Reincarnation Of The Strongest Sword God 2445 - 2456

 2445 คุณมีสองทางเลือก


“หัวหน้ากิล พวกเขาเป็นคนคุ้นเคยของหัวหน้างั้นหรอ ?” อควาโรสถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นซือเฟิงพึมพำกับตัวเอง


ทวีปด้านตะวันตก และทวีปด้านตะวันออกนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก และแม้ว่าระยะห่างระหว่างทวีปทั้งสองด้านจะมีไม่มากเท่ากับระยะห่างระหว่างทวีปหลักกับโลกอื่นๆของ God domain แต่มันก็เหมือนกับว่ามีกำแพงกั้นอยู่ระหว่างทวีปทั้งสองด้าน


ไม่เพียงแต่ข้อมูลของทวีปทั้งสองด้านจะแยกออกจากกัน แต่วัฒนธรรมของทวีปทั้งสองด้านยังแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่นผู้เล่นที่มีอาชีพเดียวกันจะมีทิศทางการพัฒนาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในทวีปทั้งสองด้าน และรูปแบบการต่อสู้ของพวกเขาก็จะค่อนข้างแตกต่างกัน


ในทวีปด้านตะวันออก การต่อสู้นั้นมันจะเน้นไปที่การใช้เทคนิคการต่อสู้ผสมผสานกับสกิลและเวทย์เป็นหลัก โดยการควบคุมมานานั้นจะมีบทบาทเป็นแค่ผู้สนับสนุนเท่านั้น ในขณะเดียวกันในทวีปด้านตะวันตกการต่อสู้นั้นมันก็จะใช้ความสามารถในการควบคุมมานาของสกิลและเวทย์เป็นหลัก ในขณะที่เทคนิคการต่อสู้นั้นใช้เพื่อสนับสนุนเท่านั้น


นอกเหนือจากความแตกต่างในรูปแบบการต่อสู้แล้ว ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างทวีปด้านตะวันตกกับตะวันออกนั้นก็คือรูปแบบการจัดการต่างๆที่อาณาจักรและจักรวรรดิต่างๆนำมาใช้


ในทวีปด้านตะวันออกนั้น อาณาจักรและจักรวรรดิต่างๆของ NPC จะใช้กองทัพที่ขึ้นตรงกับเมืองหลวงเพื่อจัดการกับเมืองของตนเอง อย่างไรก็ตามที่ทวีปด้านตะวันตก เมืองส่วนใหญ่ของ NPC จะได้รับการจัดการโดยสมาคมนักผจญภัย กองทัพของอาณาจักรและจักรวรรดิต่างๆจะมีหน้าที่แค่รักษาความปลอดภัยพรหมแดนระหว่างประเทศ และมีหน้าที่ป้องกันกองกำลังหลักของสัตว์ปีศาจก็เท่านั้น


เนื่องจากสัตว์ปีศาจนั้นมีอยู่จำนวนมากในทวีปด้านตะวันตก ดังนั้นกองทัพของสัตว์ปีศาจจึงบุกเข้าสู่อาณาจักรและจักรวรรดิต่างๆของทวีปด้านตะวันตกเป็นประจำ ในความเป็นจริงสัตว์ปีศาจเหล่านี้เปิดการโจมตีเมืองทุกๆสองถึงสามวันด้วย ซึ่งมันบ่อยกว่าเหตุการณ์ล้อมเมืองของมอนสเตอร์ในทวีปด้านตะวันออกมาก และบางครั้งสัตว์ปีศาจเหล่านี้นั้นก็สามารถจะยึดเมืองแถบชายแดนไปได้เลยด้วยซ้ำ


ซึ่งหากอาณาจักรและจักรวรรดิต่างๆในทวีปด้านตะวันตกล้มเหลวในการเข้ายึดเมืองคืนจากพวกสัตว์ปีศาจเหล่านี้ กิจกรรมของผู้เล่นก็จะถูกจำกัดลงไปอย่างมาก ในทางกลับกันยิ่งอาณาจักรและจักรวรรดิต่างๆเข้ายึดเมืองของปีศาจได้มากเท่าไหร่ กิจกรรมของผู้เล่นก็จะเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน ทวีปด้านตะวันตกนั้นไม่ได้มีแผนที่เป็นกลางที่ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน และดินแดนที่อาณาจักรกับจักรวรรดิต่างๆครอบครองอยู่นั้น มันก็ตกอยู่ในความผันผวนอย่างต่อเนื่อง


