Reincarnation Of The Strongest Sword God 2467 - 2470

 ตอนที่ 2467

 

ห้องมรดก


หุบเขาดาว ป้อมปราการแสงดาว :


รอยฉีกขาดเชิงพื้นที่ปรากฎขึ้นตรงหน้าทางเข้าของคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการแสงดาว ขณะที่ซือเฟิงก็ก้าวออกมาจากประตูมรดก


ตอนนี้มันมีผู้เล่นจำนวนหนึ่งกำลังนั่งพักผ่อนอยู่หน้าทางเข้า ซึ่งทุกคนก็ดูเหนื่อยล้ามากๆราวกับว่าพวกเขาเพิ่งต่อสู้ในการต่อสู้ที่กินเวลาหลายวันหลายคืนมา ดวงตาของพวกเขาก็แดงก่ำ และมันก็เห็นได้ชัดเลยว่าร่างกายของพวกเขานั้นอ่อนแอมากและดูบาดเจ็บไปทั้งตัว


“หัวหน้ากิล ?” ร่องรอยแห่งความประหลาดใจปรากฎขึ้นบนใบหน้าของโคล่า เมื่อเขาเห็นซือเฟิงเดินออกมาจากประตูมรดก


นอกเหนือจากโคล่า ชาโด้วซอร์ด เทอเทิ้ลโดฟ Alluring Summer และอี้ลั่วเฟย ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆกับเขาก็ประหลาดใจอย่างมากกับฉากนี้เช่นกัน พวกเขานั้นรู้ดีว่าการทดสอบภายในประตูมรดกนั้นยากขนาดไหน และจากพวกเขาทั้งหมดสิบคน คนที่มีโอกาสสูงสุดในการจะเคลียร์ระดับแรกของการทดสอบได้ก็คือซือเฟิง อย่างไม่ต้องสงสัย


อย่างไรก็ตามตอนนี้ซือเฟิงกับเป็นคนที่หกที่ออกมาจากประตูมรดก ดังนั้นเรื่องนี้มันจะไม่ทำให้พวกเขาประหลาดใจได้อย่างไร ?


เพราะท้ายที่สุดแล้วในแง่ของมาตราฐานการต่อสู้และค่าสถานะพื้นฐาน ซือเฟิงนั้นคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ของพวกเขา และแม้แต่มาตราฐานร่างมานาของเขาก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเทียบได้เลย


ในทางทฤษฎี แม้ว่าซือเฟิงจะล้มเหลวในการเคลียร์ระดับแรกของภูเขาศักสิทธิ์ แต่เขาก็น่าจะเป็นคนสุดท้ายที่ออกมาจากประตูมรดก


ซือเฟิงนั้นไม่ได้สนใจสายตาแปลกๆที่โคล่าและคนอื่นๆมองมายังเขาเท่าไหร่นัก และซือเฟิงก็เอ่ยปากถามว่า “มีแค่ห้าคนเท่านั้นที่ออกมา ?”


“อืมม พี่สาวไฟเออร์แดนซ์และคนอื่นๆยังคงอยู่ข้างใน” โคล่าพยักหน้าแบบเกร็งๆ และทำหน้าไม่ถูก


“พวกเขาจะได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ในช่วงเวลานี้งั้นหรอ ?” ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจกับสถานการณ์นี้ ความจริงที่ว่าไฟเออร์แดนซ์และคนอื่นๆยังคงอยู่ในประตูมรดกจนถึงตอนนี้ มันก็หมายความว่าพวกเขาใกล้จะเคลียร์ระดับแรกของภูเขาศักสิทธิ์ได้แล้ว


ระดับแรกของภูเขาศักสิทธิ์ในประตูระดับทอง !!!


ซือเฟิงนั้นได้เจอกับความยากลำบากของการทดสอบของประตูระดับทองแดงมาเป็นการส่วนตัวแล้ว และจากประสบการณ์ของเขา ทุกคนนอกเหนือจากหยานเทียนซิง ไม่น่าจะมีโอกาสมากนักในการเคลียร์ระดับแรกของภูเขาศักสิทธิ์ได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วการทดสอบของประตูระดับทองนั้นให้ความสำคัญกับมาตราฐานการต่อสู้ของผู้เล่นมากกว่าค่าสถานะพื้นฐาน ไม่ว่าค่าสถานะของพวกเขาจะทรงพลังมากเท่าไหร่ แต่การโจมตีของพวกเขานั้นก็จะไม่ได้รุนแรงไปกว่า NPC ขั้นสามที่ปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้อย่างสมบูรณ์แล้วเลย


ในขณะเดียวกัน ผู้เล่นที่เดินทางมายังทวีปด้านตะวันตกพร้อมกับซือเฟิงในครั้งนี้ อควาโรส ไฟเออร์แดนซ์ ไวโอเล็ทคลาวด์ เป็นสามในสี่คนที่ได้เข้าสู่หอคอยสี่เทพเจ้าไป และยังคงอยู่ภายในประตูมรดกอยู่ แม้ว่าเขาจะออกมาแล้วก็ตาม ขณะที่เสวี่ยเหวินโหรวนั้นก็ยังคงอยู่ในจักรวรรดิมังกรดำเพื่อจัดการเรื่องของกิลที่นั่น


ซือเฟิงนั้นไม่เคยคิดเลยว่าอควาโรส ไฟเออร์แดนซ์ และไวโอเล็ทคลาวด์จะยังอยู่ได้นานขนาดนี้ในประตูมรดก แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าทั้งสามนั้นได้มาถึงขอบเขตอนันต์แล้ว และไวโอเล็ทคลาวด์ก็ได้เรียนรู้เทคนิคการต่อสู้ระดับทองแดงมาแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ควรจะสามารถรอดชีวิตได้จนถึงตอนนี้


อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ส่ายหัวของเขา และไล่ความคิดและความกังวลทั้งหมดของเขาออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะท้ายที่สุดการที่อควาโรสและคนอื่นๆแข็งแกร่งขึ้น มันก็ยิ่งเป็นผลดีสำหรับสภาสิบแปดปีก หลังจากนั้นเขาก็มองไปยังโคล่าและคนอื่นๆพลางถามว่า “ใช่แล้ว แล้วทั้งห้าคนได้อะไรมาบ้างจากข้างใน ? สามารถปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาไปได้มากแค่ไหนกันแล้ว ?”


สมบัติที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ป้อมปราการโบราณก็คือ มรดกร่างมานา ดังนั้นมันจึงไม่สำคัญว่าผู้เล่นจะสามารถเคลียร์การทดสอบของมรดกของป้อมปราการได้ไหม ส่วนสำคัญจริงๆคือผู้เล่นได้เรียนรู้จากการทดสอบมรดกมากแค่ไหนต่างหาก หากผู้เล่นแค่มุ่งเน้นไปที่การเคลียร์การทดสอบและไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย มันจะนับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่


“ฉันปลดล๊อคไปได้แล้วถึงเจ็ดสิบห้าเปอเซ็นต์” โคล่าตอบอย่างภาคภูมิใจเล็กน้อย


แม้ว่าเขาจะเป็นคนแรกที่ออกมาจากประตูมรดก แต่เขาก็สามารถจะปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้มากกว่าอีกสี่คนที่เหลือที่ตามมาทีหลัง ในความเป็นจริงหากเขาผลักดันคู่ต่อสู้ของเขาได้อีกกลุ่มหนึ่ง เขาอาจจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาไปได้ถึงแปดสิบเปอเซ็นต์แล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่าทุกๆสิบเปอเซ็นต์ที่สามารถปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้ก็จะช่วยเพิ่มพลังของสกิลและเวทย์ขึ้นอย่างมาก


เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจของโคล่า ชาโด้วซอร์ดและคนอื่นๆก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเขาด้วยความไม่พอใจ โคล่าได้ปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้มากกว่าพวกเขาเพียงห้าเปอเซ็นต์ ไม่ใช่สิบเปอเซ็นต์ มันจึงไม่ใช่อะไรที่ควรจะให้อวดเลย


ไม่นานหลังจากที่ชาโด้วซอร์ดและคนอื่นๆรายงานความคืบหน้าของพวกเขาเสร็จสิ้น ทั้งสี่คนที่เหลือก็ค่อยๆทยอยกันออกมาจากประตูมรดก ….


ซึ่งในเวลาที่ทั้งสี่คนกลับออกมาครบนั้น มันก็มีเครื่องหมายระดับทองแดงปรากฎขึ้นเพิ่มเติมบนโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการของซือเฟิง


“อัศวินในระดับที่สองนั้นมีพลังมากเกินไป !!! ทุกการโจมตีของพวกเขาสามารถจะเทียบกับการโจมตีของมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายได้เลย !!! ใครจะไปสามารถป้องันการโจมตีเหล่านั้นได้กัน ?” การแสดงออกของหยานเทียนซิงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อเขาออกมาจากประตูมรดก


“นายเคลียร์ระดับแรกได้งั้นหรอ ?” ซือเฟิงถาม ในขณะที่เขามองไปยังสภาพของหยานเทียนซิงที่ดูค่อนข้างน่าสังเวช


“อืมมม แต่ระดับที่สองนั้นมันยากเกินไป โดยพื้นฐานแล้วเหล่าอัศวินในระดับสองนั้นอยู่ในมาตราฐานของขั้นสี่เลย และพวกนี้ก็จัดการได้ยากกว่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยายซะอีก” หยานเทียนซิงตอบพลางพยักหน้าด้วยความผิดหวังกับผลลัพธ์นี้


“ไม่เลวเลย อัศวินในระดับที่สองนั้นล้วนมีร่างมานาที่ระดับทองทั้งหมด ซึ่งร่างมานาของพวกนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่านายเลย ยิ่งไปกว่านั้นร่างมานาของพวกเขายังถูกปลดล๊อคอย่างสมบูรณ์แล้ว ขณะที่นายไม่ …. ซึ่งหากอัศวินหลายคนรวมกลุ่มเข้าโจมตีนาย มันก็เป็นเรื่องปกติที่นายจะแพ้” ซือเฟิงกล่าวอย่างไม่แปลกใจกับผลลัพธ์นี้ จากนั้นเขาก็กวาดสายตามองไปยังกลุ่มสี่คนของหยานเทียนซิง และถามว่า “แล้วปลดล๊อคร่างมานาไปได้มากแค่ไหนกันแล้ว ?”


