรศักสิทธิ์ไม่ได้มีอยู่จริง และพวกเขาก็สามารถเข้ามาที่ป้อมปราการแสงดาวได้ตามที่พวกเขาต้องการ รากฐานของไมโทโลจี้นั้นช่างน่ากลัวอย่างแท้จริง
“ไมโทโลจี้นั้นแข็งแกร่งกว่ามหาอำนาจอื่นๆอย่างมากแน่นอน นอกเหนือจากความสามารถในการปกปิดออร่าของผู้เล่นแล้ว มาตราฐานการต่อสู้ของพวกเขาก็ยังน่าประทับใจมากอีกด้วย พวกเขานั้นล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดที่แท้จริงทั้งหมด พวกเขาหลายคนแข็งแกร่งกว่าฉันด้วยซ้ำ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันจะสู้กับชายหนุ่มผมสีเงินที่เป็นหัวหน้าทีมได้อย่างไร ฉันไม่คิดว่าเขาจะเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ” โครว์กล่าวขณะที่เขามองไปยังสมาชิกของไมโทโลจี้ และร่องรอยแห่งความกลัวก็ปรากฎขึ้นในแววตาของเขา “ถ้าพวกเขาตัดสินใจที่จะก่อความวุ่นวายในป้อมปราการแสงดาว มันจะไม่มีใครสามารถหยุดพวกเขาได้แน่นอน และด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่แบบนี้ แม้แต่สภาสิบแปดปีกที่มีข้อได้เปรียบอย่างมากก็คงจะต้องมอบสัมปทานบางส่วนให้พวกเขา”
โครว์นั้นรู้ดีว่ามหาอำนาจต่างๆไม่สามารถจะเทียบกับซุเปอร์กิล ห้ากิลที่แข็งแกร่งที่สุดได้เลย แต่เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าช่องว่างระหว่างพวกเขามันจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้
ผู้เล่นในชุดเสื้อคลุมสีดำของไมโทโลจี้นั้นมีเลเวลหนึ่งร้อยเจ็ดเป็นอย่างน้อย แต่ออร่าของพวกเขายังทรงพลังมากพอที่จะทำให้ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ใกล้รู้สึกอึดอัดด้วย ขณะที่สมาชิกที่อ่อนแอที่สุดของกลุ่มนั้นมีพลังที่เทียบเท่ากับแกรนลอร์ดในเลเวลเดียวกันได้เลย การต่อสู้กับผู้เล่นเพียงคนเดียวจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับพวกเขาเลย ไม่ต้องพูดถึงสองถึงสามพร้อมกัน มันมีโอกาสสูงมากที่พวกเขาจะสามารถจัดการล้มผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากกว่าได้
เพื่อทำให้เรื่องแย่ลงไปกว่านั้น มันมีผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้มากกว่าสามสิบคนอยู่ในบาร์ และพวกเขาทั้งหมดก็สามารถปกปิดออร่าของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ นี่มันเป็นดั่งฝันร้ายชัดๆ
นอกจากนี้ชายหนุ่มผมสีเงินนั้นยังเป็นตัวตนที่น่ากังวลที่สุด แม้ว่าโครว์จะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงออร่าของชายหนุ่ม แต่สัญชาตญาณของเขาก็บอกว่าถ้าเขาเข้าใกล้ชายหนุ่มคนนี้ในระยะสามสิบหลาเขาจะตายทันที
ในขณะที่ผู้ที่อยู่ในบาร์กำลังเฝ้ามองผู้เชี่ยวชาญของไมโทโลจี้อย่างเงียบๆ กลุ่มผู้เล่นกลุ่มนี้ของไมโทโลจี้เหล่านี้ก็ไม่ได้สนใจใดๆเลย พวกเขายังคงพูดคุยกันอยู่อย่างไร้กังวล
“ผู้บัญชาการ พวกระดับสูงของเรานั้นช่างดื้อรั้นซะจริงๆ พวกเขายังคงต้องการจะให้เราเจรจากับสภาสิบแปดปีกเพื่อแสดงความเคารพต่อจักรวรรดิโลกใต้พิภพ ทำไมเราต้องไปแสดงความเคารพต่อคนอื่นด้วย ? เราสามารถจะยึดป้อมปราการแสงดาวได้อยู่แล้ว และเมื่อเรายึดป้อมปราการแสงดาวได้ ไมโทโลจี้ก็จะสามารถอ้างสิทเหนือมรดกของเทพปีศาจได้ทั้งหมด เมื่อศาลเจ้าของเทพปีศาจถูกเปิดขึ้น” หญิงสาวรูปร่างสูงที่ถือค้อนสงคราม และโล่ที่ดูแข็งแกร่งอยู่กล่าวบ่น
เท่าที่เธอคิดก็คือ จักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้นยอมจะร่วมมือกับสภาสิบแปดปีกเพียงเพราะว่ากิลมีความแข็งแกร่งไม่มากพอที่จะยึดป้อมปราการมาเป็ของตัวเองได้ แต่สำหรับไมโทโลจี้นั้นมันเป็นคนละเรื่องกัน การยึดป้อมปราการนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับทีมของเธอ เพราะท้ายที่สุดตอนนี้พวกเขาเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว
ต่อให้กองกำลังนรกออกมาตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่กลัวเลย ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงสภาสิบแปดปีก และเผ่าศักสิทธิ์
“ฉันเห็นด้วย มันจะดีกว่าถ้าเราเข้าโจมตีสภาสิบแปดปีก และเข้ายึดคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครอง เราไม่จำเป็นจะต้องกำหนดเป้าหมายไปยังเผ่าศักสิทธิ์ในเรื่องของทวีปด้านตะวันออกด้วยซ้ำ เราจะสามารถสอนบทเรียนให้กับแบล๊คเฟรมได้ตรงๆ ไม่งั้นเขาจะคิดว่าที่ทวีปด้านตะวันตกแห่งนี้เหมือนกับทวีปด้านตะวันออก” แอสซาซินหนุ่มที่ถือดาบสั้นสองเล่มกล่าวพลางพยักหน้าเห็นด้วย
พลังของไมโทโลจี้นั้นถูกจำกัดอยู่แค่ในทวีปด้านตะวันตก ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาได้เพื่อจัดการกับสภาสิบแปดปีกในทวีปด้านตะวันออกจึงมีจำกัดมากๆ แต่อย่างไรก็ตามการเอาชนะสภาสิบแปดปีกในทวีปด้านตะวันตกนั้นมันจะง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก และแม้แต่มังกรศักสิทธิ์ก็จะไม่สามารถช่วยปกป้องสภาสิบแปดปีกได้ รากฐานของไมโทโลจี้ในทวีปด้านตะวันตกนั้นไปไกลเกินกว่าที่สภาสิบแปดปีกจะจินตนาการได้
“อย่าประมาท จักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้นจะต้องมีเหตุผลในการที่ยอมทำงานร่วมกับสภาสิบแปดปีก จากรายงานล่าสุดสภาสิบแปดปีกมีสมาชิก ห้าคนที่สามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว โดยผู้เล่นเหล่านี้นั้นมีความแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ ซึ่งหากพวกเขาปรากฎตัวขึ้นให้ทำตามแผนสำรองโดยการเปิดใช้งานวงเวทย์การต่อสู้ที่เรามี และต้องเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้แบบสี่รุมหนึ่ง ส่วนพวกที่เหลือจะดำเนินงานต่อตามแผนที่วางไว้ในตอนแรก ถ้ามังกรศักสิทธิ์เข้ามาใกล้ก็รีบถอยทันที” หัวหน้าทีมที่เป็นชายหนุ่มผมสีเงินสั่งพลางมองไปยังสมาชิกของเขาทั้งหมดที่ดูจะใจร้อน
“วางใจได้เลยผู้บัญชาการ นอกเหนือจากมังกรแล้ว ผู้เล่นเหล่านั้นก็ไม่มีอะไรหรอก ฉันไม่รู้หรอกว่าผู้เล่นของสภาสิบแปดปีกปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้เร็วขนาดนั้นได้ยังไงกัน แต่แล้วยังไงล่ะ ?” แอสซาซินหนุ่มกล่าวอย่างเย้ยหยันและไม่หวาดกลัว “ถ้าสมาชิกของสภาสิบแปดปีกเหล่านั้นปรากฎตัวออกมาจริงๆ ฉันจะทำให้แน่ใจว่าพวกเขานั้นไม่สามารถจะหนีจากเราไปได้ทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ !!!”
สมาชิกในทีมที่เหลือของไมโทโลจี้ที่เหลือพยักหน้า
การปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้นอาจช่วยเพิ่มพลังการต่อสู้ได้อย่างมาก แต่วงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงของพวกเขาก็ไม่ใช่อะไรที่อ่อนแอเช่นกัน ตราบใดที่พวกเขาเปิดใช้งานวงเวทย์ พวกเขาจะสามารถรวมความแข็งแกร่งของผู้เล่นสี่คนได้ และผู้เล่นสี่คนที่เปิดใช้งานวงเวทย์นี้นั้นก็จะได้รับพลังมากพอที่จะฆ่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยายทั่วไปในเลเวลเดียวกันได้เลย ไม่ต้องพูดถึงผู้เล่นขั้นสาม
หากสมาชิกของสภาสิบแปดปีกกล้าจะแสดงตนออกมา ทีมของพวกเขาก็จะสามารถจัดการได้อย่างง่ายดายแน่นอน
“เป็นอย่างนั้นหรอ ? งั้นฉันขอทดสอบคำพูดของคุณหน่อยสิ ?”
ทันใดนั้นทุกคนในบาร์ก็ได้ยินเสียงทุ้ม และผู้พูดก็ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นไปทั่วทันที ผู้เล่นทุกคนในบาร์แสงดาวนั้นต่างก็หันไปมองยังต้นตอนของเสียงว่าใครกันที่เป็นผู้พูด ผู้เล่นคนนี้นั้นพึ่งจะทำการท้าทายผู้เชี่ยวชาญของไมโทโลจี้โดยตรง เขาหาเรื่องตายชัดๆ !!!
สองคนชายและหญิงเดินเข้ามาในบาร์ โดยฝั่งผู้หญิงนั้นคือฟิธาเลียซึ่งเธอให้ความรู้สึกสง่างาม ในขณะที่ชายอีกคนที่มาพร้อมกับเธอนั้นให้ความรู้สึกมืดมิดเหมือนตอนกลางคืน
ตอนที่ 2502
บาร์แสงดาวที่เงียบสงัด
ในขณะที่ซือเฟิงและฟิธาเลียเข้ามาในบาร์แสงดาวเพื่อขัดจังหวะการสนทนาของสมาชิกไมโทโลจี้ที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีดำ มันก็บังเกิดความโกลาหลขึ้นท่ามกลางผู้เล่นที่อยู่ในบาร์
“อึก !! นั่นคือฟิธาเลีย ผู้บัญชาการของกองกำลังดีไวน์ไฮม์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกองกำลังหลักของเผ่าศักสิทธิ์ไม่ใช่หรอ ?!”
“ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะเริ่มการต่อสู้อีกครั้ง !!!”
“การต่อสู้ ? นี่มันจะเป็นสงครามซะมากกว่า !!! ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะโชคดีพอที่จะได้ดูเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวเลย !!!”
ผู้เล่นเหล่านี้หลายคนนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีเครือข่ายข้อมูลมากมาย พวกเขาไม่มากก็น้อยที่ตระหนักถึงการต่อสู้ระหว่างมหาอำนาจต่างๆเรื่องของป้อมปราการแสงดาว ตอนนี้ไมโทโลจี้ได้ริเริ่มเลือกจะต่อสู้ในป้อมปราการแสงดาวแล้ว ดังนั้นสงครามระหว่างมหาอำนาจต่างๆจึงจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเริ่มในเร็วๆนี้ก็ตาม
การปะทะกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะกับผู้เชี่ยวชาญจากมหาอำนาจต่างๆถือเป็นโอกาสในการเรียนรู้ที่หายากใน God domain โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เล่นที่จะได้ชมเป็นการส่วนตัว พวกเขาจะสามารถเรียนรู้ได้มากกว่าดูจากบันทึกการต่อสู้เลย
นี่เป็นเหตุผลที่มหาอำนาจต่างๆนั้นล้วนพยายามกันอย่างต่อเนื่องเพื่อจะให้ได้เข้าสู่สนามประลองแห่งความมืด แต่น่าเสียดายที่ถ้าไม่มีคอนเนคชั่นที่เพียงพอ ผู้เล่นทั่วไปก็จะไม่มีคุณสมบัติในการจะเข้าสู่สนามประลองแห่งความมืด
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นตรงหน้าของพวกเขานั้น การต่อสู้ในสนามประลองแห่งความมืดก็นับว่าไม่มีอะไรเลย
ผู้เข้าร่วมสนามประลองแห่งความมืดจากมหาอำนาจต่างๆส่วนใหญ่นั้นจะไม่เคยทุ่มพลังออกมาทั้งหมด แต่สถานการณ์ตอนนี้นั้นมันจะแตกต่างออกไป เพื่อรักษาสิทธิ์ในการปกครองป้อมปราการแสงดาว ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องต่อสู้ด้วยทุกสิ่งที่พวกเขามี
ในขณะที่ผู้เล่นที่อยู่ในบาร์นั้นกำลังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น สมาชิกของไมโทโลจี้ก็หันมามองซือเฟิงอย่างเย็นชา ตอนนี้พวกเขาทุกนนั้นกระตือรือร้นที่จะเริ่มการต่อสู้อย่างมากแล้ว
เมื่อรู้สึกได้ถึงความเป็นปรปักษ์ของผู้เล่นในชุดเสื้อคลุมสีดำนั้นฟิธาเลียก็รู้สึกปวดหัวมากๆ
เธอพยายามโน้มน้าวให้ซือเฟิงรวบรวมกำลังคนก่อนที่จะมาเผชิญหน้ากับสมาชิกของไมโทโลจี้ แต่อย่างไรก็ตามซือเฟิงกับเลือกจะมุ่งหน้ามาที่บาร์แสงดาวทันทีที่ได้ยินเกี่ยวกับมาถึงของพวกเขา ซือเฟิงนั้นเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวที่ได้รับสิทเหนือ
คฤหาสถ์ชลอร์ดของป้อมปราการ หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา มันจะทำให้การป้องกันป้อมปราการในอนาคตของพวกเขายากขึ้นมากๆเลยทีเดียว
มหาอำนาจต่างๆนั้นได้ส่งผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเข้ามาในป้อมปราการแสงดาวแล้ว หากป้อมปราการสูญเสียเจ้าของไปอย่างกระทันหัน มันจะทำให้เกิดความปั่นป่วนอย่างมาก และแม้แต่กองกำลังของเผ่าศักสิทธิ์ก็จะยังไม่สามารถหยุดพวกเขาได้
ในท้ายที่สุดเธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามซือเฟิงมาที่บาร์แสงดาว และได้แต่ติดต่อผู้เล่นที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเธอให้มาพบกันระหว่างทาง
อย่างไรก็ตามซือเฟิงกับทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดอีกครั้ง และเลือกจะต่อสู้กับไมโทโลจี้ก่อนที่คนของเธอจะมาถึง ….
ขณะนี้พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดมากกว่าสามสิบคน !!!
แถมคนเหล่านี้นั้นก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดทั่วไปเลย พวกเขาไม่เพียงแต่จะสามารถปกปิดออร่าของพวกเขาไว้ให้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่พวกเขาทั้งหมดยังรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ หากผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ตัดสินใจจะประสานงานกันโจมตีมาที่เป้าหมายเดียว ผลที่ตามมา มันจะเป็นดั่งฝันร้ายแน่นอน
“คุณนี่ช่างกล้าหาญจริงๆเลยนะ ไอ้เวร !!!!” แอสซาซินที่ถือดาบสั้นกล่าวอย่างเย้ยหยันซือเฟิง “แสดงให้ฉันเห็นหน่อยสิว่าคุณมีพลังมากเท่าปากคุณไหม !!!”
ก่อนที่แอสซาซินจะก้าวไปข้างหน้า ชายหนุ่มผมสีเงินที่อยู่ข้างๆเขาก็ยื่นมือออกมาขวางทาง
“คุณคือหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมสินะ !!!” ชายหนุ่มผมสีเงินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขออนุญาติแนะนำตัวเองก่อน ฉันคือซิลเวอร์โกสต์ รองผู้บัญชาการกองกำลังที่หนึ่งซึ่งเป็น
กองกำลังหลักที่แข็งแกร่งที่สุดของในไมโทโลจี้”
“เขาคือคนที่ทำลายแผนการของรองหัวหน้ากิลโคลท์ชาโด้วใช่ไหม ?”
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมก่อนหน้านี้ เขาถึงกล้าจะพูดอย่างกล้าหาญ”
“เขานั้นกล้าหาญจริงๆ เขามาที่นี่โดยไม่มีผู้ติดตามเลยด้วยซ้ำ หรือว่าเขาตั้งใจจะมาประณีประณอม ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของซิลเวอร์โกสต์ เหล่าสมาชิกของไมโทโลจี้ที่เหลือก็เริ่มรับรู้ได้ทั้งหมด เพราะเป้าหมายครั้งนี้ที่พวกเขาได้รับคำสั่งมาคือให้ค้นหา ซือเฟิง และทำการเจรจาต่อรอง
“เนื่องจากผู้บัญชาการฟิธาเลียมากับคุณ ฉันแน่ใจว่าเธอน่าจะบอกคุณเกี่ยวกับข้อเสนอของฉันแล้ว คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้ล่ะ หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ?” ซิลเวอร์โกสต์ถามอย่างอดทน ขณะที่มองไปยังฟิธาเลีย ก่อนที่จะหันมาจ้องมองยังซือเฟิง
ซิลเวอร์โกสต์นั้นได้ต่อสู้กับฟิธาเลียมาเป็นการส่วนตัวแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสัตว์ประหลาด แถมเธอยังมีเหล่าองครักษ์ส่วนตัวที่เป็นผู้เล่นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดล้อมรอบเธออีก ซึ่งโดยปกติเธอและทีมองครักษ์ส่วนตัวของเธอไม่ควรจะมีปัญหาในการเอาชนะทีมผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม หนึ่งร้อยคนได้เลย
น่าเสียดายที่ทีมของฟิธาเลียนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ แม้ว่าฟิธาเลียจะมีความแข็งแกร่งอย่างมาก แต่เธอก็จะไม่รอดแน่นอน หากถูกลูกน้องของเขาราวสิบคนรุม
ภัยคุกคามที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของป้อมปราการแสงดาวที่พวกเขาจะต้องกลัวนั้นคือกองกำลังนรกของจักรวรรดิโลกใต้พิภพ เพราะไม่เพียงแต่กองกำลังนี้จะประกอบปด้วยผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม สามร้อยคน แต่พวกเขายังมีความแข็งแกร่งมาเป็นพิเศษเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากทีมของเขาตั้งใจจะก่อความวุ่นวายในป้อมปราการแห่งนี้จริงๆ แม้แต่กองกำลังนรกก็จะไม่พลังเพียงพอที่จะหยุดพวกเขาได้
“ฉันไม่มีเหตุผลที่จะต้องพิจารณามัน เนื่องจากสภาสิบแปดปีกนั้นมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะเข้ายึดป้อมปราการแสงดาวได้ เราก็มีความแข็งแกร่งพอจะรักษามันไว้ได้ หากคุณต้องการต่อสู้ก็เข้ามากันได้เลย !!!” ซือเฟิงกล่าวอย่างสงบ ขณะที่มองไปยังซิลเวอร์โกสต์
“ช่างโชคร้ายจริงๆ” ซิลเวอร์โกสต์นั้นทำได้เพียงแค่ถอนหายใจให้กับคำตอบของซือเฟิง
“ทำไมคุณยังเสียเวลาพูดกับเขาอยู่ล่ะ ผู้บัญชาการ ?” แอสซาซินกล่าวพลางหัวเราะเยาะ “ปล่อยให้ทีมของฉันเป็นผู้จัดการเขาเอง ถ้าเราไม่สอนบทเรียนให้กับเขา เขาจะถือว่าไมโทโลจี้ไร้อำนาจต่อหน้าเขาได้ !!!”
“ถูกต้อง !! ถ้าเราไม่แสดงความแข็งแกร่งของเราให้เขาเห็น เขาจะคิดว่าที่เราจากไปก่อนหน้านี้เพราะกลัวเขา !!!” สมาชิกที่เหลือของไมโทโลจี้พยักหน้า
การมาเยี่ยมชมป้อมปราการแสงดาวครั้งก่อนพวกเขานั้นมันเป็นเพียงรูปแบบของการทักทายเท่านั้น ตอนนี้ซือเฟิงได้ปฎิเสธความปราถนาดีของพวกเขาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องอดกลั้น ในความเป็นจริง ถ้าพวกเขายังคงแสดงท่าทีเฉยเมย ซือเฟิงจะถือว่ากิลพวกเขาเป็นแค่เรื่องตลก กับของหลอกเด็กด้วยซ้ำ
“เอาล่ะ ฉันจะปล่อยให้หน้าที่นี้เป็นของทีมนาย แต่ทำให้รวดเร็วหน่อยล่ะ คนอื่นๆนั้นให้ความสนใจกับสถานการณ์อยู่ และเราจะถอยทันทีเมื่อมังกรศักสิทธิ์เข้ามาใกล้ !!!” ซิลเวอร์โกสต์กล่าวอนุญาติให้สิททีมของแอสซาซินหนุ่มดำเนินการ
“ขอบคุณผู้บัญชาการ !!! ฉันจะรีบจบการต่อสู้นี้โดยไวที่สุด !!!” แอสซาซินหนุ่มตอบด้วยสีหน้ากระหาย ก่อนที่เขาจะหันไปหาซือเฟิงและพูดต่อว่า “คุณช่างกล้าหาญและหยิ่งผยองมากจริงๆ !!! มาดูกันว่าคุณจะมีดีอย่างคำพูดคุณไหม !!!”
