Reincarnation Of The Strongest Sword God 2691-2700
ตอนที่ 2691 ทลายขีดจำกัด
แรงโน้มถ่วงที่นี่เกือบจะเหมือนกับที่ฉันรู้สึกได้ เมื่อมังกรดำเด็กเหล่านั้นปรากฎตัว และถ้าฉันยังคงขุดลึกลงไป มังกรเหล่านี้ก็จะสังเกตเห็นการปรากฎตัวของฉันทันทีแน่นอน หลังจากทำการฆ่าผู้พิทักษ์เส้นทางชั้นนอกไปอีกหนึ่งตัว ซือเฟิงก็เลือกจะโผล่กลับออกมาจากถ้ำที่เขาขุดไว้ก่อนเพื่อสังเกตเหวลึก
หลังจากเก้าวันของความพยายามอย่างหนัก ในที่สุดเขาก็มาถึงระดับความสูงที่เขาได้เจอกับมังกรดำเด็กทั้งหมดเป็นครั้งแรก
แม้ว่ามังกรดำเด็กจะเป็นเพียงลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสาม แต่มันก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ผู้เล่นขั้นสามคนใดก็ไม่มีความหวังที่จะต่อกรด้วยได้ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงมันมีมังกรดำเด็กสามตัวเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มพร้อมกันที่นี่
ในตอนนี้วิธีที่ดีที่สุดสำหรับในการจะเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่ให้สำเร็จ นั่นก็คือการฆ่าผู้พิทักษ์เส้นทางชั้นนอกให้มากขึ้น และสะสมพลังงานของมรดกที่มีไปอย่างต่อเนื่องจนถึงอัตราความสำเร็จแปดสิบห้าเปอเซ็นต์ จากนั้นเขาก็จะสามารถเปิดใช้งานมรดกขั้นสี่ของเขาได้
อย่างไรก็ตามในขณะที่เขาขุดและเดินลึกลงไปในหน้าผาเรื่อยๆ ความถี่ในการปรากฎตัวของผู้พิทักษ์เส้นทางชั้นนอกมันก็ลดลง ในความเป็นจริงตอนนี้ผู้พิทักษ์เส้นทางชั้นนอกที่เขาพึ่งฆ่าไปก็ต้องใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงในการเกิดใหม่แล้ว
ซึ่งในอัตรานี้มันจะทำให้เขาเข้าสู่ช่วงการรับรู้ของมังกรดำเด็กทั้งสามตัวแน่นอน ในเวลาที่ผู้พิทักษ์เส้นทางชั้นนอกเกิดใหม่ขึ้นมา และในกรณีนี้เขาก็จะต้องต่อสู้กับผู้พิทักษ์เส้นทางชั้นนอก และรับมือกับมังกรดำเด็กทั้งสามตัวไปพอกัน
แน่นอนเลยว่าระบบหลักของ God domain จะไม่ปล่อยให้ผู้เล่นได้เพลิดเพลินไปกับเควสเลื่อนขั้นที่ทำได้ง่ายๆ และในท้ายที่สุดฉันก็ยังคงต้องได้รับหนึ่งในเศษชิ้นส่วนมรดกเหล่านั้นอยู่ดี ซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ขณะที่เขามองไปยังพลังของมรดกที่เขาเก็บรวบรวมมาได้ในตอนนี้
ด้วยมาตราฐานในปัจจุบันของเขา ตราบใดที่เขาเปิดใช้งานสกิลเบอเซิกร์ การจะฆ่าผู้พิทักษ์เส้นทางชั้นนอกให้ได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่รับมือกับการโจมตีของมังกรดำเด็กสามตัวไปด้วยก็น่าจะทำได้ อย่างไรก็ตามเขาก็ยังต้องการฆ่าผู้พิทักษ์เส้นทางชั้นนอกถึงสามตัวก่อนที่พลังมรดกของเขาจะไปถึงที่ขั้นต่ำแปดสิบห้าเปอเซ็นต์
แม้ว่าเขาจะมีสกิลเบอเซิกร์อยู่หลายสกิล แต่โอกาสที่เขาจะสามารถทนรอเวลาเกิดใหม่ และฆ่าผู้พิทักษ์เส้นทางชั้นนอกให้ได้ครบสามตัวก่อนที่ระยะเวลาของสกิลเบอเซิกร์ทั้งหมดของเขาจะหมดลงนั้นมันก็มีน้อยมาก เพราะท้ายที่สุดแล้วตอนนี้มันมีระยะเวลาการเกิดใหม่ที่ห่างกันนานเกินไประหว่างผู้พิทักษ์เส้นทางชั้นนอกที่ถูกฆ่าไป และการจะให้เขาต้องทนรอขุดทางไปด้วย พร้อมกับรับมือกับการโจมตีของมังกรดำเด็กสามตัวพร้อมกันไปด้วย ในขณะที่รอผู้พิทักษ์เส้นทางชั้นนอกเกิดใหม่อีกสองตัวนั้น มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
สิ่งนี้ทำให้เขาเหลือเพียงทางเลือกเดียวหากเขาต้องการจะทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ให้สำเร็จ นั่นก็คือ การรับเอาหนึ่งในเศษชิ้นส่วนมรดกที่เขาเห็นในตอนตกลงสู่เหวลึกในครั้งแรกที่เข้ามาที่นี่มาให้ได้
โดยเศษชิ้นส่วนมรดกนั้นก็จะมอบเปอเซ็นต์พลังของมรดกให้เขามากกว่าการฆ่าผู้พิทักษ์เส้นทางชั้นนอกแน่นอน และเท่าที่ซือเฟิงรู้เศษชิ้นส่วนมรดกหนึ่งชิ้นนั้นมีโอกาสจะมอบพลังของมรดกให้เป็นเปอเซ็นต์ตั้งแต่สิบถึงสี่สิบเปอเซ็นต์เลย ซึ่งด้วยเปอเซ็นต์ของพลังมรดกที่เขามีในตอนนี้นั้น เขาก็จะต้องการเศษชิ้นส่วนมรดกแค่ชิ้นเดียวเท่านั้นเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดขั้นต่ำในการเปิดใช้งานมรดกขั้นสี่ของตัวเอง
สำหรับการจะพูดว่าอัตราความสำเร็จในการเก็บรวบรวมพลังของมรดกที่เป็นเปอเซ็นต์นี้จะเกี่ยวข้องกับอัตราความสำเร็จในการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่จริงๆ มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบนั้นทั้งหมด
เพราะท้ายที่สุดพลังของมรดกนั้นมันเพียงเป็นสิ่งที่อนุญาติให้ผู้เล่นเปิดใช้งานมรดกขั้นสี่เท่านั้น และยิ่งผู้เล่นรวบรวมพลังของมรดกมาได้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งเปิดใช้งานส่วนต่างๆของมรดกขั้นสี่ได้มากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตามหลังที่เปิดใช้งานมรดกขั้นสี่ขึ้นมาได้แล้วนั้น ผู้เล่นจำเป็นจะเรียนรู้และไขความลับภายในของมรดกขั้นสี่ให้สำเร็จ ซึ่งการจะทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ให้ได้สำเร็จ หรือทำได้สำเร็จมากน้อยแค่ไหนนั้นมันก็จะขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เล่นเองทั้งหมด ซึ่งจำนวนพลังของมรดกที่พวกเขาสะสมมาก่อนหน้านี้ก็จะไม่มีต่อส่วนนี้ของเควสเลย และหากผู้เล่นล้มเหลวในการเรียนรู้และไขความลับตามที่มรดกกำหนด สุดท้ายแล้วมันก็จะยังจบลงที่ผู้เล่นล้มเหลวในการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ให้สำเร็จอยู่ดี
ในชีวิตที่ผ่านมาของเขาสาเหตุหลักที่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามล้มเหลวในการจะทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ให้สำเร็จนั้นก็คือระยะที่สองของเควสเลื่อนขั้นนี่แหละ มันไม่ใช่ระยะแรกที่เป็นการต้องเก็บรวบรวมพลังของมรดกให้เพียงพอเลย
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมยิ่งมรดกของตัวเองแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ เควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ที่ผู้เล่นต้องทำมันก็จะยิ่งยากขึ้นเท่านั้น
ยิ่งมรดกมีความแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ข้อมูลที่อยู่ภายในก็จะยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างมรดกที่เป็นของเผ่ายักษ์ และเอลฟ์ ซึ่งมันมีข้อมูลที่ซับซ้อนมากๆอยู่ภายใน ดังนั้นผู้เล่นที่เป็นยักษ์และเอลฟ์จึงจะต้องเผชิญความยากลำบากมากกว่าผู้เล่นทั่วไปมาก เมื่อทำการทำเควสเลื่อนขั้น และแม้ว่าผู้เล่นจะมีอาวุธกับอุปกรณ์ชั้นยอดครบมือ แต่ไอเทมเหล่านี้ก็จะช่วยแค่ให้ผู้เล่นได้รับพลังมรดกมากขึ้น และเปิดความรู้เพิ่มเติมให้พวกเขาได้เรียนรู้เท่านั้น ผู้เล่นจะยังคงต้องพึ่งพาความสามารถของตนเองอยู่ดีในการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ให้สำเร็จ
ดังนั้นแค่เก็บรวบรวมพลังของมรดกให้ได้แปดสิบห้าเปอเซ็นต์ มันก็เพียงพอแล้ว การจะต้องเก็บรวบรวมให้ได้ถึงหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้นมันไม่ได้จำเป็นเลย
อย่างไรก็ตามการพยายามเข้าถึงและรับเอาเศษชิ้นส่วนมรดกที่อยู่ด้านล่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะท้ายที่สุดการจะทำแบบนี้ให้ได้ เขาจำเป็นต้องต่อสู้กับมังกรดำเด็กสามตัวด้วย และเขาก็ทำอะไรได้อย่างจำกัดมากๆในช่วงระยะเวลาของสกิลเบอเซิกร์ แถมส่วนการรับเอาเศษชิ้นส่วนมรดกมาให้ก็ยังเป็นเรื่องที่ท้าทายสุดๆ เพราะถ้าผู้เล่นไม่รู้ว่ามันต้องทำอย่างไรถึงจะรับเอาเศษชิ้นส่วนมรดกมาได้ พวกเขาก็มักจะตายลงในระหว่างกระบวนการนี้
ผู้เล่นจะไม่ได้รับพลังของมรดกที่มีอยู่ในเศษชิ้นส่วนมรดกมาโดยอัตโนมัติ แต่หลังจากที่เขาถึงเศษชิ้นส่วนมรดกได้แล้วนั้น ผู้เล่นก็จะต้องใช้เวลาประมาณสิบถึงยี่สิบวินาทีในการดูดซับเศษชิ้นส่วนมรดก และแม้ว่าผู้เล่นจะไม่ได้จำเป็นต้องยืนอยู่ตรงหน้าเลยเพื่อรับดูดซับพลังของมรดกจากเศษชิ้นส่วนมรดก แต่ถ้าพวกเขาอยู่ห่างจากเศษชิ้นส่วนมรดกมากเกินไปกระบวนการทั้งหมดมันก็จะหยุดชะงักลงทันที และเศษชิ้นส่วนมันก็จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เนื่องจากเหตุผลเหล่านี้ โดยทั่วไปแล้วผู้เล่นจึงจำเป็นจะต้องดำเนินการทุกอย่างให้เสร็จสิ้นในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมังกรดำเด็กทั้งสามตัวตามรังควานซือเฟิง มันก็เห็นได้ชัดเลยว่าเขาจะไม่สามารถดูดซับเศษชิ้นส่วนมรดกในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยได้ เพราะเขาจะต้องทำมันในขณะที่เขาต่อสู้ อย่างไรก็ตามด้วยระยะเวลาของสกิลเบอเซิกร์ที่เขามีอยู่ เขาคงทำแบบนี้ได้ไม่นานนัก
ไม่ !! นั่นมันไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ !! หากฉันสามารถยืนหยัดอยู่ในสถานะปกติได้สักระยะหนึ่ง มันก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่ฉันจะได้รับเศษชิ้นส่วนมรดก !!!
หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งแล้ว ซือเฟิงก็ได้ตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงเพื่อพยายามรับเอาเศษชิ้นส่วนมรดก เพราะท้ายที่สุดเขาไม่ได้เหมือนกับตัวเองตอนที่เข้าสู่ดินแดนมรดกครั้งแรกอีกต่อไป ตอนนี้เขาสามารถที่จะควบคุมและใช้งานโฮลี่ดีวอร์แบบง่ายๆได้แล้ว ซึ่งมันก็อาจจะทำให้เขาสามารถจัดการกับมังกรดำเด็กได้
หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ ซือเฟิงก็ได้หยิบแหวนแห่งกอสเปลออกมาจากกระเป๋าของเขาและเปิดใช้งานสกิลโลกจิ๋ว กับ Ring of Brilliance ทันที ตอนนี้เขามาได้ไกลขนาดนี้แล้วในเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ของเขา และเขาก็จะต้องต่อสู้กับมังกรดำเด็กขั้นสาม ทั้งสามตัวให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นเขาจงไม่จำเป็นที่จะต้องประหยัดไพ่ในมือของเขาอีกต่อไป
เมื่อสกิล Ring of Brilliance ถูกเปิดใช้งาน ความหนาแน่นของมานาโดยรอบก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้น สำหรับตัวซือเฟิงเองค่าสถานะพื้นฐานของเขาก็เพิ่มขึ้นอีกห้าเปอเซ็นต์ และแม้ว่าเอฟเฟคของ Ring of Brilliance จะอ่อนแอลงไปอย่างมาก แต่ทุกๆการปรับปรุงที่ได้รับที่นี่มันก็ยังคงจัดว่าสำคัญมาก
หลังจากเปิดใช้งานสกิลของแหวนแห่งกอสเปลทั้งสองแล้ว ซือเฟิงก็กระโดดลงไปที่เหวลึก และปล่อยให้แรงโน้มถ่วงลากเขาลงไปที่เบื้องล่างทันที
ไม่กี่วินาทีหลังจากที่ซือเฟิงเริ่มตกลงสู่เหวลึกอย่างอิสระ เสียงคำรามของมังกรก็ดังขึ้นมาจากระยะไกล ตามที่เขาคาดการณ์ไว้มังกรดำเด็กสามตัวก็บินออกมาจากเหวลึก และพุ่งตรงมาที่เขาอีกครั้ง
ไม่นานหลังจากนั้นมังกรดำเด็กตัวหนึ่งก็ได้มาถึงที่ตรงหน้าของซือเฟิง ก่อนที่มันจะใช้กรงเล็บขนาดใหญ่ของมันโจมตีเข้าใส่เขา ดูเหมือนว่าสกิลโกลจิ๋วจะไม่ได้ทำให้มันได้รับผลกระทบใดๆเลย เพราะกรงเล็บที่มังกรดำเด็กตัวนี้ใช้โจมตีมายังซือเฟิง มันก็ยังคงมีพลังเพียงพอที่จะทำให้เกิดรอยแยกเชิงพื้นที่ได้
การปะทะกันในการโจมตีนี้แหละจะเป็นครั้งตัดสินว่าฉันจะทำสำเร็จไหม !!!
ทันใดนั้น ซือเฟิงก็ได้เหวี่ยง Abyssal Blade เข้าปะทะกับกรงเล็บขนาดใหญ่ทันที
ในช่วงเวลาต่อมา Abyssal Blade ที่ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสีแดงฉานก็ตัดผ่านกรงเล็บขนาดใหญ่
ตู้ม !!
เมื่อการโจมตีทั้งสองปะทะกัน เสียงดังของโลหะก็ดังก้องไปทั่วเหวลึก และประกายไฟก็ส่องสว่างไปทั่วพื้นที่รอบๆซือเฟิง และมังกรดำเด็ก โดยผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจก็คือหลังการปะทะกันครั้งนี้นั้นมังกรดำเด็กตัวนี้ก็ปลิวไปกระแทกเข้ากับกำแพงหน้าผาที่อยู่ใกล้ๆ ในทางกลับกันซือเฟิงกับหลุดออกมาจากการปะทะโดยไม่ได้รับบาดเจ็บเลย ยิ่งไปกว่านั้นผลกระทบของการปะทะกันมันยังเร่งให้เขาดิ่งลงไปในเหวลึกเร็วยิ่งขึ้น
ดี !! ยังมีโอกาส !! ซือเฟิงนั้นมีความสุขมากๆ เมื่อเห็นว่า Abyssal Blade สามารถเบี่ยงเบนการโจมตีของมังกรดำเด็ก ทั้งยังทำให้มันปลิวกระเด็นไปได้
ก่อนหน้านี้ความกังวลที่สุดของเขาก็คือ เขาจะไม่สามารถป้องกันการโจมตีของมังกรดำเด็กได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาไม่ได้เปิดใช้งานสกิล Heavenly Dragon’s Power เหมือนกับครั้งแรกที่เข้ามา นอกจากนี้มังกรดำเด็กพวกนี้ยังมีข้อได้เปรียบตรงที่พวกมันไม่ถูกปราบปรามด้วยแรงโน้มถ่วงของเหวลึกด้วย เนื่องจากที่นี่คือบ้านของพวกมัน และแม้จะมีผลจากสกิลโลกจิ๋ว แต่เขาก็น่าจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการเบี่ยงเบนการโจมตีของมังกรดำเด็ก และทำให้มันปลิวกระเด็นไป
โชคดีที่โฮลี่ดีวอร์แบบง่ายๆนั้นทรงพลังมากเพียงพอในตอนนี้ แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้เปิดใช้งานสกิลเบอเซิกร์ของตัวเองก็ตาม เป็นผลให้เขาสามารถจะรับมือกับมังกรดำเด็กได้ และนี่มันก็จะทำให้สิ่งที่เขาต้องทำต่อไปนั้นง่ายขึ้นมาก
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ยังคงดิ่งลงไปเรื่อยๆ ในขณะที่เขาทำการเบี่ยงเบน และตอบโต้การโจมตีของมังกรดำเด็กทั้งสามอย่างเมามัน
และเมื่อซือเฟิงกำลังจะไปถึงที่ตั้งของเศษชิ้นส่วนมรดก เขาก็ได้เปิดใช้งานสกิลเกลโดเมน และรีบเปลี่ยนทิศบินตรงไปยังที่ตั้งของเศษชิ้นส่วนมรดกทันที
ซึ่งหลังจากมองเห็นที่ตั้งของเศษชิ้นส่วนมรดกอย่างแน่นอนแล้ว ซือเฟิงก็ได้เปิดใช้งานสกิลพลังแห่งความมืดทันที โดยมันได้ทำให้ค่าสถานะพื้นฐานของเขาทั้งหมดเพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยยี่สิบเปอเซ็นต์ จากนั้นเขาก็ได้ใช้โฮลี่ดีวอร์ใส่หน้าตรงหน้าของเขาทันที !!!
เปลวไฟจากโฮลี่ดีวอร์ได้กลืนกินกำแพงหน้าผาเข้าไปทันที และมันก็ส่งผลทำให้เกิดหลุมที่มีรัศมีสามสิบหลา และในเวลาเดียวกัน เศษชิ้นส่วนรูปปั้นที่กระจัดกระจายที่มีขนาดเท่ากับร่างมนุษย์ผู้ใหญ่ก็ค่อยๆร่อนลงมาภายในหลุมขณะที่มันเปล่งแสงจางๆ พร้อมกับแผ่ออร่า Divine Might ออกมา
….
ระบบ : คุณได้ค้นพบเศษชิ้นส่วนมรดก คุณต้องการจะดูดซับพลังของมรดกจากเศษชิ้นส่วนมรดกนี้ไหม ?
….
“ดูดซับ !!!” ซือเฟิงเลือกอย่างไม่ลังเล
ทันทีที่เขาเลือกแล้ว เศษชิ้นส่วนรูปปั้นที่กระจัดกระจายก็กลายเป็นแสงออโรร่าพุ่งทะลุร่างของเขาทันที
อึก !! นี่ภายในนี้มันมีพลังของมรดกอยู้มากแค่ไหนกัน ?! ซือเฟิงตกตะลึง เมื่อเห็นแถบดาวโหลดปรากฎขึ้นตรงหน้าของเขา
โดยซือเฟิงสามารถบอกได้อย่างชัดเจนเลยจากการที่แถบดาวโหลดปรากฎขึ้นมาว่าเขาจะต้องใช้เวลาดูดซับพลังของมรดกจากเศษชิ้นส่วนมรดกนี้เป็นเวลาสามสิบสามนาที ซึ่งเวลาในการดูดซับนี้มันเกินความคาดหมายของเขาไปมาก นอกจากนี้ระยะเวลามันก็ยังเกินระยะเวลาทั้งหมดของสกิลเบอเซิกร์เขาด้วย
อย่างไรก็ตามภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขาไม่ได้มีเวลามากพอจะไปหาเศษชิ้นส่วนมรดกชิ้นอื่นแล้ว และหากเขาเลือกจะยอมแพ้ในเศษชิ้นส่วนมรดกชิ้นนี้ ความพยายามทั้งหมดที่เขาทำมา ซึ่งนี่รวมไปถึงการไล่ฆ่าผู้พิทักษ์เส้นทางชั้นนอกด้วยก็จะสูญเปล่า
ในเวลานี้เองมังกรดำเด็กทั้งสามตัวก็สังเกตเห็นแล้วว่าซือเฟิงกำลังทำอะไรอยู่ โดยพวกมันทั้งสามตัวก็ได้ทำการใช้ลมหายใจมังกรใส่ซือเฟิงทันที
“แม่งเอ้ย !!!”
ใบหน้าของซือเฟิงมืดมนลงทันที เมื่อเขาเห็นมังกรทั้งสามตัวใช้ลมหายใจมังกรใส่เขา และนี่มันก็ทำให้ซือเฟิงรีบเปิดใช้งานโดเมนสมบูรณ์แบบเพื่อป้องกันตัวเองโดยสัญชาตญาณทันที
หลังจากรับมือกับลมหายใจมังกรทั้งสามเอาไว้ได้ ขนาดของหลุมที่ซือเฟิงทำไว้มันก็มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างมากจนทำให้เขามีพื้นที่ในการหลบหลีกเพิ่มขึ้น
หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ ในขณะที่ซือเฟิงพยายามป้องกันตัวเองจากการโจมตีของมังกรดำเด็กทั้งสามตัว ….
สิบนาที … สิบห้านาที … ยี่สิบนาที …
และในที่สุดเวลาก็ผ่านไปสามสิบนาทีจนกระทั่งสกิลเบอเซิกร์ทุกสกิลของซือเฟิงหมดลง …. แม้ว่าเขาจะพยายามรับมือกับการโจมตีของมังกรดำเด็กทั้งสามในสถานะปกติให้ได้นานที่สุด แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังคงผลาญสกิลเบอเซิกร์ของตัวเองทั้งหมดไปหมดในสามสิบนาทีอยู่ดี
ซึ่งเมื่อปราศจากการสนับสนุนจากสกิลเบอเซิกร์แล้ว ซือเฟิงก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพึ่งพาโฮลี่ดีวอร์แบบง่ายๆที่เขาใช้ได้เพื่อป้องกันการโจมตีของมังกรทั้งสาม อย่างไรก็ตามโฮลี่ดีวอร์นี้แม้ว่ามันจะผลาญค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของซือเฟิงลดลงไปมากแล้วจากเดิม แต่เมื่อเขาใช้เรื่อยๆมันก็ยังคงเป็นภาระต่อเขามากอยู่ดี และนี่มันก็ส่งผลให้ใบหน้าของเขาซีดลงเรื่อยๆ
“มนุษย์ !!! เวลาของคุณใกล้หมดลงแล้ว !!! ค่าสตามิน่ากับค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของคุณใกล้จะหมดลงแล้ว !!! ขณะที่เรายังคงสามารถสู้ต่อไปได้ !!! อย่าแม้แต่จะคิดว่าจะรอดชีวิตออกไปได้ หลังจากที่คุณบุกรุกเข้ามาในดินแดนของมังกรดำ !!!” มังกรดำเด็กที่เป็นผู้นำพูดมาเป็นภาษาโบราณ และแม้ว่าซือเฟิงจะไม่รู้จักภาษานี้ แต่จิตใจของเขาก็สามารถบอกได้เลยว่ามังกรดำเด็กกำลังพูดถึงอะไร
ไม่นานหลังจากที่มังกรดำเด็กที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำพูดจบ มังกรดำเด็กอีกสองตัวก็ระดมโจมตีซือเฟิงอย่างรวดเร็วและบ้าคลั่งมากขึ้นทันที ซึ่งนี่มันทำให้ซือเฟิงไม่มีเวลาว่างจะพักหายใจเลย
หนึ่งวินาที … สองวินาที … สามวินาที …
เมื่อเป็นแบบนี้ซือเฟิงก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ไพ่ที่เขามีออกมาทีละใบ
โดเมนแห่งความมืด !
Thunder God’s Descent !
Divine Steps !
โล่วอย !
อย่างไรก็ตามใบหน้าของเขาก็ยิ่งซีดลงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาทยอยใช้ไพ่ออกมาทีละใบ ขณะเดียวกันตอนนี้สมองของเขาก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆจนทำให้ร่างกายของเขาแทบขยับไม่ได้เลย
นี่มันโหดเกินไปหน่อยสำหรับฉันไหมเนี่ย ?!
ในตอนนี้ซือเฟิงสามารถบอกได้เลยว่าเขากำลังจะถึงขีดจำกัดแล้ว และเมื่อมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เขาก็จะไม่สามารถใช้โฮลี่ดีวอร์แบบง่ายๆป้องกันการโจมตีของมังกรทั้งสามตัวได้อีกต่อไป ซึ่งเมื่อเวลานั้นมาถึงเขาก็จะได้ตายลงทันที
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ซือเฟิงกำลังรู้สึกสิ้นหวัง เสียงแจ้งเตือนของระบบก็ได้ดังขึ้นมาที่หูของเขา
….
ระบบ : ยินดีด้วย !! อัตราความสำเร็จพลังของมรดกขั้นสี่ของคุณมาถึงที่ 102 เปอเซ็นต์แล้ว คุณต้องการเปิดใช้งานมรดกขั้นสี่หรือไม่ ?
ตอนที่ 2692 มรดกขั้นสี่ที่เกินหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์
หนึ่งร้อยสองเปอเซ็นต์ ?
แม้ว่าเขาจะยังคงรู้สึกตัวอยู่ แต่เมื่อซือเฟิงได้ยินเสียงของระบบแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้ง
ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีใครสะสมอัตราความสำเร็จพลังของมรดกขั้นสี่ได้เกินหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ และอย่างดีที่สุดคนเหล่านั้นก็สามารถสะสมอัตราความสำเร็จพลังของมรดกได้ถึงหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ และสามารถปลดล๊อคข้อมูลทั้งหมดของมรดกขั้นสี่ได้เท่านั้น
อย่างไรก็ตามตอนนี้อัตราความสำเร็จพลังของมรดกของเขากับมาถึงหนึ่งร้อยสองเปอเซ็นต์ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน ?
