Reincarnation Of The Strongest Sword God 2849-2852

 ตอนที่ 2849 การตัดสินใจของหงซินหยวน


Upper Zone เขตวิลล่าของเมืองหยวนเทียน :


“ลุงหงทำไมลุงถึงมาที่นี่กระทันหัน ? มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ ?” มู่ฉินกล่าวพลางมองไปที่หงซินหยวนที่ยืนเงียบอยู่บริเวณหน้าต่างแบบฝรั่งเศสด้วยความงุนงง


เธอกำลังจะเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าไปสำรวจในซากปรักหักพังโบราณแห่งต่อไป ซึ่งเธอก็ได้ระดมพลของกิลมาพร้อมแล้ว และเหลือแค่เตรียมของอีกนิดหน่อยเท่านั้น พวกเขาก็จะพร้อมเข้าไปสำรวจในซากปรักหักพังโบราณเป้าหมาย โดยหากเธอโชคดีมากพอ เธอก็อาจจะได้พบกับดินแดนมรดกขั้นสี่หรือไม่ก็พวกคริสตัลคำแนะนำมรดกซึ่งสิ่งเหล่านี้นั้นล้วนเป็นของสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับฟรอสต์ฮีฟเว่นในปัจจุบัน


การต่อสู้ที่เป็นสเกลระดับสงครามโลกนั้นกำลังจะเริ่มต้นขึ้น และจากข้อมูลต่างๆภายใน God domain ที่เธอสามารถรวบรวมมาได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้นั้น มันก็ทำให้เธอพอจะคาดเดาได้ว่าสงครามโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ มันจะมีเพียงแค่สองตัวเลือกสำหรับพวกเขาเท่านั้นคือชนะ และป้องกันโลกของตัวเองเอาไว้ กับแพ้ และถูกพิชิตไป มันไม่มีตัวเลือกที่สามให้พวกเขาได้เลือก ….


ดังนั้นตอนนี้การเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ในเรื่องนี้นั้นจึงมีความสำคัญมากที่สุด และพูดกันตามตรงแล้วในการเตรียมการรับมือกับสถานการณ์นี้นั้น การเพิ่มจำนวนผู้เล่นขั้นสี่ในกิลขึ้นให้มากที่สุดนั้นนับว่ามีความสำคัญมากที่สุด


เครุยที่ยืนอยู่ด้านข้างของมู่ฉินนั้นก็รู้สึกงุนงงเช่นกัน เพราะท้ายที่สุดแล้วเธอนั้นได้หลับไปแล้ว และก็ถูกปลุกขึ้นมา ซึ่งมันทำให้ตอนนี้นั้นเธอไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้กลับไปนอนที่เตียงเลย


“ดูด้วยตาพวกคุณเองดีกว่า …” หงซินหยวนกล่าวพลางส่งสำเนาข้อมูลบางอย่างให้กับเครุย และมู่ฉินทันที


ซึ่งสำเนาข้อมูลนี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากสำเนาข้อมูลที่หวังซวนหมิงได้เข้าโจมตีบ้านที่อยู่อาศัยของซือเฟิง


“เป็นไปได้ยังไงกัน !!”

หลังจากที่มู่ฉินอ่านข้อมูลทุกอย่างเรียบร้อย เธอก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่มันเป็นเรื่องจริง ….


ตัวเธอเองนั้นก็เคยได้ยินชื่อของหวังซวนหมิงใน Upper Zone ของเมืองไห่เทียนเช่นกัน ซึ่งหากเขาย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียนนั้น เขาน่าจะสามารถติดสองอันดับแรกของผู้ที่เก่งกาจที่สุดใน Upper Zone ชั้นพื้นฐานของเมืองหยวนเทียนได้สบายๆเลย


และหากคนๆนี้ต้องการจะลอบจัดการกับใครบางคนอย่างลับๆ แม้แต่บริษัทโบลเดอร์ของพวกเขาก็จะไม่สามารถทำอะไรได้แน่นอน นอกจากต้องซ่อนตัวอยู่ในเขตวิลล่านี้


แต่ตอนนี้หวังซวนหมิงกับลอบโจมตีซือเฟิงล้มเหลว แถมยังถูกจับด้วย จะให้พวกเขากล้าเชื่อเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน ?


“นี่เขาแข็งแกร่งขนาดนี้เลยงั้นหรอ ?!”


เครุยนั้นหายง่วงเป็นปลิดทิ้งทันที เมื่อได้อ่านข้อมูลนี้ และในตอนนี้นั้นดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อเช่นเดียวกับมู่ฉิน


“คุณได้เห็นข้อมูลทั้งหมดกันแล้วนะ …” หงซินหวนกล่าวพลางมองไปยังท่าทีที่ประหลาดใจของมู่ฉิน และเครุย ก่อนที่เขาจะกล่าวต่ออย่างช้าๆว่า “ฉันต้องยอมรับเลยว่าฉันประเมินซือเฟิงต่ำเกินไปมาก แม้แต่หวังซวนหมิงนั้นก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซือเฟิง ดูเหมือนว่าซือเฟิงนั้นจะมีความลับมากกว่าที่เราคิดไว้มาก”


เมื่อได้ยินคำพูดของหงซินหยวน มู่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “ลุงหง ลุงหมายความว่าเราจะต้องร่วมมือและสร้างสัมพันธ์กับสภาสิบแปดปีกให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นใช่ไหม ?”


“ใช่แล้ว คุณก็รู้นี่หน่าว่าในอนาคตนั้นอะไรกำลังจะเกิดขึ้น และแม้แต่มหาอำนาจส่วนใหญ่ใน God domain ตอนนี้ก็ยังจะไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลย หากเราต้องการจะอยู่รอดให้ได้ การเพิ่มความร่วมมือ และเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับสภาสิบแปดปีกอย่างลึกซึ้งก็นับเป็นตัวเลือกที่ดี” หงซินหยวนกล่าวพลางพยักหน้า “ยิ่งไปกว่านั้น ฉันยังวางแผนที่จะให้บริษัทโบลเดอร์ของเราขายโพชั่นแฟนธ่อม และโพชั่นแห่งชีวิตที่เก็บสะสมไว้บางส่วนให้สภาสิบแปดปีกด้วย ฉันคิดว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นสิ่งที่สภาสิบแปดปีกขาดอยู่ในตอนนี้ ….”


“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะรีบติดต่อสภาสิบแปดปีกทันที”


มู่ฉินพยักหน้า ก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป และปล่อยให้เครุยยืนงุนงงอยู่คนเดียวกับการตัดสินใจของหงซินหยวน


หลังจากเครุยประมวลผลเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “ลุงหง เราจำเป็นจะต้องทำขนาดนี้เลยงั้นหรอ ?”


เรื่องการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับสภาสิบแปดปีกนั้น เธอเห็นด้วย และยอมรับอย่างแน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้วความแข็งแกร่งและศักยภาพในปัจจุบันของสภาสิบแปดปีกนั้นเหนือกว่ามหาอำนาจทั่วไปมากแล้ว และพูดกันตามตรงอิทธิพลของกิลในอนาคตนั้นก็มีสิทจะไล่ตามห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดได้ด้วยซ้ำ ในปัจจุบันสภาสิบแปดปีกต้องการเพียงแค่เวลาเท่านั้นสำหรับทุกสิ่งนี้ ….


แต่อย่างไรก็ตามการขายโพชั่นแฟนธ่อม และโพชั่นแห่งชีวิตที่บริษัทโบลเดอร์สะสมไว้มาหลายปีให้กับสภาสิบแปดปีกนั้น มันค่อนข้างจะเป็นอะไรที่เกินไปสักหน่อย …. เพราะท้ายที่สุดแล้วของพวกนี้นับเป็นรากฐานของกองกำลังขนาดใหญ่ต่างๆใน Upper Zone เลย และแม้แต่ผู้ที่ได้รับการวางตัวให้เป็นทายาท และผู้บัญชาการของกองกำลังต่างๆก็ยังได้รับพวกมันน้อยมากๆ


“มันมีบางสิ่งที่คุณไม่รู้ หวังซวนหมิงนั้นไม่ใช่คนที่จะสามารถเอาชนะได้ง่ายๆเลย ซึ่งนี่มันหมายความว่าความลับที่ซือเฟิงปกปิดเอาไว้นั้นมันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย” หงซินหยวนส่ายหัว พลางพูดอย่างช้าๆว่า “ตอนนี้เรามีความสัมพันธ์อันดีกับเขา ดังนั้นเราก็ควรจะสานต่อเอาไว้ ….”


ในความเป็นจริงนอกเหนือจากการมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับศักยภาพของซือเฟิงแล้ว เซี่ยชิงหยางยังส่งข่าวที่น่าทึ่งมากๆมาให้กับเขาด้วย


ซึ่งนั่นก็คือซือเฟิงนั้นสามารถจะเอาชนะหวังซวนหมิงได้ภายในไม่กี่วินาที !!!


หวังซวนหมิงนั้นเป็นตัวตนระดับไหน ?