ทันใดนั้นอักษรรูนศักสิทธิ์ก็สว่างขึ้นทั่วร่างของแอสซาซิน และห่อหุ้มสมาชิกของไมโทโลจี้อีกสามคนไว้ข้างหลังเขา
ออร่าที่ทรงพลังนั้นเริ่มแผ่ออกมาจากแอสซาซินหนุ่ม และมันก็แข็งแกร่งขึ้นในทุกวินาทีที่ผ่านไป และหลังจากผ่านไปสามวินาทีออร่าของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมากขนาดนี้สามารถเข้าครอบงำคนในบาร์ได้ทั้งหมดเลย
“ออร่าของเขาทรงพลังมากแค่ไหนกัน ?”
“นี่มันเกือบจะรุนแรงมากพอๆกับแกรนลอร์ด สายพันธุ์โบราณในเลเวลเดียวกันเลยนะ !!!”
ลูกค้าของบาร์ต่างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เมื่อมองไปยังแอสซาซินหนุ่ม
“นี่คือหนึ่งในรากฐานของไมโทโลจี้งั้นหรอ ?” สถานการณ์นี้ทำให้ชายผู้โหดเหี้ยมจากหัวใจพายุตกตะลึง
แม้ว่าออร่าจะไม่ได้บอกถึงความแข็งแกร่งทั้งหมดของผู้ที่มีมัน แต่อย่างน้อยมันก็สามารถจะบอกความแข็งแกร่งของผู้ที่มันได้ในระดับหนึ่งเลย
ในระยะนี้ของเกม ผู้เล่นขั้นสามนั้นยังคงจะต้องดิ้นรนเพื่อเอาชนะลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ในเลเวลเดียวกัน และในหุบเขาดาวนั้น ผู้เล่นก็ไม่สามารถจะใช้สกิลเบอเซิกร์ได้ด้วย หากผู้เล่นมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับแกรนลอร์ด สายพันธุ์โบราณ ในเลเวลเดียวกัน พวกเขาจะสามารถเคลื่อนที่ผ่านหุบเขาดาวได้อย่างไร้ขีดจำกัดด้วยซ้ำ และด้วยพลังแบบนี้แม้แต่การฆ่าแท๊งเกอร์ขั้นสาม มันก็จะทำได้ง่ายเหมือนกับตบแมลงวัน
ก่อนหน้านี้พวกเขายังไม่ได้เอาจริงอีกงั้นหรอ ? ฟิธาเลียมองไปยังฉากนี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงออร่าที่รุนแรงของแอสซาซิน เธอก็เริ่มสิ้นหวัง
เธอนั้นหวังว่าผู้เชี่ยวชาญของกองกำลังนรก และผู้เชี่ยวชาญอีกห้าคนของสภาสิบแปดปีกที่ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว มันจะเพียงพอในการปราบปรามผู้เชี่ยวชาญที่บุกเข้ามาของไมโทโลจี้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นผู้เล่นในชุดเสื้อคลุมสีดำตรงนี้แล้ว เธอก็พบว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันน่าหัวเราะมากๆ
ผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังมากพอๆกับแกรนลอร์ด สายพันธุ์โบราณในเลเวลเดียวกันนั้นจะสามารถต่อสู้กับมอนสเตอร์อัญเชิญขั้นสี่ได้สบายๆเลย เพราะท้ายที่สุดแล้ว เทคนิคการต่อสู้ของผู้เล่นนั้นทำให้พวกเขาสามารถผลักดันการต่อสู้ไปจนถึงขีดจำกัดได้ และมันก็อาจจะเกินกว่านั้นด้วยซ้ำ
นอกเหนือจากมังกรศักสิทธิ์ของป้อมปราการแสงดาวแล้ว มันจะไม่มีใครในป้อมสามารถที่จะหยุดแอสซาซินตรงหน้าเธอได้เลย
“วงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูง ?” ซือเฟิงพึมพำ เมื่อเขาเห็นอักษรรูนศักสิทธิ์เคลือบร่างกายของแอสซาซินหนุ่ม
“ดูเหมือนคุณจะรู้มากจริงๆ !!! แต่ยังไงมันก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก !!!” แอสซาซินหนุ่มเลียริมฝีปากของเขาก่อนจะพูดต่อว่า “ตอนนี้ฉันจะสอนคุณว่าการตัดสินใจแบบนี้ของคุณมันโง่แค่ไหน !!!”
จากนั้นแอสซาซินก็ก้าวไปข้างหน้าและหายตัวไปทันที ตอนนี้ทั้งเขาและออร่าของเขาไม่สามารถจะตรวจพบได้เลยภายในบาร์ และมันก็ราวกับว่าเขาไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อนตั้งแต่แรก
“ฉันเดาว่าหัวหน้ากิลของสภาสิบแปดปีกจะตายแน่นอนในครั้งนี้ …” โครว์ ผู้บัญชาการของหัวใจพายุกล่าวพลางหลับตาลง
แอสซาซินหนุ่มคนนี้นั้นไม่เพียงแต่จะมีค่าสถานะพื้นฐานเทียบเคียงได้กับแกรนลอร์ด สายพันธุ์โบราณ แต่เขายังสามารถจะปกปิดออร่าของเขาได้อย่างสมบูรณ์ด้วย โครว์นั้นไม่สามารถสัมผัสได้ถึงออร่าของชายหนุ่มผู้นี้เลย และด้วยความสามารถแบบนี้แอสซาซินผู้นี้จึงจัดว่าแทบจะเป็นอมตะเลยในหมู่ผู้เล่นขั้นเดียวกัน
การต่อสู้ระหว่างผู้เชี่ยวชาญนั้นมักจะรวดเร็วมากๆจนไม่สามารถมองเห็นได้ทันด้วยตาเปล่า ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญจึงมักจะต้องพึ่งพาประสาทสัมผัสทั้งห้าของพวกเขาในระหว่างการต่อสู้ ไม่งั้นคู่ต่อสู้ของพวกเขาจะเข้าครอบงำพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว
ตอนนี้แอสซาซินหนุ่มได้หายไปแล้ว และผู้เล่นนั้นก็ไม่สามารถจะพึ่งพาสายตาของพวกเขาเพื่อตามให้ทันกับความเร็วที่น่ากลัว และการพยายามจะทำจริงๆนั้นมันก็นับเป็นเรื่องตลกอย่างมาก
เราจะจัดการกับศัตรูที่ไม่สามารถถูกตรวจพบได้อย่างไร ?
อย่างไรก็ตามในขณะที่แอสซาซินของไมโทโลจี้หายตัวไป ซือเฟิงก็ไม่ได้รีบร้อนใดๆนัก ก่อนที่เขาจะเฉือนคิลลิงเรย์เข้าไปที่อากาศที่ว่างเปล่า
ตู้ม !!
ทันใดนั้นเสียงของโลหะที่กระทบกันก็ดังขึ้นในบาร์แสงดาว และผลกระทบอันรุนแรงนี้มันก็ทำให้พื้นที่โดยรอบแตกเป็นเสี่ยงๆ โดยผู้เล่นทุกคนในระยะสามสิบหลาจากนักดาบนั้นก็ต้องถูกบังคับให้ถอยกลับไปเลยจากคลื่นกระแทก
หลังจากที่ทุกคนได้ยินเสียง และได้รับผลของการปะทะกันครั้งนี้ พวกเขาก็สังเกตเห็นว่ามีร่างๆหนึ่งปลิวเข้าไปกระแทกกับกำแพงทางด้านขวาของซือเฟิง เยื้องไปหน่อย ซึ่งร่างนี้นั้นมันก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกแอสซาซินหนุ่มที่หายไปเมื่อครู่ ….
ตอนที่ 2503
ดาบแรก ไลท์ชาโด้ว
เงียบสงัด !!!
น่ากลัว สยดสยอง !!!
ช่วงเวลาหนึ่งทุกคนในบาร์แสงดาวนั้นก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างมาก
ซือเฟิงได้เบี่ยงเบนการโจมตีของแอสซาซินหนุ่มที่แข็งแกร่งมากพอๆกับแกรนลอร์ด สายพันธุ์โบราณได้ และเขาสามารถปกปิดออร่าของเขาได้อย่างสมบูรณ์ด้วยในการโจมตีปกติ ใครกันจะเชื่อเรื่องนี้ ?
“นี่เขาเป็นผู้เล่นขั้นสามจริงๆงั้นหรอ ?” ชายผู้โหดเหี้ยมจากหัวใจพายุตกตะลึง เมื่อเห็นแอสซาซินที่ปลิวกระเด็นไปที่กับกำแพงบาร์
แอสซาซินหนุ่มนั้นยังคงมี HP ส่วนใหญ่เหลืออยู่ แต่อย่างไรก็ตามนี่มันก็ทำให้ชายผู้โหดเหี้ยมตกตะลึงมากอยู่ดี
หากซือเฟิงเพียงแค่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของแอสซาซินหนุ่ม และพบโอกาสในการโจมตีจุดอ่อนจึงโจมตีเข้าไป เขาก็คงจะตกตะลึงไม่มากนัก แต่อย่างไรก็ตามนี่มันแตกต่างออกไป เขาเข้าใจถึงสถานการณ์ทั้งหมดไม่มากก็น้อย
เพราะท้ายที่สุดแล้วมันสามารถบอกได้ชัดเลยจากการที่แอสซาซินหนุ่มสูญเสีย HP ไปเพียงเล็กน้อยว่าดาบของซือเฟิงนั้นไม่ได้ปะทะเข้ากับแอสซาซินหนุ่มโดยตรง แต่สิ่งที่เขาก็คือเอาดาบของตัวเองมาปะทะเข้ากับอาวุธของแอสซาซินหนุ่มเพื่อป้องกันการโจมตีก็เท่านั้น
ซึ่งในการปะทะกันตรงๆแบบนี้ แอสซาซินหนุ่มพ่ายแพ้ ….
ค่าสถานะพื้นฐานของแอสซาซินหนุ่มนั้นเทียบได้กับแกรนลอร์ด สายพันธุ์โบราณในเลเวลเดียวกัน ซึ่งแม้แต่ผู้เล่นขั้นสามทั่วไปที่เปิดใช้งานสกิลเบอเซิกร์ก็ไม่ควรจะแข็งแกร่งได้มากขนาดนี้ด้วย
แต่ซือเฟิงกับได้รับชัยชนะในการประชันความแข็งแกร่งกัน ยิ่งไปกว่านั้นนักดาบยังทำได้โดยไม่ได้อาศัยสกิลหรือเครื่องมือใดๆเลย เขาไม่ได้ใช้แม้แต่สกิลเบอเซิกร์ด้วย สิ่งที่เขาทำนั้น มันก็เป็นแค่การโจมตีปกติอย่างแท้จริง ….
เมื่อสมาชิกคนอื่นๆของไมโทโลนี้เห็นฉากนี้ พวกเขาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างมาก
“แซนด์สตอร์ม แพ้ ..?!”
“เป็นไปได้ยังไง ?! เขาล้มเหลวและไม่สามารถจะควบคุมพลังของวงเวทย์การต่อสู้ได้งั้นหรอ ?”
สมาชิกของไมโทโลจี้นั้นรู้ดีว่าผู้เล่นจะทรงพลังขึ้นมากขนาดไหน หลังจากได้รับการเสริมกำลังจากวงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูง และสำหรับแอสซาซินที่ชื่อแซนด์สตอร์มนั้น เมื่อเขาใช้มัน เขาจะมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายขั้นสี่เลย ไม่ต้องพูดถึงผู้เล่นขั้นสาม
อย่างไรก็ตามการใช้วงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงนั้นมันก็มีราคาแพงมากๆ และไม่สามารถใช้ได้บ่อย เหตุผลเดียวที่ซิลเวอร์โกสต์ยอมให้ใช้ในครั้งนี้นั้นมันเป็นเพราะเขาต้องการจะแสดงความแข็งแกร่งของไมโทโลจี้ให้กับสภาสิบแปดปีกเห็น
ไม่มีใครคาดหวังกับผลัพธ์นี้
ซือเฟิงได้ส่งแซนด์สตอร์มปลิวกระเด็นไปด้วยการโจมตีปกติ ครู่หนึ่งพวกเขานั้นสงสัยว่าแซนสตอร์มประมาท หรืออาจจะล้มเหลวในการใช้พลังของวงเวทย์ในการต่อสู้
ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งขนาดนี้กัน ?
ในทางกลับกันฟิธาเลียจ้องมองไปที่แผ่นหลังของซือเฟิงด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
แม้ว่าเธอจะเคยได้ยินจากแม๊คอาฟรี่และคนอื่นๆมาก่อนที่ว่าซือเฟิงเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสัตว์ประหลาด แต่เธอก็คิดว่าพลังของเขานั้นน่าจะใช้ได้พลกับผู้เล่นขั้นสามทั่วไปเท่านั้น อย่างไรก็ตามตอนนี้เธอพึ่งได้เห็นเขาทำให้ผู้เชี่ยวชาญของไมโทโลจี้ซึ่งได้รับการเสริมความแข็งแกร่งด้วยวงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงปลิวกระเด็นไปได้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ?
ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกับสถานการณ์นั้นซิลเวอร์โกสต์ก็ได้หันไปหาซือเฟิง และกล่าวอย่างคาดเดาว่า “คุณปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หน่งร้อยเปอเซ็นต์แล้วสินะ”
ในความคิดของเขาความแข็งแกร่งของซือเฟิงนั้นเป็นเรื่องรอง สิ่งที่น่าสนใจจริงๆคือความจริงที่ว่านักดาบนั้นสามารถจะติดตามการเคลื่อนไหวของแซนสตอร์มได้ทัน
มันไม่ควรจะมีผู้เล่นขั้นสามทั่วไปคนใดที่จะสามารถสัมผัสได้ถึงออร่าของแซนสตอร์ม และด้วยความเร็วของแอสซาซินนั้น การจะติดตามเขาให้ทันมันจะเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นคำอธิบายเดียวที่ซิลเวอร์โกสต์คิดได้ก็คือ ซือเฟิงนั้นได้ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของเขาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว และเขาได้อาศัยมานาที่น่าทึ่งของร่างมานาเพื่อสร้างพื้นที่มานารอบตัวเอง โดยซือเฟิงได้ใช้พื้นที่มานานี้ในการค้นหาแซน
สตอร์ม
พวกเขานั้นสามารถจะปกปิดออร่าของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ แต่ตัวตนของพวกเขานั้นก็ยังคงมีอยู่จริง ดังนั้นตัวตนของพวกเขาจึงไม่ถูกซ่อนได้จากพื้นที่มานาของซือเฟิง
คำพูดของซิลเวอร์โกสต์นั้นทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่วบาร์แสงดาว
“อะไรกัน ? เขาปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้วงั้นหรอ ?”
“ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำว่ามีผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆที่สามารถบรรลุความสำเร็จนี้ได้เร็วขนาดนี้”
ผู้เล่นทุกคนที่สามารถจะเข้ามาเยี่ยมชมป้อมปราการแสงดาวได้นั้นล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญแทบทั้งหมด ในขณะที่บางคนนั้นก็มาถึงขั้นสามแล้ว ดังนั้นโดยธรรมชาติ หัวข้อเรื่องร่างมานาขั้นสามจึงกลายเป็นประเด็นร้อนที่พูดคุยในหมู่ผู้เล่นมานานแล้ว
มันกลายเป็นความรู้โดยทั่วไปแล้วว่าผู้เล่นจะไม่สามารถแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่ของขั้นสาม หลังจากที่ทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสามสำเร็จแล้ว พวกเขาจะยังคงต้องการเวลาเพื่อปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองให้ได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ก่อน อย่างไรก็ตาม นี่มันไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้เล่นส่วใหญ่นั้นไม่มีแม้แต่เบาะแสในการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานา สิ่งที่พวกเขาทำได้คือพยายามปรับปรุงการควบคุมมานาของตัวเองเท่านั้น
แต่ในขณะที่ผู้เล่นส่วนใหญ่ยังคงประสบปัญหานี้ พวกเขากับได้มารู้ว่าซือเฟิงปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว ดังนั้นทำไมพวกเขาจึงจะไม่ประหลาดใจ ?
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงกล้าจะยั่วยุไมโทโลจี้ !!!”
ตอนนี้โครว์เริ่มจะเข้าใจทุกสิ่งแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของซิลเวอร์โกสต์ ตอนแรกเขาก็สงสัยมากๆว่าทำไมซือเฟิงถึงมั่นใจมาก และกล้าจะตั้งตนเป็นศัตรูกับไมโทโลจี้ เพราะท้ายที่สุดผู้เชี่ยวชาญของไมโทโลจี้นั้นทรงพลังมากอย่างไม่น่าเชื่อ และหลังจากที่พวกเขาเปิดใช้งานวงเวทย์การต่อสู้แล้ว พลังการต่อสู้ของพวกเขาก็จะพุ่งไปสูงขึ้นจนผู้เล่นในปัจจุบันนั้นแทบจะไม่มีโอกาสต่อต้านเลย มีเพียงมังกรศักสิทธิ์เท่านั้นที่จะสามารถปราบปรามคนเหล่านี้ได้
อย่างไรก็ตามตอนนี้แม้ว่าเขาจะรู้ว่าซือเฟิงทำได้สำเร็จ ซิลเวอร์โกสต์ก็ยังไม่ได้ตกตะลึงใดๆ เขากับยิ้มออกมาแทน
“พลังที่ได้รับเพิ่มขึ้นจากการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้นมันน่าทึ่งจริงๆ ฉันไม่คิดเลยว่าแซนสตอร์มก็ยังจะเทียบกับคุณไม่ได้ แม้ว่าจะเปิดใช้งานวงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงแล้วก็ตาม” ซิลเวอร์โกสต์กล่าวกับซือเฟิง “อย่างไรก็ตามฉันสงสัยจังว่าคุณะจะสู้กับผู้เชี่ยวชาญแปดคนในระดับเดียวกันกับแซนสตอร์มได้ยังไง ?”
เมื่อซิลเวอร์โกสต์พูดจบ สมาชิกของไมโทโลจี้ที่อยู่เบื้องหลังเขาก็ทำการเปิดใช้งานวงเวทย์การต่อสู้ของพวกเขาทันทีเช่นกัน ซึ่งโดยรวมแล้วผู้เล่นเหล่านี้นั้นเปิดใช้งานวงเวทย์การต่อสู้อีกเจ็ดชุด และออร่าโดยรวมของพวกเขามันก็พุ่งสูงขึ้นมากจนไม่มีผู้เล่นขั้นสองคนใดในแถบนี้ที่สามารถจะขยับได้ สำหรับผู้เล่นขั้นสามบางคน ขาของพวกเขาก็เริ่มสั่นด้วยความกลัว
ในขณะเดียวกันแซนสตอร์มก็ดึงตัวเองออกมาจากกำแพงมาได้ และหัวเราะเยาะใส่ซือเฟิง
“ไอ้เวร ฉันยอมรับว่าคุณนั้นแข็งแกร่งมากๆ !!! แต่คุณไม่แข็งแกร่งพอที่จะฆ่าพวกเราได้ !!! เราสามารถจะจัดการกับค่าความเสียหายที่คุณทำได้ด้วยเวทย์ฮีลขั้นสูงของเรา !! แถมวงเวทย์การต่อสู้นี้ยังจะช่วยเพิ่มอัตราการฟื้นฟูความแข็งแกร่งทางจิตใจ และค่าสตามิน่าของเราขึ้นเป็นสามเท่า !!! คุณคิดว่าจะสู้กับเราได้นานแค่ไหนกัน ?” แซนด์สตอร์มกล่าวอย่างดูถูก
วงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงนั้นไม่ได้ช่วยเพิ่มแค่ค่าสถานะพื้นฐานของเขาเท่านั้น มันยังช่วยเพิ่ม HP และพลังป้องกันสูงสุดของเขา ตอนนี้พลังป้องกันของเขานั้นมีสูงเป็นสองเท่าของแท๊งเกอร์ขั้นสามที่เลเวลเดียวกันตามปกติแล้ว และเขามี HP มากกว่าสองล้านแล้ว การโจมตีของซือเฟิงอาจจะดูรุนแรง แต่เขาก็ได้รับความเสียยังไม่ถึงหนึ่งหมื่นเลย มันยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาแสบๆคันๆได้ด้วยซ้ำ
ฝูงชนที่ผ่อนคลายลง หลังจากได้เห็นการโจมตีของฟิธาเลียนั้นเงียบลงอีกครั้ง และแม้แต่ฟิธาเลียก็ยังต้องเฝ้ามองไปยังฉากนี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เธอไม่ได้คิดฝันเลยว่าไมโทโลจี้จะเตรียมวงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงไว้มากมายขนาดนี้
ซือเฟิงนั้นมีแนวโน้มว่าจะสามารถรับมือกับผู้ที่เปิดใช้งานวงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงหนึ่งคนได้สบายๆ แต่กับจำนวนแปดนคนนั้นมันเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไป หากซือเฟิงถูกรุมแบบแปดต่อหนึ่งแบบนี้ เขาจะถูกลด HP ลงได้อย่างง่ายๆเลยจนกว่าจะตาย
“งั้นก็มาลองดูกัน !!!” ซือเฟิงตอบอย่างเฉยเมยพลางกวาดสายตามองไปยังสมาชิกของไมโทโลจี้
คำพูดของเขาทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในบาร์อีกครั้ง
“อะไรกัน ?! เขาจะสู้กับกองกำลังแบบนี้จริงๆงั้นหรอ !!!”
“เจ๋ง !!! เจ๋งเกินไปแล้ว !!! ตามความคาดหมายจากผู้เชี่ยวชาญที่สามารถเข้ายึดป้อมปราการแสงดาวได้ !!! มันมีผู้เล่นเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเทียบกับเขาได้ในแง่ของความกล้าหาญ !!!”