อย่างไรก็ตาม ซือเฟิงก็ไม่ได้เสียเวลาคิดเรื่องนี้นานนัก ในเมื่อตอนนี้เขามีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดในการเปิดใช้งานมรดกขั้นสี่ของเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงเลือกจะเปิดใช้งานมันโดยไม่ลังเล
แต่น่าเสียดายที่แม้ว่าเขาจะเลือกที่จะเปิดใช้งานมรดกขั้นสี่ของเขาแล้ว แต่มังกรดำเด็กทั้งสามตัวก็ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ และในช่วงเวลาถัดมาหนึ่งในกรงเล็บของมังกรก็ตวัดลงมาที่ซือเฟิงอีกครั้ง
“แม่งเอ้ย !!!”
แม้ว่าผู้เล่นจะสามารถเปิดใช้งานมรดกขั้นสี่ได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเควสเลื่อนขั้นของพวกเขาจะสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากได้เรียนรู้ข้อมูลที่อยู่ในมรดกขั้นสี่จนถึงระดับที่เพียงพอ และออกจากดินแดนมรดกได้อย่างปลอดภัยเท่านั้น ผู้เล่นจึงจะได้รับการพิจารณาว่าทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่สำเร็จ
เนื่องจากกรงเล็บที่โจมตีเข้ามานี้มันโจมตีเข้ามาอย่างรวดเร็วมากๆจนทำให้ซือเฟิงไม่สามารถจะหลบได้ทัน และเขาก็ไม่มีค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจเหลือมากพอที่จะใช้งานโฮลี่ดีวอร์แบบง่ายๆอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะใช้ดาบสองเล่มของเขารับการโจมตีจากกรงเล็บที่กำลังเข้ามา
ตู้ม !!
ร่างทั้งร่างของซือเฟิงจมลงไปกับพื้น พร้อมกับบังเกิดเสียงดังสนั่นทันที และในเวลาเดียวกันรอยแตกก็เกิดขึ้นบนโล่วอยของเขา
ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันมีโล่วอยคอยช่วยดูดซับความเสียหายที่ได้รับ !!! ไม่งั้นการโจมตีเมื่อครู่จะทำให้ HP ของฉันหายไปอย่างน้อยหนึ่งในห้าเลย !!! ซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะเฉลิมฉลองอยู่ภายในใจ เมื่อเขาเห็นรอยแตกบนโล่วอย
ด้วยความที่มังกรดำเด็กนั้นมีข้อได้เปรียบเพราะว่าที่นี่เป็นบ้านของมัน ดังนั้นแม้ว่าเขาจะใช้งานสกิลที่ช่วยปราบปรามมังกรและช่วยให้เขาแข็งแกร่งขึ้นได้เมื่อเผชิญหน้ากับมังกร แต่ความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายก็ยังคงมีอยู่มาก และมันมีเพียงแค่เฉพาะในกรณีที่เขาเปิดใช้งานสกิลเบอเซิกร์แล้วเท่านั้นเขาจึงจะมีโอกาสต่อสู้กับมังกรได้
อย่างไรก็ตามทันทีที่ซือเฟิงดึงตัวเองออกมาจากพื้นที่การโจมตีด้วยกรงเล็บของมังกรตัวหนึ่งได้ กรงเล็บของมังอีกตัวก็ตวัดลงมาหาเขาอย่างรวดเร็ว และสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือก่อนที่การโจมตีด้วยกรงเล็บอีกรอบจะมาถึง ระยะเวลาของโล่วอยของเขาก็สิ้นสุดลงแล้ว แถมโบนัสความเร็วในการเคลื่อนที่เขาได้รับจากโล่วอยมันก็หายไปด้วย เป็นผลให้เขาสามารถพึ่งพาได้แค่ความเร็วปกติของเขาเท่านั้นในการหลบการโจมตีจากกรงเล็บที่เข้ามาใกล้
“มนุษย์น่าโง่ !!! ตอนนี้คุณก็ได้สูญเสียไพ่ใบสุดท้ายของคุณไปแล้ว !!! และแม้ว่าคุณจะเปิดใช้งานมรดกได้แล้ว แต่คุณก็ยังจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ทั้งๆที่ยังมีชีวิตแน่นอน !!!” มังกรดำเด็กที่เป็นผู้นำกล่าว ขณะที่มันมองไปยังซือเฟิงอย่างเย้ยหยันด้วยดวงตาสีทองที่เปล่งประกายแวววาว ตอนนี้มันไม่ได้รีบร้อนที่จะโจมตีเขาเลย
แน่นอนว่ามันยังมากเกินไปสำหรับฉัน ….
ซือเฟิงไม่ได้พยายามจะหักล้างคำพูดเย้ยหยันของมังกรดำเด็ก แต่ตรงกันข้ามเขาเพียงมองไปยังมังกรดำเด็กทั้งสามอย่างเงียบๆเท่านั้น
ตามแผนเดิมของเขา หลังจากที่เขาเปิดใช้งานมรดกได้แล้ว เขาจะอาศัยมาตราการช่วยชีวิตทั้งหมดที่เขามีเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างตัวเขากับเหวลึกให้มากขึ้นเพื่อลดการปราบปรามของเหวลึก จากนั้นเขาก็จะพยายามเรียนรู้มรดกของเขาในระหว่างที่หลบหนี อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการดูดซับพลังจากเศษชิ้นส่วนมรดกมันจะต้องใช้เวลานานถึงขนาดนี้ ซึ่งเมื่อเขาดูดซับพลังจากเศษชิ้นส่วนมรดกได้เสร็จสิ้น เขาก็ได้ใช้สกิลเบอเซิกร์และสกิลช่วยชีวิตของเขาไปจนหมดแล้ว ในความเป็นจริงเขาก็ได้ผลักดันค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขาไปถึงขีดสุดได้แล้วด้วย ดังนั้นมันจึงจะไม่แปลกเลยถ้าตอนนี้เขาจะทรุดลงและหมดสติไป
ในขณะเดียวกัน แม้ว่าจะประสบความสำเร็จในการเปิดใช้งานมรดกขั้นสี่ แต่ในสถานะปัจจุบันของเขาการพยายามจะเรียนรู้มรดกขั้นสี่ ในตอนที่ต้องรับมือกับมังกรดำเด็กทั้งสามตัวไปด้วยนั้น มันก็เป็นได้แค่จินตนาการเท่านั้น
แถมนี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่ามรดกขั้นสี่ที่เขาต้องเรียนรู้นั้นคือมรดกของเบลดเซ้นต์ ซึ่งจัดว่าเป็นมรดกขั้นสูงสุด และมันจะต้องมีความซับซ้อนอย่างมากแน่นอน
เท่าที่เขารู้จากความรู้ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา ผู้เล่นจะต้องใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมงในการเรียนรู้หัวข้อใดหัวข้อหนึ่งที่มรดกขั้นสี่นำเสนอให้ และตราบเท่าที่ผู้เล่นเรียนรู้หัวข้อใดหัวหนึ่งนี้ได้ มันก็จะถือว่าผู้เล่นได้รับมรดกอย่างสมบูรณ์และทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ได้สำเร็จ
ขณะเดียวกันก็ต้องบอกตามตรงว่าในชีวิตที่ผ่านมาของเขา ซือเฟิงไม่เคยมาถึงตรงนี้ด้วยซ้ำในการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ ….
แถมหากให้คิดแบบภาพรวมในสถานการณ์ปัจจุบันที่เขาต้องเผชิญอยู่นั้นจะให้เขาเรียนรู้มรดกขั้นสี่ของเขาภายในหนึ่งชั่วโมงได้ยังไงกัน ?!
ขณะที่ซือเฟิงกำลังคิดและยิ้มอย่างขมขื่น เสียงแจ้งเตือนของระบบก็ได้ดังขึ้นมาที่หูของเขา
….
ระบบ : คุณได้เปิดใช้งานมรดกขั้นสี่ของคุณแล้ว คุณได้ปลดล๊อคหัวข้อในการเรียนรู้ทั้งสี่หัวข้อของมรดก คุณมีเวลาหนึ่งชั่วโมงในการเรียนรู้พวกมัน และตราบใดที่คุณเรียนรู้หนึ่งในนี่ได้สำเร็จ คุณก็จะได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นขั้นสี่
[ฟอร์มเลสเบลด] (ประเภทโจมตี)
ต้องการ : ดาบ
สกิลมรดกชั้นยอดขั้นสี่
เมื่อเปิดใช้งานจะโจมตีเป้าหมายใดๆที่อยู่ในรัศมีสามร้อยหลาสิบสามครั้ง โดยทุกการโจมตีจะมีค่า STR หนึ่งร้อยแปดสิบเปอเซ็นต์ของผู้ใช้ และสร้างความเสียหายเป็นความมืดสองร้อยสี่สิบเปอเซ็นต์
คูลดาวน์ : 15 วินาที
เงื่อนไขการเรียนรู้ : บรรลุอัตราความสำเร็จในการใช้สกิลที่เจ็ดสิบห้าเปอเซ็นต์
[Magic Light Assault] (ประเภทโจมตี)
ต้องการ : ดาบ
สกิลมรดกชั้นยอดขั้นสี่
เมื่อเปิดใช้งานผู้ใช้จะเปลี่ยนรูปแบบเป็นภาพดาบขนาดยักษ์ที่โจมตีเป้าหมายในรัศมีห้าร้อยหลา และเมื่อเปลี่ยนรูปแบบความเร็วในการเคลื่อนที่จะเพิ่มขึ้นสามร้อยเปอเซ็นต์ ค่า STR และ AGI จะเพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์
คูลดาวน์ : 18 วินาที
เงื่อนไขการเรียนรู้ : บรรลุอัตราความสำเร็จในการใช้สกิลที่เจ็ดสิบแปดเปอเซ็นต์
[เบลดการ์ด] (ประเภทป้องกัน)
ต้องการ : ดาบ
สกิลมรดกขั้นสูงสุดของขั้นสี่
ใช้พลังของดาบเพื่อสร้างกำแพงไร้รูปแบบที่ดูดซับความเสียหายจากการโจมตีทางกายภาพได้หนึ่งครั้ง
ระยะเวลา : 3 วินาที
คูลดาวน์ : 21 วินาที
เงื่อนไขการเรียนรู้ : บรรลุอัตราความสำเร็จในการใช้สกิลที่แปดสิบเปอเซ็นต์
[โดเมนดาบ] (ประเภทโดเมน)
ต้องการ : ดาบ
สกิลมรดกขั้นสูงสุดของขั้นสี่
ใส่มานาของตัวเองลงไปในดาบเพื่อสร้างโดเมนดาบที่ครอบคลุมรัศมีห้าร้อยหลา ซึ่งในขณะที่โดเมนดาบทำงาน ผู้ใช้จะสามารถควบคุมดาบเวทย์มนต์ได้สูงสุดที่เจ็ดเล่ม โดยดาบแต่ละเล่มจะมีค่า STR หนึ่งร้อยแปดสิบเปอเซ็นต์ของผู้ใช้ และสร้างความเสียหายเป็นความเสียหายศักสิทธิ์สามร้อยเปอเซ็นต์
ระยะเวลา : 5 นาที
คูลดาวน์ : 1 ชั่วโมง
เงื่อนไขการเรียนรู้ : บรรลุอัตราความสำเร็จในการใช้สกิลที่แปดสิบห้าเปอเซ็นต์
….
สกิลมรดกชั้นยอดสองสกิล และสกิลมรดกขั้นสูงสุดของขั้นสี่อีกสองสกิล ? นอกจากนี้หนึ่งในนี้ยังมีสกิลมรดกขั้นสูงสุดของขั้นสี่ที่เป็นประเภทโดเมนที่หายากมากๆ นี่คือผลที่ได้รับจากการมีอัตราความสำเร็จพลังของมรดกหนึ่งร้อยสองเปอเซ็นต์งั้นหรอ ? ซือเฟิงนั้นแทบไม่เชื่อสายตาของเขาเอง เมื่อเขาได้อ่านเนื้อหาจากการแจ้งเตือนของระบบ
ใน God domain สกิลมรดกชั้นยอดส่วนใหญ่จะปรากฎขึ้นก็หลังจากที่ผู้เล่นมีอัตราความสำเร็จพลังของมรดกหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์เท่านั้น สำหรับสกิลมรดกขั้นสูงสุดของขั้นสี่มันจะปรากฎขึ้นแค่บางครั้งเท่านั้นให้กับผู้ที่มีมรดกขั้นสูงสุด และสำหรับผู้เล่นส่วนใหญ่สกิลมรดกขั้นสูงสุดของขั้นสี่ก็คล้ายกับตำนาน
เพราะท้ายที่สุดการเรียนรู้สกิลมรดกขั้นสูงสุดของขั้นสี่ได้สักหนึ่งสกิล มันก็จะทำให้ผู้เล่นมีความแข็งแกร่งในการต่อสู้กับมอนสเตอร์ระดับผู้อาวุโสเทพนิยายในเลเวลเดียวกันแล้ว
โดยมันแตกต่างจากสกิลขั้นสามทั่วไป และสกิลมรดกขั้นสามที่ต้องอาศัยมานาในการเปิดใช้งาน สกิลมรดกขั้นสี่นั้นสามารถจะใช้พลังของมรดกได้ และด้วยการใช้พลังของมรดกเพื่อเปิดใช้งานสกิลมรดกขั้นสี่นั้น มันก็จะทำให้ผู้เล่นสามารถใส่มานาลงไปในสกิลของตนได้อย่างต่อเนื่องจนเกินความต้องการขั้นต่ำเพื่อที่จะเพิ่มพลังของสกิลมรดก และเมื่อใช้งานหนึ่งในสกิลมรดกชั้นยอดขั้นสี่ด้วยพลังสูงสุด สำหรับผู้เล่นที่สวมใส่อาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคครบเซ็ทนั้น พวกเขาจะสามารถต่อกรกับมอนสเตอร์ระดับผู้อาวุโสเทพนิยาย ในเลเวลเดียวกันได้เลย
นอกจากนี้มันยังเป็นเพราะการมีอยู่ของสกิลมรดกชั้นยอดขั้นสี่ที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดหลายคนเลือกจะไม่ทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ให้เสร็จ แม้ว่าจะมีความสามารถในการทำเช่นนั้นก็ตาม
สำหรับผู้เชี่ยวชาญขั้นสามส่วนใหญ่ เพียงแค่ไปถึงขั้นสี่ได้ก็จัดว่าเป็นความฝันแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการพยายามเรียนรู้สกิลมรดกชั้นยอดขั้นสี่อื่นๆ
อย่างไรก็ตามตอนนี้ซือเฟิงกับมีตัวเลือกให้เลือกมากมาย โดยมีทั้งสกิลมรดกชั้นยอดขั้นสี่สองสกิล และสกิลมรดกขั้นสูงสุดของขั้นสี่สองสกิล
และนี่มันก็ทำให้ใบหน้าของซือเฟิงมืดมนลงเล็กน้อย เพราะท้ายที่สุดแล้วในบรรดาทั้งสี่สกิลนี้ สกิลที่เขาสนใจและอยากจะเรียนรู้ให้ได้นั้นก็คือโดเมนดาบ ซึ่งต้องการอัตราความสำเร็จในการใช้สกิลที่แปดสิบห้าเปอเซ็นต์เป็นอย่างน้อยในการจะเรียนรู้ให้สำเร็จ โดยนี่มันเท่ากับขอให้เขาแสดงพลังของโดเมนดาบออกมาให้ได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์เลย สำหรับสกิลมรดกอื่นๆแม้ว่ามันจะเรียนรู้ได้ยากน้อยกว่านี้ แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังจัดว่าเรียนรู้ยากกว่าปกติอยู่ดี แถมพูดกันตรงๆ มันก็ยังไม่ได้มีประโยชน์เท่าโดเมนดาบด้วย
โดยปกติเมื่อทำการใช้งานสกิลและเวทย์ขั้นสี่ครั้งแรก ผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่จะสามารถบรรลุอัตราความสำเร็จได้ที่เจ็ดสิบเปอเซ็นต์หรือมากกว่านั้นนิดหน่อยเท่านั้น และแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดขั้นสี่ก็ยังต้องใช้เวลาฝึกนานมากๆก่อนที่จะสามารถบรรอัตราความสำเร็จในการใช้สกิลหรือเวทย์ที่แปดสิบห้าเปอเซ็นต์ได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วสกิลและเวทย์ขั้นสี่นั้นมีความซับซ้อนกว่าขั้นสามมาก
ในระหว่างที่ซือเฟิงกำลังคิดและประเมินความเสี่ยงทั้งหมดนั้น มังกรดำเด็กทั้งสามตัวก็บินโฉบลงมาที่เขา
“ตายซะมนุษย์ !!!”
มังกรดำเด็กทั้งสามตัวปรากฎตัวขึ้นรอบตัวซือเฟิงแทบจะพร้อมกัน และพวกมันก็ตวัดกรงเล็บขนาดใหญ่ของพวกมันเข้าใส่ซือเฟิงพร้อมกันแบบที่ไม่เปิดที่ว่างให้ซือเฟิงได้หลบเลย
แม่งเอ้ย !!! เอาก็เอาวะ !!! มาดูกันว่าฉันจะได้สกิลที่แข็งแกร่งที่สุดไปหรือไม่ได้อะไรเลย !!!
เนื่องจากเห็นว่าไม่มีทางหลบกรงเล็บที่กำลังโจมตีเข้ามานี้แล้ว ซือเฟิงจึงได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะเลือกสกิลโดเมนดาบซึ่งเป็นสกิลที่แข็งแกร่งที่สุดที่มรดกของเขามีให้เลือก
โดเมนดาบ !!!
ตอนที่ 2693 ความเป็นไปได้ของโดเมนดาบ
ระหว่างที่กรงเล็บขนาดใหญ่ของมังกรทั้งสามตัวกำลังจะโจมตีโดนซือเฟิง ข้อความและรูปภาพจำนวนมากก็ไหลทะลักเข้ามาในหัวของเขา โดยข้อความและรูปภาพเหล่านี้นั้นก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากคำแนะนำในการใช้โดเมนดาบ
ซึ่งทันทีที่ข้อความและรูปภาพเหล่านี้ไหลทะลักเข้ามาในหัวของเขา มันก็ปรากฎขึ้นระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นจาก Abyssal Blade ที่แผ่กระจายไปปกคลุมรัศมีห้าร้อยหลาโดยรอบในพริบตา
ตู้ม … ตู้ม … ตู้ม …
ครู่หนึ่งหลังจากที่ระลอกคลื่นปรากฎขึ้น คลื่นกระแทกที่น่ากลัวก็ได้เขย่าบริเวณโดยรอบที่ซือเฟิงยืนอยู่ โดยมันก็มีพลังมากซะจนทำให้เศษชิ้นรูปปั้น (เศษชิ้นส่วนมรดกที่ซือเฟิงดูดซับนั่นแหละ) ปลิวกระเด็นกลับลงไปในเหวลึกเลย
เมื่อมังกรดำเด็กทั้งสามตัวที่ลอยอยู่เหนือซือเฟิงเห็นสิ่งนี้ ดวงตาของพวกมันก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อพวกมันจ้องมองไปยังมนุษย์ที่เห็นได้ชัดว่าอยู่ใกล้ประตูแห่งความตายแล้ว
นี่คือสกิลมรดกขั้นสูงสุดของขั้นสี่ที่เป็นโดเมนงั้นหรอ ?
ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเขามองไปยังกรงเล็บขนาดใหญ่ทั้งสามที่อยู่ห่างจากเขาเพียงหนึ่งหลาเท่านั้น
ปัจจุบันกรงเล็บขนาดใหญ่ทั้งสามถูกป้องกันไว้ด้วยดาบเวทย์มนต์ที่มีความยาวสี่เมตร และมันไม่สามารถที่จะเคลื่อนที่เข้ามาต่อไปได้แม้แต่นิ้วเดียว
….
ระบบ : เปิดใช้งานโดเมนดาบเรียบร้อยแล้ว อัตราความสำเร็จของสกิลอยู่ที่หกสิบห้าเปอเซ็นต์ ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขการเรียนรู้ คุณสามารถจะใช้งานโดเมนดาบได้อีกครั้งในสามสิบวินาที
….
หกสิบห้าเปอเซ็นต์ ?! ดูเหมือนว่าฉันจะตัดสินใจได้ถูกต้อง !! ซือเฟิงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อเขาได้เห็นการแจ้งเตือนของระบบ
ความจริงเขาไม่มีความมั่นใจในการจะเรียนรู้สกิลขั้นสี่เลย เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาไม่เคยมาถึงตรงนี้และได้เรียนรู้มันมาก่อนเลย ซึ่งนี่ก็ไม่ต้องพูดถึงสกิลมรดกขั้นสูงสุดของขั้นสี่ที่เปิดใช้งานได้ยากมาก โดยในตอนนี้มันต้องนับว่าเขาโชคดีจริงๆเปิดใช้งานสกิลมรดกขั้นสูงสุดของขั้นสี่ได้ในการลองครั้งแรก
ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา ในตอนที่เขาพยายามจะเรียนรู้และใช้สกิลมรดกขั้นสูงของขั้นสี่ เขาต้องใช้เวลามากกว่าสิบนาทีเลยในการจะเปิดใช้งานมันให้สำเร็จหนึ่งครั้ง และถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมนแล้ว แต่เขาก็ยังไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะสามารถเรียนรู้สกิลมรดกชั้นยอดขั้นสี่ หรือสกิลมรดกขั้นสูงสุดของขั้นสี่ให้ได้สำเร็จตามเงื่อนไขได้ภายในหนึ่งชั่วโมง
ในขณะเดียวกันเพื่อแก้ไขสถานการณ์ปัจจุบันของเขา เขาไม่สามารถจะพึ่งพาสกิลที่ให้เฉพาะความสามารถในการโจมตีหรือป้องกันแก่เขาได้ และสกิลที่เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ให้เขาชั่วคราวก็จะไม่ส่งผลดีต่อเขามากนักเช่นกัน ซึ่งหากเขาต้องการจะรอดออกไปจากที่นี่ให้ได้ทางเลือกเดียวของเขาก็คือการเรียนรู้สกิลโดเมนที่สามารถใช้ทั้งโจมตีและป้องกันให้ได้ในเวลาเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นสกิลโดเมน มันก็ยังมีประโยชน์มากในการต่อสู้แบบกลุ่ม
นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้วที่เขาเลือกจะเรียนรู้สกิลโดเมนดาบ ซึ่งน่าจะเป็นสกิลที่ยากที่สุดในการจะเรียนรู้ได้จากทั้งสี่สกิลนั่นก็เป็นเพราะเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับมานา
ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของเขากับมานานั้นมีค่อนข้างต่ำมากๆ และการควบคุมมานาของเขาก็ไม่ได้จัดว่าดีเป็นพิเศษเช่นกัน อย่างไรก็ตามหลังจากที่วิญญาณของเขาถูกอัพเกรดจนแข็งแกร่งขึ้นด้วยวงเวย์วิญญาณ ความสัมพันธ์และการควบคุมมานาของเขาก็พุ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดใหม่
ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้เลือกจะเรียนรู้โดเมนดาบ
ซึ่งจากสถานการณ์ปัจจุบัน มันก็ดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจได้ถูกต้อง
เขาไม่เพียงแต่จะประสบความสำเร็จในการเปิดใช้งานโดเมนดาบในความพยายามครั้งแรกของเขา แต่เขายังประสบความสำเร็จโดยมีอัตราความสำเร็จที่หกสิบห้าเปอเซ็นต์ด้วย นอกจากนี้เขาก็ยังรู้สึกว่าเขาสามารถปรับปรุงได้อีกมาก
ตามประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขาในการเรียนรู้สกิล หากเขาสามารถเปิดใช้งานสกิลในการลองครั้งแรกได้โดยมีอัตราความสำเร็จที่หกสิบห้าเปอเซ็นต์ เขาก็ควรจะสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จของสกิลเขาเป็นแปดสิบเปอเซ็นต์หรือมากกว่านั้นได้ภายในหนึ่งชั่วโมง
“มนุษย์ อย่าพึ่งเฉลิมฉลองเลย !!! แม้ว่าสกิลโดเมนขั้นสี่จะทรงพลังอย่างแท้จริง แต่หากไม่มีร่างกายขั้นสี่ คุณก็จะไม่สามารถแสดงพลังที่แท้จริงของมันออกมาได้เลย !!!” มังกรดำเด็กที่เป็นผู้นำกล่าวพลางหัวเราะ เมื่อเห็นว่าซือเฟิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา
หลังจากพูดจบมังกรดำเด็กตัวนี้ก็ตวัดหางเข้าใส่ซือเฟิง และมันก็สามารถทำลายดาบเวทย์มนต์ที่หยุดการโจมตีจากกรงเล็บเมื่อครู่ได้ในทันที
เมื่อมังกรดำเด็กอีกสองตัวเห็นฉากนี้ พวกมันก็ลอกเลียนแบบการกระทำของผู้นำพวกมันทันที โดยใช้หางโจมตีเข้าใส่ซือเฟิง ซึ่งสถานการณ์นี้ก็บังคับให้ซือเฟิงต้องสร้างดาบเวทย์มนต์ขึ้นมาใหม่เพื่อป้องกันการตวัดหางเหล่านี้
ในช่วงเวลาหนึ่งดาบเวทย์มนต์ได้ถูกสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่องและแตกสลายไปรอบๆซือเฟิง อย่างไรก็ตามเมื่อฝืนสร้างดาบเวทย์มนต์ทั้งๆแบบนี้มันก็จำเป็นจะต้องใช้มานา ซึ่งหลังจากผ่านไปยี่สิบวินาทีของกระบวนการนี้ ซือเฟิงก็ได้สูญเสียมานาไปแล้วสิบเปอเซ็นต์ โดยในอัตรานี้มานาของเขาจะหมดลงในอีกสามนาที และไม่สามารถใช้โดเมนดาบได้อีกต่อไป
“มนุษย์ จงตายไปซะเถอะ !!! ตราบใดที่พวกเรายังอยู่ที่นี่จะไม่มีมนุษย์คนใดได้รับมรดกโบราณจากที่นี่ไป !!!” มังกรดำเด็กที่เป็นผู้นำตะโกนออกมา เมื่อเห็นซือเฟิงหน้าซีดลงไปเรื่อยๆ
ในเวลานี้ซือเฟิงก็รู้สึกว่าเขาควบคุมมานาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนที่มีมานาจำนวนมากนั้น การพยายามจะปั้นมานาให้เป็นรูปร่างออกมาเพื่อใช้งานนั้นมันก็ทำได้ง่าย ในทางกลับกันเมื่อมานาของซือเฟิงลดงเรื่อยๆความยากในการจะปั้นมานาให้รูปร่างก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งจากการประเมินของซือเฟิงนั้น หากมานาของเขาเหลือต่ำกว่าสามสิบเปอเซ็นต์เมื่อไหร่ โดเมนดาบของเขาก็ไม่น่าจะแข็งแกร่งเท่าตอนที่เขาใช้ครั้งแรกแล้ว
“ตายไปซะ !!!”
