Reincarnation Of The Strongest Sword God 2664-2681
ตอนที่ 2664 สภาสิบแปดปีกในความโกลาหล และแผนของทุกคน
ทั้งเมลานโครอิคสไมล์และมู่หลิงชาต่างก็ตกตะลึง เมื่อได้ยินคำพูดของเหลียงจิง
“คุณติดต่อหัวหน้ากิลได้แล้วงั้นหรอ ?” เมลานโครอิคสไมล์กล่าวถามอย่างตื่นเต้น
สภาสิบแปดปีกในปัจจุบันนั้นถือว่าอยู่ในจุดที่อึดอัดมากๆ เนื่องจากพวกเขาแทบไม่มีนักสู้ชั้นยอดของกิลเหลือเลย เนื่องจากคนเหล่านี้รวมทั้งหัวหน้ากิลของพวกเขาได้เดินทางไปยังทวีปด้านตะวันตก อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญที่สุด ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือขวัญกำลังใจของกิลนั้นลดต่ำลงเป็นประวัติการณ์
ซือเฟิงนั้นเป็นกระดูกสันหลังของสภาสิบแปดปีกมาโดยตลอด การกลับมาของเขาอาจไม่สามารถลากสภาสิบแปดปีกออกจากสถานการณ์ปัจจุบันได้ แต่มันจะสามารถรวมใจของสมาชิกสภาสิบแปดปีกให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันได้อีกครั้งแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นการกลับมาของเขายังจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับพันธมิตรของสภาสิบแปดปีกอย่างมาก เพราะท้ายที่สุดแล้วเหตุผลหลักที่พันธมิตรเหล่านี้ยินดีจะร่วมมือกับสภาสิบแปดปีกตั้งแต่แรกก็คือ ซือเฟิง
ในตอนนี้นับประสาอะไรกับเมลานโครอิคสไมล์ แม้แต่มู่หลิงชาก็ยังจ้องมองมายัง
เหลียงจิงอย่างกระตือรือร้น และอยากรู้ว่าซือเฟิงกลับมาแล้วจริงๆหรือไม่ ….
หากซือเฟิงกลับมายังทวีปด้านตะวันออกแล้วจริงๆ มหาอำนาจต่างๆจะต้องพิจารณาการตัดสินใจของพวกเขาอีกครั้งแน่นอนในเรื่องการร่วมมือกับสตาร์ลิ้งเพื่อกำหนดเป้าหมายมายังสภาสิบแปดปีก และแม้ว่าพันธมิตรของพวกเขาจะยังอยู่ แต่มันก็จะไม่เป็นปึกแผ่นกันเหมือนแต่ก่อนแน่นอน
“ยังไม่ได้ …” เหลียงจิงกล่าวพลางส่ายหัว “แต่ฉันได้รับรายงานมาว่าขณะนี้หัวหน้า
กิลอยู่ในเมืองปีกสีเงิน”
หลังจากพูดจบเหลียงจิงก็ส่งต่อรายงานนี้ไปให้เมลานโครอิคสไมล์และมู่หลิงชาได้อ่านและตรวจสอบ
อย่างไรก็ตามเมื่อเมลานโครอิคสไมล์ และมู่หลิงชาได้อ่านรายงานที่เหลียงจิงส่งต่อมา ความตื่นเต้นบนใบหน้าของพวกเขาก็หายไป และมันก็ถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวที่ไม่อาจบรรยายได้แทน
“เป็นไปได้ยังไงกัน ?” เมลานโครอิคสไมล์นั้นอดไม่ได้ที่จะมีคยวามวิตกกังวลเพิ่มขึ้น เมื่อได้อ่านรายงาน “เร็ว !! รีบรวบรวมเหล่าองครักษ์ระดับสูง และติดต่อทีมของเฮลรัชทันที !!! เราต้องมุ่งหน้าไปที่เมืองปีกสีเงินให้ไวที่สุด !!!”
ความจริงที่ว่าซือเฟิงสามารถจะฆ่า Faux Saint Devourer ซึ่งเป็นมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายได้นั้น มันน่าประหลาดใจมากๆ และข่าวที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้ก็จะช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจแน่นอน
อย่างไรก็ตามการที่จะต้องเผชิญหน้ากับการตอบโต้ของกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint นับล้านมันก็ไม่ใช่เรื่องตลก นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องของมือแห่งนักบุญที่พวกเขาจะไม่ยอมนั่งนิ่งๆแน่นอน หลังจากได้รับความอัปยศอดสูไป
ในเวลานั้นเมืองสภาสิบแปดปีกจะต้องต่อสู้กับกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint หลายล้านตัว รวมไปถึงบรรดาผู้เชี่ยวชาญของมือแห่งนักบุญ และด้วยการป้องกันของเมืองปีกสีเงิน การจะหยุดกองกำลังแบบนี้มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ในขณะเดียวกันถ้าซือเฟิงต้องลงเอยด้วยการถูกมอนสเตอร์ Faux Saint กลืนกิน ผลที่ตามมามันก็จะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับสภาสิบแปดปีก
“อย่าพึ่งตื่นตระหนกไป มอนสเตอร์ Faux Saint และมือแห่งนักบุญจะไม่ดำเนินการในเร็วๆนี้แน่นอน พวกเขาจะต้องใช้เวลาในการรวบรวมกองกำลังของพวกเขา ฉันจะติดต่อกับอันยีลดิ้งฮาร์ท และให้เขานำทีมไปที่เมืองปีกสีเงินทันที” มู่หลิงชากล่าวปลอบเมลานโครอิคสไมล์
“ขอบคุณ ….” เมลานโครอิคสไมล์กล่าวขณะที่เธอพยักหน้าด้วยความขอบคุณ จากนั้นเธอก็สูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนที่จะจัดเตรียมกำลังคนอย่างเป็นระบบเพื่อส่งมายังเมืองปีกสีเงิน
….
ในขณะที่เมลานโครอิคสไมล์ และคนอื่นๆกำลังนำกองทัพไปยังเมืองปีกสีเงิน มหาอำนาจต่างๆก็รู้สึกหดหู่จากการกลับมาของซือเฟิง
พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าซือเฟิงจะปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง หลังจากหายไปเป็นเวลานาน
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ สัตว์ประหลาดเก่าแก่ที่เป็นราชันดาบ ขั้นสามได้กลับมาแล้ว !!
ยิ่งไปกว่านั้นพลังการต่อสู้ของซือเฟิงยังเพิ่มสูงขึ้นจนราวกับเป็นคนละคน และเมื่อเขากลายร่างเป็นมังกรดำ มันก็ทำให้เขาสามารถฆ่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยายอย่าง Faux Saint Devourer ลงได้อย่างง่ายดาย ราชันดาบผู้นี้นั้นน่ากลัวกว่าเมื่อก่อนมาก และการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์นี้ของเขาจะทำให้สภาสิบแปดปีกรับมือได้ยากขึ้นมาก”
แถมเมื่อเทียบกันกับกิลที่มีขวัญกำลังใจอ่อนแอและมีความคิดเห็นที่แตกแยกแล้ว กิลที่เป็นหนึ่งเดียวกัน มีขวัญกำลังใจสูงส่ง นั้นจะแข็งแกร่งกว่าและสามารถแสดงพลังในการต่อสู้ออกมาได้มากกว่าแน่นอน
….
จักรวรรดิมังกรไฟ เมืองมังกรไฟ ร้านสกอร์ชชิ่งเฟรม :
ร้านอาหารสกอร์ชชิ่งเฟรมนั้นเป็นอาคารที่สูงมากกว่าสามสิบชั้น และตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งในขณะนี้ การ์เดี้ยนไนท์หญิง เลเวลหนึ่งร้อยสิบหกในชุดเกราะสีดำทองก็ได้เดินเข้ามาที่ชั้นบนสุดของร้านอาหาร ซึ่งการ์เดี้ยนไนท์หญิงได้แผ่ออร่าที่น่ากลัวออกมาจนมันสามารถปราบปรามมานารอบตัวเธอได้เลย อย่างไรก็ตามเมื่อการ์เดี้ยนไนท์หญิงคนนี้มาถึงตรงหน้าผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังรับประทานอาหารอยู่ เธอก็โค้งคำนับด้วยความเคารพ
“รองหัวหน้ากิลชาโด้ว แบล๊คเฟรมได้กลับมายังทวีปด้านตะวันออกแล้ว” ไวท์เฟเธอร์ที่เป็นการ์เดี้ยนไนท์หญิงรายงาน ขณะที่เธอวางเอกสารต่อหน้าโคลท์ชาโด้ว จากนั้นเธอก็พูดต่อว่า “อย่างที่เราเดาไว้ เขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก เป็นผลให้สภาสิบแปดปีกและพันธมิตรของพวกเขาฟื้นฟูความมั่นใจขึ้นมาได้ และแม้แต่ศาลาลับก็ยังส่งกองกำลังออกมาช่วยปกป้องเมืองป่าหินมากขึ้น และในขณะนี้มหาอำนาจต่างๆก็กำลังถกเถียงเรื่องนี้กันอย่างถึงพริกถึงขิง เราควรจะดำเนินการตามแผนเดิม และจัดการประชุมพูดคุยเกี่ยวกับพันธมิตรต่อไหม ?”
“แน่นอนสิ แม้ว่าเขาจะฆ่า Faux Saint Devourer ไปได้หนึ่งตัว แต่ภาพใหญ่ก็จะยังคงเหมือนเดิม ดำเนินการไปตามแผน” โคลท์ชาโด้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเย้ายวนที่ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเธอ “มหาอำนาจเหล่านั้นก็ไม่ใช่พวกโง่เช่นกัน พวกเขาน่าจะเข้าใจดีว่าเวลามีการเปลี่ยนแปลง หากพวกเขาต้องการจะอยู่รอดในยุคใหม่ ทางเลือกเดียวของพวกเขาคือการปล้นทรัพยากรเพิ่มเติมมาไว้ใช้หล่อเลี้ยงตัวเอง !! นี่ไม่ต้องพูดถึงทั้งแบล๊คเฟรมและเมืองปีกสีเงินเลย ยังไงซะทั้งเขาและเมืองของเขาก็จะอยู่รอดต่อไปได้อีกไม่นานนักแน่นอน !!”
แม้ว่าการกลับมาของซือเฟิงจะสร้างความตกตะลึงให้กับมหาอำนาจต่างๆ
แต่ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าจะเป็นใครในตอนนี้ก็จะมีปัญหาในการจะพยายามปรับตัวกับสถานการณ์ของทวีปด้านตะวันออกที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้นอกเหนือจากเรื่องของแพ๊คเสริมใหม่กลียุคของเทพปีศาจแล้ว มันยังมีเรื่องการระบาดของกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ด้วย
ขณะเดียวกันทวีปด้านตะวันออกก่อนที่ซือเฟิงจะจากไป กับตอนที่ซือเฟิงกลับมานั้น มันก็แตกต่างกันอย่างมาก เวลาของซือเฟิงได้ผ่านไปแล้ว ภัยคุกคามที่เขามีต่อมหาอำนาจต่างๆนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
ใน God domain ปัจจุบัน ผู้เล่นขั้นสามไม่ได้หายากเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป แม้แต่ทีมนักผจญภัยชั้นยอดต่างๆก็ยังมีผู้เล่นขั้นสามภายใต้การบังคับบัญชาของตัวเองมากกว่าหนึ่งร้อยคน นี่ไม่ต้องพูดถึงบรรดากิลชั้นสูงหรือเหนือกว่านั้นเลย ดังนั้นตอนนี้มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับตัวตนอย่างซือเฟิงที่จะทำอะไรที่เป็นปาฎิหาริย์ได้แบบเมื่อก่อน แถมองครักษ์ส่วนตัวขั้นสามก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามมากเท่ากับเมื่อก่อนอีกต่อไป
“เข้าใจแล้ว ฉันจะแจ้งให้มหาอำนาจต่างๆทราบทันที !!!” ไวท์เฟเธอร์พยักหน้า ก่อนจะเดินออกไปจากร้านอาหารสกอร์ชชิ่งเฟรม
….
ในขณะที่มหาอำนาจต่างๆของทวีปด้านตะวันออกกำลังหารือและพูดคุยเกี่ยวกับการ
กลับมาของซือเฟิง ซือเฟิงก็ได้ตรงไปที่สถานที่พักกิลสภาสิบแปดปีกในเมืองปีกสีเงินเพื่อพักผ่อน
“หัวหน้ากิล ตามคำสั่งของหัวหน้า เราได้ทำการถ่ายโอน NPC พิการ และพวกองครักษ์ระดับสูงมาอย่างลับๆแล้ว มันก็คงจะใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่พวกเขาจะมาถึงเมือง นอกจากนี้เราก็ได้มอบหมายให้คนที่ไว้ใจได้จับตาดูห้องเกมเคบินของรองหัวหน้ากิลและคนอื่นๆไว้แล้ว หากพวกเขาออกมาจากพื้นที่พิเศษ เราก็จะรู้เรื่องนี้ทันที” ยู่หลานรายงานไปยังซือเฟิง ซึ่งกำลังเช็คข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์ในทวีปด้านตะวันออก
“อืมมม พวกเขาน่าจะออกจากที่นั่นได้ในอีกไม่กี่วันนี้ หากพวกเขาไปถึงดินแดนของ
มอนสเตอร์ Faux Saint เมื่อไหร่ ก็ให้ส่งทีมไปช่วยพวกเขาทันที” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า
แม้ว่าเขาจะคิดว่าสมาชิกกองกำลังหลักของสภาสิบแปดปีกจะไม่มีปัญหาในการจัดการกับพวกมอนสเตอร์ Faux Saint แต่ถ้าพวกเขาถูกล้อมรอบไปด้วย Faux Saint Destroyers จำนวนมาก หรือ Faux Saint Devourer พวกเขาก็จะยังมีโอกาสสูงที่จะถูกฆ่าได้ ในขณะเดียวกันโทษจากการตายที่ผู้เล่นจะได้รับจากมอนสเตอร์ Faux Saint นั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะให้สมาชิกกองกำลังหลักของสภาสิบแปดปีกได้รับ
“หัวหน้ากิล ว่าแต่ดูจากสภาพปัจจุบันนี้ของหัวหน้า มันแปลว่าหัวหน้าสบายดีใช่ไหม ?” ยู่หลานถามอย่างเป็นห่วง
ซือเฟิงไม่เพียงแต่จะสูญเสียการติดต่อกับโลกภายนอกไปเป็นเวลานาน แต่เขายังใช้เวลาทั้งหมดนี้ของเขาอยู่ในห้องเกมเคบิน โดยอาศัยแค่สารอาหารเหลวของห้องเกมเคบินเพื่อเติมเต็มให้กับตัวเองเท่านั้น แถมเขายังพึ่งผ่านการต่อสู้อันรุนแรงมา พร้อมกับได้รับตราประทับวิญญาณมาอีก ซึ่งการที่เขาจะรู้สึกไม่สบายหรือทรุดลงไปทันทีมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ยู่หลานจึงต้องลองถามดูเพื่อความแน่ใจ
“ผ่อนคลายน่า ฉันสบายดีไม่มีปัญหาอะไร ….” ซือเฟิงพูดพลางหัวเราะเบาๆ “ที่จริงตอนนี้จิตใจของฉันอยู่ในสภาพที่ดีเป็นพิเศษ ความคิดใหม่ๆผุดขึ้นมาในใจฉันเป็นระยะๆ และพวกมันก็ทำให้ฉันกระตือรือร้นจะเริ่มฝึกอีกด้วยซ้ำ”
“มันเป็นเรื่องดีที่หัวหน้าสบายดี แต่ถ้าหัวหน้ารู้สึกไม่สบาย หัวหน้าต้องรีบล๊อคเอ้าท์ออกไปพักผ่อนทันที หัวหน้าสามารถฝากเรื่องพวกนี้ไว้กับเราก่อนได้” ยู่หลานกล่าวบอกซือเฟิงด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนที่เธอจะเดินออกไป
ในขณะเดียวกัน หลังจากที่ยู่หลานจากไป ซือเฟิงก็หยุดเช็คข่าวสารเรื่องสถานการณ์ในทวีปด้านตะวันออก ก่อนจะหันมามุ่งเน้นไปที่หมอกจาก Faux Saint Devourer ที่ถูกส่งเข้ามาในร่างกายของเขา
นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้รับตราประทับวิญญาณ
โดยปกติผู้เล่นจะไม่รู้สึกถึงตราประทับวิญญาณที่รบกวนพวกเขา อย่างไรก็ตามพวกเขาจะสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนผ่านจิตใจของพวกเขา ซึ่งนี่ก็รวมไปถึงซือ
เฟิงด้วย เขาสามารถสัมผัสได้ถึงหมอกสีขาวที่วนเวียนอยู่ในจิตใจของเขาอย่างชัดเจน โดยสถานการณ์นี้ทำให้เขาตกตะลึงมากๆ
หลังจากนั้นซือเฟิงก็ได้พุ่งความสนใจไปที่หมอกหลายๆเส้นที่เคลื่อนผ่านจิตใจของเขา และการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน
ไม่ นี่มันไม่ถูกต้อง !!! นี่ไม่ใช่ตราประทับวิญญาณ แต่เป็นวงเวทย์วิญญาณ !!!
ตอนที่ 2665 วงเวทย์ที่ช่วยอัพเกรดวิญญาณ
เมื่อจ้องมองไปที่หมอกสีขาวหลายๆเส้นที่เคลื่อนอยู่ภายในจิตใจของเขา ซือเฟิงก็ได้เห็นประกายแสงจางๆติดตามควบคู่ไปด้วย ซึ่งมันทำให้ซือเฟิงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
ใน God domain วงเวทย์มักถูกสร้างจากมานา อย่างไรก็ตามวงเวทย์บางวงก็ไม่ได้ถูกสร้างจากมานาเพียงอย่างเดียว แต่มันยังมีสิ่งอื่นผสมอยู่ด้วย
ในขณะเดียวกันวงเวทย์ที่เขากำลังมองดูอยู่นี้มันก็มีร่องรอยของวิญญาณ
ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวงเวทย์วิญญาณในข่าวลือจะมีอยู่จริง !!! ซือเฟิงเผยใบหน้าที่มีความสุขออกมา ขณะที่เขาสังเกตหมอกสีขาวหลายๆเส้นที่เคลื่อนอยู่ภายในจิตใจของเขา
เขาเคยได้ยินเรื่องราวของวงเวทย์วิญญาณมาก่อน แต่เขาไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย
ตามข่าวลือที่เขาได้ยินมาวงเวทย์วิญญาณนั้นเป็นชุดวงเวทย์ที่สามารถเปลี่ยนวิญญาณของผู้เล่นได้ แน่นอนว่ามันก็ยังมีการกล่าวถึงวงเวทย์วิญญาณที่กลืนกินวิญญาณของผู้เล่นด้วย และในชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้น มันก็มีข่าวลือมากมายจริงๆเกี่ยวกับวงเวทย์วิญญาณ
อย่างไรก็ตามมันมีสิ่งหนึ่งที่ซือเฟิงมั่นใจคือวงเวทย์วิญญาณที่เกาะติดกับเขานี้จะสามารถใช้อัพเกรดวิญญาณได้
ตามหลักแล้วผู้เล่นนั้นไม่ควรจะสามารถอัพเกรดวิญญาณได้ เพราะมันเป็นไปได้สำหรับ NPC เท่านั้น อย่างไรก็ตามวงเวทย์วิญญาณนั้นทำให้มันเป็นไปได้ และจากที่ซือเฟิงเคยได้ยินมาในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา เมื่อผู้เล่นได้รับการอัพเกรดวิญญาณแล้ว แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญทั่วไปก็จะสามารถกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลังใน God domain ได้ ในความเป็นจริงผู้เชี่ยวชาญขั้นห้าบางส่วนในชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นสามารถไปถึงขั้นห้าได้เพราะการอัพเกรดวิญญาณด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามในชีวิตที่ผ่านมาของเขา คนส่วนใหญ่ก็ยังคงเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น เพราะพวกเขารู้สึกว่าแม้จะไม่มีวงเวทย์วิญญาณ แต่ผู้เชี่ยวชาญที่ทำการใช้มันก็จะยังคงกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลังใน God domain ได้อยู่ดี ดังนั้นคนส่วนใหญ่ใน God domain จึงถือว่าการมีอยู่ และประโยชน์ของวงเวทย์วิญญาณนั้นเป็นแค่เรื่องไร้สาระ
อย่างไรก็ตามตอนนี้ซือเฟิงกับได้รับวงเวทย์วิญญาณมาเป็นของตัวเอง
แน่นอนว่าถ้าคนๆหนึ่งไม่ได้เป็นนักเวทย์ขั้นสูงเป็นอย่างน้อย คนๆนั้นก็จะแทบไม่สามารถรับรู้ได้ถึงวงเวทย์จากหมอกเหล่านี้เลย และคนส่วนใหญ่ก็จะถือว่ามันเป็นตราประทับวิญญาณ
โชคดีที่ฉันตรวจสอบมันอย่างรวดเร็ว หากรออีกสักสองถึงสามวัน ฉันจะสูญเสียโอกาสไป ซือเฟิงนั้นรู้สึกโล่งอก เมื่อเขาแน่ใจถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน
วงเวทย์วิญญาณภายในตัวเขาได้รับพลังมาจากพลังวิญญาณและมานาของ Faux Saint Devourer แม้ว่าการเติมมานาให้กับวงเวทย์วิญญาณจะเป็นเรื่องง่าย แต่กับเรื่องการเติมพลังวิญญาณนั้นไม่ใช่ อย่างน้อยตอนนี้ซือเฟิงก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำแบบนั้นได้ยังไง ขณะที่วงเวทย์วิญญาณก็จะคงอยู่ได้อีกไม่นานนัก
แน่นอนตราบใดที่วงเวทยวิญญาณนี้ยังคงอยู่ มอนสเตอร์ Faux Saint ก็จะสามารถรับรู้ถึงการปรากฎตัวของเขาได้ การดำรงอยู่ของวงเวทย์วิญญาณนั้นอาจถือได้ว่าเป็นทั้งโชคดีและโชคร้าย
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ซือเฟิงก็เริ่มศึกษาวงเวทย์วิญญาณภายในจิตใจของเขาทันที
วงเวทย์วิญญาณนี้เพียงแค่ตราตรึงอยู่ในจิตใจของเขาเท่านั้น วงเวทย์วิญญาณยังไม่ได้ถูกเปิดใช้งาน หากเขาต้องการจะให้วงเวทย์วิญญาณแสดงเอฟเฟคจริงออกมา เขาจะต้องเปิดใช้งานมันก่อน
แน่นอนเลยว่าวงเวทย์วิญญาณนั้นมีความซับซ้อนจริงๆ จากสิ่งที่ฉันเห็นมันประกอบไปด้วยวงเวทย์ระดับปรมาจารย์ขั้นพื้นฐานราวสี่สิบวง และวงเวทย์ระดับปรมาจารย์ขั้นสูงมากกว่าหนึ่งโหล แถมสามในนั้นยังเกือบจะถึงขั้นของวงเวทย์ระดับสุดยอดปรมาจารย์ ยิ่งไปกว่านั้นฉันยังต้องพึ่งพาเจตจำนงแห่งวิญญาณของฉันเองเพื่อเปิดใช้งานวงเวทย์วิญญาณนี้ด้วย และแค่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลให้วิญญาณของฉันถูกกลืนกิน ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมบางคนถึงเรียกมันว่าวงเวทย์กลืนวิญญาณ หลังจากตรวจสอบวงเวทย์วิญญาณเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ซือเฟิงก็รู้สึกสับสนการค้นพบของเขา
วิญญาณนั้นมันเป็นดั่งสิ่งที่เหมือนกับภาพลวงตา มันไม่สามารถจะอธิบายด้วยคำพูดได้ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงวิธีการอัพเกรด หรือการทำให้มันอ่อนแอลง อย่างไรก็ตามวงเวทย์วิญญาณในตัวเขาสามารถจะบรรลุเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลย
แต่น่าเสียดายที่ผลลัพธ์ของการเปิดใช้งานวงเวทย์วิญญาณนั้นมันมีแค่สองทางเท่านั้น ไม่มีทางที่สาม โดยทางแรกคือสวรรค์ ขณะที่อีกทางหนึ่งคือนรก และนอกนั้นมันไม่มีอะไรเลย
หากผู้เชี่ยวชาญทั่วไปได้รับการเสนอทางเลือกเช่นนี้ พวกเขาอาจไม่ลังเลที่จะลองเปิดใช้งานวงเวทย์วิญญาณ เพราะท้ายที่สุดแล้วผลกำไรที่อาจเกิดขึ้นได้นั้นมันมากกว่าการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น และแม้ว่าวิญญาณของพวกเขาจะได้รับความเสียหาย แต่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดมันก็จะเป็นแค่การติดอยู่ในขั้นสามตลอดไปเท่านั้น ซึ่งผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ก็จะต้องติดอยู่ในขั้นสามอยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่โดนเรื่องอะไรแบบนี้
อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงสำหรับซือเฟิง การสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นนั้นมันมีสิทจะมีมากกว่าผลกำไรที่อาจเกิดขึ้น เพราะท้ายที่สุดด้วยมาตราฐานในปัจจุบันของเขา เขาไม่น่าจะมีปัญหาในการจะเข้าให้ถึงขั้นห้า และหากตอนนี้วิญญาณของเขาเสียหาย การจะเข้าถึงขั้นห้าให้ได้ก็จะเป็นปัญหามาก เพราะท้ายที่สุดแล้วยิ่งผู้เล่นไปถึงขั้น และเลเวลที่สูงมากเท่าไหร่ ความสำคัญของอาวุธและอุปกรณ์ก็จะยิ่งลดลงมากเท่านั้น และความแข็งแกร่งส่วนบุคคลกับวิญญาณนั้นจะขึ้นมามีบทบาทสำคัญแทน
นี่ฉันจะต้องยอมแพ้งั้นหรอ ? ซือเฟิงลังเล แม้ว่าเขาจะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าวงเวทย์วิญญาณค่อยๆสลายไปจากจิตใจเขา
เนื่องจากวงเวทย์วิญญาณจะถูกใช้กับวิญญาณเขา ดังนั้นเขาจึงมีโอกาสเพียงครั้งเดียวในการจะเปิดใข้งานมัน และหากเขาไม่สามารถจะควบคุมวงเวทย์วิญญาณนี้ให้แสดงผลออกมาแบบดีๆได้ วงเวทย์วิญญาณามันก็อาจจะย้อนกลับมากลืนกินวิญญาณของเขาแทน อย่างไรก็ตามหากเขาทำสำเร็จวงเวทย์วิญญาณนี้ก็จะอัพเกรดวิญญาณของเขา
ไม่ มันยังไม่ได้สิ้นหวังไปซะทั้งหมด !!!
หลังจากถกเถียงอยู่ในจิตใจของตัวเองมาระยะหนึ่ง ซือเฟิงก็เริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ และเขาก็ได้จัดการนำเอาหัวใจแห่งออกัสตัสที่ได้รับความเสียหายออกมาจากกระเป๋าของเขา
มันเป็นเรื่องยากอย่างน่าเหลือเชื่อที่ผู้เล่นจะได้ค้นพบโอกาสในการอัพเกรดวิญญาณของตัวเอง และตราบใดที่เขาสามารถจะจัดการกับวงเวทย์วิญญาณได้สำเร็จ เขาก็จะมีช่วงเวลาที่ง่ายขึ้นมากในการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ และเควสเลื่อนขั้นในอนาคต ในความเป็นจริงความช่วยเหลือที่เขาจะได้รับจากการอัพเกรดวิญญาณก็จะยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่เขาจะได้รับจากอุปกรณ์ระดับตำนานซะอีก และมันก็จะเป็นการสูญเปล่าอย่างมาก หากเขาละทิ้งโอกาสนี้
ในขณะเดียวกันมันก็มีอยู่สองวิธีที่เขาสามารถเพิ่มโอกาสในการเปิดใช้งานวงเวทย์วิญญาณให้สำเร็จขึ้นได้อย่างมาก
วิธีแรกคือการทำความคุ้นเคยกับวงเวทย์ที่ใช้สร้างวงเวทย์วิญญาณทั้งหมด อย่างไรก็ตามวงเวทย์วิญญาณนั้นมันมีความซับซ้อนมาก และตามมาตราฐานในปัจจุบันของเขา เขาอาจต้องใช้เวลาสองสัปดาห์ในการเรียนรู้และจดจำวงเวทย์ทั้งหมด
ขณะที่วิธีที่สองก็คือการปรับปรุงสภาพจิตใจของตัวเองเพื่อให้เขาสามารถนำทางเจตจำนงแห่งวิญญาณผ่านวงเวทย์วิญญาณได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
สำหรับคนอื่นๆทั้งสองวิธีนี้อาจจะยากอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่สำหรับซือเฟิง
หัวใจของออกัสตัสที่ได้รับความเสียหายสามารถจะปลดปล่อยพลังงานนิรันดร์ออกมาได้ เมื่อเปิดใช้งานมัน …. ซึ่งพลังงานนิรันดร์นั้นเหนือกว่ามานาหลายเท่า และมันสามารถจะช่วยยกระดับสภาพจิตใจของผู้เล่นให้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้ โดยทุกๆอย่างนี้พลังงานนิรันดร์จะช่วยได้มาก
ซึ่งด้วยพลังงานนิรันดร์โอกาสของเขาในการจะเปิดใช้งานวงเวทย์วิญญาณได้สำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ปัญหาเดียวคือหัวใจของออกัสตัสที่ได้รับความเสียหายนั้นมีคูลดาวน์สามเดือน
แน่นอนว่ามันก็ยังมีตัวเลือกในการใช้คริสตัลเทพเจ้าหนึ่งชิ้นเพื่อหลีกเลี่ยงคูลดาวน์ที่ยาวนาน และแม้ว่ามันจะมีราคาแพงอย่างไม่น่าเชื่อในการใช้คริสตัลเทพเจ้าหนึ่งชิ้นเพื่อเรื่องนี้ แต่หากมันสำเร็จมันก็คุ้มค่า
เมื่อคิดได้ดังนี้ซือเฟิงก็เลือกจะหยิบคริสตัลเทพเจ้าชิ้นสุดท้ายที่เขามีอยู่ออกมาจากกระเป๋าของเขา และปล่อยให้หัวใจของออกัสตัสที่ได้รับความเสียหายดูดซับมันเข้าไป ก่อนที่เขาจะเปิดใช้งานวงเวทย์ของหัวใจ
ทันใดนั้นกระแสหมอกสีม่วงก็ไหลออกมาจากหัวใจของออกัสตัสที่ได้รับความเสียหาย และมาบรรจบกันรอบๆซือเฟิง ในขณะเดียวกันความรู้สึกสดชื่นก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของซือเฟิง และความคิดของเขากับสมาธิก็เริ่มชัดเจนขึ้นกว่าเดิมมาก
ดี !! เอาล่ะมาเริ่มกัน !!!
ตอนนี้ซือเฟิงก็ได้สูดหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มวิเคราะห์วงเวทย์ที่อยู่ในวงเวทย์วิญญาณทีละวงอย่างรอบคอบ
สองชั่วโมง …
สี่ชั่วโมง …
หกชั่วโมง …
ตอนนี้เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากพลังงานนิรันดร์ ซือเฟิงจึงสามารถเรียนรู้ส่วนประกอบทั้งหมดของวงเวทย์วิญญาณได้ในเวลาเพียงเจ็ดชั่วโมง แถมมันก็ยังทำให้เขาได้รับความเชี่ยวชาญระดับกึ่งสุดยอดปรมาจารย์นักเวทย์มาเล็กน้อยจากเรื่องนี้
ตอนนี้ฉันได้เรียนรู้วงเวทย์ทั้งหมดแล้ว ต่อไปมันก็จะเหลือแค่การนำทางเจตจำนงแห่งวิญญาณของฉันผ่านวงเวทย์วิญญาณเพื่อกระตุ้นพวกมัน !!!
เมื่อมองไปที่วงเวทย์วิญญาณในจิตใจของเขา ซือเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นและกังวลคละเคล้ากันไป แม้ว่าเขาจะคุ้นเคยกับส่วนประกอบของวงเวทย์วิญญาณทั้งหมดแล้ว แต่การจะเปิดใช้งานพวกมันให้สำเร็จนั้นมันก็แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เพราะท้ายที่สุดการจะเปิดใช้งานวงเวทย์แต่ละวงในวงเวทย์วิญญาณนั้นมันจะต้องทำการแบ่งเจตจำนงแห่งวิญญาณออกเป็นหลายเส้น และการจะทำแบบนี้ให้ได้มันก็ยากอย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากเตรียมใจอยู่พักหนึ่ง ซือเฟิงก็เริ่มชี้นำเจตจำนงแห่งวิญญาณของเขาทันที
เปิดใช้งานวงเวทย์วงที่หนึ่ง …
เปิดใช้งานวงเวทย์วงที่สอง …
เปิดใช้งานวงเวทย์วงที่สาม …
เมื่อเปิดใช้งานวงเวทย์แต่ละวงไปได้มากขึ้น การเปิดใช้งานวงเวทย์ต่อๆไปก็เริ่มจะทำได้ยากมากขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ตามโชคดีที่สำหรับซือเฟิง เขาพอจะแบกรับและทำอะไรแบบนี้ไหว
เวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว และก่อนที่ซือเฟิงจะรู้ตัว เวลาก็ได้ผ่านไปมากกว่ายี่สิบนาทีแล้ว และในตอนนี้เหงื่อของเขาก็เปียกชุ่มไปทั่วทั้งตัวแล้ว
สุดท้ายแล้ว !!!
วงเวทย์สุดท้ายนี่ซือเฟิงจำเป็นจะต้องแยกเจตจำนงแห่งวิญญาณออกเป็นสิบเจ็ดเส้นเพื่อเปิดใช้งานมันให้สำเร็จ ซึ่งเมื่อเขาก็สามารถจะทำมันได้อย่างรวดเร็วและไม่ยากเย็นนัก
Peng!
ทันใดนั้นเสียงที่คมชัดก็ดังขึ้นในใจเขา
ในช่วงเวลาต่อมาวงเวทย์หลักของวงเวทย์วิญญาณก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนที่วงเวทย์อื่นๆจะเริ่มแตกออกตามไปเป็นโดมิโน่
ในขณะเดียวกันหมอกสีขาวหลายเส้นที่ไหลเวียนในจิตใจของซือเฟิงก็ได้เปลี่ยนเป็นอนุภาคแสงจำนวนนับไม่ถ้วนไหลเข้าไปที่สมองของซือเฟิง
มันสำเร็จใช่ไหม ?
ซือเฟิงตกตะลึง เมื่อได้เห็นฉากนี้ในจิตใจของเขา
ตอนที่ 2666 อัพเกรดวิญญาณ และโดเมนธรรมชาติ
สถานที่พักกิลสภาสิบแปดปีก ออฟฟิศหัวหน้ากิล :
ซือเฟิงลืมตาขึ้นบนเก้าอี้ของเขา ในขณะที่จิตใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย
เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าเขาเปิดใช้งานวงเวทย์หลักของวงเวทย์วิญญาณสำเร็จแล้ว อย่างไรก็ตามในวินาทีต่อมาวงเวทย์วิญญาณก็ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆจนไม่มีร่องรอยเหลืออยู่เลย ซึ่งมันก็ราวกับว่าวงเวทย์วิญญาณนั้นไม่เคยมีอยู่ในจิตใจของเขามาก่อน
“มันเกิดอะไรขึ้นกัน ? สรุปฉันทำสำเร็จหรือล้มเหลว ?”
หลังจากยืนยันว่าไม่มีวงเวทย์วิญญาณอยู่แล้ว ซือเฟิงก็ได้ลองพยายามขยับร่างกายเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเขาไม่พบการเปลี่ยนแปลงหรือความรู้สึกไม่สบายในร่างกายของเขาเลย ซึ่งมันราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาพลวงตา
จากสิ่งที่เขาเข้าใจเกี่ยวกับวงเวทย์วิญญาณ ตราบใดที่ผู้เล่นเปิดใช้งานวงเวทย์วิญญาณสำเร็จ วิญญาณของพวกเขาก็จะได้รับการอัพเกรด และความสามารถตามธรรมชาติของตัวละครในเกมก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในทางกลับกัน หากผู้เล่นล้มเหลวในการเปิดใช้งานวงเวทย์วิญญาณ วิญญาณของพวกเขาก็จะถูกกลืนกิน และความสามารถตามธรรมชาติของพวกเขาก็จะลดลงอย่างมาก ซึ่งมันจะช่วยลดโอกาสในการปรับปรุงต่อไปเกือบทั้งหมด
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขากับไม่รู้สึกแตกต่างจากก่อนที่เขาพยายามจะเปิดใช้งานวงเวทย์วิญญาณเลย ทั้งร่างและจิตใจของเขาตอนนี้มันอยู่ในสภาพปกติ ไม่ได้รู้สึกกระฉับกระเฉงหรือเฉื่อยชา
“สรุปวงเวทย์วิญญาณนั่นเป็นแค่เรื่องหลอกลวงงั้นหรอ ?”
หลังจากไตร่ตรองมาระยะหนึ่งแล้ว ซือเฟิงก็ไม่สามารถจะหาข้อสรุปใดได้นอกจากเรื่องนี้ หรือไม่ก็แทนที่มันจะเป็นวงเวทย์วิญญาณที่แท้จริง มันอาจจะเป็นเพียงตราประทับที่ค่อนข้างพิเศษกว่าปกตินิดหน่อยก็ได้ มันไม่มีคำอธิบายใดที่สมเหตุสมผลกว่านี้
แน่นอนว่ามันก็มีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งเช่นกันคือข้อมูลทั้งหมดที่เขาได้รับมาเกี่ยวกับวงเวทย์วิญญาณในอดีตนั้นเป็นเรื่องเท็จ วงเวทย์วิญญาณอาจจะไม่มีความสามารถในการอัพเกรดวิญญาณของผู้เล่นเลย และทุกคนที่เคยได้สัมผัสกับมันก็ล้วนจินตนาการไปเองเท่านั้น
ณ จุดนี้ ซือเฟิงไม่สามารถจะทำอะไรได้นอกจากถอนหายใจออกมา
หากเป็นแบบนี้จริงๆ มันก็คงจะนับว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่มากๆของเขาในครั้งนี้
เขาได้ใช้คริสตัลเทพเจ้าหนึ่งชิ้นเพื่อทำการรีเซ็ตคูลดาวน์ของหัวใจแห่งออกัสตัสที่ได้รับความเสียหาย และก่อนหน้านี้เพื่อช่วยเหลือในการพัฒนาของแกนหลักส่วนใหญ่ในกิล เขาก็ได้ใช้คริสตัลเทพเจ้าที่มีไปทั้งหมดแล้ว ซึ่งเขาก็ได้เก็บไว้ชิ้นเดียวเพื่อไว้ใช้ในยามจำเป็นจริงๆ และตอนนี้เขาก็ได้ใช้มันไปแล้ว ….
ในระหว่างที่ความรู้สึกหดหู่กำลังเข้ากลืนกินจิตใจของซือเฟิงเต็มไปหมด ยู่หลานก็เคาะประตูก่อนจะเดินเข้ามาในห้อง
“หัวหน้ากิล เมลานโครอิคสไมล์และคนอื่นๆได้มาถึงแล้ว นอกจากนี้ NPC พิการมากกว่าสามร้อยคนก็ได้เข้ามาถึงลานในสถานที่พักกิลแล้วเช่นกัน ตอนนี้เราสามารถเริ่มทุกอย่างได้ตลอดเวลา” ยู่หลานกล่าวกับซือเฟิงที่มีใบหน้าหดหู่
“เอาล่ะ ให้ NPC เหล่านั้นไปรออยู่ที่ชั้นใต้ดินชั้นที่สองก่อน แล้วก็ให้เมลานโครอิคสไมล์ไปเตรียมการเช่นกัน เพราะฉันก็ต้องการเวลาเตรียมการด้านตัวเองนิดหน่อยด้วย ….” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า
“ฉันจะแจ้งให้พวกเขาทราบทันที” ยู่กล่าวก่อนจะเดินออกจากออฟฟิศไป
หลังจากที่เธอออกไป ซือเฟิงก็ได้นำคริสตัลความทรงจำที่ได้รับจากนักบุญแห่งดาบคริมสันอายมอบให้เขาออกมา เนื่องจากพลังงานแห่งนิรันดร์จากหัวใจแห่งออกัสตัสที่ได้รับความเสียหายนั้นยังคงมีผลอยู่ ดังนั้นเขาจึงได้วางแผนจะใช้โอกาสนี้เรียนรู้มรดกของเอลโวลต์
ใน God domain คริสตัลเทพเจ้านั้นหายากยิ่งกว่าอาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคด้วยซ้ำ การจะได้เจอกับมันนั้นแทบจะเรียกได้ว่าขึ้นอยู่กับโชคอย่างมาก
ตอนนี้เขาได้เสียคริสตัลเทพเจ้าไปเพื่อรีเซ็ทคูลดาวน์หัวใจแห่งออกัสตัสที่ได้รับความเสียหาย ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วเขาจึงจะไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่าไปแม้แต่วินาทีเดียว ไม่งั้นเขาจะต้องรอสามเดือนก่อนที่จะเปิดใช้งานหัวใจแห่งออกัสตัสที่ได้รับความเสียหายได้อีกครั้ง นอกซะจากว่าเขาจะได้รับคริสตัลเทพเจ้ามาเพิ่มอีกชิ้น
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ซือเฟิงพยายามจะฉีดมานาของเขาเข้าไปในคริสตัลความทรงจำ หมอกสีขาวก็ก่อตัวขึ้นรอบๆคริสตัลซึ่งมันทำให้เขาตกตะลึง
“นี่ …. มานาที่เป็นรูปธรรม ? เป็นไปได้ยังไง ?”