อัศวิน NPC ที่มีร่างมานาระดับทองนั้นมีข้อได้เปรียบเหนือกว่าผู้เล่นในปัจจุบันอย่างมาก และแม้แต่ซือเฟิงหากต้องเผชิญหน้ากับอะไรแบบนี้ เขาก็ยังจะต้องเปิดใช้งานสกิล Heavenly Dragon’s Power เพื่อรับมือ


“ตอนนี้ฉันได้ปลดล๊อคไปเก้าสิบเปอเซ็นต์แล้ว” หยานเทียนซิงรายงานด้วยความผิดหวังเล็กน้อย “มันจะดีมากถ้าฉันได้ต่อสู้ต่อไปอีกสักหน่อย”


โคล่าและคนอื่นๆนั้นจ้องมองมายังหยานเทียนซิงอย่างอิจฉา เมื่อได้ยินดังนี้


พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอัศวิน NPC ที่ระดับที่สองจะมีร่างมานาระดับทอง การได้ต่อสู้กับอัศวินแบบนี้นั้นมันจะต้องช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างมากแน่นอน


“สำหรับฉัน ฉันปลดล๊อคได้มากกว่าเทียนซิงเล็กน้อย ฉันสามารถปลดล๊อคได้เก้าสิบห้าเปอเซ็นต์ ถ้าฉันสามารถอยู่ที่นั่นต่อได้อีกสักยี่สิบนาที ฉันอาจจะปลดล๊อคร่างมานาของฉันได้อย่างสมบูรณ์” อควาโรสกล่าวรายงานเป็นคนต่อมาด้วยความไม่พอใจเท่าไหร่นัก


อัศวิน NPC ที่มีร่างมานาระดับทองที่ระดับที่สองนั้นน่ากลัวเกินไป ทุกการโจมตีของพวกเขานั้นมีมาตราฐานเท่ากับขั้นสี่เลย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ยังมีมาตราฐานการต่อสู้ที่สูงมากๆซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตการปรับแต่งเลย และที่แย่ที่สุดคือความสามารถในการใช้มานาของเธอก็ถูกจำกัดด้วย อันเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมอันเลวร้าย


ขณะที่ไฟเออร์แดนซ์ และไวโอเล็ทคลาวด์ก็มีท่าทีที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจและหงุดหงิดเช่นเดียวกับอควาโรส แม้ว่าพวกเขาจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของพวกเขาไปได้เก้าสิบห้าเปอเซ็นต์แล้ว พวกเขาก็ยังไม่สามารถจะต่อกรกับอัศวินที่ระดับที่สองได้


“ใช่แล้ว หัวหน้ากิลเผ่าศักสิทธิ์ติดต่อมาหาฉันก่อนหน้านี้ พวกเขาบอกว่าพวกเขามีบางอย่างที่ต้องคุยกับเรา อย่างไรก็ตามเนื่องจากเรายังอยู่ในประตูมรดกกัน ฉันจึงบอกว่าเรามีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องจัดการและให้พวกเขารออยู่ที่สถานที่พักกิลชั่วคราวของพวกเขาก่อน” อควาโรสกล่าว


“นั่น ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนนะ ..” ซือเฟิงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ “แต่ก็ดีแล้วที่บอกไปแบบนั้น เพราะเดี๋ยวเราค่อยไปหลังจากปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้อย่างสมบูรณ์”


“หื้ม ?” อควาโรสสับสนกับคำพูดของซือเฟิง


พวกเขาพึ่งออกมาจากประตูมรดก หากปราศจากความช่วยเหลือจากประตูมรดก มันจะเป็นเรื่องยากอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับพวกเขาที่จะเดินหน้าต่อ และการจะปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาของพวกให้ได้สมบูรณ์ก็น่าจะต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยสองสัปดาห์


“ทุกอย่างก็ตรงตามที่ฉันพูดนั่นแหละ แม้ว่าประตูมรดกของป้อมปราการโบราณจะเป็นสถานที่ที่รวดเร็วที่สุดสำหรับผู้เล่นในการปลดล๊อคร่างมานาของตน แต่อย่างไรก็ตาม ในคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองมันก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่าห้องมรดกอยู่ แม้ว่าเอฟเฟคของมันจะไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับประตูมรดก แต่มันก็จะช่วยให้ผู้เล่นได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่ร่างมานาของตัวเองถูกปลดล๊อคอย่างสมบูรณ์แบบเป็นเวลาสามนาที ซึ่งฉันเชื่อว่าประสบการณ์นี้น่าจะช่วยทุกคนได้” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า


ห้องมรดกนั้นนับเป็นหัวใจหลักของคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการโบราณ หลังจากผู้เล่นได้รับสิทในการเข้าควบคุมคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะได้รับอนุญาติให้เข้าใช้ห้องนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นห้องนี้สามารถใช้ได้เพียงแค่สิบสองครั้งต่อเดือน และผู้เล่นแต่ละคนนั้นก็สามารถจะใชห้องนี้ได้แค่เดือนละครั้งเท่านั้น


ในชีวิตก่อนหน้านี้ของซือเฟิง มหาอำนาจต่างๆที่ควบคุมป้อมปราการโบราณนั้นอนุญาติให้เฉพาะผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดหรือสูงกว่าขึ้นไปที่ใกล้จะปลดล๊อคร่างมานาของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์เท่านั้นเข้าใช้ห้องนี้ เพราะกลุ่มคนนี้เป็นกลุ่มคนที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากห้องนี้


ตอนนี้อควาโรสและคนอื่นๆสามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้กันที่อย่างน้อยเจ็ดสิบเปอเซ็นต์แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงมีโอกาสสูงมากที่จะสามารถปลดล๊อคได้อย่างสมบูรณ์หากได้เข้าใช้ห้องมรดก ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วซือเฟิงจึงต้องการจะให้พวกเขาไปลองใช้ห้องนี้ ….


หลังจากพูดจบ ซือเฟิงก็ปลดผนึกคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองออก และพาทุกคนเข้าไปด้านใน

 

 

 


ตอนที่ 2468

 

เอฟเฟคของเครื่องหมายระดับเงิน


ขณะที่ซือเฟิงและคนอื่นๆเดินเข้าไปในคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครอง พวกเขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าสภาพจิตใจที่อ่อนแอล้าของพวกเขานั้นได้รับการฟื้นฟูทันที


“ความหนาแน่นของมานาในพื้นที่นี้นั้นสูงมากๆ !!!” อควาโรสอุทานออกมา เมื่อเธอสัมผัสได้ถึงมานาภายในคฤหาสถ์ “มันสูงกว่าที่เมืองสภาสิบแปดปีกอย่างน้อยสองเท่า !!!”


จากเมืองกิลทั้งหมดใน God domain นั้น ความหนาแน่นของมานาในเมืองสภาสิบแปดปีกนั้นจัดว่าสูงที่สุด


นี่เป็นสาเหตุที่เมืองสภาสิบแปดปีกนั้นยังคงได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้เล่น แม้ว่ามันจะตั้งอยู่ในเขตแดนของอาณาจักรสตาร์มูน ที่เป็นแผนที่ที่มีเลเวลต่ำกว่าเลเวลเฉลี่ยของผู้เล่นแล้ว ปัจจุบันยอดการเข้าเยี่ยมชมเมืองรายวันยังคงเกินหกล้านคน ซึ่งหากจัดอันดับจริงๆเมืองมียอดการเข้าเยี่ยมชมจากผู้เล่นเป็นรองแค่เมืองสตาร์มูน กับเมืองไวท์ริเวอร์เท่านั้น


อย่างไรก็ตามแม้จะมีมานาที่เบาบางในหุบเขาดาว แต่ภายในคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการแสงดาวนั้นกับมีความหนาแน่นของมานาสูงกว่าเมืองสภาสิบแปดปีกอย่างน้อยสองเท่า จากสิ่งที่อควาโรสคิดออก มันจะมีก็แต่เพียงมานาในเมืองไททันเท่านั้นที่จะเทียบกับมานาภายในคฤหาสถ์นี้ได้


“ด้วยสภาพแวดล้อมที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ แม้แต่การฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้ระดับทองแดงก็จะไม่เป็นปัญหาที่นี่เลย …” หยานเทียนซิงแสดงความคิดเห็นด้วยดวงตาที่เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นในทำนองเดียวกัน เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงมานารอบตัวเขา


การฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้นั้นมันจัดเป็นภาระอย่างมากโดยเฉพาะกับค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของผู้เล่น หากสภาพแวดล้อมไม่มีมานาที่หนาแน่นเพียงพอ อัตราการฟื้นฟูของพวกเขาจะไม่สามารถตามทันอัตราการผลาญใช้งานได้ ผู้เล่นนั้นจะต้องพักผ่อนเป็นเวลานานเลย หลังจากได้ฝึกใช้เทคนิคการต่อสู้ไปจำนวนหนึ่งแล้ว และการฝึกโดยทำแบบนี้ไปก็จะไม่มีประสิทธิภาพมากนัก


ในขณะเดียวกันเทคนิคการต่อสู้ระดับทองแดงนั้นยิ่งฝึกฝนได้ยาก และยิ่งผลาญค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจอย่างมาก การใช้เทคนิคการต่อสู้ระดับทองแดงแต่ละครั้งจะผลาญค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจมากกว่าการใช้เทคนิคการต่อสู้ขั้นสูงหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้เล่นไม่ได้เชี่ยวชาญในการใช้เทคนิคการต่อสู้ระดับทองแดง การใช้มันก็จะยิ่งเพิ่มภาระให้กับค่าสตามิน่าและค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของพวกเขา ดังนั้นตอนนี้มหาอำนาจต่างๆจึงมีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถเรียนรู้เทคนิคการต่อสู้ระดับทองแดงได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น และแม้แต่สภาสิบแปดปีกก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