เมื่อมังกรดำเด็กเห็นซือเฟิงสูญเสียมานาไปแล้วยี่สิบเปอเซ็นต์ พวกมันก็จัดการใช้สกิลมังกรขั้นสาม Darkness Smash ทันที ซึ่งเมื่อรวมสกิลเข้ากับหางของพวกมัน พลังที่พวกมันจะแสดงออกมาได้ก็สามารถจะไปถึงมาตราฐานขั้นกลางของขั้นสี่ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งมันไม่ใช่การโจมตีที่ดาบเวทย์มนต์ทั่วไปจะสามารถหยุดได้เลย
“อย่าคิดว่าจะฆ่าฉันได้ง่ายๆ !!!”
หลังจากเห็นว่าเวลาผ่านไปสามสิบวินาทีแล้ว ซือเฟิงก็เปิดใช้งานโดเมนดาบเพื่อทำการเรียนรู้อีกครั้ง
คราวนี้เขานั้นระมัดระวังมากขึ้นเมื่อเปิดใช้งานโดเมนดาบ และเขาก็ใช้มานาอัดเข้าไปใน Abyssal Blade ไม่มากนักในรอบนี้เพื่อเปิดใช้งานโดเมนดาบ
ตู้ม !!
ในช่วงเวลาต่อมาปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นบนพื้นด้านล่างของซือเฟิง และในเวลาเดียวกันมังกรดำเด็กทั้งสามก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ซือเฟิงได้ป้องกันการโจมตีของพวกมันได้อีกครั้ง !!!
“ทำไมเขาถึงปรับปรุงได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้กัน ?!”
เมื่อมังกรดำเด็กทั้งสามตัวเห็นดาบเวทย์มนต์ที่ก่อตัวขึ้นตรงหน้าของซือเฟิง พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังซือเฟิงอย่างระมัดระวังมากขึ้น
….
ระบบ : เปิดใช้งานโดเมนดาบเรียบร้อยแล้ว อัตราความสำเร็จของสกิลอยู่ที่เจ็ดสิบห้าเปอเซ็นต์ ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขการเรียนรู้ คุณสามารถจะใช้งานโดเมนดาบได้อีกครั้งในสามสิบวินาที
….
สิ่งที่มังกรเด็กทั้งสามตัวไม่รู้ก็คือ เมื่อพวกมันบังคับให้ซือเฟิงต้องสร้างดาบเวทย์มนต์เพิ่มขึ้น และทำให้มานาของซือเฟิงหมดลงไปเรื่อยๆ มันก็เป็นการที่พวกมันไปช่วยให้ซือเฟิงคุ้นเคยกับกระบวนการสร้างดาบเวทย์มนต์ของโดเมนดาบ ด้วยเหตุนี้ซือเฟิงจึงมีความเชี่ยวชาญขึ้นอย่างมากในการจัดการกับมานาเพื่อใช้สกิลโดเมน และเมื่อเป็นแบบนี้เขาจึงสามารถเปิดใช้งานสกิลโดเมนในครั้งที่สองได้ด้วยอัตราความสำเร็จที่มากขึ้น
มันเป็นแบบนี้นี่เอง การเปิดใช้งานสกิลและเวทย์ขั้นสี่ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่เทคนิคของผู้เล่นอีกต่อไป แต่มันต้องอาศัยการผสมผสานของการควบคุมมานาและเทคนิค ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฉันมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการเรียนรู้สกิลมรดกขั้นสี่ในชีวิตที่ผ่านมา เมื่อซือเฟิงเห็นว่าพลังของโดเมนดาบเพิ่มขึ้นอย่างมาก เขาก็เริ่มรับรู้อะไรหลายๆสิ่งได้ในทันที
หลังจากคิดมาถึงจุดนี้แล้วซือเฟิงก็เริ่มจะใช้มานาน้อยลงในการสร้างดาบเวทย์มนต์ขึ้นมา ซึ่งนี่มันก็ช่วยลดความผันผวนของมานาในระหว่างกระบวนการลงไปได้มาก และมันก็น่าจะทำให้เขาสามารถสร้างดาบเวทย์มนต์ที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้
หลังจากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ทุกๆครั้งที่ซือเฟิงใช้โดเมนดาบ อัตราความสำเร็จในการใช้สกิลนี้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
77%… 79%… 81%…
เมื่อโดเมนดาบของซือเฟิงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มังกรดำเด็กทั้งสามก็เริ่มเต็มไปด้วยความไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนแรกพวกมันนั้นเหนือกว่าซือเฟิงอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามตอนนี้เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆซือเฟิงก็เริ่มขึ้นมาทัดเทียมกับพวกมัน และในท้ายที่สุดตอนนี้ซือเฟิงก็สามารถสร้างดาบเวทย์มนต์ได้หกเล่มซึ่งช่วยเบี่ยงเบนการโจมตีแทบทั้งหมดของพวกมันออกไปได้
หลังจากผ่านไปห้าสิบนาที ….
….
ระบบ : เปิดใช้งานโดเมนดาบเรียบร้อยแล้ว อัตราความสำเร็จของสกิลอยู่ที่แปดสิบห้าเปอเซ็นต์ ตรงตามเงื่อนไขการเรียนรู้ คุณต้องการจะเลื่อนขั้นขึ้นเป็นเบลดเซ้นต์ขั้นสี่ และใช้โดเมนดาบเป็นแกนหลักสำหรับร่างมานาของคุณหรือไม่ ?
….
“ต้องการ !!!”
ตอนที่ 2694 จักรพรรดิดาบในที่สุด
ทันทีที่ซือเฟิงเลือกจะดำเนินการเลื่อนขั้น เขาก็รู้สึกราวกับว่าประตูที่ซ่อนอยู่ในร่างมานาของเขาเปิดออก และภายในประตูนั้นมันก็มีคลังมานาจำนวนมหาศาล ซึ่งการเปิดประตูนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มจำนวนมานาทั้งหมดที่เขาสามารถใช้ได้ขึ้นในอัตราที่สูงมาก แต่แม้กระทั่งมานาส่วนเกินที่เขาแผ่ออกมาจากร่างกายของเขา มันก็ยังได้รับการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ
ถ้ามานาที่เขาแผ่ออกมาก่อนหน้านี้อยู่ในสถานะก๊าซ ดังนั้นมานาที่เขาแผ่ออกมาในตอนนี้มันก็จะอยู่ในสถานะของเหลว ความหนาแน่นและความบริสุทธิ์ของมานาของเขาอยู่ในระดับที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมานาที่หนาแน่นภายในคลังนี้กระจายไปทั่วร่างของเขา ค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของซือเฟิงที่กำลังค่อยๆหมดลงไปนั้นก็กลับมาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ตอนนี้ซือเฟิงสามารถที่จะสร้างดาบเวทย์มนต์ออกมาได้หกเล่มโดยใช้ความพยายามเพียงแค่เล็กน้อยหรือไม่ต้องใช้เลย และมานาที่เข้ามาประกอบกันเป็นดาบเวทย์มนต์เหล่านี้นั้นมันก็หนาแน่นมากจนทำให้ดาบดูราวกับเป็นโลหะแข็ง
ในช่วงเวลาต่อมาซือเฟิงก็ได้ควบคุมให้ดาบเวทย์มนต์เหล่านี้พุ่งเข้าแทงมังกรดำเด็กทันที ซึ่งดาบนั้นข้ามระยะสิบหลาได้ทันทีและทำให้มังกรดำเด็กนั้นไม่มีเวลาที่จะหลบเลย โดยดาบเวทย์มนต์ได้แทงทะลุเกล็ดแข็งของมังกรเด็ก และทิ้งร่องรอยบาดแผลลึกบนร่างกายของมันไว้ ซึ่งนี่ก็ทำให้มังกรดำเด็กร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
สำหรับมังกรดำเด็กอีกสองตัว แม้ว่าซือเฟิงจะส่งดาบเวทย์มนต์ส่วนหนึ่งไปโจมตีพวกมันด้วย แต่เนื่องจากทั้งสองตัวอยู่ไกลเกินไป ทั้งสองตัวจึงสามารถตอบสนองต่อการโจมตีของเขาได้ทันเวลาและปกป้องตัวเองไว้ได้ด้วยกรงเล็บ แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อกรงเล็บของพวกมันปะทะเข้ากับดาบเวทย์มนต์ มังกรดำเด็กทั้งสองก็ยังถูกบังคับให้ต้องถอยไปมากกว่าสิบหลา และผลกระทบจากการปะทะกันครั้งนี้ก็ทำให้กรงเล็บของพวกมันสั่น และตอนนี้ในภาพรวมมันก็เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอีกต่อไป
นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของอาชีพในขั้นสี่งั้นหรอ ?!
ซือเฟิงนั้นรู้สึกตกตะลึงและตื่นเต้นมากๆ เมื่อเห็นว่าดาบเวทย์มนต์ของเขาสามารถที่จะทำร้าย และบังคับให้มังกรดำเด็กต้องถอยออกไปได้
….
ระบบ : ยินดีด้วย !! คุณได้กลายเป็นเบลดเซ้นต์ขั้นสี่ (จักรพรรดิดาบ) และคุณก็ได้เปิดใช้งานแกนหลักของมรดกขั้นสูงสุด ค่าสถานะพื้นฐานทั้งหมด + 2,000 ค่าความต้านทานทั้งหมด +150 อัตราการฟื้นฟูมานาเพิ่มขึ้น 100 เปอเซ็นต์ ค่าสถานะพื้นฐานทั้งหมดเพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ และร่างกายทางกายภาพมีความแข็งแกร่งมากขึ้นหนึ่งร้อยห้าสิบเปอเซ็นต์ ขณะที่การโจมตีทางกายภาพและเวทย์มนต์ที่ต่ำกว่าขั้นสี่ทั้งหมดที่โจมตีเข้ามาก็จะมีผลลดลงสามสิบเปอเซ็นต์ รางวัล : คะแนนสกิลมรดก หนึ่งร้อยแต้ม
….
ในแง่ของค่าสถานะขั้นพื้นฐาน เขาได้มาถึงขอบเขตที่ผู้เล่นขั้นสามสามารถมองดูได้ด้วยความสิ้นหวังเท่านั้น นี่ยังไม่ต้องพูดถึงร่างกายทางกายภาพของเขาและด้านอื่นๆอีก หากผู้เล่นขั้นสามไม่มีอาวุธและอุปกรณ์ที่พิเศษมากๆ พวกเขาจะเป็นได้เพียงมดปลวกเท่านั้นต่อหน้าผู้เล่นขั้นสี่
นอกจากนี้มันก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ในเรื่องคุณภาพของมานาของเขาด้วย เขาเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เมื่อเทียบกับตอนที่เขายังอยู่ในขั้นสาม
ใน God domain มานานั้นนับเป็นรากฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด และหากไม่มีมานามันก็จะไม่มีชีวิต ซึ่งจากการได้ต่อสู้กับมังกรดำเด็กสามตัว ซือเฟิงก็เข้าใจดีแล้วว่ามานาของผู้เล่นจะส่งผลต่อความแรงของสกิลและเวทย์ที่พวกเขาใช้มากแค่ไหน
ตอนนี้มานาของเขานั้นแทบจะเรียกว่าเป็นของเหลวได้เลย และแม้ว่าเขาจะมีค่าสถานะพื้นฐาน กับมาตราฐานการต่อสู้รวมทั้งร่างกายทางกายภาพเท่ากับผู้เล่นขั้นสาม แต่ผู้เล่นขั้นสามก็จะยังคงไม่สามารถเคลื่อนไหวต่อต้านเขาได้เกินสองถึงสามการเคลื่อนไหว เพราะท้ายที่สุดแล้วพลังของสกิลและเวทย์ที่ทั้งสองฝ่ายใช้นั้น มันอยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตามตอนนี้แม้ว่าซือเฟิงจะบังคับให้มังกรดำเด็กทั้งสามตัวต้องถอยไปได้สำเร็จ แต่เขาก็ไม่ได้กล้าที่จะยืนอยู่เฉยๆ เขาได้เริ่มจัดการมานาของเขาและทำการสร้างโดเมนมานาของเขาทันที จากนั้นเขาก็บินขึ้นและออกไปจากเหวลึก เขาไม่มีความตั้งใจที่จะปะทะกับมังกรดำเด็กทั้งสามตัวจนตายกันไปข้างเลย
ตอนนี้เขาอาจจะมาถึงขั้นสี่แล้ว และได้รับความแข็งแกร่งในการที่จะปราบปรามมังกรดำเด็กทั้งสามตัวมา แต่นั่นมันก็คือแค่นั้นจริงๆ การจะฆ่ามังกรดำเด็กทั้งสามตัวให้ได้ยังคงเป็นไปไม่ได้สำหรับเขา เพราะท้ายที่สุดเมื่อเขาได้รับการเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่แล้ว เขาไม่สามารถจะทำการใช้โดเมนดาบได้รัวๆแบบก่อนหน้านี้ และเมื่อระยะเวลาของโดเมนดาบสิ้นสุดลง เขาก็จะถูกบังคับให้ต้องใช้ร่างกายตัวเองเข้าปะทะกับมังกรดำเด็ก และด้วยค่าสตามิน่าและค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจที่มีอยู่อย่างจำกัด เขาก็จะตายลงก่อนที่จะฆ่ามังกรดำเด็กทั้งสามตัวได้แน่นอน
ตอนนี้เมื่อเขาบรรลุเป้าหมายแล้ว เขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องต่อสู้กับมังกรดำเด็กทั้งสามตัวอีกต่อไป และยิ่งเขาออกจากสถานที่ที่อันตรายแห่งนี้ได้เร็วเท่าไหร่ มันก็ยิ่งดี
โชคดีที่ตราบใดที่ผู้เล่นมาถึงขั้นสี่ใน God domain และสามารถสร้างโดเมนมานาให้เป็นพาสซีฟติดตัวได้ พวกเขาก็จะสามารถบินได้โดยใช้มานาของตัวเองและไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือภายนอกอีกต่อไป
“มนุษย์ที่น่ารังเกียจ อย่าคิดว่าจะจากไปได้ !!!”
มังกรดำเด็กทั้งสามตัวสามารถเดาความคิดของซือเฟิงออกได้อย่างรวดเร็ว และพวกมันก็อ้าปากพลางจัดการใช้ลมหายใจมังกรใส่ซือเฟิงอย่างไม่ลังเล
ในช่วงเวลาต่อมาลำแสงสีดำที่ถูกพ่นออกมาจากปากของมังกรทั้งสามก็มาหลอมรวมกันเป็นหนึ่งลำแสง และพุ่งเข้าใส่ซือเฟิงอย่างรวดเร็ว ซึ่งในระหว่างที่การโจมตีนี้พุ่งเข้าหาซือเฟิงนั้น มันก็ได้เปลี่ยนทุกอย่างที่ขวางหน้าให้กลายเป็นความว่างเปล่า ซึ่งระยะการโจมตีแบบ AOE ของลำแสงนี้ มันก็ทำให้การหลบหนีให้ได้ทันเวลานั้นเป็นไปไม่ได้เลย
“มา !!”
อย่างไรก็ตามแม้จะเห็นดังนี้ แต่ซือเฟิงก็ไม่ได้แสดงความหวาดกลัวใดๆออกมา ในทางตรงกันข้ามตอนนี้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และคาดหวังด้วยซ้ำ
เขาพึ่งได้รับการเลื่อนขั้นเป็นจักรพรรดิดาบ และยังไม่คุ้นเคยกับความแข็งแกร่งใหม่ของเขา และในตอนที่เขาควบคุมดาบเวทย์มนต์จากสกิลโดเมนดาบ เขาก็ได้ใช้แค่รูปแบบการโจมตีพื้นฐานเท่านั้นโจมตี
มันทำให้ตอนนี้เขากระตือรือร้นอย่างยิ่งที่จะได้เห็นว่าตัวเองแข็งแกร่งแค่ไหน หลังจากที่มาถึงขั้นสี่แล้ว และในขณะเดียวกันลมหายใจของมังกรทั้งสามที่มาหลอมรวมกันก็จัดเป็นเป้าหมายที่สมบูรณ์แบบในการทดสอบความแข็งแกร่งของเขา
ในช่วงเวลาต่อมา ซือเฟิงก็เริ่มใช้เทคนิคการต่อสู้ป้องกันของเขาอย่างวงโคจรดาบ โดยใช้ดาบเวทย์มนต์จากสกิลโดเมนนั้นมาสร้างทรงกลมป้องกันที่ครอบคลุมรัศมีสามสิบหลารอบตัวเขา
ตู้ม !!!
เมื่อลำแสงขนาดใหญ่สัมผัสกับวงโคจรดาบนี้ของซือเฟิง พื้นที่รอบๆของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นว่างเปล่าราวกับวันสิ้นโลกได้มาถึงแล้ว และหากผู้เล่นคนอื่นได้เห็นฉากนี้ พวกเขาก็จะต้องเต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างแน่นอน
ในขณะที่มองดูพื้นที่ว่างเปล่าที่ก่อตัวขึ้นเหนือพวกมัน มังกรดำเด็กทั้งสามก็เผยให้เห็นรอยยิ้มออกมา
การโจมตีที่พวกมันพึ่งใช้เมื่อครู่นั้นนับเป็นสกิลหลอมรวม และเป็นการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งที่สุดที่พวกมันมี และแม้ว่าซือเฟิงจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่แล้ว แต่ถ้าเขารับการโจมตีโดยไม่ได้ใช้สกิลอมตะ เขาก็น่าจะยังคงได้รับบาดเจ็บสาหัส
อย่างไรก็ตามเมื่อพื้นที่ว่างเปล่าเริ่มกลับคืนสู่สภาพเดิม รอยยิ้มบนใบหน้าของมังกรดำเด็กทั้งสามตัวก็หายไป และมันแปรเปลี่ยนเป็นความตกตะลึงแทน เพราะท้ายที่สุดแล้วในตอนนี้นับประสาอะไรกับการที่ซือเฟิงจะบาดเจ็บ แม้แต่อุปกรณ์ของเขาก็ยังไม่มีรอยขีดข่วนด้วยซ้ำ โดยมันราวกับว่าการโจมตีด้วยสกิลหลอมรวมของพวกมันนั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าสายลมอ่อนๆสำหรับซือเฟิงเลย
แม้แต่เทคนิคการต่อสู้ขั้นสูงก็ยังได้รับการเสริมความแข็งแกร่งมากขนาดนี้เลยงั้นหรอ ?! ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจมากๆ เมื่อเห็นสิ่งที่เขาสามารถทำได้
แม้ว่าเขาจะคิดไว้แล้วว่าวงโคจรดาบจะสามารถใช้หยุดการโจมตีหลอมรวมของมังกรดำเด็กทั้งสามตัวได้แน่นอน แต่เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะสามารถใช้หยุดการโจมตีของพวกมันได้ง่ายขนาดนี้
ก่อนหน้านี้เขาได้ใช้วงโคจรดาบเหมือนปกติแบบเห็นได้ชัด แต่มันก็เหมือนกับว่าเทคนิคนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นวงเวทย์ เพราะในขณะที่เขาใช้วงโคจรดาบ มานาโดยรอบได้มารวมตัวกันรอบเขา และเสริมสร้างพลังของเทคนิคของเขาจนมาถึงจุดที่เทียบเท่ากับสกิลป้องกันขั้นสี่
และเมื่อได้เห็นพลังของวงโคจรดาบแบบนี้ ซือเฟิงก็เริ่มคิดแล้วว่า ถ้าไม่ใช่เพราะระยะเวลาของโดเมนดาบมีจำกัด เขาอาจจะมีโอกาสฆ่ามังกรดำเด็กทั้งสามตัวได้เลย
ในขณะเดียวกันเมื่อเห็นว่าระยะเวลาของโดเมนดาบกำลังจะหมดลง ซือเฟิงก็ได้รีบควบคุมมานาของเขาเพื่อบินไปที่กระแสน้ำวนที่มืดมิดบนท้องฟ้าเหนือเหวลึก ก่อนที่จะหายตัวออกไปจากดินแดนมรดก ทิ้งมังกรดำเด็กทั้งสามที่ยังคงตกตะลึงไว้เบื้องหลัง
ตอนที่ 2695 การเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันใน God domain
“แม่งเอ้ย !!! ผู้ที่ได้รับพรจากสวรรค์นั่นหนีไปได้แล้ว !!!”
“เราจบสิ้นแล้ว !!! เราจะทำยังไงกันดี ? เราจะอธิบายเรื่องนี้กับท่านผู้ยิ่งใหญ่ได้ยังไงกัน ?”
ความโกรธและความตื่นตระหนกเข้าปกคลุมไปทั่วตัวของมังกรดำเด็กทั้งหมด ขณะที่พวกมันเฝ้าดูซือเฟิงออกจากดินแดนนี้ไปผ่านกระแสน้ำวนที่มืดมิด ตอนนี้พวกมันทั้งหมดเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ทำอะไรไม่ถูกจริงๆ แถมเสียงของพวกมันยังสั่นด้วยเวลาที่พูด
“แผนเดิมของเราพังไปแล้ว ตอนนี้มรดกได้ถูกขโมยไปแล้ว ท่านผู้ยิ่งใหญ่จะผิดหวังแน่นอนเมื่อเขาได้รู้เรื่องนี้ ณ จุดนี้สิ่งที่เราทำได้คือกระจัดกระจายและหนีกันไป ไม่งั้นพวกเราไม่รอดแน่”
“นั่นคือทางเลือกเดียวของเราในตอนนี้จริงๆ หวังว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่จะมุ่งเน้นความโกรธและความผิดหวังของเขาไปที่ไอ้ผู้ได้รับพรจากสวรรค์นั่น เพราะถ้าเป็นแบบนั้นโอกาสในอยู่รอดของเราก็อาจจะมากขึ้นเล็กน้อย !!!”
หลังจากที่มังกรดำเด็กที่เป็นผู้นำพูดขึ้น ทั้งสามก็พูดคุยกันและบรรลุข้อตกลงได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกมันก็รีบกระพือปีกของพวกมันบินหนีไป ตอนนี้หัวใจของพวกมันเต็มไปด้วยความโกรธซือเฟิงมากจริงๆ ขณะที่พวกมันกำลังหนี ในขณะเดียวกันพวกมันก็ยังรู้สึกยินดีเล็กๆกับความโชคร้ายที่รอผู้ขโมยมรดกไปอยู่
….
ในขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งของกระแสน้ำวนที่มืดมิด ซือเฟิงก็ไม่ได้ตระหนักถึงการพูดคุยกันของมังกรดำเด็กทั้งสามตัวเลย และหลังจากทัศนวิสัยของเขามืดลงชั่วขณะ เขาก็พบว่าตัวเองได้กลับมาอยู่ในห้องหลักในชั้นใต้ดินของสถานที่พักกิลของสภาสิบแปดปีกในเมืองปีกสีเงินแล้ว
“ฉันทำได้ !!!”
“ขั้นสี่ !! ฉันกลายเป็นขั้นสี่แล้วจริงๆ !!!”
ตอนนี้ซือเฟิงเต็มไปด้วยความรู้สึกมีความสุขและตื่นเต้นมากๆอย่างอธิบายไม่ถูก ในขณะที่เขาสังเกตเห็นมานาที่กลายเป็นของเหลวพุ่งเข้าสู่ร่างกายของเขาจากรอบด้าน โดยมานาเหล่านี้ได้เข้าไปเติมเต็มมานาในร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังช่วยซ่อมแซมจิตวิญญาณบางส่วนของเขาด้วย
ในที่สุดเขาก็บรรลุเป้าหมายที่เขาไม่สามารถไปถึงได้ในชีวิตที่แล้วของเขา ….
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมาถึงขั้นสี่ของอาชีพเบลดเซ้นต์ ซึ่งเป็นอาชีพลับจากมรดกขั้นสูงสุดด้วย ในแง่ของคุณสมบัติและสกิลพื้นฐานที่อาชีพเบลดเซ้นต์มอบให้นั้น มันแข็งแกร่งอาชีพขั้นสี่ทั่วไปอย่างก้าวกระโดด
ตอนนี้เขาเป็นหนึ่งในตัวตนที่ทรงพลังที่แท้จริงใน God domain แล้ว แม้แต่ในหมู่ NPC ก็ตาม และแม้แต่อาณาจักรของ NPC ต่างๆก็ยังจะต้องปฎิบัติกับเขาด้วยความเคารพ
ในขณะที่ซือเฟิงกำลังเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดีกับความสำเร็จของเขา เสียงของระบบก็ดังขึ้นมาที่หูของเขาอีกครั้ง
….
ประกาศจากระบบหลักของ God domain : God domain จะได้รับการอัพเดทครั้งใหญ่ ในขณะเดียวกันแพ๊คเสริมใหม่ “การกลับมาของฮีโร่” จะถูกเปิดใช้งาน โดยผู้เล่นทุกคนจะต้องล๊อคเอ้าท์ออกจากระบบภายในสามสิบนาที และระยะเวลาโดยประมาณในการอัพเดทคือหนึ่งวันตามธรรมชาติ
….
ประกาศจากระบบนั้นดังขึ้นสามครั้งติดต่อกัน และทุกคนใน God domain ต่างก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เว้นแม้แต่ซือเฟิง
อัพเดทครั้งใหญ่ ?! เป็นไปได้ยังไง ?!
ซือเฟิงมองไปที่ประกาศของระบบที่ปรากฎขึ้นต่อหน้าเขาด้วยความสับสน และแม้ว่าเขาจะอ่านซ้ำหลายครั้ง แต่มันก็ยังคงมีความไม่เข้าใจและความสับสนเต็มไปหมดในดวงตาของเขา
มันมีการอัพเดทหลายครั้งมากมายใน God domain อย่างไรก็ตามในชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้น God domain มันมีการอัพเดทครั้งใหญ่แค่สองครั้งเท่านั้นในเวลามากกว่าสิบปีที่เขาเล่นเกมๆนี้ ….
การอัพเดทครั้งใหญ่ครั้งแรกเกิดขึ้นหลังจาก God domain เปิดตัวเป็นทางการมาสามปี
ในตอนนั้นมันมีผู้เล่นขั้นสี่อยู่จำนวนมากแล้ว และผู้เล่นขั้นสามก็จัดว่าหาได้ทั่วไป ขณะที่ผู้เล่นบางคนเริ่มพยายามท้าทายเควสเลื่อนขั้น ขั้นห้าแล้วด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ God domain เปิดตัวอย่างเป็นทางการมานานแค่ไหนกัน ?