มานานั้นจับต้องไม่ได้ ผู้เล่นสามารถใช้เพียงประสาทสัมผัสและจินตนาการในการควบคุมมัน ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็สามารถควบคุมมานาได้แบบง่ายๆเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามการจะทำแบบที่ซือเฟิงทำให้ได้ตอนนี้นั้นมันยากเกินกว่าความสามารถของผู้เล่นขั้นสี่ในชีวิตที่ผ่านมาส่วนใหญ่ของเขาด้วยซ้ำ
และโดยปกติผู้เล่นจะทำแบบที่ซือเฟิงทำได้ก็หลังจากที่พวกเขากลายเป็นปรมาจารย์นักเวทย์ขั้นสูงหรือสูงกว่าแล้วเท่านั้น
ขณะเดียวกันตอนนี้ซือเฟิงพึ่งจะบรรลุมาตราฐานของปรมาจารย์นักเวทย์ขั้นกลาง แต่มานาที่เป็นรูปธรรมนี้มันก็เหมือนการบ่งชี้ว่าเขาได้กลายเป็นปรมาจารย์นักเวทย์ขั้นสูงแล้ว เขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลย
ปรมาจารย์นักเวทย์ขั้นสูง!!
แม้ว่าอาชีพนักเวทย์แบบนี้จะเป็นเพียงอาชีพรองใน God domain แต่มาตราฐานของปรมาจารย์นักเวทย์ขั้นสูงก็ล้วนเป็นขอบเขตที่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ทุกคนต้องการจะเข้าให้ถึง
เพราะที่มาตราฐานของปรมาจารย์นักเวทย์ขั้นสูง ผู้เล่นจะสามารถพึ่งพาความตั้งใจของพวกเขาในการจัดการกับมานารอบๆตัวเขาโดยใช้มานาราวกับมันเป็นส่วนเสริมของร่างกายได้ พวกเขาสามารถจะมีโดเมนธรรมชาติเป็นของตัวเองได้ !!
ขณะเดียวกันผู้เล่นขั้นสามที่สามารถไปถึงมาตราฐานของปรมาจารย์นักเวทย์ขั้นสูงได้ก็จะจัดว่าเป็นอมตะเลยในหมู่สิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่อยู่ต่ำกว่าขั้นสี่ ดังนั้นเราก็น่าจะสามารถจินตนการกันได้อย่างง่ายๆเลยว่าอาชีพของปรมาจารย์นักเวทย์ขั้นสูงนั้นทรงพลังมากขนาดไหน
“นี่เป็นเอฟเฟคของวงเวทย์วิญญาณงั้นหรอ ?” นี่เป็นคำอธิบายเดียวที่ซือเฟิงสามารถคิดได้สำหรับสถานการณ์นี้ หลังจากครุ่นคิดแล้ว
การจัดการมานาที่ไม่มีตัวตนนั้นมันเป็นงานที่ซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ ผู้เล่นต้องใช้เวลามากในการปรับความคิดก่อนที่จะทำได้
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาสามารถควบคุมมานาได้อย่างดีเยี่ยม แม้ว่าจะยังไม่ได้ปรับความคิดใดๆ ซึ่งมันราวกับว่าจิตใจของเขาทำให้กระบวนการนี้เป็นไปโดยอัตโนมัติสำหรับเขา
“มหัศจรรย์มาก !!! มหัศจรรย์จริงๆ !!! มันสุดยอดมากๆ !!! การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของฉันมันท้าทายสวรรค์ฺอย่างแท้จริง !!!” ซือเฟิงเต็มไปด้วยความรู้สึกตกใจที่ไม่อาจจะอธิบายได้ ในขณะที่เขาควบคุมโดเมนมานาธรรมชาติที่ก่อตัวขึ้นรอบตัวเขา
ปัจจุบันเขาสามารถควบคุมมานาทั้งหมดในรัศมีสามสิบหหลาได้อย่างอิสระราวกับมันเป็นแขนขา ข้างหนึ่งของเขา และด้วยความคิด เขาก็สามารถสั่งให้มานาโดยรอบโจมตีใครบางคนได้ ยิ่งไกว่านั้นการโจมตีนี้จะมีพลังที่จุดสูงสุดของขั้นสาม เมื่อเขาใช้แค่มานาโดยรอบ และถ้าเขาใช้เวทย์ AOE ที่ทรงพลังของเขา พลังที่เขาจะแสดงออกมาได้ มันก็จะยิ่งใหญ่กว่าเดิมมาก
หลังจากช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้นชั่วครู่ ซือเฟิงก็สงบตัวเอง ก่อนที่เขาจะนำคริสตัลความทรงจำของเอลโวลต์เก็บกลับเข้าไป จากนั้นเขาก็หยิบสมุดบันทึกที่ขาดรุ่งริ่ง
ออกมาจากกระเป๋าของเขา
“เดิมทีฉันคิดว่า ฉันจะเรียนรู้เนื้อหาของสิ่งนี้ได้ก็ต่อเมื่อไปถึงขั้นสี่แล้วเท่านั้น ฉันไม่เคยคิดฝันเลยว่า ฉันจะได้เรียนรู้มันอย่างรวดเร็วแบบนี้ …. Faux Saint Devourer มันช่วยฉันได้มากจริงๆ …” ซือเฟิงพึมพำพลางหัวเราะเบาๆ ขณะที่เขามองไปที่สมุดบันทึกในมือของเขา
สมุดบันทึกที่เขาถือนั้น มันไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากสมุดบันทึกมานา (แบบแปลนมานาพิเศษนั่นแหละ ) ที่เขาได้รับมาจากช่างตีเหล็กระดับพระเจ้าอัลบา เกรย์ และแม้ว่าเขาจะมีสมุดนี้แค่เล่มเดียว แต่มูลค่าของมันก็สามารถจะเทียบเคียงกับไอเทมระดับตำนานได้อย่างง่ายดาย
นี่เป็นเพราะเทคนิคมานาช่างตีเหล็กในนี้ที่ถูกบันทึกไว้นั้นมันสามารถจะใช้เป็นรากฐานของอาณาจักรหนึ่งได้เลย
และแน่นอนว่าการจะเรียนรู้เทคนิคนี้ก็เป็นเรื่องยากอย่างมาก เพราะประการแรก ผู้ที่ต้องการจะเรียนรู้เทคนิคนี้จะต้องมาถึงมาตราฐานของปรมาจารย์นักเวทย์ขั้นสูง
ข้อกำหนดนี้เป็นเพราะเทคนิคมานาช่างตีเหล็กของอัลบา เกรย์ นั้นแตกต่างจากเทคนิคมานาช่างตีเหล็กแบบดั้งเดิมมากๆ เพราะเทคนิคมานาของอัลบา เกรย์นั้นไม่ได้เน้นไปที่การจัดลำดับความสำคัญของวัสดุ แต่เน้นไปที่การให้ความสำคัญกับมานา ขณะที่วัสดุมีความสำคัญรองลงมาแทน ซึ่งเทคนิคมานาช่างตีเหล็กของอัลบา เกรย์ นั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นเทคโนโลยีโบราณที่หายสาบสูญไปก็ได้
ซือเฟิงเริ่มจัดการใช้มานารอบตัวของเขาทันทีเพื่อทำลายผนึกมานาบนสมุดบันทึก
ซึ่งในขั้นตอนนี้ทั้งหมด มันก็จะต้องทำอย่างประณีตมากๆ เพราะหากใช้กำลังที่ดุร้าย มันก็มีสิทที่เนื้อหาในสมุดบันทึกจะถูกทำลายไปอย่างถาวร และในขั้นตอนนี้นั้น ผู้ที่จะทำได้มันก็มีแค่ผู้ที่สามารถจัดการมานาได้อย่างอิสระ กับมีโดเมนธรรมชาติเป็นของตัวเองเท่านั้น นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมซือเฟิงถึงทิ้งสมุดบันทึกนี้ไว้ในกระเป๋าของเขาตลอดเวลา
หลังจากดำเนินการมาเป็นเวลาสองชั่วโมง ซือเฟิงก็สามารถจัดการทำลายผนึกมานาทั้งหมดของวงเวทย์ในสมุดบันทึกมานาช่างตีเหล็กได้
ทันใดนั้นมานาทั้งหมดก็เข้ามารวมตัวกันที่สมุดบันทึกมานา ก่อนที่สมุดบันทึกมานาจะค่อยสลายกลายเป็นไอมานา และไหลเข้าสู่สมองของซือเฟิง ซึ่งมันทำใหเกิดเขาได้เห็นภาพและรับรู้ถึงข้อมูลจำนวนมหาศาล
และในตอนนี้มันก็ทำให้ซือเฟิงรู้สึกราวกับว่าหัวของเขากำลังจะระเบิด
จำนวนข้อมูลที่อยู่ในสมุดบันทึกนี้นั้นเทียบได้กับข้อมูลของป้อมปราการเคลื่อนที่ขนาดเล็กเลย ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขามาถึงขั้นสี่แล้ว เขาคงหมดสติไปอย่างแน่นอน
การถ่ายโอนข้อมูลดำเนินไปเป็นเวลานานกว่ายี่สิบนาที ก่อนที่สมุดบันทึกมานาจะกลับมาเป็นรูปร่าง และผนึกมานาก็ปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง …. สำหรับซือเฟิงตอนนี้หน้าของเขาซีดมากๆ ก่อนที่เขาจะทรุดตัวนั่งลง แต่ดวงตาของเขากับเปล่งประกายไปด้วยความสุขและตื่นเต้น
ก่อนที่ซือเฟิงจะทันได้หายจากอาการทั้งหมดนี้ ยู่หลานก็โทรติดต่อเขาเข้ามา
“หัวหน้ากิล เราพึ่งได้รับข่าวมาว่ากองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint กำลังข้ามพรหมแดนของอาณาจักรสตาร์มูนมา และจากการประมาณการคร่าวๆถึงจำนวนของพวกมัน ก็น่าจะมีมากกว่าสี่ล้าน และเราก็ได้เห็นสมาชิกของมือแห่งนักบุญอยู่ท่ามกลางมอน
สเตอร์เหล่านี้ด้วย” ยู่หลานรายงานอย่างใจจดใจจ่อ
“ในที่สุดพวกนั้นก็มากันแล้วงั้นหรอ ?” ซือเฟิงยิ้มบางๆออกมา เมื่อได้รับรายงานจากยู่หลาน “ให้เมลานโครอิคสไมล์และคนอื่นๆเตรียมทุกอย่างที่จำเป็นให้พร้อม ฉันจะตรงไปที่นั่นทันที !!!”
ตอนที่ 2667 รากฐานที่พุ่งทะยานราวกับติดจรวด
เมืองปีกสีเงิน สถานที่พักกิลสภาสิบแปดปีก ชั้นใต้ดินชั้นที่สอง :
ในขณะนี้ NPC มากกว่าสามร้อยคนกำลังยืนอยู่ในห้องโถงใต้ดินซึ่งมีขนาดเท่ากับครึ่งหนึ่งของสนามฟุตบอล ซึ่ง NPC เหล่านี้นั้นมีทั้งแก่ชราและบาดเจ็บมากๆ ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามมากกว่าหนึ่งร้อยคนของสภาสิบแปดปีกนั้นอดไม่ได้ที่จะสับสน เมื่อเห็นการปรากฎตัวของ NPC เหล่านี้
“ด้วยสถานการณ์ภายนอกที่ตึงเครียดมากๆตอนนี้ เหตุใดหัวหน้ากิลจึงรวบรวมพวกเรามาที่นี่แทนที่จะให้พวกเราเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ ?” ชายร่างสูงและผอมที่มีตราสัญลักษณ์กองกำลังหลักของสภาสิบแปดปีกติดอยู่ที่หน้าอกพึมพำอย่างงุนงง
ชายร่างสูงและผอมคนนี้นั้นเคยเป็นรองผู้บัญชาการของทีมนักผจญภัยมาก่อน เขาพึ่งจะเข้าร่วมสภาสิบแปดปีกเมื่อไม่นานมานี้และได้รับตำแหน่งสมาชิกสำรองของกองกำลังหลัก หลังจากที่ซือเฟิงออกจากทวีปด้านตะวันออกไปพักหนึ่งแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้มีความรู้ที่ชัดเจนมากนักว่ารากฐานของสภาสิบแปดปีกทรงพลังมากขนาดไหน
สิ่งที่ชายคนนี้เขาใจอย่างชัดเจนคือมอนสเตอร์ Faux Saint นั้นทรงพลังมากขนาดไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่มอนสเตอร์เหล่านี้เคลื่อนไหวกันเป็นกองทัพขนาดใหญ่ และพูดกันตรงๆการที่ตอนนี้มอนสเตอร์ Faux Saint หลายล้านตัวกำลังพุ่งเข้ามาหาเมืองปีกสีเงินนั้นมันก็นับเป็นหายนะอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามแทนที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับการป้องกันเมือง ซือเฟิงกับรวบรวมสมาชิกสำรองกองกำลังหลักของกิลที่อยู่ในขั้นสามทั้งหมดที่ได้รับมอบหมายให้ปกป้องเมืองปีกสีเงินลงมาที่ห้องโถงใต้ดินนี้ ในความเป็นจริงเขาให้พวกเขารอที่นี่เป็นเวลานานโดยไม่มีอะไรให้ทำเลย นอกจากการมองไปยัง NPC ที่ทั้งแก่ชราและบาดเจ็บเหล่านี้
นี่มันบ้ามากๆ !!!
ในขณะนี้ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามหลายคนรู้สึกสับสนกับสถานการณ์นี้มากๆ
เมืองปีกสีเงินนั้นไม่ได้เป็นเมืองเล็กๆเลย มันมีสถานที่มากมายที่ต้องได้รับการปกป้อง ซึ่งจริงๆแล้วพวกเขาต้องขอกำลังเสริมที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม และขั้นสองจากกิลเข้ามาเพิ่มเติมเพื่อเรื่องนี้ด้วยซ้ำ เพราะเวลาของพวกเขาเหลือน้อยมากแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขากับมาเสียเวลาไปราวสองชั่วโมงในการอยู่ที่นี่โดยไม่ได้ทำอะไรเลย
นี่มันทำให้ผู้เล่นที่มารวมตัวกันนั้นอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าซือเฟิงยอมแพ้เรื่องเมืองปีกสีเงินไปแล้วรึไง ?
สำหรับพวกระดับสูงของสภาสิบแปดปีก เมืองปีกสีเงินอาจจะเป็นแค่หนึ่งในเมืองกิลที่กิลครอบครองอยู่ อย่างไรก็ตามสำหรับผู้เล่นแบบตัวพวกเขาเองที่อาศัยอยู่ในเมืองปีกสีเงินมาตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่นี่มันคือบ้านของพวกเขา
ขณะที่ทุกคนกำลังบ่นเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน ยู่หลานและเมลานโครอิคสไมล์ก็ได้เดินกลับขึ้นไปเปิดประตูห้องโถงใต้ดินชั้นดิน ก่อนที่พวกเธอทั้งสองจะทำความเคารพชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู และเดินขนาบข้างทั้งสองด้านของชายคนนี้กลับลงมาที่ห้องโถงใต้ดินในชั้นใต้ดินชั้นที่สองอีกครั้ง
“หัวหน้ากิล กองกำลังสำรองขั้นสามที่อยู่ในตำแหน่งของวิสเค้าท์หรือสูงกว่าทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว และพวกเขาก็ได้เซ็นสัญญารักษาความลับไว้แล้ว ซึ่งด้วยช่ององครักษ์ส่วนตัวที่พวกเขามีทั้งหมด เราน่าจะสามารถรองรับ NPC ทั้งหมดที่เรารวบรวมมาได้” เมลานโครอิคสไมล์กล่าวรายงานเบาๆกับซือเฟิง
“เอาล่ะ งั้นเราก็มาเริ่มกันเลย” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า
แต่เดิมเขาได้เก็บเรื่องน้ำแห่งชีวิตไว้เป็นความลับสุดยอด เพราะท้ายที่สุดนี่มันจะช่วยให้เขามีช่วงเวลาที่ง่ายขึ้นในการรวบรวม NPC ที่แก่ชราและบาดเจ็บที่มีสเป็คตรงตามเป้าหมายของเขา อย่างไรก็ตามตอนนี้ God domain ได้พัฒนามาถึงจุดที่เรียกว่าล่อแหลมสำหรับหลายกิลแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับสุดยอดได้อีกต่อไป
หลังจากที่ซือเฟิงกล่าวออกคำสั่ง เมลานโครอิคสไมล์ก็มองไปยัง NPC ที่ถูกรวบรวมมาตรงหน้าเธอ ก่อนที่เธอจะทำการแจกจ่ายน้ำแห่งชีวิตให้กับพวกเขาทุกคน ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบันนี้มันก็ทำให้สมาชิกสำรองกองกำลังหลักสับสนมากๆ
“พวกเขากำลังทำอะไรกัน ?”
“มันช่างเป็นพลังชีวิตที่หนาแน่นมากๆ !!!”
“ทำไม NPC ทั้งหมดนั่นถึงดูตื่นเต้นจัง ?”
หลายคนนั้นรู้จักน้ำแห่งชีวิตใน God domain แต่มันก็ไม่ค่อยมีใครได้เห็นของจริงด้วยตาตัวเอง
ดังนั้นในสายตาของสมาชิกสำรองกองกำลังหลักของสภาสิบแปดปีกตอนนี้ที่พวกเขามองเห็นก็คือ เมลานโครอิคสไมล์นั้นก็เพียงแค่แจกจ่ายโพชั่นที่เต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิตให้กับ NPC ที่รวบรวมมมา อย่างไรก็ตามเมื่อ NPC ได้รับโพชั่นนี้ไป การแสดงออกที่ดูมืดมนและไร้ชีวิตของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นและมีความสุขทันที ขณะที่ดวงตาของพวกเขาทุกคนนั้นก็เปล่งประกายด้วยความหวัง ซึ่ง NPC ทุกคนต่างกล่าวขอบคุณเมลานโครอิคสไมล์อย่างตื่นเต้น และสาบานว่าจะภักดีต่อเธออย่างถึงที่สุด สถานการณ์นี้ทำให้สมาชิกสำรองกองกำลังหลักของสภาสิบแปดปีกงงงวยมากๆ
พวกเขาทุกคนสามารถบอกได้เลยว่า NPC เหล่านี้นั้นไม่ใช่องครักษ์ส่วนตัว แต่เป็น NPC อิสระ และมันแทบจะไม่มีโอกาสเลยที่ NPC เหล่านี้จะแสดงความขอบคุณต่อผู้เล่นเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงการสาบานว่าจะภักดีต่อผู้เล่น
ในขณะที่สมาชิกสำรองกองกำลังหลักกำลังเต็มไปด้วยความสับสน ออร่าที่น่ากลัวก็ค่อยๆระเบิดออกมาจาก NPC เหล่านี้ทีละคนๆ
ก่อนหน้านี้ NPC ที่ถูกรวบรวมมาเหล่านี้ไม่สามารถจะเทียบได้กับ NPC ขั้นสองทั่วไปด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามตอนนี้แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังแผ่ออร่าซึ่งทำให้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตการปรับแต่งตัวสั่นออกมา
เมื่อออร่าของ NPC มากกว่าสามร้อยคนนี้เข้าท่วมห้องโถงใต้ดิน มันก็ทำให้สมาชิกสำรองกองกำลังหลักของสภาสิบแปดปีกอดไม่ได้ที่จะเผลอก้าวถอยกลับไปด้วยท่าทีประหม่า ในขณะที่พวกเขาจ้องมองไปยัง NPC ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างระมัดระวัง ในตอนนี้พวกเขาสามารถบอกได้เลยว่าตราบใดที่ NPC เหล่านี้เอาแต่ใจขึ้นมา มันจะไม่มีใครในห้องโถงใต้ดินที่สามารถออกจากนี่ไปได้ทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามี NPC ในหมู่ NPC เหล่านี้จำนวนหนึ่งที่แผ่ออร่าที่น่ากลัวกว่าปกติมากๆออกมาจนมันทำให้พวกเขาหลายคนรู้สึกราวกับว่ากำลังยืนอยู่หน้าเหวลึก ซึ่งมันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่า NPC เหล่านี้นั้นไม่ใช่ NPC ขั้นสามทั่วไป
“โดเมนมานา ?!”
ในขณะนี้แม้แต่ยู่หลานก็ยังตกตะลึงกับสถานการณ์นี้ แม้ว่าเธอจะรู้ว่าซือเฟิงและเมลานโครอิคสไมล์ได้รวบรวม NPC ที่แก่ชราและเจ็บป่วยเหล่านี้มาด้วยจุดประสงค์อะไร แต่เธอก็ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะดำเนินการอะไรที่มันทะเยอทะยานมากแบบนี้
ตอนนี้พวกเขาไม่เพียงแต่จะเปลี่ยน NPC ที่แก่ชราและบาดเจ็บพวกนี้ให้กลับเป็นเสือที่มีชีวิตชีวา แต่ในหมู่ NPC เหล่านี้มันยังมีสามคนที่สามารถสร้างโดเมนมานาได้ด้วย นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลย
โดยปกติโดเมนมานาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินั้นจะมีเพียง NPC ขั้นสี่เท่านั้นที่สามารถสร้างและครอบครองมันได้ โดเมนมานานั้นเป็นความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่าง NPC ขั้นสาม และขั้นสี่ และมันก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ NPC ขั้นสี่สามารถเอาชนะ NPC ขั้นสามได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนี้มันก็ยังเป็นเพราะโดเมนมานานี่เองที่ทำให้มือแห่งนักบุญนั้นไม่เคยกล้ายื่นมือเข้ามาแตะต้องเมืองปีกสีเงินแบบเป็นกิจจะลักษณะ เพราะท้ายที่สุดเมืองปีกสีเงินนั้นได้รับการปกป้องจากราชันเวทย์มนต์ เคร็ก มิดแลนด์ ที่ได้เลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่แล้ว ซึ่งต่อหน้าราชันเวทย์มนต์นั้น ผู้เล่นขั้นสามก็จะไม่ต่างอะไรไปจากมดปลวกเลย
อย่างไรก็ตามตอนนี้จาก NPC มากกว่าสามร้อยคนที่นี่ มันมีสามคนที่มีโดเมนมานาแล้ว ซึ่งนั่นมันก็หมายความว่าสามคนนี้นั้นอยู่ห่างจากขั้นสี่เพียงก้าวเดียว
ยอดเยี่ยม !!! การเก็บเกี่ยวครั้งนี้ค่อนข้างดีทีเดียว !!! ซือเฟิงเองก็รู้สึกประหลาดใจกับผลลัพธ์นี้
แม้ว่าจะไม่มี NPC ขั้นสี่อยู่ในหมู่ NPC ที่ได้รับการฟื้นฟูครั้งนี้ แต่เพียงแค่ได้รับ NPC ขั้นสาม สามคนที่มีโดเมนมานามามันก็จัดว่าน่าทึ่งมากแล้ว เพราะท้ายที่สุดตราบใดที่ NPC ขั้นสามทั้งสามนี้ได้รับทรัพยากรเพียงพอ ยังไงพวกเขาก็จะกลายเป็น NPC ขั้นสี่ได้แน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นนอกเหนือจาก NPC ขั้นสามทั้งสามคนนี้แล้ว คุณภาพของ NPC ที่เหลือก็ยังจัดว่าดีมากๆเช่นกัน
ในบรรดา NPC ที่เหลือนั้น มันมี 1 คน ที่มีศักยภาพในการเติบโตอยู่ในระดับดาร์คโกล มี 11 คน ที่มีศักยภาพในการเติบโตระดับไฟน์โกล และมี 151 คน ที่มีศักยภาพในการเติบโตระดับลึกลับขั้นเงิน ส่วนที่เหลือก็มีศักยภาพในการเติบโตระดับเหล็กลึกลับทั้งหมด
ใน God domain NPC ที่มีศักยภาพในการเติบโตอยู่ในระดับไฟน์โกลหรือสูงกว่าขึ้นไปนั้น ผู้เล่นจะต้องใช้โชคอย่างมากกว่าจะค้นพบได้สักคน และอควาโรสก็ได้เคยทำการรวบรวม NPC ที่เจ็บป่วย และแก่ชรามาจากหลายประเทศรอบหนึ่งแล้ว ดังนั้นความจริงที่ว่า NPC ที่ถูกรวบรวมมาแบบเดียวกันในรอบที่สองมีศักยภาพขนาดนี้ มันก็จัดว่าน่าทึ่งมากแล้ว
เพราะท้ายที่สุด NPC ขั้นสามที่มีศักยภาพในการเติบโตระดับไฟน์โกลหรือสูงกว่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะใช้ปราบปรามผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมนขั้นสามในปัจจุบัน และแม้แต่มหาอำนาจต่างๆก็ครอบครอง NPC ระดับนี้อยู่ไม่ถึงหยิบมือ
อย่างไรก็ตามตอนนี้สภาสิบแปดปีกกับพึ่งจะได้รับมาเพิ่มอีกสิบห้าคน แถมสามคนในนี้ยังใช้โดเมนมานาได้ด้วย โดยสองคนอยู่ในระดับไฟน์โกล ขณะที่อีกหนึ่งคนอยู่ในระดับดาร์คโกล หากมหาอำนาจต่างๆได้รู้ถึงสถานการณ์นี้ พวกเขาจะต้องอิจฉาสภาสิบแปดปีกอย่างมากแน่นอน
ในขณะเดียวกันหลังจากช่วงเวลาแห่งความเงียบในห้องโถง ซือเฟิงก็ได้หันไปมองสมาชิกสำรองกองกำลังหลักที่มารวมตัวกันต่อหน้าเขา
“เอาล่ะ หยุดฝันกลางวันกันได้แล้ว เข้าแถวตามหมายเลขที่พวกคุณถูกกำหนดมา และเริ่มเซ็นสัญญากับ NPC เหล่านี้” ซือเฟิงพูดพลางปรบมือ
คำพูดของซือเฟิงนั้นทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในหมู่ผู้เล่นที่มารวมตัวกัน
“อึก !! นี่มันเรื่องจริงงั้นหรอ ?!”
“แม้แต่ NPC ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังอยู่ในระดับเหล็กลึกลับใช่ไหม ?”
“เราสามารถทำสัญญากับ NPC เหล่านี้ให้มาเป็นองครักษ์ส่วนตัวของเราได้จริงๆงั้นหรอ ?”
ทุกคนนั้นรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในความฝัน เมื่อได้ยินคำพูดของซือเฟิง ความจริงที่ว่ากิลสามารถรับสมัคร NPC ที่ทรงพลังจำนวนมากมายได้มันก็จัดว่าน่าทึ่งมากแล้ว อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเขากับได้รับแจ้งว่าพวกเขาสามารถรับสมัคร NPC เหล่านี้เป็นองครักษ์ส่วนตัวของตัวเองได้ พวกเขานั้นแทบจะไม่เชื่อหูของตัวเองจริงๆ
ในระยะนี้ของเกม กิลชั้นสูงต่างๆยังถือว่าองครักษ์ส่วนตัวระดับเหล็กลึกลับเป็นสมบัติประจำกิลด้วยซ้ำ ซึ่งโดยปกติจะมีเพียงแต่เหล่าผู้อาวุโสสูงสุดของกิลเท่านั้นที่จะมีสิททำสัญญากับ NPC เหล่านี้ สำหรับองครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงินหรือสูงกว่าขึ้นไป มันล้วนตกเป็นของหัวหน้ากิล หรือไม่ก็พวกผู้บริหารระดับสูงในกิลที่มีหน้าที่สำคัญทั้งหมด คนอื่นๆนั้นไม่ควรคิดที่จะได้รับมา
อย่างไรก็ตามตอนนี้สภาสิบแปดปีกกับกำลังปล่อยให้สมาชิกสำรองกองกำลังหลักของกิลได้เซ็นสัญญากับองครักษ์ส่วนตัวที่มีตั้งแต่ระดับเหล็กลึกลับหรือสูงกว่าขึ้นไปทั้งหมด สถานการณ์นี้มันวิเศษซะยิ่งกว่าการที่กิลมอบอาวุธระดับอีปิคเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยให้พวกเขาทุกคนด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามในเวลาไม่นานนักทุกคนก็สลัดความตกตะลึงและความงุนงงออก พลางีรบไปต่อแถวตรงหน้าของซือเฟิงทันที
สำหรับการแจกจ่าย NPC นั้น ซือเฟิงได้เลือกให้ผู้เล่นทุกคนไปต่อแถวเซ็นสัญญากับ NPC ที่มีศักยภาพในการเติบโตระดับลึกลับขั้นเงินก่อน ส่วน NPC ที่มีศักยภาพในการเติบโตระดับดาร์คโกลสองคน ซือเฟิงได้เลือกจะมอบให้เมลานโครอิคสไมล์ และยู่หลานอย่างละคน และเขาก็ได้เลือกจะมอบ NPC ที่มีศักยภาพในการเติบโตระดับไฟน์โกลอีกสองคนให้เหลียงจิง ซึ่งด้วยวิธีนี้ มันจะทำให้พวกเขาทั้งสามคนไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของตัวเองอีกต่อไป เมื่อทำการเดินทางไปรอบๆ God domain สำหรับ NPC ที่มีศักยภาพในการเติบโตระดับไฟน์โกลที่เหลือ เขาได้เลือกจะมอบให้เหล่าคนที่ทำประโยชน์ให้กับกิลมากที่สุดในหมู่คนเหล่านี้ ซึ่งเมื่อเห็นสิ่งนี้ สมาชิกสภาสิบแปดปีกคนอื่นๆก็อดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความอิจฉา
นั่นคือองครักษ์ส่วนตัวระดับไฟน์โกลเลยนะที่พวกเขากำลังพูดถึง !!!
ด้วยความแข็งแกร่งขององครักษ์ส่วนตัวระดับไฟ์โกล คนๆหนึ่งจะไม่ต้องกังวลเลย แม้จะต้องไปเผชิญหน้ากับทีมผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม หนึ่งร้อยคนก็ตาม ในความเป็นจริงทีมผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม หนึ่งร้อยคน มักจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับองครักษ์ส่วนตัวระดับไฟน์โกลด้วย
“นี่มันวิเศษมากๆ !!! เมื่อเพิ่มองครักษ์ส่วนตัวเหล่านี้เข้าไป เราก็ไม่น่าจะมีปัญหาใดๆในการจะป้องกันการโจมตีของกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint !!!” ยู่หลานถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นการแจกจ่ายองครักษ์ส่วนตัวเสร็จสิ้นแล้ว
แม้ว่าเมืองปีกสีเงินจะเป็นเพียงเมืองขั้นสูง แต่สภาสิบแปดปีกก็ได้ลงทุนทั้งเงินและทรัพยากรจำนวนมากไปในการพัฒนาเมือง และแม้ว่าความสามารถในการป้องกันของมันอาจจะไม่สามารถเทียบเคียงได้กับเมืองป่าหิน หรือเมืองสภาสิบแปดปีก แต่มันก็นับว่าไม่ได้ต่างกันมากนัก นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเมืองนี้มีหอคอยเวทย์มนตห้าแห่ง พร้อมกับ NPC ขั้นสี่คอยปกป้องอยู่ และด้วยการเพิ่มขึ้นมาขององครักษ์ส่วนตัวขั้นสามเหล่านี้ มันจึงไม่น่าจะมีปัญหาใดๆในการจะปกป้องเมืองจากมอนสเตอร์ Faux Saint
“ป้องกัน ?” ซือเฟิงส่ายหัวออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินคำพูดของยู่หลาน และเขาก็กล่าวต่อว่า “เนื่องจากพวกนั้นกล้าจะเข้ามาที่นี่ พวกเขานั้นก็ไม่ควรคิดว่าจะได้กลับออกไปทั้งๆที่ยังมีชีวิต !!!”
หลังจากพูดจบ ซือเฟิงก็ได้มอบหมายให้เมลานโครอิคสไมล์และยู่หลานไปจัดเตรียมการป้องกันเมืองปีกสีเงิน ส่วนตัวเขานั้นก็ได้มุ่งหน้าไปยังคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองเมืองปีกสีเงิน
ภายในห้องควบคุมของคฤหาสลอร์ดผู้ปกครอง ซือเฟิงได้หยิบหินมานาออกมาหกร้อยก้อน และจัดเรียงมันไว้เหนือวงเวทย์หลัก
สมุดบันทึกมานานั้นบันทึกหลายสิ่งที่น่าทึ่งไว้มากมาย และตอนนี้ซือเฟิงก็เลือกจะนำมันออกมาใช้หนึ่งสิ่ง ซึ่งนั่นก็คือวงเวทย์ที่จะช่วยยกระดับพลังของวงเวทย์อื่นๆให้ขึ้นไปสู่ระดับใหม่ทั้งหมด
แน่นอนว่าการทำแบบนี้มันก็จะมีราคาที่ต้องจ่ายเช่นกัน โดยการทำแบบนี้มันจะเพิ่มพลังของวงเวทย์เป้าหมายขึ้นสามเท่าชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่เมื่อผลของมันหมดลง วงเวทย์เป้าหมายก็จะตกอยู่ในสถานะอ่อนแอระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับผลที่ได้รับแล้ว มันก็จัดว่าคุ้มค่าทีเดียว
เมื่อซือเฟิงวาดวงเวทย์พิเศษรอบหินมานาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เสาสีแดงเข้มก็ได้โผล่ออกมาจากกวงเวทย์หลัก
หลังจากนั้นเสียงประกาศของระบบก็ดังขึ้นมาที่หูของซือเฟิง
….
ระบบ : เมืองปีกสีเงินมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดในการจะเลื่อนขั้นเป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐานแล้ว คุณต้องการจะอัพเกรดเมืองเลยไหม ?
ตอนที่ 2668 การรบปิดล้อมที่เมืองปีกสีเงิน
นี่ฉันสามารถอัพเกรดเมืองได้ ทั้งๆยังงี้เลยเนี่ยนะ ?
ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเขาได้อ่านการแจ้งเตือนจากอินเตอร์เฟซของระบบอีกครั้ง
แม้ว่าเมืองปีกสีเงินนั้นจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และการจะเลื่อนขั้นเป็นเมืองพื้นฐานได้นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น แต่การที่มันบรรลุคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดในทันทีแบบนี้ มันก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เขาประหลาดใจ เขาไม่นึกเลยว่าการเสริมพลังให้กับวงเวทย์หลักของเมืองจะให้ผลแบบนี้ได้ด้วย
โครงสร้างการป้องกันของเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐานนั้นมันดีกว่าเมืองขั้นสูงอย่างมาก และจำนวนทหาร NPC ที่สามารถจะจ้างเข้าประจำการเพื่อป้องกันเมืองได้ก็จะเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่งเช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้นั้นมันนับเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อฐานที่มั่นในจักรวรรดิออร์คแบบนี้
เมื่อไม่นานมานี้มันเริ่มจะมีผู้เล่นมากขึ้นเรื่อยๆในจักรวรรดิออร์ค และเนื่องจากฐานที่มั่นของผู้เล่นที่นี่มีจำนวนน้อยมาก ดังนั้นฐานที่มั่นใดๆที่สามารถรับรองความปลอดภัยของผู้เล่นได้จึงจะเป็นที่นิยมอย่างมาก และมันก็แทบจะรับประกันการพัฒนาอย่างรวดเร็วได้
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้รับประโยชน์ที่ไม่คาดคิดนี้มา แต่ซือเฟิงก็ยังไม่ได้เลือกที่จะอัพเกรดเมืองปีกสีเงิน เขาได้มุ่งความสนใจไปที่เสาสีแดงเข้มที่ปรากฎอยู่ตรงกลางห้องแทน จากนั้นเขาก็หยิบคริสตัลเวทย์มนต์ออกมากองใหญ่ และเริ่มส่งมานาของเสาสีแดงเข้มนี้ไปยังวงเวทย์ต่างๆของเมืองปีกสีเงิน
แม้ว่าการอัพเกรดเมืองปีกสีเงินในตอนนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพของโครงสร้างในการป้องกันเมืองได้อย่างมาก แต่การทำเช่นนี้ในตอนนี้มันจะไม่คุ้มค่านัก เนื่องจากมันจะทำให้ทุกคนถูกเทเลพอร์ตออกจากเมืองไปทันทีในระหว่างขั้นตอนการอัพเกรด และนี่มันก็จะทำให้พวกเขามีเวลาไม่มากพอในการวางแผนการป้องกันเมืองแต่ละจุด ….
แถมมันยังมีความเสี่ยงที่กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint จะเข้ามาถึงเมืองก่อนที่เมืองจะถูกอัพเกรดเสร็จสิ้น ซึ่งหากเป็นแบบนั้น กองกำลังสภาสิบแปดปีกก็จะต้องรับมือกับกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint นับล้านโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากโครงสร้างการป้องกันเมือง
ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ เมื่อเขาได้ทำการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับวงเวทย์หลักของเมืองแล้ว ประสิทธิภาพของมันจึงจะมากกว่าวงเวทย์ของเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐานมาก ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเสี่ยงขนาดนั้น
มานาที่อาละวาดภายในห้องโถงเริ่มไหลเข้าสู่วงเวทย์หลักพร้อมกับมานาจากคริสตัลเวทย์มนต์ที่ถูกปล่อยออกมา จากนั้นวงเวทย์หลักก็จะทำการถ่ายเทพลังของมันไปยังวงเวทย์ต่างๆทั่วเมืองปีกสีเงินเพื่อเสริมพลังให้กับมัน
สามวงเวทย์ … หกวงเวทย์ … เก้าวงเวทย์ …
เมื่อวงเวทย์ของเมืองปีกสีเงินค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นทีละวง มานาโดยรอบเมืองก็เปลี่ยนไป
ในตอนที่วงเวทย์ของเมืองปีกสีเงินถูกเสริมพลังไปครึ่งหนึ่งแล้ว ชั้นหมอกสีแดงก็ปรากฎขึ้นเหนือเมือง และมันก็ทำการห่อหุ้มเมืองไว้อย่างสมบูรณ์
“เร็ว !! ดูนี่สิ !!! เหตุใดถึงมีชั้นหมอกสีแดงปรากฎขึ้นเหนือเมืองกัน ?!”
“เกิดอะไรขึ้น ? นี่เป็นฝีมือของสภาสิบแปดปีกงั้นหรอ ?”
“มีความเป็นไปได้สูง มานาโดยรอบของเมืองนั้นดูเหมือนจะดุร้ายขึ้นเล็กน้อย และตราบใดที่เราใช้มานานี้ พลังของสกิลกับเวทย์ของเราก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมากแน่นอน ซึ่งด้วยสิ่งนี้ เราน่าจะมีช่วงเวลาที่ง่ายขึ้นในการขับไล่กองทัพ Faux Saint”
….
ผู้เล่นในเมืองปีกสีเงินนั้นสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของมานาภายในเมืองอย่างรวดเร็ว และพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขณะเดียวกันสมาชิกของทีมนักผจญภัยหลายคนที่เตรียมจะต่อสู้ก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เมืองปีกสีเงินนั้นเป็นหนึ่งในฐานที่มั่นเพียงไม่กี่แห่งในจักรวรรดิออร์คที่เปิดให้ผู้เล่นอิสระเข้ามาพักผ่อนได้ ดังนั้นผู้เล่นอิสระหลายคนจึงตัดสินใจที่จะสนับสนุนสภาสิบแปดปีกเพื่อต่อต้านกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ที่กำลังใกล้เข้ามา นอกจากนี้สภาสิบแปดปีกยังได้สร้างระบบการสนับสนุนสำหรับผู้เล่นที่เข้าร่วมในการป้องกันเมือง ซึ่งด้วยระบบนี้ ผู้เล่นจะสามารถสะสมคะแนนผ่านการป้องกันเมืองและนำคะแนนไปแลกรางวัลได้ ดังนั้นมันจึงยิ่งทำให้มีผู้เล่นอิสระจำนวนมากเลือกจะอยู่และต่อสู้เพื่อเมืองปีกสีเงิน
“ดูเหมือนว่าแบล๊คเฟรมจะยังเตรียมการป้องกันเมืองไม่เสร็จสิ้นสินะ ….” อิลูซะรี่เวิร์ดซึ่งปัจจุบันยืนอยู่บนกำแพงเมือง อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นชั้นหมอกสีแดงปรากฎขึ้นเหนือเมือง
หลังจากได้เห็นการแสดงก่อนหน้านี้ของซือเฟิงที่ฆ่า Faux Saint Devourer ไป จักรพรรดิคริมสันก็ได้ตัดสินใจที่จะเทหมดหน้าตักเพื่อช่วยสภาสิบแปดปีกปกป้องเมืองปีกสีเงิน อย่างไรก็ตามอิลูซะรี่เวิร์ดก็ไม่ได้รู้สึกมั่นใจในความสำเร็จมากนักเลย เพราะท้ายที่สุดแล้วมอนสเตอร์ Faux Saint มันมีจำนวนมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่มอนสเตอร์ Faux Saint ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังอยู่ในระดับลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งสิ่งที่พวกเขาน่าจะสามารถทำได้มากที่สุดก็คืออดทนต่อการโจมตีของมอนสเตอร์ Faux Saint
ใช่แล้ว !!
อดทน !!