“สถานที่นี้ไม่ได้มีประโยชน์แค่ไว้ใช้ฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้ระดับทองแดงเท่านั้นนะ …” เมื่อมองไปที่สีหน้าตื่นเต้นของทุกคน ซือเฟิงก็ชี้ไปที่ห้องมรดกที่อยู่ใกล้ๆและอธิบายว่า “ที่นี่ยังมีห้องฝึกมานา ในนั้นผู้เล่นไม่เพียงแต่จะสามารถฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้ได้เท่านั้น แต่ยังฝึกการควบคุมมานาได้ด้วย ซึ่งประสิทธิภาพที่จะได้รับหลังจากการฝึกภายในนั้นมันก็สูงกว่าโลกภายนอกหลายเท่าเลย มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย หากจะบอกว่าห้องเหล่านี้เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดตอนนี้ในการฝึก”


ในฐานะป้อมปราการที่คงอยู่มาตั้งแต่โบราณ ป้อมปราการแสงดาวนั้นไม่ได้ดูเรียบง่ายอย่างที่เห็นเลย มาตราฐานเทคโนโลยีเวทย์มนต์ที่ป้อมปราการครอบครองอยู่นั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่ประเทศต่างๆใน God domain ในปัจจุบันก็ยังทำได้แค่ชื่นชม นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้มหาอำนาจต่างๆในชีวิตก่อนหน้านี้ของซือเฟิงนั้นล้วนต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งเพื่อแย่งชิงป้อมปราการโบราณ


น่าเสียดายที่ป้อมปราการแสงดาวนั้นเป็นเพียงป้อมปราการขนาดเล็ก และคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองที่นี่ก็มีขนาดไม่ใหญ่นัก โดยมันมีทั้งหมดแค่ห้าชั้นเท่านั้น ซึ่งแบ่งออกเป็นชั้นปกติสองชั้น และชั้นใต้ดินสามชั้น


ในขณะเดียวกันทุกชั้นเหล่านี้ล้วนได้รับการปรับปรุงโดยวงเวทย์แทบทุกประเภทที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมานโดยรอบ รวมทั้งช่วยเร่งอัตราการฟื้นฟูค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของผู้เล่นด้วย แถมผู้เล่นยังจะสามารถสะสมดับเบิ้ลบัฟ EXP ได้ เมื่ออยู่คฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกลัวจะตามหลังเลยในแง่ของเลเวล แม้ว่าพวกเขาจะใช้เวลาฝึกฝนในคฤหาสถ์เป็นเวลานานก็ตาม


สำหรับห้องฝึกมานานั้นมันมีอยู่เพียงแค่สามสิบห้องในคฤหาสถ์ ขณะที่ในป้อมปราการขนาดกลางนั้นมันจะมีอยู่มากกว่านี้สองเท่า ส่วนป้อมปราการขนาดใหญ่นั้นจะมีห้องแบบนี้อยู่หนึ่งร้อยห้าสิบห้อง ซึ่งความสามารถในการช่วยผู้เล่นของป้อมปราการโบราณขนาดใหญ่นั้นมากกว่าป้อมปราการโบราณขนาดเล็กหลายเท่าเลย และด้วยป้อมปราการแสงดาว สภาสิบแปดปีกจะสามารถเลี้ยงดูผู้เชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นมาได้อีกแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

อย่างไรก็ตามนี่ก็นับเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ซือเฟิงจะสามารถทำได้แล้วในตอนนี้ เพราะท้ายที่สุดความยากลำบากในการเข้ายึดป้อมปราการขนาดกลางและขนาดใหญ่นั้นสูงกว่าขนาดเล็กหลายเท่า


โดยทั่วไปป้อมปราการขนาดใหญ่นั้นจะมีมอนสเตอร์ระดับผู้อาวุโสเทพนิยายคอยปกป้องอยู่ ในขณะที่ป้อมปราการขนาดกลางนั้นก็มีโอกาสเล็กน้อยที่จะมี มอนสเตอร์ระดับผู้อาวุโสเทพนิยายปรากฎตัวมาเป็นบอสผู้พิทักษ์ตัวสุดท้าย ป้อมปราการขนาดกลางนั้นจะมีมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายอื่นๆอีกมากมายอยู่ภายใน ป้อมปราการขนาดกลางนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้เล่นแค่ไม่กี่คน และฮีโร่ขั้นสี่จะสามารถยึดได้ง่ายๆ ในความเป็นจริงในชีวิตก่อนหน้านี้ของซือเฟิง มหาอำนาจต่างๆเริ่มเข้ายึดป้อมปราการขนาดกลางและขนาดใหญ่ในหุบเขาดาวได้ก็หลังจากที่ผู้เล่นมาถึงขั้นสี่กันแล้วเท่านั้น


หลังจากที่ซือเฟิงทำการแนะนำทุกคนอย่างคร่าวๆ เขาก็ได้พาทุกคนไปที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สองของคฤหาสถ์


ชั้นใต้ดินชั้นที่สองนี้มันมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก และมันมีเพียงแค่สองห้อง ซึ่งหนึ่งในห้องเหล่านี้เป็นห้องหลักที่รับผิดชอบในการควบคุมวงเวทย์ของป้อมปราการ ในขณะที่อีกห้องนั้นมีประตูขนาดใหญ่กว่าให้เข้าไปโดยประตูนั้นล้วนสร้างจากคริสตัลเวทย์มนต์ทั้งหมด


ซึ่งห้องที่มีประตูที่ทำจากคริสตัลเวทย์มนต์นี้นั้นจัดเป็นสถานที่ที่ล้ำค่าที่สุดใน

คฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการ


ห้องมรดก !!!


สถานที่แห่งนี้นั้นจัดว่ามีค่าอย่างมากที่สุดแน่นอน หากไม่นับประตูมรดก ในแง่ของการช่วยให้ผู้เล่นปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเอง ในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิง สถานที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดของมหาอำนาจต่างๆในการดูแลผู้เชี่ยวชาญของกิล


ใน God domain ร่างมานาอาจถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสนับสนุนของผู้เล่นเท่านั้น อันเนื่องมาจากมันเป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่ผู้เล่นจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้ทั้งหมดหลังจากที่มาถึงขั้นสามแล้ว อย่างไรก็ตามยิ่งผู้เล่นปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์เร็วเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งเพิ่มความเหลื่อมล้ำระหว่างพวกเขากับผู้เล่นคนอื่นขึ้นมากอย่างชัดเจน

เนื่องจากยิ่งผู้เล่นสามารถควบคุมร่างมานาของตัวเองได้ดีเท่าไหร่ รูปแบบการต่อสู้ของพวกเขาก็จะยิ่งมีพลังเพิ่มขึ้นและได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ในขณะเดียวกันมันก็ต้องใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้


นอกจากนี้หากผู้เล่นต้องการจะปรับปรุงร่างมานาของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น กล่าวคือให้ทะลุเกณฑ์หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ ก่อนอื่นพวกเขาจะต้องปลดล๊อคศักยภาพทั้งหมดของร่างมานาของพวกเขาให้ได้ก่อน และหลังจากทำเช่นนั้นได้แล้วพวกเขาจึงจะสามารถลองพยายามให้มันทะลุเกณฑ์หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ได้ ซึ่งความสำเร็จของผู้เล่นก็จะขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาไปถูกทางไหม


หากผู้เล่นพบว่าพวกเขาทำผิดพลาด พวกเขาก็ยังจะสามารถเปลี่ยนวิธีการปลดล๊อคศักยภาพศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้


ดังนั้นยิ่งผู้เล่นคนใดสามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองใน God domain ได้เร็วเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งดีมากเท่านั้น


แน่นอนว่าห้องมรดกนั้นก็มีข้อบกพร่องมากเช่นกัน มันสามารถทำให้ผู้เล่นนั้นสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของการมีร่างมานาที่ปลดล๊อคแล้วสมบูรณ์แบบตามรากฐานปัจจุบันของพวกเขา แต่มันจะไม่ได้ชี้ให้เห็นถึงเส้นทางที่เด่นชัด


ถึงกระนั้นการได้รับความช่วยเหลือจากห้องมรดกก็ยังดีกว่าการทดลองไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้าในห้องมรดกหลายเท่า


หลังจากที่มาถึงหน้าประตูที่ทำจากคริสตัลเวทย์มนต์ที่สูงสี่เมตร และกว้างสามเมตร ซือเฟิงก็นำโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการขึ้นมา และเริ่มร่ายเวทย์ที่บันทึกไว้ภายในนี้เพื่อเรียกวงเวทย์ออกมา


ในช่วงเวลาต่อมาวงเวทย์ที่เรียกออกมาจากโทเค่นก็เปล่งแสงสีน้ำเงินออกมาก่อนที่มันจะพุ่งไปสะท้อนกับวงเวทย์ที่ถูกแกะสลักไว้บนประตู โดยวงเวทย์บนประตูก็ได้เปล่งแสงสีเงินออกมาเช่นกัน


ซึ่งหลังจากนั้นประตูที่ปิดสนิทอยู่ก็เริ่มเปิดออก และทุกคนก็รู้สึกได้ทันทีถึงความหนาแน่นของมานาที่ไหลออกมาจากห้องมรดก โดยเมื่อร่างของพวกเขาอาบไปด้วยมานานี้ทุกคนก็รู้สึกว่าจิตใจของพวกเขานั้นชุ่มชื่นและปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


ในเวลาเดียวกัน เสียงการแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นมาที่หูของซือเฟิง


ระบบ : คุณได้ใช้งานห้องมรดกระดับเงิน ห้องนี้สามารถใช้งานได้สิบสองครั้งต่อเดือน และสามารถเข้าได้เพียงหนึ่งครั้งต่อหนึ่งคน โดยผู้เล่นจะสามารถสัมผัสความรู้สึกที่ร่างมานาถูกปลดล๊อคแล้วอย่างสมบูรณ์แบบหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ได้ตามมาตราฐานของปัจจุบันของพวกเขา เป็นเวลาห้านาที และเมื่อมันจบลง ผู้เล่นจะไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าสู่ห้องมรดกอีกเป็นเวลาหนึ่งเดือนตามธรรมชาติ


เครื่องหมายระดับเงินให้ประโยชน์แบบนี้ด้วยงั้นหรอ ? ซือเฟิงจ้องมองไปที่โทเค่นในมือของเขาด้วยความประหลาดใจ


ความแตกต่างระหว่างสามนาทีและห้านาทีนั้นอาจไม่นานมากนัก แต่อย่างไรก็ตามการได้สัมผัสกับความรู้สึกที่ร่างมานาถูกปลดล๊อคอย่างสมบูรณ์แบบแล้วนานกว่าเดิมมันก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว


ซึ่งเครื่องหมายระดับเงินนี้มันก็ช่วยเพิ่มเวลาขึ้นอีกถึงสองนาทีเลยทีเดียว


ในขณะนี้ซือเฟิงก็เข้าใจมากขึ้นแล้วว่าทำไมมหาอำนาจต่างๆถึงทุ่มลงทุนให้กับผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของพวกเขาจำนวนหนึ่งให้ท้าทายประตูมรดกเพื่อรับเอาเครื่องหมายระดับเงินมาให้ได้ พวกเขาทำกันเพราะแบบนี้นี่เอง ….