การอัพเดทครั้งใหญ่ครั้งแรกของ God domain นั้นถือเป็นเหตุการณ์ที่น่าจดจำที่สุดสำหรับซือเฟิง เพราะการอัพเดทครั้งใหญ่ครั้งแรกในชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นได้เขย่าโลกทั้งใบ โดยมันเปลี่ยน God domain ให้กลายเป็นเกมและความบันเทิงเพียงหนึ่งเดียวในโลก
หลังจากการอัพเดทครั้งใหญ่ครั้งแรกนั้น God domain ได้กลายเป็นโลกที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง มันไม่ใช่เกมเสมือนจริงที่ทุกคนคิดว่ามันเคยเป็นอีกต่อไป God domain ได้กลายเป็นอะไรที่ขึ้นเหนือจินตนาการของทุกคนมากๆ
ผู้เล่นนั้นจะไม่ใช่ผู้เล่นอีกต่อไป แต่เป็นกลุ่มหน่วยงานพิเศษใน God domain
ไม่ว่าจะเป็น NPC หรือมอนสเตอร์ของ God domain ทั้งคู่ต่างก็จะขึ้นมามีตัวตนอยู่จริงหลังการอัพเดท โดยจะมีชีวิตและบุคลิกภาพเป็นของตัวเอง และทั้งสองอย่างนี้ก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดและแข็งแกร่งขึ้นดังเช่น ผู้เล่นจริงๆ ….
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้ God domain กลายเป็นโลกที่แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง มันจะไม่ใช่แค่เกมเสมือนจริงอีกต่อไป แต่มันจะเป็นการดำรงอยู่ที่อาจส่งผลกระทบต่อโลกแห่งความจริงแทน
….
ในขณะนี้ซือเฟิงไม่ใช่แค่คนเดียวที่งงงวยกับการมาถึงของการอัพเดทครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ผู้เล่นหลายคนรวมทั้งพวกระดับสูงของมหาอำนาจต่างๆก็ล้วนมีปฎิกิริยาแบบเดียวกับซือเฟิงเช่นกัน
“การอัพเดทครั้งใหญ่ ? และจะต้องใช้เวลาหนึ่งวันตามธรรมชาติ ? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ?”
“อึก !! ฉันยังไปไม่ถึงขั้นสามด้วยซ้ำ แต่ระบบกับดำเนินการอัพเดทครั้งใหญ่แล้ว ?! นี่ระบบจะเล่นฉันให้ตายเลยรึไง ?!”
….
ชั่วครู่หนึ่งผู้เล่นใน God domain ต่างส่งเสียงบ่นอย่างโกรธเคืองออกมาเกี่ยวกับการอัพเดทครั้งใหญ่อย่างกระทันหันของ God domain
ระยะเวลาการอัพเดทครั้งใหญ่หนึ่งวันตามธรรมชาติแบบกระทันหันนั้นมันทำให้ทุกคไม่ทันได้เตรียมตัวใดๆเลย และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเวลาว่างที่ไม่คาดคิดนี้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ณ จุดนี้ God domain ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขาไปนานแล้ว และการเข้าสู่ God domain ทุกวันมันก็กลายเป็นสัญชาตญาณไปแล้ว
การอัพเดทระบบก่อนหน้านี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นในโลกแห่งความจริง ขณะที่ตอนนี้มันกับใช้เวลาถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง นี่มันบ้าชัดๆ !!!
ใครก็ตามที่เข้าสู่ God domain และเป็นส่วนหนึ่งของผู้เล่นที่เล่นมาตั้งแต่ระยะแรกของเกมจะรู้ดีว่าความยากในการเก็บเลเวล และฆ่ามอนสเตอร์จะเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากการอัพเดทของระบบ และข้อกำหนดสำหรับเทคนิคของผู้เล่นก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ดังนั้นการอัพเดทครั้งใหญ่จึงจัดเป็นฝันร้ายสำหรับผู้เล่นที่ยังไปไม่ถึงขั้นสามอย่างไม่ต้องสงสัย
แถมการมาถึงของการอัพเดทครั้งใหญ่นี้ก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับมหาอำนาจต่างๆใน God domain แน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้วการอัพเดทครั้งนี้จะลดจำนวนผู้เล่นที่สามารถเข้าถึงขั้นสามได้โดยการเพิ่มความยากเข้ามา อีกทั้งนี่ยังไม่ได้พูดถึงทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดูแลผู้เชี่ยวชาญที่กิลจะต้องใช้ก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน ในทางกลับกันสิ่งนี้จะทำให้แผนการพัฒนาในปัจจุบันของพวกเขาพิการ และพวกเขาก็จะเริ่มวางแผนใหม่ตั้งแต่ต้น
อย่างไรก็ตามในขณะที่มหาอำนาจต่างๆที่เข้าร่วมเกมมาตั้งแต่ระยะแรกๆรู้สึกโกรธรวมทั้งไม่พอใจกับการอัพเดทครั้งใหญ่นี้ แต่มันก็ยังมีคนบางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้เล่น และบริษัทใหม่ๆที่พึ่งจะเข้าร่วม God domain นั้นเต็มไปด้วยความยินดีมากๆ
ความยากในการเก็บเลเวลและรับทรัพยากรที่เพิ่มขึ้นจะทำให้สถานะที่เป็นอยู่ใน God domain ปัจจุบันไม่เสถียรอย่างไม่ต้องสงสัย และหากผู้มาใหม่เข้าใจโอกาสนี้ พวกเขาก็อาจจะขึ้นไปแทนที่พวกหน้าเก่าๆประสบการณ์สูงใน God domain ได้
ตอนนี้บรรยากาศท่ามกลางมหาอำนาจต่างๆนั้นตึงเครียดเป็นพิเศษ เพราะท้ายที่สุดแล้วตอนนี้การแย่งชิงทรัพยากรทั้งในโลกจริงและ God domain มันก็จะเพิ่มขึ้นไปอีกมาก ซึ่งนี่มันก็จะลดจำนวนทรัพยากรสำหรับสมาชิกทั่วไปของกิล และผู้ที่มีศักยภาพต่ำลงไปอย่างมาก ในทางกลับกันสิ่งนี้มันก็จะยิ่งกระตุ้นให้ผู้เล่นในกิลหลายคนออกจากกิลเพื่อไปหาผู้ที่ให้ทรัพยากรพวกเขาได้มากกว่า
….
ในขณะที่มหาอำนาจต่างๆของ God domain กำลังหัวหมุนกับเรื่องไม่คาดคิดเหล่านี้ เหลียงจิงก็ติดต่อซือเฟิงเข้ามา
“หัวหน้ากิลมหาอำนาจต่างๆกำลังเริ่มทำการซื้อเหรียญและทรัพยากรจำนวนมาก เราควรจะเริ่มซื้อด้วยไหม ?” เหลียงจิงถามอย่างกังวล
“นั่นไม่จำเป็น ….” ซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆออกมา เมื่อเขาได้ยินคำพูดของเหลียงจิง “มหาอำนาจเหล่านั้นคือผู้ที่ขัดขวางไม่ให้เราได้รับเงินทุนอยู่เสมอไม่ใช่หรอ ? ตอนนี้เราจะทำการเทขายเหรียญทั้งหมดที่เราได้รับจากเมืองสีเงินด้วย ให้พวกเขาซื้อไปให้มากที่สุดเท่าที่พวกเขาต้องการเลย !!!”
“หัวหน้ากิล ?” คำพูดของซือเฟิงนั้นทำให้เหลียงจิงตกตะลึง ตอนนี้จิตใจของเธอไม่สามารถเข้าใจถึงความตั้งใจของเขาได้เลย
ขณะนี้มหาอำนาจต่างๆล้วนกำลังทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อซื้อเหรียญและทรัพยากร แต่ซือเฟิงกับต้องการให้สภาสิบแปดปีกขายเหรียญจำนวนมาก ซึ่งเมื่อการอัพเดทครั้งใหญ่สิ้นสุดลง นี่มันอาจจะทำให้เงินทุนของสภาสิบแปดปีกในเกมขาดสภาพคล่องได้เลย
“แค่ทำมันไปเถอะน่า …” ซือเฟิงกล่าวออกคำสั่งย้ำด้วยรอยยิ้ม โดยไม่ได้คิดจะอธิบายใดๆเพิ่มเติม
จากการอัพเดทของระบบในครั้งที่ผ่านๆมานั้น การซื้อเหรียญและทรัพยากรจำนวนมากนับเป็นการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามการอัพเดทในครั้งนี้ซึ่งเป็นการอัพเดทครั้งใหญ่จะแตกต่างจากครั้งก่อนๆ เพราะไม่เพียงแต่ทรัพยากรจะไม่ได้หายากมากขึ้น แต่การได้รับทรัพยากรหลายอย่างยังจะกลายเป็นเรื่องง่ายแทน และแม้แต่การเก็บเลเวลก็จะทำได้ง่ายขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตามเมื่อมีข้อดีให้กับผู้เล่นแล้ว การอัพเดทครั้งใหญ่ก็ย่อมมีข้อเสียด้วยเช่นกัน
หลังจากการอัพเดทครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นภายนอกหรือภายใน ข้อกำหนดในการอัพเกรดของผู้เล่นจะเข้มงวดขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับมานาที่มันต้องใช้ความเข้าใจและการควบคุมมากขึ้นเพื่อจะได้จัดการกับมานาได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาทั้งหมดจึงล้วนอยู่ในขั้นปรมาจารย์นักเวทย์กันเป็นอย่างน้อย
“โอ้ใช่แล้ว … เมื่อทุกคนออฟไลน์กันไปแล้วให้เมลานโครอิคสไมล์ และคนอื่นๆมาพบฉันที่ห้องประชุมด้วย ฉันมีเรื่องจะคุยกับพวกเขา” ซือเฟิงกล่าว
เขาไม่ได้รับเพียงแค่ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับมานาระหว่างการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ แต่เขายังได้รับเศษชิ้นส่วนโลหะที่ไม่รู้จักที่สามารถขับไล่มานาโดยรอบบริเวณให้ออกไปมาด้วย
ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่เขาได้เห็นเศษชิ้นส่วนโลหะแบบนี้ และตราบเท่าที่ไอเทมชิ้นนี้ไม่ได้รับความเสียหายเกินกว่าที่จะซ่อมแซมได้ พวกเขาก็น่าจะสามารถปรับแต่ง และสร้างมันขึ้นมาเป็นอาวุธกับอุปกรณ์ใหม่ๆได้
เอฟเฟคการขับไล่มานานั้นนับเปนประโยชน์สำหรับผู้เล่น เพราะท้ายที่สุดมานาคือทุกสิ่งทุกอย่างใน God domain มันจะไม่มีชีวิตใดดำรงอยู่ได้หากปราศจากมานา และโดยธรรมชาติแล้วมอนสเตอร์ก็ไม่สามารถจะอยู่รอดได้นานเช่นกัน เมื่อปราศจากมานา
หากเขาสามารถสร้างอาวุธและอุปกรณ์ขึ้นมาใหม่ได้จากเศษชิ้นส่วนโลหะนี้ เขาก็น่าจะมีทุนมากเพียงพอที่จะต่อสู้กับมหาอำนาจต่างๆได้ เพราะไอเทมแบบนี้จะเป็นประโยชน์มากๆเมื่อเขาสำรวจดินแดนต้องห้ามที่อันตรายเพื่อรับทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการพิชิตเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ของคนในกิล
ใน God domain ดินแดนต้องห้ามเลเวลสูงส่วนใหญ่นั้นล้วนมีทรัพยากรที่จะทำให้ผู้เล่นสามารถเข้าถึงขั้นสี่ได้ง่ายขึ้น และสำหรับซือเฟิงแม้ว่าเขาจะมาถึงขั้นสี่แล้ว แต่หากเขาออกสำรวจดินแดนแบบนี้คนเดียวมันก็จะจัดว่าอันตรายมากๆ และเขาก็จะยังคงต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด …. โดยในชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นมหาอำนาจต่างๆมักจะจัดทีมผู้เล่นขั้นสี่ไปสำรวจดินแดนเหล่านี้ เพราะการไปคนเดียวนั้นมันแทบจะไม่ต่างจากการไปฆ่าตัวตายเลย
“โอเค ฉันจะติดต่อพวกเขาทันที …” เหลียงกล่าวก่อนจะวางสายไป
….
โลกโฟรเซ่น เมืองฟรอสต์ฮีฟเว่น สำนักงานใหญ่หลักของฟรอสต์ฮีฟเว่น :
เนื่องจากการอัพเดทของระบบอย่างกระทันหันของ God domain ฟรอสต์ฮีฟเว่นจึงได้รีบเรียกประชุมด่วนเพื่อหารือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับเกม และปัจจุบันมันก็มีผู้เล่นมากกว่าหนึ่งโหลนั่งอยู่ในห้องประชุมที่สวยงาม
ซึ่งคนเหล่านี้ทุกคนนั้นล้วนเป็นคนที่สามารถจะเขย่าโลกแห่งความจริงได้ทุกย่างก้าว อย่างไรก็ตามในขณะนี้คนเหล่านี้มีสีหน้าประหม่า ขณะที่พวกเขามองไปยังชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่หน้าห้อง
ชายวัยกลางคนๆนี้นั้นดูเป็นมิตรมาก และออร่าที่เขาแผ่ออกมามันก็ดูเหมือนกับสายลมที่อ่อนโยนในฤดูใบไม้ผลิ อย่างไรก็ตามมันไม่มีผู้เล่นคนใดที่กล้าจะไม่แสดงความเคารพเลย เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
“งั้นฉันก็ขอปิดการประชุมวันนี้เลยแล้วกัน …” ชายวัยกลางคนกล่าวปิดการประชุม จากนั้นเขาก็หันไปจ้องมองมู่ฉิน และเด็กสาวตัวเล็กๆที่อยู่ข้างเธอพลางพูดว่า “มู่ฉิน เครุย ทั้งสองคนอยู่รอก่อน …”
“รับทราบ !!!”
ราวกับว่าพวกเขาได้รับนิรโทษกรรม ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องนั้นรีบเดินออกจากห้องไปทันที โดยทิ้งให้ชายวัยกลางคน มู่ฉิน กับเครุยซึ่งเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆนั่งอยู่ในห้องประชุมขนาดใหญ่
“ลุงหง ลุงมีข่าวดีอะไรจะบอกพวกเรางั้นหรอ ?” มู่ฉินถามแซว เมื่อเธอมองไปยังชายวัยกลางคนที่มีท่าทีเคร่งเครียด
“ยัยตัวเล็ก เธอยังจะมาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อีกนะ …. นี่เธอคิดว่าเธอจะสามารถซ่อนความจริงจากทุกคนเรื่องที่เธอเชิญสภาสิบแปดปีกมาเข้าร่วมปฎิบัติการลับของเราได้หรอ ?” ชายวัยกลางคนกล่าวพลางขมวดคิ้ว ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อว่า “เธอก็น่าจะรู้ดีนี่ว่าโอกาสนี้มันหายากแค่ไหน และนี่จะเป็นการรวมตัวกันของเหล่ายักษ์ใหญ่ ซึ่งแม้แต่มหาอำนาจบางกลุ่มก็ยังทำได้เพียงแค่ฝันเท่านั้นในการจะเข้าร่วม และพูดกันตรงๆนี่มันก็เป็นโอกาสสำหรับฟรอสต์ฮีฟเว่นที่จะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่แท้จริงใน God domain แต่เธอกับเชิญบุคคลภายนอกที่เป็นแค่กึ่งมหาอำนาจเข้าร่วมเนี่ยนะ ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่ฉินก็หันไปเครุยที่อยู่ข้างๆเธอโดยอัตโนมัติ และในการตอบสนองเครุยก็ยิ้มอย่างขี้เล่น และกล่าวออกมาว่า “ถ้าฉันเป็นคนบอก แล้วยังไงล่ะ ?”
มู่ฉินอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและถอนหายใจออกมา เมื่อได้รู้ถึงพฤติกรรมของน้อวสาวคนเล็กของเธอ
“ลุงหง แต่ลุงก็ไม่ควรจะดูถูกความแข็งแกร่งของพวกเขานะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแบล๊คเฟรม” มู่ฉินกล่าวอย่างไม่เร่งรีบ
“เขาจะแข็งแกร่งแค่ไหนกัน ? เขาก็เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญที่ไม่มีใครเทียบได้ในสายตาของคนทั่วไปเท่านั้นแหละ …” ชายวัยกลางคนที่มู่ฉินเรียกว่าลุงหงกล่าวพลางส่ายหัว “เธอก็น่าจะรู้นี่ว่าเราติดต่อกับคนประเภทไหน โดยคนเหล่านี้ก็ล้วนมีความสามารถอย่างแท้จริง แถมพวกเขายังมีศักยภาพที่น่ากลัวและมีสายเลือดพิเศษ นี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่มากมาย ผู้เชี่ยวชาญที่ติดสิบอันดับแรกที่แข็งแกร่งที่สุดตามการจัดอันดับของศาลาลับนั้นมันก็เป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น”
“ลุงหงพูดถูก การเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ไม่ได้มีอะไรเลยนะสำหรับคนเหล่านั้น …” เครุยกล่าวพลางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“อย่างไรก็ตามแบล๊คเฟรมนั้นแข็งแกร่งมากๆ เขาสามารถที่จะต่อสู้กับ Faux Saint Devourers ที่เป็นมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายขั้นสี่แบบตัวต่อตัวได้ และแม้ว่าเขาจะไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังหลักได้ในตอนนี้ แต่เขาก็น่าจะยังสามารถให้การสนับสนุนจากข้างสนามได้” มู่ฉินอธิบาย
“หื้ม ? เขาสามารถทำแบบนั้นได้ด้วยงั้นหรอ ?” ลุงหงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับข้อมูลนี้ “ดูเหมือนว่าคนๆนี้จะแข็งแกร่งจริงๆ”
“ฮึ่ม !!! มันมีอะไรน่าทึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้กัน เท่าที่ฉันสืบมาเขาก็ใช้พลังดิบในการต่อสู้กับ Faux Saint Devourers นี่นา ลูกน้องของฉันจำนวนหนึ่งก็สามารถทำได้นะ ….” เครุยพูดอย่างไม่เห็นด้วย
เมื่อได้ยินคำพูดของเครุย มู่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มของเด็กสาว ก่อนที่เธอจะอธิบายต่อว่า “ลุงหง แต่คนๆนั้นมีโดเมนมานาด้วย เขาจะสามารถช่วยเราในเรื่องสำคัญๆได้แน่นอน”
“เขามีโดเมนมานางั้นหรอ ?” การเปิดเผยนี้ของมู่ฉินทำให้ลุงหงสนใจ “นี่มันจะช่วยเราได้แน่นอน อย่างไรก็ตามฉันกลัวว่าแค่นี้มันจะยังคงไม่เพียงพอ เธอก็น่าจะรู้ดีนี่ว่าความแข็งแกร่งของแต่ละคนมีจำกัด และปฎิบัติการครั้งนี้ก็จำเป็นจะต้องใช้ความแข็งแกร่งคนหลายคนประสานกัน ดังนั้นฉันจึงจะต้องไปตรวจสอบถึงความแข็งแกร่งของสมาชิกสภาสิบแปดปีกคนอื่นๆเป็นการส่วนตัวก่อน ก่อนที่จะอนุมัติเรื่องนี้”
“ลุงจะไปตรวจสอบเป็นการส่วนตัวงั้นหรอ ?” มู่ฉินอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
ตัวตนของลุงหงนั้นค่อนข้างจะพิเศษ ซึ่งแม้แต่หัวหน้ากิลของซุเปอร์กิล และตัวแทนของบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆก็ยังต้องปฎิบัติกับเขาด้วยความเคารพ ซึ่งหากข่าวที่ว่าเขาไปเยี่ยมสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกแพร่ออกไป มันก็จะสร้างความฮือฮาไปทั่วแน่นอน
“แน่นอน” ลุงหงกล่าวยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ปฎิบัติการครั้งนี้มีความสำคัญสูงสุดสุด เราไม่สามารถจะประมาทได้”
“แต่เวลานั้นใกล้จะหมดแล้วนะ การอัพเดทของระบบครั้งนี้มันใช้เวลาหนึ่งวัน หากเราไม่รีบกลับเข้าเกมและดำเนินการเรื่องต่างๆต่อ ฉันกลัวว่าเราอาจจะล้าหลังมหาอำนาจอื่นๆในบางเรื่อง” มู่ฉินกล่าวคัดค้าน
“ไม่ต้องเป็นห่วง การไปเยี่ยมสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกจะใช้เวลาไม่นานหรอก” ลุงหงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อลุงตัดสินใจแบบนี้แล้ว ก็ปล่อยเรื่องการตรวจสอบสภาสิบแปดปีกไว้ให้เป็นหน้าที่ฉันแล้วกัน …” เครุยรีบกล่าวแนะนำ “สภาสิบแปดปีกนั้นเป็นเพียงกิลขนาดใหญ่ท้องถิ่นเท่านั้น หากพวกเขาได้เข้าร่วมในปฎิบัติการครั้งนี้ พวกเขาจะต้องทำตัวหยิ่งผยองแน่นอน นอกจากนี้เมื่อเห็นว่าพี่สาวมู่ฉินชื่นชมความแข็งแกร่งของคนๆนั้นมาก ฉันก็คิดจะนำเทียนเฉิงจากสิบดาบของฟรอสต์ฮีฟเว่นไปด้วยสักหน่อย”
“ซึ่งนี่มันก็จะช่วยให้เราสามารถทดสอบได้ว่าแบล๊คเฟรมนั้นแข็งแกร่งอย่างที่พี่สาวมู่ฉินบอกไหม และนี่มันก็ยังจะทำให้เราสามารถแสดงให้สภาสิบแปดปีกเห็นได้ด้วยว่ามันไม่ใช่ก็ตามมั่วๆที่จะสามารถเข้าร่วมปฎิบัติการลับของฟรอสต์ฮีฟเว่นได้ และแม้ว่าสภาสิบแปดปีกจะผ่านการทดสอบไปได้ แต่เรื่องนี้มันก็น่าจะทำให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาควรจะทำตัวอย่างไรในระหว่างปฎิบัติการ”
มู่ฉินพูดไม่ออก เมื่อได้ยินคำพูดน้องสาวของเธอ
เหล่าสิบดาบนั้นเป็นอัจฉริยะที่บริษัทโบลเดอร์ได้เลี้ยงดูขึ้นมาโดยใช้เทคโนโลยีและทรัพยากรทั้งหมดที่พวกเขามี ซึ่งทุกคนนั้นล้วนเป็นสัตว์ประหลาดในหมู่สัตว์ประหลาด แถมพวกเขายังเป็นหนึ่งในกองกำลังหลักของปฎิบัติการลับที่กำลังจะมาถึงนี้ด้วย
การทดสอบสภาสิบแปดปีกโดยใช้หนึ่งในสิบดาบมันก็ออกจะเกินไปหน่อย ….
“มู่ฉิน เธอคิดว่าไง ?” ลุงหงถาม
“ฉันไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ” มู่ฉินกล่าวเห็นด้วย หลังจากครุ่นคิด
ในความเห็นของเธอ ซือเฟิงไม่น่าจะมีปัญหาใดๆในการรับมือกับเทียนเฉิง ด้วยความแข็งแกร่งของเขา
“ตามนั้น แต่หากความแข็งแกร่งของสภาสิบแปดปีกมีไม่มากพอ เธอจะต้องกลับไปแก้ไขข้อตกลงที่เธอทำกับพวกเขาด้วย ….” ลุงหงกล่าวพลางพยักหน้า
“ฉันเข้าใจแล้ว” มู่ฉินพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
แม้ว่าเธอจะเป็นทายาทของบริษัทโบลเดอร์ แต่เธอก็ไม่สามารถจะต่อต้านการตัดสินใจของลุงหงได้
“พี่สาว ฉันค่อนข้างคาดหวังในคำพูดของพี่นะ !!!”
เครุยกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนที่เธอจะล๊อคเอ้าท์ออกจากระบบไป
หวังว่าการแสดงของเขาจะไม่ทำให้ลุงหงผิดหวังนะ มู่ฉินแอบภาวนาอยู่ข้างในใจ หลังจากเห็นเครุยจากไป เธอต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมากในการเชิญสภาสิบแปดปีกมาในครั้งนี้ และหากเธอยกเลิกสัญญา เธอก็จะต้องเสียค่ายกเลิกจำนวนมาก ….
….
ในขณะเดียวกันในห้องประชุมชั้นบนสุดที่สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีก ซือเฟิงซึ่งพึ่งล๊อคเอ้าท์ออกมาก็ได้ทำการจัดเรียงข้อมูลของเศษชิ้นส่วนโลหะที่ไม่รู้จักที่เขาได้รับมาอยู่ ในขณะที่เขาได้ยินเสียงเคาะประตู ต่อจากนั้นประตูห้องประชุมก็เปิดออกอย่างช้าๆ และเสียงหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “หัวหน้ากิล พวกเขามากันแล้ว”
ตอนที่ 2696 เศษชิ้นส่วนโบราณ
ภายใต้การนำของเหลียงจิง เมลานโครอิคสไมล์ และคนอื่นๆก็ได้เข้ามาในห้องประชุมที่ดูหรูหราและกว้างขวาง โดยทั้งกลุ่มแต่งกายด้วยเสื้อโค้ทสีขาวซึ่งทำให้พวกเขาดูเหมือนนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์
ในเวลานี้เมลานโครอิคสไมล์ และคนอื่นๆดูทรุดโทรมมากๆ โดยใบหน้าของพวกเขานั้นอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด และผมของพวกเขามันก็ยุ่งเหยิงราวกับว่าพวกเขาเพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก ซึ่งมันทำให้ซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับสถานการณ์นี้
“เกิดอะไรขึ้นกัน ? ทำไมทุกคนดูหน้าซีดเซียวขนาดนี้ ?” ซือเฟิงถามอย่างสงสัย
เนื่องจากตอนนี้สภาสิบแปดปีกเป็นองค์กรขนาดใหญ่จึงมีความสามารถด้านการจัดการและผลิตมากมาย ซึ่งกิลก็ไม่จำเป็นต้องใช้เมลานโครอิคสไมล์และคนอื่นๆในการจัดการทุกอย่างเป็นการส่วนตัวอีกแล้ว
“หัวหน้ากิล ฉันต้องการจะร้องเรียน !!!” ครีมโกโก้ซึ่งมีนิสัยขี้อายกล่าวออกมาทันที เมื่อได้เห็นหน้าซือเฟิง
“ร้องเรียน ?” ซือเฟิงถึงกับผงะ
ครีมโกโก้เป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็กของสภาสิบแปดปีก นอกจากนี้เธอยังติดอันดับหนึ่งในสามของผู้ที่มีมาตราฐานการตีเหล็กสูงสุดที่สุด และมันก็คงใช้เวลาอีกไม่นานก่อนที่เธอจะกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก ซึ่งผู้คนนับไม่ถ้วนในสภาสิบแปดปีกต่างก็หวังว่าจะได้เธอไปสร้างอาวุธให้พวกเขา และหากให้คนเหล่านี้ต่อแถวกัน มันก็คงจะมีคนต่อแถวยาวตั้งแต่เมืองด้านหนึ่งไปจนสุดเมืองอีกด้านหนึ่ง
อย่างไรก็ตามแม้ว่าครีมโกโก้และปรมาจารย์ช่างตีเหล็กคนอื่นๆจะมีโอกาสน้อยมากในการที่จะสร้างอาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคได้ แต่โอกาสในการจะสร้างอาวุและอุปกรณ์ระดับดาร์คโกลให้ได้นั้นก็มีสูงมาก
ใน God domain อาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคนั้นจัดว่าหายากมากๆ และแม้แต่แกนหลักของกิลชั้นสูงก็ยังแทบจะไม่สามารถเป็นเจ้าของพวกมันได้สักชิ้นด้วยซ้ำ ดังนั้นอาวุธและอุปกรณ์ระดับดาร์คโกล เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยจึงสามารถดึงดูดสายตาอิจฉาจากผู้เล่นทั่วไปได้แล้ว นี่ไม่ต้องพูดถึงอาวุธและอุปกรณ์ระดับดาร์คโกลแบบพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เหมาะกับผู้ใช้เลย
พูดง่ายๆ มันจะไม่มีใครใน God domain กล้ารังแกครีมโกโก้แน่นอน และใครก็ตามที่ทำจะถือว่าโชคดีมากแล้ว ถ้าครีมโกโก้แค่เพิกเฉยต่อพวกเขา
“ใช่ !! ฉันอยากจะร้องเรียนน่ะหัวหน้ากิล !!!” ครีมโกโก้กล่าวอย่างเฉียบขาด
“เธออยากจะร้องเรียนเรื่องอะไร ?” ซือเฟิงถามอย่างสงสัย
“อควาโรส และเสวี่ยเหวินโหรว !!!” ครีมโกโก้พูดพลางปัดแก้มของเธอ “มันมากเกินไป !!! หัวหน้ากิล หัวหน้าต้องให้ความยุติธรรมกับฉัน !!!”