แม้แต่เซี่ยชิงหยางก็ยังทำได้แค่ต่อกรกับหวังซวนหมิงได้อย่างสูสีเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเธอที่จะเอาชนะหวังซวนหมิงให้ได้ ไม่ต้องพูดถึงการเอาชนะให้ได้โดยใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทีเลย

คนที่จะสามารถเอาชนะหวังซวนหมิงได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีนั้น มันก็จะมีแต่คนที่อยู่ในชั้นกลางของ Upper Zone เท่านั้น


ซึ่งหากคุณสามารถจะสร้างความสัมพันธ์กับคนแบบนี้ได้นั้น การพัฒนาในชั้นพื้นฐานของคุณก็จะไปได้เร็วกว่าพัฒนาไปอย่างเงียบๆมาก


ในขณะเดียวกัน ไกลออกไปที่บริเวณเขตวิลล่าของ Upper Zone เมืองไห่เทียน :


“นายน้อย ตอนนี้เราจะทำยังไงกันดี ? …” อี้กุ้ยมองไปที่ลู่เทียนตี้ที่พึ่งจะออกมาจากห้องเกมเคบิน และอดไม่ได้ที่จะพูดด้วยตัวที่สั่นเทาเล็กน้อย “ถ้าอาจารย์ของนายน้อยโทษพวกเราเรื่องที่หวังซวนหมิงถูกจับไปละก็ ….”


หวังซวนหมิงนั้นนับเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนใหญ่คนโตในชั้นกลางของ Upper Zone จะได้พบกับศิษย์ที่มีความสามารถแบบนี้ ซึ่งหากหวังซวนหมิงต้องถูกขับออกจา Upper Zone และไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆจาก Upper Zone อีก การพัฒนาของเขาก็จะหยุดชะงักลงไปแน่นอน และนี่มันก็จะส่งผลกระทบไปถึงผู้เป็นอาจารย์แน่ๆ ….


หลังจากได้ฟังรายงานจากอี้กุ้ย ลู่เทียนตี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องทำอะไร !!! แม้ว่านี่มันจะแตกต่างไปจากที่ฉันต้องการเล็กน้อย แต่ทุกอย่างมันก็ยังคงจัดว่าเป็นไปตามแผน ที่เหลือเราก็แค่เฝ้าดูอย่างเงียบๆก็เท่านั้น”


หวังซวนหมิงนั้นเป็นที่ชื่นชอบของอาจารย์ของเขามาโดยตลอด และอาจารย์ก็มักจะมอบทรัพยากรที่ดีที่สุดให้หวังซวนหมิง ดังนั้นสิ่งที่เขาได้รับมาจึงมีน้อยมาก ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะลู่ชิงหลัวถูกปลดออกจากตำแหน่งทายาท และเขาได้ขึ้นมาแทนที่ อาจารย์ของเขาก็คงจะไม่สนใจเขามากขนาดนี้แน่นอน


แผนเดิมของเขาคือการทำให้หวังซวนหมิงกับซือเฟิงเป็นศัตรูกัน เพราะท้ายที่สุดด้วยความสามารถและศักยภาพของซือเฟิงนั้น เขาไม่ได้คิดอยู่แล้วว่าหวังซวนหมิงจะสามารถเอาชนะซือเฟิงได้ ดังนั้นเขาจึงคิดไว้แค่ว่าให้หวังซวนหมิงช่วยสร้างปัญหาให้กับซือเฟิง และซือเฟิงก็สร้างปัญหาให้กับหวังซวนหมิงเป็นวัฎจักรวนเวียนกันไป


อย่างไรก็ตามตอนนี้ความสามารถของซือเฟิงนั้นมันอยู่เหนือความคาดหมายของเขาอย่างสิ้นเชิง แต่ถึงกระนั้นผลลัพธ์ของเรื่องทั้งหมดนี้มันก็คือสิ่งที่เขาต้องการเห็นมากที่สุด

หากหวังซวนหมิงถูกขับไล่ออกจาก Upper Zone ซือเฟิงก็จะต้องเผชิญหน้ากับความโกรธแค้นของอาจารย์ของเขาแน่นอน และเมื่อเวลานั้นมาถึง ไม่ต้องพูดถึงการหายตัวไปจาก Upper Zone เลย แม้แต่การหายตัวไปจากโลกก็ยังมีสิทจะเป็นไปได้สำหรับซือเฟิง และเมื่อเป็นแบบนั้น เขาก็จะได้เริ่มหาทางเข้ายึดครองสภาสิบแปดปีก


“เป็นไปตามแผนงั้นหรอ ?”


อี้กุ้ยมองไปที่รอยยิ้มที่ไม่แยแสบใบหน้าของลู่เทียนตี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น เขาไม่คิดเลยว่าแม้แต่หวังซวนหมิงก็ต้องกลายเป็นเครื่องมือ ลู่เทียนตี้นั้นโหดร้ายอย่างแท้จริง


ลู่เทียนตี้กล่าวอย่างเรียบเฉยต่อว่า “แล้วก็ฉันต้องการให้คุณไปจัดการกับจี้ลั่วหรงใน God domain เริ่มดำนินการได้แล้ว …”


“รับทราบ !!”


อี้กุ้ยที่ตัวสั่นนั้นตอบรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าผู้ที่กล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับลู่เทียนตี้นั้นจะมีจุดจบไม่ดีทุกราย แต่เมื่อนึกภาพแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นจริงๆ


ในเวลาเดียวกันนั้น หลังจากที่การโจมตีของหวังซวนหมิงสิ้นสุดลง ซือเฟิงและคนอื่นๆก็ได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ภายใต้การจัดการของเซี่ยชิงหยางโดยตรง และพวกเขาก็ได้รับมาแม้กระทั่งหุ่นยนต์ต่อสู้ที่คอยลาดตระเวนอยู่รอบตัวบ้านเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุแบบเดิมซ้ำสองด้วย ….


และเพื่อเป็นการชดเชยสหรับเรื่องนี้ บริษัทกรีนก๊อดยังได้มอบโพชั่นแฟนธ่อมสิบขวด และโพชั่นแห่งชีวิตสิบขวดให้กับซือเฟิงเป็นค่าทำขวัญ กับค่าชดเชยด้วย


อย่างไรก็ตามซือเฟิงไม่ได้มีความสุขกับเรื่องนี้เลย ตรงกันข้ามนี่มันกับทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างมาก ….


“ตอนนี้เมื่อหวังซวนหมิงถูกจับแล้ว อาจารย์เขาในชั้นกลางจะไม่ปล่อยฉันไปแน่นอน และแม้ฉันจะได้รับการปกป้องจากหุ่นยนต์ต่อสู้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่นี่มันก็อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะหยุดการแก้แค้นของคนๆนี้ก็ได้ …”


เมื่อซือเฟิงได้ดูข้อมูลของอาจารย์ของหวังซวนหมิงที่เซี่ยชิงหยางส่งมาให้นั้น เขาก็รู้สึกปวดหัวมากๆ


อาจารย์ของหวังซวนหมิงนั้นมีชื่อว่าฟู่จิ่วจง และเขานั้นก็ไม่ใช่คนธรรมดาเลย แม้แต่ในชั้นกลาง นอกเหนือจากความสามารถของเขาแล้ว เขาก็ยังมีอำนาจในมืออยู่ค่อนข้างมากเช่นกัน และแม้แต่ใน Upper Zone ของเมืองหยวนเทียนนั้น มันก็มีหลายกลุ่มที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าบริษัทโบลเดอร์ที่ต้องฟังคำสั่งของฟู่จิ่วจง


ซึ่งเรื่องนี้นั้นมันได้ผลักดันให้ซือเฟิงจำเป็นจะต้องรีบท้าทายการทดสอบของมังกรเงินศักสิทธิ์ในทันที


เพราะเมื่อเขาทำการทดสอบจากมังกรเงินศักสิทธิ์เสร็จเรียบร้อยนั้น เขาก็จะสามารถทำให้ออร์เบ็คที่เป็นมังกรเงินศักสิทธิ์เป็นเพื่อนแท้ของเขาได้ และนี่มันก็จะทำให้สภาสิบแปดปีกนั้นมีเสถียรภาพอย่างแท้จริงในทวีปด้านตะวันตก นอกเหนือจากนี้มันก็จะทำให้เขาสามารถใช้ประโยชน์อย่างแท้จริงจากป้อมปราการแสงดาวและรับเอาทรัพยากรจำนวนมากโดยเฉพาะคริสตัลเจ็ดลูมินาลี่มาได้


เมื่อคิดได้ดังนี้นั้น ซือเฟิงก็ได้ดื่มโพชั่นแฟนธ่อม และโพชั่นแห่งชีวิตที่เขาได้รับมาเข้าไป อย่างละขวด ก่อนที่เขาจะเดินกลับเข้าสู่ห้องเกมเคบินเฟียเลส และล๊อคอิน

กลับเข้าสู่ God domain


ตอนที่ 2850 การทดสอบของมังกรเงินศักสิทธิ์


เมืองสภาสิบแปดปีก สถานที่พักกิลสภาสิบแปดปีก :


หลังจากซือเฟิงกลับมาออนไลน์ เขาก็ได้จัดการส่งมอบงานส่วนที่เหลือของกิลให้กับยู่หลาน และเหลียงจิง ซึ่งนี่รวมไปถึงเซ็ทมานาขั้นสามที่เขาสร้างขึ้นด้วย


โดยเซ็ทมานาขั้นสามที่มีจำนวนมากกว่าสองร้อยเซ็ทนั้นถูกมอบไปให้กับยู่หลานเพื่อให้ยู่หลานไปรวบรวมเหล่าผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของสภาสิบแปดปีกมาสร้างกองกำลังที่สวมใส่เซ็ทนี้ขึ้นอย่างลับๆ เพื่อเพิ่มไพ่ให้สภาสิบแปดปีก