“เอาล่ะ คนไหนจะเข้าไปก่อน ?” ซือเฟิงถามขณะที่เขาหันไปมองยังอควาโรสและคนอื่นๆ


เมื่อได้ยินคำถามของซือเฟิง อควาโรสและคนอื่นๆก็มองกันและกันอย่างลังเล พวกเขาไม่แน่ใจว่าพวกเขาควรเข้าไปในห้องมรดกตอนนี้เลยดีไหม เพราะท้ายที่สุดซือเฟิงได้บอกพวกเขาแล้วว่าพวกเขามีโอกาสแค่เดือนละครั้ง ซึ่งถ้าพวกเขาพลาด พวกเขาก็จะต้องรออีกหนึ่งเดือนเลย ซึ่งมันอาจจะสายเกินไปในบางเรื่อง ….


“ฉันจะไปก่อน” ไฟเออร์แดนซ์กล่าวหลังจากครุ่นคิด


“เอาล่ะ เพียงแค่เดินตรงเข้าไปในห้อง เมื่อเข้าไปแล้วก็ให้มุ่งความสนใจไปที่ร่างมานาของตัวเอง และพยายามให้ดีที่สุดเพื่อจะปรับให้เข้ากับสิ่งที่เธอได้รู้สึกในนั้น” ซือเฟิงกล่าวแนะนำขณะชี้ไปยังห้องมรดกที่มีขนาดเท่ากับสนามบาสเก็ตบอลครึ่งสนาม

สถานการณ์ภายในห้องมรดกนั้นมันตรงกันข้ามกับสถานการณ์ภายในประตูมรดก


มันแตกต่างจากที่ประตูมรดกก็ตรงที่ห้องนี้นั้นมีความหนาแน่นของมานาสูงมากๆ และในขณะที่ยืนอยู่ในห้องนี้ผู้เล่นจะได้รู้เลยว่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสัมผัสถึงการไหลของมานาในร่างกายของตนเองได้อย่างชัดเจน พวกเขานั้นจะสามารถพึ่งพาได้แค่สัญชาตญาณเท่านั้น


“ฉันเข้าใจแล้ว” ไฟเออร์แดนซ์พยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง


ในขณะเดียวกัน หลังจากที่ไฟเออร์แดนซ์เข้าสู่ห้องมรดก ประตูก็ถูกปิดลงอีกครั้ง ในขณะที่ทุกคนที่เฝ้าดูก็เต็มไปด้วยความประหม่า


“ไม่ต้องกังวล แม้ว่าครั้งนี้จะมีบางคนที่ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาแบบสมบูรณ์ได้ไม่สำเร็จ แต่ก็ยังสามารถจะลองพยายามกันต่อไปได้ในโลกภายนอก และมันก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่ทุกคนจะปลดล๊อคได้ทั้งหมด เพียงแต่ว่าให้คิดว่านี่คือโอกาสที่จะได้สัมผัสมันล่วงหน้า” ซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนประหม่าแค่ไหน


โอกาสที่ห้องมรดกมอบให้นั้นมันสำคัญมาก อย่างไรก็ตามแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาแบบสมบูรณ์ได้หลังจากเข้าสู่ห้องมรดก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่สามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้ในอนาคต พวกเขานั้นสามารถจะทำได้ เพียงแต่ต้องจ่ายในราคาที่สูงหน่อย


ทันใดนั้นอควาโรสก็ได้รับข้อความหนึ่งเข้ามา และหลังจากอ่านจบ เธอก็หันไปหาซือเฟิงและพูดว่า “หัวหน้ากิลแม๊คอาฟรี่ส่งข้อความมาหาฉันอีกครั้งแล้ว เขาบอกว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น และเขาขอให้หัวหน้าไปพบเขาตอนนี้”


“มันเร่งด่วนขนาดนั้นเลยหรอ ?” ซือเฟิงรู้สึกสับสนเล็กน้อยว่าทำไมแม๊คอาฟรี่ถึงพยายามจะติดต่อเขา “เอาล่ะ เมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็คงต้องไปก่อน ต่อแถวทยอยกันเข้าใช้ไปแล้วกัน …”


หลังจากกล่าวจบซือเฟิงก็ออกจากคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครอง และมุ่งหน้าไปยังสถานที่พักกิลชั่วคราวของเผ่าศักสิทธิ์ในป้อมปราการแสงดาวทันที

 

 

 


ตอนที่ 2469

 

พายุเริ่มก่อตัว


ป้อมปราการแสงดาว สถานที่พักกิลชั่วคราวของเผ่าศักสิทธิ์ :


หลังจากกองกำลังสิงโตเงินทำการกวาดล้างทั้งป้อมปราการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ป้อมปราการที่เคยถูกปกครองโดยเหล่ามอนสเตอร์ก็ไม่เหลือมอนสเตอร์อีกต่อไปแล้ว และมันก็ได้ถูกแทนที่เข้ามาด้วยผู้เล่นจำนวนมหาศาล ยิ่งไปกว่านั้นผู้เล่นเหล่านี้ก็ยังมีอาวุธและอุปกรณ์ชั้นยอดครบครันด้วย ซึ่งพวกเขานั้นก็จัดอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญของเผ่าศักสิทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย


ในขณะนี้ผู้เล่นที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้กำลังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นมากๆ ขณะที่พวกเขาเดินไปตามถนนของป้อมปราการแสงดาวซึ่งกลายเป็นจุดสนใจของมหาอำนาจและผู้เล่นมากมาย


ในฐานะป้อมปราการที่ตั้งอยู่ในหุบเขาดาว ซึ่งเป็นดินแดนต้องห้ามเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย หน้าที่ของป้อมปราการแสงดาวจึงจัดว่ายิ่งใหญ่มาก เพราะไม่เพียงแต่มันจะช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางได้อย่างมาก แต่มันยังสามารถใช้เป็นที่หลบภัยของผู้เล่นเพื่อพักผ่อนและฟื้นฟูได้อีกด้วย ในขณะเดียวกัน มันก็จะกลายเป็นศูนย์กลางการค้าของหุบเขาดาว


ท้ายที่สุด หุบเขาดาวนั้นมีขนาดใหญ่มากๆ ยิ่งไปกว่านั้นผู้เล่นยังไม่มีสถานที่ให้พักผ่อนเลยในแผนที่โดยรอบ นอกจากนี้หุบเขาดาวยังอุดมไปด้วยทรัพยากรพิเศษจำนวนมหาศาล ซึ่งหากผู้เล่นออกล่าที่นี่นอกจากพวกเขาจะเก็บเลเวลได้อย่างรวดเร็วแล้ว พวกเขายังจะมีการเก็บเกี่ยวที่ดีมากด้วย ดังนั้นในฐานะศูนย์กลางการค้าแห่งเดียวที่มีอยู่ในหุบเขาดาวตอนนี้ ป้อมปราการแสงดาวนั้นก็มีอนาคตที่มีค่ามากอย่างไม่อาจประเมินได้เลย


แถมในฐานะป้อมปราการที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ มานาในบริเวณรอบป้อมปราการแสงดาวนั้นมันก็มีความหนาแน่นมากๆ และมันไม่มีป้อมปราการใดในโลกภายนอกที่มีลักษณะคล้ายกันแบบนี้เลย ซึ่งในทวีปด้านตะวันตกที่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนมานานั้น ป้อมปราการแสงดาวจึงจัดเป็นพื้นที่ฝึกที่หาได้ยากมากจริงๆ


ซือเฟิงนั้นสามารถมองเห็นถึงความตื่นเต้นของเหล่าสมาชิกเผ่าศักสิทธิ์ได้อย่างชัดเจนเลย


หลังจากผู้เล่นเข้ายึดป้อมปราการโบราณได้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะสามารถรวบรวมมานาจำนวนมากภายในป้อมปราการมาใช้ประโยชน์ได้ แต่มานาพวกนี้ยังควบคุมได้

ง่ายมากๆ ซึ่งแม้แต่ผู้เล่นที่ยังควบคุมมานาได้ไม่ดีนักก็จะสามารถมาฝึกที่นี่และพัฒนาไปอย่างรวดเร็วได้เลย


สำหรับผู้เล่นในทวีปด้านตะวันตกที่ให้ความสำคัญในการควบคุมมานาก่อนร่างกายของตัวเอง ป้อมปราการแสงดาวจึงนับเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบในการฝึกเลย


“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม รองผู้บัญชาการและคนอื่นๆรอคุณอยู่ในห้องรับรองแล้ว โปรดตามฉันมา”


ไม่นานหลังจากที่ซือเฟิงมาถึงตรงหน้าทางเข้าสถานที่พักกิลชั่วคราวของเผ่าศักสิทธิ์ ชายวัยกลางคน ซึ่งเป็นการ์เดี้ยนไนท์ เลเวลหนึ่งร้อยหกก็ได้เดินเข้ามาหาเขา ชายวัยกลางคนผู้นี้ให้ความรู้สึกที่ดีและดูอ่อนน้อมถ่อมตนมากๆ อย่างไรก็ตามออร่าที่เขาแผ่ออกมานั้นก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าแกรนลอร์ดในเลเวลเดียวกันเลยแม้แต่น้อย และในแง่ของความแข็งแกร่งโดยรวม เขาน่าจะแข็งแกร่งกว่าคริมสันวิชของกองกำลังสิงโตเงินด้วยซ้ำ