ดังนั้นทวีปด้านตะวันตกจึงถูกระบุว่าเป็น “ทวีปสัตว์ปีศาจ” และการต่อสู้ระดับชาติก็เกิดขึ้นที่นี่บ่อยกว่าที่ทวีปด้านตะวันออกมาก และมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย หากอาณาจักรบางอย่างที่ถูกทำลายไปก่อนหน้านี้จะกลับมาปรากฎขึ้นอีกครั้ง


ถ้าผู้เล่นทั้งสิบคนจากสภาสิบแปดปีกมีคนคุ้ยเคยคอยนำทางให้กับพวกเขาในทวีปด้านตะวันตกนั้นมันก็จะช่วยพวกเขาได้มาก เพราะท้ายที่สุดแล้วสถานการณ์ของทวีปด้านตะวันตกนั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และผู้เล่นที่ไม่ได้คุ้นเคยกับทวีปด้านตะวันตกก็จะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากมากในการจะรวมตัว และสร้างฐานอำนาจขึ้นที่นี่


“เราไม่ได้คุ้นเคยกัน เราเป็นแค่คนรู้จักน่ะ …” ซือเฟิงตอบพลางส่ายหัว ขณะที่เขามองไปยังหยานเซี่ยวเฉียนที่กำลังต่อสู้และบัญชาการรบไปด้วย


เขานั้นรู้จักหยานเซี่ยวเฉียนก็จากการแข่งขันเล่นแร่แปรธาตุภายในของหอการค้าอาซูเท่านั้น


แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินมาว่าหอการค้าอาซูนั้นได้มอบภารกิจสำคัญให้หยานเซี่ยว

เฉียนมาทำหน้าที่จัดการในทวีปด้านตะวันตก แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับผู้หญิงคนนี้ที่นี่


ปัจจุบันนั้นหยานเซี่ยวเฉียน นั้นเป็นนักเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสาม เลเวลหนึ่งร้อยหกแล้ว นอกจากนี้เธอยังสวมใส่อุปกรณ์ระดับไฟน์โกล เลเวลหนึ่งร้อยห้าอยู่จำนวนหนึ่ง และคทาคริสตัลสีม่วงที่เธอถืออยู่นั้นมันก็แผ่ออร่าของไอเทมระดับอีปิคออกมาอย่างชัดเจน และในภาพรวมนั้นก็เห็นได้ชัดว่าคทานี้เป็นอาวุธระดับอีปิค เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย ซึ่งในระยะนี้ของเกมนั้นมาตราฐานอุปกรณ์ของเธอจัดว่าแทบจะอยู่ในจุดสูงสุดของ God domain เลย


ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าการควบคุมมานาของเธอก็ยังจะได้รับการปรับปรุงอย่างมาก นับตั้งแต่ที่ซือเฟิงได้พบกับเธอครั้งสุดท้าย ตอนนี้เธอสามารถร่ายเวทย์ได้ด้วยอัตราความสำเร็จในการใช้สกิลเก้าสิบห้าเปอเซ็นต์หรือมากกว่านั้นแล้ว และพลังเวทย์ที่เธอแสดงออกมานั้น มันก็ชัดเจนเลยว่าสามารถเทียบกับแกรนลอร์ดในเลเวลเดียวกันได้


ในขณะที่ทีมของซือเฟิงกำลังสังเกตการณ์เหตุการณ์ด้านล่างอยู่เงียบๆ ผู้เล่นที่ต่อสู้กันอยู่ก็สังเกตเห็นทีมของซือเฟิง


“พวกเขาเป็นใครกัน ? พวกเขาไม่รู้หรอว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างหอการค้าอาซู กับ เผ่าศักสิทธิ์น่ะ …” ราชันเบอเซิกเกอร์ขั้นสาม ซึ่งเป็นผู้อาวุโสของหอการค้าอาซูพึมพำพลางขมวดคิ้ว ขณะที่เขามองไปยังเหล่าผู้เล่นที่อยู่บนอินทรีสายฟ้า