แม้ว่าเซ็ทมานาขั้นสามที่ถูกสร้างผ่านแบบจำลองนั้นจะไม่ได้ทรงพลังเท่ากับเซ็ทมานาขั้นสามที่ถูกสร้างผ่านแบบแปลนจริงๆ แต่โดยรวมคุณสมบัติทั้งหมดของมันก็ลดลงเพียงแค่สิบห้าเปอเซ็นต์เท่านั้น ซึ่งหากมันได้ถูกนำไปสวมใส่ให้ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามนั้น มันก็จะทำให้พวกเขามีพลังเทียบเคียงกับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายในเลเวลเดียวกันเลย


นอกจากนี้ซือเฟิงก็ยังได้มอบสมบัติแห่งไฟให้กับเมลานโครอิคสไมล์เพื่อให้เมลานโครอิคสไมล์ใช้สร้างเมล็ดพันธุ์แห่งเปลวไฟจำนวนมากมาให้เหล่าสมาชิกของบริษัทการค้าแสงเทียนดูดซับเพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จในการผลิตด้านต่างๆตามสายอาชีพ


ซึ่งสิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับบริษัทการค้าแสงเทียนเท่านั้น แต่มันยังจะช่วยดึงดูดเหล่าผู้เล่นสายอาชีพให้มาเข้าร่วมบริษัทการค้าแสงเทียนมากขึ้นด้วย


เพราะท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการผลิตให้กับผู้เล่นสายอาชีพได้นั้น มันเปรียบเสมือนกับสมบัติล้ำค่าเลยทีเดียว ….


และเรื่องนี้นั้นมันก็ทำให้เมลานโครอิคสไมล์รู้สึกตื่นเต้นมากๆ เนื่องจากการจะหาเปลวไฟที่ทรงพลังมาดูดซับและใช้งานนั้นมันทำได้ยากๆ แม้แต่ตัวเธอเองนั้นเธอก็ยังมีเพียงแค่เปลวไฟผิดปกติขั้นสอง หนึ่งชิ้น และเปลวไฟผิดปกติขั้นสาม สองชิ้นเท่านั้นอยู่ในครอบครอง …. ดังนั้นสิ่งนี้มันจะสามารถช่วยเธอและคนอื่นๆในบริษัทการค้าแสงเทียนได้อย่างมากแน่นอน


แถมเมื่อบริษัทการค้าแสงเทียนไม่ได้ขาดกำลังคนและผู้มีความสามารถอีกต่อไป พวกเขาก็จะสามารถเริ่มเร่งความเร็วสร้างเรือเหาะมังกรสีเลือด หุ่นกลผู้พิทักษ์ระดับทองแดง รวมไปถึงอาวุธสงครามที่ทรงพลังอีกจำนวนมากขึ้นมาได้


ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากการกลับมาของอควาโรส และเสวี่ยเหวินโหรว มันจึงทำให้สภาสิบแปดปีกนั้นไม่ได้ขาดแคลนพลังต่อสู้ที่จะใช้ปกป้องกิลอีกต่อไป และซือเฟิงก็ยังขอให้ไฟเออร์แดนซ์เริ่มค้นหาเบาะแส พลางรวบรวมสมบัติทั้งเจ็ดอย่างลับๆช่วยเขาอีกแรงหนึ่งด้วย


สำหรับสมบัติทั้งเจ็ดนั้นที่ซือเฟิงต้องการจะรวบรวมมันให้ครบนอกเหนือจากเพื่อทำเควสให้เสร็จแล้ว …. เขายังต้องการจะนำมันมาใช้ช่วยกิลในหลายๆด้านด้วย เพราะสมบัติแต่ละชิ้นนั้นล้วนมีเอฟเฟคที่ท้าทายสวรรค์อย่างมาก


แถมตอนนี้เนื่องจากสภาสิบแปดปีกเริ่มมีผู้เล่นมาถึงขั้นสี่มากขึ้นแล้ว ดังนั้นมันจึงจะเป็นการเร็วกว่าถ้าเขาเริ่มให้คนอื่นๆช่วยด้วย ….


หลังจากพัฒนาตัวเองมาระยะหนึ่งนับตั้งแต่สงครามที่หอคอยแห่งพันธสัญญาลับ ตอนนี้สภาสิบแปดปีกก็มีจำนวนสมาชิกขั้นสามมากกว่าห้าหมื่นคนแล้ว ซึ่งจำนวนสมาชิกขั้นสามของสภาสิบแปดปีกนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่ามหาอำนาจที่แท้จริงต่างๆเลย ไม่ต้องพูดถึงจำนวนผู้เล่นขั้นสี่ ….


นอกจากนี้มันยังมีกองกำลังต่างๆเข้ามาร่วมมือกับสภาสิบแปดปีกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามากระชับความสัมพันธ์เพิ่มเติมของฟรอสต์ฮีฟเว่นที่มันช่วยเพิ่มอิทธิพลของสภาสิบแปดปีกในทวีปด้านตะวันออกขึ้นอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันในทวีปด้านตะวันออกของ God domain นั้น นอกจากสภาสิบแปดปีกจะสามารถป้องกันตัวเองได้อย่างมั่นคงแล้ว พวกเขายังเริ่มมีความมั่นใจมากพอที่จะขยายอิทธิพลออกไปบีบมหาอำนาจอื่นๆแล้ว


ดังนั้นนี่จึงนับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะรวบรวมสมบัติทั้งเจ็ด เพราะหากรวบรวมมาได้ครบ มันจะทำให้สภาสิบแปดปีกแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแน่นอน ….


และหากสภาสิบแปดปีกรวบรวมสมบัติทั้งเจ็ดได้ครบเมื่อไหร่ พวกเขาก็ไม่จำเป็นจะต้องกลัวใดๆเลย แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดก็ตาม


หลังจากซือเฟิงจัดการงานทุกอย่าง และแจกจ่ายงานทุกอย่างในทวีปด้านตะวันออกเรียบร้อย เขาก็ได้เลือกจะเทเลพอร์ตไปยังป้อมปราการแสงดาวโดยตรงเพื่อไปท้าทายการทดสอบของมังกรเงินศักสิทธิ์ ซึ่งหากเขาสามารถทำมันได้สำเร็จนั้น เขาก็จะสามารถสถาปนาอิทธิพลของสภาสิบแปดปีกขึ้นในทวีปด้านตะวันตกได้อย่างสมบูรณ์ และเมื่อไปถึงจุดนั้น สภาสิบแปดปีกก็จะไม่จำเป็นต้องกลัวใดๆเลย แม้แต่การรุกรานจากโลกขนาดใหญ่อื่นๆก็ตาม


ทวีปด้านตะวันตก ป้อมปราการแสงดาว :


เมื่อวงเวทย์อัญเชิญที่อยู่ด้านบนสุดของหอคอยอัญเชิญสว่างขึ้น ซือเฟิงก็ได้มาปรา

กฎตัวขึ้นในห้องโถงของหอคอยอัญเชิญแล้ว ….


ซึ่งเมื่อซือเฟิงยืนอยู่บนนี้นั้น เขาก็สามารถจะมองเห็นสถานการณ์ทั้งหมดของป้อมปราการแสงดาวได้อย่างชัดเจน


ในเวลานี้ป้อมปราแสงดาวนั้นแตกต่างออกไปจากตอนที่เพิ่งเปิดอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่จำนวนผู้เล่นที่เดินทางเข้ามายังป้อมปราการแสงดาวจะมีจำนวนมากขึ้นเท่านั้น แต่แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นขั้นสามด้วย แถมจากการสังเกตคร่าวๆนั้น ซือเฟิงก็ยังพบผู้เล่นขั้นสี่มากกว่าสิบคนเดินอยู่ตามท้องถนนด้วย ซึ่งพูดกันตามตรงที่นี่นั้นมันดูเหนือกว่าที่เมืองสภาสิบแปดปีกด้วยซ้ำ ….


ถ้าไม่ใช่เพราะว่าที่ป้อมปราการแสงดาวนั้นมีมังกรศักสิทธิ์ประจำการอยู่ เขาก็คงไม่สามารถจะปราบปรามผู้เล่น รวมไปถึง NPC ทั้งหมดนี้ให้อยู่ในกฎระเบียบได้ แม้ว่าเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากเผ่าศักสิทธิ์ และจักรวรรดิโลกใต้พิภพก็ตาม


หลังจากซือเฟิงประเมินสภาพแวดล้อมอย่างคร่าวๆของป้อมปราการแสงดาวเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้เดินตรงไปยังบริเวณที่มังกรเงินศักสิทธิ์พักอยู่ทันที ….