ด้วยกองกำลังในปัจจุบันที่พวกเขามี การขับไล่กองทัพ Faux Saint คงเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่พวกเขาทำได้คืออดทนเท่านั้น
โชคดีที่ซือเฟิงได้ฆ่ามอนสเตอร์ Faux Saint ระดับเทพนิยาย อย่าง Faux Saint Devourer ไปแล้ว ดังนั้นกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ที่จะเข้ามาโจมตีพวกเขาในครั้งนี้นั้น พวกที่แข็งแกร่งที่สุดจึงน่าจะอยู่ในระดับแกรนลอร์ดเท่านั้น ซึ่งวงเวทย์ป้องกันของเมืองปีกสีเงินนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาใดๆในการจะต้านทานการโจมตีของแกรนลอร์ดเหล่านี้ ในขณะเดียวกัน หากพวกเขาสามารถเติมพลังงานให้กับวงเวทย์ป้องกันเมืองได้เรื่อยๆ กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ก็ไม่น่าจะสามารถย่างกรายเข้าเมืองได้แม้แต่ก้าวเดียว
ซึ่งด้วยสติปัญญาและความชาญฉลาดของมอนสเตอร์ Faux Saint พวกมันจะไม่ยอมเสียเวลาอยู่กับงานๆเดียวมากเกินไปแน่นอน และหลังจากเห็นว่าพวกมันไม่สามารถจะฝ่าการป้องกันของเมืองเข้ามาได้เป็นเวลาหลายวัน พวกมันก็จะถอยกลับไปเองโดยธรรมชาติ
“ดูเหมือนว่าแบล๊คเฟรมจะยังคงมีลูกเล่นเหลือให้ใช้อยู่เล็กน้อย เขาสามารถทำให้มานาในเมืองบ้าคลั่งได้จริงๆ และด้วยเรื่องนี้ความแข็งแกร่งของวงเวทย์ป้องกันเมืองก็น่าจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย”
“แม้ว่าจะเป็นแบบนั้น แต่ฉันก็ไม่คิดว่าวงเวทย์ป้องกันเมืองปีกสีเงินจะสามารถป้องกันกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ได้นานนักนะ คุณก็รู้นี่ว่ากองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint แบบนี้เคยทำลายเมืองขนาดใหญ่ของ NPC มาก่อน ดังนั้นเมืองกิลจะไปสามารถทนกองทัพแบบนี้ได้นานได้ยังไงกัน ?”
สมาชิกของมหาอำนาจที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองต่างพูดคุยกันถึงเรื่องนี้เช่นกัน และพวกเขาก็คิดว่าซือเฟิงนั้นโง่มาก เพราะแม้ว่าวงเวทย์ป้องกันเมืองปีกสีเงินจะแข็งแกร่งขึ้น แต่มันก็ยังคงมีขีดจำกัดในด้านพลังงานอยู่ดี
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของ Faux Saint Destroyers ซึ่งเป็นมอนสเตอร์ระดับแกรนลอร์ดหลายหมื่นตัวพร้อมกัน พลังงานสำรองรวมไปถึงพลังงานทั้งหมดของวงเวทย์ป้องกันเมืองจะทนได้นานแค่ไหนกัน ?
แม้แต่วงเวทย์ป้องกันของเมือง NPC ขนาดใหญ่ก็ยังพังลงอย่างรวดเร็ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีแบบนี้ของมอนสเตอร์ Faux Saint ในความเป็นจริง เมือง NPC ขนาดใหญ่หลายแห่งนั่นก็มีทหาร NPC เลเวลหนึ่งร้อยห้าสิบ ไปจนถึงหนึ่งร้อยแปดสิบจำนวนมากคอยป้องกันอยู่ แถมนี่ยังไม่นับรวมผู้ปกครองเมืองขั้นสามหรือสี่ที่แข็งแกร่งด้วย แต่ในท้ายที่สุดมอนสเตอร์ Faux Saint ก็ยังคงสามารถระบายพลังงานทั้งหมดของวงเวทย์ป้องกันเมืองออกไปได้อย่างรวดเร็วและทำลายเมืองลงไปได้
….
หลังจากการเปลี่ยนแปลงของเมืองปีกสีเงินไม่นาน ข่าวคราวก็ไปถึงเมืองมังกรไฟ ในจักรวรรดิมังกรไฟอย่างรวดเร็ว
“น่าสนใจจริงๆ เมื่อคิดว่าเขาสามารถทำแบบนี้ได้ มันก็แปลว่าเขาไม่ได้ยั่วยุมอน
สเตอร์ Faux Saint และมือแห่งนักบุญโดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลังสินะ …” รอยยิ้มเยาะปรากฎขึ้นบนใบหน้าของโคลท์ชาโด้ว เมื่อเธอได้อ่านรายงานที่พึ่งได้รับมา “แต่ช่างน่าเสียดาย เรื่องนี้อาจก่อปัญหาให้กับมอนสเตอร์ Faux Saint และมือแห่งนักบุญอย่างหนัก หากเป็นเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ตอนนี้มันสายไปแล้ว และเดี๋ยวเขาก็จะได้เห็นเองว่าทุกอย่างที่เขาพึ่งทำไป มันไร้ประโยชน์”
หลังจากที่โคลท์ชาโด้วพูดจบ เธอก็หันไปจ้องมองวีดีโอที่กำลังสตรีมถ่ายทอดสดตรงหน้าเธอ
ซึ่งในสตรีมสดที่กำลังถ่ายทอดอยู่นี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ที่กำลังเดินทัพไปยังเมืองปีกสีเงิน และปัจจุบันกองทัพนี้ก็อยู่ห่างจากเมืองปีกสีเงินไม่เกินห้าพันหลาแล้ว และจากสิ่งที่เธอเห็นนั้น เธอสามารถบอกได้เลยว่ามันมี Faux Saint Destroyers อยู่ในกองทัพนี้มากกว่าหนึ่งแสนตัว ซึ่งมันมากกว่าการประมาณการเริ่มต้นของหลายฝ่ายถึงสองเท่า
ยิ่งไปกว่านั้น นอกเหนือจาก Faux Saint Destroyers แล้ว มันยังมีร่างขนาดมหึมาอีกจำนวนหนึ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางกองทัพนี้ ซึ่งมอนสเตอร์ Faux Saint จำนวนมากก็ได้มารวมตัวกันรอบๆร่างขนาดมหึมาเหล่านี้
ในขณะนี้เองไวท์เฟเธอร์ก็ได้เดินเข้ามาในห้อง VIP ที่โคลท์ชาโด้วนั่งอยู่ และกล่าวด้วยความเคารพว่า “รองหัวหน้ากิล ตัวแทนของมหาอำนาจต่างๆได้มาถึงแล้ว เราควรไปกันเลยไหม ?”
“อืมม ไปกันเลย …” โคลท์ชาโด้วพยักหน้า จากนั้นเธอก็ตัดการเชื่อมต่อสตรีมสดนี้ และออกจากร้านอาหารสกอร์ชชิ่งเฟรม
….
ในขณะเดียวกันผู้เล่นที่ยืนเฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองปีกสีเงินก็ล้วนตกตะลึง เมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้าของพวกเขา
“นี่ …. เป็นไปได้อย่างไร ….”
“ไม่ !! นี่ไม่ใช่เรื่องจริง !! นี่ต้องเป็นเรื่องตลกแน่ๆ !!”
เมื่อผู้เล่นที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองได้มองไปที่กองทัพขนาดใหญ่เบื้องหน้าพวกเขา ความกลัว ความสิ้นหวัง และความลังเลใจก็เข้าครอบงำพวกเขา
แปดตัว !!
มันมี Faux Saint Devourers แปดตัวที่เป็นมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายเดินทางมาด้วยในกองทัพนี้
“นี่คือความแข็งแกร่งที่มือแห่งนักบุญพึ่งพามาตลอดงั้นหรอ ?”
อิลูซะรี่เวิร์ดที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นออกมาเช่นกัน เมื่อเธอได้เห็น Faux Saint Devourers แปดตัว
เธอนั้นคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่ามือแห่งนักบุญได้ซ่อนไพ่บางอย่างเอาไว้ ไม่งั้นพวกเขาคงจะไม่มีความมั่นใจที่จะมาปฎิบัติการอยู่ใกล้ๆและรอบเมืองปีกสีเงิน และไม่งั้นพวกเขาก็คงจะไม่ยอมให้มอนสเตอร์ Faux Saint Devourers ที่เป็นมอนสเตอร์ Faux Saint ระดับเทพนิยายตกอยู่ในความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม เธอไม่คิดเลยว่ามือแห่งนักบุญจะสามารถสร้าง Faux Saint Devourers ได้แปดตัวแล้ว !!!
ในขณะนี้แม้แต่มหาอำนาจต่างๆก็ยังตกตะลึงกับสถานการณ์นี้
แข็งแกร่งมากๆ !!
กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint กองทัพนี้ไม่เพียงแต่จะมี Faux Saint Destroyers มากกว่าหนึ่งแสนตัว แต่มันยังมี Faux Saint Devourers อีกแปดตัวด้วย ซึ่งด้วยพลังแบบนี้นั้น ไม่ต้องพูดถึงการทำลายเมืองปีกสีเงินเลย แม้แต่การทำลายเมืองหลักของ NPC อีกสักแห่งในอาณาจักรสตาร์มูนก็จะไม่เป็นปัญหาใดๆ เพราะท้ายที่สุดภัยคุกคามที่แท้จริงในเมืองหลักของ NPC นั่นก็คือ ผู้ปกครองเมืองที่มักจะมีขั้นสี่ และมีเลเวลหนึ่งร้อยแปดสิบ สำหรับ NPC ขั้นสอง และสามคนอื่นๆนั้น พวกนี้อาจจะเป็นปัญหาบ้าง แต่มันก็ไม่มากนักแน่นอน
….
ในเวลาเดียวกัน มันก็มีผู้เล่นหลายพันคนที่มีตราสัญลักษณ์ของมือแห่งนักบุญติดอยู่ที่หน้าอกกำลังซ่อนตัวอยู่ในป่าห่างจากเมืองปีกสีเงินหลายพันหลา ซึ่งในหมู่พวกเขานั้นผู้เล่นนักเวทย์ราวหนึ่งพันคนก็กำลังวาดวงเวทย์ขนาดมหึมาและซับซ้อนที่ดึงมานาโดยรอบเข้ามารวมกันอย่างต่อเนื่องจนความหนาแน่นของมานาในบริเวณโดยรอบลดลง
“แบล๊คเฟรม !!! ฉันจะแสดงให้คุณเห็นว่าการกระทำครั้งก่อนของคุณนั้นโง่เขลาแค่ไหน และทำให้คุณเสียใจกับทุกสิ่งที่ทำไป !!!” เธ้าซั่นอายผู้ซึ่งตอนนี้ดูอ่อนแอมากๆ ได้หัวเราะเยาะออกมา ขณะที่เขามองไปยังเมืองปีกสีเงินที่แสดงผ่านกระจกเวทย์มนต์ “ไม่สิ ฉันควรจะบอกว่าคุณไม่มีเวลาเสียใจหรอก !!! เมืองปีกสีเงินจะกลายเป็นฝุ่นก่อนที่คุณจะรู้ตัวอีก !!!”
….
ในขณะเดียวกันภายในคฤหาสลอร์ดผู้ปกครองเมืองปีกสีเงิน ในขณะที่ซือเฟิงกำลังตรวจสอบพลังของวงเวทย์ต่างๆรอบเมืองอยู่ ยู่หลานก็พุ่งเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยว และเป็นกังวลมากๆ
“หัวหน้ากิลตามข้อมูลที่เราได้รับมาจากบริเวณกำแพงเมือง มันมี Faux Saint Destroyers มากกว่าหนึ่งแสนตัวอยู่ในกองทัพนี้ แถมยังมี Faux Saint Devourers อีกแปดตัวด้วย ….” ยู่หลานพูดด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว ขณะที่มองไปยังซือเฟิง
มันอาจจะดีถ้าในครั้งนี้มี Faux Saint Devourers แค่หนึ่งหรือสองตัวปรากฎขึ้นในกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint กองทัพนี้ เพราะในเวลานั้นพวกเขาจะสามารถให้เคร็ก มิดแลนด์ จัดการได้ อย่างไรก็ตามการปรากฎตัวของมอนสเตอร์ Faux Saint Devourers แปดตัว มันทำให้แผนของพวกเขายุ่งเหยิงไปอย่างสิ้นเชิง และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของ Faux Saint Devourers จำนวนมากขนาดนี้ ต่อให้ซือ
เฟิงกลายร่างเป็นมังกรดำอีกคน สถานการณ์มันก็แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ
“พวกนั้นมาถึงแล้วงั้นหรอ ?” เมื่อเห็นหน้าตาที่เต็มไปด้วยความกังวล และหวาดกลัวของยู่หลาน ซือเฟิงก็กล่าวอย่างใจเย็นว่า “งั้นไปดูกันเลยดีกว่า ….”
ตอนที่ 2669 พลังของมานา
เมืองปีกสีเงิน กำแพงประตูหลัก :
ขณะนี้มันมีผู้เล่นจำนวนมากพยายามจะเดินขึ้นไปที่ด้านบนสุดของกำแพงเมือง ซึ่งมีความสูงมากกว่าสิบสองเมตรเพื่อมองดูกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อผู้เล่นหลายคนได้ขึ้นมาถึงด้านบนสุดของกำแพงเมืองตามเป้าหมายของพวกเขา ฉากที่พวกเขาเห็น มันก็ทำให้พวกเขาตกตะลึงมากๆ
มอนสเตอร์ Faux Saint นั้นมีจำนวนมากไปจนสุดเส้นขอบฟ้า ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกมันก็ยังเป็นลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ เลเวลหนึ่งร้อยสิบ ซึ่งในขณะนี้กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint จำนวนมหหาศาลนี้กำลังล้อมรอบเมืองปีกสีเงินอยู่ โดยฉากนี้เพียงอย่างเดียวมันก็เพียงพอจะทำให้ทุกคนหวาดกลัวแล้ว
“ทำไมถึงมี Faux Saint Devourers ที่เป็นมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายถึงแปดตัว ? นี่เราจะหยุดกองทัพนี้ได้จริงๆงั้นหรอ ?”
ความตื่นตระหนกและความสิ้นหวังเริ่มกวาดผ่านไปทั่วในหมู่ผู้เล่นอิสระที่เลือกจะช่วยปกป้องเมืองปีกสีเงิน เมื่อพวกเขาได้เห็นฉากตรงหน้านี้
เดิมที พวกเขาคิดว่าด้วยวงเวทย์ป้องกันของเมือง และผู้เล่นมากกว่าสามแสนคนที่ต่อสู้เพื่อป้องกันเมืองปีกสีเงิน พวกเขาน่าจะยังมีโอกาสได้รับชัยชนะ เพราะท้ายที่สุดแล้วเพื่อที่จะทำให้ได้รับชัยชนะตามการประมาณการเดิม พวกเขาจะต้องจัดการกับ Faux Saint Destroyers แค่ราวห้าหมื่นถึงหกหมื่นตัวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ที่ปรากฎขึ้นที่หน้าเมืองปีกสีเงินนั้นแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้มาก มันมี Faux Saint Destroyers มากกว่าหนึ่งแสนตัว และ Faux Saint Devourers อีกแปดตัว ความมั่นใจของทุกคนหายไปทันทีเมื่อได้เห็นกองทัพนี้
ในขณะนี้นับประสาอะไรกับผู้เล่นอิสระ แม้แต่อันยีลดิ้งฮาร์ท และอิลูซะรี่เวิร์ดก็ยังรู้สึกตกตะลึงและหวาดกลัวเช่นกัน
“Faux Saint Destroyers มากกว่าหนึ่งแสนตัว และ Faux Saint Devourers แปดตัว มอนสเตอร์ Faux Saint เหล่านี้ช่างประเมินเราไว้สูงจริงๆ ….” อันยีลดิ้งฮาร์ทที่มาถึงเลเวลหนึ่งร้อยสิบหกแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น ขณะที่เขามองไปยัง Faux Saint Devourers แปดตัวที่ยืนอยู่ห่างจากเมืองปีกสีเงิน
เพื่อช่วยสภาสิบแปดปีกในการปกป้องเมืองปีกสีเงิน อันยีลดิ้งโซลได้ส่งกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองพร้อมกับม้วนคัมภีร์อัญเชิญขั้นสี่สองม้วนมาที่นี่ แถมนี่ยังไม่นับรวมปืนใหญ่หนักอีกมากกว่าหนึ่งร้อยกระบอก ซึ่งตามการคาดการณ์ของเขา กองกำลังนี้เมื่อรวมเข้ากับกองกำลังของจักรพรรดิคริมสันและสภาสิบแปดปีกแล้ว มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาเลยในการปกป้องเมืองปีกสีเงิน
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเขาจะประเมินความแข็งแกร่งและสติปัญญาของมอนสเตอร์ Faux Saint พวกนี้ต่ำเกินไป ในตอนนี้นับประสาอะไรกับ Faux Saint Devourers แปดตัว เพียงแค่ Faux Saint Destroyers มากกว่าหนึ่งแสนตัว มันก็มากเกินพอจะปลูกฝังความสิ้นหวังให้กับทุกคนแล้ว เพราะท้ายที่สุดแล้ว Faux Saint Destroyers นั้นเป็นมอนสเตอร์ระดับแกรนลอร์ด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญขั้นสามทั่วไปไม่สามารถจะจัดการแบบตัวต่อตัวได้ มันมีเพียงกลุ่มผู้เล่นที่ทำงานร่วมกัน หรือไม่ก็อาวุธสงครามเท่านั้นที่จะสามารถใช้จัดการกับ Faux Saint Destroyers เพื่อป้องกันวงเวทย์ป้องกันเมือง และกำแพงเมืองได้
สำหรับมอนสเตอร์อัญเชิญขั้นสี่ที่พวกเขาสามารถจะอัญเชิญออกมาได้นั้น มันก็มีจำนวนไม่มากเพียงพอที่จะใช้รับมือกับ Faux Saint Destroyers นับแสนตัว สิ่งเดียวที่มอนสเตอร์อัญเชิญเหล่านี้ทำได้ก็คือช่วยปกป้องส่วนหนึ่งของกำแพงเมือง และลดแรงกดดันที่ผู้เล่นของเมืองจะต้องเผชิญลงก็เท่านั้น
อย่างไรก็ตามเมื่อมี Faux Saint Devourers อยู่อีกแปดตัวนั้น มอสเตอร์อัญเชิญขั้นสี่ก็แทบจะไม่สามารถช่วยลดแรงกดดันที่ผู้เล่นของเมืองต้องเผชิญลงได้เลย
อิลูซะรี่เวิร์ดพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของอันยีลดิ้งฮาร์ท ตอนนี้ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน
“เราทำได้แค่พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อปกป้องเมืองเท่านั้น ….” ตอนนี้ความรู้สึกไร้พลังเข้าครอบงำจิตใจของอิลูซะรี่เวิร์ด ขณะที่เธอมองไปยัง Faux Saint Devourers ที่อยู่ห่างออกไปหลายพันหลาที่คอยควบคุมมอนสเตอร์ Faux Saint อื่นๆอยู่
แม้ว่าเธอจะมั่นใจในตัวของซือเฟิง แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเขาได้คาดการณ์ไว้แล้วหรือปล่าวว่ากองทัพที่ทรงพลังแบบนี้จะปรากฎขึ้นที่หน้าเมืองปีกสีเงิน ในความเป็นจริงแม้แต่มหาอำนาจต่างๆก็ไม่ได้คาดคิดเลยว่ามอนสเตอร์ Faux Saint จะพัฒนาไปในอัตราที่น่ากลัวแบบนี้
เพราะท้ายที่สุดแล้วจนถึงตอนนี้นั้น มันผ่านมาน้อยกว่าหนึ่งวันเท่านั้นนับตั้งแต่ที่จักรพรรดิคริมสันได้รู้ข่าวถึงการเกิดของมอนสเตอร์ Faux Saint Devourers ตัวแรก แต่ตอนนี้มันกับมีมอนสเตอร์ Faux Saint Devourers แปดตัวอยู่ตรงหน้าของพวกเขาแล้วจริงๆ ….
ซึ่งเท่าที่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้นั้น มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่พวกเขาจะหยุดกองทัพนี้ได้เกินสองวัน
ในช่วงเวลาที่ทุกคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาและรู้สึกไร้พลัง ลำแสงสีทองก็ปรากฎขึ้นในป่าซึ่งอยู่ห่างจากเมืองปีกสีเงินออกไปโดยมันพุ่งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งแม้จะอยู่ห่างออกไปหลายพันหลา แต่ผู้เล่นก็จะยังสามารถเห็นลำแสงนี้ได้อย่างชัดเจน
พร้อมกับการปรากฎขึ้นของลำแสงสีทองนี้ ท้องฟ้าที่มืดครึ้มก็กลับมาสว่างเหมือนเวลากลางวัน ในขณะเดียวกันความหนาแน่นของมานาโดยรอบบริเวณเมืองปีกสีเงินนั้นก็เบาบางลงอย่างมากราวกับว่ามีบางสิ่งดูดมานาโดยรอบออกไป และตอนนี้แม้แต่ผู้เล่นที่ไม่ได้มีความรู้สึกไวต่อมานาก็ยังรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย
“นี่คือ …. คำสาปทำลายล้างวิญญาณ !!” ใบหน้าของอิลูซะรี่เวิร์ดแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวอย่างสุดจะพรรณนา เมื่อเธอได้เห็นลำแสงสีทองนี้ลอยขึ้นไปบนฟ้า “นี่พวกมือแห่งนักบุญบ้าไปแล้วงั้นหรอ ?! พวกเขากระทั่งใช้คำสาปปิดผนีกพื้นที่นี้จริงๆ !!!”
คำสาปทำลายล้างวิญญาณ เป็นคำสาปบาเรียปิดผนึกพื้นที่ที่หายากสุดๆใน God domain ซึ่งเมื่อเปิดใช้งานมัน มันจะสามารถปิดผนึกพื้นที่ขนาดใหญ่มากเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เล่นออกจากพื้นที่ที่ถูกปิดผนึกได้ตราบใดที่บาเรียยังคงอยู่ ในขณะเดียวกันไม่เพียงแต่ผู้เล่นภายในบาเรียที่ตายลงจะได้รับโทษจากการตายที่รุนแรงมากขึ้น แต่วิญญาณของพวกเขาก็จะอ่อนแอลงเป็นเวลาสิบห้าวันเช่นกัน
เพียงแต่ว่าค่าใช้จ่ายในการเปิดใช้งานคำสาปทำลายล้างวิญญาณนั้นมันสูงมาก ซึ่งนั่นก็คือการสังเวยชีวิตถาวรของผู้เล่นนักเวทย์ขั้นสองที่มีเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย หนึ่งพันคน และผู้เล่นนักเวทย์ขั้นสามที่มีเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย หนึ่งร้อยคน
ซึ่งนี่มันนับเป็นการตายอย่างถาวรเลยที่พวกเขากำลังพูดถึง !!!
ผู้เล่นที่สังเวยตัวเองเพื่อเปิดใช้งานวงเวทย์นี้จะถูกลบตัวละครในเกมอย่างถาวรและพวกเขาจะต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากพวกเขาต้องการจะเล่นต่อ
ด้วยเหตุนี้เอง แม้ว่าจะมีมหาอำนาจจำนวนหนึ่งที่ได้รับคำสาปทำลายล้างวิญญาณมาแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าใช้มัน
อย่างไรก็ตามในขณะที่ผู้เล่นของเมืองปีกสีเงินกำลังยืนงง และตกตะลึงอยู่ ทันใดนั้นกระจกเวทย์มนต์ขนาดมหึมาก็ปรากฎขึ้นเหนือเมือง ซึ่งมันแสดงให้เห็นสมาชิกของมือแห่งนักบุญ โดยผู้ที่เป็นผู้นำของผู้เล่นเหล่านี้ก็คือ เธ้าซั่นอาย ที่ซือเฟิงพึ่งจะฆ่าไปเมื่อไม่นานมานี้
“แบล๊คเฟรม คุณไม่ได้นึกว่าเรื่องแบบนี้จะมาถึงเลยใช่ไหม ?!!” เธ้าซั่นอายกล่าวอย่างเย้ยหยัน “ฉันบอกแล้วว่าคุณจะต้องเสียใจ !!! ไม่ใช่ว่าคุณทรงพลังมากหรอ ? มาดูกันสิว่าคุณจะทำยังไงเมื่อกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint กลืนกินทุกอย่างและทุกคนในเมืองปีกสีเงิน !!!”
เมื่อเธ้าซั่นอายพูดจบนั้น ผู้เล่นในเมืองก็ตัวสั่นโดยไม่ตั้งใจ
นี่มันเป็นความบ้าคลั่งชัดๆ !!!
มือแห่งนักบุญไม่เพียงจะสังเวยชีวิตถาวรของผู้เล่นนักเวทย์ขั้นสองที่มีเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย หนึ่งพันคน แต่พวกเขายังสังเวยชีวิตถาวรของผู้เล่นนักเวทย์ขั้นสามที่มีเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย อีกหนึ่งร้อยคน ซึ่งนี่มันเป็นสิ่งที่แม้แต่ซุเปอร์กิลก็ยังไม่กล้าทำ เพราะท้ายที่สุดแล้ว แม้แต่กับซุเปอร์กิล ผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม หนึ่งร้อยคน ก็ยังจัดว่าเป็นพลังในการต่อสู้ที่สำคัญ
“สภาสิบแปดปีกถึงคราวจบสิ้นแล้วอย่างแท้จริง !!!”
“แน่นอนเลยว่ามือแห่งนักบุญนั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งอย่างมาก !!! พวกเขากล้าที่จะใช้ไพ่แบบนี้จริงๆ !!! ด้วยสิ่งนี้ไม่เพียงแต่สมาชิกสภาสิบแปดปีกและสมาชิกพันธมิตรทั้งหมดของพวกเขาจะถูกกลืนกินโดยมอนสเตอร์ Faux Saint เหล่านั้น แต่พวกเขายังจะต้องตกอยู่ในสถานะวิญญาณอ่อนแอไปอีกระยะหนึ่งด้วย !!”
แม้จะเป็นเพียงผู้ชม แต่สมาชิกของมหาอำนาจต่างๆที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองปีกสีเงินก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัว เมื่อพวกเขาเห็นรอยยิ้มที่บ้าคลั่งบนใบหน้าของเธ้าซั่นอาย
ในขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในความสิ้นหวัง มันก็มีร่างหลายร่างปรากฎขึ้นเหนือกำแพงประตูหลักของเมืองปีกสีเงิน ซึ่งหนึ่งในร่างเหล่านั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแบล๊คเฟรม หัวหน้ากิลสภาสิบแปดปีก
หลังจากมาถึงที่เหนือกำแพงประตูหลักแล้ว ซือเฟิงก็เหลือบมองไปที่กระจกเวทย์มนต์บนท้องฟ้า และพูดอย่างไม่ไยดีว่า “ช่างเสียงดังน่ารำคาญจริงๆ มันไม่ใช่แค่คำสาปทำลายล้างวิญญาณหรอกหรอ ? คุณคิดว่าเจ้านี่มันจะใช้กับพวกเราได้ดีรึไง ?”
แม้ว่าซือเฟิงจะไม่ได้พูดเสียงดังมากนัก แต่เมืองปีกสีเงินทั้งเมืองตอนนี้ก็เงียบสนิทอยู่ ดังนั้นทุกคนจึงได้ยินคำพูดของเขาอย่างชัดเจน
ซึ่งเมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของซือเฟิงอย่างชัดเจน ความโกลาหลก็เกิดขึ้นทันที ไม่มีใครคิดเลยว่าเมื่อสิ่งต่างๆพัฒนามาถึงจุดนี้แล้ว ซือเฟิงยังกล้าจะยั่วยุเธ้าซั่นอาย นี่เขาอยากตายมากเลยงั้นหรอ ?
“นี่เขาเบื่อกับการมีชีวิตอยู่แล้วงั้นหรอ ?”
“เขาแค่แกล้งทำเป็นสงบแหละน่า !!! แล้วเราจะได้เห็นกันว่าเขาจะแกล้งทำต่อไปได้อีกนานแค่ไหน !!!”
“ฉันคิดว่าแบล๊คเฟรมคงจะรู้สึกสิ้นหวังมากๆแล้วกับสถานการณ์นี้ ดังนั้นเขาจึงเลือกจะใช้ความสงบเพื่อปล่อยวางภาระบนบ่าของเขา”
เมื่อสมาชิกของมหาอำนาจต่างๆได้ยินคำพูด และการแสดงออกที่สงบของซือเฟิง พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันออกมา แม้ว่าคำสาปทำลายล้างวิญญาณอาจจะไม่ได้มีผลอะไรต่อผู้เล่นโดยตรง แต่กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint หลายล้านตัวที่ยืนอยู่นอกเมืองนั่นแหละคือฝันร้ายที่แท้จริงเลยสำหรับผู้เล่นทุกคน
“คุณคิดว่ามันไม่มีประโยชน์งั้นหรอ ? งั้นในกรณีนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าคำสาปทำลายล้างวิญญาณนี้ไร้ประโยชน์จริงๆหรือไม่ เมื่อกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint เริ่มโจมตี !!!” เธ้าซั่นอายกล่าว แทนที่จะโกรธกับคำพูดของซือเฟิง เขากับหัวเราะเบาๆแทน
ทันทีที่เธ้าซั่นอายพูดจบ มอนสเตอร์ Faux Saint ที่ล้อมเมืองปีกสีเงินก็ได้พุ่งไปข้างหน้าทันที
เมื่อกองทัพนับล้านเริ่มเคลื่อนไหว มันก็ดูเหมือนว่าคลื่นสึนามิกำลังกวาดผ่านไปทั่วแผ่นดิน มันเกิดเสียงอึกทึกไปทั่ว และพื้นดินโดยรอบก็สั่นสะเทือน ทุกคนในเมืองปีกสีเงินนั้นอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นฉากนี้ ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามบางคนถึงกับถอยโดยไม่รู้ตัว
“น่ารำคาญจริงๆ !!!”
ซือเฟิงชี้นิ้วไปที่ Faux Saint Devourers สามตัวที่อยู่ท่ามกลางกองทัพที่กำลังพุ่งเข้ามา
ทันใดนั้นหอคอยเวทย์มนต์ทั้งห้าแห่งที่กระจายตัวอยู่ทั่วเมืองปีกสีเงินก็ปล่อยลำแสงสีแดงเข้มออกมาก่อนที่มันจะมาบรรจบกันและพุ่งเข้าใส่กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint
ซึ่งทันทีที่ลำแสงสีแดงเข้มสัมผัสกับพื้นดินและโจมตีโดนเป้าหมาย ทุกอย่างมันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนที่ผลของการโจมตีนี้จะขยายออกไปโดยรอบจนครอบคลุมรัศมีสามร้อยหลา และเมื่อลำแสงหายไป เกือบทุกอย่างภายในการโจมตี AOE นี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตอนที่ 2670 เมืองปีกสีเงินที่เงียบสงัด
เมื่อลำแสงสีแดงเข้มนอกเมืองปีกสีเงินจางหายไป ทุกคนก็ตัวแข็งค้างและเงียบไปชั่วขณะ ไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นภายในเมืองหรือกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ที่พุ่งเข้าหามัน ซึ่งชั่วครู่หนึ่งนั้นมันดูเหมือนว่าเวลาโดยรอบบริเวณจะถูกแช่แข็งหรือหยุดลงไปทั้งหมด
แค่การโจมตีเดียว !!!
นอกเหนือจากแกรนลอร์ด และมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายที่เป็น Faux Saint แล้ว ทุกอย่างภายในรัศมีสามร้อยหลาที่ถูกลำแสงสีแดงเข้มกลืนกินนั้นหายไปทั้งหมด มันไม่มีแม้แต่มอนสเตอร์ Faux Saint Saboteurs สักตัวจากราวหนึ่งหมื่นตัวที่อยู่ในระยะยังรอดชีวิตอยู่
สำหรับ Faux Saint Destroyers และ Faux Saint Devourers ที่อยู่ในระยะ พวกมันทั้งหมดได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น Faux Saint Devourers ยังแทบจะไม่สามารถขยับตัวได้ และพวกมันก็ได้แค่พยายามดิ้นรนเพื่อจะหนีจากพื้นที่อันว่างเปล่าโดยรอบพวกมันเท่านั้น ขณะที่ Faux Saint Destroyers นั้นไม่สามารถจะขยับตัวออกไปไหนได้เลย และทำได้แค่นอนอยู่กับที่ที่เดิมเท่านั้น
“นี่ …”
อิลูซะรี่เวิร์ดและอันยีลดิ้งฮาร์ทพูดไม่ออกไปชั่วครู่ เมื่อพวกเขาได้เห็นฉากตรงหน้านี้ และตอนนี้ดวงตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง และความตื่นเต้นมากๆ
การโจมตีครั้งนี้มันน่ากลัวเกินไป !!!
การโจมตีนี้เพียงครั้งเดียวไม่เพียงแต่จะทำให้ Faux Saint Destroyers มากกว่าหนึ่งพันตัวบาดเจ็บสาหัสจนหมดสภาพต่อสู้ไป แต่มันยังทำให้ Faux Saint Devourers อีกสามตัวได้รับบาดเจ็บสาหัสจนแทบขยับไม่ได้เช่นกัน ซึ่งผลลัพธ์นี้ช่วยลดแรงกดดันที่แนวหลังที่เมืองปีกสีเงินจะต้องเผชิญลงอย่างมาก
ในขณะเดียวกัน เมื่อสมาชิกของมือแห่งนักบุญเห็นฉากนี้ พวกเขาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าหอคอยเวทย์มนต์ของเมืองปีกสีเงินจะทรงพลังมากขนาดที่ทำให้ Faux Saint Devourers บาดเจ็บสาหัสได้
“คุณพึ่งทำให้ Faux Saint Devourers สามตัวบาดเจ็บสาหัส !! อย่างไรก็ตามนี่มันก็หมายความว่าการต่อสู้ครั้งนี้ใกล้จะจบลงแล้ว !!!” เธ้าซั่นอายพูดอย่างเมินเฉย เมื่อเขาเห็นผู้เล่นของเมืองปีกสีเงินแสดงสีหน้าตื่นเต้นและมีความสุขออกมา
มันเป็นเรื่องปกติมากที่อาวุธสงครามจะส่งผลให้เกิดการทำลายล้างขนาดใหญ่ในการรบแบบปิดล้อม และแม้ว่าพลังของหอคอยเวทย์มนต์ของเมืองปีกสีเงินจะเกินค่าประมาณไปมาก แต่มันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพโดยรวมแน่นอน
สำหรับกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ซึ่งประกอบไปด้วยมอนสเตอร์มากกว่าสี่ล้านตัว การสูญเสียไปมากกว่าหนึ่งหมื่นตัวเพียงเล็กน้อยนั้นแทบไม่สำคัญเลย นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าการโจมตีที่ทรงพลังแบบนี้ของหอคอยเวทย์มนต์จะต้องมีคูลดาวน์นานมากแน่นอน และเมื่อถึงเวลาที่หอคอยเวทย์มนต์พร้อมจะโจมตีแบบนี้อีกครั้ง มอน
สเตอร์ Faux Saint ก็จะเข้าประชิดเมืองปีกสีเงินได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ก็ยังเข้าสู่สถานะเบอเซิกร์แล้ว เพราะการโจมตีจากหอคอยเวทย์มนต์ และหลังจากที่ Faux Saint Devourers ห้าตัว ปล่อยเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวออกมา มอนสเตอร์ Faux Saint ตัวอื่นๆก็พุ่งเข้าใส่เมืองปีกสีเงินด้วยความดุร้ายที่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และทุกคนก็สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าความเร็วของมันเพิ่มขึ้นอย่างน้อยยี่สิบเปอเซ็นต์
เมื่อเห็นสิ่งนี้ผู้เล่นฝ่ายป้องกันที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองปีกสีเงินก็อดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความกังวลมากขึ้น
การโจมตีแบบหลอมรวมกันของหอคอยเวทย์มนต์นั้นมันให้ผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจมากๆ แต่มอนสเตอร์ Faux Saint ก็สามารถเติมช่องว่างที่ว่างลงได้อย่างงรวดเร็ว ซึ่งมันก็ทำให้ดูเหมือนว่าการโจมตีเมื่อครู่นั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลย
“ปืนใหญ่และหอคอยธนูทั้งหมดเตรียมยิง !!! ตั้งเป้าไปที่สถานที่ที่มีมอนสเตอร์หนาแน่นที่สุด !!!”
เมื่อกองทัพ Faux Saint กลับมาเคลื่อนไหวต่อด้วยความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น อันยีลดิ้งฮาร์ท ซึ่งเคยเป็นผู้บัญชาการ การรบขนาดใหญ่มาหลายสิบครั้งก็ตะโกนออกคำสั่งที่จำเป็นทันที และเมื่อได้ยินคำสั่งของเขาแนวป้องกันของเมืองปีกสีเงินก็หายจากอาการกลัว และเตรียมพร้อมโจมตีทันที
“หน่วยเวทย์มนต์ทั้งหมดเริ่มร่ายเวทย์ของตัวเอง !!! ตรวจสอบให้แน่ใจว่า Faux Saint Destroyers พวกนั้นจะไม่สามารถเข้าใกล้กำแพงได้ !!!”
ในทำนองเดียวกัน อิลูซะรี่เวิร์ดก็ออกคำสั่งที่คล้ายคลึงกันให้กับกองกำลังของจักรพรรดิคริมสัน และกองกำลังอื่นๆที่เธอรับผิดชอบ ก่อนที่เธอจะเริ่มร่ายคำสาปขั้นสามของตัวเองเช่นกัน
เมื่อมีการออกคำสั่งที่จำเป็นทีละคำสั่ง ความประหม่าและหวาดกลัวของแนวป้องกันก็เริ่มค่อยๆถูกปรับให้กลับมาเป็นปกติและคงที่
ในขณะที่แนวป้องกันกำลังเฝ้ามองอย่างเงียบๆ กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ก็ค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
หนึ่งพันสามร้อยหลา …
หนึ่งพันสองร้อยหลา …
หนึ่งพันหลา …
“ยิง !!” อันยีลดิ้งฮาร์ทตะโกน
ทันใดนั้นปืนใหญ่หลายร้อยกระบอกพร้อมกับหอคอยธนูอีกหลายโหล รวมทั้งป้อมปราการป้องกันก็เริ่มยิงพร้อมกันทันที ซึ่งเสียงยิงมันก็ทำให้เกิดเสียงดังก้องไปทั่วเมือง
ในช่วงเวลาต่อมา ลำแสงหลายร้อยเส้นก็พุ่งเข้าใส่กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ราวกับฝนดาวตก โดยการโจมตีทั้งหมดนี้มันก็สั่นสะเทือนพื้นดิน ซึ่งทำให้เกิดฝุ่นและสิ่งสกปรกปลิวว่อนไปในอากาศ นอกจากนี้มันก็ทำให้มอนสเตอร์ Faux Saint หลายหมื่นตัวต้องปลิวกระเด็นไป และมันก็สร้างหลุมอุกกาบาติขนาดใหญ่ขึ้นในทุกๆที่ที่มีการโจมตี ซึ่งมันจัดเป็นภาพที่งดงามมาก
อย่างไรก็ตามตรงกันข้ามกับความคาดหวังของทุกคน กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint นั้นไม่ได้หยุดนิ่งหรือช้าลงเลยแม้แต่น้อย และในเวลาไม่นานมอนสเตอร์ Faux Saint ก็ไหลบ่าเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่อาวุธสงครามสร้างไว้จนเต็ม ความบ้าคลั่ง
ของมอนสเตอร์ Faux Saint นั้นมันไปไกลเกินความคาดหมายของทุกคนมากๆ
“รีโหลด และเตรียมโจมตีใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้ให้มุ่งเน้นไปที่แนวหน้าของพวกมัน !!!” อันยีลดิ้งฮาร์ทตะโกนขึ้น ขณะที่ใบหน้าของเขาขมวดคิ้ว เมื่อได้เห็นฉากนี้ แม้ว่าเขาจะคิดว่าสิ่งนี้มีสิทจะเกิดขึ้น แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อได้เห็นมัน
หลังจากการโจมตีไปหลายระลอกของอาวุธสงครามทั้งหมด แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถฆ่า Faux Saint Destroyer ได้สักตัว แต่พวกเขาก็ได้ฆ่า Faux Saint Saboteurs ไปจำนวนหนึ่งแล้ว รวมถึงยังทำให้พวก Faux Saint Saboteurs อีกมากกว่าสองแสนตัวบาดเจ็บสาหัส แต่น่าเสียดายที่เมื่อเทียบกับจำนวนของกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ที่มีมหาศาล จำนวนแค่นี้นั้นมันนับว่าไม่สำคัญเลย
ในช่วงเวลาต่อมา พวกมอนสเตอร์ Faux Saint ระลอกแรกก็ได้มาถึงในระยะหนึ่งร้อยหลาห่างจากกำแพงเมืองปีกสีเงิน ซึ่งอิลูซะรี่เวิร์ดและผู้เล่นสายโจมตีระยะไกลคนอื่นๆที่ยืนอยู่บนกำแพงก็ได้ปลดปล่อยสกิลและเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาออกมาทันที และในช่วงเวลาหนึ่งสกิลและเวทย์นับหมื่นก็ถูกใช้โจมตีเข้าใส่กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint เบื้องหน้า
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ทุกคนกำลังคิดว่าพวกมอนสเตอร์ Faux Saint จะถูกโจมตี ละและถูกหยุดไว้ชั่วครู่นั้น มันก็เกิดเหตุอันน่าตกตะลึงขึ้น
ในช่วงเวลาต่อมา มันราวกับว่าพวกมอนสเตอร์ Faux Saint นั้นเป็นทหารที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชน พวกมันเริ่มกวัดแกว่งอาวุธเพื่อป้องกันการโจมตีที่เข้ามา และลดความเสียหายส่วนใหญ่จากการโจมตีเหล่านี้ลงไป
“เป็นไปได้ยังไงกัน ?!”