พวกเขาทั้งหมดนั้นคิดว่าซือเฟิงคงจะเลือกถอยหนี เมื่อผู้เชี่ยวชาญของไมโทโลจี้แปดคนเปิดใช้งานวงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงแล้ว เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อคนเหล่านี้ประสานงานกัน มันก็คงจะมีแต่เพียงมังกรศักสิทธิ์ของป้อมปราการเท่านั้นที่จะสามารถหยุดพวกเขาได้ อย่างไรก็ตามซือเฟิงกับเลือกที่จะอยู่และต่อสู้ ตอนนี้เขาเป็นดั่งฮีโร่จากในตำนานที่แท้จริงเลย
“นี่คุณบ้ารึปล่าว ?!” ฟิธาเลียกล่าวโวยเพื่อนของเธอ “พวกเขาไม่ได้จะสู้กับคุณแบบหนึ่งต่อหนึ่งนะ !!! พวกเขาจะเข้ามาทีเดียว มันเป็นแปดต่อหนึ่งนะ !!!”
ซือเฟิงนั้นทำให้แซนสตอร์มปลิวกระเด็นไปได้ด้วยการโจมตีปกติ แต่นั่นมันก็คือทั้งหมด ผลลัพธ์ของการต่อสู้ที่แท้จริงระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นจะไม่จบลงอย่างรวดเร็ว หากซือเฟิงสามารถสร้างความเสียหายได้น้อยกว่าหนึ่งหมื่น หรืออาจจะมากกว่าหนึ่งหมื่นแค่เพียงเล็กน้อย มันก็ไม่มีทางที่เขาจะฆ่าแอสซาซินซึ่งเปิดใช้งานวงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงแล้วได้เลย แถมนี่ยังไม่นับรวมฮีลเลอร์ที่คอยช่วยแอสซาซินในแนวหลังอีก แอสซาซินจะสามารถฆ่าซือเฟิงได้อย่างง่ายดายด้วยซ้ำ
หากผู้เชี่ยวชาญแปดคนที่มีความแข็งแกร่งเท่ากับแซนสตอร์มโจมตีซือเฟิงร่วมกัน หัวหน้ากิลของสภาสิบแปดปีกก็จะนับว่าโชคดีมากแล้วที่สามารถจะยืนหยัดแบบชีวิตอยู่ได้ ไม่ต้องพูดถึงการฆ่าผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ซึ่งเป็นไปได้น้อยมาก
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ฟิธาเลียพยายามห้ามปรามซือเฟิงนั้น ซิลเวอร์โกสต์ก็หัวเราะขึ้นมา
“ดีมาก !!! คุณนี่ช่างกล้าหาญอย่างแท้จริง !!! ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมคุณถึงกล้าจะตั้งตนเป็นศัตรูกับไมโทโลจี้ !!!” ซิลเวอร์โกสต์พูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็หันไปาฟิธาเลียและพูดว่า “ฉันเป็นคนใจกว้างนะ ทำไมเราไม่รอให้กำลังเสริมของคุณสองคนมาถึงก่อนล่ะ แล้วค่อยเริ่ม ?”
“นั่นไม่จำเป็น เข้ามาเผชิญหน้ากับฉันทีเดียวเลย ฉันอยากจะรู้เหมือนกันว่าคุณมีพลังตามที่กล่าวอ้างไหม …” ซือเฟิงกล่าวพลางส่ายหัว
“ไอ้เวรนี่ !!!” แซนสตอร์มโกรธเกรี้ยว และเขาก็พุ่งเข้าใส่ซือเฟิงอีกครั้งทันที
ในขณะที่แอสซาซินเริ่มเคลื่อนไหว ผู้เชี่ยวชาญอีกเจ็ดคนที่ได้รับพลังเดียวกันก็พุ่งเข้าหาซือเฟิงพร้อมกันราวกับพายุที่รุนแรง
ผู้เชี่ยวชาญของไมโทโลโลจี้ทั้งแปดคนนั้นประสานงานกันอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อพวกเขาทำการเข้าโจมตีซือเฟิงพร้อมกัน ตราบใดที่ซือเฟิงพยายามจะโจมตีหนึ่งในแปดคนนี้ อีกเจ็ดคนก็จะโจมตีเขา นี่เป็นวิธีเดียวกับที่พวกเขาใช้ฆ่าฟิธาเลีย
อย่างไรก็ตามในขณะที่พวกเขากำลังพุ่งเข้ามานั้น ซือเฟิงก็ยกคิลลิงเรย์ขึ้นเหนือหัว และหลับตารออย่างอดทนให้แซนสตอร์มกับคนอื่นๆเข้ามาใกล้เขา
สามสิบหลา … ยี่สิบหลา … สิบหลา …
ระหว่างที่แอสซาซินหนุ่มและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆของไมโทโลจี้กำลังจะโจมตี ดวงตาของซือเฟิงก็เปิดขึ้นทันที ก่อนที่เขาจะเหวี่ยงดาบศักสิทธิ์ของเขาเป็นแนวโค้ง
ดาบแรก ไลท์ชาโด้ว !!!
ตอนที่ 2504
พลังของเทคนิคมานา
เมื่อซือเฟิงเหวี่ยงคิลลิงเรย์ มานารอบๆซือเฟิงก็รวมตัวกันเพื่อสร้างเงาของดาบขนาดใหญ่รอบๆดาบศักสิทธิ์ของเขา
หลังจากนั้นเงาของดาบขนาดใหญ่ซึ่งมีความยาวมากกว่ายี่สิบเมตรก็ฉีกพื้นที่ออกจากกัน ซึ่งผู้ที่มองเงาของดาบขนาดใหญ่นี้จากระยะไกลนั้นก็สังเกตเห็นรอยดำมืดขนาดใหญ่ตามแนวที่เงาของดาบขนาดใหญ่ตัดผ่าน
“สกิล ?”
เมื่อแซนสตอร์มและคนอื่นๆเห็นเงาของดาบขนาดใหญ่กำลังเข้ามา พวกเขาก็มั่นใจได้เลยว่าพลังของเงาดาบขนาดใหญ่ที่โจมตีเข้ามานี้นั้นอยู่ในมาตราฐานของขั้นสี่ และพวกเขาก็คิดที่จะหลบการโจมตีนี้โดยสัญชาตญาณทันที เพราะท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะมีค่าสถานะเทียบได้กับแกรนลอร์ดสายพันธุ์โบราณในเลเวลเดียวกัน แต่พวกยังคงห่างไกลจากมาตราฐานระดับเทพนิยาย ขั้นสี่
อย่างไรก็ตามการโจมตีของซือเฟิงที่ปรากฎขึ้นนั้นมันกระทันหัน และรวดเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นการโจมตีนี้ยังเป็นแบบ AOE ที่มีขนาดใหญ่มากๆ การจะหลีกเลี่ยงมันเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับมันตรงๆ
“ป้องกันมันด้วยกัน !!!” แซนสตอร์มตะโกน
หลังจากนั้นภายใต้การนำของแซนสตอร์ม ผู้เชี่ยวชาญทั้งแปดคนของไมโทโลจี้ก็ได้ใช้สกิลพร้อมกัน Triple Shadow!
Spatial Severance!
Thunder’s Wrath!
ผู้เล่นระยะประชิดทั้งแปดคนนั้นใช้สกิลการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองอย่างไม่ลังเล ซึ่งทุกคนนั้นล้วนใช้มันได้ในอัตราความสำเร็จเก้าสิบเปอเซ็นต์หรือสูงกว่าทั้งหมด
ในช่วงเวลาหนึ่งจะสามารถเห็นการโจมตีมากกว่าสิบครั้งครั้งปะทะเข้ากับเงาของดาบขนาดใหญ่ได้
ตู้ม …
ทันทีที่การโจมตีของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน พายุที่รุนแรงก็พัดใส่ผู้เล่นขั้นสองในรัศมีห้าสิบหลาจนสะดุดถอยหลัง และปล่องภูเขาไฟขนาดเล็กก็ก่อตัวขึ้นบนพื้นดินใต้จุดปะทะ
ในขณะที่ฝุ่นเริ่มจางลงนั้น รอยที่มีความยาวกว่ายี่สิบเมตร และลึกสองเมตรก็ปปรากฎขึ้นที่ตรงกลางของจุดปะทะ
สำหรับแซนสตอร์มและคนอื่นๆ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ถูกกดลงไปกับพื้น แต่พวกเขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องถอยไปห้าถึงหกก้าวก่อนที่พวกเขาจะสามารถทรงตัวได้ และในแต่ละเก้าที่ถูกบังคับให้ถอยกลับนั้นพื้นใต้เท้าของพวกเขาก็แตกเป็นเสี่ยงๆด้วย แรงจากผลกระทบครั้งนี้มันก็ทำให้มือของพวกเขาสั่นอย่างรุนแรง และมันก็ทำให้ทุกคนสูญเสีย HP ไปมากกว่าหนึ่งแสน
ในช่วงเวลาหนึ่งความตกตะลึงและสับสนนั้นเข้าปกคลุมไปทั่วบาร์
ก่อนหน้านี้ทุกคนก็คิดว่ามันไม่น่าเชื่อมากแล้วที่ซือเฟิงสามารถจะทำให้แซนสตอร์มปปลิวกระเด็นไปได้ด้วยการโจมตีปกติ แต่ตอนนี้เขากับเอาชระแซนสตอร์ม และผู้เชี่ยวชาญที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับแซนสตอร์มเจ็ดคนได้ในการเคลื่อนไหวเดียว พลังการต่อสู้ของซือเฟิงนั้นมันเป็นสิ่งที่ท้าทายสวรรค์ชัดๆ
“สกิลที่ใช้ด้วยร่างมานาที่ปลดล๊อคศักยภาพได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว มันทรงพลังมากขนาดนี้เลยงั้นหรอ ?” ดวงตาของโครว์เต็มไปด้วยความตกตะลึง เมื่อเห็นว่าซือเฟิงยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมของเขา แม้ว่าจะต้องปะทะกับผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังของไมโทโลจี้แปดคน
แม้ว่าทุกคนจะมีความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับร่างมานา หลังจากมาถึงขั้นสามแล้ว และรู้ว่าร่างมานานั้นจะช่วยเพิ่มพลังการต่อสู้ให้กับผู้เล่นได้อย่างมาก แต่เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันจะน่าทึ่งมากขนาดนี้
ในขณะนี้นอกเหนือจากโครว์แล้ว ผู้เล่นขั้นสามคนอื่นๆก็ตื่นเต้นเช่นกัน เมื่อได้เห็นฉากนี้ ตอนนี้ความปราถนาและความตื่นต้นที่ต้องการจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของพวกเขานั้นพุ่งสูงขึ้นมาก
เพราะท้ายที่สุดซือเฟิงเพิ่งพิสูจน์ให้พวกเขาได้เห็นแล้วว่ามันเป็นไปได้ที่ผู้เล่นขั้นสามจะสามารถแสดงพลังที่มาตราฐานของขั้นสี่ได้ ซึ่งนั่นมันก็หมายความว่าพวกเขาสามารถจะปะทะกับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายในเลเวลเดียวกันได้เลย พวกเขาอาจจะยังไม่สามารถฆ่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยายได้ แม้ว่าจะมีพลังแบบนี้ แต่มันก็จะเป็นดั่งรากฐานทำให้พวกเขาโจมตีมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายได้ง่ายขึ้นในอนาคตแน่นอน
มอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย !!!
ในระยะนี้ของเกมมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยนั้น จัดเป็นบอสทั่วไปที่แม้แต่กลชั้นสูงก็ยังไม่สามารถโจมตีได้เลย อย่างไรก็ตามผู้เล่นก็มีสิทจะร่ำรวยได้ในชั่วข้ามคืนหากฆ่าบอสเหล่านี้ได้ และมีไอเทมดีๆดรอปออกมา
ในขณะเดียวกันฟิธาเลียซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของซือเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับฉากนี้
เธอไม่เคยคิดเลยว่าพลังของซือเฟิงจะมาถึงระดับที่น่ากลัวมากขนาดนี้ เขาสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังของไมโทโลจี้แปดคนได้ด้วยตัวคนเดียว ด้วยความแข็งแกร่งแบบนี้ของซือเฟิงคนเดียว มันก็ควรจะเพียงพอที่จะปกป้องป้อมปราการแสงดาวได้ทั้งหมดแล้ว มันจะไม่มีใครสามารถสร้างความวุ่นวายในป้อมปราการแสงดาวได้เลย ตราบใดที่เขายังคงอยู่
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ฟิธาเลียและผู้เล่นคนอื่นๆกำลังคิดว่าไมโทโลจี้จะตัดสินใจล่าถอย หลังจากการปะทะกันครั้งนี้ ซิลเวอร์โกสต์ซึ่งเฝ้าดูการแลกเปลี่ยนอย่างเงียบๆจากมุมหนึ่งของบาร์ก็เริ่มปรบมือ
“น่าอัศจรรย์ น่าอัศจรรย์มากจริงๆ !!! ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมรองหัวหน้ากิลชาโด้วถึงยกย่องคุณมากนัก” ซิลเวอร์โกสต์กล่าว ท่าทีที่ดูสนุกสนานของเขานั้นมันทำให้ดูเหมือนว่าการพ่ายแพ้ในการปะทะกันของทีมแซนสตอร์มเมื่อครู่นั้นไม่ได้เกี่ยวกับเขาเลย เขาหัวเราะเบาๆ และพูดต่อว่า “น่าเสียดายที่แซนสตอร์มและคนอื่นๆได้เปิดใช้งานวงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงอยู่ ดังนั้นผลของการต่อสู้จึงได้รับการตัดสินแล้ว แม้ว่าคุณจะสามารถแสดงพลังในมาตราฐานของขั้นสี่ได้ แต่คุณก็หยุดพวกเราไม่ได้แน่นอน !!!”
ทันทีที่ซิลเวอร์โกสต์พูดจบ ฮีลเลอร์ในแนวหลังก็ทำการฟื้นฟู HP และอาการบาดเจ็บทั้งหมดที่แซนสตอร์มกับคนอื่นๆได้รับให้หายดีในทันที และมือที่สั่นเทาของพวกเขาก็ได้กลับคืนเข้าสู่สภาพปกติ
เมื่อได้เห็นฉากนี้ฟิธาเลียที่ก่อนหน้านี้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึมอีกครั้ง
เนื่องจากการแสดงความแข็งแกร่งที่น่ากลัวของซือเฟิง เธอจึงลืมไปชั่วครู่ว่านี่ไม่ใช่การแข่งขันที่ยุติธรรมระหว่างผู้เชี่ยวชาญ แต่มันเป็นการต่อสู้แบบคนตีกันแทน ซึ่งมันก็เกิดขึ้นระหว่างซือเฟิงและผู้เชี่ยวชาญของไมโทโลจี้ ชัยชนะนั้นจะสามารถตัดสินได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกทำลาย ในขณะเดียวกัน ในการต่อสู้แบบนี้นั้นมันก็เป็นเรื่องปกติที่ผู้เล่นระยะประชิดจะต้องพึ่งพาฮีลเลอร์
“มาดูกันสิว่าครั้งนี้คุณจะทำยังไง ไอ้เวร !!!” แซนสตอร์มที่ฟื้นตัวเต็มที่แล้วกล่าวอย่างเย้ยหยันพลางมองไปยังซือเฟิง
ความแข็งแกร่งของนักดาบนั้นมันไปไกลเกินความคาดหมายของเขา อย่างไรก็ตามแม้ว่าทั้งแปดจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซือเฟิง แต่นี่เป็นการต่อสู้จนกว่าจะตายกันไปข้าง และไม่มีการจำกัดใดๆ ยังไงซือเฟิงก็จะยังคงต้องตายอยู่ดี ผลลัพธ์มันชัดเจนอยู่แล้ว
ในขณะเดียวกันผู้เล่นขั้นสามในปัจจุบันนั้นก็ยังคงมีสกิลและเวทย์ขั้นสามอย่างจำกัดมากๆ ยิ่งไปกว่านั้นไม่เหมือนกับซือเฟิง ฝั่งของแซนสตอร์มยังมีฮีลเลอร์คอยดูแล มันเป็นเช่นเดียวกับที่ซิลเวอร์โกสต์ได้กล่าวไว้จริงๆว่าการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นได้รับการตัดสินตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว
“เป็นอย่างนั้นหรอ ?” ซือเฟิงยิ้ม
ทันทีที่ซือเฟิงพูดจบเขาก็ทำการถือคิลลิงเรย์ด้วยมือทั้งสองข้างของเขา และยกดาบศักสิทธิ์ขึ้นเหนือหัวอีกครั้ง ขณะเดียวกันมานาภายในบาร์นั้นก็พุ่งเข้าไปหาดาบศักสิทธิ์ทันที
“เป็นไปไม่ได้ !!!” แซนสตอร์มนั้นตกตะลึงอย่างมาก เมื่อได้เห็นฉากที่คุ้นเคยตรงหน้า
คูลดาวน์ของสกิลและเวทย์นั้น ยิ่งมันมีความแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งมีคูลดาวน์ที่นานขึ้นเท่านั้น ซึ่งการเคลื่อนไหวที่ซือเฟิงใช้ไปเมื่อครู่ควรจะมีคูลดาวน์ไม่ต่ำกว่าหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้หลังจากเขาใช้มันไปได้แค่หกวินาที เขากำลังจะใช้มันอีกครั้งแล้ว
นี่มันไม่ควรจะเป็นไปได้เลย !!!
อย่างไรก็ตามก่อนที่แซนสตอร์มและคนอื่นๆจะหายจากอาการตกตะลึง เงาของดาบขนาดใหญ่ที่น่ากลัวก็พุ่งเข้ามาหาพวกเขาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามแซนสตอร์มและคนอื่นๆนั้นก็จัดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลัง ดังนั้นพวกเขาจึงตอบสนองต่อการโจมตีที่เข้ามาด้วยสกิลขั้นสามของพวกเขาทันที
ตู้ม !!
เมื่อการโจมตีของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน มันก็บังเกิดพายุที่ทรงพลังอีกครั้ง อย่างไรก็ตามสกิลขั้นสามที่แซนสตอร์มและคนอื่นๆใช้ในครั้งนี้นั้นอ่อนแอกว่าครั้งที่แล้วมาก ดังนั้นพวกเขาจึงตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชกัน และได้รับความเสียหายมากกว่าหนึ่งแสนสามหมื่น ถึงกระนั้นสำหรับแซนสตอร์มและคนอื่นๆที่มี HP มากกว่าสองล้าน ความเสียหายนี้มันก็ยังนับว่าไม่สำคัญมากนัก
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่แซนสตอร์มและคนอื่นๆกำลังจะเยาะเย้ยซือเฟิงอีกครั้ง ซือเฟิงก็เริ่มชูดาบใช้ท่าเดิมอีกครั้ง อย่างไรก็ตามการรวบรวมมานาของเขาในครั้งนี้นั้นมันเร็วกว่าเดิมมากๆ
ก่อนที่แซนสตอร์มและคนอื่นๆจะทันได้พูดอะไรต่อ ซือเฟิงก็เริ่มโจมตีอีกครั้ง
ตู้ม !!
คราวนี้แซนสตอร์มและคนอื่นๆนั้นตอบสนองช้าเกินไปต่อการโจมตีของซือเฟิง ดังนั้นพวกเขาจึงล้มเหลวในการใช้สกิลขั้นสามป้องกันตัวเอง พวกเขาจึงได้รับความเสียหายไปมากกว่าสามแสน
“ไอ้เวรเอ้ย !!! ฉันได้พูดไปแล้วว่าผลของการต่อสู้นี้มัน ..!!”
แม้ว่าแซนสตอร์มซึ่งใกล้จะคุกเข่าลงกับพื้นพยายามที่จะตอบโต้ด้วยการเยาะเย้ยซือเฟิง แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบซือเฟิงก็เหวี่ยงคิลลิงเรย์อีกครั้ง
หนึ่งครั้ง … สองครั้ง … สามครั้ง …
ในช่วงเวลาหนึ่งผลของการระเบิดนั้นทำให้บาร์แสงดาวสั่นสะเทือนไปทั้งแถบ และนอกเหนือจากเสียงนี้แล้วผู้คนโดยรอบก็ไม่มีใครได้ยินเสียงอื่นเลย
ในที่สุดหลังจากซือเฟิงทำการโจมตีแบบนี้ไปสิบเอ็ดครั้งติดต่อกัน โลกโดยรอบเขาก็เงียบสนิท แซนสตอร์มและผู้เชี่ยวชาญอีกเจ็ดคนของไมโทโลจี้ได้ตายลงจนเหลลือแต่ซาก ตอนนี้พวกเขานั้นไม่มีทั้ง HP ออร่า หรือมานาใดๆเหลืออีกแล้ว
ตอนที่ 2505
หนึ่งคนเท่ากับทั้งกองทัพ
ในขณะที่ร่างของผู้เชี่ยวชาญทั้งแปดของไมโทโลจี้ที่เหลือแต่ซากเริ่มสลายกลายเป็นอนุภาคแสง ภายในบาร์แสงดาวนั้นมันก็ดูเหมือนว่าเวลาจะถูกหยุดนิ่งไป และทุกคนก็จ้องมองไปยังร่างของซือเฟิงด้วยความเงียบสงัด หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็เริ่มแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงออกมา
“แข็งแกร่งมากๆ !!!”
“นี่คือพลังที่แท้จริงของร่างมานาที่ถูกปลดล๊อคศักยภาพได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์งั้นหรอ ?”