สำหรับป้อมปราการแสงดาวนั้น หากเขาสามารถผ่านการทดสอบของมังกรเงินศักสิทธิ์ได้ มันก็จะไม่มีใครสามารถที่จะเขย่าป้อมปราการแสงดาวได้อีกต่อไป ตรงกันข้าม หากเขาล้มเหลว มันก็จะแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปกป้องป้อมปราการแสงดาวเอาไว้ให้ได้


เพราะท้ายที่สุดตอนนี้นั้นมันไม่ได้มีเพียงแค่กองกำลังของผู้เล่นเท่านั้นที่จ้องป้อมปราการแสงดาวอยู่ แต่มันยังมีกองกำลัง NPC ด้วย โดยกองกำลัง NPC บางกลุ่มนั้นมีแม้กระทั่ง NPC ขั้นห้า ซึ่งไม่ใช่ตัวตนที่ผู้เล่นในปัจจุบันจะสามารถต่อกรได้เลย และมีเพียงแต่มังกรเงินศักสิทธิ์ ออร์เบ็คเท่านั้นที่จะสามารถช่วยรับมือกับตัวตนระดับนี้ได้


หลังจากซือเฟิงเดินเข้ามาในห้องโถงอีกแห่งหนึ่ง เขาก็พบกับมังกรเงินศักสิทธิ์ที่มีความสูงมากกว่าสิบเมตรนอนหลับอยู่อย่างเงียบๆ


ในเวลานี้เลเวลของมังกรเงินศักสิทธิ์นั้นได้มาถึงหนึ่งร้อยหกสิบสี่แล้ว และได้สัมผัสถึงออร่าที่มันปล่อยออกมา ซือเฟิงก็สามารถบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่ามันแข็งแกร่งกว่ามังกรที่ซือเฟิงฆ่าในโลก God domain ยุคโบราณไปแล้ว


ในตอนนี้มังกรเงินศักสิทธิ์ตรงหน้าของซือเฟิงที่ยังคงอยู่ในขั้นสี่นี้มีพลังมากพอที่จะเอาชนะตัวตนขั้นห้าทั่วๆไปได้สบายๆแล้ว …. และต่อหน้ามังกรเงินศักสิทธิ์นั้น ตัวตนขั้นสี่ก็เป็นเพียงแค่มดเท่านั้น !!!


“ในที่สุดคุณก็มาแล้วสินะ …” ออร์เบ็คที่สัมผัสได้ถึงการมาของซือเฟิงลืมตาตื่นขึ้น พลางใช้ดวงตาสีทองของมังกรมองไปยังซือเฟิงด้วยความพึงพอใจ “ดูเหมือนว่าคุณจะพร้อมที่จะท้าทายการทดสอบแล้วสินะ ….”


“ใช่แล้ว …” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า


ในปัจจุบันเขามาถึงคอขวดแล้วทั้งเรื่องร่างมานา และค่าความแข็งแกร่งทางจิต และเขาก็คิดว่ามันน่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทะลวงผ่านคอขวดนี้ในระยะเวลาอันสั้น โดยนอกเหนือจากวิธีมาทำการท้าทายการทดสอบของมังกรเงินศักสิทธิ์แล้ว ซือเฟิงก็นึกออกเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้เขาทะลวงผ่านคอขวดนี้ไปได้ ซึ่งนั่นก็คือการรวบรวมอาวุธและอุปกรณ์ระดับตำนานสำหรับตัวเขามาเพิ่มให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามเรื่องนี้นั้นมันพูดง่ายกว่าทำ …..


“ดีมาก !!! ตอนนี้ในเมื่อคุณดูมีความมั่นใจมากขนาดนี้แล้ว ดังนั้นฉันก็จะตอบสนองต่อคำสัญญาก่อนหน้านี้ในทันที แต่ฉันต้องขอบอกคุณให้ชัดเจนอีกครั้งว่าคุณมีโอกาสเพียงสามครั้ง และหากคุณล้มเหลวทั้งสามครั้ง สัญญาระหว่างเราจะเป็นอันสิ้นสุดลงทันที” ออร์เบ็คกล่าวพลางลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ “สำหรับเรื่องการทดสอบของคุณนั้น มันก็คือการทดสอบที่ตระกูลมังกรของฉันได้รับตกทอดมา เดิมทีมันเป็นการทดสอบสำหรับมังกรอย่างฉัน …. แต่เนื่องจากคุณต้องการจะเป็นเพื่อนร่วมทางของฉัน ดังนั้นคุณจะต้องผ่านการทดสอบของมังกรหนุ่มขั้นสี่ให้ได้เป็นอย่างน้อย !!!”

“การทดสอบของมังกรหนุ่มขั้นสี่ ?!” ซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย


แม้ว่าเขาจะคิดไว้อยู่แล้วว่าการทดสอบของมังกรเงินศักสิทธิ์จะไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน แต่เขาก็ไม่นึกเลยว่ามันจะยากถึงขนาดนี้ ….


มังกรหนุ่มขั้นสี่นั้นเป็นตัวตนที่สามารถจะต่อกรกับสิ่งมีชีวิตขั้นห้าได้อย่างสบายๆ แต่ตอนนี้เขากับต้องมาทำการทดสอบของมังกรหนุ่มขั้นสี่ให้ผ่านเนี่ยนะ ?!


“ฉันจะส่งคุณไปที่วิหารมังกร และจำไว้ให้ดีว่าคุณไม่สามารถจะใช้ไอเทมภายนอกใดๆช่วยได้ คุณจะต้องผ่านมันไปให้ได้ด้วยกำลังของคุณเองเท่านั้น และถ้าคุณตาย คุณก็จะถูกส่งกลับมาโดยธรรมชาติ”


หลังจากพูดจบมังกรเงินศักสิทธิ์ ออร์เบ็คก็ได้เริ่มร่ายคำสาปมังกรใส่ซือเฟิง ซึ่งมันทำให้มีอักษรรูนจำนวนมากปรากฎขึ้นบนร่างของซือเฟิง และหลังจากผ่านไปห้าวินาที ซือเฟิงก็ถูกเทเลพอร์ตหายออกไปจากห้องโถงบริเวณนี้ ก่อนที่มังกรเงินศักสิทธิ์ ออร์เบ็คจะกลับไปพักผ่อน และนอนหลับต่อ


โดยซือเฟิงนั้นได้ถูกเทเลพอร์ตมายังวิหารขนาดใหญ่ที่มีความสูงมากกว่าสิบกิโลเมตร ซึ่งที่นี่นั้นมันสามารถถูกมองว่าเป็นเทือกเขาขนาดใหญ้ได้เลย และแม้แต่มังกรก็ยังดูตัวเล็กไปเลย ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงมนุษย์ ….


หลังจากที่ซือเฟิงเดินเข้าประตูของวิหารมานั้น เสียงต่ำที่ฟังดูโบราณก็ดังขึ้นมาในหัวของซือเฟิง ….


“มนุษย์ ?”


“ไม่สิ คุณไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาสินะ …. เจ้าหนูน้อยออร์เบ็คส่งคุณมาเข้ารับการทดสอบใช่ไหม ?”


เมื่อเสียงนี้ดังขึ้นมาในหัวของซือเฟิงนั้น ผีมังกรยักษ์ซึ่งมีความสูงหลายพันเมตรก็ปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าของซือเฟิง ซึ่งนี่มันก็ทำให้ซือเฟิงรู้สึกหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ


แม้เขาจะอยู่ในขั้นสี่แล้ว แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพวกขั้นหกนั้น ซือเฟิงก็ยังรู้สึกแบบเดิมๆเลย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ….


“ดูเหมือนว่าเจ้าหนูน้อยออร์เบ็คนั่นจะมองคุณในแง่ดีมากๆ เขาถึงได้ส่งคุณมาเข้ารับการทดสอบ ….” ผีมังกรจ้องมองไปที่ซือเฟิง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตามสัญญาโบราณ เนื่องจากออร์เบ็คส่งคุณมาที่นี่ มันก็แปลว่าคุณพร้อมจะเข้ารับการทดสอบแล้ว และแม้ว่าคุณอาจจะไม่ผ่านทดสอบนี้ แต่จงจำไว้ว่าให้ใช้ทุกโอกาสให้คุ้มค่า เพราะมันจะช่วยคุณพัฒนาไปได้อย่างมากแน่นอน”


เมื่อผีมังกรพูดจบนั้น ซือเฟิงก็สังเกตเห็นว่าฉากตรงหน้าของเขาได้เปลี่ยนไปทันที โดยตอนนี้เขาได้มายืนอยู่ที่บริเวณสะพานหักๆแห่งหนึ่งที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีเทา และตอนนี้เขาก็สามารถจะมองเห็นผืนดินที่อยู่ไกลออกไปได้อย่างชัดเจน ….


อย่างไรก็ตามตอนนี้สิ่งที่ทำให้ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจมากๆนั่นก็คือหมอกสีเทา เพราะเมื่อเขาได้สัมผัสกับมันเขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่านี่มันคือ สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยหมอกนิรันดร์ !!!


ในช่วงเวลาที่ร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีเทา ซือเฟิงก็รู้สึกได้ถึงความสดชื่น และมีสมาธิอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และเขาก็ยังรู้สึกได้ว่าสมองของเขานั้นสามารถทำงานได้ดีขึ้นจนน่าอัศจรรย์ด้วย


จากนั้นซือเฟิงก็ได้ยินเสียงผีมังกรดังขึ้นในหัวของเขาอีกครั้ง ….


“ให้ใช้มานาซ่อมแซมสะพานที่พักนี้ ซึ่งหากคุณซ่อมไปได้ถึงในสามนั้นมันก็จะถือว่าคุณผ่านการทดสอบ อย่างไรก็ตามคุณมีเวลาเพียงสามวันเท่านั้น และมีสิทจะได้รับเวลาพิเศษเพิ่มอีกหนึ่งวัน ซึ่งหากทั้งหมดนี้หมดลงแล้ว และคุณยังทำไม่สำเร็จ ฉันก็จะถือว่าคุณล้มเหลวในการทดสอบ !!!”