“พวกเขารังแกเธองั้นหรอ ? นั่นไม่น่าเป็นไปได้ดิ ใช่ไหม ?” ซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะมีท่าทีประหลาดใจอีกครั้ง
อควาโรสและเสวี่ยเหวินโหรวนั้นเป็นรองหัวหน้ากิลของสภาสิบแปดปีก พวกเขาทั้งสองล้วนจัดการกิลได้เป็นอย่างดี และทุกคนในกิลก็ล้วนเคารพพวกเขาด้วย ดังนั้นเขาจึงพบว่ามันยากที่จะจินตนาการมากว่าทั้งสองกำลังรังแก เด็กสาวน่ารักอย่างครีมโกโก้
“รองหัวหน้ากิลทั้งสองคน ขอให้เราสร้างอาวุธระดับดาร์คโกลที่ปรับแต่งแล้วห้าร้อยชิ้นภายในห้าวัน และพวกเขาก็ขู่ว่าจะตัดทุนวิจัยของเรา หากเราทำไม่ได้ตามโควต้า ….” ครีมโกโก้บ่น “หัวหน้ากิล หัวหน้าก็เป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็กเช่นกัน ดังนั้นหัวหน้าก็น่าจะรู้ดีว่าการสร้างอาวุธระดับดาร์คโกลเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยให้ได้สักชิ้นนั้นมันยากขนาดไหน นับประสาอะไรกับห้าวัน เราแทบจะไม่สามารถทำสำเร็จได้ห้าร้อยชิ้นในสิบวันด้วยซ้ำ”
“แผนกการตีเหล็กทั้งหมดต้องทำงานล่วงเวลา แต่เราก็ยังสร้างอาวุธชิ้นนี้ได้แค่สามร้อยชิ้นเท่านั้น หลังจากผ่านไปสามวัน ซึ่งเมื่อบวกกับความเหนื่อยล้าของเรา ไม่ว่าเราจะทำยังไงเราก็ไม่น่าจะสามารถทำให้เสร็จทั้งหมดห้าร้อยชิ้นได้ภายในสองวันที่เหลือ”
เมลานโครอิคสไมล์และคนอื่นๆพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของครีมโกโก้
อาวุธระดับดาร์คโกลเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยที่ปรับแต่งแล้วนั้นไม่ใช่กะหล่ำปลี พวกมันจัดเป็นงานที่ละเอียดอ่อนซึ่งต้องการความเอาใจใส่จากช่างตีเหล็กผู้สร้าง และความผิดพลาดเพียงแค่เล็กน้อยก็จะนำไปสู่ความล้มเหลว
“เยอะขนาดนั้นเลยงั้นหรอ ?” จำนวนที่ครีมโกโก้รายงานทำให้ซือเฟิงตกใจ
อาวุธระดับดาร์คโกลเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยที่ปรับแต่งแล้ว ห้าร้อยชิ้นนั้นนับเป็นจำนวนที่มากจริงๆ ซึ่งอาวุธแบบนี้จำนวนมากขนาดนี้จะสามารถยกระดับพลังการต่อสู้โดยรวมของทีมแกนหลักของกิลชั้นสูงขึ้นไปสู่ระดับใหม่ทั้งหมด
“สองคนนั้นให้สร้างอาวุธอะไร ?” ซือเฟิงถาม
“เจ้านี่ …”
ครีมโกโก้ดึงแท็บเล็ตออกมาจากเสื้อโค้ทของเธอ และกวาดนิ้วผ่านหน้าจอ ก่อนจะโอนข้อมูลจากแท็บเล็ตไปยังโปรเจ็กเตอร์โฮโลแกรมของโต๊ะประชุม
ทันใดนั้นรูปหอกสีดำก็ปรากฎขึ้นเหนือโต๊ะ โดยหอกนั้นสูงพอๆกับมนุษย์ผู้ใหญ่ และมันถูกแกะสลักไว้ด้วยรูปแบบเวทย์มนต์ที่ซับซ้อนอย่างมาก ซึ่งนี่ทำให้มันดูพิเศษอย่างชัดเจน
“ช่างเป็นหอกที่ทรงพลังมากๆ !!!” สายตาของซือเฟิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ขณะที่เขาอ่านข้อมูลโดยละเอียดของหอก
….
[หอกสายฟ้า] (หอก ระดับดาร์คโกลแบบใช้สิ้นเปลือง)
เลเวล 110
ความต้องการอุปกรณ์ : ค่า STR 2,000
Ignore Levels +30
ไม่สนใจพลังป้องกัน
ระยะการขว้างจะเพิ่มขึ้นตามความแข็งแกร่งของผู้ถือ โดยจะสูงสุดที่สามพันหลา และสร้างความเสียหายเป็นสายฟ้าหนึ่งพันเปอเซ็นต์ ในรัศมียี่สิบหลาเมื่อกระทบ
….
นี่มันจะเป็นอาวุธได้อย่างไร ? มันจัดเป็นขีปนาวุธพิสัยไกลชัดๆ !!!
น่าเสียดายที่หอกนี้ใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากมันใช้ได้แบบไม่มีขีดจำกัด การโจมตีบอสประจำพื้นที่จะกลายเป็นของเล่นเด็กไปเลย และแม้แต่ผู้เล่นขั้นสองก็จะสามารถท้าทายมอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย ขั้นสี่ได้ด้วยหอกนี้
แถมหากพวกเขาสามารถสร้างหอกนี้ได้จำนวนมาก สงครามปิดล้อมก็จะกลายเป็นเรื่องตลกสำหรับพวกเขาเลย
อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ต้องยอมรับเลยว่าการสร้างหอกสายฟ้านั้นเป็นเรื่องท้าทายอย่างแท้จริง และเรื่องวัสดุที่มันต้องการนั้นก็เป็นเรื่องรอง เพราะท้ายที่สุดวัสดุที่จำเป็นในการสร้างหอกนี้หนึ่งเล่มจะมีมูลค่ารวมที่ยี่สิบเหรียญทอง หรือมากกว่านั้นนิดหน่อย ปัญหาสำคัญสำหรับการสร้างมันคือการวาดรูปแบบเวทย์มนต์ต่างหาก ซึ่งหากไม่ได้มีมาตราฐานระดับปรมาจารย์นักเวทย์ อัตราความสำเร็จในการผลิตก็จะลดลงอย่างมาก
“หัวหน้ากิลได้โปรดไปคุยกับรองหัวหน้ากิลทั้งสองให้หน่อย ห้าวันนั้นมันสั้นเกินไป เราต้องใช้เวลาสิบวันเป็นอย่างน้อย ….” ครีมโกโก้วิงวอนอย่างน่าสงสาร
“ฉันจะไปพูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ …” ซือเฟิงรู้สึกว่าความต้องการของอควาโรสและเสวี่ยเหวินโหรวนั้นเป็นเรื่องยากไปหน่อย
“เยี่ยมมาก !!! หัวหน้ากิลยอดเยี่ยมที่สุดเลย !!!” ครีมโกโก้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
อย่างไรก็ตามหลังจากครีมโกโก้พูดจบ ซือเฟิงก็เหมือนรถที่ยูเทิร์นกลับอย่างรวดเร็ว โดยเขากล่าวว่า “อย่างไรก็ตามฉันหวังว่าทุกคนจะทำให้ดีที่สุดเพื่อสร้างหอกสายฟ้าให้ได้สามพันเล่มในช่วงเวลานี้”
“หัวหน้ากิล ?” ครีมโกโก้แทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง
“ฉันไม่ได้พยายามจะทำให้ทุกคนลำบาก …” ซือเฟิงอธิบายอย่างช้าๆว่า “ไอเทมชิ้นนี้มีความสำคัญมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสภาสิบแปดปีกที่ขาดนักสู้ที่มีมาตราฐานการต่อสู้สูง และด้วยไพ่เด็ดแบบนี้ มันก็จะทำให้เราสามารถสอนบทเรียนให้กับมหาอำนาจที่ไม่เป็นมิตรเหล่านั้นได้”
ขณะนี้มหาอำนาจต่างๆยังไม่ยอมรับว่าสภาสิบแปดปีกเป็นมหาอำนาจ เนื่องจากกิลยังคงมีนักสู้ที่มีมาตราฐานการต่อสู้สูงจำนวนไม่มากพอ อย่างไรก็ตามด้วยการมีหอกสายฟ้าในจำนวนที่เพียงพอ มันก็จะสามารถชดเชยเรื่องนี้ให้กับกิลได้
“แน่นอน ฉันจะไม่ให้ทุกคนทำงานโดยเปล่าประโยชน์ ….” ซือเฟิงหัวเราะเบาๆ ขณะที่เขามองไปยังใบหน้าอันขมขื่นของครีมโกโก้ จากนั้นเขาก็นำข้อมูลของเศษชิ้นส่วนโลหะที่ไม่รู้จักออกมา และพูดว่า “ตราบใดที่ทุกคนสามารถทำงานนี้ได้สำเร็จ ฉันจะให้ทุกคนค้นคว้าโลหะนี้”
ครีมโกโก้นั้นอดไม่ได้ที่จะแอบบ่นซือเฟิงอยู่ในใจ สรุปแล้วทั้งหัวหน้ากิลและรองหัวหน้ากิลของเธอนั้นล้วนอยู่ฝั่งเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นต้องบอกว่าซือเฟิงโหดเหี้ยมกว่าอีก เขาเพิกเฉยต่อความปราถนาของเธออย่างสิ้นเชิง และใช้เธอแบบโหดเหี้ยมเลย นี่มันทำให้เธอไม่สามารถมีส่วนร่วมในงานสร้างที่เธอชอบได้เลย
อย่างไรก็ตามหลังจากได้เห็นข้อมูลที่แสดงอยู่เหนือโต๊ะ ครีมโกโก้รวมทั้งคนอื่นๆก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง และในขณะเดียวกันมันก็มีเปลวไฟลุกโชนขึ้นในดวงตาของพวกเขาทั้งหมด
“มันสามารถขับไล่มานาทั้งหมด ?”
“เป็นไปได้ยังไง ?!”
“มันมีโลหะแบบนี้อยู่ใน God domain ด้วยงั้นหรอ ?”
ครีมโกโก้และคนอื่นๆพึมพำกับตัวเองราวกับถูกสิง ขณะเดียวกันความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของพวกเขาก็หายไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อความคิดมากมายเข้ามาท่วมท้นในจิตใจของพวกเขา ซึ่งมันราวกับว่าประตูสู่โลกใหม่ของพวกเขาพึ่งจะถูกเปิดออก
สำหรับซือเฟิง เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับสถานการณ์นี้เช่นกัน
สำหรับผู้ที่อุทิศตนให้กับงานด้านการตีเหล็ก การได้เห็นวัสดุแบบนี้ปรากฎขึ้น มันก็ไม่ต่างจากความฝันเลย เพราะท้ายที่สุดมานานั้นเป็นรากฐานของทุกสิ่งใน God domain และหากใครสามารถขับไล่มานาออกจากวัตถุได้อย่างสมบูรณ์ คนๆนั้นก็จะกลายเป็นคนที่ไม่สามารถหยุดได้เลย
เพียงแค่ความคิดในการจะสร้างอาวุธสักชิ้นขึ้นมาโดยใช้โลหะนี้ มันก็ทำให้เหล่าปรมาจารย์ช่างตีเหล็กพวกนี้ตื่นเต้นมากๆแล้ว
“ทำไมมันถึงดูคุ้นๆจังแหะ ?” ครีมโกโก้พึมพำ ขณะที่เธออ่านข้อมูลของเศษชิ้นส่วนโลหะ
“คุ้น ? เธอเคยเห็นมันมาก่อนงั้นหรอ ?” ซือเฟิงรีบถามขึ้นทันที เมื่อได้ยินคำพูดของครีมโกโก้
เศษชิ้นส่วนโลหะที่ไม่รู้จักเหล่านี้นั้นลึกลับมากจนแม้แต่สกิลตรวจสอบที่ผสานเข้ากับตราทองคำของเขาก็ยังไม่สามารถจะรวบรวมข้อมูลใดๆจากพวกมันได้ ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะมอบให้กับแผนกการตีเหล็กเพื่อวิจัยมัน
“อืมม ฉันคิดว่าฉันอ่านเจอเรื่องของมันจากหนังสือโบราณนะ” ครีมโกโก้พยักหน้า หลังจากครุ่นคิด “โลหะชนิดนี้นั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่สิ่งที่ปรากฎขึ้นตามธรรมชาติใน God domain แต่มันถูกสร้างขึ้นโดยเทพโบราณ ยิ่งไปกว่านั้นจากลักษณะของเศษชิ้นส่วนโลหะเหล่านี้ แต่เดิมมันควรจะเคยเป็นชิ้นเดียวกันมาก่อน”
“เธอพูดถูก และเท่าที่ฉันคิดเศษชิ้นส่วนโลหะพวกนี้ก็ดูเหมือนกับเศษชิ้นส่วนดาบมากๆ” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า “แต่ด้วยเหตุผลบางประการ พวกมันไม่สามารถจะหลอมรวมกันได้เหมือนกับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนาน”
“แม้ว่าพวกมันจะไม่สามารถหลอมรวมกันได้ แต่ฉันก็มีวิธีที่จะนำเศษชิ้นส่วนโลหะเหล่านี้มารวมกันได้” ครีมโกโก้กล่าว “แต่ฉันไม่แน่ใจว่าการซ่อมแซม และปะติดปะต่อกันแบบนี้จะทำให้อาวุธสามารถใช้พลังดั้งเดิมในอดีตได้หรือไม่”
“เธอมีวิธีงั้นหรอ ?” ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจมาก เมื่อได้ยินสิ่งนี้
เศษชิ้นส่วนโลหะเหล่านี้ล้วนมีความพิเศษ และหากพวกเขาสามารถซ่อมแซมมันได้ในระดับหนึ่ง โดยอาวุธที่ได้ออกมานั้นอาจจะมีผลแค่สามารถขับไล่มานาได้ แต่มันก็ยังคงเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยม
“ฉันคิดว่างั้นแหละ …” ครีมโกโก้กล่าวด้วยความมั่นใจมากขึ้น
“โอเค งั้นฉันจะฝากเศษชิ้นส่วนโลหะเหล่านี้ไว้กับเธอ ส่วนเรื่องวัสดุอื่นๆที่ต้องการก็ให้ไปขอจากเมลานโครอิคได้เลย” ซือเฟิงไม่ได้สงสัยในความมั่นใจของครีมโกโก้ เพราะท้ายที่สุดความสามารถของเธอนั้นเป็นของจริงแน่นอน ….
“หัวหน้ากิลพูดแล้วนะ !!! หัวหน้าต้องเปิดคลังวัสดุทั้งหมดของกิลให้กับฉัน !!!” ครีมโกโก้กล่าวด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ขณะที่มองไปยังซือเฟิง
ผู้เล่นสายอาชีพทุกคนล้วนต้องการวัสดุที่ล้ำค่า อย่างไรก็ตามไม่ต้องพูดถึงวัสดุระดับตำนานเลย แม้แต่วัสดุระดับตำนานที่อ่อนแอก็ยังยากที่จะหามาได้ ซึ่งแม้แต่ซุเปอร์กิลก็ไม่สามารถจะให้ผู้เล่นสายอาชีพของพวกเขาใช้วัสดุเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่าย
อย่างไรก็ตามตอนนี้คำพูดของซือเฟิงนั่นหมายความว่าเขาจะอนุมัติทุกอย่างที่เธอต้องการให้ ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้ว เธอจึงไม่สามารถจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปได้
“ได้ตามที่เธอต้องการเลย …” ซือเฟิงพยักหน้า และหลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว เขาก็กล่าวเสริมว่า “อย่างไรก็ตามเธอก็ใช้ให้มันระมัดระวังหน่อย การรวบรวมวัสดุเหล่านั้นมาไม่ใช่เรื่องง่าย”
“มั่นใจได้เลยหัวหน้ากิล ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่ใช้พวกมันทั้งหมดแล้วกัน …” ครีมโกโก้กล่าวสัญญาด้วยรอยยิ้มที่กลัวว่าซือเฟิงจะเปลี่ยนใจไม่อนุมัติตามคำขอของเธอแบบเดิม
ครีมโกโก้นั้นทำตัวเหมือนกับเด็กที่เพิ่งได้ของเล่นใหม่ และนี่มันก็ทำให้ซือเฟิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเมื่อมองไปที่เธอ หลังจากนั้นเขาก็ทำการส่งข้อมูลทั้งหมดที่เขารู้เกี่ยวกับเศษชิ้นส่วนโลหะที่ไม่รู้จักนี้ไปให้เมลานโครอิคสไมล์และคนอื่นๆ สำหรับเรื่องการซ่อมแซมมันนั้น ครีมโกโก้จะสามารถทำได้ไหม เขาจะปล่อยให้โชคเป็นตัวตัดสิน
“ยังไงก็ตามหัวหน้ากิล สมาชิกของหอการค้าอาซูได้มาถึงตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว และขณะนี้พวกเขากำลังฝึกอบรมกับแกนหลักของกิลเราอยู่ โดยต้วนฮันซานคือผู้นำพวกเขามา อย่างไรก็ตามเนื่องจากหัวหน้ายุ่งอยู่ ฉันจึงยังไม่ได้บอกหัวหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้” เหลียงกล่าวขึ้นมา
“ต้วนฮันซานมาด้วยตัวเองเลยงั้นหรอ ?” ข่าวชิ้นนี้ทำให้ซือเฟิงประหลาดใจ
ต้วนฮันซานนั้นจัดเป็นผู้มีอำนาจสูงมากในหอการค้าอาซู และโดยปกติการส่งแค่เจ้าหน้าที่ทั่วไปมาสำหรับเรื่องนี้มันก็น่าจะเพียงพอแล้ว มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลย เมื่อเขาได้รู้ว่าต้วนฮันซานมาด้วยตัวเองแบบนี้
“หัวหน้าต้องการจะพบพวกเขาตอนนี้เลยไหม ?” เหลียงจิงถาม
“เนื่องจากต้วนฮันซานมาที่นี่ด้วยตัวเอง ดังนั้นในฐานะหัวหน้ากิล ฉันก็ต้องไปพบกับเขาเป็นธรรมดา ไปจัดเตรียมการที่จำเป็นทันที” ซือเฟิงกล่าว
“ฉันจะไปจัดการให้เรียบร้อย” เหลียงจิงที่ได้รับคำสั่งของซือเฟิงพยักหน้ารับ และออกจากห้องประชุมไปทันที
….
ในขณะที่ซือเฟิงกำลังพูดคุยกับครีมโกโก้ เมลานโครอิคสไมล์ และคนอื่นๆเกี่ยวกับเศษชิ้นส่วนโบราณ ชายสองคน และหญิงสองคนก็ได้เดินทางมาถึงที่สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีก โดยผู้ที่นำคนเหล่านี้มาก็คือชายวัยกลางคนๆหนึ่ง
หลังจากสังเกตสมาชิกภายในของสภาสิบแปดปีกที่เข้าและออกจากอาคารได้สักพัก เครุย สาวน่ารักในชุดสีแดงก็หันมาหาสาวสวยข้างๆเธอ และพูดว่า “พี่สาวดูเหมือนว่าสภาสิบแปดปีกจะผ่านแค่มาตราฐานทั่วไปเท่านั้นนะ เท่าที่ฉันเห็น มันก็มีสมาชิกภายในของพวกเขาประจำการอยู่ที่นี่ไม่มากนักด้วย แถมผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ของพวกเขาก็อยู่แค่ในขอบเขตการปรับแต่งเท่านั้น ฉันนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าสภาสิบแปดปีกจะมีผู้เชี่ยวชาญคนไหนที่ทรงพลังมากพอจะเข้าร่วมกับปฎิบัติการลับของเราได้ ….”
แม้ว่าเจริญรุ่งเรืองของสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกจะไม่ได้บอกถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของกิล แต่มันก็น่าจะบอกได้ส่วนหนึ่ง
มู่ฉินนั้นยังคงเงียบอยู่ และไม่ได้ตอบโต้ใดๆกับคำพูดของเครุย แม้ว่าเธอจะรู้ว่าสภาสิบแปดปีกเป็นกิลที่พึ่งสร้างขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่เธอก็ไม่เคยคิดเลยว่าสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกจะมีสมาชิกประจำการอยู่ไม่มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยของสมาชิกเหล่านี้ยังอ่อนแอจนน่าตกใจ นับประสาอะไรกับมหาอำนาจที่แท้จริง หากดูแค่นี้ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะไม่สามารถเทียบได้กับพวกกึ่งมหาอำนาจด้วยซ้ำ
“พอแล้วน่า เข้าไปดูข้างในกันดีกว่า”
ลุงหงขมวดคิ้วเล็กน้อยให้กับคำพูดของเครุย อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้มากนัก และเขาก็ได้นำมู่ฉิน กับคนอื่นๆเข้าไปในสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกทันที
ตอนที่ 2697 การตรวจสอบสภาสิบแปดปีก
สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีก ล็อบบี้ :
ด้วยมีเพดานที่สูงเก้าเมตร ล๊อบบี้นี้จึงดูเหมือนกับสนามกีฬาขนาดเล็กอย่างมาก และนอกเหนือจากส่วนต้อนรับ และแผนกต้อนรับแขกผู้มาเยือนแล้ว ที่นี่ยังมีพื้นที่เล้านจ์ ตลอดจนแพลตฟอร์มการต่อสู้เสมือนจริงสำหรับสมาชิกภายในของกิลเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับตัวเองและผู้มาเยือนด้วย
เนื่องจากเหตุผลดังกล่าวนี้ มันจึงมีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่ล็อบบี้
เมื่อมู่ฉินและพรรคพวกของเธอเข้ามาในล็อบบี้ พวกเขาก็สังเกตเห็นผู้คนหลายร้อยคนที่กำลังมุ่งอยู่ที่แพลตฟอร์มการต่อสู้เสมือนจริง โดยคนเหล่านี้กำลังดูการดวลกันระหว่างสมาชิกภายในของสภาสิบแปดปีก และฉากเหล่านี้มันก็ดูมีชีวิตชีวามากๆ
หลังจากเห็นกลุ่มของมู่ฉินเดินเข้ามาในล็อบบี้ พนักงานต้อนรับคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาพวกเขาและถามว่า “สวัสดี พวกคุณมาที่นี่เพื่อดูสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีก หรือว่ามาทำธุรกิจบางอย่าง ?”