เมื่อทุกคนมองไปที่ร่องรอยของการโจมตีตรงหน้าของซือเฟิง ซึ่งมีความลึกสี่เมตร และขยายออกไปมากกว่าสามสิบเมตร พวกเขาก็ไม่มีคำพูดใดๆที่จะอธิบายถึงความรู้สึกตกตะลึงและชื่นชมในตัวของซือเฟิง
แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญของไมโทโลจี้ทั้งแปดคนที่ได้รับการเสริมพลังจากวงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงจะแข็งแกร่งอย่างน่ากลัว และมันก็มีมากพอที่จะฆ่าผู้เล่นทุกคนในบาร์ได้ แต่ต่อหน้าของซือเฟิง ผู้เชี่ยวชาญของไมโทโลจี้ที่ได้รับการเสริมพลังพวกนี้กับไม่ต่างจากเด็กเล็กๆเลย พวกเขาไม่แม้แต่จะสามารถต้านทานพลังของซือเฟิงได้ด้วยซ้ำ
ความแข็งแกร่งที่ซือเฟิงได้แสดงออกมานั้น ได้ทำให้ทุกคนที่นี่เข้าใจถึงความแข็งแกร่งของขั้นสามโดยละเอียด ในขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญอิสระหลายคนก็ค้นพบกับความหวัง
ในขั้นต้นนั้น การต่อสู้ระหว่างผู้เล่นขั้นสามทั่วไปผลลัพธ์จะถูกกำหนดโดยจำนวนผู้เล่นขั้นสามที่แต่ละฝ่ายครอบครอง ผู้เล่นขั้นสามเพียงคนเดียวไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของการต่อสู้แบบทีมที่เกี่ยวข้องกับผู้เล่นขั้นสามได้ ดังนั้นทุกจึงเชื่อว่า หากผู้เล่นอิสระขั้นสามต้องการจะหลีกเลี่ยงการถูกปราบปราม พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเข้าร่วมกับมหาอำนาจ
อย่างไรก็ตามซือเฟิงได้ทำลายความเชื่อนี้ไปทั้งหมด
ต่อหน้าเขาผู้เล่นขั้นสามที่ดูน่าหวาดกลัวและเคารพนั้นไม่มีอะไรเลย แม้แต่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญขั้นสามก็จะถูกฆ่าได้โดยการเคลื่อนไหวแค่ไม่กี่ครั้งของเขา
ซือเฟิงได้พิสูจน์แล้วว่าแม้ว่าเขาจะมีตัวคนเดียว แต่ก็ยังสามารถจะเล่นบทบาทของกองทัพได้ เช่นเดียวกับฮีโร่ในตำนาน เขาดูเหมือนจะมีความแข็งแกร่งที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของทั้งอาณาจักรหรือทั้งจักรวรรดิได้เลย
ในขณะเดียวกัน ตราบใดที่พวกเขาปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ พวกเขาก็น่าจะสามารถแสดงพลังการต่อสู้ที่ใกล้เคียงกับซือเฟิงออกมาได้
“ผู้บัญชาการด้วยพลังการต่อสู้แบบนี้ ผู้บัญชาการไม่คิดหรอว่าแบล๊คเฟรมน่าจะเหนือกว่าสัตว์ประหลาดเก่าแก่ของห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดด้วยน่ะ ?” ชายผู้โหดเหี้ยมจากหัวใจพายุกล่าวถามโครว์ ผู้บัญชาการของเขา และตอนนี้ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเคารพ ขณะจ้องมองไปยังซือเฟิง
เนื่องจากซือเฟิงสามารถจะเอาชนะผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดแปดคนที่ได้รับการเสริมพลังจากวงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงได้ เขาจึงน่าจะมีพลังอยู่ในอันดับต้นๆของทวีปด้านตะวันตกแน่นอน ความสำเร็จที่เขาทำได้ในวันนี้มันจะเป็นการเริ่มต้นบทใหม่แห่งการพัฒนาของ God domain และอาจรวมไปถึงโลกเกมเสมือนจริงทั้งหมดด้วย
ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของโลกเกมเสมือนจริงนั้น มหาอำนาจต่างๆได้ทำการกดขี่ผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ได้มาจากมหาอำนาจอยู่ตลอด และมันไม่มีทางที่จะย้อนกลับสถานการณ์ได้เลย นี่เป็นเรื่องจริงอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งแม้แต่มหาอำนาจส่วนใหญ่ก็ยังหวาดกลัว และทั้งห้ากิลนี้ก็ไม่ใช่ตัวตนที่จะสามารถท้าทายได้ง่ายๆเลย
อย่างไรก็ตามตอนนี้ซือเฟิงกับได้ทำลายคำสาปนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ตอนแรกซือเฟิงก็ทำให้จักรวรรดิโลกใต้พิภพต้องยอมแพ้ได้ด้วยมังกรศักสิทธิ์ พอมาตอนนี้เขายังเอาชนะทีมผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังมากๆของไมโทโลจี้ได้ด้วยตัวเองด้วย บันทึกการต่อสู้ที่น่าทึ่งแบบนี้จะถูกกล่าวถึงและกลายเป็นอมตะในโลกเกมเสมือนจริงแน่นอน
“ฉันไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างที่นายพูดไหม แต่ที่แน่ๆฉันมั่นใจอยู่อย่างหนึ่งคือ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปชื่อเสียงของแบล๊คเฟรมจะแพร่กระจายไปทั่วทวีปด้านตะวันตกแน่นอน และมันก็คงจะไม่มีใครกล้าคิดอะไรแปลกๆในเรื่องป้อมปราการแสงดาวอีกต่อไป”
โครว์กล่าวด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ขณะที่เขามองไปยังซือเฟิง
มันเป็นเวลานานกว่ายี่สิบปีแล้วที่ไม่มีมหาอำนาจใด หรือคนผู้ใดกล้าจะท้าทายอำนาจของห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ตอนนี้ซือเฟิงกับทำแล้ว …. แถมมันยังเป็นการตบหน้าไมโทโลจี้ครั้งใหญ่ด้วย
เพียงแค่เรื่องนี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ซือเฟิงเป็นหัวข้อสนทนาสำหรับผู้เล่นอิสระในทวีปด้านตะวันตก และเขาก็เป็นดั่งตัวตนที่สั่นคลอนรากฐานของทั้งทวีปเลย
นี่เป็นเพราะความสามารถของซือเฟิงนั้นได้ชี้ทางให้ผู้เล่นที่ไม่ใช่มหาอำนาจต่างๆได้เห็น
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความแข็งแกร่งของซือเฟิงที่พึ่งจะแสดงออกมา โครว์ก็เชื่อว่าจะไม่มีใครคุกคามป้อมปราการแสงดาวได้แล้ว ตราบใดที่ซือเฟิงยังคงอยู่ ในความเป็นจริงโครว์สงสัยว่า แม้ว่าเรื่องนี้จะกระจายออกไปก็อาจมีผู้เล่นบางส่วนไม่เชื่อแน่นอน
ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้นมันยอดเยี่ยมขนาดนี้เลยจริงๆงั้นหรอ ?
ในขณะที่ผู้เล่นในบาร์กำลังมองไปยังซือเฟิงด้วยความตกตะลึงและชื่นชม ฟิธาเลียนั้นก็ตกตะลึงและรู้สึกสับสนมากเช่นกัน เมื่อมองไปยังซือเฟิง
ใน God domain สกิลหรือเวทย์ที่ทรงพลังใดๆจะต้องมีคูลดาวน์ที่ยาวนานมาก แม้จะเป็นสกิลหรือเวทย์ในขั้นศูนย์
อย่างไรก็ตามซือเฟิงกับทำการโจมตีทำลายล้างที่น่ากลัวแบบเดียวกันติดกันได้สิบเอ็ดครั้งโดยแทบไม่มีช่องว่างระหว่างเวลาของการโจมตีแต่ละครั้งเลย
ที่เขาใช้นั้นมันก็ไม่ใช่เทคนิคการต่อสู้แน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้วเทคนิคการต่อสู้จะไม่สามารถดึงดูดมานาเข้ามาได้มากขนาดนี้
คำอธิบายเดียวที่ฟิธาเลียสามารถจะคิดได้สำหรับสถานการณ์นี้ก็คือ การโจมของซือเฟิงที่เขาสามารถทำได้นั้นเป็นเอฟเฟคพิเศษที่เกิดจากการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของเขาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์
หากมันเป็นเช่นนี้จริงๆสิ่งที่เผ่าศักสิทธิ์จะต้องทำต่อจากนี้นั้นไม่ใช่แค่การทุ่มเทความพยายามในการบุกโจมตีดันเจี้ยนและเพิ่มจำนวนผู้เชี่ยวชาญขั้นสามที่มีเท่านั้น แต่พวกเขาก็ควรจะหาวิธีปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของผู้เล่นไปพร้อมกันด้วย
ไม่งั้นผู้เชี่ยวชาญเพียงแค่คนเดียวที่มีร่างมานาที่ปลดล๊อคศักยภาพได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์จะสามารถกำหนดทิศทางของสงครามกิลได้เลย ในความเป็นจริงการปปรากฎตัวของผู้เชี่ยวชาญแบบนี้เพียงคนเดียวอาจทำให้การโจมตีดันเจี้ยนขนาดใหญ่พิเศษในปัจจุบันนั้นเป็นไปได้ทันทีเลย
ในขณะเดียวกันสมาชิกของไมโทโลจี้ที่อยู่ในบาร์นี้เองก็ตกตะลึงกับสถานการณ์นี้ไปชั่วขณะ
พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าซือเฟิงจะมีพลังมากพอจะฆ่าแซนสตอร์มและผู้เชี่ยวชาญอีกเจ็ดคนที่ได้รับการเสริมพลังจากวงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงได้ด้วยการโจมตีเพียงสิบเอ็ดครั้ง แถมเอาจริงๆด้วยค่าสถานะ HP รวมไปถึงพลังป้องกันของพวกเขานั้นมันจะทำให้พวกเขาสามารถเอาตัวรอดจากมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายได้ในชั่วระยะเวลาหนึ่งเลย
อย่างไรก็ตามซือเฟิงกับใช้เวลาไม่ถึงแปดวินาทีด้วยซ้ำในการจัดการพวกเขา เขาสามารถเอาชนะทีมของแซนสตอร์มได้อย่างรวดเร็วจนแม้แต่ฮีลเลอร์ในแนวหลังก็ยังไม่สามารถจะช่วยพวกเขาได้
“รองผู้บัญชาการ วงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงทั้งแปดของเราถูกทำลายแล้ว และตอนนี้เราก็มีเหลืออยู่อีกเพียงวงเดียว เราควรจะสู้ต่อไปไหม ?” แรนเจอร์ขั้นสามกล่าวถามซิลเวอร์โกสต์
วงเวทย์การต่อสู้ขั้นสูงที่พวกเขาเตรียมมานั้นมันไม่ใช่ไอเทมธรรมดา การผลิตวงเวทย์เหล่านี้ไม่เพียงแต่จะมีค่าใช้จ่ายมหาศาล แต่มันยังทำได้ยากมากด้วย
คราวนี้กิลได้จัดหามาให้พวกเขาเก้าชุดเพื่อทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะสามารถเข้ายึดป้อมปราการแสงดาว และเตรียมพร้อมได้ เมื่อศาลเจ้าของเทพปีศาจถูกเปิดขึ้น
ในขณะเดียวกันตอนนี้พวกเขาก็ใช้ไปแล้วแปดชุด เหลือแค่เพียงชุดเดียวสำหรับซิลเวอร์โกสต์ไว้ใช้งานเท่านั้น
สมาชิกของไมโทโลจี้ทุกคนในปัจจุบันนั้นรู้ดีว่าซิลเวอร์โกสต์แข็งแกร่งมากแค่ไหน มันมีเพียงแต่ผู้บัญชาการเท่านั้นที่แข็งแกร่งมากกว่าเขา แม้แต่เทรมบิ่งแฮนด์อดีตรองผู้บัญชาการของพวกเขาก็ยังรับมือกับซิลเวอร์ได้ไม่เกินยี่สิบการเคลื่อนไหวเลย
การปรากฎตัวของซิลเวอร์โกสต์นั้นยังเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขามั่นใจในความสำเร็จของปฎิบัติการครั้งนี้ อย่างไรก็ตามพลังการต่อสู้ที่ซือเฟิงแสดงออกมานั้นมันก็น่ากลัวเกินไป จนทำให้พวกเขาอดจะสงสัยไม่ได้
ขณะที่ซิลเวอร์โกสต์กำลังจะตอบกลับ เสียงคำรามที่ทำให้จิตใจของทุกคนรู้สึกสั่นสะเทือนก็ดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่งห่างออกไปจากบาร์แสงดาว
“มาแล้วงั้นหรอ ? ช่างน่าเสียดาย ตอนนี้เก็บวงเวทย์การต่อสู้ไว้ก่อน เราจะถอย !!!” ซิลเวอร์โกสต์กล่าวพลางถอนหายใจออกมา ขณะที่เขามองไปยังหลังคาของบาร์ที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นเขาก็หันไปหาซือเฟิงและกล่าวว่า “ครั้งนี้ไมโทโลจี้จะขอยอมแพ้ในเรื่องป้อมปราการแสงดาว อย่างไรก็ตาม เราจะได้พบกันอีกครั้งแน่นอนหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม !!!”
ทันทีที่ซิลเวอร์โกสต์พูดจบ รอยแยกมิติก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าเขา แม้ว่าออร์เบ็คจะปรากฎตัวออกมา และพยายามใช้ Spatial Imprisonment หยุดพวกเขา แต่มันก็ไม่สำเร็จ ไม่นานนักซิลเวอร์โกสต์ และสมาชิกของไมโทโลจี้ทั้งหมดก้าวเข้าไปในรอยแยกมิติและหายไปจากบาร์แสงดาว
ในขณะเดียวกันไม่นานหลังจากที่ซิลเวอร์โกสต์และทีมของเขาจากไป ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามกลุ่มใหญ่ก็ปรากฎตัวขึ้นรอบๆบาร์แสงดาว ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามกลุ่มนี้นั้นมีจำนวนมากกว่าสี่ร้อยคน และการปรากฎตัวของพวกเขามันก็ทำให้ผู้เล่นในบาร์ชะงักไปชั่วครู่เลย
“ดูเหมือนว่าเราจะมาช้าไปหน่อย …” เฮลรัชกล่าวบ่นออกมา เมื่อเห็นว่าสมาชิกของไมโทโลจี้หายไปจากบาร์แสงดาวแล้ว
เพื่อทำให้มั่นใจว่าจะสามารถจัดการกับผู้เชี่ยวชาญมากกว่าสามสิบคนของไมโทโลจี้ได้ เขาได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะรวบรวมผู้เชี่ยวชาญขั้นสามจำนวนมากเข้ามาที่นี่ แต่เขาไม่นึกเลยว่าเขาจะมาช้าเกินไป
“คุณมาช้าไปหน่อยนะ การต่อสู้พึ่งจบลง และผู้เชี่ยวชาญของไมโทโลจี้ก็ได้จากไปแล้ว …” ฟิธาเลียกล่าวพลางพยักหน้า “อย่างไรก็ตามฉันเชื่อว่าพวกเขาจะไม่เข้ามาก่อกวนป้อมปราการแสงดาวกันอีกแล้วแน่นอน อย่างน้อยก็ในอนาคตอันใกล้นี้”
“หมายความว่ายังไง ?” เฮลรัชสับสนกับคำพูดของฟิธาเลีย เท่าที่เขารู้ไมโทโลจี้เป็นกิลที่จะไม่ยอมหยุดใดๆเลยหากไม่บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
“เอาเป็นว่าดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตาตัวเองแล้วกัน …”
ฟิธาเลียนั้นไม่ได้คิดจะอธิบายใดๆให้เฮลรัชฟัง เธอเพียงแต่ส่งบันทึกวีดีโอการต่อสู้ในครั้งนี้ไปให้เขาดูเท่านั้น ซึ่งนี่เป็นเพราะเธอเองก็ยังไม่เข้าใจหลายแง่มุมของการต่อสู้ครั้งนี้ ดังนั้นมันคงจะดีกว่ามากถ้าเฮลรัชและคนอื่นๆได้ดูด้วยตัวเอง
ซึ่งในวีดีโอนั้นได้บันทึกทุกอย่างไว้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ต้นจนจบ และไม่ว่าจะเป็นเฮลรัช สมาชิกของกองกำลังนรกคนอื่นๆ หรือแม๊คอาฟรี่ และคริมสันวิชผู้ซึ่งได้ติดต่อกับซือเฟิงไม่นานหลังจากที่เขามาถึงทวีปด้านตะวันตก ดวงตาก็ยังแทบจะถลนออกจากเบ้า
ครู่หนึ่งพวกเขาทั้งหมดต่างสงสัยด้วยซ้ำว่าซือเฟิงในวีดีโอเป็นคนเดียวกับซือเฟิงที่พวกเขารู้จักไหม
นี่มันเป็นเวลาเพียงแค่ไม่นานเองที่พวกเขาไม่ได้พบกับซือเฟิง แต่เขากับปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว และเอาชนะผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของไมโทโลจี้แปดคนที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับแกรนลอร์ดสายพันธุ์โบราณได้
นี่เขายังเป็นมนุษย์อยู่รึปล่าว ?
ในขณะเดียวกันในช่วงเวลาที่เฮลรัชและคนอื่นๆกำลังรู้สึกตกตะลึงและสับสนกับเรื่องนี้ วีดีโอการต่อสู้ของซือเฟิงในบาร์แสงดาวก็เริ่มแพร่กระจายออกไปเหมือนโรคระบาด และในไม่ช้าวีดีโอเหล่านี้ก็ไปถึงมือของมหาอำนาจต่างๆในทวีปด้านตะวันตก
“มันเกิดอะไรขึ้น ?”
“ไมโทโลจี้แพ้ ?”
ตอนที่ 2506
ชื่อเสียงแพร่กระจายออกไป
ความพ่ายแพ้ของไมโทโลจี้นั้นมันเป็นดั่งแผ่นดินไหวขนาดแปดริกเตอร์ มันไม่มีมหาอำนาจใดจะสามารถทำใจเชื่อเรื่องนี้ได้เลย
ก่อนหน้านี้การตัดสินใจจะยอมแพ้ของจักรวรรดิโลกใต้พิภพและเข้าเป็นพันธมิตรของสภาสิบแปดปีกกับเผ่าศักสิทธิ์นั้นมันก็สร้างความตกตะลึงให้กับเขามากแล้ว แต่มันก็ยังอยู่ในเหตุผลที่เข้าใจได้ เนื่องจากตัวตนของมังกรศักสิทธิ์ไม่ใช่อะไรที่ผู้เล่นจะสามารถต่อต้านได้เลย
แต่ตอนนี้ไมโทโลจี้นั้นมีวิธีการจะหลบเลี่ยงการตรวจจับของมังกรศักสิทธิ์แล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถเข้ายึดครองหรือปันหุ้นของป้อมปราการแสงดาวได้ ยิ่งไปกว่านั้นความล้มเหลวของไมโทโลจี้ยังไม่ได้เกิดจากมังกรศักสิทธิ์ แต่เป็นซือเฟิงซึ่งเป็นผู้เล่นขั้นสามเพียงแค่คนเดียว จะให้พวกเขาพาตัวเองไปเชื่อข่าวนี้ได้ยังไง ?
นี่คือหนึ่งในห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเกมเสมือนจริงเลยนะที่พวกเขาำลังพูดถึง !!!
มันเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ไม่มีใครสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ เพราะทุกคนที่พยายามทำเช่นนั้นส่วนใหญ่จะถูกปราบปรามลงโดยห้ายักษ์ใหญ่นี้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตามตอนนี้ซือเฟิงไม่เพียงแต่จะยืนหยัดต่อหน้าของไมโทโลจี้ได้ แต่เขายังสามารถจะฆ่าผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดแปดคนที่ทรงพลังมากๆของไมโทโลจี้ได้ด้วยตัวคนเดียว
มหาอำนาจต่างๆนั้นเริ่มการเคลื่อนไหวทันที พวกเขาไม่เพียงแต่ละทิ้งแผนการทั้งหมดที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายในป้อมปราการแสงดาว แต่พวกเขายังห้ามไม่ให้ทีมผู้เชี่ยวชาญที่พวกเขาส่งไปยังหุบเขาดาวก่อปัญหาใดๆภายในป้อมปราการแสงดาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ซือเฟิงอยู่ในป้อม
เหตุผลในการตัดสินใจของพวกเขานั้นไม่ใช่แค่เรื่องที่ซือเฟิงสามารถฆ่าผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังแปดคนของไมโทโลจี้ได้ แต่มันเป็นเพราะพลังที่ซือเฟิงแสดงออกมา เท่าที่พวกเขาเห็น แม้แต่การทำลายทีมผู้เล่นขั้นสามหนึ่งร้อยคนก็จะนับเป็นแค่ของเล่นเด็กสำหรับซือเฟิง เขานั้นเป็นคนเดียวที่มีค่าเทียบเท่ากับทั้งกองทัพอย่างแท้จริง เขาเป็นตัวตนที่น่ากลัว
นอกจากนี้ป้อมปราการแสงดาวยังเป็นป้อมปราการเพียงแค่แห่งเดียวในหุบเขาดาว หากมหาอำนาจต่างๆต้องการจะพัฒนาไปได้อย่างราบรื่นในหุบเขาดาว การเข้าถึงป้อมปราการให้ได้ก็เป็นเรื่องจำเป็น และหากพวกเขาถูกแบนออกจากป้อมปราการ พวกเขาจะต้องเจอกับปัญหาใหญ่แน่นอน
สำหรับการดำเนินการโดยตรงเพื่อเข้ายึดป้อมปราการนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะท้ายที่สุดแม้แต่ไมโทโลจี้ยังทำอะไรกับป้อมปราการแสงดาวไม่ได้ แล้วพวกเขาจะไปทำอะไรได้ยังไง ?