เมื่อผีมังกรกล่าวบอกซือเฟิงเรียบร้อยแล้ว ซือเฟิงก็สังเกตเห็นว่าบริเวณสะพานที่หักนั้นมันเริ่มจะพังทลายลงมาเรื่อยๆ ซึ่งในอัตรานี้มันเห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่รอดให้ได้ในช่วงเวลาสามวัน อย่างมากที่สุดเขาก็จะอยู่ได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ก่อนที่สะพานทั้งหมดจะพังทลายไป และหากเขาไม่สามารถซ่อมแซมสะพานได้ เขาก็จะได้ตกลงไปยังความมืดที่ไร้ที่สิ้นสุดเบื้องล่างทันที ….


ตอนที่ 2851 ซ่อมแซมสะพาน


“นี่มันจะเล่นใหญ่ไปหน่อยไหมเนี่ย ?”


ซือเฟิงนั้นมองไปยังสะพานตรงหน้าที่เริ่มพังทลายด้วยความตกใจ


เนื่องจากสะพานหักนี้นั้นมันถูกสร้างขึ้นมาจากมานา และความเข้มข้นของมานาที่ใช้ในการสร้างสะพานนั้นมันก็เทียบเท่ากับของแข็งเลย


แม้ว่ามานาที่มีความเข้มข้นเทียบเท่ากับของแข็งจะแข็งแกร่ง แต่มันก็เป็นเหมือนอนุภาคทราย เหตุผลที่ทำให้เขาสามารถเดินบนสะพานนี้ได้มันเป็นเพราะองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ที่พิเศษที่ทำให้อนุภาคทรายเหล่านี้แข็งตัว


และสาเหตุที่สะพานเริ่มพังทลายลงมันก็เป็นเพราะองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ที่พิเศษนี้เริ่มหายไป


เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซือเฟิงก็ได้รีบเปิดใช้งานโดเมนมานาของเขาเพื่อเริ่มพยายามระดมมานามารักษาการทำงานขององค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ที่พิเศษของสะพานทันที


อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาที่ซือเฟิงเริ่มทำแบบนี้นั้น เขาก็ต้องเต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างถึงที่สุด ….


“นี่การระดมมานาเข้ามารักษาการทำงานขององค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ที่พิเศษมันยากขนาดนี้เลยงั้นหรอ ?!”


โดยปกตินั้นเขาควรจะสามารถระดมมานาจากหมอก และสภาพแวดล้อมที่อยู่โดยรอบได้ตามต้องการแบบง่ายๆ ….


แต่ตอนนี้นั้นซือเฟิงกับระดมมานาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะมานาจากหมอก รวมไปถึงจากสภาพแวดล้อมโดยรอบนั้นมันหนักมากๆ และหากเขาต้องการจะระดมมานาเพิ่มเติมมากกว่านี้นั้น เขาก็จะต้องใช้ความระมัดระวังและความพยายามอย่างมาก เนื่องจากถ้าเขาทำพลาด เขามีสิทจะร่างแหลกเละได้ทันทีแน่นอน ….


ในตอนนี้แค่การจะรักษาการทำงานขององค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ที่พิเศษไว้ให้ได้นั้นมันก็ยากมากแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงการซ่อมแซมเลย ….


ตอนนี้เมื่อได้มองไปยังสะพานตรงหน้าที่พังทลายลงอย่างต่อเนื่อง ซือเฟิงก็เข้าใจแล้วว่าการทดสอบนี้มันยากมากขนาดไหน


ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงการซ่อมแซมสะพานเลย แค่รักษาไม่ให้มันพังลงมาเพิ่มเติมมันก็ยากมากแล้วสำหรับเขา


กำหนดเวลาสามวันในการซ่อมแซมนี่มันบ้าอะไรกัน ?! แค่จะรักษาสะพานเดิมไว้ยังยากเลย …. ซือเฟิงนั้นอดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา และเริ่มคิดหนัก ….


ในขณะเดียวกันตอนนี้นั้น ผีมังกรที่ลอยตัวมองดูซือเฟิงอยู่บนท้องฟ้าก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ….


“การควบคุมมานาทั้งหมดของเขามันอ่อนแอเกินไป ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงการซ่อมแซมสะพาน หรือรักษาการทำงานขององค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ไว้เพื่อให้สามารถยืนอยู่บนสะพานได้เป็นเวลาสามวันเลย ฉันคิดว่าแม้แต่สามชั่วโมงเขาก็จะอยู่ไม่ถึงด้วย ….” ผีมังกรบ่นออกมา ก่อนที่มันจะบินหายตัวเข้าไปในหมอกนา ….


หลังจากนั้นเวลาก็ค่อยๆผ่านไปทีละนิด และตอนนี้สะพานหักที่แต่เดิมมีความยาวมากกว่าห้าสิบเมตร ก็ลดลงไปเหลือน้อยกว่าห้าสิบเปอเซ็นต์จากเดิมแล้ว แถมยิ่งมันพังทลายลงไปมากเท่าไหร่ อัตราความเร็วในการพังทลายของมันก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น


“หากเป็นแบบนี้ต่อไป สะพานทั้งหมดจะพังทลายลงไปในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแ่ … ดูเหมือนว่าฉันจะต้องหาวิธีทำให้ส่วนเล็กๆของสะพานที่ฉันยืนอยู่มันคงที่ซะก่อน …”


ซือเฟิงนั้นพึมพำอย่างกังวล ก่อนที่เขาจะเลือกที่จะเลิกพยายามที่จะควบคุมสะพานที่หักทั้งหมด และหันมาควบคุมในระยะสองเมตรรอบตัวเขาแทน


เพราะท้ายที่สุดแล้วระยะราวนี้มันนับเป็นขีดจำกัดของเขาในตอนนี้แล้ว และที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้เขาจะต้องเอาตัวรอดจากสถานการณ์ตรงหน้าให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาเริ่มคิดหาวิธีการที่จะทำในขั้นต่อไปเพิ่มเติม ….


และสุดท้ายแล้วซือเฟิงก็สามารถทำมันได้สำเร็จ ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ … ภายในยี่สิบนาทีสะพานทั้งหมดก็พังทลายลงไป เหลือเพียงแต่ส่วนที่ซือเฟิงสามารถจะควบคุมได้อย่างแท้จริงราวสองเมตรเท่านั้น แต่มันก็ยังคงสลายตัวไปอย่างช้าๆเรื่อยๆอยู่ดี


เมื่อได้เห็นดังนี้นั้นซือเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา อย่างน้อยตอนนี้มันก็ทำให้เขาพอจะมีเวลาที่จะครุ่นคิดหาวิธีการจัดการกับเรื่องนี้ในขั้นต่อไปอยู่บ้าง ….


โดยในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหมอกนิรันดร์นี้ มันทำให้สมองของซือเฟิงสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว และปลอดโปร่งในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งนี่มันก็ทำให้ซือเฟิงสามารถจะพิจารณาถึงมุมมองและความเป็นไปได้ที่หลากหลายได้อย่างสบายๆ ….


และในที่สุดซือเฟิงก็คิดออกตอนที่สะพานนั้นพังทลายลงมาจนเหลือพื้นที่แค่ราวหนึ่งเมตร ….


“ฉันเข้าใจแล้ว วิธีการที่ฉันใช้ในการระดมมานาก่อนหน้านี้นั้นมันผิดมาตั้งแต่แรกนี่เอง … ฉันไม่ควรจะทำการควบคุมและบังคับมันอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นมานาของฉันเอง หรือมานาในโลกภายก็ตาม ฉันควรจะแค่พยายามนำทางมันเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้วแต่เดิมมานาพวกนี้นั้นมันก็มีกฎการใช้งานของตัวเองอย่างชัดเจน ซึ่งเมื่อฉันไปบังคับมันนั้น มันก็เป็นเหมือนกับการไปทำให้มันขัดแย้งกับกฎพวกนี้ …”


เมื่อนึกมาถึงตรงนี้นั้น ซือเฟิงก็ได้เริ่มพยายามจะชี้นำทางมานาทั้งหมดทั้งในร่างของเขา และในสภาพแวดล้อมโดยรอบ แทนที่จะไปพยายามบังคับมัน


แต่อย่างไรก็ตามการจะทำแบบนี้ให้ได้นั้นมันก็ยากกว่าที่ซือเฟิงคิดเอาไว้มาก …


เนื่องจากองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์นั้นมันมีอยู่มากมายหลากหลายแบบทั้งในร่างกายของเขา และในโลกภายนอก ซึ่งแต่ละอย่างนั้นมันก็มีกฎและการทำงานที่แตกต่างกัน ดังนั้นการพยายามจะชี้นำให้พวกมันไปยังทิศทางเดียวกันนั้นจึงเป็นอะไรที่ซับซ้อนทำได้ยากมากๆ …..


อย่างไรก็ตามมันก็นับเป็นโชคดีสำหรับซือเฟิงที่เขาได้เรียนรู้มรดกนักบุญแห่งโลกน้ำแข็งมาแล้ว ซึ่งนี่มันทำให้เขามีความเข้าใจในเรื่องของธาตุน้ำแข็งสูงมาก และมันก็ทำให้เขาพอจะนำความรู้ที่ได้มาพวกนี้ไปปรับใช้กับธาตุอื่นๆได้ด้วย ….