ณ จุดนี้ แม้แต่มหาอำนาจต่างๆก็ยังไม่สามารถจะประเมินผู้เชี่ยวชาญขั้นสามต่ำเกินไปได้ ในขณะเดียวกันสิ่งที่ผู้อาวุโสผู้นี้สามารถบอกได้เลยก็คือ ทีมสิบคนของซือเฟิงนั้นน่าจะประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญขั้นสามที่ทรงพลังมากๆ และสำหรับมหาอำนาจทั่วไป พวกเขาก็จะจัดว่าเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัวแน่นอน


อย่างไรก็ตามสำหรับมหาอำนาจอย่างหอการค้าอาซู และเผ่าศักสิทธิ์นั้น ทีมสิบคนของผู้เชี่ยวชาญขั้นสามพวกนี้ ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลใดๆ


อย่างไรก็ตามในทวีปด้านตะวันตกนั้น สิ่งที่มหาอำนาจต่างๆคิดว่ามันมีปัญหามากที่สุดก็คือ เมื่อจู่ๆมีบุคคลที่สามปรากฎขึ้นในระหว่างการต่อสู้ของมหาอำนาจสองกลุ่ม เพราะท้ายที่สุดแล้วมันจะไม่มีใครรู้เลยว่าบุคคลที่สามนี้จะทำเพียงแค่ดูเฉยๆ และไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย หรือใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ ดังนั้นเมื่อมีบุคคลที่สามปรา

กฎตัวขึ้น มหาอำนาจทั้งสองจึงมักจะหยุดการต่อสู้ระหว่างกัน และหันไปจัดการบุคคลที่สามก่อน แล้วค่อยกลับมาต่อสู้กันอีกครั้ง


หอการค้าอาซูและเผ่าศักสิทธิ์ ทั้งสองล้วนเป็นมหาอำนาจที่ผู้เล่นในทวีปด้านตะวันตกรู้จักดี อย่างไรก็ตามตอนนี้กับมีใครบางคนไม่สนใจใดๆ และมาเฝ้ามองการต่อสู้ของพวกเขา ….


แบล๊คเฟรม ?! ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ ?! หยานเซี่ยวเฉียนนั้นเต็มไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ เมื่อเธอเห็นซือเฟิงที่นั่งอยู่บนอินทรีสายฟ้า เขาปฎิบัติการอยู่แค่ในทวีปด้านตะวันออกไม่ใช่หรอ ?


หยานเซี่ยวเฉียนนั้นมีความประทับใจในระดับหนึ่งต่อซือเฟิง เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาเป็นผู้ที่ทำให้ไซเร้นวอร์นเดอร์เอาชนะเธอได้ในระหว่างการแข่งขันเล่นแร่แปรธาตุภายในของหอการค้าอาซู ซึ่งมันทำให้ตระกูลของเธอนั้นสูญเสียสิทธิ์ในการปกครองหอการค้าอาซูไป


เพราะนอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว ตัวตนของซือเฟิงในฐานะผู้เล่นขั้นสามนั้นมันก็ทำให้ทั่วทั้งสถานที่สั่นคลอน


ในตอนนั้นไม่มีมหาอำนาจแม้แต่กลุ่มเดียวที่มีผู้เล่นขั้นสาม แต่ซือเฟิงกับประสบความสำเร็จในการกลายเป็นผู้เล่นขั้นสามได้ด้วยตัวเอง และแม้แต่หลงเซี่ยงหลงซึ่งเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสูงสุดของหอการค้าอาซูก็ยังต้องยอมรับความพ่ายแพ้ต่อซือเฟิง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย


อย่างไรก็ตามเธอก็ได้เยาะเย้ยในความโง่เขลาของซือเฟิงไปเช่นกันที่ปฎิเสธโอกาสในการที่จะได้กลายเป็นพันธมิตรของหอการค้าอาซู และทิ้งโอกาสที่ดีเยี่ยมในการจะได้รับทรัพยากรของทวีปด้านตะวันตก ดังนั้นเธอจึงไม่เคยคิดเลยว่าซือเฟิงจะมาปรา

กฎตัวในทวีปด้านตะวันตกตอนนี้ !!!