ในช่วงเวลาหนึ่งผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆที่เข้ามาในป้อมปราการแสงดาวนั้นล้วนปฎิบัติตัวกันเป็นลูกแกะเชื่องๆเลย
ในขณะเดียวกันภายในคฤหาสถ์ลอร์ดแห่งป้อมปราการแสงดาว ปัจจุบันซือเฟิงนั้นมีงานล้นมือมากๆ
เนื่องจากความพ่ายแพ้ของไมโทโลจี้ มหาอำนาจต่างๆจึงกลับกลายเป็นอ่อนโยนและว่าง่ายเลยทีเดียว และจำนวนผู้เล่นใหม่ที่เต็มใจจะเข้ามาเยี่ยมชมป้อมปราการนั้นมันก็สูงขึ้นมาก โดยผู้เล่นใหม่เหล่านี้ประกอบไปด้วยพ่อค้าหลายคน และบริษัทการค้าบางแห่งก็พยายามจะเป็นพันธมิตรกับสภาสิบแปดปีกโดยการเสนอเช่าร้านค้าในป้อมปราการแสงดาวด้วยราคาสูงลิ่วเลย นี่มันทำให้ป้อมปราการแสงดาวนั้นแออัดขึ้นอีกมาก
“หัวหน้ากิล จากข้อมูลล่าสุดของเรา ประชากรผู้เล่นของป้อมปราการแสงดาวนั้นใกล้แตะห้าแสนคนแล้ว และการประมาณการคร่าวๆตอนนี้เราก็มีกำไรสุทธิเป็นคริสตัลเวทย์มนต์มากกว่าสองแสนห้าหมื่นชิ้นต่อวัน” อควาโรสกล่าวรายงานด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย ขณะที่เธอมองไปยังข้อมูลล่าสุดที่เธอได้รับมา “ในอัตรานี้เราจะใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วันก่อนที่เราจะสามารถซ่อมแซมสนามรบขนาดใหญ่ในคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองได้ จากนั้นคนของเราก็จะสามารถใช้มันสำหรับการฝึกการต่อสู้ทุกประเภท รวมไปถึงใช้ฝึกปรับปรุงการควบคุมมานาของพวกเขาได้อย่างมาก …”
แม้ว่าป้อมปราการแสงดาวนั้นจะเป็นป้อมปราการโบราณ แต่มันก็ไม่สามารถจะขยายได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเพิ่มขีดจำกัดของประชากรของป้อมปราการ อย่างไรก็ตามผู้เล่นก็จะยังสามารถซ่อมแซมสิ่งอำนวยความสะดวกในป้อมปราการ และเพิ่มความสามารถของป้อมปราการได้
ในบรรดาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่มีอยู่ในป้อมปราการแสงดาวนั้น สิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดสำหรับผู้เล่นคือสนามรบขนาดใหญ่ แต่น่าเสียดายที่มันต้องใช้คริสตัลเวทย์มนต์ถึงหนึ่งล้านห้าแสนชิ้นในการครอบครอง
ในตอนแรกซือเฟิงคิดว่าเขาคงไม่สามารถจะซ่อมแซมสนามรบขนาดใหญ่นี้ได้ในเวลาอันใกล้ อย่างไรก็ตามตอนนี้ป้อมปราการแสงดาวมีผู้เล่นมากขึ้น ดังนั้นระยะเวลาที่ต้องใช้เพื่อรวบรวมคริสตัลเวทย์มนต์เพื่อซ่อมแซมจึงควรจะสั้นลงอย่างมาก
สนามรบขนาดใหญ่นี้นั้นเป็นเหมือนกับดันเจี้ยนพิเศษที่อยู่ที่ชั้นใต้ดินชั้นแรกของคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครอง และภายในสนามรบขนาดใหญ่ผู้เล่นจะสามารถต่อสู้กับมอนสเตอร์แบบจำลองได้ทุกชนิดในสภาพแวดล้อมโบราณของป้อมปราการแสงดาว และด้วยการฝึกฝนในสนามรบขนาดใหญ่ ผู้เล่นก็จะสามารถพัฒนาการควบคุมมานาได้อย่างมาก เพราะท้ายที่สุดแล้วการต่อสู้แบบมีชีวิตเป็นเดิมพัน มันจะดีกว่าการฝึกฝนในห้องฝึกต่อสู้อยู่แล้ว
ตราบเท่าที่สนามรบขนาดใหญ่ได้รับการซ่อมแซม สภาสิบแปดปีกก็จะสามารถย้ายผู้เชี่ยวชาญแกนหลักจากทวีปด้านตะวันออกมาฝึกที่นี่ได้อย่างต่อเนื่อง และทำให้พวกเขาปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ได้เร็วกว่าผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆของมหาอำนาจหลายเท่า
“จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นถึงขนาดนี้แล้วงั้นหรอ ?” ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับรายงานของอควาโรส
แม้ว่าเขาจะรู้มานานแล้วว่าการต่อสู้กับไมโทโลจี้ และการเปิดใช้งานศาลเจ้าของเทพปีศาจจะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็วในอนาคตอันใกล้ แต่เขาไม่ได้คิดเลยจริงๆว่ามันจะรวดเร็วขนาดนี้
“น่าเสียที่ป้อมปราการแสงดาวนั้นเป็นเพียงป้อมปราการขนาดเล็ก ไม่งั้นเราจะได้รับคริสตัลเวทย์มนต์อีกมากกว่านี้แน่นอน” อควาโรสกล่าวด้วยความผิดหวัง
คริสตัลเวทย์มนต์นั้นมีความสำคัญมากๆสำหรับผู้เล่นในปัจจุบัน สิ่งนี้เป็นเรื่องจริงแม้แต่ในทวีปด้านตะวันออก
เหตุผลคือความต้องการคริสตัลเวทย์มนต์สำหรับการผลิตอาวุธและอุปกรณ์เลเวลสูงนั้นมีสูงมากๆ
ถึงแม้ว่าสภาสิบแปดปีกจะได้รับโอกาสในการได้รับคริสตัลเวทย์มนต์จำนวนมาก แต่โอกาสนี้ก็ยังคงถูกจำกัดเนื่องจากข้อกำหนดของป้อมปราการแสงดาว
“ป้อมปราการขนาดเล็กตอนนี้มันก็มากเกินพอสำหรับเราแล้ว เพราะท้ายที่สุดรากฐานของเราในทวีปด้านตะวันตกนั้นยังตื้นเกินไป แม้ว่าเราจะยึดป้อมปราการขนาดกลางกับขนาดใหญ่ได้จริงๆ แต่เราก็จะไม่สามารถจัดการมันได้” ซือเฟิงกล่าวเมื่อเห็นใบหน้าที่ผิดหวังของอควาโรส
“ฉันเข้าใจ เราสามารถส่งผู้เล่นเข้ามายังทวีปด้านตะวันตกได้แค่สิบคนต่อสัปดาห์เท่านั้น นี่มันช่างแย่จริงๆ เราน่าจะส่งมาได้เพิ่มอีกสักหน่อย …” อควาโรสกล่าว
เธอนั้นได้สัมผัสถึงประโยชน์ของทวีปด้านตะวันตกอย่างชัดเจนแล้ว ถ้าเป็นไปได้เธออยากจะย้ายสมาชิกกองกำลังหลักทั้งหมดของสภาสิบแปดปีกมาที่นี่ทันทีเพื่อฝึกเลยด้วยซ้ำ เพราะด้วยความช่วยเหลือจากป้อมปราการแสงดาวนั้น สภาสิบแปดปีกจะไม่จำเป็นต้องกังวลเลยว่าผู้เล่นขั้นสามของตัวเองจะขาดความแข็งแกร่ง
“พักเรื่องการส่งคนมาที่นี่ให้มากขึ้นไปก่อนดีกว่า เนื่องจากเราจะสามารถเปิดใช้งานสนามรบขนาดใหญ่ได้ในเร็วๆนี้ ให้ฝ่ายของหยานเทียนซิงเตรียมการที่จำเป็นเพื่อก่อตั้งสาขาของพันธมิตรนักผจญภัยของเราขึ้นที่นี่ และสมาชิกของพันธมิตรนั้นจะสามารถเก็บคะแนนสะสมได้โดยการทำเควสที่ออกโดยพันธมิตร หลังจากนั้นพวกเขาก็จะสามารถใช้เวลาคะแนนเหล่านี้เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเวลาในสนามรบขนาดใหญ่หรือรายการอื่นๆได้ ในความเป็นจริงถ้าระดับของพวกเขาในพันธมิตรสูงพอ พวกเขายังจะสามารถแลกเปลี่ยนคะแนนเป็นบ้านส่วนในป้อมปราการแสงดาวได้ด้วย” ซือ
เฟิงกล่าว
มันจะใช้เวลานานมากเกินไปสำหรับสภาสิบแปดปีกในการส่งสมาชิกจำนวนมากเข้ามายังทวีปด้านตะวันตก ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อผู้เล่นมีเลเวลสูงขึ้นเรื่อยๆ ผู้เล่นขั้นสามก็จะมีจำนวนมากขึ้น และมันก็จะมีผู้ที่สามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ได้เพิ่มขึ้น แม้ว่าซือเฟิงอาจจะสามารถปกป้องป้อมปราการแสงดาวทั้งหมดไว้ได้ด้วยตัวเองในตอนนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถจะทำได้ตลอดไป เพราะท้ายที่สุดเขายังมีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ เขาไม่สามารถอยู่ที่เดียวได้นาน
หากเขาต้องการจะให้ป้อมปราการแสงดาวมีความมั่นคงในระยะยาว และเร่งความเร็วในการพัฒนาของสภาสิบแปดปีกในทวีปด้านตะวันตกนั้น เขาจำเป็นจะต้องมีทั้งกำลังคนและทรัพยากรเพียงพอ
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกหนักใจเรื่องนี้อยู่เช่นกันว่าจะทำได้อย่างไร อย่างไรก็ตามด้วยความนิยมในปัจจุบันของป้อมปราการแสงดาว และสนามรบขนาดใหญ่ที่กำลังจะได้รับการซ่อมแซมในไม่ช้า การดึงดูดผู้เชี่ยวชาญอิสระจำนวนมากให้มาเข้าร่วมพันธมิตรนักผจญภัยของสภาสิบแปดปีก หรือแม้กระทั่งเข้าร่วมกิลสภาสิบแปดปีก น่าจะทำได้ไม่ยากนัก ในขณะเดียวกันเมื่อมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากอยู่เคียงข้าง สภาสิบแปดปีกก็จะมีช่วงเวลาที่ง่ายขึ้นมากในการสร้างตัวเองในทวีปด้านตะวันตก และเข้ายึดครองทรัพยากรจำนวนมากของทวีปด้านตะวันตก
“หัวหน้ากิล เฮลรัชพึ่งส่งข้อความมาว่า พวกระดับสูงของจักรวรรดิโลกกใต้พิภพได้ตกลงรับข้อเสนอของเราแล้ว พวกเขายินดีที่จะให้เราทำการว่าจ้างกองกำลังนรก แต่พวกเขามีเงื่อนไขอย่างหนึ่งที่พวกเขาต้องการให้เราปฎิบัติคือ พวกเขาต้องการให้สมาชิกทุกคนของกองกำลังนรกปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ภายในหนึ่งเดือนที่อยู่กับเรา ถ้าเราทำไม่ได้ พวกเขาจะต้องการหุ้นของป้อมปราการแสงดาวยี่สิบเปอเซ็นต์เป็นค่าตอบแทน” อควาโรสกล่าวพลางขมวดคิ้ว
การปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาให้ได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้นมันพูดง่ายกว่าทำ แถมร่างมานาของแต่ละคนก็ยังไม่เหมือนกันด้วย ไม่ว่าเธอจะมองอย่างไรคำขอของจักรวรรดิโลกใต้พิภพมันก็ดูจะเกินไปหน่อย
“ดูเหมือนว่าในที่สุดพวกเขาก็จะคิดได้แล้วสินะ …” ซือเฟิงยิ้ม เมื่อได้ยินคำพูดของ
อควาโรส “ตกลงยอมรับเงื่อนไขของพวกเขาไปเลย”
ในตอนแรกเขาคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะสามารถเป็นไปได้ด้วยซ้ำ เพราะท้ายที่สุดแล้ว กองกำลังนรกเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิโลกใต้พิภพ และผู้เชี่ยวชาญขั้นสามราวสามร้อยคนของพวกเขาก็ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ
แต่โชคดีที่การแสดงของเขาที่กระทำต่อไมโทโลจี้ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพ
เทคนิคมานาของอีเลียดี้ที่เขาใช้นั้นมันทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่มันก็ผลาญค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจไปอย่างมหาศาลเช่นกัน การใช้มันนั้นซับซ้อนกว่าการใช้เทคนิคการต่อสู้ระดับทองแดงอย่างมาก
หลังจากใช้ไลท์ชาโด้วไปสิบเอ็ดครั้งติดต่อกัน เขาก็ผลาญค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจไปมากกว่าครึ่งแล้ว หากเขาใช้มันอีกจำนวนหนึ่ง เขาจะเจอกับความอ่อนล้าทางใจ และฝ่ายตรงข้ามจะฆ่าเขาได้แน่นอน
“หัวหน้ากิล เรากำลังพูดถึงเรื่องการช่วยพวกเขาทั้งหมดปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ให้ได้ภายในหนึ่งเดือนนะ ..” อควาโรสกล่าวอย่างเป็นห่วง
หากความต้องการของจักรวรรดิโลกใต้พิภพเป็นเพียงการช่วยอัพเกรดอาวุธและอุปกรณ์ให้กับกองกำลังนรก เธอก็จะไม่กังวลมากนักเลย แต่พวกเขากับขอเรื่องการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานา ซึ่งมันมีปัจจัยหลายอย่างเกี่ยวข้องมากเกินไป ในขณะเดียวกัน เมื่อเวลาผ่านไปจำนวนผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของสภาสิบแปดปีกก็จะเพิ่มขึ้น กิลไม่ควรจะยอมเสี่ยงเอาป้อมปราการแสงดาวไปเดิมพันกับเรื่องนี้เลย
“ผ่อนคลาย กระบวนการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานานั้นมันไม่ได้ยากอย่างที่คิด” ซือเฟิงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ ขณะที่เขามองไปยังอควาโรส “ยิ่งไปกว่านั้นหลายๆเรื่องใน God domain มันยังจำเป็นต้องรีบทำไม่สามารถรอได้ เพราะความล่าช้าจะหมายถึงการพลาดโอกาสมากมาย ไม่ว่าในกรณีใดตอนนี้จักรวรรดิโลกใต้พิภพได้ตกลงยอมรับข้อเสนอของเราแล้ว มันจึงถึงเวลาที่เราจะกลับไปยังทวีปด้านตะวันออกแล้ว …”
ถ้าเป็นก่อนที่เขาจะสามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาระดับอีปิคของเขาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ เขาคงจะไม่มั่นใจกับการปฎิบัติตามเงื่อนไขของจักรวรรดิโลกใต้พิภพมากนัก อย่างไรก็ตามหลังจากได้ดูดซับความรู้มากมายมาจากคริสตัลความทรงจำของอีเลียดี้ การจะช่วยผู้เชี่ยวชาญของกองกำลังนรกให้ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองให้ได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้นมันไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะท้ายที่สุดผู้เชี่ยวชาญของกองกำลังนรกทุกคนนั้นล้วนจัดว่าเป็นอัจฉริยะ แม้แต่ในหมู่มหาอำนาจต่างๆ
ตอนที่ 2507
กลับไปสู่ทวีปด้านตะวันออก
“เราจะกลับกันแล้วงั้นหรอ ? แต่เราพึ่งทำให้สถานการณ์ที่นี่มีเสถียรภาพได้เองนะ ป้อมปราการแสงดาวนั้นพึ่งจะเข้าสู่ช่วงการพัฒนาที่รวดเร็ว ถ้าเราจากไปตอนนี้ ฉันกลัวว่ามันจะมีปัญหาบางอย่างผุดขึ้นมา” อควาโรสอดไม่ได้ที่จะสับสน เมื่อเธอได้ยินคำพูดของซือเฟิงที่ว่าพวกเขาจะกลับไปที่ทวีปด้านตะวันออก “นอกจากป้อมปราการแสงดาวแล้ว เราจะทำยังไงกับผู้เชี่ยวชาญสามร้อยคนของกองกำลังนรก หัวหน้ากิลตั้งใจจะให้พวกเขาเข้าประจำการคอยปกป้องป้อมปราการแสงดาวงั้นหรอ ?
ปัจจุบันความสำคัญของป้อมปราการแสงดาวนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองป่าหินในทวีปด้านตะวันออกเลยแม้แต่น้อย ในความเป็นจริงป้อมปราการแสงดาวนั้นสร้างรายได้เป็นคริสตัลเวทย์มนต์มากกว่าเมืองป่าหินด้วยซ้ำ ดังนั้นมันจึงจะเป็นการสิ้นเปลืองอย่างมากที่หลังจากที่พวกเขาทำให้มันมีเสถียรภาพแล้ว พวกเขาก็จะเก็บข้าวของและจากไป
อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่สุดของป้อมปราการแสงดาวนั้นไม่ใช่รายได้จากคริสตัลเวทย์มนต์ที่มันสามารถสร้างขึ้นได้ แต่เป็นสภาพแวดล้อม ด้วยสภาพแวดล้อมที่เหมือนกับสมัยโบราณของป้อมปราการแสงดาว มันทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการพัฒนาการควบคุมมานาในทวีปด้านตะวันตก
“แม้ว่าป้อมปราการแสงดาวจะสามารถนำความมั่งคั่งและทรัพยากรมาให้เราได้อย่างมหาศาล แต่มันก็เป็นเพียงพื้นที่เล็กๆในทวีปด้านตะวันตกเท่านั้น หากเราต้องการที่จะตั้งหลักให้มั่นคงได้อย่างแท้จริงในทวีปด้านตะวันตกและรับเอาทรัพยากรจากกทวีปด้านนี้อย่างต่อเนื่อง เราจำเป็นจะต้องมีอาณาจักร ไม่ก็จักรวรรดิที่เรามีอำนาจเหนือด้วยตัวเองจริงๆ ด้วยจำนวนผู้เล่นที่ป้อมปราการแสงดาวยังคงดึงดูดเข้ามาได้นั้น การจะสร้างสถานที่ของเราเองในทวีปด้านตะวันตกนั้นก็จะไม่ใช่ความฝันที่เป็นไปไม่ได้เลย” ซือเฟิงอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นก่อนที่มหาอำนาจต่างๆในทวีปด้านตะวันออกจะเปลี่ยนมามุ่งเน้นการพัฒนามายังทวีปด้านตะวันตก เราจึงจำเป็นจะต้องทำการเข้าครอบครองประตูเวทย์มนต์เทเลพอร์ตระหว่างทวีปให้ได้มากที่สุดก่อนเพื่อที่จะส่งสมาชิกของเราเข้ามาที่นี่ ไม่งั้นด้วยประตูเวทย์มนต์ประตูเดียวที่เรามีในตอนนี้ การรักษาอำนาจไว้เหนือป้อมปราการแสงดาวก็จะเป็นขีดจำกัดของเราแล้ว”
เดิมทีเขาไม่ได้วางแผนที่จะขยายการพัฒนาของสภาสิบแปดปีกมายังทวีปด้านตะวันตก เขามาเพียงเพื่อหาแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับกิลเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้วการเดินทางไปมาระหว่างทวีปหลักสองด้านนั้นมันทำได้ยากเกินไป
ด้วยความสามารถในปัจจุบันของสภาสิบแปดปีก การพัฒนาในทวีปทั้งสองด้านจึงเป็นไปไม่ได้เลย
อย่างไรก็ตามหลังจากได้รับป้อมปราการแสงดาว มังกรเงินศักสิทธิ์ รวมทั้งได้เห็นพลังของเทคนิคมานา เขาก็เปลี่ยนใจ
ในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา มหาอำนาจต่างๆไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทคนิคมานามากนัก ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเทคนิคมานานั้นคงไม่มีอะไรจะให้กล่าวถึงมากนัก
อย่างไรก็ตามหลังจากได้เห็นและเรียนรู้เทคนิคมานาของอีเลียดี้แล้ว เขาก็เข้าใจว่าเทคนิคมานานี้จะช่วยผู้เล่นได้ในหลายๆด้านมากแค่ไหนในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ การฝึกฝนเทคนิคมานาได้สำเร็จจะช่วยลดความยากของการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ลงไปอย่างน้อยสามสิบเปอเซ็นต์เลย และแม้จะฝึกไม่สำเร็จ แต่ความรู้ที่ได้รับมาในระหว่างการฝึกก็ยังจะช่วยปรับปรุงพลังการต่อสู้ให้ดีขึ้นได้ด้วย
เพราะท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าจะพูดยังไง ขั้นสามนั้นก็เป็นเพียงช่วงเปลี่ยนผ่านสำหรับมหาอำนาจต่างๆของ God domain ผู้ที่จะเข้ามาตัดสินความแข็งแกร่งของมหาอำนาจต่างๆได้อย่างแท้จริงนั้นก็จะเป็นเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเกม นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมกิลชั้นสูงถึงไม่สามารถเทียบกับกิลชั้นยอดหรือเหนือกว่านี้ได้เลย
ในขณะเดียวกันป้อมปราการแสงดาวนั้นก็นับเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับผู้เล่นในการพัฒนาการควบคุมมานา
อย่างไรก็ตามประตูเวทย์มนต์เทเลพอร์ตระหว่างทวีปสองด้านที่สภาสิบแปดปีกควบคุมอยู่นั้น อนุญาติให้พวกเขาสามารถเทเลพอร์ตผู้เล่นมายังทวีปด้านตะวันตกได้แค่สิบคนเท่านั้นต่อสัปดาห์ ซึ่งหากอาศัยแค่ประตูนี้นั้นการจะย้ายสมาชิกกองกำลังหลัก รวมไปถึงพวกที่จำเป็นบางส่วนมายังทวีปด้านตะวันตกนั้นก็จะต้องใช้เวลาหลายเดือนเลย และเมื่อถึงตอนนั้นทุกอย่างก็จะสายเกินไป
เวลานั้นไม่เคยรอคอยใคร ความนิยมในปัจจุบันของ God domain และการพัฒนาอำนาจของมันนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับมหาอำนาจต่างๆ ด้วยจำนวนผู้เชี่ยวชาญและดินแดนที่มหาอำนาจต่างๆยึดครองตราบใดที่พวกเขามีเงินทุนและทรัพยากรเพียงพอเมื่อไหร่ ความเร็วของพวกเขาอาจจะเหนือกว่าการพัฒนาของสภาสิบแปดปีกในปัจจุบัน
ดังนั้นสิ่งที่ซือเฟิงต้องทำตอนนี้ก็คือเข้ายึดครองประตูเวทย์มนต์เทเลพอร์ตให้ได้มากขึ้นในทวีปด้านตะวันออกเพื่อที่จะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เล่นที่สภาสิบแปดปีกจะสามารถส่งมายังทวีปด้านตะวันตกได้ ด้วยวิธีนี้กิลก็จะสามารถรักษาความปลอดภัยของทรัพยากร และข้อได้เปรียบจากทั้งสองทวีปได้และในเวลานั้นความเร็วในการพัฒนาของผู้เชี่ยวชาญของสภาสิบแปดปีกจะเหนือกว่าผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆอย่างง่ายดาย
ดวงตาของอควาโรสนั้นเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น เมื่อได้ยินคำพูดของซือเฟิง
หากสภาสิบแปดปีกสามารถเคลื่อนย้ายผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากมายังทวีปด้านตะวันตกได้อย่างแท้จริง กิลก็จะไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของการจะปะทะกันกับมหาอำนาจต่างๆในอนาคตเลย และกิลอาจกลายเป็นมหาอำนาจที่แท้จริงได้ด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้วมหาอำนาจต่างๆอาจจะเหนือกว่าสภาสิบแปดปีก เมื่อพูดถึงจำนวนและคุณภาพของผู้เชี่ยวชาญ แต่ในแง่ของรายได้และทรัพยากรนั้นสภาสิบแปดปีกไม่ได้ด้อยไปกว่ามหาอำนาจทั่วไปเลยแม้แต่น้อย
“ในกรณีนี้หัวหน้ากิล ทำไมเราต้องว่าจ้างกองกำลังนรก ? ไม่ว่าในกรณีใดๆป้อมปราการแสงดาวก็ไม่ประสบปัญหาในระยะสั้นๆนี้แน่นอน และในช่วงเวลานี้ตราบใดที่เราสามารถจะเคลื่อนย้ายผู้เล่นจำนวนมากมายังทวีปด้านตะวันตกได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพวกเราสิบคนที่นี่ เราก็จะไม่จำเป็นต้องมีกองกำลังนรกประจำการอยู่ที่ป้อมปราการเลยนี่นา” อควาโรสกล่าวถามและอธิบาย
เธอนั้นไม่เคยสงสัยในความสามารถของซือเฟิงในการจะค้นหาประตูเวทย์มนต์เทเลพอร์ตเพิ่มเติมเลย เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็เคยสร้างปาฎิหาริย์มากมายมาก่อน
อย่างไรก็ตามเธอยังคงรู้สึกว่าการว่าจ้างกองกำลังนรกนั้นเป็นอะไรที่สิ้นเปลืองมากๆ เพราะท้ายที่สุดกองกำลังนั้นดำเนินการอยู่แค่เฉพาะในทวีปด้านตะวันตกเท่านั้น ในขณะเดียวกันการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาก็เป็นงานที่ยากมาก ดังนั้นแทนที่จะมามัวเสียเวลาช่วยคนอื่น พวกเขาสู้เอาเวลาไปช่วยผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของกิลตัวเองดีกว่า ด้วยวิธีนี้กิลจะได้รับผลประโยชน์มากกว่าด้วย
“กองกำลังนรกนั้นเป็นหนึ่งในกองกำลังของผู้เล่นที่แข็งแกร่งที่สุดใน God domain ฉันจะมาเสียเวลา เสียแรงจ้างพวกเขามาปกป้องป้อมปราการแสงดาวทำไม ? ฉันวางแผนที่จะพาพวกเขากลับไปพร้อมกับเรา” ซือเฟิงอธิบายพลางหัวเราะเบาๆ เมื่อเขาเห็นสีหน้าสับสนของอควาโรส
เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของป้อมปราการแสงดาวเลยในระยะเวลาอันใกล้นี้ เพราะท้ายที่สุดเขาพึ่งจะเอาชนะไมโทโลจี้ได้ และมันก็เป็นการส่งคำขู่ไปถึงมหาอำนาจต่างๆแล้ว
“จะให้พวกเขากลับไปพร้อมกับเรางั้นหรอ ?” อควาโรสตกตะลึงไปชั่วขณะ เมื่อเธอได้ยินคำพูดของซือเฟิง “แต่เราส่งกลับได้เพีงแค่สิบคนต่อสัปดาห์นะ ขณะที่สมาชิกของกองกำลังนรกมีสามร้อยคน”
พวกเขากำลังพูดถึงผู้เล่นสามร้อยคน !!! พวกเขาจะต้องใช้เวลาสามสิบสัปดาห์จึงจะสามารถย้ายผู้เล่นทั้งหมดนี้ไปยังทวีปด้านตะวันออกได้ !!!