“มรดกนักบุญแห่งโลกน้ำแข็งนั้นช่วยในเรื่องนี้ได้มากเลยทีเดียว หากปราศจากมัน ฉันคิดว่าฉันคงจะไม่มีวันที่จะผ่านการทดสอบนี้ไปได้แน่นอน ….” ซือเฟิงที่เริ่มทำการเรียนรู้กฎ และการทำงานของธาตุเวทย์มนต์ต่างๆพึมพำด้วยรอยยิ้ม


ธาตุไฟนั้นมีความรุนและแผดเผาทำให้ยากที่จะควบคุม ….


ธาตุน้ำแข็งนั้นเงียบสงบ และเย็นชาจนแทบไม่เคลื่อนไหว ….


ธาตุลมนั้นมีความเป็นอิสระ และสดชื่น ในขณะที่มันก็เคลื่อนไหวไปมารอบๆ ….


ธาตุเวทย์มนต์ทั้งหมดนั้นล้วนมีกฎ และการทำงานเป็นของตัวเอง และเท่าที่ซือเฟิงคิดนั้น มันก็เพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เขาสามารถทำการชี้นำพวกมันไปยังทิศทางเดียวกันได้ทั้งหมด ….


ซึ่งนั่นก็คือการสร้างวงเวทย์ที่มีองค์ประกอบธาตุเดียวกันทั้งหมดในตัวของมันเองขึ้นมาในร่างกายของเขา เพื่อให้มันทำหน้าที่เป็นชั้นกรองขององค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์อื่นๆให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน


ด้วยวิธีนี้นั้น เมื่อซือเฟิงทำการระดมมานาที่ประกอบไปด้วยธาตุเวทย์มนต์ต่างๆเข้ามา เขาก็จะไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไปว่า มันจะมีอะไรที่ผิดแปลก และไม่ไปในทิศทางเดียวกัน


แต่อย่างไรก็ตามงานการสร้างวงเวทย์แบบนี้นั้นมันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆ แม้กระทั่งสำหรับผู้เชี่ยวชาญครึ่งก้าวก่อนจะเข้าถึงขอบเขตสุดยอดปรมาจารย์วงเวทย์อย่างซือเฟิงก็ยังจะต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองวัน


แต่ตอนนี้เนื่องจากเอฟเฟคของหมอกนิรันดร์ที่คอยช่วยเหลือ มันจึงทำให้ซือเฟิงสามารถทำงานนี้ให้เสร็จได้ภายในเวลาสิบห้านาที


และตอนนี้องค์ประกอบธาตุเวทย์ทั้งหมดในร่างของซือเฟิงนั้นก็ได้ถูกรวบรวม และผ่านตัวกรองอย่างวงเวทย์นี้จนมันไม่มีความวุ่นวายอีกต่อไปแล้ว ….


“สุดยอด !!! นี่มันคือผลของการสร้างชั้นกรององค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ เพื่อกรอง และชี้นำให้มันเป็นไปในทิศทางเดียวกันงั้นหรอ ?!!!”


ตอนนี้ซือเฟิงนั้นรู้สึกได้ถึงความบริสุทธิ์มากๆของมานาและองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ภายในร่างกายของเขา ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าทั้งหมดได้รับการปรับปรุงเชิงคุณภาพ และนี่มันก็ทำให้ร่างมานาของเขานั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น และทำให้การจะระดมมานามาใช้งานทำได้ง่ายขึ้นด้วย


โดยตอนนี้แม้ว่าซือเฟิงจะต้องควบคุมสามวงเวทย์พร้อมกันในร่างมานาของเขา แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ซือเฟิงรู้สึกมีปัญหา หรือเจอกับอุปสรรคใดๆเลย ….


“ก่อนหน้านี้ แม้ว่าค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของฉันจะมาถึงที่จุดสูงสุดของขั้นสี่แล้ว แถมการควบคุมองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ และมานาของฉันยังอยู่ในระดับที่สูงมาก แต่ฉันก็ยังไม่สามารถจะทะลุขีดจำกัดหนึ่งร้อยสิบเปอเซ็นต์ของร่างมานาได้ มันก็เป็นเพราะแบบนี้นี่เอง ….” ซือเฟิงครุ่นคิด ขณะที่มองไปยังการแจ้งเตือนของระบบด้วยความรู้สึกสุขใจ


ตอนนี้ศักยภาพร่างมานาของเขาถูกปลดล๊อคมาถึงหนึ่งร้อยยี่สิบเปอเซ็นต์แล้ว !!!


ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้นั้นซือเฟิงก็รู้สึกว่าร่างกายของเขามันดีขึ้นอย่างชัดเจน นี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการรับรู้ถึงสิ่งแปลกปลอมในสภาพแวดล้อมโดยรอบที่ดีขึ้นในระดับหนึ่งเช่นกัน


และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือตอนนี้ปริมาณมานา และองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ทั้งหมดของซือเฟิงนั้นมันเพิ่มขึ้นจากเดิมมากกว่าเท่าตัวเลย


“ตอนนี้เมื่อทุกอย่างตรงนี้มันเรียบร้อยแล้ว มันก็ถึงเวลาที่ฉันจะเริ่มทำการทดสอบนี้อย่างเป็นทางการสักที !!!”


ดวงตาของซือเฟิงตอนนี้นั้นเปล่งประกาย และเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก ในขณะที่เขามองไปยังสะพานที่ตอนนี้เหลือน้อยกว่าครึ่งเมตรแล้วตรงหน้าเขา ….


**ขออธิบายนิดนึง เวลาสามวันในการทดสอบที่ว่าที่ซือเฟิงมีอะ คือมันต้องเริ่มซ่อมแซม กับสร้างสะพานขึ้นมาให้ได้แค่นั้น ซึ่งถ้าทำไม่ได้จะล้มเหลว แต่หากทำสำเร็จ มันก็จะได้รับเวลาพิเศษเพิ่มหนึ่งวันในความก้าวหน้าแต่ละครั้ง ซึ่งเป็นการต่อเวลาออกไป


ตอนที่ 2850 แอดใช้คำพูดกำกวมไปนิดนึง ขออภัย


ตอนที่ 2852 ค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจขั้นห้า


สำหรับสะพานหักตรงหน้าของซือเฟิงที่เหลือน้อยกว่าครึ่งเมตรนั้น แม้ว่าซือเฟิงจะไม่ได้ตั้งใจที่จะรักษามันไว้ในตอนนี้ แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากร่างมานาระดับอีปิคของเขานั้นได้ปลดล๊อคศักยภาพไปได้ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบเปอเซ็นต์ ดังนั้นการควบคุมมานา และองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ของเขาจึงได้รับการปรับปรุงอย่างมาก


ซึ่งนี่มันทำให้ความเร็วในการพังทลายลงของสะพานนั้นลดลงไปมากในชั่วอึดใจ โดยมันแตกต่างจากการที่ซือเฟิงต้องใช้ความพยายามอย่างหนักก่อนหน้านี้เลย


“ร่างมานาระดับอีปิคที่ได้รับการปลดล๊อคศักยภาพไปถึงหนึ่งร้อยยี่สิบเปอเซ็นต์แล้วนี่มันน่าทึ่งมากจริงๆ !!! ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเหล่าผู้เล่นในชีวิตที่ผ่านมาของฉันที่สามารถปลดล๊อคร่างมานาไปได้ถึงระดับนี้ล้วนบอกตรงกันว่ามันสามารถจะทำให้พวกเขาสามารถต่อสู้กับมังกรในเลเวลเดียวกันได้สบายๆ …”ซือเฟิงพึมพำอย่างประหลาดใจ ขณะที่เขามองไปยังบริเวณสะพานหักตรงหน้าของตัวเอง


ในเวลานี้นั้นแม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจระดมมานา และชี้นำองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ภายในมานา แต่สะพานตอนนี้ก็มีเสถียรภาพด้วยตัวมันเองจากพลังที่ร่างมานาของเขาแผ่ออกมาแล้ว และเท่าที่ซือเฟิงคาดเดา หากเขาระเบิดพลังทั้งหมดของตัวเองออกมา พร้อมทั้งใช้โดเมนมานานั้น มันก็จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นอีกมากเลยทีเดียว


เมื่อพูดถึงตรงนี้นั้น ไม่ต้องพูดถึงมังกรในเลเวล และขั้นเดียวกันเลย แม้แต่ครึ่งก้าวราชันปีศาจ เขาก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถต่อกรด้วยได้อย่างสูสี


หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้หันมาโฟกัสกับสิ่งที่เขาต้องทำต่ออย่างเต็มที่ ซึ่งนั่นก็คือการระดมมานา และชี้นำองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์โดยรอบให้อัดฉีดให้เข้าไปในสะพานหักนี้


และเมื่อซือเฟิงทำแบบนี้นั้น การพังทลายทั้งหมดก็หยุดลงทันที แถมสะพานนี้ยังดูเหมือนจะได้ชีวิตใหม่ และดูเหมือนจะมีความแข็งแกร่งขึ้นมากด้วย


ตอนนี้ซือเฟิงสามารถบอกได้เลยว่าแม้ว่าสะพานจะต้องเจอกับการโจมตีของพวกขั้นสี่ แต่มันก็จะไม่ได้รับความเสียหายมากนักแน่นอน


“สุดยอด !! แน่นอนเลยว่านี่คือวิธีการใช้มานาที่แท้จริง !!!”

ในอดีตเขาจัดการกับองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ที่อยู่ภายนอกด้วยการพยายามใช้องค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ภายในร่างกายของตัวเองเพื่อควบคุม และบังคับมัน แต่อย่างไรก็ตามการทำแบบนี้นั้นมันให้ประสิทธิภาพที่ต่ำมาก และเขาจะนับว่าตัวเองโชคดีมากแล้ว หากเขาสามารถจัดการกับองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ได้สักสิบเปอ

เซ็นต์จากทั้งหมด


เนื่องจากองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ที่เขาสามารถจัดการจนได้ผลดีๆนั้น มันมีเพียงแต่องค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ที่มีคุณสมบัติเดียวกับตัวเขาเองเท่านั้น ขณะที่องค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์อื่นๆล้วนถูกบังคับใช้ทั้งหมด และเอฟเฟคของมันก็อาจกล่าวได้ว่าแย่มาก ซึ่งไม่เพียงแต่จะยากที่จะจัดการ แต่มันยังจะให้ผลตรงกันข้ามด้วย


แต่ตอนนี้ซือเฟิงนั้นสามารถจะรวบรวมและใช้พลังขององค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ทั้งภายใน และภายนอกร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งนี่มันทำให้เขาสามารถจะจัดการองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ได้เกือบหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ โดยนี่มันนับเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่เลย


หลังจากที่ซือเฟิงทำให้สะพานหักนี้กลับมามีความเสถียรอย่างสมบูรณ์ และหยุดพังทลายแล้ว ซือเฟิงก็ได้หันมาสนใจกับโครงสร้างเวทย์มนต์ของสะพานหัก


ตอนนี้ซือเฟิงนั้นเข้าใจถึงวิธีในการจะรักษาเสถียรภาพ และหยุดการพังทลายของสะพานอย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งมันนับเป็นความท้าทายขั้นต่ำสุด แต่หากซือเฟิงต้องการจะผ่านการทดสอบนี้ไปให้ได้จริงๆ เขาจำเป็นจะต้องซ่อมแซม และสร้างสะพานหักที่พังทลายลงไปนี้ขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเองเพื่อก้าวต่อไป ไม่งั้นซือเฟิงก็จะไม่สามารถทำอะไรต่อไปได้ นอกจากต้องเฝ้ามองผืนดินตรงหน้าที่อยู่ไกลออกไปแบบเงียบๆ และรอให้เวลาการทดสอบหมดลง


“นี่คือ …”


เมื่อซือเฟิงทำการตรวจสอบสะพานหักนี้อีกครั้ง เขาก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ….


ก่อนหน้านี้เขามัวแต่มุ่งเน้นไปที่การหาวิธีในการรักษาเสถียรภาพ และหยุดการพังทลายของสะพานที่หัก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สังเกตและวิเคราะห์สะพานหักอย่างชัดเจนเลย อย่างไรก็ตามตอนนี้เมื่อร่างมานาของเขาได้ปลดล๊อคศักยภาพถึงหนึ่งร้อยยี่สิบเปอเซ็นต์แล้ว ความรู้สึกของเขาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์นั้นมันก็ได้รับการปรับปรุงเชิงคุณภาพอย่างมาก

ตอนนี้เมื่อซือเฟิงสังเกต และวิเคราะห์สะพานนี้อย่างใกล้ชิด เขาก็รู้สึกได้เลยว่าเขาเห็นสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างชัดเจน


ความรู้สึกแบบนี้มันเหมือนกับตอนที่เขาได้เข้าไปใช้ร่างครึ่งก้าวราชันปีศาจ ตอนนี้เขามองเห็นกฎการทำงานของธาตุเวทย์มนต์ และโครงสร้างของเวทย์มนต์ต่างๆชัดเจนมาก


“สมกับเป็นการทดสอบของเผ่ามังกรจริงๆ โครงสร้างเวทย์มนต์ทั้งหมดของสะพานนี้มันน่าทึ่งมากๆ !!!” ซือเฟิงอุทานออกมา และยิ่งเขาสังเกตและวิเคราะห์สะพานนี้แบบละเอียดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น “สะพานแห่งนี้นั้นมันมีการใช้ลักษณะเฉพาะ และกฎการทำงานของธาตุเวทย์มนต์เกือบทั้งหมด ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะซ่อมแซมมันขึ้นมาใหม่ หากผู้ที่ต้องทำหน้าที่นี้ไม่ได้มีความเข้าใจในเรื่องพวกนี้มากพอ”


ใน God domain มันเป็นเรื่องยากมากจริงๆสำหรับผู้เล่นที่จะทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้ให้ได้มากพอ เพราะท้ายที่สุดแม้แต่ในคริสตัลคำแนะนำมรดก และมรดก มันก็ยังบอกและอธิบายรายละเอียดของธาตุเวทย์มนต์แค่บางธาตุเท่านั้น ….


แต่ตอนนี้สะพานหักตรงหน้าของซือเฟิงกับแสดงการใช้ธาตุเวทย์มนต์เกือบทั้งหมดไว้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งนี่มันมีค่ามากกว่าคำอธิบาย หรือการคิดแบบทั่วไปมากๆ


อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมองเห็นทั้งหมดนี้ได้อย่างชัดเจน ….


เนื่องจากสิ่งมีชีวิตขั้นสี่ทั่วไปนั้นไม่มีทางเลยที่จะมองเห็นองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องลักษณะเฉพาะ และกฎการทำงานของมันอีก สำหรับเผ่ามังกรที่พวกเขาทำได้นั้น เพราะพวกเขามีคะแนนชนชั้นสิ่งมีชีวิตที่สูงมาก และมีเอกลักษณ์เฉพาะเป็นของตัวเอง ซึ่งสิ่งมีชีวิตเผ่าอื่นไม่สามารถจะเลียนแบบได้


และในเรื่องนี้สำหรับผู้เล่นขั้นสี่นั้น มันก็จัดว่าเป็นการได้พบเจอกับโอกาสที่ยิ่งใหญ่และล้ำค่าที่ยากจะหาได้เลย


เนื่องจากสำหรับผู้เล่นขั้นสี่ ปัญหาใหญ่ที่สุดที่พวกเขาต้องเจอในการจะเลื่อนขั้นเป็นขั้นห้านั้นก็คือ การสร้างร่างมานาขึ้นใหม่ ซึ่งหากผู้เล่นต้องการจะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ พวกเขาจะต้องมีความเข้าใจในองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ รวมไปถึงลักษณะเฉพาะ และกฎการทำงานของมันในระดับที่สูงมาก เพราะการจะสร้างร่างมานาขึ้นใหม่นั้น มันจำเป็นต้องใช้ความรู้ในเรื่องพวกนี้สูงมาก


และการซ่อมแซมกับการสร้างสะพานหักตรงหน้านี้ มันก็นับเป็นวิธีการฝึกเพื่อเรื่องนี้ที่ดีมากๆอย่างไม่ต้องสงสัยเลย


เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซือเฟิงก็ได้เริ่มลงมือลองซ่อมแซม และสร้างสะพานหักขึ้นมาใหม่ด้วยความตื่นเต้น


และแม้ว่าในหลายๆครั้งนั้นความพยายามของซือเฟิงจะยังคงจัดว่าล้มเหลว แถมไม่ได้ให้ผลมากนัก แต่เรื่องนี้มันก็ยังทำให้ซือเฟิงตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆอยู่ดี


เนื่องจากในความล้มเหลวแต่ละครั้งนั้นมันทำให้ซือเฟิงได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย และเขาก็ได้นำประสบการณ์จากตอนที่เขาล้มเหลวมาปรับใช้จนสามารถควบคุมทุกๆอย่างได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


หลังจากผ่านไปสองวันเต็ม ในที่สุดซือเฟิงก็สามารถที่จะซ่อมแซม และสร้างสะพานขึ้นมาได้ใหม่ครึ่งเมตร


“ทำได้แล้ว !! ในที่สุดฉันก็ทำได้ !!!”


ซือเฟิงมองไปยังบริเวณสะพานตรงหน้าของเขาที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ด้วยความตื่นเต้น


แม้ว่าสะพานที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่นี้จะไม่ได้ดูดีแบบสะพานแต่เดิมของผีมังกร แต่มันก็สามารถจะทำให้คนๆหนึ่งยืนอยู่บนสะพานได้สบายๆ โดยที่ไม่ตกลงไปสู่ความมืดเบื้องล่าง


และสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือในที่สุดเขาก็มาถึงเกณฑ์ที่จะสามารถใช้ และจัดการองค์ประกอบธาตุเวทย์มนต์ต่างๆได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว

โดยในตอนนี้ เขาก็คิดว่าเขาคงใช้เวลาอีกไม่นาน เขาก็น่าจะสามารถสร้างร่างมานาใหม่ของเขาขึ้นมาได้ ….