“หลานสาวทั้งสองของฉันนั้นสนใจสภาสิบแปดปีกมากๆ ดังนั้นวันนี้ฉันจึงได้พาพวกเขามาที่นี่” ลุงหงอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“โอ้ ฉันเข้าใจแล้ว …” พนักงานต้อนรับยิ้ม และหยิบบัตรผู้เยี่ยมชมสี่ใบออกมา “คุณสามารถจะขึ้นไปได้ถึงชั้นเก้าเลยด้วยบัตรผู้เยี่ยมชมนี้ สำหรับชั้นอื่นๆมันมีไว้ให้สำหรับสมาชิกภายในของสภาสิบแปดปีกเท่านั้น หากคุณมีคำถามใดๆหลัง
จากการทัวแล้ว คุณสามารถจะถามที่แผนกต้อนรับได้เลย”
“ขอบคุณ” ลุงหงพยักหน้าและรับบัตรผู้เยี่ยมชมมาทันที
หลังจากนั้นพนักงานต้อนรับก็กลับไปประจำการที่แผนกต้อนรับและอนุญาติให้กลุ่มของมู่ฉินเดินเตร่ไปรอบอาคารได้อย่างอิสระ
“สภาสิบแปดปีกนั้นค่อนข้างจะใจกว้างจริงๆ พวกเขาอนุญาติให้บุคคลภายนอกเข้าเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่หลักของพวกเขาได้ด้วย ซึ่งเรื่องนี้มันจะช่วยเราได้มากเลย” เครุยแสดงความคิดเห็นด้วยความประหลาดใจ เมื่อเธอได้รับบัตรผู้เยี่ยมชมมาจากลุงหง
โดยปกติแล้วกิลขนาดใหญ่ต่างๆจะมีข้อจำกัดที่เข้มงวดมากๆในสำนักงานใหญ่หลักของพวกเขา และนอกเหนือจากล็อบบี้แล้ว พวกเขาก็มักไม่อนุญาติให้บุคคลภายนอกเข้าชมสถานที่อื่นๆ
“พวกเขาอาจจะพยายามหลอกล่อให้ผู้คนเข้าร่วมสภาสิบแปดปีกมากยิ่งขึ้นละมั้ง …” มู่ฉินกล่าว เธอคิดว่าเธอเข้าใจสถานการณ์ของสภาสิบแปดปีกอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
แม้ว่าสภาสิบแปดปีกจะประสบความสำเร็จอย่างมากใน God domain แต่กิลก็ยังคงจัดเป็นองค์กรที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนักในโลกแห่งความจริง และแม้จะใช้ความพยายามอย่างมากในการจัดการกับสำนักงานใหญ่หลักของตัวเอง แต่สภาสิบแปดปีกก็ยังคงขาดความสามารถในหลายด้านอยู่มาก
ดังนั้นการทำแบบนี้มันจึงจะทำให้ผู้ที่ไม่เคยได้รู้จักถึงตัวตนของสภาสิบแปดปีกใน God domain ได้รู้จักกับกิลมากขึ้น และมันก็จะเป็นการจูงใจให้หลายคนเข้าร่วมกับ
กิลด้วย
“แม้ว่าที่นี่จะมีคนอยู่จำนวนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่พวกเขาก็แทบจะไม่มีผู้เชี่ยวชาญเลย และแม้แต่คนสองคนที่กำลังดวลกันอยู่นั่นก็ยังอยู่แค่ในขอบเขตครึ่งก้าวก่อนการปรับแต่งเท่านั้น” เครุยแสดงความคิดเห็น ขณะที่เธอมองดูการต่อสู้ที่แพลตฟอร์มเการต่อสู้เสมือนจริง ซึ่งเธอก็สามารถบอกมาตราฐานของนักสู้ทั้งสองได้อย่างรวดเร็ว “ฉันคิดว่าเราควรจะต้องระมัดระวังมากกว่านี้ หากจะร่วมมือกับกิลๆนี้ แผนการของเรานั้นเกี่ยวข้องกับหลายสิ่งหลายอย่าง หากคนนอกเห็นว่าเราไม่สามารถหาผู้ช่วยเหลือที่มีความสามารถได้ พวกเขาจะดูถูกฟรอสต์ฮีฟเว่นเอา”
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เครุยพูดจบ ลุงหง เทียนเฉิง และมู่ฉินที่ยังคงเงียบอยู่ก็ล้วนเต็มไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ ขณะที่พวกเขาจ้องมองไปยังกลุ่มชายหนุ่มและหญิงสาวที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน
“นี่มันคาดไม่ถึงจริงๆ !!! สภาสิบแปดปีกนั้นไม่สามารถจะมองข้ามได้จริงๆ พวกเขาได้ซ่อนความสามารถบางอย่างเอาไว้จริงๆ ….” ลุงหงกล่าวชื่นชม ขณะที่มองไปยังชายหนุ่มและหญิงสาวหลายๆคน
“พรสวรรค์ ?” เครุยจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งด้วยความสับสน “คุณหนูไม่ควรจะถูกดูถูกคนเหล่านี้นะ แม้ว่าออร่าของพวกเขาจะไม่ได้ปรากฎชัด แต่พวกเขาก็จัดเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงแน่นอน โดยเฉพาะผู้ชายผมสีฟ้าคนนั้นที่เขาได้ปกปิดออร่าของตัวเองไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และถ้าฉันไม่ได้มองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์จริงๆ ฉันก็คิดว่าฉันจะไม่ได้ตระหนักถึงการมีอยู่ของเขาเลย” เทียนเฉิง เด็กหนุ่มที่มีท่าทางซื่อสัตย์ข้างเครุยกล่าวอธิบาย “ตามจริงต้องบอกว่าฉันไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้ด้วยซ้ำ”
“จะเป็นไปได้ยังไงกัน ?!” คำพูดของเทียนเฉิงนั้นทำให้เครุยตกตะลึง เธอสงสัยว่าเทียนเฉิงกำลังล้อเล่นกับเธอ
เทียนเฉิงนั้นเป็นหนึ่งในอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ของฟรอสต์ฮีฟเว่นที่ได้รับการดูแลมาอย่างดีจากบริษัทโบลเดอร์ ซึ่งไม่เพียงแต่เขาจะมาถึงขอบเขตโดเมนตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เขายังจัดว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ตามธรรมชาติในด้านสมอง ความเร็วในการประมวลของเขานั้นเร็วกว่าคนทั่วไปมาก และแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมนรุ่นเก่าบางคนก็ยังเทียบกับเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ
แล้วสภาสิบแปดปีกจะเลี้ยงดูผู้เชี่ยวชาญที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ให้กับเทียนเฉิงได้ขึ้นมาได้อย่างไร ?
“พวกเขาไม่ใช่สมาชิกสภาสิบแปดปีก ….” มู่ฉินกล่าวขึ้นมาอย่างกระทันหัน
“พวกเขาไม่ใช่งั้นหรอ ?” ลุงหงแปลกใจเล็กน้อย
สำหรับผู้เชี่ยวชาญที่อ่อนเยาว์เช่นนี้ เมื่อพวกเขามาปรากฎตัวในสำนักงานใหญ่หลักของสมาชิกสภาสิบแปดปีก แล้วพวกเขาจะไม่ใช่สมาชิกสภาสิบแปดปีกได้อย่างไร ?
“ฉันเคยเห็นข้อมูลตัวตนของพวกเขามาก่อน แม้ว่ามันจะดูแตกต่างกันบ้างใน God domain แต่รูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขานั้นตรงตามข้อมูลทั้งหมด เด็กผมสีฟ้าคนนั้นน่าจะเป็นโซริทารี่ฟรอสต์ รุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดของหอการค้าอาซู และฉันก็ได้ยินมาว่าไวโอเล็ตซอร์ดนั้นสนใจในตัวเขามาก” มู่ฉินอธิบาย
มู่ฉินนั้นแตกต่างจากลุงหงที่คอยจัดการกิลอยู่เบื้องหลัง แถมเธอยังเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องเครือข่ายข่าวกรองของกิล ดังนั้นเธอจึงมีข้อมูลและความเข้าใจเกี่ยวกับมหาอำนาจต่างๆของ God domain มากกว่าลุงหง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรุ่นเยาว์ของมหาอำนาจต่างๆที่เธอนั้นให้ความสำคัญมากๆในการรวบรวมข้อมูลของพวกเขา
“ทำไมอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ของหอการค้าอาซูถึงมาอยู่ที่นี่กัน ?” เครุยยิ่งงงงวยมากขึ้นกับการเปิดเผยนี้
มหาอำนาจต่างๆล้วนยกย่องและฟูมฟักอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้เป็นอย่างดี และพวกเขาก็จะป้อนทรัพยากรล้ำค่าทุกประเภทที่พวกเขามีให้กับอัจฉริยะแบบนี้ทุกวัน แถมอัจฉริยะแบบนี้ก็ยังจะต้องฝึกฝนอย่างเข้มงวดทุกวัน และพูดกันตรงๆ พวกเขาจะไม่ปล่อยให้คนเหล่านี้ออกจากสำนักงานใหญ่หลักของตัวเองโดยไม่ได้มีคำสั่งใดๆ หรือไม่ได้ขออนุญาติแน่นอน เทียนเฉิงเองนั้นก็เป็นกรณีที่คล้ายกัน หากไม่ใช่เพราะว่าครั้งนี้ต้องมาตรวจสอบความแข็งแกร่งของสภาสิบแปดปีก เขาจะไม่ได้รับอนุญาติให้ออกจากสำนักงานใหญ่หลักของฟรอสต์ฮีฟเว่นเลย ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ
“สภาสิบแปดปีกนั้นน่าสนใจจริงๆ ไม่เพียงแต่อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้จากหอการค้าอาซูจะมาอยู่ที่นี่ แต่มันยังมีเพื่อนเก่าของฉันจากหอการค้าอาซูมาด้วย” ลุงหงกล่าวขณะที่เขาจ้องมองไปยังชายวัยกลางคนที่นั่งดื่มชาอยู่ที่มุมหนึ่งของล็อบบี้
“เพื่อนเก่าของลุงหง ?” เมื่อเครุยหันไปมองชายที่ลุงหงมองอยู่ เธอก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว
ชายที่ลุงหงกำลังมองอยู่นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากต้วนฮันซาน ซึ่งเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่รุ่นที่สองของตระกูลต้วน และชื่อเสียงในอุตสาหกรรมเกมเสมือนจริงของ
ต้วนฮันซานนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าลุงหงเลย
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เธอเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการฟังเรื่องราวของชายเหล่านี้
สำหรับการที่ต้วนฮันซานมาเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกเป็นการส่วนตัวแบบนี้ มันถือเป็นข่าวใหญ่แน่นอน
ในขณะเดียวกันเมื่อลุงหง ซึ่งมีชื่อเต็มๆว่า หงซินหยวน สังเกตเห็นต้วนฮันซาน ต้วนฮันซานก็สังเกตเห็นเขาเช่นกัน ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะยิ้มให้กัน
“มาเถอะ ตามฉันมา ….” หงซินหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากพูดจบหงซินหยวนก็ได้นำมู่ฉินและคนอื่นๆเดินตรงเข้าไปหาต้วนฮันซาน
“ผู้อาวุโสหง ลมอะไรหอบคุณมาที่กัน ?” ต้วนฮันซานกล่าวทักทายหงซินหยวนด้วยรอยยิ้ม
“หลานสาวของฉันสองคนสนใจสภาสิบแปดปีกมากๆ ดังนั้นฉันจึงได้มาตรวจสอบที่นี่ ….” หงซินหยวนตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ “อย่างไรก็ตามฉันอยากรู้จังว่าทำไมปีศาจน้ำแข็งแห่งทวีปด้านตะวันตกถึงมาปรากฎตัวที่นี่ ทวีปด้านตะวันออกและตะวันตกยังไม่น่าจะมีปฎิสัมพันธ์กันมากนักนี่นา”
หอการค้าอาซูนั้นมีปฎิบัติการและฐานที่มั่นส่วนใหญ่อยู่ในทวีปด้านตะวันตก และพวกเขาก็มีธุรกิจอยู่ในทวีปด้านตะวันออกน้อยมาก ดังนั้นไม่ว่าหงซินหยวนจะคิดอย่างไร มันก็ไม่ควรมีการติดต่อกันระหว่างหอการค้าอาซูและสภาสิบแปดปีกมากนักเลย
ต้วนฮันซานหรี่ตาลงและมองไปยังหงซินหยวนอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนที่เขาจะลูบเคราของเขาและตอบอย่างเฉยเมยว่า “มันก็ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่พารุ่นเยาว์เหล่านี้มาประชุมและฝึกอบรมกับสภาสิบแปดปีกน่ะ แล้วพวกคุณล่ะ มาที่นี่เพื่อประชุมและฝึกกับสภาสิบแปดปีกเหมือนกันหรอ ?”
หงซินหยวนขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินคำตอบของต้วนฮันซาน ก่อนที่เขาจะมองไปยังต้วนฮันซานด้วยท่าทีสงสัย ….
นับประสาอะไรกับหงซินหยวน แม้แต่เครุยก็ยังคิดว่าต้วนฮันซานกำลังล้อเล่นกับพวกเขา แม้ว่าเธอจะเป็นมือใหม่ที่พึ่งเข้าสู่อุตสาหกรรมเกมเสมือนจริงเมื่อไม่นานมานี้ แต่เธอก็รู้ดีว่าหอการค้าอาซูนั้นมีรากฐานที่ไม่ธรรมดา และก็อยู่เหนือกว่ามหาอำนาจทั่วไปมาก
ในการเปรียบเทียบ สภาสิบแปดปีกนั้นเป็นกิลใหม่ที่พึ่งจะเกิดขึ้นมาพร้อมกับ God domain ดังนั้นใครกันจะไปเชื่อว่าหอการค้าอาซูจะส่งอัจฉริยะของพวกเขามาฝึกกับสภาสิบแปดปีก ?
“อะไร ? ไม่เชื่อฉันงั้นหรอ …” ต้วนฮันซานกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ
“ถ้าเราอยู่ในสำนักงานใหญ่หลักของซุเปอร์กิล ฉันจะเชื่อคุณแน่ๆ แต่ที่นี่มันสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกนะ …” หงซินหยวนกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ และส่ายหัว
การดำเนินการบางอย่างของกิลนั้นต้องถูกเก็บเป็นความลับ และไม่สามารถเปิดเผยให้บุคคลภายนอกรับรู้ได้ อย่างไรก็ตามในความเห็นของหงซินหยวน ข้อแก้ตัวของต้วนฮันซานมันก็ออกจะเกินไปหน่อย การบอกว่าเหล่าอัจฉริยะของหอการค้าอาซูมาเพื่อสอนสมาชิกสภาสิบแปดปีกมันยังจะดูน่าเชื่อกว่า
“ฉันรู้ว่าคุณคงไม่เชื่อฉัน ….” รอยยิ้มของต้วนฮันซานสดใสขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดของหงซินหยวน จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่แพลตฟอร์มการต่อสู้เสมือนจริงที่อยู่ใกล้ๆและพูดว่า “อีกครู่หนึ่ง เรากำลังจะฝึกต่อสู้กับสภาสิบแปดปีกพอดี เนื่องจากคุณไม่เชื่อฉัน งั้นเรามาพนันกันหน่อยไหม ?”
“พนัน ? เราจะพนันกันอย่างไร ?” หงซินหยวนถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“คุณพารุ่นเยาว์ของคุณมาด้วยไม่ใช่หรอ ?” ต้วนฮันซานกล่าวพลางมองไปที่เทียนเฉิง ก่อนที่เขาจะกล่าวต่ออย่างใจเย็นว่า “เท่าที่ดู ฉันว่าเขาค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว ทำไมคุณไม่ให้เขาเข้ามาต่อสู้แทนรุ่นเยาว์ของฉันล่ะ ? อย่างไรก็ตามนี่มันเป็นสิทที่ค่อนข้างมีค่ามาก ฉันไม่สามารถปล่อยให้รุ่นเยาว์ของคุณเข้าร่วมได้ฟรีๆ ดังนั้นฉันขอสารอาหารเหลวระดับ S ห้าขวดเป็นค่ามัดจำแล้วกัน”
หงซินหยวนนั้นแทบสำลัก เมื่อได้ยินข้อเสนอของต้วนฮันซาน ต้วนฮันซานไม่เพียงแต่จะขอให้รุ่นเยาว์ของเขาออกไปแสดงความสามารถ แต่เขาก็ยังขอสารอาหารเหลวระดับ S อีกห้าขวดด้วย นี่มันไร้ยางอายเกินไป !!!
“อย่าพึ่งรีบปฎิเสธฉัน …” เมื่อเห็นใบหน้าที่มืดมนของหงซินหยวน ต้วนฮันซานก็กล่าวเสริมว่า “ถ้ารุ่นเยาว์ของคุณชนะ ฉันจะจ่ายคืนให้สองเท่าเลย”
“ดูเหมือนว่าคุณจะประเมินสภาสิบแปดปีกไว้ค่อนข้างสูงนะ ….” หงซินหยวนค่อนข้างแปลกใจ เมื่อได้ยินข้อเสนอของต้วนฮันซาน
สารอาหารเหลวระดับ S สิบขวดนั้นมันเพียงพอที่จะใช้เลี้ยงดูคนๆหนึ่งให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดขึ้นมาได้ในเวลาครึ่งปีเลย และจำนวนนี้ก็ยังนับว่ามากอยู่แม้แต่กับมหาอำนาจอย่างฟรอสต์ฮีฟเว่น
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่หงซินหยวนกำลังจะตอบรับข้อเสนอนั้น ต้วนฮันซานก็กล่าวต่อว่า “แต่ถ้าคุณแพ้ คุณจะต้องจ่ายเพิ่มให้ฉันอีกสิบขวดนะ ….”
“…” ชั่วครู่หนึ่ง หงซินหยวนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ….
ทำไมต้วนฮันซานถึงทำเหมือนกับว่าพวกเขาจะแพ้แน่นอนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ?
“ว่าไง อยากพนันไหม ?” ต้วนฮันซานถามย้ำ เมื่อเห็นหงซินหยวนยังคงเงียบอยู่
อย่างไรก็ตามหงซินหยวนนั้นไม่ได้เป็นมือใหม่หรือคนที่หยิ่งผยอง เขาไม่ได้รีบตอบรับคำถามของต้วนฮันซาน ตรงกันข้ามเขาได้หันกลับไปมองเทียนเฉิงแทน
“เทียนเฉิง นายคิดว่าไง ?” หงซินหยวนถาม
ตอนที่ 2698 สภาสิบแปดปีกปกปิดความแข็งแกร่ง
เมื่อได้ยินคำถามของหงซินหยวน เครุยก็รีบส่งสัญญาณให้เทียนเฉิงเห็นด้วย เพราะท้ายที่สุดนี่เป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมในการขัดขวางแผนการของมู่ฉิน
เทียนเฉิงนั้นเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งเป็นอันดับห้า ในหมู่สิบดาบของฟรอสต์ฮีฟเว่น และจากทุกคนในสภาสิบแปดปีก มันก็น่าจะมีเพียงแบล๊คเฟรมเท่านั้นที่ต่อกรกับเขาได้
อย่างไรก็ตามเทียนเฉิงนั้นไม่ได้รีบตอบตกลงหรือเห็นด้วยในทันที
“ลุงหง ฉันขอใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มีได้ไหม ?” เทียนเฉิงถาม
สิบดาบนั้นแตกต่างจากสมาชิกทั่วไปของฟรอสต์ฮีฟเว่น พวกเขาจำเป็นที่จะต้องปกปิดความแข็งแกร่งของตัวเองไว้จากบุคคลภายนอก และหากพวกเขาไม่ได้รับคำสั่งอย่างชัดเจนจากพวกระดับสูงของกิล พวกเขาก็จะไม่สามารถแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการที่พวกเขาต้องพ่ายแพ้อย่างทุกข์ทรมาณก็ตาม
คำถามของเทียนเฉิงนั้นไม่ได้ทำต้วนฮันซานแปลกใจ เพราะท้ายที่สุดกรณีนี้มันก็เป็นแบบเดียวกับหอการค้าอาซู สำหรับโซริทารี่ฟรอสต์และคนอื่นๆที่พวกเขาได้รับอนุมัติให้แสดงความแข็งแกร่งได้เต็มที่ในตอนงานแข่งขันประจำปี ก็เพราะมันเป็นงานที่สำคัญมากๆ
“นายสามารถใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของตัวเองออกมาได้เลย ถ้าจำเป็น ….” หง
ซินหยวนกล่าวหลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้
แบล๊คเฟรม หัวหน้ากิลสภาสิบแปดปีกนั้นมีความแข็งแกร่งที่สามารถจะต่อกรกับ Faux Saint Devourers ซึ่งเป็นมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายขั้นสี่ได้แบบตัวต่อตัว หากแบล๊คเฟรมออกมาต่อสู้ในฐานะตัวแทนของสภาสิบแปดปีก เทียนเฉิงจะแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย หากเขาปกปิดความแข็งแกร่งบางส่วนของตัวเองเอาไว้
ซึ่งผลลัพธ์ดังกล่าวนั้นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่หงซินหยวนอยากจะเห็นเลย เพราะท้ายที่สุดแล้วเป้าหมายของเขาหลักที่มาในวันนี้ก็คือทำให้สภาสิบแปดปีกรับรู้ถึงความน่ากลัวของฟรอสต์ฮีฟเว่น
“งั้นฉันก็ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้แล้ว …” จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ลุกโชนขึ้นในดวงตาของเทียนเฉิงทันที เมื่อเขาได้รับคำอนุมัติจากหงซินหยวน
“ดี งั้นฉันจะปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่นาย …” หงซินหยวนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นเขาก็หันไปหาต้วนฮันซานและพูดว่า “ผู้อาวุโสต้วน ฉันตกลง ….”
ในตอนแรกหงซินหยวนก็กำลังคิดอยู่พอดีว่าจะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้สภาสิบแปดปีกได้ตระหนักถึงความสามารถของฟรอสต์ฮีฟเว่น แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ต้องคิดแล้ว
“ตามนั้นเลย …” ต้วนฮันซานกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ จากนั้นเขาก็หันไปบอกเด็กหนุ่มผมสีฟ้าว่า “กู้หาน ออกมาก่อน และปล่อยให้เด็กคนนี้เข้าไปแทนนาย ….”
“หื้ม ?” หลังจากมองไปยังเทียนเฉิงอย่างพินิจพิเคราะห์ กู้หานก็กล่าวออกมาอย่างไม่เต็มใจว่า “ผู้อาวุโสต้วน คุณแน่ใจงั้นหรอ ?”
เมื่อเทียนเฉิงและหงซินหยวนได้ยินคำพูดของกู้หาน พวกเขาก็แทบจะกระอักเลือดออกมา
นี่พวกเขาสองคนนี้ประเมินฟรอสต์ฮีฟเว่นไว้ต่ำแค่ไหนกัน ?!
อย่างไรก็ตามหงซินหยวนนั้นไม่ได้ระเบิดออกมาด้วยความโกรธ เขายังคงสงวนท่าทีของเขาเอาไว้ได้ และเขาก็เพียงแค่ส่งสายตาให้เทียนเฉิงเป็นสัญญาเหมือนกับจะบอกว่า “นายรู้นะว่าจะต้องทำอะไร” พวกเขาจะต้องทำให้หอการค้าอาซูรู้ว่า
ฟรอสต์ฮีฟเว่นนั้นทรงพลังมากแค่ไหนผ่านการต่อสู้ครั้งนี้
หลังจากนั้นไม่นานการฝึกต่อสู้ระหว่างสภาสิบแปดปีกและหอการค้าอาซูก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
ในเวลานี้มันก็มีผู้คนจำนวนมากขึ้นมารวมตัวกันที่แพลตฟอร์มการต่อสู้เสมือนจริง และไม่ว่าจะเป็นสมาชิกของสภาสิบแปดปีก หรือสมาชิกของหอการค้าอาซูพวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยท่าทีตื่นเต้นและมีความสุข
“ฉันได้ยินมาว่ารุ่นเยาว์จากฟรอสต์ฮีฟเว่นจะเข้ามาแทนที่กู้หาน ฉันสงสัยจังว่ารุ่นเยาว์คนนี้จะยืนหยัดอยู่ได้กี่วินาทีกัน ?”
“ฉันได้ยินมาว่าสถิติที่ดีที่สุดจนถึงตอนนี้คือสิบหกวินาทีเท่านั้น”
“สิบหก ? งั้นในกรณีนี้รุ่นเยาว์คนนี้น่าจะยืนหยัดอยู่ได้สักสิบวินาที”
“สิบ ? ฉันว่ามากเกินไปหน่อยมั้ง !!! ฉันขอพนันเลยว่ารุ่นเยาว์คนนี้จะยืนหยัดอยู่ได้ไม่เกินหกถึงเจ็ดวินาที !!!”
การเปลี่ยนตัวผู้เข้าฝึกการต่อสู้อย่างกระทันหันได้ทำให้เกิดการพูดคุยกันอย่างดุเดือดในหมู่ผู้ชม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสมาชิกของหอการค้าอาซูที่ล้วนเริ่มคาดเดากันว่าเทียนเฉิงจะยืนหยัดอยู่ได้กี่วินาทีในการดวล ซึ่งสถานการณ์นี้ทำให้เครุยกัดฟันด้วยความโกรธ ขณะที่มู่ฉินนั้นก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง
นี่มันเป็นเพราะว่าฟรอสต์ฮีฟเว่นไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวใดๆเลยในช่วงนี้งั้นหรอ ? คนเหล่านี้ถึงปฎิบัติต่อฟรอสต์ฮีฟเว่นราวกับเป็นกิลที่ไร้ความสามารถเช่นนี้ …. มู่ฉินนั้นรู้สึกว่ามันมีบางอย่างผิดปกติในเรื่องการพูดคุยกันของคนเหล่านี้
พฤติกรรมและท่าทีของสมาชิกหอการค้าอาซูนั้นมันแปลกเกินไป พวกเขาพูดราวกับว่าการสามารถยืนหยัดต่อสู้กับตัวแทนของสภาสิบแปดปีกได้เพียงไม่กี่วินาทีเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจ นี่มันดูเหมือนจะไม่มีใครมีสติ และมีความภาคภูมิใจในฐานะผู้เชี่ยวชาญเลย
หลังจากที่เทียนเฉิงเข้ามานั่งอยู่ในห้องเคบินของแฟลตฟอร์มการต่อสู้เสมือนจริง เขาก็เห็นว่าเด็กสาวที่ดูสวยและสง่าคนหนึ่งได้ตรงเข้าไปนั่งในห้องเคบินตรงข้ามเขา ซึ่งนี่มันทำให้เทียนเฉิงโกรธมากๆ เพราะไม่เพียงแต่เด็กสาวคนนี้จะไม่ให้อารมณ์ความรู้สึก และแผ่ออร่าในฐานะผู้เชี่ยวชาญออกมาเลย แต่เธอยังดูเป็นเด็กสาวที่ปกติมากๆ
นี่พวกเขาล้อฉันเล่นรึไงกัน ?! ตอนนี้จิตใจของเทียนเฉิงนั้นเต็มไปด้วยความโกรธมากจริงๆเมื่อได้เห็นดังนี้
ในตอนแรกเขาคิดว่าสภาสิบแปดปีกจะส่งผู้เชี่ยวชาญที่ยอดเยี่ยมออกมาต่อสู้กับเขา ดังนั้นเขาจึงได้ขออนุญาติหงซินหยวนเพื่อจะใช้พลังทั้งหมดที่มี
อย่างไรก็ตามสภาสิบแปดปีกไม่เพียงแต่จะไม่ส่งแบล๊คเฟรมออกมาเผชิญหน้ากับเขาเท่านั้น แต่แม้แต่รองหัวหน้ากิลทั้งสองก็ยังไม่ปรากฎตัวออกมา สภาสิบแปดปีกนั้นส่งแค่เด็กสาวที่ดูปกติคนหนึ่งมาเผชิญหน้ากับเขา นี่สภาสิบแปดปีกประเมิน
ฟรอสต์ฮีฟเว่นไว้ต่ำขนาดนี้เลยงั้นหรอ ?
“ผู้อาวุโสต้วน นี่คือกิลที่คุณประเมินไว้สูงงั้นหรอ ? …” หงซินหยวนหัวเราะเบาๆอย่างไม่ตั้งใจ ในขณะที่เขาตรวจสอบไวโอเล็ตคลาวด์
หลังจากได้เห็นความมั่นใจของต้วนฮันซาน หงซินหยวนก็เกือบจะเชื่อว่าสภาสิบแปดปีกนั้นมีมากกว่าที่ตาเห็น อย่างไรก็ตามเมื่อดูจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว เขาจะไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเลย
แม้ว่าไวโอเล็ตคลาวด์จะมีความสามารถในการเข้าถึงขอบเขตอนันต์ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เธอก็ยังคงจัดว่าอ่อนแอมากเมื่อเทียบกับเทียนเฉิง ในความจริงเทียนเฉิงน่าจะยุติการต่อสู้ได้ในไม่กี่วินาทีด้วยซ้ำ
“แน่นอน” เมื่อเห็นท่าทีของหงซินหยวน ต้วนฮันซานก็ยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “ทำไมเราไม่มาเพิ่มของพนันกันสักหน่อยล่ะ ?”