“แน่นอน ไม่งั้นฉันจะจ้างพวกเขาทำไมล่ะ ?” ซือเฟิงโต้กลับด้วยรอยยิ้ม “แต่ฉันไม่ได้จะใช้วิธีการเดินทางผ่านประตูเวทย์มนต์สักหน่อย มันยังมีทางอื่นอยู่”
มหาอำนาจต่างๆในระยะนี้ของเกมนั้นยังคงไม่รู้แน่นอนว่ามันมีวิธีอื่นอยู่ อย่างไรก็ตามสำหรับสภาสิบแปดปีกนั้น เขารู้ ไม่งั้นเขาคงจะไม่กล้าทำสัญญาเรื่องนี้กับจักรวรรดิโลกใต้พิภพ
“จริงๆงั้นหรอ ?” ครู่หนึ่ง อควาโรคสรู้สึกราวกับว่าซือเฟิงกำลังล้อเล่น
“ผ่อนคลาย อย่างไรก็ตามเราไม่จำเป็นต้องรีบกลับในตอนนี้ทันทีเช่นกัน เรายังคงต้องรอให้เผ่าศักสิทธิ์รวบรวมวัสดุหายากที่เราต้องการมาให้เราซะก่อน” ซือเฟิงกล่าว
อย่างมั่นใจ
หลังจากได้เห็นเอฟเฟคของป้อมปราการแสงดาว และเทคนิคมานาของอีเลียดี้ที่เป็นนักบุญสวรรค์น้ำเงิน เขาก็ได้ไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างรอบคอบแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมการเดินทางระหว่างทวีปหลักทั้งสองด้านนั้นมันทำได้ยากมากๆ อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลบางประการ ผู้เล่นในโลกอื่นนั้นมีช่วงเวลาที่ง่ายกว่ามากในการเดินทางมายังทวีปหลักทั้งสองด้าน
เพื่อใช้ประโยชน์จากจุดนี้ เขาก็จะพาทุกคนเดินทางไปยังโลกอื่นก่อน จากนั้นก็จะกลับสู่ทวีปหลักด้านตะวันออกผ่านโลกอื่น
การเปิดเส้นทางสู่โลกอื่นอาจเป็นเรื่องยากสำหรับคนอื่น แต่มันเป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับซือเฟิง
นี่เป็นเพราะว่าเขามีไอเทมระดับตำนานอย่างแหวนโมล๊อค ซึ่งมันจะทำให้เขาสามารถเปิดประตูแห่งความมืดเพื่อมุ่งหน้าไปยังใจกลางของ Dark Den ได้ และประตูแห่งความมืดนี้ก็ไม่ได้จำกัดจำนวนผู้ที่จะสามารถเข้าไปได้ด้วย เพียงแต่ว่ามันมีจำกัดเวลาที่สามนาทีเท่านั้น ซึ่งสามนาทีนี้มันก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้เล่นสามร้อยคนผ่านประตูไปได้แน่นอน
เดิมทีซือเฟิงนั้นต้องการจะหลีกเลี่ยงการใช้แหวนโมล๊อค เพราะท้ายที่สุดแล้วยิ่งเขาใช้แหวนมากเท่าไหร่ แหวนก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น และเขาก็จะมีเวลาน้อยลงที่ในการเตรียมตัวเพื่อป้องกันมันกลืนกินเขา อย่างไรก็ตามหากใช้แหวนในครั้งนี้หนึ่งครั้ง มันก็จะหมายความว่าเขาสามารถพาผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม สามร้อยคนเดินทางกลับไปยังทวีปด้านตะวันออกได้ ซึ่งมันก็คุ้มค่าที่จะทำ
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้ใช้เวลาอีกหนึ่งวันหรือมากกว่านั้นนิดหน่อยรออยู่ในป้อมปราการแสงดาว ในช่วงเวลานี้เขาไม่เพียงแต่จะเซ็นสัญญาจ้างงานกับจักรวรรดิโลกใต้พิภพ แต่เขายังให้หยานเทียนซิงและอี้ลั่วเฟยเริ่มหัดจัดการเรื่องต่างๆในป้อมปราการแสงดาวทั้งหมด เขาวางแผนที่จะให้สองคนนี้คอยอยู่เบื้องหลังในการจัดการป้อมปราการแสงดาว
ที่เขาตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะการจัดตั้งพันธมิตรนักผจญภัยที่นี่จะได้เป็นไปอย่างเหมาะสม เพราะเมื่อพูดถึงเรื่องทีมนักผจญภัยแล้วทั้งสองคนนี้นั้นเชี่ยวชาญกว่าเขามาก
ในขณะที่เขากำลังทำทั้งหมดนี้นั้นฟิธาเลีย และผู้เชี่ยวชาญของเผ่าศักสิทธิ์คนอื่นๆก็ได้นำวัสดุหายากทั้งที่นำใส่กระเป๋าได้ และไม่ได้มาให้ซือเฟิงตามที่เขาต้องการ ซึ่งมูลค่ารวมของวัสดุนี้นั้นมันก็คิดเป็นคริสตัลเวทย์มนต์มากกว่าสามล้านชิ้นซะอีก ซือเฟิงนั้นรีบจัดเก็บ และแบ่งสรรปันส่วนทุกอย่างทันที เขาไม่สามารถจะถือมันกลับไปยังทวีปด้านตะวันออกดื้อๆได้ ไม่งั้นเขาจะถูกปล้นฆ่าแน่นอน
“หัวหน้ากิล กองกำลังนรกและกลุ่มของไฟเออร์แดนซ์ได้มารวมตัวกันแล้ว” อควาโรสกล่าวรายงานขณะที่เธอมาพบกับซือเฟิงที่ห้องโถงชั้นสองของคฤหาสถ์ลอร์ดแห่งป้อมปราการ ซึ่งมันก็บ่งบอกถึงความสงสัยในน้ำเสียงของเธอ และแม้กระทั่งตอนนี้เธอก็ยังไม่สามารถจะทำใจเชื่อได้ว่า ซือเฟิงจะสามารถขนส่งผู้เล่นมากกว่าสามร้อยคนไปยังทวีปด้านตะวันออกได้จริงๆ
“เอาล่ะ กลับไปที่ทวีปด้านตะวันออกกันเถอะ !!!”
ซือเฟิงนั้นอดไม่ได้ที่จะยิ้ม เมื่อเขาได้เห็นการแสดงออกของอควาโรส จากนั้นเขาก็เริ่มร่ายเวทย์และเรียกประตูแห่งความมืดออกมาในห้องโถงชั้นสอง และหลังจากประตูเปิด เขาก็นำทุกคนเข้าไปในนั้น
ในเวลาไม่นานห้องโถงชั้นสองที่แออัดก็ว่างเปล่า ….
ตอนที่ 2508
ความเปลี่ยนแปลงของดาร์คเดน
ในป่าฝนรอบนอกใจกลางพื้นที่ของดาร์คเดน ประตูขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างจากหมอกสีดำทั้งหมดก็ปรากฎขึ้น พลังงานที่น่ากลัวจำนวนมากนั้นก็แผ่ออกมาจากออกมาจากประตูและกระตุ้นให้พวกสัตว์ปีศาจที่อยู่ใกล้ๆล่าถอยโดยไม่สมัครใจ ขณะที่พวกมันก็ล้วนจ้องมองไปยังประตูที่สูงหกเมตรอย่างประหม่า
หลังจากประตูเปิดขึ้น มันก็มีร่างของผู้เล่นเดินออกมาจากประตูอย่างรวดเร็ว
“นี่มันเป็นสถานที่แบบไหนกัน ? แรงโน้มถ่วงของที่นี่นั้นรุนแรงมากๆ และมันแทบจะเทียบได้กับที่ชั้นหนึ่งของสุสานดาวเลย” ธันเดอร์บีสต์ที่พึ่งย่างเท้าเข้ามาในป่าฝนนี้อุทานด้วยความประหลาดใจ
มันมีพลังแห่งความมืดที่หนาแน่นล้อมรอบป่าฝนแห่งนี้ และเพียงแค่สภาพแวดล้อมที่มีแรงโน้มถ่วงสูงที่นี่มันก็มากเพียงพอแล้วที่จะลดพลังการต่อสู้ของผู้เล่นขั้นสองลงครึ่งหนึ่ง แม้แต่ผู้เล่นขั้นสามเช่นธันเดอร์บีสต์เองก็ยังได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก
“อย่างไรก็ตามมานาที่นี่ก็มีความหนาแน่นมากๆ มันมีความใกล้เคียงกับมานาห้าสิบเปอเซ็นต์ที่พบในป้อมปราการแสงดาวเลย หากเราสามารถเข้าร่วมการต่อสู้ที่นี่ได้ในระยะยาว มันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมมานาของเราได้อย่างแน่นอน” Elementalist ขั้นสามกล่าวด้วยความตื่นเต้น
แม้ว่ามานาโดยรอบของป้อมปราการแสงดาวนั้นจะมีความหนาแน่นกว่าที่ป่าฝนแห่งนี้มาก แต่มันก็ไม่ได้อนุญาติให้มีการต่อสู้เกิดขึ้นในป้อมปราการ อย่างไรก็ตามใน God domain หากผู้เล่นต้องการจะปรับปรุงตัวเอง วิธีที่เร็วที่สุดในการจะทำแบบนี้ได้คือการเข้าร่วมการต่อสู้แบบมีชีวิตเป็นเดิมพัน การต่อสู้ในสภาพแวดล้อมที่มีมานาหนาแน่นนั้นมีประสิทธิภาพมากเป็นพิเศษ เนื่องจากผู้เล่นจะมีช่วงเวลาที่ง่ายขึ้นมากในการฝึกและทำความคุ้นเคยกับการควบคุมมานา
ในตอนนี้ดวงตาของสมาชิกกองกำลังนรกนั้นก็เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น
ซึ่งนี่เป็นเพราะป่าฝนแห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยมอนสเตอร์ที่มีเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย และสถานที่แห่งนี้นั้นก็ไม่เพียงแต่จะเป็นสถานที่ยอดเยี่ยมในการฝึกควบคุมมานาของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเก็บเลเวลด้วย
เฮลรัชและคนอื่นๆนั้นเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมซือเฟิงถึงมั่นใจมากว่าเขาจะสามารถช่วยปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของพวกเขาทุกคนให้ได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ในหนึ่งเดือน หากพวกเขาสามารถต่อสู้ในสภาพแวดล้อมที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ได้ การปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของพวกเขาให้ได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ในหนึ่งเดือนนั้นมันก็เป็นไปได้แน่นอน
ในขณะเดียวกันอควาโรสที่ติดตามซือเฟิงมายังดาร์คเดนก็รู้สึกประหลาดใจกับสถานการณ์นี้มากเช่นกัน
เธอไม่เคยคิดเลยว่าซือเฟิงจะซ่อนสนามฝึกที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ไว้ด้วย มอนสเตอร์ที่นี่อาจไม่แข็งแกร่งมากนัก ซึ่งโดยส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยบอสทั่วไปเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย และพวกที่แข็งแกร่งที่สุดก็จะเป็นลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย เพียงแต่ว่าสภาพแวดล้อมที่นี่ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการฝึกฝนของผู้เชี่ยวชาญขั้นสามที่พึ่งได้รับการเลื่อนขั้นมาเลย
“หัวหน้ากิล หัวหน้าลำเอียงเกินไปแล้ว หัวหน้าได้เก็บสถานที่ที่ยอดเยี่ยมนี้ไว้สำหรับบคนอื่นๆ ถ้าสมาชิกของสภาสิบแปดปีกเข้ามาที่นี่ทันทีที่พวกเขามาถึงเลเวลหนึ่งร้อย เราอาจจะสามารถเพิ่มจำนวนผู้เชี่ยวชาญที่เรามีขึ้นเป็นสองเท่าได้เลยด้วยสถานที่แห่งนี้” อควาโรสบ่น
คำพูดของอควาโรสนั้นทำให้ซือเฟิงที่กำลังจะก้าวเท้าไปข้างหน้าป่าฝนนี้สะดุดลง และพูดไม่ออก เพราะสถานที่แห่งนี้นั้นมันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับพื้นที่ใจกลางที่พวกเขารู้จัก !!!
ก่อนหน้านี้เมื่อเขาใช้แหวนโมล๊อคเพื่อเทเลพอร์ตมายังพื้นที่ใจกลางดาร์คเดน เขานั้นได้เข้ามาใกล้กับการประชุมโลกมากๆ อย่างไรก็ตามตอนนี้เขามองไม่เห็นการประชุมโลกเลยจากจุดที่เขายืน ยิ่งไปกว่านั้นสภาพแวดล้อมของเขายังเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตปีศาจจำนวนมากเช่นกัน นอกจากนี้โลกแห่งนี้ก็ดูเหมือนจะต่อต้านเขาอยู่บ้าง เพราะเขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถจะแสดงพลังในการต่อสู้ออกมาได้เต็มที่
ประตูเทเลพอร์ตนั้นเปลี่ยนจุดหมายปลายทางตามเลเวลและขั้นของฉันงั้นหรอ ?
หลังจากครุ่นคิด ซือเฟิงก็สรุปได้ว่าสมมุติฐานของเขาน่าจะถูกต้องมากที่สุด เพราะเพราะเขาก็มาถึงสถานที่ที่แตกต่างกันออกไปเช่นกันในครั้งแรกกับครั้งที่สอง เพียงแต่ว่าตอนนั้นความแตกต่างมันยังไม่ชัดเจนมากนัก เพราะเขาถูกเทเลพอร์ตมาอยู่ใกล้การประชุมโลก อย่างไรก็ตามในครั้งที่สามนี้เขากับถูกเทเลพอร์ตมายังพื้นที่ที่แตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะยังอยู่ในใจกลางดาร์คเดนก็ตาม
ซือเฟิงส่ายหัวอย่างรวดเร็วและละความสนใจจากเรื่องนี้
เขาใช้ดาร์คเดนเป็นจุดขนส่งและเดินทางไปยังทวีปด้านตะวันออกเท่านั้น และพวกเขาก็จะออกจากดาร์คเดนกันไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นมันจึงไม่สำคัญเลยว่าพวกเขาจะมาถึงที่นี่ตรงไหน
ประตูแห่งความมืดที่ถูกเปิดขึ้นโดยแหวนโมล๊อคนั้นแตกต่างจากประตูแห่งความมืดที่ถูกเปิดขึ้นโดยไบเบิ้ลแห่งความมืด เพราะมันเป็นประตูแห่งความมืดเทเลพอร์ตสองทาง
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือตราบใดที่เขาเปิดประตูแห่งความมืดของแหวนโมล๊อค ทุกคนที่เป็นส่วนหนึ่งของทีมเขานั้นก็จะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ระหว่างสถานที่ทั้งสองที่เชื่อมต่อกันด้วยประตูแห่งความมืด
ดังนั้นสิ่งเขาต้องทำต่อไปนั้นง่ายมาก
เขาเพียงต้องใช้ม้วนคัมภีร์วาร์ปกลับเมืองเพื่อเทเลพอร์ตกลับไปยังเมืองไวท์ริเวอร์เท่านั้นจากดาร์คเดน แล้วเมื่อเขากลับไปถึงที่เมืองไวท์ริเวอร์ หลังจากนั้นเขาก็จะค่อยใช้ประตูแห่งความมืดอีกครั้งเพื่อเปิดให้เฮลรัชและคนอื่นๆที่ไม่มีม้วนคัมภีร์วาร์ป
กลับเมืองของเมืองไวท์ริเวอร์นั้นสามารถเดินทางไปที่เมืองไวท์ริเวอร์ได้
แม้ว่าวิธีนี้อาจจะใช้ไม่ได้ แต่เขาก็ยังจะสามารถใช้ไบเบิ้ลแห่งความมืดเปิดประตูแห่งความมืดให้เดินทางผ่านทีละสามสิบคนได้ ซึ่งมันก็ยังดีกว่าการใช้ประตูเวทย์มนต์เทเลพอร์ตโบราณ
อย่างไรก็ตามในขณะที่แหวนของโมล๊อคยังคงอยู่ในคูลดาวน์นั้น ซือเฟิงจึงได้ให้สมาชิกของกองกำลังนรกทำการล่ามอนสเตอร์โดยรอบบริเวณนี้และสำรวจป่าฝนไปด้วย แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้อยู่ที่นี่นาน แต่ดาร์คเดนก็ยังคงเป็นสถานที่ที่เหล่าทวยเทพสร้างขึ้น ถึงแม้จะไม่มีการประชุมโลก แต่มันก็ยังมีสมบัติและโอกาสมากมายที่ไม่สามารถหาได้จากโลกภายนอก หากพวกเาโชคดี พวกเขาก็อาจจะได้รับผลตอบแทนจำนวนมหาศาล และอย่างน้อยที่สุดมันก็ยังดีกว่าการนั่งเฉยๆไม่ทำอะไรเลยทั้งวัน
“หัวหน้ากิล มันมีเมืองที่ได้รับการปกป้องด้วยบาเรียเวทย์มนต์อยู่นอกป่าฝน และดูจากลักษณะแล้ว มันก็มีผู้เล่นจำนวนมากไปรวมตัวกันที่นั่น” ไฟเออร์แดนซ์ ซึ่งกำลังนอดแนมอยู่บริเวณใกล้เคียงรายงานผ่านแชททีม
เมืองที่ได้รับการปกป้องด้วยบาเรียเวทย์มนต์ ? รายงานของไฟเออร์แดนซ์นั้นกระตุ้นความสนใจของซือเฟิงอย่างมาก มันเป็นหนึ่งในเขตที่อยู่อาศัยของดาร์คเดนงั้นหรอ ?