แต่อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ไม่ได้แสดงท่าทีตื่นเต้นมากนัก เพราะท้ายที่สุดแล้ว นี่มันพึ่งเริ่ม และเขาจำเป็นที่จะต้องทำการทดสอบนี้ให้สำเร็จเพื่อรับเอามังกรเงินศักสิทธิ์มาเป็นคู่หูให้ได้


เมื่อคิดได้ดังนี้ซือเฟิงก็ได้เริ่มสร้างสะพานต่อ โดยเขาได้เล็งที่จะสร้างให้มันเชื่อมต่อไปยังผืนดินที่อยู่ไกลออกไป


ในตอนเริ่มต้นเพื่อที่จะซ่อมแซม และสร้างสะพานหักนี้ขึ้นมาใหม่ ซือเฟิงได้ใช้เวลาไปถึงสองวันเต็ม อย่างไรก็ตามตอนนี้เมื่อซือเฟิงเข้าใจรากฐานของมันแล้ว ซือเฟิงจึงสามารถสร้างสะพานขึ้นมาใหม่ได้เร็วขึ้นมากๆ และทุกครั้งที่เขาทำแบบนี้นั้น ความเข้าใจในเรื่องทั้งหมดนี้ของเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และสะพานของเขาก็ยังมีความปรา

ณีตมากขึ้นเรื่อยๆด้วย


หลังจากใช้เวลาไปอีกเกือบหนึ่งวัน ซือเฟิงก็สามารถจะสร้างสะพานขึ้นมาใหม่ได้ราวห้าร้อยเมตร ซึ่งนี่มันก็ทำให้เขาได้รับเวลาพิเศษเพิ่มอีกหนึ่งวันสำหรับความก้าวหน้าของเขา


“ระยะทางโดยประมาณเบื้องต้นจากจุดเริ่มต้นไปยังผืนดินที่อยู่ไกลออกไปนั้นคือยี่สิบกิโลเมตร ขณะที่หนึ่งในสามของระยะทางนี้ก็คือประมาณเจ็ดพันเมตร ส่วนตัวฉันนั้นสามารถสร้างสะพานได้ราวห้าเมตรต่อวัน ดังนั้นฉันน่าจะทำการทดสอบนี้ให้เสร็จสิ้นได้ในครึ่งเดือน” ซือเฟิงมองไปยังผืนดินที่อยู่ไกลออกไปอย่างเต็มไปด้วยความหวัง


แม้ว่าการทดสอบนี้มันจะใช้เวลานานกว่าที่เขาคาดไว้มาก แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เขาจะได้รับจากการทดสอบนี้ มันก็นับเป็นสิ่งที่คุ้มค่า


หลังจากซือเฟิงพักไปครู่หนึ่ง เขาก็ได้เริ่มสร้างสะพานต่ออีกครั้ง ….


ในขณะที่ซือเฟิงกำลังทำการสร้างสะพานขึ้นมาใหม่นั้น ในอีกแปดวันต่อมา รอยแยกมิติขนาดใหญ่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกก็ปรากฎขึ้นที่ทวีปด้านตะวันออกของ God domain

ซึ่งเมื่อรอยแยกนี้ปรากฎขึ้นนั้น อักษรรูนศักสิทธิ์จำนวนมากก็ได้แตกสลายไปอย่างสิ้นเชิง และกลายไปเป็นแสงดาวนับไม่ถ้วน


“ในที่สุดมันก็เริ่มต้นขึ้นแล้วงั้นหรอ ?”


ร่างๆหนึ่งที่เฝ้าดูฉากนี้อยู่กล่าวออกมาด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน ก่อนที่ร่างๆนี้จะหันหลัง และรีบจากไป


ซึ่งในขณะที่ร่างๆนี้หายไป มันก็มีร่างนับสิบร่างโผล่ออกมาจากรอยแยกมิตินี้ โดยแต่ละร่างนั้นแผ่ออร่าที่ทรงพลัง และดูโบราณมากๆออกมา ซึ่งมันดูไม่ได้เข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบเลย


“ฮ่าๆๆ !!! ในที่สุดกิลเราก็สามารถเปิดมันขึ้นมาได้แล้ว !!!”


“นี่คือโลกอื่นงั้นหรอ ? ทำไมสภาพแวดล้อมที่นี่มันมีความเข้มข้นของมานาต่ำจัง ?”


“แต่ยังไงซะที่นี่ก็คือโลกอื่นที่เป็นโลกขนาดใหญ่ของ God domain นั่นแหละน่า !! พวกเรารีบกลับไปแจ้งหัวหน้ากิลในเรื่องนี้ดีกว่า กิลของเราจะได้เตรียมตัวรับสถานการณ์ทั้งหมด และสามารถจะใช้ประโยชน์จากโลกนี้ได้ก่อนกิลอื่นๆ !!!!”


ชายวัยกลางคนที่มีความแข็งแกร่งเทียนเท่ากับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายที่เป็นผู้นำทีมพูดขึ้น ก่อนที่เขาจะเริ่มจัดการออกคำสั่ง และแบ่งทีม โดยเขาได้จัดให้ทีมสามคนเดินทางกลับไปยังโลกที่เขาจากมาเพื่อแจ้งข่าวเรื่องนี้ และก็ให้คนอื่นๆที่เหลือรีบมุ่งหน้าไปยังทางออกของสถานที่ที่พวกเขาอยู่เพื่อไปตรวจสอบโลกนี้ทันที


ซึ่งในขณะที่คนเหล่านี้เริ่มเคลื่อนไหวนั้น ซือเฟิงที่อยู่ห่างออกไปในพื้นที่พิเศษก็หน้าซีดมากๆ ….


“ฉันไม่คิดเลยจริงๆว่าการซ่อมแซม และสร้างสะพานใหม่นั้นมันจะใช้ค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจมากกว่าที่คิดไว้มาก ในตอนนี้หลังจากผ่านไปแปดวันนั้น ฉันก็ยังไปได้ไม่ถึงระยะสามพันสี่ร้อยเมตรด้วยซ้ำ ในทางตรงกันข้ามตอนนี้ค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของฉันนั้นมันแทบจะหมดลงไปแล้ว”


ซือเฟิงมองไปที่ผืนดินที่อยู่ไกลออกไปด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว ….


ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมผีมังกรนั่นถึงเลิกเฝ้าดูเขา มันเป็นเพราะว่าผีมังกรนั้นคิดว่าเขาจะไม่มีวันผ่านการทดสอบได้นี่เอง ….


เดิมทีเขาคิดว่าเขาน่าจะสามารถสร้างสะพานขึ้นใหม่ได้ราวห้าร้อยเมตรต่อวัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปยิ่งเขาไปไกลเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งสามารถสร้างได้น้อยลงเท่านั้น และจนถึงตอนนี้เขาสร้างสะพานขึ้นใหม่ได้ไม่ถึงสามร้อยเมตรต่อวันด้วย


ซึ่งสิ่งนี้มันก็เกิดมาจากแรงกดดันทางจิตที่ยิ่งซือเฟิงมีความก้าวหน้าไปมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น โดยสิ่งนี้นั้นมันทำให้ซือเฟิงรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกับสมองของเขาถูกเจาะด้วยเข็มหลายพันเล่ม และความเจ็บปวดนี้แหละก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้งานของเขาช้าลง


อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ยังคงไม่คิดที่จะยอมแพ้ เพราะท้ายที่สุดแล้วภายในนี้นั้นมันทำให้เขาได้รับการปรับปรุงในหลายๆด้านอย่างต่อเนื่อง


ถ้าเป็นไปได้ ซือเฟิงอยากจะอยู่ต่ออีกสักสองถึงสามเดือนด้วยซ้ำ แต่เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะนี่มันเป็นการทดสอบ อย่างไรก็ตามเขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดในเรื่องนี้จริงๆ เนื่องจากที่นี่มันมอบผลประโยชน์ให้กับเขาอย่างมหาศาลมากๆ


หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปอีกสามวัน ในขณะที่ซือเฟิงนั้นได้กัดฟันและพยายามสร้างสะพานต่อเรื่อยๆ


ตอนนี้แม้จะรู้สึกเจ็บปวดมากๆ แต่เขาก็ยังคงยืนกรานที่จะไปต่อ


และหลังจากไปสี่วัน ใบหน้าของซือเฟิงก็ซีดขาวราวกับหิมะ …. พร้อมกันนั้นสติของเขาก็เริ่มเลือนลางแล้ว โดยเมื่อมันเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ซือเฟิงก็เริ่มรู้สึกแล้วว่านี่มันอาจจะเป็นจุดจบของการทดสอบในครั้งนี้ของเขา ….


อย่างไรก็ตามเมื่อซือเฟิงสร้างสะพานขึ้นใหม่ได้อีกหนึ่งเมตรเรียบร้อย และคิดว่าตัวเองกำลังจะหมดสติไปนั้น เสียงแจ้งเตือนของระบบที่เย็นชาก็ดังขึ้นมาที่หูของเขา


ระบบ : ขอแสดงความยินดีด้วย ค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของผู้เล่นได้มาถึงขั้นห้าแล้ว !!! และศักยภาพร่างมานาของผู้เล่นก็ถูกปลดล๊อคไปได้หนึ่งร้อยยี่สิบเปอเซ็นต์แล้ว ในตอนนี้ผู้เล่นมีโอกาสที่จะได้รับพรจากโลกเพื่อสร้างทะเลจิตวิญญาณขึ้นมาใหม่ ผู้เล่นเต็มใจจะรับพรจากโลกเลยไหม ? (หากไม่มีการตอบกลับเป็นเวลาสามนาที จะถือว่าเป็นการยกเลิกและไม่รับโดยอัตโนมัติ)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)