“เซี่ยวเฉียน เธอรู้จักพวกเขางั้นหรอ ?” ผู้อาวุโสที่เป็นราชันเบอเซิกเกอร์ถาม เมื่อเขาสังเกตเห็นความตกใจบนใบหน้าของหยานเซี่ยวเฉียน


ณ จุดนี้ หยานเซี่ยวเฉียนนั้นนับเป็นว่าที่ผู้อาวุโสสูงสุดของหอการค้าอาซูในอนาคต ซึ่งเธอก็ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีมากๆ แม้ว่าตอนนี้เธอจะเป็นเพียงแค่ผู้อาวุโสทั่วไป แต่ตำแหน่งของเธอรวมกับตัวตนของเธอนั้น มันก็ทำให้เธอมีสถานะสูงกว่าผู้อาวุโสทั่วไปมาก และเธออยู่ในอำนาจที่จะสามารถโต้เถียงกับรองหัวหน้าของหอการค้าได้ด้วยซ้ำ


ถ้าทีมของซือเฟิงเป็นคนรู้จักของหยานเซี่ยวเฉียน พวกเขาก็จะมองข้ามการล่วงละเมิดของทีมซือเฟิง อย่างไรก็ตาม หากไม่ใช่หอการค้าอาซูจะไม่ปล่อยให้พวกเขาหลุดจากเบ็ดไปแน่นอน


“เราเป็นแค่คนรู้จักกัน พูดให้ถูกคือพวกเขาเป็นเพื่อนของไซเร้นวอร์นเดอร์” หยานเซี่ยวเฉียนกล่าวหลังจากครุ่นคิด


ถ้าเป็นไปได้หยานเซี่ยวเฉียนนั้นก็ไม่ต้องการที่จะยอมรับเลยว่าเธอรู้จักกับซือเฟิง เพราะท้ายที่สุดไซเร้นวอร์นเดอร์นั้นก็เป็นคู่แข่งของเธอ และสภาสิบแปดปีกก็เป็นผู้สนับสนุนของไซเร้นวอร์นเดอร์


“เพื่อนของวอร์นเดอร์งั้นหรอ ?” เมื่อผู้อาวุโสที่เป็นราชันเบอเซิกเกอร์ได้ยินคำพูดของหยานเซี่ยวเฉียน ดวงตาของเขาที่มองไปยังทีมของซือเฟิงก็เปลี่ยนไป “อย่างไรก็ตามเรื่องนี้จะเป็นปัญหาแน่นอน เพราะพวกเผ่าศักสิทธิ์จะไม่ปล่อยให้พวกเขาหลุดจากเบ็ดไปแน่”


ตระกูลหลงนั้นได้ถือว่าไซเร้นวอร์นเดอร์เป็นทายาทลำดับที่หนึ่งของตระกูลแล้วในอนาคต และเนื่องจากตอนนี้ตระกูลหลงได้รับสิทธิ์ในการปกครองหอการค้าอาซู ดังนั้นตำแหน่งในตอนนี้ของไซเร้นวอร์นเดอร์จึงสูงกว่าผู้อาวุโสสูงสุดของหอการค้าบางคนด้วยซ้ำ


ดังนั้นเพื่อนของไซเร้นวอร์นเดอร์จึงถือเป็นเพื่อนของหอการค้าอาซูเช่นกัน


เพียงแต่ว่าตอนนี้นั้นพวกเขายุ่งอยู่กับการปกป้องเหมือง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถแบ่งกำลังคนไปช่วยทีมของซือเฟิงได้


ในขณะที่ผู้อาวุโสที่เป็นราชันเบอเซิกเกอร์พูดจบ กองทัพของเผ่าศักสิทธิ์ก็ได้ส่งผู้เล่นนับร้อยไปเพื่อสกัดกั้นทีมของซือเฟิง และในบรรดาผู้เล่นเหล่านี้มีมากถึงยี่สิบคนที่เป็นผู้เล่นขั้นสาม และผู้ที่นำทีมนี้ก็คือแม๊คอาฟรี่ หนึ่งในรองผู้บัญชาการกองกำลังหลักของเผ่าศักสิทธิ์

เนื่องจากมรดกพิเศษของเขา มันจึงทำให้แม๊คอาฟรี่นั้นมีร่างกายขนาดมหึมาสูงสามเมตร ซึ่งทำให้เขาได้รับฉายาว่า “เครื่องจักรยักษ์” และแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม ขอบเขตโดเมนบางคนก็ยังไม่สามารถจะต่อสู้กับเขาได้นานนัก