จากสิ่งที่เขารู้นั้น ดาร์คเดนควรมีแค่เขตที่อยู่อาศัยไม่ใช่เมือง และเขตที่อยู่อาศัยนั้นก็ดำเนินการแตกต่างจากเมือง NPC กับเมืองที่พบได้ในโลกภายนอก เขตที่อยู่อาศัยนี้นั้นมีความสามารถเฉพาะเป็นของตัวเองและจะมีสินค้าพิเศษเป็นของตนเอง ดังนั้นยิ่งเขตที่อยู่อาศัยได้รับการจัดอันดับสูงเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งมีสินค้าพิเศษที่ดีมากขึ้นเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน หากเป็นดั่งที่ไฟเออร์แดนซ์รายงาน และเขตที่อยู่อาศัยนี้อยู่ใกล้กับแผนที่เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยนั้น มันก็แปลว่าพวกเขาจะต้องเป็นเขตที่มีระดับสูงมาก
นอกจากนี้ นอกเหนือจากสินค้าพิเศษแล้ว ดาร์คเดนยังอุดมไปด้วยเจ็มสโตน ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดในทวีปหลัก
“หัวหน้ากิล เราควรตรงไปไหม ?” ไฟเออร์แดนซ์ถาม
“แน่นอน” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า “นี่อาจเป็นโอกาสแห่งโชคลาภเลยนะ ..”
ก่อนหน้านี้ซือเฟิงนั้นยุ่งมากอย่างไม่น่าเชื่อ แถมไบเบิ้ลแห่งความมืดนั้นก็ยังจำเป็นต่อการปราบปรามแหวนโมล๊อค ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถจะส่งต่อไบเบิ้ลแห่งความมืดให้คนอื่นได้ เป็นผลให้นอกเหนือจากรายงานเวลาที่เขาออฟไลน์ที่เขาได้รับจากบลู
ฟอร์สและคนอื่นๆเป็นครั้งคราวแล้ว มันก็เป็นเวลานานมากแล้วที่พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันโดยตรงระหว่างสภาสิบแปดปีกกับดาร์คเดน
ซือเฟิงนั้นได้รับคริสตัลเวทย์มนต์และเงินมาจำนวนมากจากป้อมปราการแสงดาว และตอนนี้คริสตัลเวทย์มนต์ที่เขามีอยู่ในมือนั้นมันก็มีมากกว่าหกแสนชิ้นแล้ว นี่ยังไม่นับรวมเงินอีกมากกว่าสองแสนเหรียญทอง เขาสามารถที่จะใช้โอกาสนี้ซื้อสินค้าจำนวนมากเพื่อไปขายต่อยังทวีปด้านตะวันออกได้ ยิ่งไปกว่านั้นเจ็มสโตนเพิ่มค่าสถานะยังมีค่ามากกว่าคริสตัลเวทย์มนต์ และยังใช้ประโยชน์ได้มากกว่าสำหรับผู้เล่นด้วย
หลังจากนั้นซือเฟิงก็นำอควาโรสและสมาชิกคนอื่นๆของสภาสิบแปดปีกไปที่เขตที่อยู่อาศัยที่ไฟเออร์แดนซ์ค้นพบทันที
สมาชิกของกองกำลังนรกนั้นไม่ได้แสดงความสนใจในเขตที่อยู่อาศัยเลย และเลือกจะติดตามไปทีหลัง พวกเขานั้นเพียงแค่ต้องการจะล่าและเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมมานาของพวกเขาต่อไปเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดซือเฟิงได้บอกพวกเขาแล้วว่าจะต้องออกไปจากที่นี่ในไม่ช้า ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นจะต้องยึดมั่นในโอกาสนี้และปรับปรุงตัวเองให้มากที่สุด
เขตที่อยู่อาศัยที่ไฟเออร์แดนซ์ค้นพบนั้นอยู่ที่เชิงเขา โดยมันมีภูเขาล้อมรอบสามในสี่ทิศทางที่สำคัญ และเนื่องจากเขตที่อยู่อาศัยจะต้องรับมือกับการโจมตีจากสัตว์ปีศาจอย่างต่อเนื่อง มันจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าสถานที่แห่งนี้นั้นเป็นสถานที่ตั้งเชิงกลยุทธ์
ในขณะที่กลุ่มของซือเฟิงมาถึงในระยะห่างจากเขตที่อยู่อาศัยหลายร้อยหลา ในที่สุดเขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
แม้ว่าเขตที่อยู่อาศัยนี้จะไม่ได้มีขนาดใหญ่โตเป็นพิเศษ แต่มันก็มีขนาดเท่ากับเมืองขั้นสูงเลยในโลกภายนอก และวงเวทย์ป้องกันของมันนั้นก็ทรงพลังอย่างยิ่งโดยมันจะสามารถทนต่อการโจมตีของมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายขั้นสี่ได้เป็นเวลานานเลยทีเดียว ซึ่งในแผนที่เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยเขตที่อยู่อาศัยที่เป็นแบบนี้นั้นจะถือว่าเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยมาก
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีผู้เล่นจำนวนมากอาศัยอยู่ในเขตที่อยู่อาศัยนี้ ซือเฟิงนั้นคาดว่าเขตที่อยู่อาศัยนี้น่าจะรองรับผู้เล่นได้มากกว่าสองแสนคน
ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่พักอยู่ในเขตที่อยู่อาศัยนี้ก็ยังมีความแข็งแกร่งมากๆ แม้แต่ผู้เล่นที่มีเลเวลต่ำที่สุดที่ซือเฟิงพบก็ยังอยู่ในเลเวลหนึ่งร้อยสี่ ขณะที่ผู้เล่นส่วนใหญ่นั้นก็มีเลเวลหนึ่งร้อยหกและหนึ่งร้อยเจ็ด ซึ่งเลเวลขนาดนี้นั้นสามารถจะเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของมหาอำนาจต่างๆในโลกภายนอกได้เลย แถมผู้เล่นในเขตที่อยู่อาศัยนี้ยังมีอุปกรณ์ครบครัน โดยที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขานั้นคืออุปกรณ์ระดับเหล็กลึกลับ เลเวลหนึ่งร้อย ขณะที่มีบางคนส่วนสวมใส่และใช้อาวุธกับอุปกรณ์ระดับไฟน์โกล เลเวลหนึ่งร้อยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลบางประการอาวุธกับอุปกรณ์ส่วนใหญ่ของผู้เล่นเหล่านี้นั้นหยุดลงที่เลเวลหนึ่งร้อยทั้งหมด และมันมีผู้เล่นเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มีอุปกรณ์เลเวลหนึ่งร้อยห้า ในความเป็นจริง แม้แต่อุปกรณ์ระดับเหล็กลึกลับเลเวลหนึ่งร้อยห้าก็ยังหายากอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อกลุ่มของซือเฟิงมาถึงทางเข้าของที่อยู่อาศัย นักดาบหญิงขั้นสามที่ดูสวยและสง่างามก็เดินเข้ามาหาเขา
“ฉันเชื่อว่าคุณเป็นเพื่อนร่วมทีมของรองหัวหน้าบลูฟรอสต์ใช่ไหม ? ฉันรอคุณมานานแล้ว !!!” นักดาบหญิงกล่าวอย่างตื่นเต้น “แล้วเมื่อไหร่รองหัวหน้ากิลบลูฟรอสต์จะมาถึง ?”
“บลูฟรอสต์ ?” ซือเฟิงนั้นอดไม่ได้ที่จะสันสนกับสถานการณ์นี้
นักดาบหญิงตรงหน้าของเขานั้นแข็งแกร่งมาก เธอไม่เพียงแต่จะอยู่ในมาตราฐานของขอบเขตรวดเร็วดั่งสายน้ำ แต่เธอยังเหลืออีกเพียงแค่ก้าวเล็กๆเท่านั้นเธอก็จะเข้าสู่ขอบเขตอนันต์ได้แล้ว
เมื่อนักดาบหญิงเห็นความสับสนบนใบหน้าของซือเฟิง เธอก็ชี้ไปที่สัญลักษณ์หกปีกที่ติดอยู่ที่หน้าอกของเขา และถามอย่างแปลกๆว่า “คุณไม่ใช่เพื่อนของรองหัวหน้า
กิลบลูฟรอสต์งั้นหรอ ?”
ในระยะนี้ของเกมนั้น ผู้เล่นขั้นสามยังคงหายากอย่างไม่น่าเชื่อ และผู้เล่นขั้นสามที่สวมตราสัญลักษณ์กิลของสภาสิบแปดปีกนั้นยิ่งหายาก ดังนั้นเธอจึงสรุปได้ว่ากลุ่มของซือเฟิงควรเป็นเพื่อนของบลูฟรอสต์
“พวกเป็นเพื่อนกันนั่นแหละ แต่ก็ไม่ใช่ในแนวที่คุณคิด …” ซือเฟิงอธิบาย
“แปลว่าทีมของรองหัวหน้ากิลบลูฟรอสต์จะมาถึงไม่ทันเวลาสินะ …” นักดาบหญิงนั้นรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของซือเฟิง
ในขณะเดียวกันตอนที่นักดาบหญิงพูดจบ เสียงที่ชัดเจนก็ดังขึ้นมาจากระยะทางสั้นๆ
“เกรซฟูล ฉันบอกไปแล้วนี่ว่าแทนที่จะเชิญบลูฟรอสต์จากสภาสิบแปดปีกมา มันจะดีกว่าถ้าเชิญรองหัวหน้ากิลของจักรพรรดิคริมสันอย่างอิลูซะรี่เวิร์ดมา แต่เธอก็ไม่ฟังฉัน !!! ตอนนี้เราจบสิ้นแน่ๆแล้ว !!!”
ตอนที่ 2509
การต่อสู้เหนือประตูเทเลพอร์ตระดับทองแดง
“เพอเพิ้ล ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ ?” เมื่อนักดาบหญิงชื่อว่า เกรซฟูลมูน หันหน้าไปทางต้นตอของเสียง ดวงตาของเธอก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
ในช่วงเวลาต่อมา Elementalist หญิงขั้นสาม เลเวลหนึ่งร้อยเจ็ดที่สวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อน และถือไม้เท้าสีม่วงเข้มก็เดินตรงเข้ามาหาเกรซฟูลมูน และก็คล้ายกับเกรซฟูลโมนาร์ช Elementalist หญิงผู้นี้ใกล้จะเข้าสู่ขอบเขตอนันต์ได้แล้ว และการปรากฎตัวของ Elementalist หญิงผู้นี้ก็ทำให้มานาโดยรอบนั้นดูเชื่องกว่าเดิมมาก ราวกับว่ามันได้พบกับเจ้าของแล้ว
การปรากฎตัวของ Elementalist หญิงผู้นี้ได้ดึงดูดความสนใจของคนรอบข้างทันที และทุกคนก็หันมามองทางเธอ โดยเฉพาะผู้เล่นหญิงหลายคนที่จ้องมองมายังเธอด้วยความกลัวและเคารพ
“อะไรกัน ?! เพอเพิ้ลรากษส ?! เธอมาที่นี่ด้วยงั้นหรอ ?!”
“ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขตแสงสุดขีดของเราจะมีความหวังในการที่จะปกป้องประตูเทเลพอร์ตระดับทองแดงไว้ได้นะ …”
“มันก็เป็นเรื่องปกติแหละ เพราะท้ายที่สุดแล้วเพอเพิ้ลรากษสเองก็เป็นหนึ่งในสาม Elementalists ที่แข็งแกร่งที่สุดในดาร์คเดนเช่นเดียวกับ Elementalists ในเขตหนึ่งอย่างบลูฟอร์ส แม้ว่าเธอจะพึ่งเลื่อนขั้น เมื่อไม่นานมานี้ แต่เธอก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าบลูฟอร์สเลยแม้แต่น้อย และต่อไปเธออาจปราบปรามบลูฟอร์สจนขึ้นเป็น Elementalists อันดับหนึ่งแห่งดาร์คเดนได้เลยด้วยซ้ำ”
ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองไปยัง Elementalists หญิงขั้นสามที่แต่งตัวหรูหรา พวกเขาต่างก็พูดคุยกันอย่างดุเดือด บรรยากาศที่ตึงเครียดนั้นเข้าห่อหุ้มทั้งเขต ….
เพอเพิ้ลรากษส ? อย่างไรก็ตามสำหรับซือเฟิงนั้นเขาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เมื่อจ้องมองไปยัง Elementalists หญิงที่ดูเหมือนเสือดาวที่หยิ่งผยอง เพราะเขาไม่คิดเลยว่า เขาจะได้มาพบเธอ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบสอง Elementalists ศักสิทธิ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดใน God domain ที่นี่
ในชีวิตก่อนหน้านี้ของซือเฟิงบลูฟอร์สนั้นเคยดำรงตำแหน่งเป็นหนึ่งในนายพลที่มีความสามารถของศาลเจ้าแฟนตาซี และเขาก็ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากกิลชั้นสูงกิลนี้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าใน God domain ได้ อย่างไรก็ตามเพอเพิ้ลรากษสนั้นได้ใช้เวลาทั้งชีวิตของเธอในฐานะผู้เล่นอิสระ แต่เธอก็ยังคงสามารถที่จะไปถึงขั้นห้าได้ แถมเธอยังเป็นหนึ่งในสิบสอง Elementalists ศักสิทธิ์ที่แข็งแกร่งและมีชื่อเสียงมากที่สุดที่ได้รับการยอมรับจากสาธารณชน
ในตอนนั้น นอกเหนือจากผู้เชี่ยวชาญขั้นหก ขอบเขตพระเจ้าแล้ว มันก็ไม่มีใครสามารถจะทำอะไรกับเพอเพิ้ลรากษสได้เลย โชคร้ายเพียงอย่างเดียวคือเพอเพิ้ลรากษสนั้นไม่ได้พบกับโอกาสที่เหมาะสมมากเพียงพอ ไม่งั้นเธออาจกลายเป็นเทพจอมเวทย์ ขั้นหกไปแล้ว
ในขณะที่กลุ่มของซือเฟิงกำลังสังเกตเพอเพิ้ลรากษส กลุ่มของผู้เล่นด้านหลังที่ติดตามเธอมาก็มองมายังกลุ่มของซือเฟิงเช่นกัน ก่อนที่จะหันกลับไปสนใจเกรซฟูลโมนาร์ช โดยไม่ได้สนใจเลยว่ากลุ่มของซือเฟิงนั้นประกอบไปด้วยผู้เล่นขั้นสามทั้งหมด
ปัจจุบันผู้เล่นขั้นสามนั้นอาจจะทรงพลังมากๆ แต่มันก็ไม่ได้หายากเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นมันยังคงมีความแตกต่างระหว่างผู้เล่นอยู่อย่างมาก แม้ว่าจะมาถึงขั้นสามเหมือนกันแล้วก็ตาม ซึ่งมันแตกต่างจากตอนที่ผู้เล่นยังคงอยู่ในขั้นสอง
เหตุผลหลักๆมันก็เกิดจากความแตกต่างของระดับร่างมานานั่นเอง
แถมหลายคนที่มาถึงขั้นสามได้ในตอนนี้นั้น ล้วนเลือกร่างมานาและทำทุกอย่างที่ง่ายที่สุด ดังนั้นความแข็งแกร่งของผู้เล่นขั้นสามส่วนใหญ่ที่เลือกทำแบบนี้จึงจะไม่เพิ่มขึ้นมากนักเมื่อมาถึงขั้นสามแล้ว ในขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญขั้นสามส่วนใหญ่ที่เธอเห็นตามปกตินั้นก็เลื่อนขั้นเป็นขั้นสามด้วยวิธีนี้
ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามดังกล่าวอาจเป็นตัวตนที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ในสายตาของผู้เล่นทั่วไป แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถเช่นเธอนั้น เธอผู้เชี่ยวชาญขั้นสามแบบนี้ก็ไม่ต่างจากผู้เชี่ยวชาญขั้นสองโดยทั่วไป พวกเขามีค่าสถานะพื้นฐานสูงกว่าผู้เล่นขั้นสองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ประตูเทเลพอร์ตระดับทองแดงของเขตแสงสุดขีดนั้นนั้นเป็นเส้นชีวิตที่จะนำเราไปสู่โลกภายนอก หากเราปล่อยให้ผู้เล่นจากโลกภายนอกผูกขาดมันจริงๆ ผู้เล่นท้องถิ่นอย่างพวกเราจะจบสิ้นแน่นอน ดังนั้นฉันก็ต้องใช้ความพยายามในการปกป้องมันเป็นธรรมดา” เพอเพิ้ลรากษสกล่าวขณะที่เธอมองไปยังเกรซฟูลโมนาร์ช
“ฉันเข้าใจ แต่ทั้งบลูฟอร์สหรือตัวเธอเองก็เป็น Elementalists และพลังการต่อสู้ที่ทั้งสองคนจะสามารถแสดงออกมาได้ในการต่อสู้แบบทีมนั้นมันก็มากกว่าอาชีพสายกายภาพอย่างตัวฉันเองหลายเท่า ถ้าเราให้ทั้งสองคนมาช่วยกัน เราก็จะมีโอกาสมากขึ้นในการที่จะสามารถป้องกันประตูเทเลพอร์ตระดับทองแดงไว้ได้” เกรซฟูลโม
นาร์ชกล่าวพลางถอนหายใจ
หากการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงเป็นเพียงการต่อสู้แบบทีมขนาดเล็ก เธอก็มีความมั่นใจอยู่บ้างว่าเขตแสงสุดขีดจะได้รับชัยชนะ แต่น่าเสียดายที่นี่มันเป็นการต่อสู้เพื่อสิทธิในการจัดการประตูเทเลพอร์ตระดับทองแดง มันจึงนับเป็นสงครามขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับผู้เล่นหลายแสนคน มันไม่ใช่การต่อสู้ที่ผู้เล่นระยะประชิดอย่างตัวเธอเองหวังจะสร้างความแตกต่างได้
อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องที่แตกต่างกันออกไปสำหรับผู้เล่นนักเวทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบลูฟอร์สและเพอเพิ้ลรากษส สองในสาม Elementalists ที่แข็งแกร่งที่สุดในดาร์คเดน ทั้งสองนั้นมีเวทย์ทำลายล้างขนาดใหญ่ขั้นสามจำนวนมาก ซึ่งมันมีค่าอย่างยิ่งในสงครามที่กำลังจะมาถึง
มันไม่ใช่เรื่องที่จะกล่าวเกินจริงเลย หากจะบอกว่าแค่เพียงหนึ่งในคนเหล่านี้เข้าร่วมมันก็เทียบเท่ากับผู้เล่นระยะประชิดหลายสิบคนแบบเกรซฟูลโมนาร์ชเข้าร่วมแล้ว ไม่งั้นเธอคงจะไม่เชิญบลูฟอร์สมาเข้าร่วมงานนี้พร้อมกัน
“ทีมของบลูฟอร์สนั้นแข็งแกร่งมากๆ อย่างไรก็ตามสงครามในครั้งนี้นั้นมันก็มีคนบ้าหลายคนที่เข้าร่วมด้วย คุณคิดหรอว่าคุณจะสามารถเอาชนะมหาอำนาจจากโลกภายนอกได้ในสงครามที่กำลังจะมาถึง โดยอาศัยแค่ผู้เล่นท้องถิ่นงั้นหรอ คุณไม่รู้หรอว่ามหาอำนาจในโลกภายนอกนั้นทรงพลังมากขนาดไหน ?” เพอเพิ้ลรากษสพูดพลางส่ายหัว “แม้ในปัจจุบันนั้นตัวฉันเองก็แทบจะไม่สามารถต่อต้านผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของมหาอำนาจพร้อมกันสองถึงสามคนได้ สำหรับพวกสัตว์ประหลาดขอบเขตโดเมนของมหาอำนาจต่างๆ แค่จะเอาชีวิตรอดในการต่อสู้กับสักคนนั้นก็จัดเป็นปัญหามากแล้ว อย่างไรก็ตามมหาอำนาจเหล่านี้นั้นก็มีสัตว์ประหลาดขอบเขตโดเมนหลายคน”
“พวกเขามีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่สามารถเอาชนะได้งั้นหรอ ?” ดวงตาของเกรซฟูลโมนาร์ชนั้นเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อเธอได้ยินคำพูดของเพอเพิ้ลรากษส
เพราะท้ายที่สุดแล้วเพอเพิ้ลรากษสนั้นคือผู้ที่สามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญขั้นสามได้หลายสิบคนได้ด้วยตัวเอง แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของกิลชั้นสูงนั้นก็ไม่มีใครจะเทียบกับเธอได้
เกรซฟูลโมนาร์ชนั้นพบว่ามันยากที่จะเชื่ออย่างแท้จริงว่ามหาอำนาจจากโลกภายนอกมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่เหนือกว่าเพอเพิ้ลรากษส
“อืมมม ฉันได้พบกับผู้เชี่ยวชาญมากมายในระหว่างการไปเยือนโลกภายนอกครั้งล่าสุด ฉันต้องยอมรับเลยว่ามาตราฐานการต่อสู้ของโลกภายนอกนั้นสูงกว่าดาร์คเดนมาก เรานั้นจะมีข้อได้เปรียบแค่เรื่องสกิลกับเวทย์ขั้นสาม รวมถึงพวกอาวุธกับอุปกรณ์เลเวลหนึ่งร้อยเท่านั้น” เพอเพิ้ลรากษสกล่าวอย่างนอบน้อม
“ถ้าอย่างนั้นเราจะทำยังไงกันดี ? หากสิ่งที่พูดเธอพูดเป็นความจริง เขตแสงสุดขีดของเราก็จะไม่มีโอกาสเลย” เกรซฟูลโมนาร์ชกล่าวพลางขมวดคิ้ว
แม้ว่าเธอจะรู้มานานแล้วว่ามหาอำนาจในโลกภายนอกนั้นไม่ง่ายเลย แต่เธอก็ไม่เคยคิดว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งขนาดนี้
“ดังนั้นอย่างที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้การร่วมมือกันกับรองหัวหน้ากิลอิลูซะรี่จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ด้วยความช่วยเหลือจากจักรพรรดิคริมสัน เราจะสามารถคงอำนาจเหนือประตูเทเลพอร์ตระดับทองแดงได้อย่างง่ายดายและก็จะมีเวลาในการเตรียมการสิ่งต่างๆมากขึ้นด้วย” เพอเพิ้ลรากษสกล่าวแนะนำ จากนั้นเธอก็เหลือบไปมองที่กลุ่มของซือเฟิงและพูดต่อว่า “ไม่งั้นต่อให้ผู้เชี่ยวชาญของเขตหนึ่งมาถึง เราก็จะยังคงพ่ายแพ้อยู่ดี”
“ดูเหมือนว่าเราจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนี้แล้ว” เกรซฟูลโมนาร์ชกล่าวโดยยินยอมทำตามคำแนะนำของเพอเพิ้ลรากษส เธอนั้นรู้ดีว่า Elementalist ไม่เคยโกหก ดังนั้นเมื่อเธอเห็นการแสดงออกที่จริงจังบนใบหน้าของเพอเพิ้ลรากษส เธอก็เข้าใจดีเลยว่าหากปราศจากความช่วยเหลือจากจักรพรรดิคริมสัน เขตแสงสุดขีดก็มีโอกาสจะชนะน้อยมากๆ
หลังจากนั้นเกรซฟูลโมนาร์ชก็ได้ให้เพอเพิ้ลรากษสติดต่อจักรพรรดิคริมสัน ก่อนจะหันไปสนใจกลุ่มของซือเฟิง
“ฉันต้องขอโทษที่เข้าใจตัวตนของคุณผิด และฉันก็หวังว่าคุณจะไม่ถือสาคำพูดของเพอเพิ้ลรากษสนะ เธอไม่ได้ดูถูกสภาสิบแปดปีก แต่ตอนนี้อนาคตของเขตแสงสุดขีดกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงจริงๆ เธอจึงพูดมากไป อย่างไรก็ตามแทนคำขอโทษ ฉันสามารถเป็นตัวแทนของเขตแสงสุดขีดเสนอส่วนลดยี่สิบเปอเซ็นต์สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดภายในเขตในวันนี้ แต่ว่าสงครามนั้นกำลังจะเริ่มเร็วๆนี้ ดังนั้นฉันจึงขอแนะนำให้คุณอย่าอยู่ที่นี่นานเกินไป ไม่งั้นคุณจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการต่อสู้ด้วย และคุณก็จะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการจากไป” เกรซฟูลโมนาร์ชกล่าวด้วยน้ำเสียงขอโทษซือเฟิง
ในขณะที่ซือเฟิงกำลังจะพูดอะไรบางอย่างเพอเพิ้ลรากษสก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“เกรซฟูล ข่าวดี รองหัวหน้ากิลอิลูซะรี่และทีมของเธอกำลังเดินทางมาแล้ว เธอบอกว่าเธอจะมาถึงในเร็วๆนี้ ซึ่งเมื่อเธอมาถึง เราก็จะสามารถเจรจาเรื่องหุ้นส่วนกับเธอได้” เพอเพิ้ลรากษสกล่าวพลางมองไปยังเกรซฟูลโมนาร์ช
ไม่นานหลังจากที่เพอเพิ้ลรากษสพูดจบ ผู้เล่นกลุ่มหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้นที่ถนนห่างออกไป ที่ยืนนำหน้าผู้เล่นเหล่านี้อยู่นั้นก็คือเครอลิคหญิงที่ดูงดงามและมีเสน่ห์มากๆ และการมาของผู้เล่นกลุ่มนี้มันก็ทำให้เกิดความโกลาหลในหมู่ผู้เล่นที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมด
ซึ่งนี่เป็นสมาชิกทุกคนในทีมหนึ่งร้อยคนทีมนี้นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสามทั้งหมด โดยจำนวนมากขนาดนี้นั้นมันเกือบจะเท่ากับจำนวนผู้เล่นขั้นสามทั้งหมดที่เขตแสงสุดขีดมีเลย
ตอนที่ 2510
หัวหน้ากิลสภาสิบแปดปีก แบล๊คเฟรม
“ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามหนึ่งร้อยคน ?!”