“ฉันต้องรบกวนคุณหน่อยแล้ว …” ซือเฟิงตอบก่อนจะถอนหายใจออกมา พลางยิ้มอย่างขมขื่น


ในสภาสิบแปดปีกปัจจุบัน หยานเทียนซิงและซือเฟิงนั้นเป็นแค่สองคนที่เข้าสู่ขอบเขตโดเมนได้


อย่างไรก็ตามเพียงหนึ่งวัน หลังจากที่เข้ายึดป้อมปราการแสงดาวได้ เผ่าศักสิทธิ์ก็ได้เปิดเผยผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมนออกมาให้เขาเห็นอีกคนแล้ว


ซือเฟิงนั้นอดไม่ได้ที่จะต้องยอมรับว่ามหาอำนาจต่างๆนั้นน่าทึ่งจริงๆ และสภาสิบแปดปีกก็น่าจะต้องใช้เวลานานมากกว่าจะตามทัน


หลังจากได้ยินคำตอบของซือเฟิง ชายวัยกลางคนก็พาซือเฟิงเข้าไปที่สถานที่พักกิลชั่วคราวของเผ่าศักสิทธิ์


เมื่อเข้าไปถึงในกิลฮอล ซือเฟิงก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง


ในขณะนี้นั้นกิลฮอลนั้นได้รับการซ่อมแซมและปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ซึ่งภายในอาคารนี้นั้นไม่เพียงแต่จะดูสวยงามมากเท่านั้น แต่พื้นของอาคารยังถูกปูด้วยกระเบื้องที่ทำจากแร่มานาด้วย ซึ่งแม้แต่กิลฮอลในสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกก็ยังไม่สามารถเทียบกับที่นี่ได้ในแง่ขอความหรูหราฟุ่มเฟือย


แร่มานานั้นนับเป็นแร่หายากชนิดหนึ่ง แม้ว่ามันจะไม่ได้มีค่ามากเท่ากับคริสตัลเวทย์มนต์ แต่มันก็มีมานาอยู่จำนวนมาก และไอเทมที่ถูกสร้างด้วยแร่มานานั้นก็จะทำการคายมานาออกมาจำนวนเล็กน้อยซึ่งจะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมานาในบริเวณใกล้เคียงได้ระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามเนื่องจากต้นทุนนั้นมันไม่ค่อยจะคุ้มกับผลตอบแทนเท่าไหร่นัก มันจึงมีมหาอำนาจแต่ไม่กี่กลุ่มที่เต็มใจจะใช้แร่มานาปูพื้นแบบนี้


ในขณะเดียวกันนี่เป็นเพียงสถานที่พักกิลชั่วคราวของเผ่าศักสิทธิ์ แต่กิลกับใช้แร่มานาปูพื้น สิ่งนี้มันจึงจัดว่าฟุ่มเฟือยมากเกินไปจริงๆ


อย่างไรก็ตาม เมื่อมองจากจุดนี้ก็จะสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเผ่าศักสิทธิ์ให้ความสำคัญมากแค่ไหนกับสถานที่พักกิลชั่วคราวแห่งนี้


อย่างไรก็ตามหากสถานที่พักกิลชั่วคราวเปลี่ยนเจ้าของ แร่มานาที่ใช้นี่ก็ไม่สามารถจะนำออกไปได้ หากสภาสิบแปดปีกตัดสินใจเปลี่ยนพันธมิตรอย่างกระทันหัน การกระทำของเผ่าศักสิทธิ์จะไม่ต่างจากเสียเปล่าทั้งหมดเลย อย่างไรก็ตามแม้จะรู้แบบนี้ เผ่าศักสิทธิ์ก็ยังคงเต็มใจจะทำ


ชั่วครู่ต่อมาภายใต้การนำของชายวัยกลางคน ซือเฟิงก็ได้มาถึงห้องรับรองที่ชั้นบนสุด


ขณะนี้นั้นมีสามคนนั่งอยู่ในห้องรับรอง แม๊คอาฟรี่ และคริมสันวิชนั้นซือเฟิงคุ้นเคยอยู่แล้ว ขณะเดียวกันก็มีเบอเซิกเกอร์สาวสวยที่ผมสีบลอนด์และดวงตาสีแดงเข้มนั่งอยู่ด้วยอีกคน โดยเบอเซิกเกอร์ผู้นี้สวมเกราะเบาสีเทาเงิน และมีดาบใหญ่ที่แผ่มานาจำนวนมากออกมาสะพายอยู่ด้านหลัง


แม้ว่าเบอเซิกเกอร์หญิงนี้จะนั่งอยู่เงียบๆภายในห้อง แต่มันก็เหมือนกับว่าเธอได้เคยขโมยสีทั้งหมดในห้องไป และนอกเหนือจากเธอแล้วนั้น ทั่วทั้งห้องก็ดูเหมือนจะมีสีเดียว


เทพธิดาตาเวทย์มนต์ ? ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ ? ซือเฟิงนั้นตกตะลึงเมื่อเห็นเบอเซิกเกอร์หญิงคนนี้ ซึ่งนี่เป็นเพราะเขาคุ้นเคยกับผู้หญิงคนนี้มากกว่าแม๊คอาฟรี่และคริมสันวิชด้วยซ้ำ


เธอเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญขั้นหกขอบเขตพระเจ้าเพียงแค่ไม่กี่คนในชีวิตที่ผ่านมาของเขา และเธอก็ยังเป็นผู้ครอบครอง Eternal Sin ซึ่งเป็นอาวุธระดับตำนานด้วย ในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิงนั้น เธอได้รับการจัดอันดับความแข็งแกร่งอยู่ในระดับที่สูงมาก แม้แต่ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญขั้นหกด้วยกัน นอกจากนี้เธอยังสามารถพัฒนากิลที่เธอสร้างเองให้ไปได้ไกลจนกลายเป็นกิลชั้นยอด และกลายเป็นดั่งตำนานของ God domain ด้วย


ในขณะเดียวกันเพราะอาชีพลับของเธออย่าง ฮันเตอร์ตาเวทย์มนต์ มันจึงทำให้เธอได้รับฉายาว่าเทพธิดาตาเวทย์มนต์


อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้เทพธิดาตาเวทย์มนต์นี้สวมใส่ตราสัญลักษณ์กิลของเผ่าศักสิทธิ์อยู่ ซึ่งสถานการณ์นี้มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่ซือเฟิงรู้


“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม คุณสองคนรู้จักกันมาก่อนงั้นหรอ ?” แม๊คอาฟรี่ถามอย่างสงสัย เมื่อเขาเห็นการแสดงออกที่เปลี่ยนไปจากท่าทีของซือเฟิง


หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว ซือเฟิงก็ส่ายหัวและอธิบายว่า “ไม่เราไม่คุ้นเคยกัน เพียงแต่ว่าเธอดูคล้ายกับคนที่ฉันรู้จักมาก”


เมื่อได้ยินคำตอบของซือเฟิง แม๊คอาฟรี่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้อีกต่อไป และเขากล่าวต่อว่า “ในกรณีนี้งั้นฉันขอแนะนำคุณก่อน คนๆนี้คือฟิธาเลีย ผู้บัญชาการกองกำลังดีไวน์ไฮม์ของเผ่าศักสิทธิ์ นอกจากนี้เธอยังจะเป็นผู้รับผิดชอบกองกำลังทั้งหมดของเผ่าศักสิทธิ์ที่เข้าประจำการในป้อมปราการแสงดาวนับจากนี้”


“สวัสดี ฉันคือหัวหน้ากิลสภาสิบแปดปีก แบล๊คเฟรม” ซือเฟิงกล่าวแนะนำตัวเอง ขณะที่จ้องมองไปยังฟิธาเลีย


“สวัสดีเช่นกัน หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ฉันได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณมามากมายจากคริมสันวิชก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามหลังจากได้มาพบคุณด้วยตัวเอง ดูเหมือนว่าคุณจะแข็งแกร่งกว่าที่ฉันได้ยินมาเสียอีก คุณนั้นไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากโดเมนลวงตาของฉันเลย ดูเหมือนว่าคุณจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของคุณไปพอสมควรแล้ว …” ฟิธาเลียกล่าวด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ขณะที่เธอมองไปยังซือเฟิง


หลังจากได้รับอาชีพลับอย่างฮันเตอร์ตาเวทย์มา เธอก็ได้รับโดเมนที่เติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติมา และยิ่งเธอมีขั้นสูงเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นตามไปเท่านั้น และหลังจากที่เธอมาถึงขั้นสามแล้ว แม้แต่คริมสันวิชที่มีร่างมานาระดับทอง ขั้นสูงสุดก็ยังจะต้องเจอกับผลกระทบของโดเมนของเธอ ซึ่งในโดเมนลวงตาของเธอนั้น ไม่เพียงแต่ความสามารถในการควบคุมร่างมานาจะลดลงอย่างมาก แต่ผู้เล่นยังจะสูญเสียความสามารถในการควบคุมมานารอบตัวด้วย


ณ จุดนี้มีเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญที่ปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาของตัวเองได้ในระดับหนึ่งเท่านั้นจึงจะสามารถต้านทานผลของโดเมนลวงตาของเธอได้


“คุณได้เริ่มปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาได้แล้วงั้นหรอ ?” คริมสันวิชโพล่งออกมา เมื่อเธอได้ยินคำพูดของฟิธาเลีย


เธอนั้นค้นคว้าวิธีที่จะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามจนถึงตอนนี้นั้น เธอยังไม่ค้นพบข้อมูลที่เป็นรูปธรรมเลย เธอนั้นไม่คิดมาก่อนเลยว่าซือเฟิงจะเริ่มปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของเขาได้แล้ว