ในช่วงเวลาต่อมา แม๊คอาฟรี่ที่ขี่ค้างคาวยักษ์ก็บินมาถึงตรงหน้าทีมของซือเฟิงที่ขี่อินทรีสายฟ้าอยู่ และเขาก็จ้องมองไปยังทีมของซือเฟิงพลางแผ่ออร่าออกมาปกคลุมพื้นที่รอบๆ


“ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่เนื่องจากคุณกล้าที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบของเผ่าศักสิทธิ์ ดังนั้นอย่าคิดว่าจะจากไปได้ง่ายๆ” แม๊คอาฟรี่พูดน้ำเสียงที่หยาบกระด้าง และดังมาก “คุณทุกคนมีสองทางเลือก อย่างแรกเลยคือขอโทษ และมอบอุปกรณ์ระดับไฟน์โกล เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยมาให้พวกเราสิบชิ้น แล้วสำหรับอีกตัวเลือกหนึ่ง ฉันเชื่อว่าคุณคงจะไม่ชอบมันนัก …”


เมื่อได้ยินคำพูดของแม๊คอาฟรี่ สมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์รอบๆตัวเขาก็หัวเราะออกมา ในขณะที่พวกเขามองไปยังทีมของซือเฟิง ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ได้หยิบม้วนคัมภีร์วงเวทย์ขึ้นมาใช้ปิดผนึกพื้นที่โดยรอบ และติดตามวิญญาณของสมาชิกสภาสิบแปดปีกไว้


ซึ่งมันก็เห็นได้ชัดจากการกระทำของเหล่าสมาชิกเผ่าศักสิทธิ์ว่าพวกเขานั้นมีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้กับผู้เล่นที่มีอะเม้าท์บินได้อย่างมาก


อย่างไรก็ตามแม๊คอาฟรี่ และคนของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อทีมของซือเฟิงยังคงสงบอยู่ แม้จะได้ยินคำเตือนที่พวกเขาถือว่าเป็นมิตร และในความเป็นจริง แววตาของพวกเขาจ้องมองมายังแม๊คอาฟรี่และทีมของเขาอย่างสงสารด้วยซ้ำ


นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?


ครู่หนึ่งสมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์นั้นถึงกับสับสนเลยด้วยซ้ำว่าฝ่ายไหนที่แข็งแกร่ง และฝ่ายไหนที่อ่อนแอ


“ฉันจะให้คุณสองทางเลือกเช่นกัน อย่างแรกคือขอโทษและจ่ายค่าชดเชย โดยฉัไม่ต้องการอะไรมาก ฉันต้องการแค่อุปกรณ์ระดับไฟน์โกล เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย หนึ่งร้อยชิ้น สำหรับอีกตัวเลือกหนึ่ง ฉันเชื่อว่าคุณก็คงจะไม่ชอบมันมากนักเช่นกัน” ซือเฟิงตอบโต้กลับ และเขาก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นชาพลางมองไปยังเหล่าสมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์


2446 เสียใจ


ทันทีที่ซือเฟิงพูดจบ ความเงียบก็เข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณทันที และเหล่าสมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์ก็ล้วนจ้องมองไปยังซือเฟิงด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง


ซือเฟิงนั้นไม่ได้พูดเสียงดังมาก และผู้เล่นทั่วไปที่ยืนอยู่ห่างจากไปราวยี่สิบหลาก็จะไม่สามารถได้ยินเขาแล้ว อย่างไรก็ตามทุกคนในปัจจุบันนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญ และประสาทสัมผัสทั้งห้าของพวกเขาก็เหนือกว่าผู้เล่นทั่วไปมาก ดังนั้นพวกเขาจึงได้ยินคำพูดของซือเฟิงอย่างชัดเจน


อย่างไรก็ตามสมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์นั้นก็อดจะสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาได้ยินผิดรึ

ปล่าว


ท้ายที่สุดแล้ว มันจะมีคนที่กล้าพูดกับเผ่าศักสิทธิ์แบบนี้ได้ยังไงกัน ?


แม้แต่หัวหน้าของหอการค้าอาซูก็ยังไม่กล้าจะพูดกับคนของเผ่าศักสิทธิ์ด้วยท่าทีหยิ่งผยองแบบนี้ แต่ผู้เล่นขั้นสามที่เป็นใครมาจากไหนไม่รู้อย่างซือเฟิงกับกล้าพูดงั้นหรอ ?