เพอเพิ้ลอายซึ่งร่ายเวทย์ของเธอจากบนกำแพงเมืองอยู่ล้วนเต็มไปด้วยความตกตะลึงกับฉากนี้
มอนสเตอร์ Faux Saint เหล่านี้ได้ป้องกันการโจมตีส่วนใหญ่ที่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามโจมตีเอาไว้ได้ และมันมีเพียงการโจมตีของผู้เชี่ยวชาญขั้นสามขอบเขตการปรับแต่งขึ้นไปเท่านั้นที่จะสามารถโจมตีโดนมอนสเตอร์เหล่านี้ได้
“พวกโง่ !!! นี่พวกคุณคิดว่ามอนสเตอร์ Faux Saint ที่พวกคุณพบในตอนนี้จะเหมือนกับมอนสเตอร์ Faux Saint ที่คุณพบเมื่อไม่กี่วันก่อนงั้นหรอ ?!” เธ้าซั่นอายหัวเราะเยาะ ขณะที่เขามองไปที่แนวป้องกันของเมืองปีกสีเงิน
ชัยชนะอาจเป็นไปได้สำหรับเมืองปีกสีเงิน หากพวกเขาต้องต่อสู้กับกองทัพมอนสเตอร์ทั่วไป อย่างไรก็ตามตอนนี้ พวกเขาต้องต่อกรกับกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ซึ่งมอนสเตอร์เหล่านี้นั้นมีสติปัญญาเหนือกว่ามอนสเตอร์ทั่วไปมาก
คำพูดของเธ้าซั่นอายทำให้ทุกคนเงียบลงทันที
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้ พวกเขาจะไปสู้ได้อย่างไร ?
มีเพียงการโจมตีของอาวุธสงคราม และผู้เชี่ยวชาญขั้นสามจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่ได้ผลต่อพวกนี้ ขณะที่การโจมตีที่เหลือล้วนไร้ประโยชน์
ในช่วงเวลาที่ทุกคนกำลังรู้สึกฟุ้งซ่านและสับสนกับคำพูดของเธ้าซั่นอาย Faux Saint Devourers ห้าตัวก็กระโดดขึ้นไปยังช่องว่างเหนือกำแพง
“ไม่ดีแล้ว !! หยุดพวกมันไว้ !!!”
ใบหน้าของอันยีลดิ้งฮาร์ทแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวกับหวาดกลัวอย่างสุดจะพรรณนา เมื่อเห็น Faux Saint Devourers ทำการโจมตี
ในขณะที่วงเวทย์ป้องกันของเมืองได้รับการเสริมความแข็งแกร่งขึ้นมา แต่ว่าคำสาปทำลายล้างวิญญาณนั้นก็ได้ลดมานาโดยรอบลงอย่างมาก ซึ่งมันทำให้การเสริมความแข็งแกร่งที่วงเวทย์ป้องกันของเมืองพึ่งจะได้รับมานั้นด้อยประสิทธิภาพลง ยิ่งไปกว่านั้นวงเวทย์ป้องกันของเมืองขั้นสูง มันก็จะไม่สามารถทนต่อการโจมตีของมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายหลายตัวพร้อมกันได้
ก่อนที่ใครจะสามารถตอบสนองได้ หอกห้าเล่มก็ฉีกผ่านอากาศ และมาบรรจบกันที่จุดเดียวบนวงเวทย์ป้องกัน
“เทคนิคการต่อสู้หลอมรวม ?!”
อิลูซะรี่เวิร์ดรู้สึกตกใจกับการโจมตีของ Faux Saint Devourers ทั้งห้าตัวมากๆ
ความจริงที่ว่ามอนสเตอร์ Faux Saint เหล่านี้สามารถใช้เทคนิคการต่อสู้ได้นั้น มันก็น่าประหลาดใจมากแล้ว แต่ตอนนี้พวกมันกับใช้เทคนิคการต่อสู้หลอมรวม ซึ่งมีผู้เล่นเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ นี่มันเป็นฝันร้ายชัดๆ
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม มันช่างน่าเสียดายจริงๆ !!! ฉันไม่คิดเลยว่าพวกคุณทุกคนจะล้มลงเร็วขนาดนี้ !!!” เธ้าซั่นอายกล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะที่ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขา ขณะที่เขามองไปยังซือเฟิงที่ยังคงนิ่งเงียบอยู่ตลอดเวลา
ตราบใดที่วงเวทย์ป้องกันของปีกสีเงินแตกออก ผู้เล่นทุกคนก็จะไม่ต่างจากลูกแกะที่รอการถูกสังหาร ขณะที่ NPC ขั้นสี่ที่ป้องกันเมืองอยู่นั้นก็ไม่สำคัญ เพราะท้ายที่สุดแล้วเสือที่ดุร้ายนั้นไม่สามารถจะเอาชนะฝูงหมาป่าได้
ตู้ม …
เสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วทั้งสนามรบ และคลื่นกระแทกของการโจมตีนี้มันก็ทรงพลังมากซะจนทำให้แม้แต่ Faux Saint Destroyers ที่อยู่ใกล้ๆก็ยังถูกบังคับให้ถอยกลับไป
“ดูเหมือนว่าสภาสิบแปดปีกจะถึงคราวจบสิ้นแล้วจริงๆ !!!”
เมื่อสมาชิกที่เฝ้าชมอยู่ของมหาอำนาจต่างๆได้เห็นฉากนี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวออกมา เมื่อมอนสเตอร์ Faux Saint Devourers ใช้เทคนิคการต่อสู้หลอมรวมได้แบบนี้ นั่นมันก็แปลว่าพลังของการโจมตีนี้มันจะอยู่จุดสูงสุดของขั้นสี่แน่นอน ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่วงเวทย์ป้องกันของเมืองขั้นสูงจะสามารถทานทนได้
อย่างไรก็ตามในขณะที่ฝุ่นควันของการโจมตีนี้ทั้งหมดหายไป ใบหน้าของสมาชิกมหาอำนาจต่างๆซึ่งแต่เดิมเต็มไปด้วยความยินดีก็แปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง
ในขณะนี้บาเรียสีแดงจางๆที่ล้อมรอบเมืองนั้นยังคงอยู่อย่างสมบูรณ์ อันที่จริงมันไม่ได้มีรอยแตกเลยแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ
“นี่ …. เป็นไปได้ยังไง ?!”
ในตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงสมาชิกของมหาอำนาจต่างๆเลย แม้แต่เธ้าซั่นอายก็ยังอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เมื่อเขาจ้องมองไปยังบาเรียสีแดงจางๆ
นี่เป็นการโจมตีที่มีพลังอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นสี่ที่พวกเขากำลังพูดถึง !!!
ในช่วงเวลาที่สนามรบทั้งหมดเงียบลง จู่ๆก็มีเสียงมาจากประตูใหญ่ของเมือง และมันก็ดังก้องไปทั่วสนามรบ
“นั่นสินะ ? หากนั่นเป็นการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่งที่สุดของคุณ งั้นเราก็น่าจะสามารถหยุดเรื่องตลกนี่ได้อย่างรวดเร็วแน่นอน !!!”
ตอนที่ 2671 กองทัพ Faux Saint อันทรงพลัง
เมื่อคำพูดของซือเฟิงดังก้องไปทั่วสนามรบ โลกแห่งเงาขนาดมหึมาก็ปรากฎขึ้นบนท้องฟ้าเหนือเมืองปีกสีเงิน ซึ่งเมื่อโลกแห่งเงานี้ปรากฎตัว ค่าสถานะของมอนสเตอร์ Faux Saint ทุกตัวในบริเวณที่อยู่ใกล้เคียงก็ลดลงไปอย่างมาก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้มันทำให้เกิดความปั่นป่วนไปทั่วสนามรบอันเงียบสงัด
“แข็งแกร่งมาก !! งั้นนี่ก็คือสภาสิบแปดปีกงั้นหรอ ?!”
“ก่อนหน้านี้แม้ว่า Faux Saint Devourers ห้าตัวจะทำงานร่วมกัน แต่พวกมันก็ล้มเหลวในการทำลายวงเวทย์ป้องกันของเมือง แถมตอนนี้ Faux Saint Devourers ทั้งห้าตัวก็ยังอ่อนแอลงอย่างมาก ซึ่งนี่มันก็แปลว่า Faux Saint Devourers พวกนี้จะไม่สามารถทำลายวงเวทย์ป้องกันของเมืองได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ !!!”
ก่อนหน้านี้ทุกคนนั้นตกอยู่ในความสิ้นหวังในความแข็งแกร่งของกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวงเวทย์ป้องกันของเมืองปีกสีเงินจะทรงพลังถึงขนาดที่สามารถต้านทานการโจมตีที่มีพลังอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นสี่ได้
ในขณะเดียวกันตราบใดที่วงเวทย์ป้องกันของเมืองยังคงอยู่ มอนสเตอร์ Faux Saint ก็จะไม่สามารถสัมผัสกับผู้เล่นในเมืองได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากฝ่ายป้องกันสามารถยืนหยัดยื้อเวลาไปได้ และเติมพลังงานให้กับวงเวทย์ป้องกันเมืองไปเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดหนึ่ง กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ก็จะต้องยอมแพ้ในการปิดล้อมเมืองไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม
“ช่างเป็นความสามารถในการป้องกันที่น่าทึ่งจริงๆ !!! ไม่ใช่ว่าวงเวทย์ป้องกันของเมืองนี้สามารถจะเทียบได้กับวงเวทย์ป้องกันของเมืองขนาดใหญ่ขั้นกลางได้แล้วงั้นหรอ ?!!”
ในขณะนี้นอกเหนือจากผู้เล่นอิสระในปัจจุบันแล้ว แม้แต่อิลูซะรี่เวิร์ด กับ อันยีลดิ้งฮาร์ท ก็ยังประหลาดใจเมื่อได้เห็นวงเวทย์ป้องกันของเมืองยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์
คำสาปทำลายล้างวิญญาณได้ทำให้มานาโดยรอบของเมืองเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อเจอกับสภาพแวดล้อมแบบนี้ วงเวทย์ป้องกันของเมืองก็น่าจะอ่อนแอลงอย่างมากเช่นกัน อย่างไรก็ตามวงเวทย์ป้องกันของเมืองนี้กับป้องกันการโจมตีจากเทคนิคหลอมรวมที่ Faux Saint Devourers ทั้งห้าตัวใช้ได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลย
ขณะเดียวกันตอนนี้ซือเฟิงก็ได้ใช้โลกจิ๋วแล้ว ดังนั้น Faux Saint Devourers จึงไม่ควรฝันว่าจะสามารถทำลายวงเวทย์ป้องกันของเมืองปีกสีเงินได้
“ช่างอวดดีจริงๆ !!!” เธ้าซั่นอายขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางที่สงบบนใบหน้าของซือเฟิง “คุณป้องกันการโจมตีจากการใช้เทคนิคการต่อสู้หลอมรวมของ Faux Saint Devourers ทั้งห้าตัวได้เพียงแค่ครั้งเดียวนะ ขณะที่พลังงานสำรองของวงเวทย์ป้องกันของเมืองนั้นก็มีจำกัด ฉันอยากเห็นจริงๆว่าคุณจะสามารถแสดงท่าทางหยิ่งผยองต่อไปได้อีกนานแค่ไหน เมื่อกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ระดมโจมตี และทำลายวงเวทย์ป้องกันของเมืองได้แล้ว !!!”
วงเวทย์ใน God domain นั้นต้องการพลังงานในการทำงาน แม้ว่าการโจมตีของพวกมอนสเตอร์ Faux Saint จะไม่สามารถเอาชนะพลังป้องกันของวงเวทย์ป้องกันของเมืองได้ แต่การโจมตีของพวกมันก็จะสามารถลดพลังงานสำรองของวงเวทย์ลงไปได้เรื่อยๆ
ด้วยจำนวนและความแข็งแกร่งของกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint การทำลายวงเวทย์ของเมืองหลักของ NPC ก็จะยังคงเป็นไปได้ แม้ว่ากองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ทั้งหมดจะถูกสกิลโดเมนทำให้อ่อนแอลงก็ตาม ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเมืองกิลเลย
ซึ่งทันทีที่เธ้าซั่นอายพูดจบ Faux Saint Devourers ทั้งห้าตัวก็เปิดฉากการโจมตีเข้าใส่วงเวทย์ป้องกันของเมืองอีกหลายครั้ง และในเวลาเดียวกัน มอนสเตอร์ Faux Saint อีกนับหมื่นก็เริ่มถล่มมันด้วยเช่นกัน
ตู้ม … ตู้ม … ตู้ม …
ชั่วครู่หนึ่ง เสียงระเบิดนับไม่ถ้วนก็ดังขึ้นในพื้นที่เหนือเมืองปีกสีเงิน
“เราไม่สามารถจะปล่อยเรื่องนี้ต่อไปได้ เราจำเป็นต้องหยุดการโจมตีของพวกนั้น !!! ไม่งั้นพลังงานสำรองของวงเวทย์ป้องกันของเมืองจะคงอยู่ได้ไม่นานนัก !!!” อันยีลดิ้งฮาร์ทกล่าวขณะที่เขามองไปยังวงเวทย์ป้องกันของเมืองที่สั่นสะเทือนเบื้องหน้าของเขา
มอนสเตอร์ Faux Saint ตัวอื่นๆแต่ละตัวอาจเทียบไม่ได้กับ Faux Saint Devourers อย่างไรก็ตามพวกมันก็สามารถทดแทนได้ด้วยจำนวนที่มีมากมายมหาศาล และแม้ว่าตอนนี้พวกมันจะอ่อนแอลง แต่พวกมันก็ยังสามารถจะทำให้พลังงานสำรองของวงเวทย์ป้องกันหมดลงไปอย่างรวดเร็วกว่าที่มอนสเตอร์ Faux Saint Devourers ทั้งห้าตัวโจมตีเต็มกำลัง
“ฝั่งของฉันสามารถจะใช้ม้วนคัมภีร์อัญเชิญ อัญเชิญมอนสเตอร์ขั้นสี่ออกมาสองตัวได้ ซึ่งเราสามารถจะใช้พวกมันร่วมกับอาวุธสงครามเพื่อป้องกันการโจมตีที่ประตูหน้าได้ !!”
“ฝั่งของฉันก็เช่นกัน ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายสี่ตัว เราน่าจะสามารถลดแรงกดดันที่ประตูหน้าลงไปได้ และด้วยวิธีนี้เราก็จะสามารถส่งผู้เชี่ยวชาญขั้นสามไปสนับสนุนด้านอื่นๆเพิ่มเติมได้ ไม่งั้นเราจะไม่สามารถปกป้องเมืองปีกสีเงินเอาไว้ได้เลย !!!” อันยีลดิ้งฮาร์ทกล่าวหลังจากครุ่นคิด
แม้ว่าผู้เล่นขั้นสามส่วนใหญ่อาจไม่สามารถทำอะไรกับ Faux Saint Devourers ที่อ่อนแอลงได้ แต่การจะหยุดพวก Faux Saint Destroyers ที่อ่อนแอลงนั้นก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใดๆ ซึ่งนี่จะทำให้ผู้เล่นขั้นสามถูกใช้ประโยชน์อย่างสูงสุดได้
อย่างไรก็ตามในขณะที่อันยีลดิ้งฮาร์ท และอิลูซะรี่เวิร์ดกำลังพูดคุยวางแผนกัน เสียงที่ไพเราะชัดเจนก็ได้ดังขึ้นมาที่หูของพวกเขา
“ไม่ต้องใช้ม้วนคัมภีร์อัญเชิญขั้นสี่ของพวกคุณหรอก ปล่อยให้เป็นหน้าที่เราเองดีกว่า ….”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ อันยีลดิ้งฮาร์ท และ อิลูซะรี่เวิร์ด ก็หันไปมองยังที่มาของมันด้วยความประหลาดใจ และความสับสนก็กระพริบในดวงตาของพวกเขา เมื่อพวกเขารู้ถึงที่มาของเสียง ซึ่งนี่เป็นเพราะเจ้าของเสียงนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากยู่หลาน ผู้จัดการเมืองปีกสีเงิน
ปัจจุบันมันมีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามมากกว่าหนึ่งร้อยคนจากสภาสิบแปดปีกยืนอยู่ด้านหลังของยู่หลาน ซึ่งทุกคนนั้นมีเลเวลหนึ่งร้อยสิบห้าเป็นอย่างน้อย และหลายคนก็อยู่ในมาตราฐานขอบเขตการปรับแต่ง
“นี่ ….”
ฉากนี้ทำให้อันยีลดิ้งฮาร์ท และอิลูซะรี่เวิร์ดพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ด้านหลังของยู่หลานจะไม่ธรรมดา แต่พวกเขาก็ยังห่างไกลจากจำนวนที่เพียงพอที่จะใช้แก้ปัญหาที่เมืองปีกสีเงินประสบอยู่ตอนนี้ได้
เพราะท้ายที่สุดแล้ว แค่มอนสเตอร์ Faux Saint Destroyers ที่เข้าโจมตีเมือง มันก็มีจำนวนมากกว่าหนึ่งแสนคนแล้ว
นอกจากนี้หากผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม เหล่านี้ต้องการจะหยุดการโจมตีจากกองทัพมอน
สเตอร์ Faux Saint จริงๆ พวกเขาก็ต้องการอะไรที่มากกว่าการใช้ความสามารถส่วนตัว ไม่งั้นมันก็จะเป็นการออกไปตายเปล่าเท่านั้น
อย่างไรก็ตามก่อนที่อันยีลดิ้งฮาร์ท และอิลูซะรี่เวิร์ดจะทันได้พูดอะไร ยู่หลานก็โบกมือไปข้างหน้า และสมาชิกสำรองกองกำลังหลักของสภาสิบแปดปีกก็ได้เดินไปยังส่วนต่างๆของกำแพงเมืองทันที และที่ตำแหน่งของพวกเขา พวกเขาก็กระโดดลงจากกำแพงเมืองโดยไม่ลังเล ก่อนที่ยู่หลานเองก็จะตามคนอื่นๆไปติดๆ
“นี่สมาชิกสภาสิบแปดปีกเหล่านี้บ้าไปแล้วรึปล่าว ?”
ผู้เล่นอิสระที่ต่อสู้อยู่เหนือกำแพงเมืองต่างก็อ้าปากค้าง และตกตะลึงกับการกระทำของสมาชิกสำรองกองกำลังหลักของสภาสิบแปดปีก
สำหรับสมาชิกของมหาอำนาจต่างๆที่เฝ้าชมอยู่ พวกเขาก็ทำได้แค่อ้าปากค้างอย่างตกตะลึงเท่านั้นเช่นกัน
ในความคิดเห็นของพวกเขา ซือเฟิงนั้นก็บ้ามากแล้ว อย่างไรก็ตามตอนนี้สมาชิกสภาสิบแปดปีกกับทำอะไรที่บ้าคลั่งมากยิ่งกว่า
พวกเขากระโจนเข้าหากองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ที่แข็งแกร่งอย่างไม่ลังเล ในขณะที่ในหมู่พวกเขานั้นไม่มีใครอยู่ในขอบเขตอนันต์เลยด้วยซ้ำ
นี่พวกเขาทำบ้าอะไรกัน ?
“ก็แค่พวกคนโง่ที่เบื่อกับการมีชีวิตอยู่ !!!”
เธ้าซั่นอายยิ้มเยาะ เมื่อเห็นสมาชิกสภาสิบแปดปีกกระโดดลงมาจากกำแพงเมือง
มอนสเตอร์ Faux Saint อาจมีค่าสถานะพื้นฐานลดลง แต่มาตราฐานการต่อสู้ของพวกมันนั้นก็ยังคงไม่ได้รับผลกระทบ และแม้แต่ Faux Saint Saboteur ซึ่งเป็นมอนสเตอร์ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังไม่ใช่อะไรที่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามจะสามารถต่อกรด้วยได้
เขาสามารถมองเห็นฉากที่มอนสเตอร์ Faux Saint จำนวนมากกลืนกินสมาชิกของสภาสิบแปดปีกได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ทุกคนกำลังคิดถึงเรื่องนี้นั้น ยู่หลานก็ได้หยิบม้วนคัมภีร์อัญเชิญองครักษ์ส่วนตัวเพื่ออัญเชิญองครักษ์องครักษ์สองคนของเธอออกมา ซึ่งคนหนึ่งนั้นเป็นชายที่ถือขวานที่มีร่างกายสูงและแข็งแรง ขณะที่อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงผมบลอนด์ที่ถือคทาสีฟ้า
ซึ่งทันทีที่ร่างทั้งสองนี้ปรากฎขึ้น ออร่าที่น่ากลัวของทั้งสองก็กวาดผ่านไปทั่วสนามรบ และผู้เล่นทุกคนที่สัมผัสได้ถึงออร่านี้ก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
ในช่วงเวลาต่อมา ชายที่ถือขวานก็ได้ใช้การโจมตีที่เป็นพายุทอร์นาโดหยุดการโจมตีของมอนสเตอร์ Faux Saint Destroyer ทั้งหมดที่พุ่งเป้ามายังยู่หลาน นอกจากนี้พายุนี้ยังทำให้ Faux Saint Destroyer หลายโหล และ Faux Saint Saboteurs นับร้อยปลิวกระเด็นไปไกลกว่าสามสิบหลา ซึ่งในพริบตาพื้นที่ว่างก็ปรากฎขึ้นที่หน้าประตูเมือง
ขณะเดียวกันจากด้านข้างของยู่หลาน ผู้หญิงผมบลอนด์ก็ได้ทำการร่ายเวทย์ของเธอจนเสร็จแล้ว และในช่วงเวลาต่อมาสนามรบทั้งหมดก็สั่นสะเทือน ขณะที่รอยแยกขนาดใหญ่ที่ยาวกว่าสามร้อยหลาปรากฎขึ้นในสนามรบ ซึ่งรอยแยกนี้ไม่เพียงแต่จะแยกพวกมอนสเตอร์ Faux Saint ออกจากกำแพงเมืองปีกสีเงิน แต่มันยังกลืนกินมอนสเตอร์ Faux Saint ไปอีกนับพันตัว และสร้างความเสียหายได้มากกว่าห้าล้านต่อตัวด้วย
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ….
ตอนที่ 2672 อยู่ที่นี่ตลอดไป
“นี่ … พวกนั้นไม่แข็งแกร่งเกินไปหน่อยงั้นหรอ ?!”
“นี่องครักษ์ส่วนตัวสองคนนั้นอยู่ระดับไหนกัน ?”
ผู้เล่นอิสระต่างอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เมื่อได้เห็นองครักษ์ส่วนตัวสองคนของยู่หลานกำลังทำหน้าที่เคลียร์ทางบริเวณประตูหน้าของเมือง
แม้ว่าพวกมอนสเตอร์ Faux Saint จะอ่อนแอลง แต่องครักษ์ส่วนตัวขั้นสามทั่วไปก็ไม่น่าจะสามารถจัดการกับพวกมันได้ ในความเป็นจริง แม้ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลให้องครักษ์ส่วนตัวขั้นสามถูกฆ่าในทันทีโดยพวก Faux Saint Destroyers จำนวนมาก
อย่างไรก็ตามด้วยความช่วยเหลือจากองครักษ์ส่วนตัวของตัวเองสองคน ยู่หลานกับสามารถเคลียร์ทางบริเวณประตูหน้าของเมืองที่มีมอนสเตอร์ Faux Saint อยู่มากกว่าหนึ่งหมื่นตัวอย่างง่ายดาย
“องครักษ์ส่วนตัวระดับดาร์คโกลสองคน ?”
เมื่ออิลูซะรี่เวิร์ดเห็นองครักษ์ส่วนตัวสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆยู่หลาน ดวงตาสีเทาเงินของเธอก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง
ความสำเร็จที่องครักษ์ส่วนตัวสองคนของยู่หลานพึ่งจะสามารถทำได้นั้นมันจัดเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากๆ แม้ว่าจะใช้มอนสเตอร์อัญเชิญขั้นสี่ก็ตาม ดังนั้นคำอธิบายอย่างเดียวที่ซือเฟิงคิดได้สำหรับสถานการณ์นี้มันก็คือ องครักษ์ส่วนตัวทั้งสองคนนั้นอยู่ในระดับดาร์คโกล เนื่องจากมันมีเพียงแต่องครักษ์ส่วนตัวระดับดาร์คโกลเท่านั้นที่จะมีพลังทัดเทียมกับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย ขั้นสี่
อย่างไรก็ตามใน God domain ปัจจุบันนั้น ไม่ว่าจะเป็นองครักษ์ระดับดาร์คโกล หรือต่ำกว่านั้นลงมาอย่างระดับไฟน์โกล มันก็จัดว่าหายากมากๆ มันหายากกว่าอาวุธระดับอีปิคเลเวลหนึ่งร้อยหรือมากกว่านั้นด้วยซ้ำ
แม้จะเป็นกิลชั้นยอด แต่จักรพรรดิคริมสันก็มีองครักษ์ส่วนตัวระดับไฟน์โกลแค่หกคนเท่านั้น ขณะที่องครักษ์ส่วนตัวระดับดาร์คโกลนั้นพวกเขาไม่มีเลย แต่ยู่หลานกับมีสองคนเป็นของตัวเอง
สิ่งที่อิลูซะรี่เวิร์ดไม่รู้ก็คือองครักษ์ส่วนตัวของยู่หลานสองคนนี้นั้น มีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่เป็นระดับดาร์คโกล ขณะที่อีกคนเป็นระดับไฟน์โกล อย่างไรก็ตามด้วยความสามารถพิเศษของราชันเวทย์มนต์เคร็ก มิดแลนด์ มันจึงทำให้องครักษ์ส่วนตัวทั้งสองได้รับพลังในการต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็นผลให้ปัจจุบันพวกเขามีความแข็งแกร่งที่สามารถเทียบกับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายได้
อย่างไรก็ตามอิลูซะรี่เวิร์ด และอันยีลดิ้งฮาร์ทก็ยังไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายกับการพัฒนาที่ไม่คาดคิดนี้ ในความเป็นจริงการแสดงออกของพวกเขาตึงเครียดมากขึ้น เพราะมอนสเตอร์ Faux Saint ที่ถูกเคลียร์ออกไปนั้นได้พุ่งมาข้างหน้าอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังดูมีท่าทีดุร้ายและบ้าคลั่งมากกว่าเดิมมาก
ในช่วงเวลาต่อมา Faux Saint Destroyers หลายร้อยตัวก็เปล่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวออกมาก่อนที่พวกมันจะรวมกลุ่มกัน และใช้เทคนิคการต่อสู้หลอมรวมเข้าใส่กลุ่มของยู่หลาน ซึ่งมันทำให้พลังในการโจมตีของพวกมันตอนนี้เทียบเท่ากับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายขั้นสี่ และในพริบตาการโจมตีแบบนี้มากกว่าสามสิบการโจมตีก็ถูกปล่อยเข้าใส่ยู่หลานและองครักษ์ส่วนตัวสองคนของเธอ
สำหรับมอนสเตอร์ Faux Saint ที่ติดอยู่ในรอยแยก พวกมันก็ปีนขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และกลับมาเข้าร่วมกองทัพเพื่อโจมตีวงเวทย์ป้องกันของเมืองปีกสีเงินต่อ
“แน่นอนเลยว่าองครักษ์ส่วนตัวระดับดาร์คโกลสองคนนั้นมันไม่มากพอที่จะใช้เปลี่ยนแปลงอะไรได้ ความแข็งแกร่งของกองทัพ Faux Saint มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้เล่นในปัจจุบันจะสามารถต้านทานได้เลย”
เมื่อสมาชิกของมหาอำนาจต่างๆเห็นฉากนี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
องครักษ์ส่วนตัวระดับดาร์คโกลนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่จะสามารถหาได้ผ่านโชคเท่านั้น และในสนามรบ องครักษ์ส่วนตัวระดับดาร์คโกลก็สามารถที่จะแสดงพลังออกมาได้มากกว่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยายในเลเวลเดียวกันด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามพลังขององครักษ์ส่วนตัวระดับดาร์คโกลนั้นจะน่ากลัวก็ต่อเมื่อพวกเขาต้องรับมือกับกองทัพจำนวนไม่มากนักที่เหมาะกับจำนวนของตัวเองเท่านั้น และเมื่อพูดถึงกองทัพมอน
สเตอร์ Faux Saint ในปัจจุบันนี้ ความพยายามขององครักษ์ส่วนตัวระดับดาร์คโกลสองคนจึงจัดว่าไม่มีประโยชน์อะไรมากนักเลย เพราะท้ายที่สุดไม่ว่า NPC ขั้นสามจะทรงพลังมากขนาดไหน พวกเขาก็ยังไม่สามารถจะฆ่าลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ในเลเวลเดียวกันหรือใกล้เคียงกันได้ในการโจมตีเดียว ไม่ต้องพูดถึงแกรนลอร์ดหรือเหนือกว่านั้นเลย
กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint นั้นจะสามารถตรึงองครักษ์ส่วนตัวระดับดาร์คโกลสองคนของยู่หลานไว้ได้อย่างง่ายดายด้วยการใช้ Faux Saint Destroyers หลายร้อยตัว และแม้ว่าในท้ายที่สุดองครักษ์ระดับดาร์คโกลสองคนจะสามารถจัดการ Faux Saint Destroyers หลายร้อยตัวลงได้ แต่กว่าตอนนั้นจะมาถึงเมืองปีกสีเงินก็คงจะล่มสลายไปก่อนแล้ว
อย่างไรก็ตามในตอนที่กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint กำลังจะเริ่มโจมตีอีกระลอก วงเวทย์อัญเชิญสีเงินก็ปรากฎขึ้นบริเวณด้านนอกกำแพงเมืองปีกสีเงินอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งพอนับรวมๆแล้วมันก็มีมากกว่าสามร้อยวงเลย จากนั้นมันก็มีร่างหลายร่างโผล่ออกมาจากวงเวทย์เหล่านี้
หลังจากนั้น สกิลและเวทย์ที่เป็น ไฟ น้ำแข็ง สายฟ้า และลมจำนวนมากก็ถูกใช้โจมตีเข้าใส่มอนสเตอร์ Faux Saint ที่อยู่นอกเขตวงเวทย์ป้องกันของเมือง
ตู้ม … ตู้ม … ตู้ม …
ชั่วครู่หนึ่ง มานาธาตุจำนวนมากก็เข้าท่วมท้นกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint และมันก็ทำให้มอนสเตอร์ Faux Saint จำนวนนับไม่ถ้วนกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด และเสียงของพวกมันก็ดังก้องไปทั่วเมืองปีกสีเงิน
“นี่ …. เป็นไปได้ยังไง ?!”
เมื่อสมาชิกของมหาอำนาจต่างๆที่เฝ้าชมอยู่ เห็นมอนสเตอร์ Faux Saint ตัวแล้วตัวเล่าถูกทำให้ปลิวกระเด็นออกมาด้วยสภาพน่าสังเวชมากๆ ดวงตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง ….
ในขณะนี้มันมีองครักษ์ส่วนตัวอีกมากกว่าสามร้อยคนยืนอยู่นอกเมืองปีกสีเงิน ซึ่งทุกคนล้วนมีออร่าที่น่ากลัว และมันก็เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาไม่ใช่องครักษ์ส่วนตัวธรรมดา
นอกเหนือจากสมาชิกของมหาอำนาจต่างๆที่กำลังชมผ่านกระจกเวทย์มนต์อยู่นั้น ผู้เล่นอิสระที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงเช่นกัน ตอนนี้จิตใจของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“นี่มันไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม ? …”
อันยีลดิ้งฮาร์ทสงสัยว่าเขากำลังฝัน ในขณะที่เขาเฝ้าดูองครักษ์ส่วนตัวมากกว่าสามร้อยคนกำลังต่อสู้อยู่ที่นอกเมืองปีกสีเงิน ในฐานะรองหัวหน้ากิลของอันยีลดิ้งโซล เขาเคยเห็นองครักษ์ส่วนตัวที่ทรงพลังมากๆมาก่อน อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่เขาได้เห็นองครักษ์ส่วนตัวที่ทรงพลังจำนวนมากขนาดนี้
แม้ว่าเหล่าองครักษ์ส่วนตัวที่พึ่งปรากฎตัวขึ้นมาใหม่เหล่านี้ส่วนใหญ่จะอ่อนแอกว่าองครักษ์ส่วนตัวทั้งสองคนของยู่หลาน แต่พวกเขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าองครักษ์ส่วนตัวทั่วไปมากๆ ในความเป็นจริง แม้แต่องครักษ์ส่วนตัวที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาก็ยังทำให้อันยีลดิ้งฮาร์ทรู้สึกไร้พลังจะต่อกรได้
ในขณะเดียวกันหลังจากอิลูซะรี่เวิร์ดได้เห็นองครักษ์ส่วนตัวมากกว่าสามร้อยคนนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสายตาหันไปมองซือเฟิงที่อยู่ใกล้ๆ
นี่คือเหตุผลที่แท้จริงเบื้องหลังความมั่นใจของเขางั้นหรอ ?
องครักษ์ส่วนตัวมากกว่าสามร้อยคนนี้ ทุกคนล้วนแข็งแกร่งกว่าแกรนลอร์ดในเลเวลเดียวกัน และในระยะนี้ของเกม มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ แม้แต่กับห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดที่จะมีอะไรแบบนี้
มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย หากจะบอกว่าตราบใดที่มีองครักษ์ส่วนตัวมากกว่าสามร้อยคนเหล่านี้อยู่ ยังไงซะเมืองปีกสีเงินก็จะไม่มีวันล่มสลายแน่นอน
แต่เดิม NPC นั้นก็มีค่าสถานะพื้นฐานมากกว่าผู้เล่นอยู่แล้ว แต่หลังจากที่กลายเป็นองครักษ์ส่สนตัวของผู้เล่น พวกเขาก็จะได้รับค่าสถานะพื้นฐานเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยสิบเปอเซ็นต์ และเมื่อรวมกับบัฟที่ได้รับจากวงเวทย์ของเมือง มันจึงทำให้องครักษ์ส่วนตัวขั้นสามเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าทหาร NPC ขั้นสามของเมืองมาก ซึ่งตอนนี้มันอาจกล่าวได้ว่าการป้องกันของเมืองปีกสีเงินนั้นแข็งแกร่งกว่าเมืองหลักขนาดใหญ่ของ NPC บางเมืองด้วยซ้ำ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทหาร NPC ส่วนใหญ่ที่พบในเมืองหลักขนาดใหญ่ของ NPC ล้วนอยู่ในขั้นสอง มันมีพวกขั้นสามอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และข้อดีเพียงอย่างเดียวที่ทหารในเมือง NPC มีเหนือกว่ากองกำลังองครักษ์ส่วนตัวของสภาสิบแปดปีกก็คือ เลเวลเท่านั้น
ในขณะเดียวกันแม้ว่ากองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint จะมีข้อได้เปรียบเรื่องจำนวนอย่างท่วมท้น แถมในกองทัพยังมีแกรนลอร์ดอีกมากกว่าหนึ่งแสนตัว แต่หอคอยเวทย์มนต์ของเมืองปีกสีเงินนั้นก็ค่อนข้างจะพิเศษ ในตอนนี้เมื่อมอนสเตอร์ Faux Saint ไม่สามารถจะโจมตีและทำลายวงเวทย์ป้องกันของเมืองลงได้ เนื่องจากการรบกวนจากบรรดาองครักษ์ส่วนตัว ดังนั้นพวกมันก็จะไม่เป็นอะไรมากไปกว่าเป้าหมายมีชีวิตสำหรับหอคอยเวทย์มนต์ และอาวุธสงครามต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ผู้เล่นของเมืองปีกสีเงินกำลังรู้สึกยินดีกับความแข็งแกร่งที่สภาสิบแปดปีกแสดงออกมา Faux Saint Devourers ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสไปสามตัวในตอนแรกก็เสร็จสิ้นกระบวนการกลืนกิน Faux Saint Destroyers จำนวนหนึ่งเพื่อฟื้นฟูตัวเองแล้ว และตอนนี้พวกมันก็ได้กลับเข้าไปรวมกลุ่มกับ Faux Saint Devourers อีกห้าตัวแล้ว
“ดี !!! ในที่สุดพวกมันก็ฟื้นตัวแล้ว !!!” เธ้าซั่นอายเต็มไปด้วยความสุข เมื่อเขาได้เห็นฉากนี้
ก่อนหน้านี้ซือเฟิงได้ทำให้พวกเขาหมดหนทางอย่างสมบูรณ์ และทำให้ Faux Saint Devourers สามตัวหมดสภาพจะต่อสู้ก่อนการต่อสู้จะเริ่มขึ้นด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ Faux Saint Devourers จึงยังไม่สามารถแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมาได้
แต่พอตอนนี้ Faux Saint Devourers แปดตัวได้กลับมารวมกลุ่มกันแล้ว ดังนั้นพวกมันจึงจะสามารถแสดงพลังความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมาได้
ในช่วงเวลาต่อมา Faux Saint Devourers ทั้งแปดก็สบตากัน และหลังจากเห็นได้ชัดว่าพวกมันทั้งหมดคิดตรงกันแล้ว Faux Saint Devourers ทั้งแปดตัวก็ได้จัดการใช้หอกของตัวเองหลอมรวมกัน และโจมตีตรงไปยังจุดเดียวบนวงเวทย์ป้องกันของเมือง ซึ่งทุกๆที่ที่การโจมตีนี้ตัดผ่าน มันทำให้เกิดรอยแยกเชิงพื้นที่ แถมยังทำให้ทุกอย่างในรัศมีห้าสิบหลารอบมันแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าทั้งหมด และมันก็เห็นได้ชัดว่าการโจมตีนี้มันทรงพลังมากกว่าการโจมตีที่ Faux Saint Devourers ทั้งห้าตัวเคยใช้ร่วมกันมาก่อน
“ขั้นห้า ?”
อิลูซะรี่เวิร์ดชะงักไป เมื่อเธอได้เห็นการโจมตีล่าสุดที่กำลังเข้ามา เพราะเธอสามารถบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่าการโจมตีที่สามารถทำให้เกิดปรากฎการณ์หลายอย่างพร้อมกันได้แบบนี้นั้นจะต้องมีมาตราอยู่ในขั้นห้าแน่นอน
ซึ่งการโจมตีแบบนี้นั้น มันทรงพลังมากพอจะทำให้พลังงานสำรองของวงเวทย์ป้องกันของเมืองหลัก NPC ขนาดใหญ่หมดลงได้ทันทีเลยด้วยซ้ำ
ถึงจะรู้ทั้งหมดนี้ แต่อิลูซะรี่เวิร์ด และ อันยีลดิ้งฮาร์ทก็ทำได้แค่เฝ้าดูการโจมตีใกล้เข้ามาเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้วในปัจจุบัน มันไม่มีผู้เล่นขั้นสาม หรือ NPC ขั้นสามคนใดที่จะสามารถหยุดการโจมตีนี้ได้ และสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้ก็คือ การภาวนาให้วงเวทย์ป้องกันของเมืองปีกสีเงินสามารถทนรับการโจมตีนี้ได้ก็เท่านั้น
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่การโจมตีนี้กำลังจะโจมตีโดนวงเวทย์ป้องกันของเมือง ชายคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมที่ดูหรูหรา และถือคทาสีดำสนิทก็ปรากฎตัวขึ้นที่นอกเมืองปีกสีเงิน จากนั้นชายคนนี้ก็ยื่นคทาเข้าไปรับการโจมตีที่กำลังเข้ามา
ซึ่งทันทีที่เขาทำแบบนี้นั้น วงเวทย์สีฟ้าครามขนาดมหึมาที่ซ้อนทับกันสามชั้นก็ปรา
กฎขึ้นที่ปลายคทาของชายคนนี้ ก่อนที่ชายคนนี้จะจัดการเบี่ยงเบนการโจมตีนี้ให้ไปโจมตีเข้าใส่กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ที่อยู่โดยรอบแทน ซึ่งมันก็ทำให้บรรดามอนสเตอร์ Faux Saint ที่โดนเข้าไปล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัสทั้งหมด
“การโจมตีถูกป้องกันเอาไว้ได้งั้นหรอ ?”
ทุกคนที่เห็นฉากนี้ต่างก็ตกตะลึง โดยเฉพาะกับเธ้าซั่นอายที่ดวงตาของเขานั้นแทบจะถลนออกจากเบ้า
นี่มันเป็นการโจมตีขั้นห้า !!!
กระนั้นมันกับถูกเบี่ยงเบนออกไปอย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตามก่อนที่ทุกคนจะทันได้หายตกตะลึง ชายคนนี้ก็ได้จัดการโบกคทาของเขาอีกครั้ง
หลังจากนั้นสายฟ้าสีดำนับโหลก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า และโจมตีเข้าใส่ Faux Saint Devourers ทั้งแปดตัวอย่างรุนแรง ซึ่งมันก็ราวกับว่า Faux Saint Devourers ทั้งแปดนี้ถูกรถบรรทุกขนาดใหญ่พุ่งชน เพราะพวกมันถูกกดให้จมลึกลงไปบนพื้นดินเรื่อยๆทุกครั้งที่โดนการโจมตีนี้ ในขณะที่ HP ของพวกมันนั้นก็ลดลงในอัตราที่มองเห็นได้ชัดเลย ส่วนออร่าชีวิตของพวกมันนั้นก็อ่อนแอลงเรื่อยๆเช่นกัน
“นี่ ….”