“ก็ในระดับหนึ่ง ฉันยังห่างไกลจากการปลดล๊อคศักยภาพให้ได้อย่างสมบูรณ์” ซือเฟิงยอมรับตามความเป็นจริง


“เป็นอย่างนี้นี่เอง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมการโจมตีของคุณก่อนหน้านี้มันทรงพลังมาก” คริมสันวิชเริ่มเข้าใจอะไรหลายๆอย่างได้ เมื่อเธอได้ยินคำตอบของซือเฟิง


ก่อนหน้านี้เธอนั้นรู้สึกว่าทั้งสกิลและเวทย์ที่ซือเฟิงใช้นั้นมันทรงพลังอย่างน่ากลัว พวกมันดูไม่เหมือนสกิลและเวทย์ขั้นสามที่ผู้เล่นในปัจจุบันที่ผู้เล่นขั้นสามใช้ และเมื่อมองย้อนกลับไปถึงเหตุผลทั้งหมด เมื่อได้รู้ว่าซือเฟิงปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานาไปบางส่วนแล้ว มันจึงนับเป็นเหตุผลที่พอรับได้


ซึ่งตอนนี้มันก็ทำให้เธอมีความรู้สึกว่าเธอน่าจะตามซือเฟิงได้ทัน


แม้ว่าเธอจะยังไม่ได้ปลดล๊อคศักยภาพของร่างมานา แต่เธอก็มีโอกาสอยู่บ้าง และเธอก็มั่นใจว่าเธอน่าจะสามารถเริ่มปลดล๊อคได้ในอีกไม่กี่วัน ซึ่งในเวลานั้นเธอจะไม่แพ้ซือเฟิงอย่างง่ายดายอีกต่อไป


“บอกฉันมาหน่อยว่าทำไมคุณถึงให้ฉันมาพบที่นี่ ?” ซือเฟิงถามโดยไม่ได้คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับร่างมานาของเขา


“มันเป็นเรื่องเร่งด่วนมากน่ะ” ฟิธาเลียตอบด้วยสีหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ก่อนที่ฉันจะเดินทางเข้ามาที่ป้อมปราการแสงดาว ฉันได้รับข่าวว่ามีมหาอำนาจมากมายกำลังเดินทางเข้ามาที่ป้อมปราการแสงดาว แม้แต่จักรวรรดิโลกใต้พิภพ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดก็แสดงความสนใจในเรื่องนี้ ในความเป็นจริงจักรวรรดิโลกใต้พิภพได้ส่งหนึ่งในกองกำลังหลักของพวกเขาเข้ามาเลยแหละ …”


“เราอาจสามารถจัดการกับมหาอำนาจอื่นๆได้ แต่สำหรับจักรวรรดิโลกใต้พิภพมันเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป แม้ว่ากองกำลังหลักของจักรวรรดิโลกใต้พิภพจะมีผู้เล่นอยู่น้อยมาก แต่ผู้เล่นเหล่านั้นก็ไม่อาจถูกเรียกว่ามนุษย์ได้ คนเหล่านี้นั้นล้วนเป็นเหมือนสัตว์ประหลาดกันซะมากกว่า และมันก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะมาแข่งขันเพื่อแย่งชิงสิทในการปกครองป้อมปราการ ซึ่งหากพวกเขาตัดสินใจที่จะก่อเรื่องในป้อมปราการนั้น มันก็จะไม่มีใครสามารถควบคุมพวกเขาได้ และแม้ว่าเราจะยังถือสิทในการปกครองป้อมปราการอยู่ แต่มันก็จะกลายเป็นเพียงในนามเท่านั้น การดำเนินการทุกอย่างไปตามปกตินั้นมีสิทจะเป็นไปไม่ได้เลย”


“ดังนั้นฉันจึงมาที่นี่ด้วยความหวังจะให้คุณขายหุ้นบางส่วนของป้อมปราการมาหน่อยน่ะ หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม เผ่าศักสิทธิ์จะช่วยเป็นคนกลางให้กับสภาสิบแปดปีกในการเจรจาเรื่องนี้ และถ้าเรารวมเรือเหาะมังกรสีเลือดที่คุณมีเข้าไปในโครงสร้างการป้องกันป้อมปราการแสงดาว ฉันเชื่อว่าจักรวรรดิโลกใต้พิภพจะไม่กล้าทำอะไรที่ไปไกลเกินไปแน่นอน”


เมื่อได้ยินคำแนะนำของฟิธาเลีย แม๊คอาฟรี่และคริมสันวิชก็คิดว่ามันไม่ได้มีอะไรผิดปกติ


ในทวีปด้านตะวันตกนั้นไม่มีใครไม่รู้จักความน่ากลัวของซุเปอร์กิลที่ชื่อจักรวรรดิโลกใต้พิภพ มันอาจกล่าวได้ว่าซุเปอร์กิล กิลนี้เป็นการรวมตัวกันของคนบ้าก็ว่าได้ กิลนี้ไม่เคยดำเนินการตามบรรทัดฐานหรือตรรกะของสังคม ในความเป็นจริงกิลก็ได้ทำลายหนึ่งในมหาอำนาจของ God domain ไปกลุ่มหนึ่งแล้วด้วย

หากสภาสิบแปดปีกและเผ่าศักสิทธิ์ต้องปะทะกับจักรวรรดิโลกใต้พิภพ แม้ว่าพวกเขาจะสามารถปกป้องป้อมปราการไว้ได้ แต่มันก็ยังจะยากมากที่จะรักษาให้ป้อมปราการมีเสถียรภาพในทวีปด้านตะวันตก


ทางออกเดียวของพวกเขาในตอนนี้คือการแบ่งกำไรส่วนหนึ่งของป้อมปราการ เพราะท้ายที่สุดป้อมปราการแสงดาวนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลายสิ่งมากเกินไป สภาสิบแปดปีกและเผ่าศักสิทธิ์จะไม่สามารถหยุดยั้งมหาอำนาจทั้งหมดของทวีปด้านตะวันตกได้ อย่างไรก็ตามมันจะเป็นเรื่องที่แตกต่างกันออกไป หากพวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากจักวรรดิโลกใต้พิภพ


“ฉันเข้าใจถึงสถานการณ์ของเผ่าศักสิทธิ์” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า ก่อนที่เขาจะยิ้ม และกล่าวต่อว่า “สำหรับเรื่องของป้อมปราการแสงดาวเดี๋ยวสภาสิบแปดปีกจะจัดการเอง หากจักรวรรดิโลกใต้พิภพต้องการก่อความวุ่นวายก็ให้พวกเขาลองดู ถ้าพวกเขาทำได้จริงๆ ฉันไม่มีปัญหาที่จะยกทั้งป้อมปราการให้พวกเขาเลย หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ฉันขอตัวก่อน …”


หลังจากพูดจบซือเฟิงก็ลุกขึ้น และหันหลังเดินออกจากห้องรับรองไป การกระทำของเขาทำให้ฟิธาเลีย แม๊คอาฟรี่ และคริมสันวิชพูดไม่ออก ชั่วครู่หนึ่งความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วห้องรับรองเลย

 

 

 


ตอนที่ 2470

 

ปลดล๊อคป้อมปราการ


เวลานั้นผ่านไปพอสมควรนับตั้งแต่ที่ซือเฟิงออกจากห้องรับรองไป ก่อนที่ฟีธาเลียและคนอื่นๆจะทันได้หายจากอาการตกตะลึง และเริ่มพูดคุยกันได้


“นี่หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมเป็นคนหุนหันพลันแล่นแบบนี้มาโดยตลอดเลยงั้นหรอ ?” ฟิธาเลียอดไม่ได้ที่จะถาม ขณะที่มองไปยังแม๊คอาฟรี่ และคริมสันวิช จิตใจของเธอนั้นไม่สามารถประมวลผลการเคลื่อนไหว และการกระทำของซือเฟิงได้ทันเลย


เมื่อต้องต่อสู้เพื่อผลประโยชน์กัน มหาอำนาจต่างๆนั้นแทบไม่เคยเริ่มต้นด้วยการประกาศสงครามเลย โดยทั่วไปพวกเขาจะเลือกที่จะจัดการสิ่งต่างๆด้วยการพูดคุย เฉพาะในกรณีที่การเจรจาล้มเหลวเท่านั้น พวกเขาจึงจะเริ่มเคลื่อนไหว เพราะท้ายที่สุดแล้วสงครามระหว่างมหาอำนาจสองกลุ่มนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย ไม่ว่าผลลัพธ์จะจบลงแบบไหน ทั้งสองฝ่ายก็จะต้องทนทุกข์กับความสูญเสียอันมากมายมหาศาล และแทบไม่สามารถแก้ไขได้


ในขณะเดียวกันเธอเพียงแค่เสนอจะเจรจากับจักรวรรดิโลกใต้พิภพ และขอให้ซือเฟิงเตรียมสัมปทานเล็กน้อยให้พวกเขาเท่านั้น แต่ซือเฟิงกับปฎิเสธข้อเสนอทันที และเลือกจะปะทะกับซุเปอร์กิลๆนี้จนถึงที่สุด


นี่มันไม่ใช่การตัดสินใจของหัวหน้ากิลที่ดีเลย มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เลือกจะทำแบบนี้


อย่างไรก็ตามเธอก็คิดว่าการตัดสินใจของซือเฟิงนั้นมันพอจะเข้าใจได้


สภาสิบแปดปีกนั้นใช้ความพยายามอย่างมากในการเข้ายึดป้อมปราการแสงดาว อย่างไรก็ตามในขณะที่พวกเขากำลังเริ่มจะเก็บเกี่ยวผลกำไร อยู่ๆมันก็มีคนจำนวนมากเข้ามาเรียกร้องส่วนแบ่งจากผลกำไรนี้ เป็นคนปกติก็จะโกรธกับเรื่องนี้แน่นอน ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นในโลกเกมเสมือนจริงหรือโลกจริง


อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ที่ฝ่ายหนึ่งอ่อนแอกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง การเลือกจะปะทะกันนั้นไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดเลย


นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้ที่มหาอำนาจมากกว่าหนึ่งโหลกำลังตั้งเป้ามาที่ป้อมปราการแสงดาว และตราบใดที่หนึ่งในมหาอำนาจเหล่านี้เริ่มการโจมตีป้อมปราการแสงดาว กลุ่มอื่นๆก็จะตามมาอย่างไม่ลังเล ในเวลานั้นแม้ว่ามหาอำนาจต่างๆจะล้มเหลวในการเข้ายึดป้อมปราการแสงดาว แต่พวกเขาก็ยังจะทำให้ป้อมปราการอยู่ในสภาพพิการได้แน่นอน


มันไม่เหมือนกับป้อมปราการอื่นๆ ป้อมปราการแสงดาวนั้นไม่มีทหาร NPC คอยช่วยเหลือในการจัดการ ผู้เล่นจะต้องพึ่งพาตัวเองทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นผู้เล่นที่มีอำนาจในการปกครองป้อมปราการจะมีอำนาจเหนือป้อมปราการเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น และไม่สามารถจะทำการแบน หรือห้ามไม่ให้ผู้เล่นบางคนเข้าสู่ป้อมปราการได้ และหากผู้เล่นที่ปกครองป้อมปราการอยู่ต้องการจะป้องกันไม่ให้ผู้เล่นบางส่วนเข้ามา พวกเขาก็จะพึ่งพาได้แค่พลังของตัวเองเท่านั้น นี่เป็นกรณีที่เกิดการต่อสู้ขึ้นภายในป้อมปราการ


ในขณะเดียวกันตอนนี้มหาอำนาจมากกว่าหนึ่งโหลก็กำลังตั้งเป้ามาที่ป้อมปราการแสงดาว ซึ่งนี่รวมไปถึงจักรวรรดิโลกใต้พิภพด้วย และตราบใดที่มหาอำนาจเหล่านี้ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาเพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวายในป้อมปราการแสงดาวนั้น การจะหยุดยั้งพวกเขาให้ได้ มันจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยกำลังพลและความแข็งแกร่งที่สภาสิบแปดปีกกับเผ่าศักสิทธิ์มีอยู่ ในความเป็นจริงต้องบอกว่าสภาสิบแปดปีกและเผ่าศักสิทธิ์จะไม่สามารถหยุดไม่ให้มหาอำนาจต่างๆเข้าสู่ป้อมปราการได้เลยด้วยซ้ำ


ซึ่งหากสถานการณ์ยังคงเป็นแบบนี้ใครกันที่จะกล้าเข้ามาที่ป้อมปราการแสงดาว


“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมนั้นเป็นคนที่ตรงไปตรงมามากๆ อย่างไรก็ตามฉันไม่คิดเลยว่าเขาจะมีจุดยืนที่แน่วแน่มากขนาดนี้ ถึงขนาดที่จะไม่ยอมเจรจาด้วยซ้ำ” แม๊คอาฟรี่กล่าวในทำนองเดียวกัน การตอบสนองที่เด็ดขาดของซือเฟิงนั้นไปไกลเกินกว่าความคาดหมายของเขามาก


“ผู้บัญชาการ ฟิธาเลีย เราจะทำยังไงกันต่อไป ? มันดูจะไม่มีที่ว่างสำหรับการเจรจาเลยในด้านของสภาสิบแปดปีก นี่เราจะต้องปะทะกับมหาอำนาจต่างๆจริงๆงั้นหรอ ?” คริมสันวิชถามอย่างเป็นกังวล


หลังจากร่วมมือกับสภาสิบแปดปีกแล้ว เผ่าศักสิทธิ์ก็ได้ลงทุนทรัพยากรจำนวนมากเพื่อพัฒนาสถานที่พักกิลชั่วคราวในป้อมปราการแสงดาว และเผ่าศักสิทธืิ์ก็ได้ร่างแผนปฎิบัติการที่จะทำรอบๆป้อมปราการแสงดาวไว้แล้ว และยังลงทุนทรัพยากรส่วนใหญ่ของกิลเข้ามาที่นี่แล้ว


หากป้อมปราการแสงดาวต้องกลายเป็นดินแดนที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถเป็นเจ้าของได้ การลงทุนทั้งหมดของเผ่าศักสิทธิ์ก็จะไร้ค่าไปเลย

“ฉันนั้นคุ้นเคยกับเฮลรัช ผู้บัญชาการกองกำลังหลักที่จักรวรรดิโลกใต้พิภพส่งมาอยู่บ้าง เนื่องจากเขานำกองกำลังหลักนี้มาเป็นการส่วนตัว ฉันจะพยายามไปเจรจากับเขาดู …” ฟิธาเลียพูดพลางหัวเราะเบาๆ เมื่อเธอเห็นสีหน้ากังวลของคริมสันวิช “ยิ่งไปกว่านั้น เรายังไม่ได้ไปถึงจุดนั้น เมื่อสมาชิกของมหาอำนาจต่างๆและของจักรวรรดิโลกใต้พิภพมาถึง หัวหน้ากิลอาจตระหนักได้ว่าการตัดสินใจของเขานั้นไม่ฉลาดเลย และในตอนนั้นเราน่าจะพอทำอะไรได้บ้าง …”


เธอนั้นเคยเห็นผู้คนมากมายแบบซือเฟิงมาก่อน เพราะท้ายที่สุดแล้วผู้เชี่ยวชาญระดับสัตว์ประหลาดทุกคนล้วนหยิ่งผยองอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่สภาสิบแปดปีกสามารถยึดป้อมปราการแสงดาวได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่มหาอำนาจในทวีปด้านตะวันตกนั้นยังไม่สามารถจะทำได้เลย มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับซือเฟิงที่จะมั่นใจในความแข็งแกร่งของกิลตัวเอง และเลือกจะต่อสู้กับมหาอำนาจต่างๆ


อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆมารวมตัวกัน และซือเฟิงได้สัมผัสกับความแข็งแกร่งของมหาอำนาจเหล่านี้เป็นการส่วนตัว มันก็ไม่แปลกหากเขาจะเปลี่ยนใจ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาพึ่งจะมาถึงทวีปด้านตะวันตกเมื่อไม่นานมานี้ และก็ไม่ได้เข้าใจเลยว่ามหาอำนาจต่างๆที่นี่นั้นมีอำนาจมากขนาดไหน นอกจากนี้เขาก็ยังไม่ได้รู้ด้วยว่าจักรวรรดิโลกใต้พิภพนั้นน่ากลัวขนาดไหน


ในขณะที่ฟิธาเลียและคนอื่นๆกำลังพูดคุยกันว่าจะจัดการกับมหาอำนาจต่างๆอย่างไร ซือเฟิงก็ได้มาถึงออฟฟิศหลักในคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองที่ทำหน้าที่ควบคุมป้อมปราการแสงดาวทั้งหมด


ก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะปลดผนึกวงเวทย์ของคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองได้แล้ว และได้อนุญาติให้ไฟเออร์แดนซ์กับคนอื่นๆเข้าใช้ห้องมรดกได้แล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้มารับการควบคุมป้อมปราการแสงดาวตามที่เขามีสิท


นั่นเป็นเพราะโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการโบราณแบบนี้นั้นไม่ได้ให้สิทในการปกครองแก่ผู้ถือครองโดยอัตโนมัติ ผู้เล่นยังคงต้องผ่านขั้นตอนบางอย่างที่ไม่ยากมากนักก่อนด้วย


เมื่อซือเฟิงเปิดประตูเข้าไปในออฟฟิศหลัก เขาก็ได้รับการต้อนรับจากสายตาของชายสูงอายุในชุดพ่อบ้านที่ยืนอยู่ในออฟฟิศหลักที่เก่าและล้าสมัย


แม้ว่าชายชราคนนี้จะเป็นเพียงร่างวิญญาณ และไม่ได้มีออร่าที่เปล่งประกายใดๆ แต่ซือเฟิงก็รู้ดีว่าเขาจัดว่าเป็นอมตะเลยในคฤหาสถ์แห่งนี้ และในเวลาเดียวกัน เขาก็คือผู้ปกครองที่แท้จริงของป้อมปราการแสงดาวทั้งหมด


“ผู้ครอบครองโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการ ฉันคือออสเซ็ท ผู้ดูแลระบบของป้อมปราการแสงดาวทั้งหมด มีอะไรให้ฉันรับใช้ ?” ออสเซ็ทถามด้วยความเคารพ เมื่อเขาเห็นซือเฟิงเดินเข้ามา


“ฉันต้องการได้รับสิทในการควบคุมป้อมปราการแสงดาวอย่างแท้จริง” ซือเฟิงกล่าวความตั้งใจของเขา


ป้อมปราการโบราณนั้นแตกต่างจากป้อมปราการอื่นๆ อำนาจเหนือป้อมปราการทั้งหมดนั้นมันตกเป็นของผู้ดูแลระบบ ดังนั้นป้อมปราการแบบนี้จึงมักจะอยู่ในสภาพกึ่งถูกควบคุมเสมอ


หากผู้เล่นที่ถือครองโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการต้องการจะได้รับสิทในการควบคุมป้อมปราการ ผู้เล่นก็จะต้องมาหาผู้ดูแลระบบ ซึ่งผู้ดูแลระบบจะส่งต่ออำนาจของตนก็ต่อเมื่อได้ตรวจสอบเครื่องหมายที่ได้รับมาจากประตูมรดกบนโทเค่นของผู้ถือครองโทเค่นเรียบร้อยแล้ว ไม่งั้นผู้เล่นจะเป็นเพียงลอร์ดผู้ปกครองปลอมๆที่สามารถถูกแทนที่ได้ตลอดเวลา


ก่อนที่ผู้เล่นจะได้รับอำนาจจากผู้ดูแลระบบของป้อมปราการจริงๆนั้น ผู้ดูแลระบบจะรู้สึกได้แต่ตัวตนของโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ถือครอง ยิ่งไปกว่านั้นโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการนั้นยังไม่ได้ให้ความคุ้มครองแก่ผู้เล่นด้วย และที่แย่กว่านั้นคือผู้เล่นต้องเก็บโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการไว้ตลอดเวลา หากโทเค่นถูกนำออกจากป้อมเป็นเวลานานเกินไป มันจะถูกส่งกลับมาป้อมโดยอัตโนมัติ และปรากฎขึ้นในตำแหน่งแบบสุ่มภายในป้อม