“อะไรกัน ? คุณเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองแล้วหรอ ?” หงซินหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใช่ๆ นอกเหนือจากของเดิมพันที่กล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว เราจะวางเดิมพันคริสตัลเวทย์มนต์เพิ่มอีกหนึ่งแสนชิ้นเป็นยังไง ?” ต้วนฮันซานกล่าวอย่างมีความสุข
“จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันไม่ตกลง ?” หงซินหยวนถาม
ในความเห็นของหงซินหยวน ต้วนฮันซานเพียงแค่พยายามจะทำให้เขาหวาดกลัว เพื่อให้เขายกเลิกการเดิมพัน เพราะหลังจากการอัพเดทครั้งใหญ่ของ God domain ราคาของคริสตัลเวทย์มนต์และวัสดุต่างๆจะเพิ่มขึ้นแน่นอน ดังนั้นมหาอำนาจต่างๆจึงล้วนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะรวบรวมทรัพยากรเหล่านี้ให้มากที่สุด และก็ไม่มีใครยอมขายมันด้วย ยิ่งไปกว่านั้นคริสตัลเวทย์มนต์หนึ่งแสนชิ้นก็ยังจัดว่าเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมาก และแม้แต่หงซินหยวนเองก็ยังไม่สามารถจะนำมันออกมาเดิมพันแบบมั่วๆได้
“ไม่สำคัญเลยว่าคุณจะปฎิเสธไหม มันขึ้นอยู่กับคุณ …” ต้วนฮันซานกล่าวอย่างไม่แยแส
“ตกลง ฉันจะพนันกับคุณ” หงซินหยวนยอมรับการพนันทันที เมื่อเห็นว่าต้วนฮันซานพูดออกมาแบบนี้
“ดี !! ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนดี ….” ต้วนฮันซานพูดสั้นๆด้วยรอยยิ้ม
“เป็นคนดีงั้นหรอ ?” หงซินหยวนพบว่าคำพูดของต้วนฮันซานนั้นค่อนข้างแปลก
ในระหว่างการพูดคุยกัน หน้าจอโฮโลแกรมด้านนอกห้องต่อสู้ในแพลตฟอร์มเสมือนจริงก็แสดงให้เห็นเทียนเฉิง และไวโอเล็ตคลาวด์ที่ยืนอยู่
สนามรบที่พวกเขาจะต้องต่อสู้กันนั้นเป็นถิ่นทุรกันดารที่แห้งแล้ง โดยผู้เล่นทั้งสองคนนั้นยืนอยู่ห่างกันประมาณหนึ่งร้อยหลา และทั้งคู่ก็มีเลเวลรวมทั้งอาวุธและอุปกรณ์ทั้งหมดเหมือนกับตอนที่ล๊อคเอ้าท์ออกจาก God domain ครั้งล่าสุด
ในเวลานี้เทียนเฉิงนั้นมีอุปกรณ์ระดับอีปิคทั้งหมดหกชิ้น และหอกที่เขาถือนั้นก็ยังแผ่พลังแห่งความมืดออกมาเล็กน้อยจนทำให้พื้นโดยรอบเขาสั่นสะเทือน แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ใช้งานมันก็ตาม และมองเพียงแค่แวบเดียวมันก็สามารถบอกได้เลยว่าหอกนี้นั้นเป็นอาวุธเวทย์มนต์ที่มีคุณสมบัติพิเศษเหนือกว่าอาวุธระดับอีปิคทั่วไปแน่นอน
สำหรับเทียนเฉิง ตัวเขาเองก็ได้มาถึงเลเวลหนึ่งร้อยสิบเก้าแล้ว เลเวลของเขานั้นจะสามารถจัดอยู่ในอันดับต้นๆได้เลย แม้จะรวมผู้เล่นใน God domain ทั้งหมดแล้วก็ตาม
“ฮี่ๆ ตอนนี้คุณรู้รึยังว่ากิลของเราแข็งแกร่งแค่ไหน !!!?” เครุยพึมพำ อย่างไรก็ตามตรงกันข้ามกับความคาดหวังของเครุย ฝูงชนที่อยู่นอกห้องต่อสู้ไม่ได้แสดงความประหลาดใจหรืออุทานด้วยความตกใจ แต่พวกเขายังคงดูสงบนิ่งมากๆ
ในทางกลับกันความรู้สึกที่ซับซ้อนก็ปรากฎขึ้นในดวงตาของมู่ฉิน เมื่อเธอมองไปที่หน้าจอโฮโลแกรม ซึ่งมันราวกับว่าเธอได้เห็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ
เมื่อเห็นดังนี้เครุยก็รีบมองตามสายตาพี่สาวของเธอทันที
ไวโอเล็ตคลาวด์ เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ด
ไวโอเล็ตคลาวด์มีเลเวลสูงกว่าเทียนเฉิงสองเลเวล
“เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ด ?!”
เครุยเต็มไปด้วยความตกตะลึง ฟรอสต์ฮีฟเว่นนั้นได้ระดมทรัพยากรทั้งหมดเพื่อช่วยให้เทียนเฉิงไปถึงเลเวลหนึ่งร้อยสิบเก้า แต่เครอลิคจากสภาสิบแปดปีกกับมีเลเวลสูงกว่าเขาสองเลเวล
ภายในพื้นที่การต่อสู้เสมือนจริง เทียนเฉิงนั้นก็ประหลาดใจกับเรื่องนี้เช่นกัน เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีใครที่เหนือกว่าเขาอยู่จริงในแง่ของเลเวล แถมนี่มันยังเหนือกว่าเขาถึงสองเลเวลด้วย
“ดูเหมือนว่าคุณจะมีความสามารถค่อนข้างมากทีเดียว !!! อย่างไรก็ตามความแตกต่างของเลเวลแค่นี้จะไม่ได้ทำให้คุณได้เปรียบเลย !!!” เทียนเฉิงกล่าวขณะที่เขามองไปยังไวโอเล็ตคลาวด์ “ในทางกลับกัน การต่อสู้ภายในถิ่นทุรกันดารแบบนี้ มันถือเป็นข้อเสียเปรียบอย่างมากสำหรับอาชีพสายเวทย์แบบคุณ เพราะคุณจะไม่มีพื้นที่ให้หลบหลีก ….”
“มันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้นะ ….” ไวโอเล็ตคลาวด์กล่าวอย่างสบายๆ
“เป็นอย่างนั้นหรอ ? งั้นแสดงให้ฉันดูหน่อยว่าคุณคิดถูก !!!” เทียนเฉิงกล่าว
หลังจากพูดจบเทียนเฉิงก็พุ่งเข้าใส่ไวโอเล็ตคลาวด์ โดยทิ้งไว้เพียงภาพติดตาในตำแหน่งเดิมของเขาเท่านั้น
สกิลขั้นสาม หนามเงา !
เนื่องจากข้อจำกัดของแฟลตฟอร์มการต่อสู้เสมือนจริง เขาจึงไม่สามารถจะเลียนแบบความแข็งแกร่งของเขาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แบบใน God domain อย่างไรก็ตามร่างกายและค่าสถานะพื้นฐานของเขานั้นมันก็จะยังคงเหมือนกับที่เขามีในเกม
สำหรับผู้เล่นขั้นสามทั่วไปนั้นอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการก้าวข้ามระยะหนึ่งร้อยหลา แต่เทียนเฉิงนั้นสามารถจะทำได้ในพริบตา ซึ่งนี่เป็นเพราะว่าตัวเขานั้นมีอาชีพเป็นอาชีพลับอย่างนักรบหอกมังกร
ซึ่งเมื่อเทียนเฉิงมาปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าของไวโอเล็ตคลาวด์ในพริบตา เขาก็แทงหอกเข้าไปที่เธอทันที
ภาพหอกจำนวนมากปรากฎขึ้นในขณะที่เทียนเฉิงทำการโจมตีนี้ และทุกภาพก็ล้วนดูเหมือนจริงแทบทั้งหมด
การโจมตีนี้นั้นเป็นเทคนิคที่ดีที่สุดของเทียนเฉิง และแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมนก็ยังยากที่จะรับมือกับมันได้
“การผสมผสานระหว่างเวทย์มนต์กับศิลปะการต่อสู้งั้นหรอ ?”
ต้วนฮันซานเข้าใจถึงหลักการพื้นฐานของเทคนิคที่เทียนเฉิงใช้ในทันที และเขาก็ต้องยอมรับเลยว่ารุ่นเยาว์คนนี้นั้นมีพรสวรรค์มากๆ แม้ว่าเทคนิคนี้ของเทียนเฉิงจะดูธรรมดา แต่เขาก็สามารถบอกได้เลยว่าเมื่อเทียนเฉิงใช้เทคนิคนี้โจมตีมันก็จะสร้างวงเวทย์ซึ่งรวมพลังการโจมตีทั้งหมดของเขาเข้าด้วยกัน ความสามารถในการจัดการมานาของเทียนเฉิงนั้นจัดว่าน่ากลัวอย่างแท้จริง และพลังในการโจมตีนี้ของเขามันก็เทียบเท่ากับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายทั่วไปในเลเวลเดียวกันเลย
หากผู้เล่นสายเวทย์โดนการโจมตีนี้เข้าไป พวกเขาจะตายลงทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย
ในระหว่างนี้เครุยนั้นก็รู้สึกภาคภูมิใจกับการแสดงของเทียนเฉิงเช่นกัน แต่ทันใดนั้นเสียงถอนหายใจก็ดังมาเข้าหูของเธอ
“ผู้ชายคนนั้นช่างกล้าหาญจริงๆ !!! เขาได้เข้าไปต่อสู้ในระยะประชิดจริงๆ … เขาได้ตายแน่นอน ….”
เครุยที่กำลังจะพูดบางอย่างนั้นเงียบลงไปทันที เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เพราะท้ายที่สุดหากไม่ให้ผู้เล่นระยะประชิดต่อสู้ในระยะประชิดจะให้พวกเขาต่อสู้แบบไหนกัน ? ระยะไกลงั้นหรอ ?
เธอไม่เคยได้ยินใครพูดอะไรที่มันไร้สาระแบบนี้มาก่อนเลย !!!
อย่างไรก็ตามตรงกันข้ามกับความคาดหวังของเครุยและคนอื่นๆจากฟรอสต์ฮีฟเว่นที่หวังจะได้เห็นการล่าถอยอย่างรวดเร็วของไวโอเล็ตคลาวด์ หรือไม่ก็ได้เห็นเทียนเฉิงจบการต่อสู้นี้ในการเคลื่อนไหวเดียว ไวโอเล็ตคลาวด์นั้นยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมของเธอ และเธอก็ได้ริเริ่มที่จะเข้าปะทะกับการโจมตีของเทียนเฉิงโดยตรง
เมื่อการโจมตีของเทียนเฉิงกำลังจะเข้าถึงตัวเธอ ไวโอเล็ตคลาวด์ก็ได้เหวี่ยงคทาของเธอเป็นแนวนอน ก่อนที่จะยกมือข้างที่ว่างของเธอขึ้นเพื่อรับการโจมตีที่รุนแรงนี้
ผู้เล่นนักเวทย์ที่พยายามจะรับการโจมตีของผู้เล่นระยะประชิดโดยไม่ใช้เวทย์นั้นมันเป็นเพียงการฆ่าตัวตายชัดๆ !!!
อย่างไรก็ตามในขณะที่มือของไวโอเล็ตคลาวด์กำลังจะสัมผัสกับหอกของเทียนเฉิง วงเวทย์ขนาดใหญ่ที่ซ้อนทับกันสองชั้นก็ปรากฎขึ้นบนฝ่ามือของเธอ
เวทย์ป้องกันขั้นสาม Amethyst Barrier!
หลังจากเรียกบาเรียออกมาแล้ว ไวโอเล็ตคลาวด์ก็โบกมืออีกครั้งเพื่อผลักบาเรีย
ออกไป
ช่วงเวลาต่อมา ไม่เพียงแต่บาเรียนี้จะทำให้การโจมตีของเทียนเฉิงไร้ผล แต่บาเรียนี้มันยังคงพุ่งไปข้างหน้า และบังคับให้เทียนเฉิงต้องหลบมันด้วย
“เวทย์ป้องกันขั้นสามสามารถใช้แบบนี้ได้ด้วยงั้นหรอ ?” เครุยตกตะลึง เมื่อเธอได้เห็นไวโอเล็ตคลาวด์ทำให้การโจมตีของเทียนเฉิงไร้ผล
เวทย์ป้องกันใน God domain นั้นมักจะอยู่กับที่ และไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้เมื่อร่าย เหตุผลหลักก็คือความยากในการควบคุมมานาที่ต้องใช้ในการดำเนินการเคลื่อนย้ายแบบนี้มันสูง และซับซ้อนมากๆ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมนบางคนก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ไวโอเล็ตคลาวด์กับทำได้ ในขณะเดียวกันขณะที่เทียนเฉิงหลบบาเรีย และกำลังจะทำการโจมตีเครอลิคอีกครั้ง เขาก็ต้องตัวแข็งค้างด้วยความตกใจ
ใบดาบเวทย์มนต์มากกว่าสามร้อยเล่มปรากฎขึ้นรอบๆไวโอเล็ตคลาวด์ และทุกเล่มมันก็มีพลังมากพอจะทำลายสวรรค์และโลกได้เลย และโดยไม่ได้ให้เทียนเฉิงตั้งตัวใดๆใบดาบพวกนี้ก็พุ่งเข้าโจมตีเขาทันที
เทคการร่ายเวทย์อย่างรวดเร็วสองเวทย์พร้อมกันงั้นหรอ ? เทียนเฉิงรีบใช้เทคนิคการต่อสู้ป้องกันทันที ในขณะที่เขาเปิดใช้งานสกิลป้องกันขั้นสามร่วมด้วย
วินาทีต่อมา ใบดาบเวทย์มนต์ทั้งหมดของไวโอเล็ตคลาวด์ก็ระดมโจมตีเข้าใส่เทียนเฉิงทันที
ตู้ม … ตู้ม … ตู้ม …
เกิดการระเบิดเป็นชุดๆจนมีเสียงดังสนั่นขึ้นหลายครั้งในสนามรบ และความผันผวนเชิงพื้นที่ก็สามารถมองเห็นได้ชัดเลยบนหน้าจอโฮโลแกรมแพลตฟอร์มการต่อสู้เสมือนจริง
การป้องกันของเทียนเฉิงนั้นอาจกล่าวได้ว่าสมบูรณ์แบบ เพราะเขาได้บรรลุความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ด้วยโดเมนของเขาแล้ว ทุกการเคลื่อนไหวของเขานั้นถูกทำให้เรียบง่ายจนถึงขีดสุด ซึ่งมันราวกับว่าเขาได้สร้างกำแพงเหล็กขึ้นมาป้องกันเขา
อย่างไรก็ตามสามวินาทีต่อมา ร่างของๆคนหนึ่งก็ปลิวกระเด็นออกมาจากบริเวณที่ฟุ้งไปด้วยฝุ่นควันซึ่งเป็นพื้นที่ของการปะทะกัน และกระแทรกลงกับพื้น
“เป็นไปได้ยังไงกัน ?!”
เครุยนั้นรู้สึกมึนงงมากๆ เมื่อเธอสามารถระบุได้ว่าร่างๆนี้เป็นใคร
เพราะท้ายที่สุดแล้วร่างๆนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเทียนเฉิง !!!
ตอนที่ 2699 บทสรุปเบื้องหน้า
“ฉัน … แพ้แล้วจริงๆสินะ”
เทียนเฉิงนั้นเต็มไปด้วยสีหน้างุนงง เมื่อเขาตื่นขึ้นมาในห้องเคบินของแพลตฟอร์มการต่อสู้เสมือนจริง ชั่วครู่หนึ่งความคิดของเขายังคงอยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายของการต่อสู้
“เกิดอะไรขึ้นกับเทียนเฉิง ? เขาพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วแบบนี้ได้ยังไง ?”
คำถามหลายอย่างผุดขึ้นมาในจิตใจของเครุย ขณะที่เธอจ้องมองไปที่หน้าจอโฮโลแกรม เทียนเฉิงนั้นเห็นได้ชัดว่ายังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางใบดาบเวทย์มนต์ได้เมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่าน แต่ในวินาทีถัดมาเขากลับถูกพวกมันกลืนกิน สถานการณ์นี้มันเป็นเหมือนดั่งฝันร้ายเลย เทียนเฉิงนั้นได้หลอมรวมเทคนิคการต่อสู้ป้องกันระดับทองแดง และสกิลป้องกันขั้นสามเข้าด้วยกัน ซึ่งแม้แต่มอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย ขั้นสี่ก็ยังไม่สามารถจะทำอะไรเขาได้เลย
แล้วเครอลิคขั้นสามอย่างไวโอเล็ตคลาวด์นั้นจะโจมตีเขาได้อย่างไรกัน ?
อย่างไรก็ตามมันไม่เหมือนกับเครุยและพรรคพวกของเธอที่เฝ้าดูอยู่ ผู้ชมรอบๆนั้นไม่ได้แปลกใจกับสถานการณ์นี้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสมาชิกของหอการค้าอาซูที่คิดว่าผลลัพธ์นี้มันสมเหตุสมผล
“เธอยึดมานาของเขา !!!” มู่ฉินอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงอย่างสุดจะพรรณนา ขณะที่เธอมองไปยังร่างของไวโอเล็ตคลาวด์ที่แสดงอยู่บนหน้าจอ “การควบคุมมานาของเธอนั้นอยู่ในมาตราฐานขั้นสี่แล้ว เธอสามารถควบคุมมานาทั้งหมดได้อย่างเต็มที่ภายใต้ขอบเขตการควบคุมมานาของเธอ และมันทำให้ผู้เล่นที่อยู่ในขั้นสามหรือต่ำกว่าไม่สามารถใช้มานาต่อสู้กับเธอได้”
ใน God domain ผู้เล่นนั้นจะเริ่มได้เรียนรู้วิธีการจัดการมานาก็หลังจากที่พวกเขามาถึงขั้นสอง และพวกเขาก็จะได้เรียนการจัดการมานาในระดับที่สูงขึ้นไปอีกเมื่อมาถึงขั้นสาม เพราะท้ายที่สุดแล้วในตอนที่ทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสาม พวกเขาทุกคนจะถูกบังคับให้ต้องสร้างร่างมานาของตัวเอง ซึ่งร่างมานานี้มันทำให้พวกเขาสามารถจะจัดการกับมานาโดยรอบเพื่อใช้มันเพิ่มพลังให้กับสกิลและเวทย์ของตัวเองได้
อย่างไรก็ตามหากผู้เล่นไม่สามารถใช้มานาโดยรอบได้ สกิลและเวทย์ของพวกเขาก็จะอ่อนแอลงอย่างมาก
ในทางตรงกันข้าม เมื่อผู้เล่นสามารถควบคุมมานาได้ที่มาตราฐานของขั้นสี่ พวกเขาก็จะสามารถควบคุมมานาทั้งหมดภายในรัศมีห้าสิบหลาหรือมากกว่านั้นได้ และเมื่อเป็นแบบนี้ มันก็จะทำให้สกิลและเวทย์ที่พวกเขาใช้นั้นเหนือกว่าผู้เล่นขั้นสามทั่วไปมาก
และด้วยการผสมผสานเอฟเฟคของทั้งสองอย่างนี้ แม้ว่าเทียนเฉิงจะมีมาตราฐานการต่อสู้ที่เหนือกว่ามาก แต่เขาก็ไม่สามารถจะเทียบกับไวโอเล็ตคลาวด์ได้เลย ในแง่ของพลังต่อสู้โดยรวม
เครุยเริ่มตระหนักได้ถึงหลายๆสิ่งทันที เมื่อเธอได้ยินคำอธิบายของมู่ฉิน และตอนนี้อารมณ์ที่ซับซ้อนก็เข้าปกคลุมไปทั่วจิตใจของเธอ ขณะที่เธอมองไปยังไวโอเล็ต
คลาวด์
“เธอไม่ได้อายุมากกว่าฉันเลยนี่นา ใช่ไหม ?” เครุยพึมพำกับตัวเอง “นี่เธอเป็นร่างอวตารของ NPC ขั้นสี่รึปล่าว ?”
ไม่เพียงแต่ไวโอเล็ตคลาวด์จะสามารถเข้าถึงขอบเขตอนันต์ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่การควบคุมมานาของเธอยังมาถึงมาตราฐานขั้นสี่แล้วด้วย นี่มันเป็นความสำเร็จที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมนที่มีประสบการณ์ก็ยังไม่สามารถจะทำได้เลย
ขณะเดียวกันหงซินหยวนที่นั่งอยู่ข้างเครุยนั้นก็ตอบสนองอย่างใจเย็นต่อผลการต่อสู้ ในความเป็นจริงดวงตาของเขาปรากฎร่องรอยแห่งความชื่นชมด้วย ในตอนที่มองไปยังไวโอเล็ตคลาวด์
“ผู้อาวุโสหง คุณไม่คิดว่าคุณแพ้อย่างไม่ยุติธรรมใช่ไหม ?” ต้วนฮันซานถามขณะลูบเคราของเขา
“ดูเหมือนว่าคุณจะรู้และคิดเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ตอนที่เจอฉันมาที่นี่แล้วสินะ …” หงซินหยวนนั้นไม่ได้โกรธเลยที่ต้องสูญเสียสารอาหารเหลวระดับ S สิบห้าขวด และคริสตัลเวทมนต์หนึ่งแสนชิ้น ตรงกันข้ามเขายังคงยิ้มแบบมีความสุขอยู่ด้วยซ้ำ
“แน่นอน มหาอำนาจบางส่วนรวมถึงหอการค้าอาซูเองล้วนรู้เรื่องนั้นได้ ….” ต้วนฮันซานพยักหน้า “อย่างไรก็ตามคุณก็ไม่ได้สูญเสียโดยเปล่าประโยชน์หรอกในครั้งนี้ คุณควรรู้ว่าผู้อาวุโสซินฟูลเฟรมเองก็แพ้เด็กสาวคนนี้เช่นกันในการแข่งขันภายในของเรา พูดกันตามตรงคุณควรจะมีความสุขในการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ของคุณด้วยซ้ำ เพราะแม้ว่าคุณจะแพ้พนันฉัน แต่คุณก็ไม่ได้นับว่าสูญเสียเลย”
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้วนฮันซานไม่รู้ก็คือ ไวโอเล็ตคลาวด์ในปัจจุบันนั้นแข็งแกร่งกว่าตอนที่เธอสู้กับซินฟูลเฟรมมาก เพราะคราวนี้เธอไม่ได้พึ่งพาคทาของเธอในการยกระดับความแข็งแกร่งทางจิตใจ แต่เธอได้มาถึงระดับขั้นสี่นี้ด้วยการพึ่งพาตัวเอง
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการควบคุมมานาของเธอนั้นดีขึ้นก็เพราะค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของเธอนั้นสูงขึ้น
“คุณพูดถูกเลย มันนับเป็นการสูญเสียที่คุ้มค่า ….” หงซินหยวนอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับคำพูดของต้วนฮันซาน “การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ไร้ประโยชน์แต่อย่างใด ….”
“ลุงหง ?” ปฎิกิริยาที่มีความสุขของหงซินหยวนนั้นทำให้เครุยสับสน
นี่คือสารอาหารเหลวระดับ S สิบห้าขวด และคริสตัลเวทย์มนต์หนึ่งแสนชิ้นเลยนะที่พวกเขากำลังพูดถึง ซึ่งนี่มันนับว่าเป็นจำนวนมากแม้แต่กับฟรอสต์ฮีฟเว่น
“ใช่แล้ว นี่มันนับเป็นการสูญเสียที่คุ้มค่า ….” มู่ฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
ปฎิบัติการของฟรอสต์ฮีฟเว่นในครั้งนี้นั้นมีความสำคัญสูงสุด และมันอาจส่งผลต่อสถานการณ์โดยรวมของ God domain เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมชาติที่พวกเขาจะดีใจที่ได้ขอความช่วยเหลือจากผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดและสามารถไว้ใจได้
แม้ว่าเทียนเฉิงจะไม่สามารถแสดงความแข็งแกร่งได้เต็มที่ เนื่องด้วยข้อจำกัดของแพลตฟอร์มการต่อสู้เสมือนจริง แต่ความสามารถที่ไวโอเล็ตคลาวด์เปิดเผยออกมานั้น มันก็มากพอที่จะทำให้พวกเขายอมรับแล้วว่าเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถ
“มู่ฉิน ครั้งนี้เธอทำได้ดีมากจริงๆ” หงซินหยวนกล่าวชมมู่ฉิน
“ฉันแค่พยายามจะช่วยกิลให้ได้มากที่สุด …” มู่ฉินยิ้มด้วยความดีใจ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้รับคำชมจากหงซินหยวน
“หลังจากนี้ไปแจ้งแบล๊คเฟรมให้หน่อยว่า ฉันจะมอบช่องให้ยี่สิบช่องสำหรับปฎิบัติการลับของเรา นอกจากนี้นอกเหนือจากสารอาหารเหลวระดับ S หนึ่งร้อยขวดแล้ว บริษัทโบลเดอร์จะให้ช่องสามช่องในการเข้าสู่ Upper Zone แก่สภาสิบแปดปีกด้วย หากปฎิบัติการของเราสำเร็จ” หงซินหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ลุงหง ?” มู่ฉินตกใจ ครู่หนึ่งเธอคิดว่าเธอได้ยินอะไรผิดไป
“ลุงหง นั่นมันจะไม่มากเกินไปหน่อยงั้นหรอ ?” ดวงตาของเครุยเบิกกว้างด้วยความตกใจ ชั่วครู่หนึ่งเธอสงสัยว่าหงซินหยวนนั้นบ้าไปแล้ว
สภาสิบแปดปีกเป็นคนนอก การมอบไอเทมและเครดิตรวมถึงของที่กิลต้องการให้มันก็น่าจะเพียงพอ แต่ถึงกระนั้นหงซินหยวนกับเสนอช่องล้ำค่าเหล่านี้เป็นค่าตอบแทน หากเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดของบริษัทได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาจะต้องตกตะลึงแน่นอน เพราะท้ายที่สุดลูกๆหลานๆ ของเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดเหล่านั้นไม่มีสิทจะได้รับช่องล้ำค่านี้ด้วยซ้ำ
“ช่างใจกว้างจริงๆนะผู้อาวุโสหง …. ถ้าฉันจำไม่ผิด คุณไม่ได้มีช่องพวกนี้ที่เป็นของตัวเองมากมายไม่ใช่หรอ ?” ต้วนฮันซานรู้สึกประหลาดใจกับการตัดสินใจของหงซินหยวน
สำหรับคนทั่วไป การจะเข้าสู่ Upper Zone นั้นมันเป็นเพียงความฝันเท่านั้น และสำหรับเหล่าคนร่ำรวย Upper Zone นี้ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาทุกคนล้วนต้องการ
Upper Zone นั้นเป็นพื้นที่พิเศษที่บริษัทกรีนก๊อดได้สร้างขึ้น และมันจะมีเพียงแต่ยักษ์ใหญ่เท่านั้นที่ได้รับสิทให้ไปที่นั่น และโดยรวมแล้วมันก็มีไม่ถึงหกสิบกลุ่มทั่วโลกที่ได้รับเลือกให้มีสิทไปที่นั่น
ในขณะเดียวกันเหตุผลหลักที่เหล่าคนร่ำรวยนับไม่ถ้วนพยายามจะเข้าสู่ Upper Zone มันก็คือเรื่องของอายุที่ยืนยาวและความเยาว์วัย
ตามสถิติที่ถูกรวบรวมมาเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว อายุขัยเฉลี่ยของผู้คนที่อาศัยอยู่ที่ Upper Zone นั้นมันสูงถึงหนึ่งร้อยสามสิบปีเลย นอกจากนี้ผู้อยู่อาศัยใน Upper Zone ยังจะสามารถคงความเยาว์วัยไว้ได้จนกว่าจะอายุเกินแปดสิบปีด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือคนอายุแปดสิบปีที่อาศัยอยู่ใน Upper Zone นั้นอาจมีร่างกายที่แข็งแรงพอๆกับคนอายุห้าสิบปีที่อาศัยในโลกภายนอก
และนี่มันก็เป็นเพียงสถิติเมื่อห้าสิบปีก่อน ….