ทุกคนต่างพูดไม่ออก เมื่อพวกเขาได้เห็นหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่แปดหลุมที่มีความลึกหกเมตรก่อตัวขึ้นในสนามรบอย่างกระทันหัน
ความแข็งแกร่งที่ชายคนนี้พึ่งจะแสดงออกมานั้นไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำว่าทรงพลังอีกต่อไป นี่มันเรียกได้ว่าท้าทายโลกทัศน์ของพวกเขาในทางปฎิบัติด้วยซ้ำ
“แม่งเอ้ย !!! NPC ขั้นสี่นั่นทรงพลังมากขนาดนี้ได้ยังไง ?!!” เธ้าซั่นอายจ้องมองไปที่ชายในชุดคลุมที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยความตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
พวกเขาได้ทำการรวบรวมข้อมูล และวิจัยเกี่ยวกับเคร็ก มิดแลนด์ ซึ่งเป็น NPC ขั้นสี่ที่คอยปกป้องเมืองปีกสีเงินมาแล้ว ซึ่งตัวตนของ NPC คนนี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มือแห่งนักบุญนั้นไม่กล้าจะเข้าใกล้เมืองปีกสีเงินตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา และพวกเขาก็พึ่งจะมาบุกล้อมเมืองตรงๆแบบนี้หลังจากที่ซือเฟิงทำการฆ่า Faux Saint Devourers ก่อนหน้านี้ไปหนึ่งตัวแล้วเท่านั้น ….
อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งของเคร็ก มิดแลนด์ มันก็ไปไกลเกินกว่าที่พวกเขาคิดไว้ไปอีกอย่างมาก
แถมในตอนนี้เพื่อทำให้เรื่องแย่ลงราชันเวทย์มนต์ผู้นี้ก็กำลังทำการใช้คำสาปขั้นสี่ สองคำสาปติดกัน โดยไม่ได้ร่ายเลย
“ผู้บัญชาการ เราไม่สามารถจะดำเนินการต่อไปได้ทั้งๆแบบนี้ ถ้าเราสู้ต่อไป ฉันกลัวว่า NPC ขั้นสี่นั่นจะฆ่า Faux Saint Devourers ทั้งแปดตัวลงได้ในไม่ช้า และเมื่อเป็นแบบนั้น หัวหน้ากิลได้เอาเราตายแน่นอน …” แรนเจอร์ เลเวลหนึ่งร้อยสิบห้า ขั้นสามที่อยู่ข้างๆเธ้าซั่นอายกล่าวแนะนำอย่างรีบร้อน เมื่อเขาเห็นว่า Faux Saint Devourers ทั้งหมดได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว
ต่อหน้าราชันเวทย์มนต์เคร็ก มิดแลนด์ Faux Saint Devourers ทั้งแปดตัวนั้นไม่สามารถต้านทานการโจมตีของเขาได้เลยแม้แต่น้อย และ HP ของพวกมันก็ลดลงอย่างรวดเร็วมากๆ ซึ่งมันก็จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น ก่อนที่ HP ของพวกมันทั้งหมดจะลดลงถึงศูนย์
หากไม่ใช่เพราะเคร็ก มิดแลนด์ ถูกจำกัดขอบเขตการใช้พลังไว้เพราะเมืองปีกสีเงิน บางทีเขาอาจจะทำลายกองทัพทั้งหมดของมอนสเตอร์ Faux Saint ลงได้ด้วยตัวเองเลย
“ถ่ายทอดคำสั่งของฉันออกไป ให้มอนสเตอร์ Faux Saint ทั้งหมดทำการถอยทัพทันที” เธ้าซั่นอายพูดอย่างไม่เต็มใจ ในขณะที่เขามองดู HP ของ Faux Saint Devourers ลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint นั้นก็แทบจะไม่สามารถโจมตีวงเวทย์ป้องกันของเมืองปีกสีเงินได้เลย
พวกเขาแพ้แล้ว แพ้แล้วอย่างแท้จริง ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นการที่พวกเขาแพ้ และประสบความสูญเสียถึงสองครั้งติดต่อกัน
“เข้าใจแล้ว !!!” แรนเจอร์ขั้นสามพยักหน้า ก่อนจะรีบถ่ายทอดคำสั่งของเธ้าซั่นอายไปยังสมาชิกของมือแห่งนักบุญคนอื่นๆ
หลังจากนั้นสมาชิกของมือแห่งนักบุญก็หยิบคริสตัลแปลกๆออกมาจากกระเป๋าของพวกเขา และเริ่มร่ายเวทย์ และทันใดนั้นกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ที่โจมตีเมืองปีกสีเงินอยู่ก็เริ่มถอย และกระจายตัวกันหนี ราวกับพวกมันได้รับหมายเรียก
เมื่อเห็นกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ถอยกลับ ผู้เล่นในเมืองปีกสีเงินก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ผู้เล่นหลายคนนั้นถึงกับส่งเสียงเชียร์และเฉลิมฉลองออกมาด้วยซ้ำ เพราะท้ายที่สุดนี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆนับตั้งแต่ที่เกิดการระบาดของมอน
สเตอร์ Faux Saint ที่ผู้เล่นได้รับชัยชนะครั้งใหญ่เหนือพวกมัน
อย่างไรก็ตามซือเฟิงยังคงยืนอยู่เหนือประตูหลักของเมือง และไม่ได้แสดงความตื่นเต้นใดๆบนใบหน้าของเขา ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนสายตาหันไปมองป่าที่อยู่ห่างไกล
“ถอยหนี ? นี่พวกคุณคิดว่าเมืองปีกสีเงินเป็นสถานที่ที่พวกคุณจะสามารถเข้ามาได้ทุกเมื่อที่ต้องการงั้นหรอ ?” ซือเฟิงกล่าว จากนั้นเขาก็หยิบม้วนคัมภีร์อัญเชิญองครักษ์ส่วนตัวของเขาออกมาจากกระเป๋า และคลี่มันออก “เมื่อพวกคุณมาถึงที่นี่แล้ว ก็จงอยู่ที่ตลอดไปเถอะ !!!”
ตอนที่ 2673 ขั้นสี่ที่น่ากลัว
เมื่อซือเฟิงเปิดใช้งานม้วนคัมภีร์อัญเชิญองครักษ์ส่วนตัว ผู้เล่นที่อยู่ใกล้ๆก็รู้สึกได้ถึงความหนาแน่นของมานาโดยรอบพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นทันที แถมพวกเขายังรู้สึกว่าพื้นที่รอบตัวของพวกเขาเริ่มเสถียร ซึ่งมันทำให้ความผันผวนของมานาที่อยู่รอบนอกเมืองปีกสีเงินนั้นไม่ได้ส่งผลต่อพวกเขาอีกต่อไปแล้ว
หลังจากนั้นชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมหรูหราที่ถือคทาที่ถูกประดับไปด้วยอัญมณีจำนวนมากก็ปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าของซือเฟิง
แม้ว่าชายวัยกลางคนนี้ผู้นี้จะไม่ได้มีออร่าที่น่ากลัวมากนัก แต่เมื่อทุกคนตรวจสอบข้อมูลของเขา มันก็ทำให้ทุกคนตกตะลึงมากๆ
ขั้นสี่ !!!
NPC ขั้นสี่อีกหนึ่งคน !!!
“อึก !!! นี่สภาสิบแปดปีกปกปิดความแข็งแกร่งไว้มากแค่ไหนกัน ?!!”
เมื่อสมาชิกของมหาอำนาจต่างๆเห็นแวร์ซาย พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะก้นด่าสาปแช่งออกมา
มันอาจจะโอเคกว่านี้ ถ้าพวกเขายังไม่ได้เห็นความแข็งแกร่งของ NPC ขั้นสี่ แต่หลังจากได้เห็นการแสดงของเคร็ก มิดแลนด์ พวกเขาก็ได้เข้าใจแล้วว่า NPC ขั้นสี่นั้นน่ากลัวมากแค่ไหน ซึ่ง NPC ขั้นสามนั้นไม่สามารถจะเทียบกับ NPC ขั้นสี่ได้เลย NPC ขั้นสี่นั้นสามารถจะเปลี่ยนกระแสของสงครามขนาดใหญ่ได้อย่างแท้จริง
ซึ่งตอนนี้สภาสิบแปดปีกก็ได้เปิดเผยออกมาว่าพวกเขามี NPC ขั้นสี่สองคน ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองคนยังเป็นนักเวทย์ด้วย !!!
ในตอนนี้ทุกคนก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนนั้นซือเฟิงถึงฆ่าเธ้าซั่นอายและทีมของเขาอย่างไม่ลังเลย
หากกิลของพวกเขามี NPC ขั้นสี่สองคนแบบนี้ กิลของพวกเขาก็จะไม่กลัวมอนสเตอร์ Faux Saint เช่นกัน เพราะท้ายที่สุดช่องว่างระหว่างขั้นสาม กับขั้นสี่นั้นมันมีมากเกินไป ซึ่งมันไม่ใช่อะไรที่จำนวนที่เหนือกว่าจะสามารถชดเชยได้เลย
ในขณะเดียวกันคำพูดของซือเฟิงก็ได้ทำให้สมาชิกของมือแห่งนักบุญที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าที่ห่างออกไปหลายพันหลาโกรธเกรี้ยวมากๆ
“ช่างเย่อหยิ่งจริงๆ !!!”
“ถูกต้อง !!! เขาก็มีแค่ NPC ขั้นสี่เพิ่มมาอีกคนเท่านั้น !!! แบล๊คเฟรมจะต้องฝันไปแล้วแน่ๆ หากคิดว่าเขาจะสามารถฆ่าพวกเราทุกคนได้ !!!”
“ปล่อยให้เขาเย่อหยิ่งไปก่อนในตอนนี้ แล้วมาดูกันว่าเขาจะยังคงหยิ่งแบบนี้ต่อไปได้ไหม หลังจากที่พวกมอนสเตอร์ Faux Saint หนีกลับไปพัฒนาตัวเองให้เติบโตมากขึ้น และกลับมาที่นี่อีกครั้ง !!!”
พวกเขานั้นยอมรับว่าพวกเขาไม่สามารถจะต่อกรกับ NPC ขั้นสี่ได้ อย่างไรก็ตามซือเฟิงจะต้องฝันแน่นอน หากเขาคิดว่าเขาจะสามารถฆ่าพวกเขาทุกคนได้ด้วย NPC เพียงสองคน ที่ๆพวกเขาอยู่นั้น มันอยู่ห่างจากเมืองปีกสีเงินหลายพันหลา และเมื่อบวกกับความจริงที่ว่ามีกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint คั่นกลางอยู่ระหว่างพวกเขาทั้งสองฝ่าย ซือเฟิงก็จะต้องใช้เวลานานมากๆกว่าจะเข้าถึงพวกเขาได้
และพูดกันตรงๆการคาดหวังให้พวกเขารอการมาถึงของซือเฟิงอยู่กับที่นี่ มันก็เป็นเพียงความฝันของคนโง่เท่านั้น !!!
ผู้เล่นของเมืองปีกสีเงินเองก็คิดแบบเดียวกัน พวกเขาล้วนคิดว่าซือเฟิงนั้นกำลังโอ้อวดมากเกินไป แม้ว่ากองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint จะไม่สามารถตีเมืองปีกสีเงินได้ แต่กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ก็ยังถือว่าทรงพลัง และมีจำนวนมหาศาลมาก นี่ยังไม่นับรวมเหล่าสมาชิกของมือแห่งนักบุญอีก ซึ่งพวกเขาจะสามารถอยู่และออกไปได้ทุกเมื่อที่ต้องการอยู่แล้ว NPC ขั้นสี่แค่สองคนจะไปหยุดทั้งหมดนี้ได้อย่างไร ?
อย่างไรก็ตามก่อนที่สมาชิกของมือแห่งนักบุญจะพูดจบ แวร์ซายก็ได้โบกคทาของเขา และทันใดนั้นพื้นที่เบื้องหน้าของเขาก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ และก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนที่เป็นรอยแยกมิติ
หลังจากนั้นซือเฟิงและแวร์ซายก็ก้าวเข้าไปภายในรอยแยกมิตินี้ และพวกเขาก็ได้มาถึงบริเวณเหนือป่าที่สมาชิกของมือแห่งนักบุญซ่อนตัวอยู่ทันที โดยพวกเขาได้มองไปยังผู้เล่นเหล่านี้ที่กำลังเตรียมจะล่าถอยด้วยสีหน้าสงบ
“เทเลพอร์ต ?! เป็นไปได้ยังไง ?!”
สมาชิกของมือแห่งนักบุญนั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึงมากๆ เมื่อได้เห็นแวร์ซายและซือเฟิงลอยอยู่เหนือพวกเขา
“มันเป็นไปได้ด้วยงั้นหรอ ?!”
ในขณะนี้นอกเหนือจากสมาชิกของมือแห่งนักบุญแล้ว สมาชิกของมหาอำนาจต่างๆที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองปีกสีเงินก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงเช่นกัน
พลังงานพิเศษที่ห่อหุ้มจักรวรรดิออร์คอยู่นั้นป้องกันการใช้เทเลพอร์ตทุกรูปแบบ ในความเป็นจริง มันไม่มีใครสามารถเรียกอะเม้าท์บินได้ออกมาในจักรวรรดิออร์คได้ด้วยซ้ำ ผู้เล่นสามารถพึ่งพาแค่รถม้า กับอะเม้าท์บนบกเท่านั้นเพื่อนเดินทางไปรอบๆ ซึ่งมันเป็นความรู้โดยทั่วไปสำหรับผู้เล่นที่ปฎิบัติการในจักรวรรดิ
นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สมาชิกของมือแห่งนักบุญไม่กลัวการข่มขู่ฆ่าของซือเฟิง เพราะท้ายที่สุดแม้ว่า NPC ขั้นสี่จะบินได้ แต่ NPC ขั้นสี่ก็ยังต้องใช้เวลาพอสมควรในการข้ามระยะหลายพันหลา และด้วยจำนวนสมาชิกของมือแห่งนักบุญที่มาเข้าร่วมปฎิบัติการครั้งนี้มากกว่าหนึ่งพันคน ตราบใดที่พวกเขากระจายตัวกันหนีไปในทิศทางต่างกัน มันก็ไม่มีทางเลยที่แวร์ซาย กับเคร็ก มิดแลนด์จะฆ่าพวกเขาได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตามตอนนี้ซือเฟิง และแวร์ซายกับเดินทางข้ามระยะหลายพันหลาได้ในพริบตา นี่มันไม่น่าเชื่อเลย
“เร็ว !! รีบกระจายตัวกันหนี !!!” เธ้าซั่นอายตะโกนออกคำสั่งด้วยความหวาดกลัวอย่างมาก เมื่อเห็นการมาถึงของซือเฟิงและแวร์ซาย
ปัจจุบันพื้นที่ทั้งหมดรอบเมืองปีกสีเงินนั้นอยู่ภายใต้คำสาปทำลายล้างวิญญาณ และผู้เล่นทุกคนที่ตายภายในพื้นที่ปิดผนึกนี้จะถูกคำสาป และโดยธรรมชาติแล้ว สมาชิกของมือแห่งนักบุญก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถพิชิตเมืองปีกสีเงินได้ ไม่เพียงแต่มือแห่งนักบุญเลือกจะสังเวยชีวิตถาวรของผู้เชี่ยวชาญขั้นสอง เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย หนึ่งพันคน กับผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม หนึ่งร้อยคน แต่พวกเขายังส่งผู้เชี่ยวชาญขั้นสามมากกว่าห้าร้อยคน และผู้เชี่ยวชาญขั้นสองมากกว่าหนึ่งพันคนที่สามารถดูดซับความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ Faux Saint Destroyers ได้ มาร่วมปฎิบัติการครั้งนี้ด้วย ซึ่งหากผู้เล่นเหล่านี้ทุกคนถูกฆ่าลงที่นี่ มือแห่งนักบุญก็จะได้รับความเสียหายที่ไม่อาจจินตนาการได้เลย
ทันทีที่เธ้าซั่นอายตะโกนออกคำสั่งของเขาเสร็จ เขาก็รีบหยิบม้วนคัมภีร์เวทย์บิน ขั้นสามออกมาจากกระเป๋าของเขาทันที นี่คือไอเทมที่ทำให้ผู้เล่นสามารถบินได้เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ และโบนัสความเาร็วในการเคลื่อนที่ที่มันมอบให้นั้นก็มากกว่าอะเม้าท์บนบกหลายเท่า ม้วนคัมภีร์เวทย์นี้เป็นหนึ่งในเครื่องมือช่วยชีวิตที่สำคัญที่สุดของเขา
สำหรับสมาชิกของมือแห่งนักบุญคนอื่นๆ พวกเขาหายจากอาการตกตะลึงทันที เมื่อได้ยินคำเตือนของเธ้าซั่นอาย และพวกเขาก็รีบกระจายกันหนีไปทุกทิศทางด้วยความตื่นตระหนก
หากพวกเขาตายลงในตอนนี้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะได้รับโทษจากการตายที่รุนแรงขึ้นสองเท่า แต่วิญญาณของพวกเขายังจะติดสถานะอ่อนแอเป็นเวลาสิบห้าวัน ซึ่งแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามก็ไม่สามารถทนรับราคานี้ได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วใน God domain ตอนนี้ แค่ถูกกำจัดออกจากแนวหน้าไปแค่ไม่กี่วัน มันก็จะเดือดร้อนมากแล้ว ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงสิบห้าวันเลย
“ตอนนี้พวกคุณยังคิดว่าจะหนีได้อีกงั้นหรอ ?” ซือเฟิงเย้ยหยัน สีหน้าของเขายังคงสงบและเฉยเมย แม้จะเห็นสมาชิกของมือแห่งนักบุญกระจายตัวหนีไปทุกทิศทาง
ทันทีที่ซือเฟิงพูดจบ มันก็มีการกระเพื่อมของมานากระจายออกมาจากร่างกายของแวร์ซาย และโอบล้อมสมาชิกของมือแห่งนักบุญทั้งหมดไว้ รวมทั้งจำกัดการเคลื่อนไหวของพวกเขาในทันที ซึ่งในพริบตาสมาชิกของมือแห่งนักบุญทั้งหมดก็พบว่าตัวเองถูกตรึงไว้
“นี่ … เป็นไปได้ยังไงกัน ?!”
“NPC นั่นมันอะไรกัน ?!”
ผู้เล่นของเมืองปีกสีเงินต่างเต็มไปด้วยความตกตะลึง เมื่อพวกเขาได้เห็นฉากที่แสดงบนกระจกเวทย์มนต์ขนาดมหึมาเหนือเมืองปีกสีเงิน
การแสดงก่อนหน้านี้ของเคร็ก มิดแลนด์นั้นน่าทึ่งมากๆ อย่างไรก็ตามตอนนี้ดูเหมือนว่าการแสดงของแวร์ซายจะน่าทึ่งกว่าเคร็ก มิดแลนด์ซะอีก
นั่นคือผู้เล่นระดับผู้เชี่ยวชาญมากกว่าหนึ่งพันคนที่พวกเขากำลังพูดถึง !!!
ยิ่งไปกว่านั้นหลายคนก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสามด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามแวร์ซายกับทำให้พวกเขาทั้งหมดไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลยด้วย โดเมนมานาของเขา
“นั่นเป็นแค่ NPC ขั้นสี่จริงๆงั้นหรอ ?!”
ความคิดของอิลูซะรี่เวิร์ดล้วนหมุนวนไปหมด ในขณะที่เธอมองไปยังแวร์ซาย
ความจริงที่ว่าเคร็ก มิดแลนด์สามารถจะทำให้ Faux Saint Devourers แปดตัวบาดเจ็บสาหัสได้ มันก็จัดว่าน่าทึ่งมากแล้ว แต่ตอนนี้แวร์ซายกับทำสิ่งที่น่าทึ่งกว่าอีก เพราะเพียงแค่เขาปลดปล่อยโดเมนมานาของเขาออกมา NPC ก็สามารถปราบปรามผู้เล่นระดับผู้เชี่ยวชาญมากกว่าพันคนได้อย่างอยู่หมัด และควบคุมชีวิตของพวกเขาไว้ในมือ
นี่จะเรียกว่าเป็นการต่อสู้ได้อย่างไร ?…. มันเป็นการสังหารหมู่ด้านเดียวชัดๆ !!!
สิ่งที่อิลูซะรี่เวิร์ด และคนอื่นๆไม่รู้ก็คือแวร์ซายนั้นไม่ใช่จอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ขั้นสี่ทั่วไป แต่เขาเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ขั้นสี่ที่เขาถึงขอบเขตการสร้างโลกแล้ว เขาสามารถจะสร้างโลกของตัวเองขึ้นมาได้ภายในโดเมนมานาของเขา และถ้าไม่มีใครอยู่ในมาตราฐานของขั้นสี่ พวกเขาจะไม่สามารถต้านทานพลังนี้ของแวร์ซายได้เลย
ในช่วงเวลาต่อมาแวร์ซายก็โบกคทาโดยเล็งไปยังสมาชิกของมือแห่งนักบุญที่อยู่เบื้องล่าง หลังจากนั้นวงเวทย์สีแดงเข้มที่มีรัศมีสองร้อยหลาก็ปรากฎขึ้นในอากาศ ซึ่งมันได้ดึงดูดมานาประเภทไฟทั้งหมดที่อยู่ใกล้ๆเข้ามารวมตัวกันจนกลายเป็นบอลไฟขนาดยักษ์
และเมื่อบอลไฟขนาดยักษ์ตกลงมานั้น มันก็ค่อยๆขยายตัวไปอีกเรื่อยๆจนมีขนาดเท่าภูเขา ซึ่งนี่มันทำให้สมาชิกของมือแห่งนักบุญ และผู้เล่นในเมืองปีกสีเงินทั้งหมดเงียบลงขณะที่พวกเขามองไปที่บอลไฟขนาดยักษ์นี้ ชั่วครู่หนึ่ง มันราวกับว่าเวลาโดยรอบบริเวณทั้งหมดถูกแช่แข็ง
“แบล๊ค … เฟรม !!! แค่รอ !!! รอก่อนเถอะ !!! คุณไม่สามารถจะหยุดกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ได้หรอก !!! มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint จะทำลายสภาสิบแปดปีกได้ !!!”
เมื่อเห็นการโจมตีนี้ใกล้เข้ามา และรู้ตัวว่าเขาไม่สามารถจะหนีได้แล้ว เธ้าซั่นอายก็หันมาจ้องมองและกล่าวกับซือเฟิงเหมือนคนบ้าคลั่ง ในเวลาเดียวกันเขาก็ยังคงยิ้มอย่างเยาะเย้ยซือเฟิง เพราะซือฟิงประเมินตัวเองสูงเกินไป
“กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint จะต้องเติบโตให้ได้ก่อนนะถึงจะทำแบบนั้นได้ !!!” ซือเฟิงตอบโต้อย่างไม่ไยดีให้กับเสียงหัวเราะของเธ้าซั่นอาย
ทันทีที่ซือเฟิงกล่าวจบ บอลไฟขนาดยักษ์ก็ตกลงมาและระเบิดออก
ตู้ม !!!
เปลวไฟที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุดกระจายไปทั่วป่า และเผาสมาชิกของมือแห่งนักบุญทั้งหมดไปทันที
นอกเหนือจากการตายของสมาชิกมือแห่งนักบุญทั้งหมดแล้ว กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ที่ถอยกลับก็เริ่มเข้าสู่สถานะเบอเซิกร์ทั้งหมด และด้วยดวงตาที่แดงก่ำ มอนสเตอร์ Faux Saint ทุกตัวในสนามรบก็พุ่งเข้าใส่ซือเฟิง
“กลับกันเถอะ …” ซือเฟิงกล่าวกับแวร์ซาย
แวร์ซายพยักหน้าตอบรับด้วยความเคารพ จากนั้นเขาก็เปิดกระแสน้ำวนที่เป็นรอยแยกมิติขึ้นอีกครั้ง และเทเลพอร์ตกลับไปยังเมืองปีกสีเงินพร้อมกับซือเฟิง
หลังจากที่ซือเฟิงกลับมาถึงที่ประตูหลักของเมืองปีกสีเงิน ผู้เล่นหลายคนก็เริ่มหายจากอาการตกตะลึง แต่พวกเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังซือเฟิงอย่างประหลาดใจ หวาดกลัว และชื่นชมอยู่ดี ….
“เขาเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อย ทั้งๆแบบนั้นเลยงั้นหรอ ?”
เมื่อมองไปที่ท่าทีที่สงบของซือเฟิง มันดูเหมือนกับว่าเขาพึ่งจะเดินผ่านสวนหลังบ้านของเขามา
คนเหล่านั้นล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด และมีจำนวนมากกว่าหนึ่งพันคนเลยนะ !!!
อย่างไรก็ตามซือเฟิงได้เหยียบย่ำคนเหล่านั้นทั้งหมดราวกับเป็นมดปลวก และด้วยความแข็งแกร่งดังกล่าว ในความเข้าใจของพวกเขา แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของมหาอำนาจต่างๆจะรวมตัวกัน แต่พวกเขาก็หมดหนทางที่จะทำอะไรกับสภาสิบแปดปีกได้แน่นอน
กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint งั้นหรอ ?
มันไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกไปจากเรื่องตลก !!!
ในขณะเดียวกันหลังจากที่ซือเฟิงกลับมาถึงที่เมืองปีกสีเงินแล้ว นอกเหนือจาก Faux Saint Devourers แปดตัวที่บาดเจ็บสาหัส และยังคงพยายามหลบหนีต่อ มอนสเตอร์ Faux Saint ตัวอื่นได้หันกลับมาโจมตีเมืองปีกสีเงินอย่างบ้าคลั่ง
อย่างไรก็ตามในเวลานี้ทุกคนเข้าใจดีว่า สภาสิบแปดปีกจะทำลายกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ทั้งหมดลงได้แน่นอนในท้ายที่สุด และแม้ว่า Faux Saint Devourers ทั้งแปดตัวจะสามารถหลบหนีจากเคร็ก มิดแลนด์ไปได้ แต่พวกมันก็ไม่สามารถจะหลบหนีจากแวร์ซายได้แน่นอน สำหรับมอนสเตอร์ Faux Saint ตัวอื่นๆ พวกมันก็ไม่ต่างจากเป้าซ้อมมือขององครักษ์ส่วนตัว ป้อมปราการ และหอคอยเวทย์มนต์ในเมืองปีกสีเงินของสภาสิบแปดปีก
….
จักรวรรดิมังกรไฟ เมืองมังกรไฟ บ้านประมูลมังกรไฟ :
ขณะนี้พวกระดับสูงของมหาอำนาจเกือบยี่สิบกลุ่มได้มารวมตัวกันภายในบ้านประมูลมังกรไฟ ซึ่งนี่มันนับเป็นการรวมตัวกันขนาดใหญ่แบบที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยในจักรวรรดิมังกรไฟทั้งหมด
และในขณะนี้ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของมหาอำนาจต่างๆเหล่านี้ก็ได้ทำการปิดล้อมบ้านประมูลไว้ทั้งหมดเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เล่นที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในอาคาร อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นแบบนี้นั้น แต่ผู้เล่นจำนวนมาก รวมไปถึงพวกระดับสูงของกิลชั้นสูง และทีมนักผจญภัยชั้นยอดก็ยังคงรออยู่ที่ด้านนอกอาคาร ผู้เล่นทุกคนเหล่านี้ล้วนกังวลมากเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการหารือในเรื่องพันธมิตรครั้งนี้
เพราะท้ายที่สุดแล้วการพูดคุย และหารือเรื่องพันธมิตรในครั้งนี้ มันจะสามารถเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจของทวีปด้านตะวันออกไปได้เลย และหากพวกเขาไม่ใส่ใจผลของการพูดคุยหารือครั้งนี้ พวกเขาอาจถูกกำจัดออกจาก God domain ไปโดยไม่ทราบเหตุผลเลย
ในขณะเดียวกันภายในห้องประชุมที่ชั้นบนสุดของบ้านประมูลมังกรไฟ
ขณะนี้มันมีผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดหรือสูงกว่านั้นจำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยคนนั่งอยู่ที่โต๊ะกลม และออร่าที่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ทั้งหมดแผ่ออกมานั้นจะสามารถปราบปรามได้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมนด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดล้วนกำลังมองไปยังหญิงสาวที่นั่งหัวโต๊ะด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเคารพ
หลังจากนั้นไม่นานนัก ไวท์เฟเธอร์ที่ยืนอยู่ข้างหญิงสาวที่เป็นประธานในการประชุมครั้งนี้ก็กระซิบกับหญิงสาวเบาๆว่า “รองหัวหน้ากิล พวกระดับสูงของมหาอำนาจต่างๆมากันครบแล้ว ….”
ในการตอบสนองโคลท์ชาโด้ว พยักหน้าและพูดว่า “เอาล่ะ มาเริ่มกันเลย !!”
ตอนที่ 2674 ข้อความที่ส่งต่อกันมา
ภายในห้องประชุมที่มีขนาดใหญ่และกว้างขวาง :
ทันทีที่โคลท์ชาโด้ว ระบุว่าการประชุมจะเริ่มขึ้นแล้ว ไวท์เฟเธอร์ก็ได้ก้าวไปข้างหน้า และกวาดสายตามองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด
แม้ว่าไวท์เฟเธอร์จะไม่ได้พูดอะไร แต่ทุกคนก็เงียบลงทันที และเพ่งความสนสนใจไปที่เธอ เพราะพวกเขาเข้าใจดีว่าการพูดคุยและหารือเรื่องพันธมิตรจะเริ่มขึ้นแล้ว
“ประการแรก ฉันขอขอบคุณทุกคนในนามของไมโทโลจี้ที่มาเข้าร่วมการพูดคุยและหารือเรื่องพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับพวกมอนสเตอร์ Faux Saint ในครั้งนี้ แม้ว่าตัวแทนที่ได้รับเชิญจากดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยนจะไม่สามารถมาเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ได้อันเนื่องมาจากสถานการณ์ที่พิเศษ แต่ทางดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยนก็ได้ส่งตัวแทนที่มีความสามารถในการตัดสินใจเรื่องต่างๆของกิลได้มากพอกันมาแทน และฉันเชื่อว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบต่อการประชุมในครั้งนี้แน่นอน ทุกคนมั่นใจได้ ….” ไวท์เฟเธอร์กล่าวจากด้านข้างของโคลท์ชาโด้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของไวท์เฟเธอร์ บรรดาพวกระดับสูงของมหาอำนาจต่างๆก็เปลี่ยนสายตาไปที่ชายสูงอายุที่สวมชุดขาว ซึ่งเป็นตัวแทนของดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยน
เมื่อมาถึงตรงนี้การหายตัวไปอย่างกระทันหันของสุดยอดปรมาจารย์พาวิลเลี่ยนของดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยน รวมไปทั้งปรมาจารย์พาวิลเลี่ยนทั้งสองคนนั้นนับเป็นเรื่องที่รับรู้โดยทั่วไปของมหาอำนาจต่างๆ อย่างไรก็ตามทุกคนคิดมาตลอดว่านี่เป็นเพราะข้อพิพาทภายในระหว่างปรมาจารย์พาวิลเลี่ยนทั้งสอง และพวกเขาก็น่าจะมาร่วมการประชุมในวันนี้แน่นอน
แต่ตอนนี้ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เพราะว่าในการประชุมวันนี้นั้น มันมีความสำคัญสูงสุดต่อการการดำรงอยู่ต่อไปของดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยน แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นสุดยอดปรมาจารย์พาวิลเลี่ยน หรือปรมาจารย์พาวิลเลี่ยนทั้งสองคนก็ไม่มาเข้าร่วมการประชุมเลย มันมีแค่บรรดาผู้อาวุโสจำนวนหนึ่ง และผู้อาวุโสสูงสุดหนึ่งคน ที่เป็นตัวแทนของดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยนเท่านั้นที่มาเข้าร่วมในการประชุมวันนี้ สถานการณ์นี้ทำให้ทุกคนอยากรู้อยากเห็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยน
“เนื่องจากทุกคนมาพร้อมกันที่นี่แล้ว งั้นฉันจะขอพูดแบบเข้าประเด็นตรงๆเลยแล้วกัน มาพูดถึงหัวข้อหลักของวันนี้กันเลย …” ไวท์เฟเธอร์กล่าว ขณะที่เธอกวาดสายตามองไปยังผู้เล่นตรงหน้าของเธอทั้งหมดอีกครั้ง จากนั้นเธอก็ปรบมือสองครั้ง
แผนที่โฮโลแกรมของทวีปด้านตะวันออกทั้งหมดก็ปรากฎขึ้นตรงกลางโต๊ะกลม
แม้ว่าหลายพื้นที่จะถูกปิดเป็นดินแดนที่ไม่รู้จัก แต่แผนที่ก็รวมทุกสถานที่ที่ผู้เล่นรู้จักในระยะนี้ของเกมเอาไว้ ในความเป็นจริง มันยังแสดงถึงแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบถึงหนึ่งร้อยสี่สิบบางแห่ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่มหาอำนาจส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้นั้นขาดความสามารถในการจะสำรวจโดยละเอียด
“ช่างเป็นแผนที่ที่ละเอียดมากๆ !!!”
ในช่วงเวลาหนึ่งตัวแทนหลายคนต่างก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจให้กับข้อมูลในแผนที่
แผนที่ที่ละเอียดแบบนี้ใน God domain อาจไม่ใช่ของหายาก แต่การรวบรวมแผนที่ทั้งหมดมารวมกันให้เป็นภาพรวมของแผนที่ทวีปเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบรรดาแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยหรือมากกว่านั้น รวมไปถึงดินแดนต้องห้าม ซึ่งมหาอำนาจต่างๆก็ถือว่าข้อมูลของแผนที่เหล่านี้นั้นเป็นความลับสุดยอด และไม่ค่อยแบ่งปันให้กับผู้อื่น
แต่ตอนนี้ไมโทโลจี้กับเลือกจะแบ่งปันข้อมูลของแผนที่นี้ซึ่งจัดว่ามีค่ามากกับมหาอำนาจอื่นๆที่อยู่ที่นี่อย่างไม่ลังเล ซึ่งนี่มันนับว่าพวกเขาใจดีอย่างไม่น่าเชื่อ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ทุกคนใช้เวลาศึกษาแผนที่แล้ว พวกเขาก็สังเกตเห็นจุดที่น่าแปลกใจเล็กน้อย
สถานที่บางแห่งบนแผนที่นั้นถูกทำเครื่องหมายด้วยสีเทาหม่น และสีขาว ซึ่งสถานที่เหล่านี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากดินแดน NPC ของกองกำลังสายความมืด และดินแดนของมอนสเตอร์ Faux Saint ที่พึ่งจะปรากฎตัว
ข้อมูลทั้งหมดบนแผนที่ที่ไมโทโลจี้มีนั้น ส่วนใหญ่ก็เหมือนกับที่มหาอำนาจต่างๆที่อยู่ที่นี่มี อย่างไรก็ตามอาณาเขตของมอนสเตอร์ Faux Saint ที่ปรากฎขึ้นบนแผนที่ของไมโทโลจี้นั้นทำให้ทุกคนสงสัยว่าสายตาของพวกเขามองผิดพลาดรึปล่าว
“นี่อาณาเขตของมอนสเตอร์ Faux Saint ขยายใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไง ?!” แอสซาซินในชุดสีเทาที่มีตราสัญลักษณ์กิลของจักรวรรดิชาโด้วเลสอุทานออกมา
ตามข้อมูลของพวกเขา อาณาเขตของมอนสเตอร์ Faux Saint ควรครอบคลุม
เฉพาะอาณาจักรเพอเพิ้ลธอร์น อาณาจักรสตาร์มูน และจักรวรรดิออร์คเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ตามแผนที่ของไมโทโลจี้ มอนสเตอร์ Faux Saint กำลังจะขยายขอบเขตการเข้าถึงไปยังประเทศอื่นๆอีกทั้งหมดสิบสี่ประเทศ ซึ่งนี่รวมไปถึงจักรวรรดิมังกรดำ และจักรวรรดิรัตติกาลด้วย
นี่มันน่าเหลือเชื่อมากๆ !!
“นี่คือดินแดน และขอบเขตการเข้าถึงของมอนสเตอร์ Faux Saint ในตอนนี้จริงๆหรอ ? มันมีความผิดพลาดอะไรรึปล่าว ?”
นอกจากรองหัวหน้ากิลของจักรวรรดิชาโด้วเลสแล้ว ตัวแทนของซุเปอร์กิลอย่าง จักรวรรดิไพรน์ สกายดราก้อนเฮ้าท์ Sacred Temple และ Nine Heavens Pavilion รวมถึงตัวแทนของมหาอำนาจอื่นๆล้วนแทบพูดไม่ออก เมื่อได้เห็นแผนที่ของไมโทโลจี้
แม้ว่าพวกเขาจะรู้มานานแล้วว่ามอนสเตอร์ Faux Saint ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ง่าย และแน่นอนว่ามันจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับทวีปด้านตะวันออกได้แน่นอน แต่พวกเขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าความเร็วในการพัฒนาของมอนสเตอร์ Faux Saint จะรวดเร็วขนาดนี้
“ทุกคนไม่ต้องสงสัยในความถูกต้องของแผนที่นี้เลย เพราะมันเกิดขึ้นมาได้จากการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับซุเปอร์กิลหลายๆกิล ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็พึ่งถูกรวบรวมเสร็จมาได้แค่หนึ่งวันเท่านั้น” โคลท์ชาโด้วกล่าว “ฉันรู้ว่าพวกคุณหลายคนคิดว่าสิ่งนี้มันน่าเหลือเชื่อ แต่มันเป็นความจริง นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฉันเชิญทุกคนมาเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้”
รองหัวหน้ากิลของซุเปอร์กิล สี่กิลพยักหน้ารับ เป็นเชิงยอมรับว่ากิลของพวกเขาแลกเปลี่ยนข้อมูลกับไมโทโลจี้จริงๆ
“หนึ่งวัน ? นั่นไม่ได้หมายความว่าตอนนี้อาณาเขตของมอนสเตอร์ Faux Saint จะยิ่งใหญ่ขึ้นไปกว่านี้งั้นหรอ ?” ดรูอิดหญิง เลเวลหนึ่งร้อยสิบหกที่มาจากโลกเทพแห่งจันทรา และสังกัดกิล Dark Pursuit เอ่ยถาม
“ถูกต้อง ด้วยความเร็วในการพัฒนาของพวกมัน พวกมันน่าจะเข้าประชิดชายแดนของประเทศเหล่านี้ไปเรียบร้อยแล้ว” โคลท์ชาโด้วกล่าวตอบพลางพยักหน้า “ฉันกลัวว่าอีกไม่นานอาณาเขตของพวกมันจะแผ่ขยายไปจนกลืนกินครึ่งหนึ่งของทวีปด้านตะวันออกทั้งหมด และในเวลานั้นทุกคนในปัจจุบันจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการต้องปะทะและติดต่อกับมอนสเตอร์ Faux Saint เหล่านี้ได้”
ตัวแทนที่มีท่าทีค่อนข้างผ่อนคลายก่อนหน้านี้อดไม่ได้ที่จะมีความกังวลใจเพิ่มขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดของโคลท์ชาโด้ว แต่เดิมพวกเขามาที่การประชุมนี้เพียงเพื่อจะดูว่ามีประโยชน์อะไรหรือไม่ เพราะท้ายที่สุดพวกเขาทุกคนเชื่อว่าการประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายที่สภาสิบแปดปีก และในความเห็ของพวกเขาการสร้างพันธมิตรเพื่อต่อต้าน มอนสเตอร์ Faux Saint นั้นเป็นเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น
“รองหัวหน้ากิลชาโด้ว เนื่องจากคุณรวบรวมพวกเรามาที่นี่ นั่นหมายความว่าคุณมีแผนที่จะป้องกันไม่ให้สถานการณ์ที่เลวร้ายเกิดขึ้นใช่ไหม ?” ผู้อาวุโสในชุดขาว
จากดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยนถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
การหายตัวไปอย่างกระทันหันของสุดยอดปรมาจารย์พาวิลเลี่ยน และปรมาจารย์พาวิลเลี่ยนทั้งสองได้สร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้กับดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยน แถมตอนนี้ยังมีการคุกคามของมอนสเตอร์ Faux Saint อีก ซึ่งนี่มันนับเป็นฝันร้ายสำหรับดราก้อนฟีนิกซ์พาวิลเลี่ยนเลย
เขาได้เห็นมาแล้วว่ามอนสเตอร์ Faux Saint ทำลายเมืองชายแดนของอาณาจักรสตาร์มูนได้อย่างไร และแม้ว่าจักรวรรดิมังกรดำจะแข็งแกร่งกว่าอาณาจักรสตาร์มูน แต่พวกมอนสเตอร์ Faux Saint นั้นก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆในแต่ละวัน และหลังจากที่พวกมันกลืนกินอาณาจักรสตาร์มูนได้ มันก็จะเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่พวกมันจะทำแบบเดียวกันกับจักรวรรดิมังกรดำได้
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสในชุดขาว ตัวแทนคนอื่นๆก็หันไปหาโคลท์ชาโด้วทันที พวกเขาทุกคนนั้นอยากรู้เหตุผลที่โคลท์ชาโด้วเชิญพวกเขาทั้งหมดมาในวันนี้
“แน่นอน ไม่งั้นฉันคงไม่เชิญทุกคนมา” โคลท์ชาโด้วกล่าวพลางพยักหน้า ก่อนที่เธอจะยิ้มและพูดขึ้นว่า “ฉันเชื่อว่าตอนนี้ทุกคนที่นี่ล้วนรู้ดีว่าพวกมอนสเตอร์ Faux Saint ทรงพลังมากขนาดไหน และมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะหยุดมอนสเตอร์เหล่านี้ไม่ให้แผ่อิทธิพล ดังนั้นก่อนการประชุมวันนี้ ฉันจึงได้ไปสร้างความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับหัวหน้ากิลของมือแห่งนักบุญ และกิลของเขาเรียบร้อยแล้ว”
“พันธมิตร ?”