มีเพียงการได้รับเครื่องหมายมาบนโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการเท่านั้น ผู้ดูแลระบบจึงจะถือว่าผู้เล่นที่ถือครองโทเค่นได้รับอำนาจบางส่วนในการปกครองป้อมปราการโบราณ จากนั้นผู้เล่นก็จะสามารถเก็บโทเค่นลอร์ดแห่งป้อมปราการไว้ในห้องหลักของคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองได้ และก็จะสามารถพึ่งพาวงเวทย์ป้องกันของคฤหาสถ์เพื่อปกป้องมันได้


หากไม่มีใครโจมตีคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครอง และขโมยโทเค่นไปได้ ผู้เล่นก็จะไม่จำเป็นต้องกังวลถึงการจะสูญเสียการควบคุมป้อมปราการของตนอีกต่อไป


ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากได้รับอำนาจและสิทในการควบคุมป้อมปราการบางส่วนมา ผู้เล่นก็จะสามารถเปิดใช้งานฟังชั่นบางอย่างของป้อมปราการได้ด้วย และในหมู่ฟังชั่นเหล่านี้ที่สำคัญที่สุดก็คือคุกป้อมปราการ


ซึ่งนี่มันนับเป็นฟังชั่นที่น่าทึ่ง และไม่มีป้อมปราการใดในปัจจุบันที่มีมัน


ฟังชั่นนี้นั้นมันเหลือเชื่อมาก เพราะมันจะทำให้ผู้เล่นผู้ปกครองป้อมปราการสามารถจะกักขังผู้เล่นได้ ซึ่งตราบใดที่ผู้เล่นถูกกักขังนั้น พวกเขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย ผู้เล่นที่ถูกกักขังจะไม่สามารถออกจากคุกป้อมปราการได้ และแม้แต่การฆ่าตัวตายก็ไม่ใช่ทางออก เพราะผู้เล่นจะมาเกิดใหม่ทันทีในคุกเช่นเดิม


การถูกกักขังนั้นนับเป็นบทลงโทษที่โหดร้ายมากๆสำหรับผู้เล่น เพราะท้ายที่สุดแล้วใน God domain เวลาคือเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ้งสำหรับผู้เล่นชั้นแนวหน้า การถูกกักขังและไม่ให้ทำอะไรเป็นเวลาหลายวันจะทำให้พวกเขาตามหลังคนอื่นๆอย่างมาก


ในขณะเดียวกันคุกป้อมปราการในป้อมปราการขนาดเล็กแบบป้อมปราการแสงดาวนี้ก็จะสามารถกักขังผู้เล่นได้สูงสุดแปดวัน


แปดวัน !!


หากผู้เล่นที่เป็นระดับผู้เชี่ยวชาญต้องเสียเวลาแปดวันไปอย่างกระทันหัน พวกเขาส่วนใหญ่จะสูญเสียความตั้งใจที่จะมีชีวิตต่อไปเลยด้วยซ้ำ นี่คือเหตุผลที่ซือเฟิงกล้าที่จะต่อต้านมหาอำนาจต่างๆ


แล้วจะเป็นอย่างไรหากมหาอำนาจต่างๆมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก ?


หากพวกเขากล้าสร้างความวุ่นวายในป้อมปราการ พวกเขาก็จะต้องถูกกักขังทั้งหมด และเขาก็ตื่นเต้นมากจริงๆที่จะได้ดูว่ามีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของมหาอำนาจต่างๆกี่คนกันที่จะยอมมาให้เขากักขังเป็นเวลาแปดวัน


สำหรับการทำลายคุกป้อมปราการ และเข้ามาปลดปล่อยผู้เล่นที่ถูกกักขังนั้น มหาอำนาจต่างๆจะทำได้แค่ฝันเท่านั้น


คุกป้อมปราการนั้นมีวงเวทย์ป้องกันที่ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ และเมื่อเปิดใช้งานแล้วแม้แต่ตัวตนขั้นห้าก็ยังยากที่จะทำลายมันได้ ในความเป็นจริงการบุกเข้าคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองป้อมปราการยังจะง่ายกว่าการบุกทำลายคุกนี้ซะอีก


“ยอดเยี่ยม” ออสเซ็ทได้ทำการอัญเชิญวงเวทย์ที่ซ้อนทับกันสี่ชั้นขึ้นมาที่ใต้เท้าของซือเฟิงทันที จากนั้นเขาก็พูดต่อ “จากการตรวจสอบดูเหมือนว่าคุณจะมีเครื่องหมายระดับทองแดงหนึ่งอัน และเครื่องหมายระดับเงินหนึ่งอัน ดังนั้นคุณจะสามารถเปิดใช้งานสิทธิพิเศษของเครื่องหมายระดับทองแดงได้หนึ่งสิท และสิทธิพิเศษของเครื่องหมายระดับเงินได้หนึ่งสิท คุณต้องการจะใช้สิทในตอนนี้ใช่ไหม ?”


“ใช่” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า


“นี่คือรายการสิทธิพิเศษระดับทองแดง และระดับเงินที่มีให้ คุณสามารถเลือกมาได้หนึ่งอย่างจากแต่ละระดับ” ออสเซ็ทกล่าวพลางโบกมือ ทันใดนั้นหน้าจอโปร่งแสงก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของซือเฟิง


ในช่วงเวลาต่อมาตัวเลือกทั้งสองระดับก็ปรากฎขึ้นมาให้ซือเฟิงเลือก


โดยตัวเลือกของระดับทองแดงนั้นมีอยู่สามตัวเลือก คือ คุกป้อมปราการ ร้านอาหารป้อมปราการ และโรงแรมป้อมปราการ


ขณะที่ตัวเลือกของระดับเงินนั้นก็มีอยู่สามตัวเลือกเช่นกัน หอคอย Manafication หอคอย Object Creation และหอคอยอัญเชิญ


นี่คือสิทธิพิเศษของเครื่องหมายระดับเงินงั้นหรอ ? ความประหลาดใจปรากฎขึ้นในดวงตาของซือเฟิง ขณะที่เขามองไปยังตัวเลือกทั้งสามตัวเลือกของระดับเงิน


เขานั้นเคยเห็นสิทธิพิเศษของเครื่องหมายระดับเงินของป้อมปราการโบราณมาบ้าง อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาสามารถพูดได้เลยว่าสิทธิพิเศษของเครื่องหมายระดับเงินของป้อมปราการแสงดาวนั้นมันสามารถจะเทียบเท่ากับป้อมปราการขนาดใหญ่ได้เลย


หอคอย Manafication เป็นสิ่งที่สามารถช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมาาโดยรอบป้อมปราการได้


แม้ว่าความหนาแน่นของมานาของป้อมปราการแสงดาวจะสูงมากอยู่แล้ว แต่หากรวมเข้ากับผลของหอคอย Manafication ความหนาแน่นของมานาภายในป้อมปราการนี้นั้นก็จะมากพอที่จะอยู่เหนือเมืองสภาสิบแปดปีกได้สบายๆเลย


ขณะที่หอคอย Object Creation นั้นมันก็นับเป็นสนามฝึกศักสิทธิ์สำหรับผู้เล่นสายอาชีพเลย เพราะมันเป็นที่ตั้งของห้องสมาธิขั้นสูง และห้องวิจัยขั้นกลาง แม้แต่ผู้เล่นที่มีพรสวรรค์ต่ำนั้นก็มีสิทจะกลายเป็นผู้เล่นสายอาชีพระดับปรมาจารย์ได้ หากพวกเขาได้ฝึกอยู่ในหอคอย Object Creation ตลอดเวลา


ขณะที่หอคอยอัญเชิญนั้นเป็นสิ่งที่ซือเฟิงเคยเห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และเขาก็เคยเห็นในป้อมปราการขนาดกลาง อย่างไรก็ตามตอนนั้นหอคอยอัญเชิญถูกจัดอยู่ในสิทธิพิเศษระดับทองเลยทีเดียวตอนนั้น


ซึ่งก็ตามชื่อเลยหอคอยอัญเชิญนั้นมีหน้าที่อัญเชิญสิ่งมีชีวิต


เมื่อจัดเตรียมสื่อกลางทุกอย่างได้เหมาะสมแล้ว หอคอยอัญเชิญจะสามารถอัญเชิญสิ่งมีชีวิตที่มีเผ่าพันธุ์คล้ายกันมาทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ป้อมปราการได้ และยิ่งสื่อกลางแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ สิ่งมีชีวิตที่ถูกอัญเชิญมาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น และสามารถเรียกออกมาได้หนึ่งตัวในหนึ่งเดือน และมันก็สามารถจะดำรงชีวิตได้อยู่แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น


ความสามารถนี้อาจดูเหมือนไม่มากนัก แต่มันทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อในความเป็นจริง


เนื่องจากมันไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่สามารถอัญเชิญได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือถ้าผู้เล่นสามารถได้รับซากศพของเทพขั้นหกมา พวกเขาก็จะสามารถอัญเชิญเทพขั้นหกมาปกป้องป้อมปราการของพวกเขาได้


เทพขั้นหก !!


นี่คือตัวตนที่แม้แต่ผู้เล่นขั้นหก ขอบเขตพระเจ้าก็ยังจะต้องหลีกเลี่ยง หากป้อมปราการมีเทพขั้นหกคอยเป็นผู้พิทักษ์ นับประสาอะไรกับการก่อความวุ่นวายในป้อมปราการ แม้แต่ในแผนที่ที่ป้อมปราการตั้งอยู่เหล่าผู้เล่นก็จะไม่กล้าก่อปัญหาแน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้วระยะของผู้พิทักษ์นั้นกินพื้นที่ทั่วทั้งแผนที่ที่ป้อมปราการตั้งอยู่


“ผู้ถือครองโทเค่น โปรดตัดสินใจด้วย …” ออสเซ็ทกล่าวเตือนซือเฟิง หลังจากเห็นเขาเงียบไปนาน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)