แถม Upper Zone นั้นยังมีสิทธิประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย อย่างไรก็ตามมันมีแต่เพียงผู้ที่ได้ไปและอยู่อาศัยที่นั่นเท่านั้นที่จะรู้ว่าประโยชน์เหล่านี้คืออะไร
ในขณะเดียวกันจำนวนคนที่ได้รับอนุญาติให้เข้าสู่ Upper Zone ทุกปีนั้นก็มีจำกัดมากๆ ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่มีใครสามารถเข้าสู่ Upper Zone ได้โดยเพียงแค่มีเงิน และมันก็มีสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขในการเข้าสู่ Upper Zone
แน่นอนว่าบริษัทกรีดก๊อดก็ได้สงวนช่องส่วนหนึ่งไว้สำหรับสำหรับบริษัทนานาชาติที่เป็นพันธมิตรด้วย อย่างไรก็ตามจำนวนมันก็มีน้อยมากจนบริษัทเหล่านี้แทบไม่เคยมอบให้กับคนภายนอกเลย และมันก็มีแค่เฉพาะผู้ที่มีส่วนร่วมสร้างประโยชน์ให้กับบริษัทมากเท่านั้นจึงจะได้รับช่องไป
การที่หงซินหยวนเลือกจะเสนอสามช่องให้กับสภาสิบแปดปีก มันจึงถือว่าเป็นการใจกว้างที่บ้าคลั่งมากๆ
“ฉันยังสามารถแจกสามช่องได้น่า ….” หงซินหยวนพูดพลางเดาะลิ้นของเขา อย่างไรก็ตามในขณะที่เขาแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจมากนัก แต่ดวงตาที่แอบมีความทุกข์เล็กๆของเขาก็ไม่สามารถจะซ่อนจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ที่นี่ได้
“ดูเหมือนว่าคุณจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากเหมือนกันนะ ….” ต้วนฮันซานกล่าวขณะที่เขามองไปยังหงซินหยวนด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน ในปัจจุบันมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้เหตุผลบางประการที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของหงซินหยวน อย่างไรก็ตามคำพูดของต้วนฮันซานก็ทำให้เครุย และมู่ฉินสับสน
“เอาล่ะ เป้าหมายของเราสำเร็จแล้ว เราก็ควรกลับกันได้แล้ว ….” หงซินหยวนหัวเราะออกมาเบาๆโดยไม่ได้คิดจะอธิบายใดๆ จากนั้นเขาก็หันกลับและเดินออกจากล็อบบี้ไปโดยไม่ได้แสดงเจตนาที่จะอยู่ต่ออีกต่อไป
หลังจากกลุ่มของหงซินหยวนจากไป กู้หานซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปก็ได้เดินเข้ามาหา
ต้วนฮันซาน
“ผู้อาวุโสต้วน ทำไมฟรอสต์ฮีฟเว่นถึงยินดีจะจ่ายให้สภาสิบแปดปีกมากขนาดนี้กัน ?” กู้หานถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก …” ต้วนฮันซานกล่าวพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ ในขณะที่มันมีอารมณ์ที่ซับซ้อนอยู่เต็มไปหมดในดวงตาของเขาในตอนที่เขาเฝ้าดูกลุ่มของหงซินหยวนออกจากอาคารไป “มันก็เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ใกล้เข้ามา และเวลาที่คนแบบนาย เหล่ารุ่นเยาว์มีอยู่ก็ลดน้อยลง”
“การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ?” กู้หานนั้นยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดของ
ต้วนฮันซาน
ขณะที่กู้หานกำลังจะถามเพิ่มเติม เหลียงจิงก็ได้เดินออกมาจากลิฟต์ และตรงเข้ามาหาพวกเขา
“ผู้อาวุโสต้วน หัวหน้ากิลของเราอยากพบคุณ …” เหลียงจิงกล่าวด้วยความเคารพ
“ดูเหมือนว่าในที่สุดหัวหน้ากิลของคุณก็ตัดสินใจจะออกมาแล้วสินะ เขาทำให้ชายแก่คนนี้ต้องรอนานจริงๆ ….” ต้วนฮันซานพยักหน้า ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อแบบลอยๆว่า “มันเกิดขึ้นแล้วด้วยบางส่วนด้วย ฉันอยากจะคุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องของดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยน นำทางไปเถอะ …”
“ทางนี้เลยผู้อาวุโส …” เหลียงจิงพาต้วนฮันซานขึ้นลิฟต์ด่วนไปยังชั้นบนสุดของอาคารทันที
ตอนที่ 2700 การหายตัวไปของดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยน
สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีก ห้องรับรองชั้นบนสุด :
“ซือเฟิงการจะพบคุณนี้มันไม่ง่ายเลยอย่างแท้จริง ชายแก่ผู้นี้รอมาเกือบสองวันแล้ว ….” ต้วนฮันซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่เขาจิบชาบนโซฟา
แต่แม้จะพูดคำพูดที่ฟังดูสบายๆออกมา ดวงตาของต้วนฮันซานก็ยังปรากฎความประหลาดใจขึ้นมาอยู่ดี เมื่อเขาจ้องมองไปที่ซือเฟิง เขารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่แตกต่างออกไปของซือเฟิง อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่สามารถจะสรุปได้อย่างแน่ชัด
ใน God domain ซือเฟิงนั้นให้ความรู้สึกเหมือนกับมหาสมุทรสงบที่กว้างใหญ่ ซึ่งตอนนี้แม้ว่าเขาจะยังคงให้ความรู้สึกแบบเดิมอยู่ แต่ต้วนฮันซานก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงลมและฝนจากชายหนุ่มคนนี้ และมันก็เหมือนกับว่าความสงบนี้นั้นพร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
ในความเป็นจริงต้วนฮันซานยังรู้สึกได้ถึงอันตรายเล็กน้อยจากซือเฟิงในตอนนี้ อย่างไรก็ตามความรู้สึกนี้มันก็ไม่ต่อเนื่อง ซึ่งมันทำให้ต้วนฮันซานยังไม่แน่ใจ และดูเหมือนว่าตัวซือเฟิงเองก็จะไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ด้วย หลังจากเสร็จสิ้นเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ เขาก็ออกจากห้องเกมเคบินของเขาโดยที่เขารู้สึกว่าความคิดของเขาคมชัดขึ้น นอกจากนี้มันก็ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้ว สถานการณ์นี้ทำให้ซือเฟิงงงงวยมากๆ เพราะนี่มันแตกต่างจากการพัฒนาครั้งก่อนๆของเขา ร่างกายของเขาไม่ได้ขาดแคลนพลังงานจากความก้าวหน้าของเขาเลย ในทางตรงกันข้ามสภาพร่างกายในปัจจุบันของเขากับดีอย่างน่าประหลาดใจ เขาไม่ได้เข้าสู่สถานะอ่อนแอแบบทุกครั้งเลย หลังจากการพัฒนาครั้งนี้
“ผู้อาวุโสต้วนก็ช่างว่าไป …. ฉันก็ได้พยายามอย่างมากที่สุดแล้วที่จะออกจาก God domain” ซือเฟิงอธิบาย “ฉันขอทราบถึงเหตุผลที่คุณตัดสินใจมาที่สำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกเป็นการส่วนตัวเลยได้ไหม ? มันมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ ?”
ต้วนฮันซานนั้นเป็นตัวแทนของตระกูลต้วนในหอการค้าอาซู และสถานะของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหัวหน้ากิลของกิลชั้นยอดเลยแม้แต่น้อย และไม่ว่าใครจะมองยังไง มันก็ไม่มีทางที่คนระดับนี้จะนำรุ่นเยาว์จำนวนมากมาฝึกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหอการค้าอาซูที่เป็นมหาอำนาจที่เน้นเชิงพาณิชย์ หอการค้าอาซูนั้นจะต้องยุ่งมากกว่ากิลสายต่อสู้ด้วยซ้ำ เนื่องจากพวกเขาต้องรักษาเครือข่ายข้อมูลที่กว้างขวางและแม่นยำ
“คุณนี่ช่างเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ คุณทำตัวไม่เหมือนกับหัวหน้ากิลของมหาอำนาจอื่นๆเลยนะ ….” ต้วนฮันซานกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ “อย่างไรก็ตามฉันก็คล้ายกับคุณในแง่มุมนี้”
“ในกรณีนี้ ฉันจะขอเข้าประเด็นตรงๆเลยแล้วกัน คุณน่าจะเดาออกว่าฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อนำรุ่นเยาว์จำนวนมากมาฝึกกับสภาสิบแปดปีก แต่ฉันมาที่นี่เพราะเรื่องใหญ่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งมันอาจเกี่ยวข้องกับสภาสิบแปดปีกด้วย”
“เรื่องใหญ่สำคัญที่อาจเกี่ยวข้องกับสภาสิบแปดปีก ?” ซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มขึ้น ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อว่า “มันเรื่องอะไรกัน ผู้อาวุโสต้วน ?”
ถ้าแม้แต่คนระดับต้วนฮันซานยังต้องมาพบเขาด้วยตัวเองแบบนี้ เรื่องใหญ่สำคัญที่ต้วนฮันซานพูดถึงมันจะต้องเกี่ยวข้องกับมหาอำนาจต่างๆแน่นอน อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาได้ยินมาจากเหลียงจิง นอกเหนือจากการอัพเดทระดับบครั้งใหญ่แล้ว มันก็ไม่น่าจะมีเหตุการณ์อื่นใดที่สำคัญเกิดขึ้นใน God domain เร็วๆนี้
“คุณน่าจะพอรู้ข่าวแล้วใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยน ?” ต้วนฮันซานถาม
“ก็พอรู้มาบ้าง สุดยอดปรมาจารย์พาวิลเลี่ยน พร้อมกับปรมาจารย์พาวิลเลี่ยน ทั้งสามคนหายตัวไปพร้อมกับผู้ช่วยคนสนิทของพวกเขา และตอนนี้ยังไม่มีข่าวเกี่ยวกับพวกเขาเลย” ซือเฟิงตอบพลางพยักหน้า
การหายตัวไปของเหล่าคนสำคัญพวกนี้ในดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยนนั้นทำให้เกิดความโกลาหลในหมู่มหาอำนาจต่างๆ และตอนนี้เขาก็ได้ขอให้มู่หลิงชาตรวจสอบสถานการณ์นี้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่พบอะไรเลย
“เรื่องที่ฉันจะพูดนี้มันก็เกี่ยวข้องกับดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยนด้วยนี่แหละ …” ต้วนฮันซานกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังมากขึ้น “และสองวันที่แล้วหัวหน้ากิลกับรองหัวหน้ากิลของตระกูลเก้าดาวก็หายไปทั้งหมดด้วยเช่นกัน ….”
“หัวหน้ากิลกับรองหัวหน้ากิลของตระกูลเก้าดาวหายไป ? เป็นไปได้ยังไงกัน ?” ซือเฟิงรู้สึกตกตะลึงกับข่าวนี้ ไม่เพียงแต่ตระกูลเก้าดาวจะเป็นกิลชั้นยอดระดับต้นๆเท่านั้น แต่ภูมิหลังของกิลยังแข็งแกร่งกว่าดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยนซะอีก ตามข่าวลือ กิลนั้นได้รับการสนับสนุนจากบริษัทที่ทรงอำนาจมากๆ และปัจจุบันกิลก็ครอบครองพื้นที่ของจักรวรรดิหลายแห่งใกล้กับสตาร์ลิ้ง
ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลเก้าดาวยังมีรองหัวหน้ากิลหกคนซึ่งคอยบริหารสาขาของกิลในจักรวรรดิต่างๆอย่างอิสระ ความจริงที่ว่าพวกเขาทั้งหมดหายตัวไปในชั่วข้ามคืนนั้น มันน่าตกตะลึงซะยิ่งกว่าการหายตัวไปของสุดยอดปรมาจารย์พาวิลเลี่ยน และปรมาจารย์พาวิลเลี่ยนทั้งสองคนซะอีก
สำหรับความเป็นไปได้ที่จะมีคนโจมตีสำนักงานใหญ่หลักของตระกูลเก้าดาวนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะท้ายที่สุดแล้วมหาอำนาจที่ทรงพลังขนาดนี้ก็จะมีระบบรักษาความปลอดภัยในสำนักงานใหญ่หลักที่ครอบคลุมและเข้มงวดมากๆ และแม้สุดยอดปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้หลายคนจะร่วมมือกันลักพาตัวคนเหล่านี้ แต่มันก็ไม่น่าจะทำให้เป็นความลับได้ขนาดนี้
“ข่าวเรื่องนี้ถูกปิดกั้น และมันก็มีมหาอำนาจจำนวนไม่มากนักที่รู้เรื่องนี้” ต้วนฮันซานกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“แล้วสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับสภาสิบแปดปีกอย่างไร ?” ซือเฟิงเริ่มสงสัยมากขึ้นหลังจากได้ยินคำพูดของต้วนฮันซาน “ดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยนเองก็มีส่วนในเรื่องนี้งั้นหรอ ?”
“ไม่ใช่” ต้วนฮันซานกล่าวพลางส่ายหัว “จากการสืบสวนของหอการค้าอาซู เหล่าผู้นำของดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยน และตระกูลเก้าดาวนั้นได้หายตัวไป หลังจากการเข้าพบกับมือแห่งนักบุญอย่างลับๆ และตามข้อมูลภายในจากตระกูลเก้าดาว หลังจากที่หัวหน้ากิลของพวกเขาหายตัวไปจากเกม มันก็มีกลุ่มคนลึกลับมานำห้องเกมเคบินของเขาออกไป”
“กลุ่มคนลึกลับมานำห้องเกมเคบินออกไป ? ใช่ฝีมือของมือแห่งนักบุญรึปล่าว ?” หลังจากได้ยินคำอธิบายของต้วนฮันซาน ซือเฟิงก็เริ่มสงสัยว่าดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยนน่าจะเผชิญกับสถานการณ์ที่คล้ายกัน “นอกจากนี้คุณรู้ไหมว่าห้องเกมเคบินถูกส่งไปที่ไหน ?”
“แม้ว่าเราจะยังไม่รู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้น …. และเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง รวมทั้งกลุ่มคนลึกลับพวกนั้นเป็นใคร แต่เราก็ได้พบว่าห้องเกมเคบินนั้นถูกส่งไปที่ไหน …” ต้วนฮันซานกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ
“ที่ไหน ?” ซือเฟิงถามอย่างสัย
ตามหลักแล้ว ด้วยกองกำลังที่ดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยนและตระกูลเก้าดาวมี พวกเขาน่าจะค้นหาเหล่าผู้นำของพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามตอนนี้กับยังไม่มีข่าวจากดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยนเลย มันจึงจัดเป็นสถานการณ์ที่แปลกมากๆ
“Upper …. Zone” ต้วนฮันซานค่อยๆพูดคำเหล่านี้ทีละคำ
“Upper Zone งั้นหรอ ?”
หมอกนั้นเข้าปกคลุมไปทั่วหัวใจของซือเฟิง และมันก็ทำให้หัวใจของซือเฟิงเริ่มจะหนักอึ้งขึ้น เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับฟีนิกซ์เรน ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในผู้นำของกิลชั้นยอดเท่านั้น เหตุใดคนสถานะแบบเธอถึงถูกลากเข้าไปในเหตุการณ์ใหญ่แบบนี้
ซือเฟิงนั้นรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับ Upper Zone มันเป็นพื้นที่พิเศษที่สามารถจะยืดอายุขัยของผู้อยู่อาศัยได้ อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่ว่าคนรวยทุกคนจะสามารถเข้าไปอยู่อาศัยที่นั่นได้ ในสายตาของผู้อยู่อาศัยใน Upper Zone องค์กรธรรมดาก็ไม่ต่างไปจากมดปลวกเลย และแม้แต่ผู้นำของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ให้การสนับสนุนหอการค้าอาซูก็ยังจำเป็นจะต้องรักษาโปรไฟล์ที่ต่ำไว้ ในขณะที่อยู่ใน Upper Zone นี่ไม่ต้องพูดถึงคนอย่างฟีนิกซ์เรนเลย ….
มันคงไม่เกินไปที่จะกล่าวว่า ฟีนิกซ์เรนไม่น่าจะมีความสัมพันธ์ใดๆกับ Upper Zone
“มือแห่งนักบุญนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่นอน ฉันมั่นใจ ดังนั้นฉันจึงมาที่นี่เพื่อบอกคุณว่ามันจะเป็นการดีที่สุดที่จะไม่ยั่วยุมือแห่งนักบุญมาเกินไปในช่วงเวลานี้ ใครจะรู้ ? สภาสิบแปดปีกอาจเป็นกิลต่อไปที่เจอแบบตระกูลเก้าดาวก็ได้ ….” ต้วนฮันซานเตือนอย่างจริงจัง
“ยั่วยุมือแห่งนักบุญ ?” ซือเฟิงเผยรอยยิ้มอันขมขื่น “ฉันไม่เคยคิดที่จะริเริ่มยั่วยุพวกเขาเลย”
ในการที่จะยึดครองจักรวรรดิออร์คให้ได้ มือแห่งนักบุญได้ตั้งเป้าไว้ที่เมืองปีกสีเงินแล้ว มันไม่ใช่ว่าเขาจะต้องการยั่วยุมือแห่งนักบุญ แต่อีกฝ่ายนั้นตั้งใจจะเอาชีวิตเขาอยู่แล้วต่างหาก
“อย่างไรก็ตาม คุณไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้มากเกินไปหรอก ….” ต้วนฮันซานกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ
“ไม่ต้องกังวลมากเกินไป ?” ซือเฟิงงงงวยกับคำพูดของต้วนฮันซาน
แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีพลังที่เรียกได้ว่ามากเพียงพอในระดับหนึ่งแล้ว แต่เขาก็มั่นใจว่าการรักษาความปลอดภัยของสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกนั้นยังคงเทียบกับสำนักงานใหญ่หลักของตระกูลเก้าดาว และดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยนไม่ได้เลย
“หงซินหยวนจากฟรอสต์ฮีฟเว่นได้สัญญาว่าตราบใดที่สภาสิบแปดปีกช่วยฟรอสต์ฮีฟเว่นทำงานที่ตกลงกันไว้สำเร็จ เขาจะมอบช่องสามช่องสำหรับการเข้าสู่ Upper Zone ให้สภาสิบแปดปีก” ต้วนฮันซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่นับเป็นโอกาสที่อาจมีเพียงครั้งเดียวในชีวิตเลย มหาอำนาจต่างๆจะอิจฉาคุณอย่างมากแน่นอนเมื่อรู้เรื่องนี้ คุณก็น่าจะรู้ว่า Upper Zone นั้นมันพิเศษแค่ไหน และบางทีที่นั่นอาจเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโลกด้วย ….”
แม้ว่าตระกูลเก้าดาวและดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยนจะเป็นกิลชั้นยอด แต่บริษัทที่ให้การสนับสนุนพวกเขาก็ไม่ได้มีอำนาจมากพอที่จะรับเอาช่องเข้าสู่ Upper Zone มาให้เหล่าผู้นำกิลทั้งสองได้ ไม่งั้นทั้งสองกิลคงจะไม่ต้องมาเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้
ข่าวเรื่องนี้ทำให้ซือเฟิงพูดไม่ออก
นี่ฟรอสต์ฮีฟเว่นพยายามจะทำอะไรกันแน่ ? ทำไมพวกเขาถึงใจกว้างขนาดนี้ ?
นี่คือช่องสำหรับเข้าสู่ Upper Zone เลยนะที่พวกเขากำลังพูดถึง !!! นอกจากนี้แค่เรื่องความปลอดภัยของ Upper Zone มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หัวหน้ากิลของมหาอำนาจต่างๆบ้าคลั่ง ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา แม้ว่าหัวหน้ากิลของกิลชั้นสูงจะเสนอเครดิตหลายพันล้านเครดิต แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถรับเอาช่องเข้าสู่ Upper Zone มาได้ และมันก็มีเพียงแต่หัวหน้ากิลของกิลชั้นยอดหรือเหล่าคนสำคัญของกิลชั้นยอดขึ้นไปเท่านั้นที่ได้รับมันไป แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายในราคาที่สูงมาก และได้รับไปน้อยมากๆ
แต่ตอนนี้ฟรอสต์ฮีฟเว่นกับเลือกจะเสนอสามช่องให้กับสภาสิบแปดปีก !!!
ในตอนนี้ซือเฟิงจะไม่แปลกใจเลยถ้าฟรอสต์ฮีฟเว่นขอให้สภาสิบแปดปีกเปิดการโจมตีเต็มรูปแบบต่อห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุด
“คุณค่อนข้างจะโชคดีจริงๆ หากเป็นเวลาอื่น ฟรอสต์ฮีฟเว่นจะไม่เสนอราคาขนาดนี้เพื่อขอความช่วยเหลือจากสภาสิบแปดปีกแน่นอน” ต้วนฮันซานกล่าวพลางถอนหายใจ “สำหรับสิ่งที่ฟรอสต์ฮีฟเว่นต้องการให้สภาสิบแปดปีกทำนั้น ฉันไม่สามารถเปิดเผยให้คุณรู้ได้ในตอนนี้ เดี๋ยวใครบางคนจากฟรอสต์ฮีฟเว่นก็คงจะมาแจ้งให้คุณทราบเองเมื่อถึงเวลา ไม่ว่าจะอย่างไรจงระวังให้มาก เพราะมันจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสภาสิบแปดปีกแน่นอน และหากสภาสิบแปดปีกพลาด กิลอาจถึงขั้นพินาศได้เลย”
“ขอบคุณสำหรับคำเตือน ผู้อาวุโสต้วน ….” ซือเฟิงกล่าวขอบคุณต้วนฮันซานอย่างจริงใจ จากการที่ต้วนฮันซานยอมเปิดเผยข้อมูลแบบนี้ออกมา มันก็แสดงให้เห็นถึงความจริงใจของหอการค้าอาซูในการจะเป็นพันธมิตรกับสภาสิบแปดปีกแล้ว ดังนั้นโดยธรรมชาติเขาจึงจะต้องขอบคุณอย่างจริงใจ
“หอการค้าอาซูไม่ได้ทำอะไรมากนักหรอก …. คุณจะดำเนินการอย่างไรในอนาคตมันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ ….” ต้วนฮันซานกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ เมื่อเขาเห็นว่าซือเฟิงเต็มใจจะยอมรับมิตรภาพที่หอการค้าอาซูแสดงออกมา เขาก็หมดหน้าที่แล้ว “เอาล่ะ มันถึงเวลาที่ฉันต้องไปแล้ว …”
หลังจากพูดจบต้วนฮันซานก็ออกจากห้องรับรองไป เขาไม่ยอมให้ซือเฟิงได้ไปส่งเขาด้วยซ้ำ ในขณะที่เขาหายตัวออกไปจากสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกอย่างเงียบๆ
“หัวหน้ากิล ตอนนี้เราควรจะทำยังไงกันดี ?” เหลียงจิงถามอย่างเป็นห่วง หลังจากที่เห็นต้วนฮันซานจากไป
มือแห่งนักบุญเริ่มจะก่อภัยคุกคามมากเกินไป และหากพวกเขาไม่ดำเนินการอย่างรอบคอบ พวกเขาก็อาจจะจบลงแบบตระกูลเก้าดาว และดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยนได้
“เราไม่สามารถจะทำอะไรได้มากนักหรอก เราก็ได้แค่ทำสิ่งต่างๆที่เราทำอยู่เท่านั้น” ซือเฟิงกล่าว “อย่างไรก็ตามเราจะจัดระเบียบแผนของเราใหม่ เมื่อการอัพเดทครั้งใหญ่ของ God domain สิ้นสุดลง ให้เรียกแกนหลักของสภาสิบแปดปีกมารวมตัวกันที่เมืองปีกสีเงิน มันถึงเวลาแล้วที่สภาสิบแปดปีกจะต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่าง”
การอัพเดทครั้งใหญ่ของ God domain มันไม่เคยธรรมดา ซึ่งแต่ละครั้งมันก็จะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเกมโดยสิ้นเชิง และเนื่องจากการอัพเดทครั้งใหญ่ครั้งแรกมาเร็วกว่าที่เขาคาดไว้เล็กน้อย เขาจึงต้องปรับแผนการขยายตัวของสภาสิบแปดปีกใหม่ ไม่งั้นกิลจะไม่สามารถต่อสู้กับกิลขนาดใหญ่ทั่วไปได้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงมือแห่งนักบุญและมหาอำนาจต่างๆเลย
“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยทันที เมื่อกลับไปออนไลน์” เหลียง
จิงกล่าวพลางพยักหน้า
เวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อการอัพเดทครั้งใหญ่ของ God domain เสร็จสิ้น ทุกคนก็เริ่มกลับเข้าสู่เกมทันทีในเวลาเจ็ดโมงเช้าของอีกวัน
ขณะเดียวกันซือเฟิงก็เข้าสู่ห้องเกมเคบินของเขา ก่อนที่เขาจะสูดหายใจเข้าลึกๆ และเมื่อเห็นปุ่ม “ล๊อคอิน” ปรากฎขึ้นบนหน้าจอตรงหน้าเขา เขาก็เลือกจะล๊อคอินกลับเข้าสู่เกมทันที !!!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น