ทุกคนต่างประหลาดใจกับคำพูดของโคลท์ชาโด้ว
กิลที่ถูกเรียกว่ามือแห่งนักบุญนั้น ไม่ได้เป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับผู้เล่นในปัจจุบันอีกต่อไป แถมพวกเขาก็ยังรู้อย่างชัดเจนว่า มือแห่งนักบุญนั้นมีเครื่องมือที่ช่วยป้องกัไม่ให้มอนสเตอร์ Faux Saint โจมตีผู้เล่น ในความเป็นจริงกิลๆนี้ยังมีเครื่องมือที่สามารถป้องกันมอนสเตอร์ Faux Saint จากการโจมตีเมืองกิลได้ด้วย อย่างไรก็ตามจนถึงตอนนี้นั้น มือแห่งนักบุญไม่เคยแสดงความเต็มใจที่จะเป็นพันธมิตรกับมหาอำนาจอื่นๆเลย และสิ่งที่พวกเขาเต็มใจจะทำมากที่สุดก็มีเพียงแค่ การขายเครื่องมือเหล่านี้ให้กับผู้ที่ต้องการมันในราคาที่สูงมากๆ
“เงื่อนไขของการเป็นพันธมิตรนั้นก็ง่ายมาก สิ่งที่เราต้องทำคือ ร่วมมือกันโจมตีและยึดเมืองป่าหินให้ได้ ในเวลานั้นไม่เพียงแต่มือแห่งนักบุญจะยอมขายเครื่องมือป้องกันมอนสเตอร์ Faux Saint ของพวกเขาให้เราในราคาที่สมเหตุสมผล แต่ทุกคนที่อยู่ที่นี่ในปัจจุบันยังจะได้รับส่วนแบ่งของเมืองป่าหิน และจำนวนห้องพักในโรงแรมอิสระด้วยเช่นกัน ….” โคลท์ชาโด้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อโคลท์ชาโด้วพูดจบ ดวงตาของมหาอำนาจหลายกลุ่มก็เปล่งประกาย
แม้ว่าโคลท์ชาโดวจะไม่ได้กล่าวถึงการเป็นพันธมิตรเพื่อเข้าโจมตีและยึดเมืองป่าหิน แต่พวกเขาก็มีแผนที่จะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว เพราะท้ายที่สุดเมืองป่าหินนั้นมันน่ามหัศจรรย์และน่าทึ่งเกินไป
สิ่งที่ทำให้เมืองป่าหินน่าทึ่ง มันไม่ใช่สถานที่ตั้งของมันที่อยู่ในแผนที่เป็นกลาง เลเวลหนึ่งร้อย แต่เป็นโรงแรมอิสระของเมือง
หลังจากที่ได้สัมผัสกับเอฟเฟคที่โรงแรมอิสระมอบให้ ผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆทุกคนล้วนอยากมีห้องเป็นของตัวเองที่นั่น ซึ่งด้วยวิธีนี้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะสามารถสะสมดับเบิ้ลบัฟ EXP ได้อย่างรวดเร็ว แต่พวกเขายังจะสามารถขับพลังสึกกร่อนจากสภาพแวดล้อมที่รุนแรงในแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยหรือมากกว่านั้นออกไปได้อย่างรวดเร็วด้วย ด้วยเหตุนี้เองการมีห้องเป็นของตัวเองที่นั่นจึงจะช่วยเพิ่มความเร็วในการเก็บเลเวลของเขาได้อย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นบางอย่างก็ขึ้นอยู่กับสภาพห้องพักในโรงแรมอิสระด้วย หากได้ห้องพักดีๆ ผู้เล่นจะสามารถฝึกในนั้นและได้รับผลลัพธ์ที่ไม่ธรรมดาได้
ณ จุดนี้ สาเหตุหลักที่เมืองป่าหินยังคงสามารถเฟื่องฟูต่อไปได้ในมือของสภาสิบแปดปีกนั่นก็เป็นเพราะ โรงแรมอิสระ ไม่งั้นเมืองนี้คงจะล่มสลายไปนานแล้ว เนื่องจากการคุกคามอย่างต่อเนื่องของสตาร์ลิ้งและมหาอำนาจต่างๆ
หากพวกเขาสามารถยึดเมืองป่าหินมาเป็นของตัวเองได้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะมีความมั่นใจมากขึ้นในการรับมือกับมอนสเตอร์ Faux Saint แต่พวกเขายังจะได้รับห้องพักในโรงแรมอิสระมาเป็นของตัวเองด้วย นี่มันเป็นการฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียวจริงๆ
“อย่างไรก็ตาม การจะเข้ายึดเมืองป่าหินให้ได้นั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกเหนือจากกองอัศวิน NPC แล้ว มันยังมีมหาอำนาจอีกจำนวนหนึ่งที่เป็นพันธมิตรกับสภาสิบแปดปีกด้วย และแม้ว่าเราที่นี่ทั้งหมดจะรวมตัวกัน แต่ฉันก็กลัวว่าการเข้ายึดเมืองป่าหินก็จะยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี”
“ถูกต้อง แถมเมืองป่าหินก็ยังมีเรือเหาะคอยลาดตระเวนอยู่รอบเมือง ถ้าต้องต่อสู้กันจริงๆ ฉันกลัวว่าจำนวนผู้เชี่ยวชาญขั้นสามที่เรามีอยู่จะไม่เพียงพอในการใช้ยึดเมืองป่าหิน การบุกที่ล้มเหลวของโลกแห่งความมืดได้พิสูจน์สิ่งนี้มาแล้ว”
“ยิ่งไปกว่านั้น ฉันได้ยินมาว่าแบล๊คเฟรมกลับมาแล้ว และความแข็งแกร่งส่วนตัวของเขาก็พัฒนาขึ้นไปจนถึงระดับที่น่ากลัวอีกขั้น ….”
แม้ว่าตัวแทนหลายคนในปัจจุบันจะแสดงความสนใจในแผนของโคลท์ชาโด้ว แต่ตัวแทนบางคนก็ส่ายหัว และแสดงความกังวลออกมา
ความจริงที่ว่ามหาอำนาจต่างๆต้องการเมืองป่าหินนั้นนับเป็นข่าวเก่า อย่างไรก็ตามเนื่องจากพวกเขาไม่สามารถจะจัดการกองอัศวินของสภาสิบแปดปีกได้ พวกเขาจึงเลือกจะโจมตีทางเศรษฐกิจแบบลับๆต่อเมืองแทนที่จะดำเนินการโดยตรง
แม้ว่าโคลท์ชาโด้วจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุย แต่ปมปัญหาเดิมมันก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง
“การกลับมาของแบล๊คเฟรมนั้นไม่ได้เป็นปัญหาใดๆเลย เพราะตอนนี้แบล๊คเฟรมก็มีปัญหาในการที่จะต้องปกป้องตัวเองแล้ว ฉันเชื่อว่าพวกคุณทุกคนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้น นอกเหนือจากเราแล้ว มหาอำนาจต่างๆส่วนใหญ่ของโลกแห่งความมืดก็จะเคลื่อนไหวเช่นกัน เพราะท้ายที่สุดความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อสภาสิบแปดปีกไม่เคยลดลงเลย พวกเขาขาดเพียงโอกาสจะลงมือทำเท่านั้น เมื่อเวลามาถึง ฝ่ายของโลกแห่งความมืดจะโจมตีประตูเทเลพอร์ตอย่างเต็มกำลังเพื่อล่อให้กองอัศวินของสภาสิบแปดปีกออกไปรับมือ ในขณะที่ฝ่ายเราก็จะเริ่มการโจมตีเมืองป่าหิน แม้ว่ากองอัศวินจะทรงพลัง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจะป้องกันสถานที่สองแห่งพร้อมกันได้แน่นอน” โคลท์ชาโด้วกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้นมือแห่งนักบุญจะมีส่วนร่วมในการโจมตีด้วย พวกเขาจะนำมอนสเตอร์ Faux Saint จำนวนหนึ่งมาช่วยเรา กองอัศวินของสภาสิบแปดปีกอาจทรงพลังมากเมื่อใช้ต่อสู้กับผู้เล่น แต่ประสิทธิภาพของพวกเขาจะลดลงแน่นอน เมื่อต้องต่อสู้กับมอนสเตอร์ Faux Saint”
เมื่อโคลท์ชาโด้วกล่าวถึงมอนสเตอร์ Faux Saint ตัวแทนหลายคนก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ
ในเวลานี้ ความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ Faux Saint ได้ฝังลึกลงไปในจิตใจของทุกคนแล้ว มอนสเตอร์เหล่านี้นั้นไม่ใช่ฝ่ายตรงข้ามที่ผู้เล่นจะสามารถจัดการได้ง่ายๆเลย และหากกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint โจมตี แม้แต่เมือง NPC ก็จะต้องล่มสลายลง นับประสาอะไรกับเมืองกิล
ยิ่งไปกว่านั้น มันได้มีมอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย Faux Saint Devourers เกิดขึ้นมาท่ามกลางมอนสเตอร์ Faux Saint แล้ว และเมื่อ Faux Saint Devourers เพิ่มจำนวนขึ้นจนถึงในระดับหนึ่งแล้ว การโจมตีและทำลายเมือง NPC ก็จะเป็นเรื่องง่ายเลย ไม่ต้องพูดถึงเมืองกิล
อย่างไรก็ตามทันใดนั้นตัวแทนหลายคนก็ได้รับข้อความบางอย่างมา ซึ่งเมื่อพวกเขาเปิดอ่านนั้น สถานที่ที่ตอนแรกเต็มไปด้วยความตื่นเต้นก็เงียบลงอย่างกระทันหัน
“เฟเธอร์ มันเกิดอะไรขึ้น ?”
เมื่อโคลท์ชาโด้วเห็นท่าทีของทุกคน เธอก็หันไปหาไวท์เฟเธอร์โดยอัตโนมัติเพื่อถามถึงข้อมูล เธอต้องการจะรู้ว่าอะไรกันที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง และเงียบลงไปทันทีแบบนี้
“พวกเขาแพ้ !! กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint และกองกำลังที่เข้าไปโจมตีเมืองปีกสีเงินแพ้ !!!” ไวท์เฟเธอร์อุทานออกมาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง และหวาดกลัว ขณะที่เธอมองไปยังโคลท์ชาโด้ว “ยิ่งไปกว่านั้น มันยังจัดเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าอนาถ มอนสเตอร์ Faux Saint ทุกตัว และสมาชิกของมือแห่งนักบุญที่ไปที่เมืองปีกสีเงินล้วนตายทั้งหมด !!!”
ตอนที่ 2675 การเปลี่ยนแปลงของเวลาในทวีปด้านตะวันออก
หลังจากไวท์เฟเธอร์พูดจบ บรรยากาศที่หนักหน่วงภายในห้องประชุมก็ยิ่งหนักขึ้น ครู่หนึ่ง มันรู้สึกราวกับว่าเวลาในห้องนั้นได้หยุดลง ขณะที่ทั้งห้องเงียบลงอย่างสุดจะพรรณนา
“พวกเขาแพ้ ? ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาทั้งหมดถูกฆ่า ? เป็นไปได้ยังไง ?!”
หลังจากที่โคลท์ชาโด้วหายตกตะลึง เธอก็รู้สึกว่าไวท์เฟเธอร์กำลังล้อเล่นกับเธอ ไม่งั้นมันก็จะต้องมีข้อผิดพลาดอย่างใดอย่างหนึ่งในข้อมูลที่รายงานมาแน่นอน
กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint และมือแห่งนักบุญล้มเหลวในการเข้าทำลายเมืองปีกสีเงิน มันก็จัดว่าเป็นข่าวที่ไม่น่าเชื่อมากแล้ว
อย่างไรก็ตามตอนนี้เธอกับได้รับแจ้งมาว่าไม่เพียงแต่กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint และมือแห่งนักบุญจะประสบกับความพ่ายแพ้ แต่สภาสิบแปดปีกยังสามารถทำลายล้างพวกเขาได้ทั้งหมดด้วย เธอนั้นจะเชื่อมากกว่านี้ด้วยซ้ำ หากเป็นข่าวที่สภาสิบแปดปีกทำลายมหาอำนาจกลุ่มหนึ่งในทันที แต่กับเรื่องนี้มันดูไร้สาระมาก ….
เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันมีกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint มากกว่าสี่ล้านตัวที่เดินทางไปโจมตีเมืองปีกสีเงิน ยิ่งไปกว่านั้นมอนสเตอร์ที่อ่อนแอที่สุดในกองทัพก็ยังเป็นลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่อย่าง Faux Saint Saboteurs ซึ่งแม้แต่ทีมหกคนของผู้เชี่ยวชาญขั้นสามก็ยังต้องใช้เวลาประมาณสิบนาทีเพื่อฆ่าพวกมันสักตัว
แม้ว่ามอนสเตอร์ Faux Saint ทั้งหมดจะหยุดนิ่ง และปล่อยให้ผู้เล่นของเมืองปีกสีเงินระดมโจมตีพวกมันได้อย่างอิสระ แต่มันก็ยังคงจะต้องใช้เวลานานมากกว่าที่ผู้เล่นจะทำลายล้างกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ลงได้ทั้งหมด
ในขณะเดียวกัน เวลามันก็ผ่านมาอย่างมากที่สุดสองชั่วโมงเท่านั้น นับตั้งแต่ที่กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint เข้าประชิดเมืองปีกสีเงิน แล้วสภาสิบแปดปีกจะทำลายล้างกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ลงในระยะเวลาอันสั้นแค่นี้ได้ยังไง ?
นอกเหนือจากมอนสเตอร์ Faux Saint ที่เป็นลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่แล้ว ในกองทัพยังประกอบไปด้วย Faux Saint Destroyers ซึ่งเป็นมอนสเตอร์ระดับแกรนลอร์ดมากกว่าหนึ่งแสนตัวที่จะหนีจากการต่อสู้ทันที เมื่อ HP ของพวกมันลดลงจนถึงระดับหนึ่ง และด้วยจำนวนของ Faux Saint Destroyers ที่กระจายตัวกันหลบหนี ผู้เล่นในเมืองปีกสีเงินก็ไม่ควรจะสามารถตามล่าและฆ่าได้ครบทุกตัว แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนมากกว่านี้อีกสิบเท่าก็ตาม
อย่างไรก็ตามไวท์เฟเธอร์ และตัวแทนต่างๆในปัจจุบันต่างก็เผยรอยยิ้มอันขมขื่นที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยตัวเองออกมา เมื่อได้ยินคำถามของโคลท์ชาโด้ว
พวกเขาทุกคนล้วนปราถนาอย่างยิ่งว่าข้อมูลที่ลูกน้องของพวกเขาจะส่งมาจะผิด หรือเป็นเท็จ อย่างไรก็ตามรายงานที่พวกเขาได้รับนั้นไม่ได้มีเพียงแต่คำพูดเท่านั้น แต่มันยังมีรูปภาพและวีดีโอประกอบมาอีกมากมายด้วย ในความเป็นจริงรายงานนี้มันละเอียดมากจนพวกเขาอดสงสัยไม่ได้เลยว่าพวกเขากำลังฝันอยู่
โดยปกติในข้อความที่ถูกส่งต่อมาอย่างเร่งด่วน ลูกน้องของพวกเขาจะส่งข้อความพร้อมกับข้อมูลมาเพียงไม่กี่ย่อหน้าเท่านั้น อย่างไรก็ตามตอนนี้ลูกน้องของพวกเขากับทำตัวเหมือนกับเด็กหนุ่มที่ขยันขันแข็งที่พึ่งเริ่มงานใหม่ๆ และแค่วีดีโอที่ส่งมามันก็มีจำนวนมากกว่าหนึ่งโหลแล้ว และมันมีแม้แต่ข้อความบรรยายประกอบใต้วีดีโอแต่ละวีดีโอด้วย ซึ่งมันราวกับว่าลูกน้องของพวกเขากลัวว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถึงทำมาละเอียดแบบนี้
ในการจะตอบคำถามของโคลท์ชาโด้ว ไวท์เฟเธอร์ไม่ได้เลือกที่จะเสียเวลาอธิบายโดยเปล่าประโยชน์ เธอได้เลือกจะส่งข้อมูลทั้งหมดที่ลูกน้องของเธอส่งมาให้โคลท์ชาโด้วดูทันที
เมื่อโคลท์ชาโด้วดูทั้งหมดเรียบร้อย เธอก็เงียบลงและเต็มไปด้วยความตกตะลึง ปฎิกิริยาของเธอนั้นไม่ได้แตกต่างจากไวท์เฟเธอร์และคนอื่นๆมากนักเลย
วงเวทย์ป้องกันของเมืองที่มีพลังป้องกันน่ากลัวมากๆ !!!
องครักษ์ส่วนตัวมากกว่าสามร้อยคนที่สามารถเอาชนะมอนสเตอร์ Faux Saint ได้ !!!
ผู้พิทักษ์เมืองที่เป็น NPC ขั้นสี่สามารถทำให้ Faux Saint Devourers ทั้งแปดตัวบาดเจ็บสาหัสได้ในการโจมตีเดียว !!!
องครักษ์ส่วนตัว ขั้นสี่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญมากกว่าพันคนเคลื่อนไหวไม่ได้ และฆ่าพวกเขาในทันที !!!
ข้อมูลแต่ละชิ้นนั้นมันดูเกินจริง และแทบไม่น่าเชื่อเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะโคลท์ชาโด้วมั่นใจว่ามือแห่งนักบุญมีเป้าหมายที่จะทำลายล้างสภาสิบแปดปีก และรู้ว่ากองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint นั้นเดินทัพไปเพื่อโจมตีเมืองปีกสีเงินจริงๆ เธอคงจะคิดว่ามือแห่งนักบุญนั้นร่วมมือกับสภาสิบแปดปีกเพื่อเล่นตลกกับเธอ
….
ในขณะเดียวกันนอกเหนือจากมหาอำนาจต่างๆที่เข้าร่วมในการพูดคุย และหารือเป็นพันธมิตรกับไมโทโลจี้แล้ว มหาอำนาจต่างๆทั่วทั้งทวีปด้านตะวันออกก็ตกอยู่ในความโกลาหลเช่นกัน
“นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของสภาสิบแปดปีกงั้นหรอ ?!”
“มหัศจรรย์มาก !!! ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมแบล๊คเฟรมถึงไม่สนใจภัยคุกคามจากเธ้าซั่นอาย และเลือกจะฆ่าเขาทันทีไม่ว่าเขาจะขู่อะไร ด้วยความแข็งแกร่งเช่นนี้ ใครจะสามารถทำลายเมืองปีกสีเงินได้กัน ?”
“องครักษ์ส่วนตัวขั้นสี่ ? ดูเหมือนว่าเวลาจะเปลี่ยนไปอีกแล้วในทวีปด้านตะวันออก”
….
มหาอำนาจต่างๆของ God domain ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ากองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint จะล้มเหลวในการทำลายเมืองปีกสีเงิน และประสบความพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถแบบนี้ อย่างไรก็ตามแทนที่จะตกตะลึงที่สุดกับความพ่ายแพ้ของกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint สิ่งที่สร้างความตกตะลึงมากที่สุดให้กับมหาอำนาจต่างๆก็คือ ความแข็งแกร่งของ NPC ขั้นสี่ ที่ผ่านมาพวกเขาตัดสินความแข็งแกร่งของ NPC ขั้นสี่ผิดไปมาก
ก่อนหน้านี้แม้ว่าพวกเขาจะหวาดกลัว NPC ขั้นสี่ แต่มันก็อยู่แค่ในระดับเดียวกันกับความหวาดกลัวต่อมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายที่แข็งแกร่งเท่านั้น
อย่างไรก็ตามปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญขั้นสามใน God domain กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจำนวนของสกิลกับเวทย์มนต์ที่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามได้เรียนรู้ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน แถมจำนวนผู้เชี่ยวชาญขั้นสามที่สามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นผู้เล่นระดับผู้เชี่ยวชาญที่มีพลังเข้าใกล้กับมาตราฐานขั้นสี่จึงไม่ได้หายากเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ในความเป็นจริง การฆ่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยเริ่มจะกลายเป็นเรื่องปกติใน God domain แล้ว
ดังนั้นมันจึงไม่มีใครรู้สึกหวาดกลัวต่อ NPC ขั้นสี่มากเท่าเดิมอีกต่อไป และพวกเขาก็คิดว่า NPC ขั้นสี่ไม่ได้มีอะไรพิเศษอีกต่อไป และโดยส่วนใหญ่แล้ว NPC ขั้นสี่ก็น่าจะแข็งแกร่งกว่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งพวกเขาก็น่าจะมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้ขนาดเล็กได้ แต่ไม่น่าส่งผลกระทบมากมายในสงครามขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ดูการแสดงของเคร็ก มิดแลนด์ และแวร์ซายแล้ว มหาอำนาจต่างๆก็ตระหนักได้อย่างชัดเจนเลยว่าพวกเขาเข้าใจผิดไปอย่างมาก
นับประสาอะไรกับความสามารถในการเปลี่ยนแปลงภาพรวมของสงครามขนาดใหญ่ มันต้องพูดว่าทุกอย่างที่อยู่ต่ำกว่าขั้นสี่นั้นจะไม่ต่างจากมดปลวกเลยต่อหน้า NPC ขั้นสี่ เพราะพวกเขาแทบจะสามารถทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าได้ด้วยตัวเอง
ก่อนหน้านี้มหาอำนาจต่างๆในทวีปด้านตะวันออกต่างรู้สึกดีใจมากที่พวกเขาเริ่มมีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามมากกว่าสภาสิบแปดปีก ในความเป็นจริงจำนวนผู้เชี่ยวชาญขั้นสามที่พวกเขามีนั้นเพิ่มมากขึ้นจนองครักษ์ส่วนตัวขั้นสามส่วนใหญ่ก็ยังหยุดพวกเขาไม่ได้ นี่เป็นสาเหตุที่มหาอำนาจต่างๆเริ่มวางแผนโจมตีเมืองป่าหินอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามหลังจากได้เห็นการแสดงของเคร็ก มิดแลนด์ และแวร์ซายแล้ว มหาอำนาจต่างๆก็ตระหนักว่าความคิดของพวกเขานั้นมันน่าหัวเราะ
เหล่าผู้บัญชาการ และพวกผู้บริหารระดับสูงของสภาสิบแปดปีกหายตัวไป ? สภาสิบแปดปีกไม่แข็งแกร่งเหมือนเดิมอีกต่อไป ? สภาสิบแปดปีกเพียงแค่อาศัยบารมีเก่าเพื่อความอยู่รอด ? มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่มหาอำนาจต่างๆจะกลืนกินสภาสิบแปดปีกจนหมดสิ้น ? มันช่างเป็นเรื่องไร้สาระ ทุกข้อสันนิษฐานล้วนผิดไปไกล
….
ในขณะเดียวกันภายในโลกแห่งความมืด ความปั่นป่วนก็แผ่ขยายไปทั่วเช่นกัน เนื่องจากความพ่ายแพ้ของกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint
“มหัศจรรย์มากๆ !!! หลังจากเจอกับเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่แบบนี้ มหาอำนาจในโลกแห่งความมืดที่แอบดำเนินการอย่างลับๆจะต้องคิดใหม่หลายครั้ง หากจะทำอะไร !!!” บลูเรนโบว์กำหมัดของเธอด้วยความตื่นเต้น เมื่อเธอได้อ่านรายงานของลูกน้องของเธอ
ก่อนหน้านี้แม้ว่าดาร์ครัปโซดี้จะสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากความร่วมมือกับสภาสิบแปดปีก แต่แรงกดดันที่มหาอำนาจต่างๆกระทำต่อดาร์ครัปโซดี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน เป็นผลให้การป้องกันประตูเทเลพอร์ตฝั่งโลกแห่งความมืดนั้นยากขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อให้เรื่องแย่ลง เวิร์ลโดมิเนชั่นได้เพิ่มขอบเขตการปฎิบัติการอย่างกว้างขวางขึ้นมาอีกครั้ง แถมพวกเขายังใช้วิธีที่ไม่มีใครรู้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับสมาชิกของตัวเองอย่างรวดเร็ว แถมเวิร์ลโดมิเนชั่นยังแอบเป็นพันธมิตรลับๆกับมหาอำนาจหลายกลุ่มในโลกแห่งความมืดเพื่อทำการซุ่มโจมตีดาร์ครัปโซดี้อย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งมันสร้างความเสียหายให้กับดาร์ครัปโซดี้อย่างมาก ด้วยเหตุนี้ไม่เพียงแต่อิทธิพลของดาร์ครัปโซดี้ในโลกแห่งความมืดจะไม่เพิ่มขึ้น แต่มันยังลดลงมากในแต่ละวัน
เมื่อเร็วๆนี้ข่าวลือต่างๆเกี่ยวกับการล่มสลายของสภาสิบแปดปีกในที่สุดก็ส่งผลกระทบต่อความคิดเห็นส่วนหนึ่งของพวกระดับสูงของดาร์ครัปโซดี้ และมันก็ทำให้กิลเริ่มแตกแยกกัน เพราะคนบางกลุ่มเริ่มคิดว่าการที่ดาร์ครัปโซดี้เป็นพันธมิตรกับสภาสิบแปดปีกมันไม่คุ้มค่าอีกต่อไป และให้กิลหันกลับมายืนข้างเวิร์ลโดมิเนชั่นแทน
อย่างไรก็ตามด้วยการปรากฎตัวของ NPC ขั้นสี่สองคนของสภาสิบแปดปีก ตอนนี้ใครกันจะกล้าต่อต้านการเป็นพันธมิตรกันของสภาสิบแปดปีกกับดาร์ครัปโซดี้ …
….
ในช่วงเวลาที่พันธมิตรต่างๆของสภาสิบแปดปีกกำลังชื่นชมยินดี สงครามที่เมืองปีกสีเงินก็ได้มาถึงช่วงสุดท้ายเช่นกัน หลังจากทำลายล้างกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint เรียบร้อย สมาชิกสภาสิบแปดปีกหลายพันคนก็กำลังช่วยเช็คและนับผลงานของผู้เล่นอิสระหลายคนที่มีส่วนร่วมในสงคราม
แม้ว่ามอนสเตอร์ Faux Saint จะไม่ได้ดรอปไอเทมใดๆ แต่พวกมันก็มอบ EXP ให้กับผู้เล่นจำนวนมากซึ่งมากกว่ามอนสเตอร์ในเลเวลและขั้นเดียวกันสามหรือสี่เท่า นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผู้เล่นหลายคนยังคงเลือกจะปฎิบัติการในดินแดนของมอนสเตอร์ Faux Saint แทนที่จะมุ่งหน้าไปที่สถานที่ที่ปลอดภัยกว่า
การปฎิบัติการภายในอาณาเขตของมอนสเตอร์ Faux Saint อาจจะเป็นอันตรายมาก แต่ด้วยค่า EXP ที่มอนสเตอร์พวกนี้มอบให้ ความเร็วในการเก็บเลเวลของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นจากการล่าในแผนที่ปกติสองถึงสามเท่า
หลังจากที่เมืองปีกสีเงินทำลายล้างกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ได้สำเร็จ โดยที่ไม่มีใครตาย EXP ที่ทุกคนได้รับก็พุ่งทะลุเพดานมากๆ สมาชิกสภาสิบแปดปีกที่เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้มีเลเวลเพิ่มขึ้นกันคนละอย่างน้อยหนึ่งเลเวล ขณะที่สมาชิกที่มีเลเวลต่ำบางส่วนได้รับสองถึงสามเลเวลด้วยจากสงครามครั้งนี้ ความเร็วในการเก็บเลเวลของทุกคนนั้นมันเร็วจนน่ากลัวมากๆ
ในขณะเดียวกันชัยชนะของเมืองปีกสีเงินก็ได้ชักนำให้ผู้เล่นและทีมนักผจญภัยที่ปฎิบัติงานในเมืองกิลอื่นๆที่ถูกก่อตั้งขึ้นในจักรวรรดิออร์คล้วนเดินทางมายังเมืองปีกสีเงิน โดยที่ทุกคนล้วนต้องการจะมาพัฒนาที่เมืองนี้ ในความเป็นจริง มันมีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามหลายคนที่ต้องการจะเข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีกด้วยเช่นกัน สถานการณ์นี้ทำให้เมลานโครอิคสไมล์และยู่หลานมีความสุขมากๆ
ปัจจุบันสิ่งที่สภาสิบแปดปีกขาดมากที่สุดก็คือ ผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม เนื่องจากสภาสิบแปดปีกยังคงไม่มีสมาชิกกองกำลังหลัก และความจริงที่ว่าดันเจี้ยนเลเวลหนึ่งร้อยหรือมากกว่าส่วนใหญ่มีข้อกำหนดขั้นต่ำอยู่ที่ขั้นสาม สภาสิบแปดปีกจึงมีช่วงเวลาที่ยากลำบากมากๆในการจะรวบรวมวัสดุ อาวุธ และอุปกรณ์ ที่จำเป็นต่อกิลของพวกเขา
ในขณะที่ผู้เล่นของเมืองปีกสีเงินกำลังเฉลิมฉลองกับชัยชนะของพวกเขา ซือเฟิงก็เดินทางกลับไปที่สถานที่พักกิลสภาสิบแปดปีก เขาวางแผนที่จะล๊อคเอ้าท์ออกจากเกม และไปพักผ่อนบ้าง
ก่อนหน้านี้เนื่องจากเขาได้ฆ่า Faux Saint Devourers ไปอีกแปดตัว เขาจึงได้รับตราประทับวิญญาณมาอีกแปดดวง แม้ว่าตราประทับวิญญาณเหล่านี้จะไม่มีวงเวทย์วิญญาณเหมือนกับตราดวงก่อน แต่มันก็ทำให้สมองของเขาสดชื่น และกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมพิเศษ นี่ไม่ใช่เรื่องปกติของเขาอย่างแน่นอน เพราะได้ออนไลน์อยู่ในเกมติดกันมามากกว่าสิบวันแล้ว เขาจำเป็นจะต้องออกจากเกมไปเพื่อพักผ่อนและตรวจสอบร่างกาย
ในขณะที่รอให้กระบวนการล๊อคเอ้าท์สามสิบวินาทีเสร็จสมบูรณ์ ยู่หลานก็ได้โทรเข้ามาหาซือเฟิง
“หัวหน้ากิล ฟางฉีหานจากไมโทโลจี้ได้มาที่สำนักงานใหญ่หลักของเราอย่างกระทันหัน และคนของเราไม่สามารถห้ามเธอกับผู้ติดตามของเธอไม่ให้เข้ามาในอาคารได้เลย ขณะนี้พวกเขาอยู่ที่ล๊อบบี้หลัก และเธอบอกว่าเธอต้องการคุยกับคุณ เธอบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับอนาคตของสภาสิบแปดปีก คุณต้องการพบกับเธอไหม ?” ยู่หลานถามอย่างกังวล
“หื้ม ?” ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับคำพูดของยู่หลาน เขายิ้มและกล่าวต่อว่า “นี่น่าสนใจ ให้ใครสักคนพาพวกเขาไปที่ห้องรับรองชั้นบนสุด ฉันจะรีบตรงไปที่นั่นทันที”
ตอนที่ 2676 ศักยภาพสูงขึ้น
สำนักงานใหญ่หลักสภาสิบแปดปีก ห้องของซือเฟิง :
พร้อมกับการลอยตัวของอากาศที่เจอกับแรงดันสูง ฝาที่ปิดอยู่อย่างหนาแน่นของห้องเกมเคบินของซือเฟิงก็เปิดขึ้น ในขณะเดียวกันแถบไฟเตือนที่ขอบห้องเกมเคบินก็สว่างเป็นสีแดงเข้ม
“แน่นอนเลย ….”
เมื่อซือเฟิงออกมาจากห้องเกมเคบิน และเห็นอินเตอร์เฟซของห้องเกมเคบินแสดงคำเตือนทุกประเภทที่มี เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
แม้ว่าเขาจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าการทำงานของสมองที่ผิดปกตินั้นมาพร้อมกับพลังที่ไม่ธรรมดา แต่เขาก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่าอัตราการบริโภคจะเพิ่มขึ้นถึงระดับนี้ ก่อนที่สงครามกับกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint จะเริ่มขึ้น สารอาหารเหลวในห้องเกมเคบิน และสารอาหารสำรองยังคงเหลือที่ราวสามสิบเปอเซ็นต์ อย่างไรก็ตามตอนนี้ปริมาณสารอาหารเหลวพวกนี้แห้งไปแล้ว
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุฉุกเฉิน ซือเฟิงได้ออกแบบห้องเกมเคบินของเขามาโดยเฉพาะด้วยการปรับแต่งพิเศษ ซึ่งมันแตกต่างจากห้องเกมเคบินมาตราฐานปกติ ห้องเกมเคบินของเขามีการเพิ่มช่องสารอาหารเหลวมาอีกยี่สิบขวด ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสารอาหารเหลวระดับ A และระบบนี้จะถูกนำมาใช้ก็ต่อเมื่อสารอาหารเหลวตามปกติไม่สามารถให้พลังงานได้อย่างรวดเร็วเพียงพอ
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าทุกอย่างมันจะหมดลงแบบแห้งสนิทอย่างนี้ ….
ซือเฟิงไม่ได้คิดเรื่องนี้นานนัก เขาไม่รอช้าและรีบเดินไปยังตู้เย็นที่อยู่ใกล้ๆ และนำโพชั่นแห่งชีวิตที่เก็บไว้ในกรณีฉุกเฉินออกมาดื่มทันที
ในระหว่างการต่อสู้ที่เมืองปีกสีเงิน เขาได้อาศัยแวร์ซายเพื่อฆ่า Faux Saint Devourers ทั้งแปดตัว และเมื่อตราประทับวิญญาณของ Faux Saint Devourers เข้าสู่ตัวเขา จิตใจของเขาก็เข้าสู่สภาวะที่เหนือขึ้นไปอีก ครู่หนึ่งเขารู้สึกมีอำนาจทุกอย่าง ราวกับว่ากระบวนการคิดของเขาเปลี่ยนไปเป็นโอเวอร์ไดรฟ์
หากผู้เล่นคนอื่นเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะถือว่าเป็นจังหวะแห่งโชคอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามซือเฟิงซึ่งมีประสบการณ์ในการเล่นเกม God domain มานานกว่าทศวรรษนั้นเข้าใจถึงเงื่อนไขเบื้องต้นในการเพลิดเพลินไปกับโอกาสโดยบังเอิญอย่างชัดเจน ซึ่งนั่นก็คือมันต้องมีสารอาหารเหลว และพลังงานที่เพียงพอที่จะให้กับร่างกาย ซึ่งหากทุกอย่างไม่เป็นไปตามเงื่อนไขนี้ เขาก็มีโอกาสจะตายได้เลย
หลังจากดื่มโพชั่นแห่งชีวิตเข้าไป อาการแสบร้อนเล็กน้อยและความเจ็บปวดในสมองของเขาก็เริ่มบรรเทาลง อย่างไรก็ตามในตอนนี้อัตราการฟื้นตัวของเขาก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
เห็นได้ชัดว่าโพชั่นแห่งชีวิตเพียงขวดเดียวจะไม่สามารถช่วยฟื้นฟูให้เขาได้ทั้งหมด โพชั่นแห่งชีวิตขวดเดียวนั้นแก้ไขได้แค่อันตรายที่จะเกิดกับร่างของเขาตอนนี้เท่านั้น และแม้ว่าตอนนี้เขาจะดูดี แต่ในความเป็นจริงทั้งร่างกาย และจิตใจของเขายังหิวโหยมากๆ
แน่นอนเลยว่าการมีสารอาหารเหลวระดับ S และโพชั่นแห่งชีวิตไม่เพียงพอนั้นมันมีปัญหาอย่างมาก ซือเฟิงถูขมับเขาด้วยความหงุดหงิด
แม้ว่าเขาจะแก้ไขปัญหาในปัจจุบันของเขาได้แล้ว แต่หากเขายังพัฒนาต่อไปในอัตรานี้ ภาระที่ร่างกายของเขาต้องแบกรับก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเพื่อรับมือกับภาระนี้ เขาจำเป็นจะต้องมีสารอาหารเหลวระดับ S และโพชั่นแห่งชีวิตมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ สมาชิกของสภาสิบแปดปีกหลายคนจึงล้วนต้องการความช่วยเหลือจากสารอาหารเหลวระดับ S หรือแม้กระทั่งโพชั่นแห่งชีวิตเพื่อฟื้นฟูเช่นกัน หากสภาสิบแปดปีกไม่สามารถรับเอาโพชั่นและสารอาหารเหลวระดับนี้มาได้มากเพียงพอ กิลก็จะถูกจำกัดความเร็วในการพัฒนามากๆ และศักยภาพในการเติบโตของพวกเขาก็จะลดลง
สำหรับสภาสิบแปดปีกในปัจจุบัน เครดิตไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เพราะท้ายที่สุดสภาสิบแปดปีกมีการร่วมมือกันกับมหาอำนาจหลายกลุ่มแล้ว กิลสามารถแลกเปลี่ยนเหรียญหรือทรัพยากรอื่นๆในเกมเป็นเครดิตกับมหาอำนาจเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้สภาสิบแปดปีกไม่ประสบปัญหาทางการเงินเลยในตอนนี้
อย่างไรก็ตามสารอาหารเหลวระดับ S และโพชั่นแห่งชีวิตนั้นเป็นคนละเรื่องกัน เท่าที่ซือเฟิงรู้มันมีสารอาหารเหลวระดับ S จำนวนจำกัดมากที่โผล่ออกมาขายในแต่ละปี และบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งก็ได้ผูกขาดสารอาหารเหลวระดับ S เหล่านี้ไปมากกว่าแปดสิบเปอเซ็นต์แล้ว ซึ่งมันมีจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่หลุดออกมาขายให้กับประชาชน นี่คือสาเหตุที่สารอาหารเหลวระดับ S ถูกขายในราคาที่แพงอย่างมาก และหาได้ยากอย่างไม่น่าเชื่อ
อย่างไรก็ตามซือเฟิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับสถานการณ์นี้เท่าไหร่นัก เพราะท้ายที่สุดแล้ว สารอาหารเหลวระดับ S ไม่ได้มีเพียงแค่ความสามารถในการฟื้นฟูพลัง มันยังสามารถช่วยรักษาความเยาว์วัยให้กับคนๆหนึ่งได้ในระดับหนึ่งด้วย ซึ่งความเยาว์วัยมันก็นับว่ามีค่ามากๆ
สำหรับโพชั่นแห่งชีวิตที่เป็นสินค้าใหม่ของบริษัทกรีนก๊อดที่พึ่งถูกสร้างขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ไม่เพียงแต่มันจะมีคุณค่าทางสารอาหารสูงกว่าสารอาหารเหลวระดับ S มาก แต่มันยังหายากมากกว่าด้วย และความจริงที่ว่าซือเฟิงได้รับพวกมันมาจำนวนหนึ่งก่อนหน้านี้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว
ในช่วงเวลาที่ซือเฟิงกำลังปวดหัวกับทั้งสองเรื่องนี้ เสียงเคาะประตูห้องของเขาก็ดังขึ้น
“ผู้ฝึกสอนซือ พวกเขาอยู่ที่ห้องรับรองชั้นบนสุดแล้ว ….” เหลียงจิงพูดผ่านประตู
“โอเค ฉันจะรีบไปทันที ….” ซือเฟิงตอบ หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว เขาก็ออกไปพบกับเหลียงจิง และมุ่งหน้าไปที่ห้องรับรองชั้นบนสุดของอาคารทันที
….
ห้องรับรองชั้นบนสุด :
ปัจจุบันชายหนึ่งคน และหญิงสาวสองคนกำลังรออยู่ในห้องรับรองที่หรูหราที่มองเห็นเมืองเฟิงหลินมากกว่าครึ่งหนึ่ง ในขณะเดียวกันผู้นำของกลุ่มนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโคลท์ชาโด้ว รองหัวหน้ากิลของไมโทโลจี้ ในขณะเดียวกันเธอก็เป็นหนึ่งในรุ่นเยาว์ที่มีความสามารถที่สุดของตระกูลฟาง ที่มีชื่อจริงว่าฟางฉีหาน
อย่างไรก็ตามในขณะนี้ฟางฉีหานไม่ได้มาที่นี่ในฐานะตัวแทนของตระกูลฟาง เนื่องจากชายและหญิงที่ยืนอยู่ข้างๆเธอสองข้างนั้นไม่ใช่สมาชิกของตระกูลฟาง แม้ว่าจะไม่มีใครสามารถบอกได้ผ่านรูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆฟางฉีหานนั้นก็คือการ์เดี้ยนไนท์หญิง ไวท์เฟเธอร์
แม้ว่ารูปลักษณ์ของไวท์เฟเธอร์ในโลกจริงจะแตกต่างจากรูปลักษณ์ของเธอใน God domain ค่อนข้างมาก แต่ออร่าของเธอนั้นเหมือนกันทุกประการ และพูดกันตรงๆในโลกภายนอก ไวท์เฟเธอร์นั้นนั้นค่อนข้างจะมีความแข็งแกร่งในโลกจริงมากกว่าใน God domain ด้วยซ้ำ แม้ว่าออร่าของเธอจะยังไม่ถึงระดับสุดยอดปรมาจารย์ แต่มันก็ใกล้เคียงแล้ว ….
สำหรับผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆฟางฉีหาน มันก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแม๊ต ซึ่งเคยมาที่ศูนย์ฝึกฮีฟเว่นรัมเบิ้ลพร้อมกับฟางฉีหานมาก่อนแล้ว และดูจากออร่าของเขา เขาก็แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมาก
เมื่อซือเฟิงเข้ามาในห้อง สายตาของทั้งสามคนก็หันมาสบกับเขาทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟางฉีหานที่มองไปที่ซือเฟิงราวกับกำลังประเมินสินค้ามากกว่าคน
“มิสฟางไม่ได้เจอกันนานเลย บอกฉันหน่อยได้ไหมว่าคุณมีธุระอะไร ? ถึงมาตามหาฉันอย่างเร่งด่วนแบบนี้ ….” ซือเฟิงถามตรงเข้าประเด็น
ก่อนหน้านี้หลังจากที่เขาแสดงความแข็งแกร่งในฐานะสุดยอดปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ และปราบปรามแม๊ต รวมทั้งตระกูลฟางแล้ว ไมโทโลจี้ก็ดูเหมือนจะละทิ้งความคิดในการปะทะกับสภาสิบแปดปีกในโลกแห่งความจริงไประยะหนึ่ง อย่าไรก็ตามเขาก็เข้าใจดีว่าช่วงเวลาแห่งความสงบสุขนี้หมายความว่าศัตรูของเขากำลังเตรียมการอย่างลับๆเพื่อโจมตีครั้งต่อไปอยู่
เพราะท้ายที่สุดแม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญอย่างแม๊ตก็ยังเป็นได้แค่เพียงศิษย์ชั้นยอดของไมโทโลจี้เท่านั้น เขายังไม่ใช่พวกระดับสูงของกิลเลย ไม่งั้นแมตซ์ก็คงจะไม่ฟังคำสั่งของฟางฉีหานอย่างเชื่อฟัง
“ผู้ฝึกสอนซือ …. ไม่สิ ฉันคิดว่าฉันควรจะเรียกคุณว่าหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมมากกว่าถูกไหม ?” ฟางฉีหานกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ ขณะที่จ้องมองไปยังซือเฟิง
ตอนที่ 2677 เปิดเผยอัตลักษณ์
เมื่อฟางฉีหานพูดจบ ความเงียบก็เข้าปกคลุมไปทั่วห้อง
“แบล๊คเฟรม ?”
“เขาคือแบล๊คเฟรมงั้นหรอ ?”
แม๊ตและไวท์เฟเธอร์ที่ยืนอยู่ด้านข้างของฟางฉีหานอ้าปากค้าง และมองไปยังซือ
เฟิงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ถึงเวลานี้ไม่มีใครในหมู่มหาอำนาจที่ไม่รู้จักชื่อของแบล๊คเฟรม ในความเป็นจริงชื่อนี้เป็นที่หวาดกลัวในหมู่พวกเขาด้วยซ้ำ
เพราะท้ายที่สุดแล้วความแข็งแกร่งส่วนบุคคลของแบล๊คเฟรมนั้นมันจัดว่าน่ากลัวเกินไป เขาพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเองในการพัฒนาสภาสิบแปดปีกให้มาถึงระดับปัจจุบันได้ ซึ่งนี่มันนับเป็นความสำเร็จที่ได้กลายเป็นหนึ่งในตำนานของทวีปด้านตะวันออกไปแล้ว และมันก็ทำให้เขาเป็นตัวตนที่ผู้เล่นนับไม่ถ้วนล้วนชื่นชมและบูชา
อย่างไรก็ตามตัวตนของแบล๊คเฟรมนั้นลึกลับอย่างไม่น่าเชื่อ แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงของแบล๊คเฟรมในโลกแห่งความจริง มหาอำนาจและผู้เล่นหลายคนต่างสงสัยว่าแบล๊คเฟรมมีต้นกำเนิดที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ และหลายคนก็กระทั่งคิดว่าอำนาจที่อยู่เบื้องหลังของเขานั้นลึกลับ รวมทั้งน่ากลัวยิ่งกว่า บางคนถึงกับเชื่อว่าแม้ว่าตัวตนของแบล๊คเฟรมที่อยู่ในเกมจะดูมีอายุราวสามสิบห้า แต่ตัวจริงของเขาน่าจะมีอายุมากกว่านั้นสิบถึงยี่สิบปี เพราะท้ายที่สุดผู้เล่นสามารถจะปรับรูปลักษณ์ของตนได้ เมื่อสร้างตัวละครใน God domain และมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ภายในเกมคนๆหนึ่งจะดูเด็กกว่าอายุจริงราวสิบถึงยี่สิบปี
อย่างไรก็ตามตอนนี้ฟางฉีหานกับบอกว่าซือเฟิง คนตรงหน้าของพวกเขาซึ่งดูเหมือนจะอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆเท่านั้น คือหัวหน้ากิลของสภาสิบแปดปีก แบล๊คเฟรม ที่เป็นตัวตนระดับตำนาน นี่มันน่าเหลือเชื่อมากๆ
ในขณะเดียวกัน เมื่อเหลียงจิงที่ยืนอยู่ข้างของซือเฟิงได้ยินคำพูดของฟางฉีหาน เธอก็อดไม่ได้ที่จะตัวแข็งเกร็งขึ้นมา ตัวตนที่แท้จริงของซือเฟิงนั้นจัดเป็นความลับสุดยอดของสภาสิบแปดปีกเลย ซึ่งมันมีแต่พวกผู้บริหารระดับสูงของกิลเท่านั้นที่รู้ และเธอก็ได้รู้ถึงความลับนี้เพียงเพราะความรับผิดชอบเธอทำให้เธอต้องรู้เรื่องนี้
สภาสิบแปดปีกสามารถพัฒนาไปสู่สถานะปัจจุบันได้ อันเนื่องมาจากความลึกลับที่อยู่เบื้องหลังตัวตนของแบล๊คเฟรม และมหาอำนาจหลายกลุ่มก็เดาว่าแบล๊คเฟรมมีผู้สนับสนุนที่ทรงพลัง ไม่งั้นเขาคงจะไม่มีพลังมากขนาดนี้ อย่างไรก็ตามมหาอำนาจต่างๆก็ไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของแบล๊คเฟรมได้เลย และนี่มันก็ทำให้พวกเขายังไม่กล้าจะดำเนินการใดๆกับสภาสิบแปดปีกอย่างเต็มที่
แต่ตอนนี้ฟางฉีหานได้ค้นพบตัวตนของซือเฟิง ในฐานะแบล๊คเฟรมแล้ว ดังนั้นผลที่ตามมาที่สภาสิบแปดปีกต้องเผชิญจะยากที่จะจินตนาการเลย
อย่างไรก็ตามเหลียงจิงก็ได้เลือกจะระงับความต้องการที่จะหักล้างคำพูดของฟางฉีหานเอาไว้ เธอรู้อย่างชัดเจนว่าถ้าเธอแสดงอาการตื่นตระหนก หรือโต้แย้งใดๆตอนนี้ มันก็จะเป็นเพียงแต่การยืนยันคำพูดของฟางฉีหานว่าเป็นเรื่องจริงเท่านั้น ดังนั้นสิ่งเดียวที่เธอทำได้ในตอนนี้ก็คือนิ่งเงียบ และปล่อยให้ซือเฟิงจัดการกับปัญหา
ขณะที่แม๊ตและไวท์เฟเธอร์จ้องมองมายังเขา ซือเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
“ถูกต้องมิสฟาง คุณกล่าวได้ถูกต้อง ฉันคือหัวหน้ากิลสภาสิบแปดปีก แบล๊คเฟรม” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า
เมื่อได้ยินคำยอมรับของซือเฟิง ทั้งแม๊ตและไวท์เฟเธอร์ต่างก็จ้องตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ และความตกตะลึงกับช๊อคครั้งใหญ่ก็เข้าท่วมท้นหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าการคาดเดาของฟางฉีหานจะถูกต้องจริงๆ
เหลียงจิงนั้นอดไม่ได้ที่จะมีความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ เธอไม่นึกเลยว่าซือเฟิงจะยอมรับตรงๆแบบนี้ นี่มันบ้าชัดๆ
“นี่คุณจะไม่พยายามหักล้างคำพูดของฉันจริงๆงั้นหรอ ?” ฟางฉีหานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับการตอบสนองของซือเฟิง
ในความคิดของเธออัตลักษณ์ของแบล๊คเฟรมนั้นมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาของสภาสิบแปดปีก เพราะนอกเหนือจากสถานการณ์ใน God domain แล้ว แค่มหาอำนาจต่างๆกับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่จับตาดูสภาสิบแปดปีกอยู่ในโลกแห่งความจริง มันก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้กิลตกอยู่ในปัญหาร้ายแรงได้ เพราะท้ายที่สุดเมื่อตัวตนของแบล๊คเฟรมถูกเปิดเผยออกมา มหาอำนาจ และบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆจะไม่กลัวสภาสิบแปดปีกอีกต่อไป
“ฉันคิดว่าแม้ว่าฉันจะพยายามหักล้างคำพูดของคุณ แต่มันก็คงไม่มีผลอะไร จู่ๆฉันก็ติดอยู่ในห้องเกมเคบิน และขาดการติดต่อจากโลกภายนอกไปหลายวัน ในเมื่อคุณตรวจสอบสถานการณ์ภายในสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกอยู่ตลอดเวลา ฉันจึงหลีกเลี่ยงความสงสัยได้ยากอยู่แล้ว ….” ซือเฟิงกล่าว
นับตั้งแต่ที่เขาเข้าสู่เขาวงกตเชิงพื้นที่ที่อยู่ในพื้นที่แห่งความโกลาหลแห่งเวลา ตัวตนของเขาในฐานะแบล๊คเฟรมมันก็ถูกเปิดเผยออกมานานแล้ว เพราะท้ายที่สุดสภาสิบแปดปีกมีหลายเรื่องในโลกแห่งความจริงที่จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติ และรับรองจากซือเฟิง และพูดให้แม่นขึ้นก็คือในสถานการณ์นี้นั้น ฝ่ายบริหารของสภาสิบแปดปีกได้ขาดเอกภาพในการทำงานและออกคำสั่ง เพราะซือเฟิง และแบล๊คเฟรมนั้นไม่อยู่ ดังนั้นมันจึงง่ายมากเลยที่คนอื่นจะสงสัยตัวตนของเขาในสถานการณ์เช่นนี้
“เป็นไปตามคาดหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม คุณสามารถเดาได้ในทันทีว่าทำไมฉันถึงสงสัยว่าคุณคือหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมตัวจริง …” ฟางฉีหานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ความจริงถ้าไม่ใช่เพราะว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันนี้ขึ้น ฉันคงยืนยันตัวตนของคุณในฐานะแบล๊คเฟรมได้ยากมาก เพราะท้ายที่สุดใครจะคิดกันละว่าชายหนุ่มนิรนามที่พึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเมื่อไม่นานมานี้ และไม่เคยได้รับการฝึกมาตราฐานของมหาอำนาจเลยจะเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญสามสิบอันดับแรกที่แข็งแกร่งที่สุดใน God domain ….”
ใน God domain ผู้เชี่ยวชาญทุกคนที่จะสามารถติดสามสิบอันดับแรกของผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดได้นั้นล้วนมาจากมหาอำนาจต่างๆ หรือไม่งั้นก็เป็นผู้ที่คลุกคลีอยู่ในโลกเกมเสมือนจริงมานานนับสิบปีแล้ว สำหรับผู้เชี่ยวชาญรุ่นเยาว์ที่กำลังฉายแววขึ้นมาใน God domain แม้ว่าความสามารถของพวกเขาจะเป็นหนึ่งในเหตุผลนั้น แต่เหตุหลักจริงๆพวกเขามีผู้สนับสนุนที่ทรงพลัง ไม่งั้นพวกเขาจะไปหาทรัพยากรจำนวนมาก หรือพื้นที่ฝึกที่เหมาะสมเพื่อให้ตัวเองเติบโตขึ้นได้อย่างไร ?
อย่างไรก็ตามแล้วซือเฟิงล่ะ ?
แม้ว่าเขาจะอายุน้อย และไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆเลย แต่เขาก็สามารถไต่ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญสามสิบอันดับแรกที่แข็งแกร่งที่สุดใน God domain ได้ อันที่จริงตอนนี้เขาน่าจะเข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรกแล้วด้วยซ้ำ ใครจะเชื่อเรื่องนี้ล่ะ ?
แม๊ตและไวท์เฟเธอร์ตกอยู่ในห้วงความคิดลึก เมื่อพวกเขาครุ่นคิดถึงสถานการณ์นี้
หากไม่ใช้เพราะพวกเขามีความไว้วางใจอย่างมากต่อฟางฉีหาน และพอจะรู้จักบุคลิกของฟางฉีหาน พวกเขาก็จะไม่เชื่อเลยว่าซือเฟิงคือแบล๊คเฟรม โดยเฉพาะกับไวท์เฟเธอร์ที่เคยเห็นความแข็งแกร่งของแบล๊คเฟรมมาก่อน
หลังจากได้ดูการต่อสู้ของแบล๊คเฟรมแล้ว ไวท์เฟเธอร์ก็มั่นใจว่าเขาไม่ใช่ผู้เล่นเกมเสมือนจริงที่เป็นมือโปรธรรมดาแน่นอน เพราะความดุร้าย เด็ดขาด และเด็ดเดี่ยวที่เขาแสดงออกมาในการกระทำของเขา ตลอดไปจนถึงประสบการณ์ในการต่อสู้ที่ดูเหมือนว่าเขาจะมีอย่างมากมายนั้น มันเป็นสิ่งที่แม้แต่เธอ ซึ่งเป็นคนที่อยู่ในไมโทโลจี้มานานกว่าสิบปีก็ยังไม่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตามตอนนี้เธอกับได้รู้ว่านักศึกษาจบใหม่จากมหาวิทยาลับที่ไม่ได้ดังมากนักเป็นเจ้าของตัวละครแบล๊คเฟรม ….
“มิสฟาง คุณคงไม่ได้แค่มาที่นี่เพื่อเรื่องเล็กน้อยของฉันหรอกนะ ?” ซือเฟิงถามอย่างใจเย็น ขณะที่เขามองไปยังฟางฉีหานที่มีความตื่นเต้นเล็กน้อยปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเธอ
“เรื่องเล็กน้อย ? หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม คุณรู้ไหมว่าสภาสิบแปดปีกจะประสบกับปัญหามากแค่ไหน ถ้ามหาอำนาจต่างๆรู้ถึงตัวตนของคุณ ….” ไวท์เฟเธอร์อดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือนซือเฟิง เมื่อได้เห็นท่าทีเฉยชาของเขา “แม้ว่าไมโทโลจี้จะไม่ทำอะไรเลย แต่ตราบใดที่เราเปิดเผยข้อมูลนี้ออกไป มหาอำนาจต่างๆก็จะเข้ามากลืนกินสภาสิบแปดปีกจนหมดสิ้นแน่นอน !!!”
หากมหาอำนาจต่างๆได้รู้ถึงตัวตนของแบล๊คเฟรมแล้ว พวกเขาจะไม่หยุดอยู่แค่การก่อกวนสภาสิบแปดปีกเฉยๆแน่ แต่ตอนนี้ซือเฟิงกับดูเหมือนจะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้แต่อย่างใด
“เฟเธอร์พอได้แล้ว ฉันมาที่นี่เพราะเรื่องใหญ่กว่านั้น ….” ฟางฉีหานกล่าวปรามไวท์เฟเธอร์ ก่อนที่เธอจะหันกลับมามองซือเฟิงและกล่าวต่อว่า “เนื่องจากคุณมีความตรงไปตรงมา ฉันก็จะขอเข้าประเด็นตรงๆเลยหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ในตอนนี้ฉันคิดว่าฉันไม่ใช่แค่คนเดียวที่รู้ถึงตัวตนของคุณ และฉันเชื่อว่ามันก็คงอีกไม่นานก่อนที่ข้อมูลนี้จะแพร่กระจายไปยังมหาอำนาจอื่นๆเช่นกัน และเมื่อเป็นเช่นนั้น ฉันก็แน่ใจว่าคุณรู้ดีว่ามีอนาคตแบบไหนรอสภาสิบแปดปีกอยู่ …”
“คุณกำลังพยายามจะพูดอะไร ?” ซือเฟิงถามด้วยรอยยิ้มที่ก่อตัวขึ้นบนใบหน้าของเขา
“เมืองป่าหิน และวิธีการฝึกที่จะทำให้เข้าถึงขอบเขตจิตวิญญาณได้ !!!” ฟางฉีหานกล่าว “ตราบใดที่สภาสิบแปดปีกยอมมอบทั้งสองสิ่งนี้มา สภาสิบแปดปีกก็จะสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ได้ทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นไมโทโลจี้ก็จะทำการจัดหาสารอาหารเหลวระดับ S และโพชั่นแห่งชีวิตจำนวนหนึ่งให้กับสภาสิบแปดปีกด้วย ฉันเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สภาสิบแปดปีกกำลังต้องการอย่างเร่งด่วนถูกไหม ?”
ตอนที่ 2678 อัพเกรดเมืองปีกสีเงิน
ใบหน้าของเหลียงจิงนั้นแปรเปลี่ยนเป็นมืดมน เมื่อได้ยินความต้องการของฟางฉีหาน
นอกเหนือจากวิธีการฝึกที่จะทำให้เข้าถึงขอบเขตจิตวิญญาณได้แล้ว เพียงแค่มอบเมืองป่าหินให้กับคนอื่น มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายสภาสิบแปดปีกในปัจจุบัน
รายได้กว่าครึ่งหนึ่งของสภาสิบแปดปีกมาจากเมืองป่าหิน นอกจากนี้มันก็ยังเป็นเพราะเมืองป่าหินด้วยที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากต้องการจะเข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีกในตอนนี้ และมันไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย หากจะบอกว่าเมืองป่าหินนั้นเป็นรากฐานที่สำคัญของสภาสิบแปดปีก ซึ่งหากสภาสิบแปดปีกต้องสูญเสียเมืองนี้ไป เธอก็นึกไม่ออกเลยว่ากิลจะอ่อนแอลงมากแค่ไหน
อย่างไรก็ตามหากพวกเขาปฎิเสธที่จะมอบเมืองป่าหินให้ สถานการณ์ของสภาสิบแปดปีกก็จะไม่ได้อยู่ในสภาวะที่สู้ดีเช่นกัน แม้ว่าจะไม่มีใครสามารถทำอะไรกับสภาสิบแปดปีกได้ใน God domain แต่มันจะนับเป็นเค้กชิ้นหนึ่งสำหรับมหาอำนาจต่างๆที่จะทำลายปฎิบัติการของสภาสิบแปดปีกในเมืองเฟิงหลินจากเงามืด
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่ทางเลือกที่ง่ายที่จะยอมรับ แต่ถ้าสภาสิบแปดปีกขาดสารอาหารเหลวระดับ S และโพชั่นแห่งชีวิตในปริมาณที่เพียงพอ กิลก็จะพัฒนาต่อไปได้ยากไม่ใช่หรอ ?” ฟางฉีหานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันเชื่อว่าคุณในฐานะสุดยอดปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้รู้เรื่องนี้ดี”
God domain นั้นแตกต่างจากเกมเสมือนจริงอื่นๆ เกมนี้นั้นช่วยให้ผู้เล่นสามารถพัฒนาจิตใจของพวกเขาไปสู่มาตราฐานที่ไม่ธรรมดาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้เล่นมีขั้นของพวกเขาเพิ่มขึ้น และได้รับการพัฒนาของสมองเพิ่มขึ้น ซึ่งการค้นพบนี้ได้กระตุ้นความตื่นเต้นของๆหลายคนอย่างมาก อย่างไรก็ตามเพื่อแลกกับการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพของสมอง ผู้เล่นจำเป็นจะต้องมีพลังงานที่จำเป็นต่อร่างกายเพียงพอเพื่อใช้ในการรักษาจิตใจและร่างกายของพวกเขาตามความต้องการที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป นอกเหนือจากสภาสิบแปดปีกแล้ว มหาอำนาจต่างๆเองก็ปวดหัวกับเรื่องนี้เช่นกัน
ในขณะเดียวกันด้วยสถานการณ์นี้เองมันก็ทำให้สารอาหารเหลวระดับ S และโพชั่นแห่งชีวิตกลายเป็นของหายากมากในตลาด มันอาจจะดีกว่านี้ถ้าปริมาณที่เขาและสภาสิบแปดปีกต้องการไม่ได้สูงเป็นพิเศษ ซึ่งมันก็ไม่ใช่อะไรที่จะสามารถแก้ไขได้ด้วยเครดิตเลย มันจำเป็นต้องมีคอนเนคชั่นที่มากเพียงพอจึงจะได้รับทั้งสองสิ่งนี้มาในปริมาณที่มากเพียงพอ
“คุณพูดถูก สารอาหารเหลวระดับ S และโพชั่นแห่งชีวิตเป็นสิ่งที่สภาสิบแปดปีกต้อองการอย่างมากในตอนนี้ และในความเป็นจริงปัญหาในเรื่องนี้มันมีมากกว่าภัยคุกคามจากบุคคลภายนอกมาก” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้าเห็นด้วย
หลังจากที่ซือเฟิงกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์ที่แท้จริง แม้แต่สารอาหารเหลวระดับ S มันก็ไม่เพียงพอที่จะรักษาทั้งร่างกายและจิตใจของเขาให้กลับไปอยู่ในสภาพสูงสุดได้หลังจากผ่านศึกหนักมา และมันมีเพียงแต่โพชั่นแห่งชีวิตเท่านั้นที่จะตอบสนองความต้องการของเขาได้
มันจะไม่มีปัญหาใดๆเลย หากมีเขาเพียงคนเดียวที่ต้องการสารอาหารเหลวระดับ S และโพชั่นแห่งชีวิต แต่อย่างไรก็ตามความจริงแล้ว มันมีสมาชิกอีกหลายคนของสภาสิบแปดปีกที่ต้องการเช่นกัน และหากซือเฟิงต้องการจะให้พวกเขาพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย
หากสภาสิบแปดปีกไม่สามารถจะจัดหาสารอาหารเหลวระดับ S และโพชั่นแห่งชีวิตได้ในปริมาณที่มากเพียงพอ แม้ว่ากิลจะไม่ถูกรังควานจากมหาอำนาจอื่นๆ หรือพวกที่อ่อนแอกว่า แต่มันก็จะเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่พวกเขาจะแซงหน้าสภาสิบแปดปีกได้
“หัวหน้ากิล ?” เหลียงจิงสะดุ้ง เมื่อได้ยินคำพูดของซือเฟิง
ปัจจุบันเมืองป่าหินนั้นเป็นหนึ่งในเมืองกิลเพียงไม่กี่แห่งที่ถูกก่อตั้งขึ้นในแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยหรือมากกว่า และถ้าสภาสิบแปดปีกยอมส่งมอบเมืองป่าหินจริงๆ สภาสิบแปดปีกก็จะนับว่าสูญเสียครั้งใหญ่มากๆใน God domain โดยเฉพาะเรื่องความเร็วในการเก็บเลเวลของสมาชิกพวกเขาที่มันจะลดลงแน่นอน
ในสถานการณ์นี้แม๊ต และไวท์เฟเธอร์อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็คำนึงถึงสถานการณ์ ถ้าเขาขายเมืองป่าหิน และวิธีการฝึกที่จะทำให้เข้าถึงขอบเขตจิตวิญญาณได้ในตอนนี้ มันก็จะทำให้เขาสร้างได้ ได้อย่างมหาศาลทีเดียว เพราถ้าเขารอจนกว่ามหาอำนาจต่างๆรู้ถถึงตัวตนของเขา มันก็จะไม่มีใครต้องการพวกมันแน่นอน แม้ว่าเขาจะตัดสินใจขายก็ตาม ….” แม๊ตกระซิบ
สุดยอดปรมาจารย์ที่แท้จริงแบบซือเฟิงนั้นจะถูกพิจารณาว่าเป็นตัวตนที่ทรงพลังเลยในเมืองเฟิงหลิน
อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญระดับนี้นั้นมีความสามารถในการจะยับยั้งมหาอำนาจทั่วไปเท่านั้น ไม่ใช่กับบริษัทยักษ์ใหญ่ หรือมหาอำนาจที่แท้จริง นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า หากไม่มีสารอาหารเหลวระดับ S และโพชั่นแห่งชีวิตในปริมาณที่มากเพียงพอ สภาสิบแปดปีกก็จะมีปัญหาในการจะพัฒนาตัวเองต่อไป เพราะท้ายที่สุดมันต้องใช้พลังงานจำนวนมากเพื่อรักษาการทำงานของสมองที่พัฒนาขึ้นของผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดหรือสูงกว่านั้น ซึ่งสารอาหารเหลวระดับ A นั้นไม่สามารถจะให้มันได้เลย
ดังนั้นมหาอำนาจต่างๆจึงล้วนทำการรวบรวมสารอาหารเลวระดับ S และ โพชั่นแห่งชีวิตกันอย่างบ้าคลั่ง และทำให้ความหายากของมันเพิ่มขึ้น
“ถ้าคุณตัดสินใจแล้ว เราสามารถจะเซ็นสัญญากันได้ทันที หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม” ฟางฉีหานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ สัญญานั่นไม่จำเป็น” ซือเฟิงกล่าวพลางส่ายหัว “เพราะฉันจะไม่ขาย เมืองป่าหิน และวิธีการฝึกที่จะทำให้เข้าถึงขอบเขตจิตวิญญาณได้ อย่างแน่นอน …”
ความเงียบนั้นเข้าปกคลุมไปทั่วห้องชั่วขณะ ในขณะที่ซือเฟิงพูด ทั้งแม๊ตและไวท์เฟเธอร์ต่างก็จ้องมองไปยังซือเฟิงด้วยความตกตะลึง และสงสัยว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว นี่เขาไม่เข้าใจความเลวร้ายของสถานการณ์ของสภาสิบแปดปีกจริงๆงั้นหรอ ?
“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม คุณต้องคิดทบทวนเรื่องนี้ให้ดีนะ หากคุณพลาดโอกาสนี้ไป เราจะไม่เสนอราคาเดิมให้คุณอีกในครั้งต่อไป …” ฟางฉีหานกล่าวด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยกับคำตอบของซือเฟิง “และเมื่อตอนนั้นมาถึง ปัญหาที่สภาสิบแปดปีกจะต้องเผชิญมันก็จะยิ่งใหญ่กว่าที่คุณจะสามารถจินตนาการได้ !!!”
ปัจจุบันไมโทโลจี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นเส้นชีวิตเดียวที่สภาสิบแปดปีกเหลืออยู่ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความมั่นใจของฟางฉีหานว่าซือเฟิงจะไม่ปฎิเสธข้อเสนอของเธอแน่นอน เว้นแต่ว่าเขาจะต้องการให้สภาสิบแปดปีกล่มสลายจริงๆ เพราะท้ายที่สุดหากไม่มีสารอาหารเหลวระดับ S และโพชั่นแห่งชีวิตที่มากเพียงพอ อนาคตของสภาสิบแปดปีกก็จะมืดมน
“ขอบคุณสำหรับความห่วงใยนะ แต่ถ้ามหาอำนาจต่างๆต้องการจะดำเนินการอย่างลับๆจริงๆ ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะสอนให้พวกเขารู้ว่าการเดินทางแบบตั๋วเที่ยวเดียวคืออะไร ….” ซือเฟิงตอบอย่างใจเย็น
สภาสิบแปดปีกในปัจจุบันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นี่เป็นเรื่องจริงอย่างยิ่งโดยเฉพาะหลังจากที่เขากลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์ที่แท้จริง และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่กังวลเลยที่ตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผย เพราะท้ายที่สุดแล้วการดำเนินการอย่างลับๆกับสุดยอดปรมาจารย์ที่แท้จริงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
“ยอดเยี่ยม !!! เนื่องจากคุณได้พูดแบบนี้ งั้นฉันก็ขอตัว หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม !!!” ฟางฉีหานกล่าว หลังจากเห็นซือเฟิงยังคงไม่สะทกสะท้านกับคำเตือนของเธอ เธอก็ไม่ได้พยายามจะชักชวนหรือเกลี้ยกล่อมเขาอีกต่อไป และเธอก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับออกไปจากห้องรับรองทันที
….
หลังจากออกจากสำนักงานใหญ่หลักของสภาสิบแปดปีกแล้ว แม๊ตก็มองไปที่ฟางฉีหานพลางถามว่า “รองหัวหน้ากิล พวกเราจะจากไปทั้งๆแบบนี้จริงๆงั้นหรอ ?”
หัวหน้าของพวกเขาบอกให้พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้มาซึ่งวิธีการฝึกที่จะทำให้เข้าถึงขอบเขตจิตวิญญาณได้ และหากพวกเขาจากไปตอนนี้ มันก็จะยากมากสำหรับพวกเขาในอนาคตที่จะได้รับมันมาด้วยวิธีนี้ ….
“ผ่อนคลายน่า สภาสิบแปดปีกจะอยู่แบบนี้ต่อไปได้อีกไม่นานนักหรอก เขาอาจจะคิดว่าเขามีอำนาจในการปกป้องตัวเองหลังจากกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์ที่แท้จริง แต่เหล่ามหาอำนาจที่แท้จริงทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิด เขาไม่ได้รู้เลยว่าพวกนั้นบ้าแค่ไหนในตอนนี้ ….” ฟางฉีหานตอบด้วยรอยยิ้ม “อีกไม่นานเขาจะต้องมาหาเราด้วยตัวเองแน่นอน เราไม่จำเป็นต้องรีบ”
“ฉันเดาว่า มันก็มีสิทจะเป็นไปตามที่รองหัวหน้ากิลพูดมาสูง ….” หลังจากครุ่นคิดแล้ว แม๊ตก็พยักหน้าเห็นด้วยและเลิกสนใจเรื่องนี้
เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ที่มีอยู่ รวมทั้งหามันเพิ่มเติมใน God domain บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆที่สนับสนุนมหาอำนาจต่างๆก็ล้วนพากันเทหมดหน้าตักแล้วในตอนนี้ และเพื่อให้เรื่องแย่ลง สถานะปัจจุบันของ God domain ได้ผลักดันให้มหาอำนาจต่างๆบางกลุ่มเริ่มถูกทำลายล้างไปบ้างแล้ว เป็นผลให้ตอนนี้มหาอำนาจต่างๆหลายกลุ่มใน God domain ล้วนระแวดระวัง และเก็บเกี่ยวทุกอย่างไว้เพื่อป้องกันตัวเองกันอย่างบ้าคลั่ง
เราสามารถจะจินตนาการได้อย่างง่ายดายว่ามหาอำนาจเหล่านี้จะทำอะไรบ้าง เมื่อรู้เรื่องราวของสภาสิบแปดปีกทั้งหมดในตอนนี้
….
หลังจากกลุ่มของฟางฉีหานจากไปแล้ว มันก็มีเพียงซือเฟิงและเหลียงจิงเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในห้องรับรองชั้นบนสุด
“หัวหน้ากิล เราจะทำยังไงกันดี ? เมื่อฟางฉีหานกลับไป เธอจะเปิดเผยตัวตนของหัวหน้าให้มหาอำนาจอื่นๆรับรู้แน่นอน ….” เหลียงจิงกล่าวขณะที่เธอมองไปยังซือเฟิงอย่างกังวล
ในขณะนี้ แม้ว่าสภาสิบแปดปีกจะสามารถรักษาเมืองป่าหินเอาไว้ได้ แต่พวกเขาก็จะต้องประสบกับปัญหาใหญ่แน่นอน
“มันไม่เป็นอะไรหรอก แม้ว่าตัวตนของฉันจะถูกเปิดเผยก็ตาม … พวกเขาสามารถไปเผยแพร่ได้เลยถ้าต้องการ สิ่งที่เราต้องทำยังคงเหมือนเดิม ….” ซือเฟิงตอบอย่างใจเย็น
“เราต้องทำอะไร ?” เหลียงจิงถามอย่างสงสัย ขณะที่เธอมองไปยังท่าทีสงบของซือเฟิงด้วยความประหลาดใจ
“หาเงินไง !!!” ซือเฟิงตอบพลางหัวเราะเบาๆ
ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนากิลใน God domain หรือซื้อสารอาหารเหลวระดับ S และโพชั่นแห่งชีวิต การกระทำเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เงินเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ และหากไม่มีเงินก็จะไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ปัจจุบันมันไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยที่สภาสิบแปดปีกจะสามารถหาสารอาหารเหลวระดับ S และโพชั่นแห่งชีวิต มาให้ได้มากเพียงพอ เพราะท้ายที่สุดแล้วเขามีบัตรเชิญเข้าร่วมงานประมูลของบริษัทกรีดก๊อดที่จะทำให้เขาสามารถหาของพวกนี้มาได้ในปริมาณที่มากเพียงพอ
อย่างไรก็ตามตอนนี้มหาอำนาจต่างๆล้วนทำการรวบรวมสารอาหารเหลวระดับ S และโพชั่นแห่งชีวิตกันอย่างบ้าคลั่ง ดังนั้นหากซือเฟิงไม่ได้เตรียมเครดิตไว้มากพอก่อนที่งานประมูลจะมาถึง เขาก็จะไม่มีโอกาสประมูลเลย
ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้ก็คือหาเงินให้ได้มากที่สุด
“หาเงิน ?” เมื่อได้ยินคำตอบของซือเฟิง เธอก็ส่ายหัวและพูดอย่างหดหู่ว่า “ตอนนี้ฉันกลัวว่ามันจะยากมาก เนื่องจากการปราบปรามของมหาอำนาจต่างๆอย่างต่อเนื่อง มันจึงทำให้เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแสวงหาทรัพยากรด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามทรัพยากรที่เราหามาได้นั้นมันก็แทบจะไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานของเราเอง เราไม่มีส่วนเกินมากพอที่จะขาย ยิ่งไปกว่านั้นประชากรผู้เล่นของเมืองป่าหินก็ลดลงมากเนื่องจากการถูกคุกคาม นอกจากนี้มอนสเตอร์ Faux Saint ก็ยังพิชิตอาณาจักรสตาร์มูนไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว เป็นผลให้รายได้ของกิลเราลดลงทุกวัน”
“ผ่อนคลายน่า นั่นมันก็เป็นแค่อดีต …” ซือเฟิงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ
หลังจากพูดจบ ซือเฟิงก็ได้ให้เหลียงจิงสั่งให้คนมาเติมสารอาหารเหลวในห้องเกมเคบินของเขาจนเต็ม จากนั้นเขาก็ทำการฝึกแบบง่ายๆ และกินอาหารที่เหมาะสม ก่อนจะกลับเข้าสู่ God domain โดยไม่ลังเล
เมื่อซือเฟิงกลับมาที่เมืองปีกสีเงินแล้ว เขาก็เรียกอินเตอร์เฟซของเมืองออกมา และเลือกจะอัพเกรดเมืองทันที
ไม่นานหลังจากนั้นการแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นในหูของผู้เล่นทุกคนในเมืองปีกสีเงิน ก่อนที่พวกเขาทุกคนจะถูกเทเลพอร์ตออกจากเมือง
ตอนที่ 2679 การอัพเกรดที่บ้าคลั่ง
จักรวรรดิออร์ค เมืองปีกสีเงิน :
หลังจากที่สภาสิบแปดปีกได้รับชัยชนะเหนือกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ผู้เล่นอิสระก็เริ่มแห่กันเข้ามาที่เมืองปีกสีเงินจากทั่วทั้งจักรวรรดิออร์ค และตอนนี้สมาชิกของมหาอำนาจหลายกลุ่มก็เริ่มมองสถานการณ์ของเมืองปีกสีเงินดีขึ้นแล้ว ซึ่งมันเป็นผลให้เมืองปีกสีเงินกลับมาชีวิตชีวาอย่างไม่น่าเชื่อ
ขณะที่ผู้เล่นกำลังเข้ามาในเมืองปีกสีเงิน มันก็มีทีมของผู้เล่นยี่สิบคนที่กำลังเดินเข้ามาในเมืองอย่างเป็นระเบียบเช่นกัน ซึ่งผู้เล่นที่เห็นทีมๆนี้ก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
“อะไรกัน ?! แม้แต่พวกเขาก็เลือกจะมาพัฒนาตัวเองในเมืองปีกสีเงินงั้นหรอ ?!”
สมาชิกทุกคนในทีมของผู้เล่นยี่สิบคนนี้ล้วนเป็นผู้เล่นเลเวลหนึ่งร้อยสิบห้าหรือ
มากกว่าทั้งหมด และผู้เชี่ยวชาญขั้นสามในทีมทั้งหมดของพวกเขาก็ล้วนสวมใส่อุปกรณ์ที่เปล่งประกายมากๆ และแม้แต่อุปกรณ์ที่อ่อนแอที่สุดที่พวกเขาสวมใส่อยู่ก็ยังอยู่ระดับไฟน์โกล เลเวลหนึ่งร้อยสิบ ขณะที่ทั้งสองคนที่เดินนำอยู่หัวแถวของทีมนั้นก็สวมใส่อุปกรณ์ระดับอีปิคเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยอยู่จำนวนหนึ่งด้วย ซึ่งนี่มันนับเป็นภาพที่หาดูได้ยากมากๆ แม้แต่ในบรรดาผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับเลเวล และอุปกรณ์ของผู้เล่นเหล่านี้แล้ว สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจอย่างแท้จริงคือตัวตนของพวกเขา
นี่เป็นเพราะทีมนี้นั้นเป็นของฟรอสต์ฮีฟเว่น ซึ่งเป็นมหาอำนาจที่มีต้นกำเนิดมาจากโลกโฟรเซ่น ซึ่งได้รวมอาณาจักรข้างเคียงหลายแห่งเข้าด้วยกัน และความแข็งแกร่งของฟรอสต์ฮีฟเว่นนั้นก็ติดอยู่ในสิบอันดับแรกของมหาอำนานหน้าใหม่ที่กำลังมาแรงที่สุด เนื่องจากฟรอสต์ฮีฟเว่นนั้นสามารถจะเข้าถึงสายเลือดมรดกพิเศษของโลกโฟรเซ่นได้ ดังนั้นมันจึงมีผู้เล่นระดับผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ต้องการจะเข้าร่วมกิลของพวกเขา แต่น่าเสียดายที่เงื่อนไขในการรับสมัครนั้นมันเข้มงวดอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นผลให้ผู้สมัครส่วนใหญ่ถูกตัดสิทธิ์
แต่ตอนนี้สมาชิกของฟรอสต์ฮีฟเว่น ซึ่งไม่ได้มีฐานปฎิบัติการ หรือมีปฎิบัติการใดๆอยู่ในจักรวรรดิออร์คกับมุ่งหน้ามาที่เมืองปีกสีเงิน นี่จะไม่ทำให้ทุกคนตกตะลึงได้อย่างไร ?
แม้ว่าผู้เล่นโดยรอบจะพูดคุยกันค่อนข้างเสียงดังเกี่ยวกับสมาชิกของฟรอสต์ฮีฟเว่น แต่เหล่าสมาชิกของฟรอสต์ฮีฟเว่นที่ถูกพูดถึงก็ไม่ได้สนใจผู้เล่นที่อยู่รอบๆ พวกเขาค่อยๆเดินไปตามถนนสายหลักของเมืองปีกสีเงิน ในขณะที่สังเกตสภาพแวดล้อมของเมืองปีกสีเงินไปด้วย
“นี่คือเมืองปีกสีเงินงั้นหรอ ?” ซัมมอนเนอร์หญิงที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีดำ และมีเลเวลหนึ่งร้อยสิบหก พึมพำหลังจากตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบของเธอ ก่อนที่เธอจะแสดงความคิดเห็นอย่างใจเย็นมากๆว่า “แม้ว่าการป้องกันของเมืองจะค่อนข้างดี แต่มันก็ยังจัดว่าด้อยกว่าเมืองกิลหลายเมืองของพันธมิตรเรานะ แถมพูดกันตรงๆการป้องกันเมืองนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเหล่าองครักษ์ส่วนตัวเป็นหลักด้วย”
“เมืองนี้นั้นค่อนข้างจะยอดเยี่ยมมากอยู่แล้ว เพราะอย่างน้อยที่สุดเมืองก็สามารถหยุดการโจมตีของมอนสเตอร์ Faux Saint ได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การคัดเลือกเข้าร่วมเป็นพันธมิตรมาก” เคิร์สแมนเซอร์หญิง ซึ่งมีเลเวลหนึ่งร้อยสิบหก กล่าวพลางยิ้มอย่างขมขื่นให้กับคำพูดเพื่อนร่วมทางของเธอ
กองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint เป็นสิ่งที่แม้แต่เมือง NPC ทั่วไปก็ไม่สามารถจะหยุดยั้งได้ นับประสาอะไรกับบรรดาเมืองกิล ดังนั้นการที่เมืองปีกสีเงินสามารถจะเอาชนะกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ได้สำเร็จมันจึงเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากๆ เพราะท้ายที่สุดแล้วมันไม่ใช่เมืองของกิลทุกเมืองที่จะมีเครื่องมือพิเศษจากโลกโฟรเซ่นไว้ให้ใช้งานสำหรับเรื่องนี้
“แม้ว่าองครักษ์ส่วนตัวเหล่านี้จะแข็งแกร่งมากๆ แต่มอนสเตอร์ Faux Saint พวกนี้ก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรต่างๆมากกว่าหนึ่งโหล ซึ่งนี่รวมไปถึงจักรวรรดิมังกรดำ และจักรวรรดิรัตติกาลด้วย ซึ่งด้วยอัตราการเติบโตนี้ของพวกมัน ฉันกลัวว่ามันจะมีมอนสเตอร์ Faux Saint ระดับเทพนิยาย ขั้นสี่ ปรากฎขึ้นเป็นจำนวนมากในอีกไม่กี่วัน และในเวลานั้นองครักษ์ส่วนตัวเหล่านี้ก็จะมีปัญหาในการจัดการกับพวกมอนสเตอร์ Faux Saint สำหรับความคิดริเริ่มในการจะตามล่ามอนสเตอร์พวกนี้ มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ….” ซัมมอนเนอร์หญิงในชุดเสื้อคลุมสีดำกล่าวพลางส่ายหัว “ยิ่งไปกว่านั้นจุดประสงค์หลักในการมาที่ของเราก็คือการมาสังเกตว่า สภาสิบแปดปีกมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมกับเราในการจัดการกับมอนสเตอร์ Faux Saint ไหม เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อรับสมัคร หรือยึดเมืองสักหน่อย ….”