“เครอลิคที่เป็นผู้นำทีมนี้นั้นก็น่าทึ่งมากๆ ไม่เพียงแต่เธอจะสวมใส่เซ็ทอุปกรณ์ระดับไฟน์โกล เลเวลหนึ่งร้อยห้าครบเซ็ท แต่เธอยังมีอาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคอีกสามชิ้นด้วย !!! ด้วยอุปกรณ์ประเภทนี้เธออาจจะสามารถปราบปรามเพอเพิ้ลรากษสได้ด้วยค่าสถานะพื้นฐานเลย !!!”
เมื่อสาธารณชนของเขตแสงสุดขีดได้เห็นสมาชิกของจักรพรรดิคริมสัน ดวงตาของพวกเขาก็แทบจะถลนออกจากเบ้า
นอกเหนือจากสมาชิกทั้งหมดหนึ่งร้อยคนของทีมจักรพรรดิคริมสันที่เป็นขั้นสามแล้ว เพียงแค่อาวุธกับอุปกรณ์ที่สมาชิกของจักรพรรดิคริมสันสวมใส่มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้เล่นในเขตแสงสุดขีดพูดไม่ออก
ท้ายที่สุดไม่ต้องพูดถึงอาวุธและอุปกรณ์ระดับลึกลับขั้นเงินกับไฟน์โกล เลเวลหนึ่งร้อยห้าเลย เพราะมันแทบจะไม่มีอาวุธและอุปกรณ์เลเวลหนึ่งร้อยห้าที่ระดับนี้ชิ้นใดๆอยู่ในเขตแสงสุดขีด โดยส่วนใหญ่ที่มีก็จะมีเพียงแค่ระดับเหล็กลึกลับเท่านั้น
อย่างไรก็ตามอุปกรณ์ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่สมาชิกจักรพรรดิคริมสันก็คือระดับลึกลับขั้นเงิน เลเวลหนึ่งร้อยห้า
หัวใจของเกรซฟูลโมนาร์ชนั้นเต็มไปด้วยความตกใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อได้เห็นฉากนี้ ในเวลาเดียวกันเธอก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเพอเพิ้ลรากษสถึงแนะนำให้เขตแสงสุดขีดเข้าเป็นพันธมิตรกับจักรพรรดิคริมสัน
เขตแสงสุดขีดนั้นเป็นหนึ่งในสิบเขตที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดในดาร์คเดน และเขตนี้ก็มีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกับจักรพรรดิคริมสันแล้ว เขตแสงสุดขีดดูเหมือนกับเปลวเทียนท่ามกลางพายุไฟที่โหมกระหน่ำเลย
ความแตกต่างของผู้เชี่ยวชาญขั้นสามนั้นนอกเหนือจากความแตกต่างในด้านมาตราฐานการต่อสู้ก็มากเกินพอที่จะปลูกฝังความสิ้นหวังให้กับเกรซฟูลโมนาร์ชแล้ว และจากสิ่งที่เธอสามารถบอกได้ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญที่อ่อนแอที่สุดของจักรพรรดิคริมสันก็ยังอยู่ในขอบเขตรวดเร็วดั่งสายน้ำ ขณะที่มันก็มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนไไปถึงขอบเขตอนันต์แล้ว ในความเป็นจริงเกรซฟูลโมนาร์ชนั้นไม่สามารถหยั่งถึงพลังของเครอลิคหญิงที่เป็นผู้นำได้ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามสัญชาตญาณของเธอก็บอกว่าเครอลิคหญิงผู้นี้แข็งแกร่งกว่าตัวเธอมาก และเธอนั้นก็คิดว่าเธอน่าจะยืนหยัดต่อต้านเครอลิคหญิงผู้นี้ได้ไม่เกินห้าการเคลื่อนไหวแน่นอน
เกรซฟูลโมนาร์ชนั้นต้องยอมรับเลยว่าเพอเพิ้ลรากษสพูดถูก มันคงไม่มีความหมายจริงๆแม้ว่าบลูฟอร์สจากสภาสิบแปดปีกจะมาถึง พวกเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้ก็ต่อเมื่อได้รับความช่วยเหลือจากจักรพรรดิคริมสันเท่านั้น
ไม่นานหลังจากนั้นสมาชิกของจักรพรรดิคริมสันก็ได้มาถึงตรงหน้าของเกรซฟูลโมนาร์ช และเพอเพิ้ลรากษส ซึ่งออร่าโดยรวมที่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามหนึ่งร้อยคนแผ่ออกมานั้น มันก็มากพอจะทำให้ผู้เล่นโดยรอบรู้สึกกดดันได้เลย
“เกรซฟูล ให้ฉันแนะนำเธอก่อน นี่คือรองหัวหน้ากิลของจักรพรรดิคริมสัน อิลูซะรี่เวิร์ด ก่อนหน้านี้การที่ฉันสามารถทำเควสระดับอีปิคได้สำเร็จนั้นต้องขอบคุณรองหัวหน้ากิลอิลูซะรี่เลย หากปราศจากความช่วยเหลือจากเธอ ฉันคงไม่สามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วจนมาถึงตรงนี้ได้” เพอเพิ้ลรากษสกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพ
“ตราบใดที่ได้รับความช่วยเหลือจากรองหัวหน้ากิลอิลูซะรี่ เราจะไม่มีปัญหาเรื่องประตูเทเลพอร์ตระดับทองแดงแน่นอน”
เพอเพิ้ลรากษสนั้นเคยเห็นความแข็งแกร่งของอิลูซะรี่เวิร์ดมาเป็นการส่วนตัว ย้อนกลับไปตอนนั้น ด้วยความแข็งแกร่งของเธอเอง อิลูซะรี่เวิร์ดนั้นสามารถที่จะปราบปรามแกรนลอร์ดในเลเวลเดียวกันได้ และหากไม่ใช่เพราะแกรนลอร์ด เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยมี HP ที่มากเกินไป เธออาจจะสามารถโซโล่กับมันได้เลยก็ได้
ความแข็งแกร่งของอิลูซะรี่เวิร์ดนั้นคือสิ่งที่เพอเพิ้ลรากษสแสวงหามาตลอดเวลา เมื่อเทียบกับอิลูซะรี่เวิร์ดแล้ว ผู้เชี่ยวชาญระดับต้นๆของดาร์คเดนอย่างบลูฟอร์สนั้นนับว่าไม่มีอะไรเลย
“สวัสดี ฉันคือเกรซฟูลโมนาร์ช ผู้บัญชาการทีมนักผจญภัยอันดับหนึ่งแห่งเขตแสงสุดขีด !!” เกรซฟูลโมนาร์ชกล่าวแนะนำตัวเอง “ฉันเชื่อว่าคุณน่าจะรู้เกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อแย่งชิงประตูเทเลพอร์ตระดับทองแดงแล้ว ในนามของทีมนักผจญภัยต่างๆของเขตแสงสุดขีด ฉันหวังว่าคุณจะสามารถช่วยเราป้องกันประตูเทเลพอร์ตระดับทองแดงได้ ซึ่งเขตแสงสุดขีดนั้นยินดีจะเสนอช่องประตูสามสิบเปอเซ็นต์ให้กับจักรพรรดิคริมสัน หากการปกป้องประตูประสบความสำเร็จ คุณคิดยังไงกับข้อเสนอนนี้รองหัวหน้ากิลอิลูซะรี่ ?”
หน้าที่หลักของประตูเทเลพอร์ตระดับทองแดงนั้นก็คืออำนวยความสะดวกในการเดินทางไปมาระหว่างดาร์คเดนและโลกภายนอก อย่างไรก็ตามประตูนั้นจำกัดจำนวนผู้เข้าใช้ที่สูงสุดหนึ่งพันคนต่อวัน และมันก็เป็นสิ่งที่ล่อใจอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับผู้เล่นในดาร์คเดน และผู้เล่นจากโลกภายนอก ด้วยเหตุนี้ประตูจึงกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของเขตแสงสุดขีด
อย่างไรก็ตามอยู่ๆมันก็มีมหาอำนาจจากโลกภายนอกได้รับกุญแจที่สามารถควบคุมประตูเทเลพอร์ตระดับทองแดงได้ และก็ได้รับสิทในการแข่งขันเพื่อแย่งชิงอำนาจเหนือประตูเทเลพอร์ตนี้
โชคดีที่เขตแสงสุดขีดนั้นเป็นผู้รับผิดชอบในการเปิดใช้งานประตูเทเลพอร์ตระดับทองแดง และดำรงอำนาจอยู่เหนือมัน ดังนั้นเขตแสงสุดขีดจึงสามารถจะส่งผู้เล่นไปป้องกันประตูได้มากเท่าที่ต้องการ ในทางกลับกันกุญแจนั้นอนุญาติให้ส่งผู้เล่นมาได้แค่ห้าพันคนเท่านั้นเพื่อชิงประตู
ในตอนแรกนั้นเกรซฟูลโมนาร์ชค่อนข้างจะมั่นใจว่าเขตแสงสุดขีดจะสามารถปกป้องประตูเทเลพอร์จระดับทองแดงได้ด้วยตัวเอง และเธอก็ได้ไปขอความช่วยเหลือจากเขตหนึ่งของสภาสิบแปดปีกเพื่อความไม่ประมาท
อย่างไรก็ตามหลังจากได้เห็นทีมของจักรพรรดิคริมสันแล้ว เธอก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเธอเข้าใจหลายเรื่องผิดไปไกลมาก
ต่อหน้ามหาอำนาจที่แท้จริง ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามจำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยคนของเขตแสงสุดขีดนั้นนับว่าเป็นแค่เรื่องตลกเลย สำหรับผู้เล่นขั้นสอง พวกเขาก็จะไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าอาหารอันโอชะของผู้เล่นขั้นสาม และสิ่งที่พวกเขาจะทำได้มากที่สุดก็คือลดความแข็งแกร่งของผู้เล่นขั้นสามของศัตรูลง อย่างไรก็ตามหากผู้เล่นขั้นสามของเขตแสงสุดขีดไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับผู้เล่นขั้นสามของศัตรูได้ ความพยายามของผู้เล่นขั้นสองที่ทำมาทั้งหมดก็จะไร้ผล
หลังจากที่เกรซฟูลโมนาร์ชพูดจบ เธอก็มองไปยังอิลูซะรี่เวิร์ดอย่างประหม่า
ข้อเสนอสามสิบเปอเซ็นต์นั้นนับว่ามากมายแล้ว เพราะท้ายที่สุดในช่องที่เหลือนั้นพวกเขาก็จำเป็นจะต้องแบ่งปันกัน และต้องขายบางส่วนเพื่อรับเอาทรัพยากรสำหรับการพัฒนาตัวเองและเขตมาด้วย
ในดาร์คเดนนั้นมันมีประตูเทเลพอร์ตอยู่หลายประตู อย่างไรก็ตามประตูเทเลพอร์ตระดับทองแดงของเขตแสงสุดขีดนั้นเป็นเพียงแห่งเดียวที่กุญแจตกไปอยู่ในมือมหาอำนาจจากโลกภายนอก ขณะที่ที่อื่นยังไม่มีการค้นพบกุญแจ
ในขณะเดียวกันประตูที่ถูกค้นพบกุญแจแล้วนั้นก็จะมีการแข่งขันแย่งชิงอำนาจกันเดือนละครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นช่วงเวลาของการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นก็จะเหมือนันสำหรับประตูเทเลพอร์ตทั้งหมด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือจักรพรรดิคริมสันจะสามารถช่วยได้แค่ครั้งละหนึ่งเขตเท่านั้น
เขตแสงสุดขีดอาจเป็นเพียงเขตเดียวที่จักรพรรดิคริมสันร่วมมือด้วยในตอนนี้ แต่มันจะไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอนในอนาคต มันจะใช้เวลาอีกไม่นานก่อนที่มหาอำนาจอื่นๆจะค้นพบกุญแจประตูเทเลพอร์ตของเขตอื่น ในเวลานั้นจักรพรรดิคริมสันจะมีตัวเลือกพันธมิตรให้เลือกมากขึ้นอย่างมาก
ในช่วงเวลาที่เกรซฟูลโมนาร์ชและเพอเพิ้ลรากษสกำลังรอคำตอบจากอิลูซะรี่เวิร์ดอยู่เงียบๆ สายตาของเธอก็มองไปยังข้างหลังกลุ่มของเกรซฟูลโมนาร์ช ซึ่งเพื่อความแม่นยำก็ต้องบอกว่าเธอกำลังมองไปยังกลุ่มของซือเฟิง
“รองหัวหน้ากิลอิลูซะรี่ มีอะไรผิดปกติกับคนเหล่านั้นงั้นหรอ ?” เพอเพิ้ลรากษสกล่าวถาม เมื่อเธอสังเกตเห็นอิลูซะรี่เวิร์ดจ้องมองไปยังกลุ่มของซือเฟิงอย่างแปลกๆ
“ไม่มีอะไร ฉันแค่รู้สึกคุ้นเคยกับคนเหล่านั้นน่ะ อย่างไรก็ตามมันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่พวกเขาจะมาปรากฎตัวที่นี่” อิลูซะรี่เวิร์ดกล่าวพลางส่ายหัว เธอรู้สึกว่าเธอคิดมากเกินไป
จากการตรวจสอบของกิลเธอ กลุ่มของซือเฟิงนั้นอยู่ในทวีปด้านตะวันตก และด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ในทวีปด้านตะวันตก พวกเขาจะมาที่โลกเล็กๆใบนี้เพื่อแย่งชิงทรัพยากรทำไม ?
“คุณกำลังพูดถึงพวกเขางั้นหรอ ? พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญจากเขตหนึ่งของสภาสิบแปดปีก พวกเขาน่าจะมาที่นี่เพื่อทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนกับเขตแสงสุดขีดน่ะ” เกรซฟูลโมนาร์ชกล่าวขณะที่เธอหันไปมองกลุ่มของซือเฟิง ซึ่งได้เคลื่อนตัวออกห่างจากเธอไปราวสามร้อยหลาแล้ว “ก่อนหน้านี้ฉันได้เชิญบลูฟอร์ส รองหัวหน้ากิลของสภาสิบแปดปีกมาช่วยปกป้องประตูเทเลพอร์ตระดับทองแดง แต่น่าเสียดายที่รองหัวหน้ากิลฟอร์สนั้นถูกตรึงไว้ด้วยปัญหาบางอย่างในด้านของเขา ไม่งั้นด้วยความช่วยเหลือจากทีมของเขา เราจะมีช่วงเวลาที่ง่ายขึ้นมากในการป้องกันประตู”
“เขตหนึ่งของสภาสิบแปดปีกนั้นมีผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงอยู่เพีงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น คนอื่นนั้นไม่มีค่าพอจะให้กล่าวถึง และหากสมาชิกของสภาสิบแปดปีกมาเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ พวกเขาก็จะโชคดีมากแล้ว หากรอดไปได้จนจบ” เพอเพิ้ลรากษสกล่าวอย่างไม่ไยดี ขณะที่มองไปยังกลุ่มของซือเฟิง “เป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของสภาสิบแปดปีกจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญในสงครามครั้งนี้ได้”
ในเวลาปกตินั้นผู้เชี่ยวชาญขั้นสามย่อมจัดว่าน่าทึ่งมากๆ อย่งไรก็ตามการต่อสู้ป้องกันครั้งนี้นั้นมันไม่ใช่เรื่องธรรมดา ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามทั่วไปจะไม่ต่างจากผู้เชี่ยวชาญขั้นสองเลย
“ไม่ มันอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น …” อิลูซะรี่เวิร์ดกล่าวคัดค้านพลางส่ายหัว และเธอก็กล่าวต่อด้วยท่าทางชื่นชมว่า “ถ้าเป็นคนๆนั้นจากสภาสิบแปดปีก สภาสิบแปดปีกจะชนะการต่อสู้นี้ได้อย่างง่ายดายโดยพวกเราไม่ต้องช่วยด้วยซ้ำ”
“สภาสิบแปดปีกมีผู้เชี่ยวชาญแบบนั้นอยู่จริงๆงั้นหรอ ?” เกรซฟูลโมนาร์ชถามอย่างสงสัย
เกรซฟูลโมนาร์ชนั้นคิดว่าตัวเองมีความเข้าใจค่อนข้างสูงเกี่ยวกับเขตหนึ่งของสภาสิบแปดปีก ในบรรดาสมาชิกทั้งหมดนั้น ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือบลูฟอร์ส อย่างไรก็ตามเขาแข็งแกร่งกว่าเพอเพิ้ลรากษสในปัจจุบันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต่อหน้าอิลูซะรี่เวิร์ดเขาจะทนได้ไม่เกินสิบการเคลื่อนไหวแน่นอน
ดังนั้นเกรซฟูลโมนาร์ชจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อมากๆว่าสภาสิบแปดปีกจะมีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถพลิกกระแสการต่อสู้ป้องกันในครั้งนี้ได้ด้วยตัวเอง และยังได้รับความชื่นชมจากผู้เชี่ยวชาญแบบอิลูซะรี่เวิร์ดด้วย
เพอเพิ้ลรากษสเองก็สงสัยในคำพูดของอิลูซะรี่เวิร์ดในทำนองเดียวกัน
เมื่อเห็นว่าเกรซฟูลมูนและเพอเพิ้ลรากษสไม่เชื่อคำพูดของเธอ อิลูซะรี่เวิร์ดก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “แน่นอนสิ คนๆนั้นคือหัวหน้ากิลคนปัจจุบันของสภาสิบแปดปีก แบล๊คเฟรม !!!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น