เพราะท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าจะพูดยังไง องครักษ์ส่วนตัวนั้นก็ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือภายนอกเท่านั้น เหตุผลแรกนั้นก็คือการที่องครักษ์ที่ทรงพลังนั้นมันหายากอย่างไม่น่าเชื่อ และเหตุผลที่สองคือความยากในการคืนชีพองครักษ์ส่วนตัวที่ตายไป
ปัจจุบันเมืองปีกสีเงินอาจมีผู้เล่นจำนวนมาก แต่ประชากรผู้เล่นขั้นสามของเมืองนั้นก็มีต่ำมาก
“ฉันเดาว่าคุณพูดถูกนะ สภาสิบแปดปีกอาจจะดูเหมือนเฟื่องฟูมากในตอนนี้ แต่จริงๆแล้วกิลก็ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมมากด้วย กิลนั้นไม่ได้รู้เลยว่าตอนนี้มือแห่งนักบุญได้ทำความร่วมมือกับมหาอำนาจมากมายแล้ว แม้ว่ามอนสเตอร์ Faux Saint จะไม่ดำเนินการใดๆต่อสภาสิบแปดปีกแล้ว แต่มือแห่งนักบุญก็ได้ทำความร่วมมือกับมหาอำนาจต่างๆในเรื่องที่ว่าพวกเขาจะจัดหาเครื่องมือที่จะช่วยให้มหาอำนาจต่างๆสามารถพัฒนาตัวเองในดินแดน Faux Saint ได้ และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน มหาอำนาจต่างๆจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปราบปรามสมาชิกของสภาสิบแปดปีก ซึ่งหากสภาสิบแปดปีกมีผู้เล่นไม่เพียงพอที่จะต่อสู้ในเรื่องนี้ ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็จะสามารถหาทางเจาะเข้าเมืองจนได้ และท้ายที่สุดไม่ว่าจะมีองครักษ์ส่วนตัวมากเท่าไหร่ มันก็จะไร้ประโยชน์ ….” เคิร์สแมนเซอร์หญิงกล่าวพลางพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากครุ่นคิด เพราะท้ายที่สุดนี่มันหมายถึงสภาสิบแปดปีกสามารถทำได้แค่ป้องกันเท่านั้น ไม่ใช่ตอบโต้ ซึ่งมันก็แปลว่ากิลจะขาดคุณสมบัติในการเข้าร่วมพันธมิตรนี้ของพวกเขา
ในขณะที่ซัมมอนเนอร์หญิง เลเวลหนึ่งร้อยสิบหก และเคิร์สแมนเซอร์หญิงเลเวลหนึ่งร้อยสิบหกจากฟรอสต์ฮีฟเว่นกำลังพูดคุยกัน เสียงแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นมาที่หูของพวกเขา
….
ระบบ : เมืองปีกสีเงินจะได้รับการอัพเกรดเป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐาน คุณจะถูกเทเลพอร์ตออกจากเมืองภายในสามสิบวินาที
….
“มันเกิดอะไรขึ้น ?”
“เมืองได้รับการอัพเกรดงั้นหรอ ?”
การแจ้งเตือนของระบบในครั้งนี้นั้น มันทำให้ผู้เล่นทุกคนในเมืองปีกสีเงินตกตะลึง และจิตใจของพวกเขาก็ตกอยู่ในความงุนงงพักหนึ่ง ขณะที่พวกเขาจ้องมองไปที่ข้อความที่แจ้งเตือนมา สำหรับสมาชิกของสภาสิบแปดปีก พวกเขาได้เปิดเผยสีหน้าที่มีความสุขออกมา
ในฐานะเมืองขั้นสูง เมืองปีกสีเงินนั้นสามารถที่จะขับไล่การโจมตีของกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ได้อย่างง่ายดาย และตอนนี้เมื่อเมืองปีกสีเงินได้รับการอัพเกรดเป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐาน มันก็จะเป็นความท้าทายที่มากขึ้นมากสำหรับกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint ที่จะทำลายเมืองลงให้ได้
ก่อนที่ทุกคนจะได้ทันตอบสนองต่อสถานการณ์นี้อย่างถูกต้อง ผู้เล่นทุกคนในเมืองปีกสีเงินก็ได้ถูกเทเลพอร์ตออกจากเมือง และในเวลาเดียวกันวงเวทย์ก็เข้าปกคลุมเมืองทั้งหมด
“เป็นไปได้ยังไงกัน ?!” ซัมมอนเนอร์หญิงในชุดเสื้อคลุมสีดำจากฟรอสต์ฮีฟเว่น อุทานออกมาด้วยตกตะลึง เมื่อเธอได้เห็นวงเวทย์ที่เข้าปกคลุมเมือง “นอกเหนือจากความเจริญรุ่งเรืองแล้ว เมืองปีกสีเงินน่าจะต้องการให้จำนวนผู้เล่นที่ถึงข้อกำหนดด้วยนี่ถึงจะสามารถอัพเกรดเป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐานได้ ซึ่งมันก็น่าจะต้องใช้เวลาอีกราวหนึ่งเดือนกว่าจะอัพเกรดได้ แล้วเมืองมาอัพเกรดเร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน ?!”
ในปัจจุบันนี้มหาอำนาจต่างๆนั้นล้วนมีข้อมูลดีว่าต้องทำแบบไหนบ้าง เมืองถึงจะสามารถอัพเกรดเป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐานได้ ซึ่งก็ไม่เว้นแม้แต่ฟรอสต์ฮีฟเว่น สมาชิกของฟรอสต์ฮีฟเว่นทุกคนนั้นล้วนดูออกว่าเมืองปีกสีเงินผ่านข้อกำหนดในเรื่องความปลอดภัยในการจะอัพเกรดเป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐานแล้ว แต่จำนวนผู้เล่นนั้นยังไม่เพียงพอ ซึ่งสภาสิบแปดปีกก็จะต้องใช้เวลาอีกนิดหน่อยเพื่อบรรลุเรื่องนี้
อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเขากับสามารถอัพเกรดเมืองได้เลย ซึ่งในขณะนี้นอกเหนือจากสมาชิกของฟรอสต์ฮีฟเว่นแล้ว สมาชิกของมหาอำนาจอื่นๆที่ปฎิบัติการอยู่ในเมืองปีกสีเงินอย่างลับๆก็ตกตะลึงมากเช่นกัน
เมืองกิลขนาดใหญ่แห่งที่สาม !!!
มหาอำนาจบางกลุ่มยังมีเมืองกิลขนาดใหญ่ไม่ถึงสามแห่งด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้สภาสิบแปดปีกกับมีถึงสาม แถมหนึ่งในนั้นยังมีเมืองที่เป็นทรัพยากรเชิงกลยุทธ์อย่างเมืองปีกสีเงินด้วย
ท้ายที่สุดแล้ว มอนสเตอร์ Faux Saint ได้ขยายขอบเขตอิทธิพลของตัวมันเองเข้าไปยังอาณาจักรและจักรวรรดิใกล้เคียงนับโหลแล้ว และเนื่องจากการมาถึงของมอนสเตอร์ Faux Saint เหล่านี้แผนที่ท้องถิ่นจำนวนมากจึงถูกเปลี่ยนเป็นแผนที่เลเวลสูง ซึ่งมันทำให้อาณาจักรและจักรวรรดิต่างๆจะต้องออกเควสมากมายเพื่อเรื่องนี้ในอนาคต และหลายคนก็จะสามารถบอกถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นของเรื่องเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนในอนาคต
อย่างไรก็ตามเนื่องจากที่จักรวรรดิออร์คนี้มีพรหมแดนติดกับประเทศต่างๆมากมาย ดังนั้นมันจึงสามารถใช้เป็นด่านกันชนได้ และการพัฒนาของเมืองกิลที่นี่ในอนาคตจะยอดเยี่ยมมากแน่นอน
ในขณะเดียวกันไม่นานหลังจากที่เหล่าผู้เล่นของเมืองปีกสีเงินถูกเทเลพอร์ตออกมาจากเมือง ข่าวการอัพเกรดของเมืองปีกสีเงินก็ถูกแพร่กระจายออกไปราวกับไฟป่า และมันก็ไปถึงหูของมหาอำนาจต่างๆอย่างรวดเร็วจนทำให้เกิดความโกลาหลไปหมด
ตอนที่ 2680 เมืองปีกสีเงิน
จักรวรรดิมังกรไฟ เมืองมังกรไฟ ร้านอาหารสกอร์ชชิ่งเฟรม :
ทันทีที่โคลท์ชาโด้วกลับเข้าสู่เกม เธอก็ได้รับการต้อนรับจากสายตาของหญิงสาวรูปร่างสูงและสวยงามที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเธอ ซึ่งผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากไวท์เฟเธอร์ที่พึ่งกลับเข้าสู่เกมเมื่อไม่นานมานี้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามตอนนี้ไวท์เฟเธอร์กับมีสีหน้าเศร้าหมองและกังวลอย่างสุดจะพรรณนา
“มีบางอย่างเกิดขึ้นงั้นหรอ ?” โคลท์ชาโด้วถาม ขณะที่ดวงตาสีเงินของเธอเริ่มปรา
กฎแววสับสนขึ้นมา
“เราพึ่งได้รับข่าวมาว่าเมืองปีกสีเงินของสภาสิบแปดปีกนั้นถูกอัพเกรดเป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐานแล้ว ซึ่งมันทำให้มหาอำนาจหลายกลุ่มที่ปฎิบัติการอยู่โดยรอบจักรวรรดิออร์คนั้นล้วนกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองปีกสีเงิน โดยพวกเขาทั้งหมดต่างวางแผนที่จะสร้างความร่วมมือระยะยาวกับสภาสิบแปดปีก ขณะที่กิลชั้นยอดและซุเปอร์กิลบางแห่งก็เริ่มพิจารณาจะทำแบบนั้นเช่นเดียวกัน ….” ไวท์เฟเธอร์รายงานด้วยน้ำเสียงสงบ
“เมืองปีกสีเงินได้รับการอัพเกรดเป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐานแล้วงั้นหรอ ?” โคลท์ชาโด้วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินรายงานของไวท์เฟเธอร์ ก่อนที่เธอจะยิ้มบางๆออกมา และกล่าวว่า “ไม่แปลกใจเลยที่เขาทำการปฎิเสธข้อเสนอของฉันโดยไม่ลังเล ดูเหมือนว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้เขามั่นใจจะทำแบบนั้น”
“รองหัวหน้ากิล ถ้าสภาสิบแปดปีกได้รับการปกป้องจากมหาอำนาจอื่นๆอีกมากมาย เราจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากขึ้นในการรับเอาวิธีการฝึกที่จะทำให้เข้าถึงขอบเขตจิตวิญญาณได้ ทำไมเราไม่ติดต่อไปยังมือแห่งนักบุญให้แจ้งเตือนไปยังมหาอำนาจต่างๆพวกนั้นล่ะ ?” ไวท์เฟเธอร์แนะนำอย่างเป็นห่วง
หัวหน้าของพวกเขานั้นมอบหมายหน้าที่มาให้พวกเขาเพียงอย่างเดียวที่สำคัญที่สุดก็คือ การรับเอาวิธีการฝึกที่จะทำให้เข้าถึงขอบเขตจิตวิญญาณได้ มาให้ได้ ส่วนอย่างอื่นเป็นเรื่องรอง ซึ่งหากสภาสิบแปดปีกได้รับการปกป้องจากมหาอำนาจหลายกลุ่มในโลกแห่งความจริง มหาอำนาจใดๆที่ต้องการจะกำหนดเป้าหมายมายังสภาสิบแปดปีกอย่างลับๆก็จะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากขึ้นในการทำเช่นนั้น
“นั่นไม่จำเป็นเลย มหาอำนาจเหล่านั้นจะร่วมมือกันปกป้องสภาสิบแปดปีกแล้วยังไงละ ?” โคลท์ชาโด้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เธออ่านรายงานที่ไวท์เฟเธอร์ส่งต่อมาให้เธอ “ตอนนี้ตัวตนของแบล๊คเฟรมได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ซึ่งสตาร์ลิ้งจะไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปแน่นอน ก่อนที่ฉันจะกลับเข้าสู่ God domain ฉันได้รับข่าวมาว่าเพื่อนเก่าผู้อยู่เบื้องหลังลู่ชิงหลัวนั้นหมดความอดทน และกำลังวางแผนจะลบรากฐานของสภาสิบแปดปีกทั้งหมดในเมืองเฟิงหลิน ซึ่งด้วยกำลังคนในปัจจุบันของสภาสิบแปดปีก พวกเขาจะไม่สามารถทนได้นานนัก ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำก็คือรอเท่านั้น ….”
“ตัวลู่ชิงหลัวเองนั้นไม่ได้มีความสามารถที่โดดเด่นใดๆเลย ในความเป็นจริงเหตุผลส่วนใหญ่ที่กิลสตาร์ลิ้งสามารถพัฒนามาถึงขั้นนี้ได้มันก็เป็นเพราะ เพื่อนเก่าผู้นี้สนับสนุนลู่ชิงหลัวอยู่ ซึ่งแม้ว่ามหาอำนาจหลายกลุ่มจะทำงานร่วมกัน แต่มันก็ไม่เพียงพอจะหยุดเพื่อนเก่าคนนี้ได้แน่นอน และแม้แต่ในไมโทโลจี้มันก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถต่อกรกับเขาได้”
“ฉันเข้าใจแล้ว งั้นในตอนนี้ฉันจะส่งคนไปจับตาดูสภาสิบแปดปีกไว้ ….” ไวท์เฟเธอร์พูดพลางพยักหน้า
….
ในช่วงเวลาที่โคลท์ชาโด้ว และไวท์เฟเธอร์กำลังพูดคุยกัน ในที่สุดการอัพเกรดของเมืองปีกสีเงินก็ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว และเมื่อวงเวทย์ที่ปกคลุมเมืองหายไป เมืองทั่วไปที่เคยตั้งอยู่บนเนินทรายนั้นก็ไม่มีอีกแล้ว มันได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นเมืองอันงดงามแทน และไม่ว่าจะเป็นในแง่ของขนาดหรือมาตราฐานการป้องกันเมือง เมืองปีกสีเงินโฉมใหม่นี้ได้แซงหน้าเมืองปีกสีเงินเก่าไปไกลมาก และในตอนนี้แม้ว่าผู้เล่นจะยืนอยู่ที่ด้านนอกของเมือง แต่พวกเขาก็สามารถจะสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงกระแสมานาที่หนาแน่นที่ไหลเข้าสู่สภาพแวดล้อมโดยรอบเมือง
ช่างเป็นมานาที่น่าอัศจรรย์จริงๆ !!! ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจมาก เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงการไหลของมานาที่ไหลเข้าเมืองมา
ซึ่งการที่เมืองปีกสีเงินถูกอัพเกรดจากเมืองขั้นสูงให้กลายไปเป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐาน มันก็ทำให้วงเวทย์หลักของเมืองได้รับการปรับปรุงอย่างมากด้วย ด้วยเหตุนี้ เมื่อบวกกับหอคอยเวทย์มนต์อีกห้าแห่งในเมือง เมืองปีกสีเงินจึงสามารถจะเทียบกับเมืองป่าหินได้แล้วในแง่ของความหนาแน่นของมานาในเมือง
หากผู้เล่นได้มาพักผ่อนในเมืองปีกสีเงิน ผลที่พวกเขาจะได้รับอาจไม่ดีเท่ากับสิ่งที่พวกเขาจะได้รับเมื่อพักผ่อนในโรงแรมอิสระของเมืองป่าหิน แต่อย่างไรก็ตามผลลัพธ์มันก็จะยังคงจัดว่ายอดเยี่ยมมาก ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย หากจะบอกว่าเมืองปีกสีเงินได้กลายเป็นดินแดนศักสิทธิ์แห่งใหม่สำหรับผู้เล่นไว้พักผ่อนแล้ว
เนื่องจากการโจมตีของมอนสเตอร์ Faux Saint แผนที่หลายแห่งในจักรวรรดิออร์คจึงได้เปลี่ยนเป็นแผนที่เป็นกลางเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย ซึ่งโดยปกติผู้เล่นจะถือว่านี่เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง แต่น่าเสียดายที่แผนที่เป็นกลางเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยเหล่านี้นั้นไม่เพียงแต่จะมีมานาที่เบาบางมากเท่านั้น แต่เนื่องจากสถานการณ์ที่ค่อนข้างพิเศษของจักรวรรดิออร์ค มันจึงทำให้ผู้เล่นไม่สามารถจะใช้อะเม้าท์บินได้ และม้วนคัมภีร์วาร์ปกลับเมืองเดินทางไปมาที่นี่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันก็ยังมีพลังประหลาดที่มีฤทธิ์สึกกร่อนอยู่ในแผนที่เป็นกลางทั้งหมดนี้ เป็นผลให้ผู้เล่นส่วนใหญ่รู้สึกเบื่อหน่ายกับการปฎิบัติการในแผนที่เป็นกลางที่ถูกสร้างขึ้นใหม่เหล่านี้
อย่างไรก็ตามด้วยการปรากฎขึ้นของเมืองปีกสีเงินที่เป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐานในจักรวรรดิออร์ค มันจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้มากมาย ซึ่งอย่างน้อยที่สุดผู้เล่นก็จะไม่ต้องเดินทางไปยังเมือง NPC ที่อยู่ห่างไกลเพื่อฟื้นฟูอีกต่อไป และในความเป็นจริง ผู้เล่นจะได้รับอัตราการฟื้นฟูตัวเองที่เร็วกว่าในเมืองของ NPC ทั่วไปด้วยซ้ำ เมื่อมาพักผ่อนในเมืองปีกสีเงิน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ซือเฟิงตื่นเต้นอย่างแท้จริงนั้นไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงของความหนาแน่นของมานาภายในเมือง แต่เป็นสนามบินของเมือง
เดิมสนามบินของเมืองปีกสีเงินนั้นมีขนาดเท่ากับสนามกีฬาเท่านั้น อย่างไรก็ตามหลังจากการอัพเกรดครั้งนี้ของเมืองปีกสีเงิน สนามบินก็ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่เช่นกัน ตอนนี้สนามบินไม่เพียงแต่จะมีขนาดใหญ่ขึ้นสามเท่า แต่จำนวนท่าจอดเรือเหาะที่มีอยู่มันก็ยังเพิ่มขึ้นหลายเท่าด้วย
ตอนนี้เมืองปีกสีเงินได้กลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐานแล้ว ดังนั้สิ่งที่ฉันต้องทำตอนนี้ก็แค่จ่ายเงินเพื่อเปิดเส้นทางการบินเพิ่มขึ้นไปยังเมืองหลวงของอาณาจักรต่างๆ ซึ่งเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ผู้เล่นจากอาณาจักรต่างๆก็จะสามารถเดินทางเข้ามายังเมืองปีกสีเงินได้โดยตรงเช่นกัน และในเวลานั้นรายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียม และค่าบริการเรือเหาะ ก็น่าจะเทียบได้กับรายได้ของโรงแรมอิสระ ซึ่งนี่มันทำให้ซือเฟิงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวัง ในขณะที่เขามองไปยังสนามบินที่อยู่ห่างไกล
ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา สนามบินนั้นเป็นหนึ่งในแหล่งรายได้หลักของเมืองกิล เพราะท้ายที่สุด มันไม่ใช่ว่าผู้เล่นทุกคนจะมีอะเม้าท์บินได้ หรือบ้านส่วนตัวอยู่ในเมืองกิลต่างๆ ดังนั้นเรือเหาะจึงได้กลายเป็นหนึ่งในรูปแบบการเดินทางและขนส่งขั้นพื้นฐานของผู้เล่นใน God domain ตอนนั้น
ก่อยหน้านี้สนามบินของเมืองปีกสีเงินได้รับอนุญาติให้มีเส้นทางการบินเพียงเส้นเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามตอนนี้หลังจากที่เมืองปีกสีเงินได้รับการอัพเกรดเป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐานแล้ว สนามบินก็สามารถจะมีเส้นทางการบินได้ถึงห้าเส้นทาง และจำนวนนี้ก็จะเพิ่มขึ้นไปอีกเช่นกันเมื่อมีการอัพเกรดเมืองหรือสนามบินในอนาคต
ก่อนที่ซือเฟิงจะทันได้หายจากอาการที่เต็มไปด้วยความสุขที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของสนามบิน เสียงการแจ้งเตือนของระบบก็ได้ดังขึ้นมาที่หูของเขา
….
ระบบ : ยินดีด้วย !!! เมืองปีกสีเงินได้รับการอัพเกรดให้เป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐานแล้ว !!! และบริษัทขนส่งในเมืองปีกสีเงินก็มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดสำหรับการเลื่อนเป็นระดับทองแดงแล้ว คุณต้องการจะอัพเกรดบริษัทขนส่งไหม ?
….
มันไปถึงระดับทองแดงแล้ว ? ซือเฟิงตกตะลึงเมื่อได้อ่านการแจ้งเตือนของระบบ
บริษัทขนส่งนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่ค่อนข้างพิเศษมาก และระบบการอัพเกรดของมันก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งก่อสร้างทั่วไป
เพราะแทนที่มันจะต้องใช้เงินหรือป้ายอัพเกรดเพื่ออัพเกรดมัน มันแค่ต้องปฎิบัติตามเงื่อนไขพิเศษบางอย่างเท่านั้นจึงจะสามารถอัพเกรดได้
และเท่าที่ซือเฟิงรู้นั้น ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา มหาอำนาจหลายกลุ่มประสบความสำเร็จในการอัพเกรดบริษัทขนส่งขึ้นไปเป็นระดับทองแดงก็หลังจากที่เมืองของพวกเขากลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นกลางแล้วเท่านั้น
แต่ตอนนี้เมืองปีกสีเงินที่พึ่งจะได้รับการอัพเกรดเป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐาน กับมีสิทจะได้อัพเกรดบริษัทขนส่งให้เป็นระดับทองแดงแล้ว ดังนั้นโดยธรรมชาติ ซือเฟิงจึงรู้สึกประหลาดใจมากๆ
เมื่อบริษัทขนส่งได้อัพเกรดไปเป็นระดับทองแดงนั้น มันก็จะมีความสามารถในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเมืองกิลอย่างแท้จริง
หลังจากบริษัทขนส่งถูกอัพเกรดไปเป็นระดับทองแดงแล้ว บริษัทก็จะไม่จำกัดธุรกิจของตนให้อยู่แค่ในเฉพาะประเทศบ้านเกิดของตนอีกต่อไป บริษัทจะเริ่มขยายการดำเนินงานออกไปนอกพรหมแดน และกลายเป็นศูนย์กลางที่เชื่อมต่อประเทศต่างๆเข้าด้วยกัน ซึ่งแม้แต่ NPC ในเผ่าพันธุ์ที่เป็นกลางก็จะเริ่มใช้มันเป็นศูนย์กลาง
กล่าวอีกนัยหนึ่งไม่เพียงแต่มันจะมีความเป็นไปได้ที่จะค้นพบสินค้าจากเผ่าพันธุ์ที่เป็นกลางในบริษัทขนส่ง แต่บริษัทขนส่งเองก็ยังจะกลายเป็นสถานที่ที่พ่อค้า NPC สามารถพัฒนาธุรกิจของตนได้
พูดง่ายๆก็คือตราบใดที่เมืองกิลขนาดใหญ่มีบริษัทขนส่งระดับทองแดงอยู่ กิลผู้ที่ปกครองของเมืองก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก และเมืองกิลที่มีบริษัทขนส่งแบบนี้ก็จะมีช่วงเวลาที่ง่ายขึ้นมากในการกลายเป็นเมืองหลัก
ในขณะเดียวกันหลังจากมองไปที่การแจ้งเตือนของระบบล่าสุด ซือเฟิงก็ได้เลือกจะอัพเกรดบริษัทขนส่งอย่างไม่ลังเล
ตอนที่ 2681 สภาสิบแปดปีกที่หยิ่งผยอง
ระบบ : บริษัทขนส่งจะสามารถรีโนเวทได้หนึ่งครั้งหลังจากการอัพเกรด ด้วยการใช้เงินสี่หมื่นเหรียญทอง และคริสตัลเวทย์มนต์หนึ่งแสนชิ้น คุณต้องการจะดำเนินการรีโนเวทไหม ? (หมายเหตุ : การอัพเกรดจะเกิดขึ้นแม้ว่าจะไม่มีการรีโนเวทใหม่ก็ตาม)
….
“ต้องการ !!!” ซือเฟิงกล่าวโดยไม่ลังเล
แม้ว่าในตอนนี้สภาสิบแปดปีกจะค่อนข้างมีเงินทุนหนามาก แต่กิลก็มีเงินที่สามารถนำออกมาใช้ในเวลาฉุกเฉินหรือไม่คาดคิดได้อยู่แค่หนึ่งแสนเหรียญทอง กับคริสตัลเวทย์มนต์สี่แสนชิ้นเท่านั้น และแม้ว่าการรีโนเวทใหม่จะไม่ได้ให้ฟังชั่นเพิ่มเติมใดๆ แต่มันก็มีข้อดีอย่างหนึ่งก็คือการช่วยให้ร้านค้า NPC สามารถจะทำธุรกิจได้มากขึ้น
หากบริษัทขนส่งมีพ่อค้า NPC เข้ามามากขึ้น ไม่เพียงแต่มันจะมีเควสให้ผู้เล่นเลือกรับมากขึ้นเท่านั้น แต่มันยังจะมีสินค้าอีกมากมายเข้ามาขายด้วย ซึ่งปัจจัยทั้งสองนี้จะช่วยดึงดูดผู้เล่นให้เข้ามาพัฒนาในเมืองปีกสีเงินมากขึ้น
ซึ่งทันทีที่ซือเฟิงตัดสินใจ เงินสี่หมื่นเหรียญทอง และคริสตัลเวทย์มนต์หนึ่งแสนชิ้นก็หายไปจากกระเป๋าของเขา
หลังจากนั้นบริษัทขนส่งซึ่งตั้งอยู่ที่ขอบเมืองก็เปลี่ยนเป็นหมอกสีดำที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วและเติบโตจนมีขนาดเท่ากับสนามกีฬาสี่แห่งในเวลาเพียงห้าวินาที จากนั้นหมอกทั้งหมดก็สลายไป และเมื่อหมอกหายไปอาคารสูงห้าชั้นก็ปรากฎขึ้นมาแทน
ในขณะที่ซือเฟิงกำลังสังเกตบริษัทขนส่งที่ถูกรีโนเวทใหม่อย่างเงียบๆ ยู่หลานก็ติดต่อเขาเข้ามา
“หัวหน้ากิล เราวางโครงสร้างมาตราฐานการรักษาความปลอดภัยของเมืองเสร็จสิ้นแล้ว และเราได้กำหนดค่าเข้าเมืองเป็นจำนวนสิบเหรียญเงินต่อคนตามที่หัวหน้าแนะนำแล้ว ตอนนี้เราสามารถจะเปิดเมืองปีกสีเงินได้ทุกเมื่อ ….” ยู่หลานกล่าวอย่างตื่นเต้น
ก่อนหน้านี้หลังจากข่าวการอัพเกรดของเมืองปีกสีเงินแพร่กระจายออกไป ผู้เล่นหลายคนจากประเทศต่างๆก็ล้วนพากันเดินทางเข้ามารอเวลาที่เมืองปีกสีเงินจะเปิดขึ้นใหม่กันอย่างกระตือรือร้น และจากการประมาณการคร่าวๆ มันมีผู้เล่นอย่างน้อยสองล้านคนที่ตั้งเต๊นท์อยู่นอกเมือง ด้วยมีผู้เล่นจำนวนมากขนาดนี้ที่เฝ้ารอจะเข้าเมือง สภาสิบแปดปีกก็จะได้รับโชคลาภประมาณหนึ่งเลยทีเดียวจากการเก็บค่าเข้า
ก่อนหน้านีเเมืองปีกสีเงินไม่สามารถจะเก็บค่าเข้าเมืองได้ เนื่องจากมันเป็นเพียงเมืองขั้นสูง และแหล่งรายได้หลักก่อนหน้านี้ของเมืองนั้นก็คือค่าเช่าร้านค้า และบริษัทการค้าแสงเทียน แต่ตอนนี้พวกเขาจะสามารถเก็บค่าเข้าจากผู้ที่ต้องการเข้าเมืองปีกสีเงินได้แล้ว ซึ่งมันจะทำให้สภาพคล่องของสภาสิบแปดปีกเพิ่มขึ้นแน่นอน
“เอาล่ะ เปิดเมืองเลย” ซือเฟิงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ
หลังจากได้รับอนุมัติจากซือเฟิง ยู่หลานก็ปิดการใช้งานวงเวทย์ซึ่งป้องกันไม่ให้ผู้เล่นภายนอกเข้ามาในเมืองได้ที่คฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครองเมืองทันที
ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้นั้น เมืองปีกสีเงินโฉมใหม่ก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของทุกคนอย่างรวดเร็ว
เมื่อเมืองปีกสีเงินเปิดให้สาธารณชนเข้าอีกครั้ง ฝูงชนที่รออยู่นอกกำแพงเมืองต่างก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง
“อึก !! นี่มันช่างอลังการมากๆ !! ไม่ใช่ว่าเมืองนี้อยู่ในมาตราฐานเดียวกับเมืองป่าหินแล้วงั้นหรอ ?!”
“รูปลักษณ์ของเมืองนั้นไม่ใช่สิ่งเดียวที่น่าอัศจรรย์ !!! แต่เป็นความหนาแน่นของมานาในเมืองที่แผ่ออกมาต่างหาก !!! มันให้ความรู้สึกด้อยกว่าเมืองป่าหินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น !!!”
“ฉันสงสัยจังว่าค่าเข้าเมืองจะมีราคาเท่าไหร่ หากราคาแพงเกินไป ผู้เล่นทั่วไปอย่างเราคงจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการพัฒนาในเมืองปีกสีเงิน”
….
ทุกคนนั้นต่างสงสัยเกี่ยวกับเมืองปีกสีเงินในปัจจุบัน
มันอาจจะไม่เป็นไรถ้านี่เป็นเมืองกิลขนาดใหญ่เมืองอื่นๆ แต่เมืองปีกสีเงินนั้นเป็นเมืองกิลเพียงเมืองเดียวที่สามารถป้องกันการรุกรานจากกองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint นับล้านได้ในตอนที่ยังเป็นเพียงเมืองขั้นสูง แต่ตอนนี้มันได้กลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นพื้นฐานแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่ากองทัพมอนสเตอร์ Faux Saint จะโจมตีและทำลายเมืองได้ยากขึ้นแน่นอน โดยมันอาจกล่าวได้ว่าตอนนี้เมืองปีกสีเงินนั้นเป็นที่ๆปลอดภัยที่สุดในดินแดนของมอนสเตอร์ Faux Saint ก็ว่าได้
ในขณะเดียวกันความปลอดภัยก็เป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของผู้เล่นทั่วไปและผู้เชี่ยวชาญ
ในระยะนี้ของเกม ผู้เล่นหลายคนจะตกอยู่ในความสิ้นหวัง แม้กระทั่งการต้องเผชิญหน้ากับความตายเพียงครั้งเดียว เพราะท้ายที่สุดหลังจากมาถึงเลเวลหนึ่งร้อยหรือสูงกว่าขึ้นไป ไม่เพียงแต่การเก็บเลเวลจะทำได้ยากขึ้นเท่านั้น แต่อุปกรณ์เลเวลหนึ่งร้อยหรือมากกว่าก็ยังคงมีค่ามากเช่นกัน ซึ่งการสูญเสียอุปกรณ์แบบนี้ไปสักชิ้น มันอาจจะทำให้ผู้เล่นต้องใช้เวลาฟื้นฟูตัวเองหลายวันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ผู้เล่นมารวมตัวกันที่ประตูหลักของเมืองปีกสีเงิน พวกเาก็ตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น
“ค่าเข้าเมืองสิบเหรียญเงิน ?! นี่สภาสิบแปดปีกบ้ารึปล่าว ?!!” ซัมมอนเนอร์หญิงในชุดเสื้อคลุมสีดำจากฟรอสต์ฮีฟเว่นอุทานในขณะที่ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ ขณะที่เธอมองไปยังเหล่าองครักษ์ส่วนตัวขั้นสามจำนวนหนึ่งที่ทำหน้าที่เก็บค่าเข้าเมือง
ปัจจุบันเมืองกิลที่ตั้งอยู่ในแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยหรือมากกว่าจะเรียกเก็บค่าเข้าเมืองของผู้เล่นแค่ราวสองเหรียญเงินต่อคนเท่านั้น และแม้ว่าค่าเข้าเมืองปีกสีเงินจะแพงกว่าเล็กน้อย เนื่องจากมันเป็นเมืองกิลเพียงแห่งเดียวในดินแดนของมอนสเตอร์ Faux Saint แต่ค่าเข้าสิบเหรียญเงินต่อคน ซึ่งมากกว่าเมืองกิลอื่นๆห้าเท่านั้นมันก็มากเกินไป !!!
ยิ่งไปกว่านั้นแผนที่ที่เมืองปีกสีเงินตั้งอยู่มันก็ยังไม่ได้มีเลเวลสูงมากนัก และแม้ว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากมอนสเตอร์ Faux Saint แต่แผนที่ก็ได้รับการอัพเกรดให้เป็นเพียงแผนที่เป็นกลางเลเวลแปดสิบเท่านั้น ไม่มใช่แผนที่เป็นกลางเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย และหากผู้เล่นต้องการจะเดินทางไปยังแผนที่เป็นกลางเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย พวกเขาก็ยังคงต้องเดินทางไปอีกค่อนข้างไกล ดังนั้นเมืองปีกสีเงินจึงถือได้ว่าเป็นเพียงสถานีขนส่งและพักผ่อนเท่านั้น ผู้เล่นนั้นไม่จำเป็นจะต้องแวะในเมืองเพื่อออกล่าในแผนที่เป็นกลางเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยของจักรวรรดิออร์ค
ซัมมอนเนอร์หญิงจากฟรอสต์ฮีฟเว่นไม่ใช่คนเดียวที่ตกตะลึงกับค่าเข้าเมืองที่ดูจะแพงเกินไปของเมืองปีกสีเงิน สมาชิกของมหาอำนาจต่างๆที่วางแผนจะเข้ามาในเมืองเองก็มีอาการเดียวกัน พวกเขาอดสงสัยไม่ได้ว่านี่สภาสิบแปดปีกเป็นบ้าไปแล้วรึไง
เดิมทีมันก็มีผู้เล่นเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เต็มใจจะปฎิบัติการในดินแดนของมอน
สเตอร์ Faux Saint เพราะท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่ามอนสเตอร์ Faux Saint จะทำให้ผู้เล่นสามารถเก็บเลเวลได้อย่างรวดเร็ว แต่พวกมันก็ไม่ได้ดรอปอาวุธหรืออุปกรณ์ใดๆรวมไปถึงเหรียญด้วย สำหรับวัสดุ พวกมันก็ดรอปน้อยกว่ามอนสเตอร์อื่นๆมาก นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าการปฎิบัติการภายในอาณาเขตของมอนสเตอร์ Faux Saint นั้นอันตรายกว่าการปฎิบัติการที่อื่นมาก แม้ว่าค่าเข้าเมืองสิบเหรียญเงินจะไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม แต่มันก็นับเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างมากสำหรับผู้เล่นขั้นสอง
หากสภาสิบแปดปีกยืนยันที่จะเก็บค่าเข้าเมืองที่สิบเหรียญเงินต่อคน มันก็จะแทบไม่มีผู้เล่นขั้นสองคนใดเลยที่เต็มใจจะเข้ามาเยี่ยมชมเมืองนี้แน่นอน
ในขณะเดียวกันตอนนี้ God domain มีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามอยู่กี่คนกัน ?
“อึก !! นี่สภาสิบแปดปีกคิดว่าเราโง่มากรึไง ?!”
“สภาสิบแปดปีกช่างหยิ่งผยองจริงๆ !!! ค่าเข้าสิบเหรียญเงินต่อคน ?! นี่สภาสิบแปดปีกคิดว่าเราจำเป็นจะต้องพัฒนาในจักรวรรดิออร์คมากๆเลยงั้นหรอ ?!”
ผู้เล่นขั้นสองจำนวนมากล้วนบ่นเกี่ยวกับค่าเข้าเมืองปีกสีเงิน บางคนถึงกับก่นด่าด้วยความไม่พอใจออกมาอย่างดัง ก่อนหน้านี้พวกเขาสามารถจะปฎิบัติการต่อในดินแดนของมอนสเตอร์ Faux Saint ได้ เพราะมันไม่ต้องเสียเงินใดๆในการที่จะเข้าสู่เมืองปีกสีเงิน ด้วยการเก็บค่าเข้าสิบเหรียญเงินต่อคน ตอนนี้มันก็ไม่ต่างจากการที่สภาสิบแปดปีกกำลังไล่ผู้เล่นขั้นสองอย่างพวกเขาออกให้ห่างจากเมืองปีกสีเงิน
ในขณะเดียวกันบรรยากาศที่หนักหน่วงก็เข้าปกคลุมทีมหนึ่งพันคนที่ยืนอยู่ห่างจากประตูหลักของเมืองปีกสีเงิน
“รองผู้บัญชาการ ค่าเข้าเมืองสิบเหรียญเงินต่อคนนั้นมันมากเกินไป หากเราต้องจ่ายค่าเข้าเมืองจำนวนมากขนาดนี้ หลังจากหักค่าใช้จ่ายรายวันทั้งหมดแล้ว พวกขั้นสองของเรามันก็แทบจะไม่เหลืออะไรเลย ฉันขอแนะนำให้เรามุ่งหน้าไปที่อื่นเพื่อพัฒนาดีกว่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะพัฒนาต่อไปในเมืองปีกสีเงินได้” เบอเซิกเกอร์ขั้นสาม เลเวลหนึ่งร้อยเจ็ด กล่าวขณะที่เขามองไปยังโซลิดวินด์
“ฉันไม่คิดเลยจริงๆว่าสภาสิบแปดปีกจะโหดได้ถึงขนาดนี้ เราควรจะติดตามทีมนักผจญภัยอื่นๆเพื่อมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง หรือจักรวรรดิรัตติกาลเพื่อพัฒนา” Elementalist ชายขั้นสาม เลเวลหนึ่งร้อยสิบสามกล่าว
“วินด์ ราคานี้นั้นสูงเกินไปอย่างแน่นอน เราไม่สามารถจะจ่ายได้ในระยะยาว ทำไมเราไม่ลองไปที่จักรวรรดิรัตติกาลแทนล่ะ ? ฉันได้ยินมาว่ามันมีเมืองกิลที่ถูกสร้างขึ้นในแผนที่เป็นกลางเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยเช่นกัน นอกจากนี้เมืองเหล่านี้ยังไม่ได้เก็บค่าเข้าเมืองแพงขนาดนี้ด้วย” เครซบลูกล่าวแนะนำ
สมาชิกคนอื่นๆของทีมนักผจญภัยบลัดแพ็คพยักหน้าเห็นด้วย เมื่อเทียบกันแล้ว มันจะดีกว่าการมาจ่ายในราคาสูงเช่นนี้ให้กับสภาสิบแปดปีกแน่นอน
“โอเค เอาตามนั้น …. อย่างไรก็ตามเรายังมีเควสบางอย่างที่ต้องส่ง” โซลิดวินด์กล่าวพลางถอนหายใจ “บลู นายและคนอื่นๆจำนวนหนึ่งตามฉันเข้าไปข้างใน ส่วนคนอื่นๆรอข้างนอก ….”
สมาชิกของบลัดแพ็คคนอื่นๆพยักหน้ารับทราบคำสั่งของโซลิดวินด์
นอกเหนือจากบลัดแพ็คแล้ว ทีมนักผจญภัยอื่นๆก็ตัดสินใจคล้ายๆกัน โดยมอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามบางส่วนของตัวเองเข้าไปส่งเควสในเมืองปีกสีเงิน ในขณะที่พวกเขาวางแผนจะออกจากจักรวรรดิออร์ค และมุ่งหน้าไปยังเมืองกิลเมืองใดเมืองหนึ่งในประเทศอื่นเพื่อพัฒา
หลังจากนั้น แม้จะมีผู้เล่นจำนวนมากมารวมตัวกันรอบนอกเมืองปีกสีเงิน แต่มันก็มีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เข้าไปในเมือง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น