“นี่พวกคุณไม่ได้ยินที่หัวหน้ากิลของเราพูดงั้นหรอ ?! หากคุณรีบขอโทษอย่างรวดเร็ว และยอมจ่ายค่าชดเชยเป็นอุปกรณ์ระดับไฟน์โกล เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย หนึ่งร้อยชิ้น เราก็ยินดีจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป ไม่งั้นผลที่ตามมามันจะไม่ใช่สิ่งที่คุณชอบมากนักแน่นอน !!!” โคล่าพูดซ้ำคำพูดของซือเฟิง ขณะที่เขามองไปยังสมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์ที่ยังคงตกตะลึงอยู่


ซึ่งแตกต่างจากซือเฟิง โคล่านั้นได้ตะโกนเลย และคำพูดของเขาก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ นับประสาอะไรกับพวกสมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์ที่ล้อมรอบพวกเขาอยู่ แม้แต่ผู้เล่นเบื้องล่างหลายหมื่นคนก็ยังได้ยินเขาอย่างชัดเจน


“คนเหล่านี้เป็นใครกัน ? พวกเขากล้าพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าเผ่าศักสิทธิ์จริงๆงั้นหรอ ?”


“แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร แต่ตอนนี้พวกเขาจะได้ตายอย่างแน่นอน”

“พวกเขาจะไม่ตายแค่ครั้งเดียวด้วยในวันนี้ เพราะจากการกล้าทำแบบนี้เผ่าศักสิทธิ์จะฆ่าพวกเขาจนกลับลงไปอยู่เลเวลศูนย์แน่นอน !!!”


สมาชิกของหอการค้าอาซูนั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึง ขณะที่พวกเขามองไปยังทีมของซือเฟิงที่อยู่บนอินทรีสายฟ้า เพราะแม้แต่หัวหน้าหอการค้าของพวกเขาก็ยังไม่กล้าทำตัวหยิ่งผยองมากขนาดนี้ต่อหน้าคนของเผ่าศักสิทธิ์


เผ่าศักสิทธิ์นั้นจัดเป็นกิลชั้นยอดระดับต้นๆเลยในตอนที่ God domain เปิดตัว และตอนนี้พวกเขาก็ใกล้จะกลายเป็นซุเปอร์กิลแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจาก God domain ได้รับความนิยมมากขึ้น เผ่าศักสิทธิ์จึงได้รับการอัดฉีดเงินทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งเข้ามามากขึ้น ซึ่งในตอนนี้นั้นมันก็ทำให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาเหนือกว่าซุเปอร์กิลบางกิลไปแล้ว นี่คือเหตุผลที่เผ่าศักสิทธิ์นั้นกล้าจะต่อสู้กับหอการค้าอาซูเพื่อแย่งชิงเส้นเลือดแร่เงินปีศาจ


“เซี่ยวเฉียน นี่คนพวกนี้บ้ารึปล่าว ?” ผู้อาวุโสของหอการค้าอาซูที่เป็นราชันเบอเซิกเกอร์ถามขึ้นอย่างตกตะลึงกับสถานการณ์นี้ ตอนแรกเขานั้นคิดว่าทีมของซือเฟิงอาจเลือกจะหนีไป หรือไม่ก็ขอความช่วยเหลือจากหอการค้าอาซู อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เขาไม่ได้คาดคิดเลย เพราะซือเฟิงจงใจยั่วยุเผ่าศักสิทธิ์อย่างไม่ลังเล


ในขณะที่แม้ว่าหัวหน้าของหอการค้าอาซูจะปรากฎตัวขึ้น แต่เขาก็จะไม่สามารถห้ามไม่ให้คนของเผ่าศักสิทธิ์จัดการกับทีมของซือเฟิงได้แน่นอน


หยานเซี่ยวเฉียนเองก็รู้สึกสับสนกับสถานการณ์นี้มากเช่นกัน หากเป็นไปได้เธอก็อยากจะถามว่าซือเฟิงคิดอะไรอยู่


นี่เขาคิดว่าสถานที่นี้จะเหมือนกับเมืองหินปีศาจที่ไม่มีใครสามารถทำอะไรผู้เล่นขั้นสามได้งั้นหรอ ?


ขณะที่หยานเซี่ยวเฉียนมองไปยังซือเฟิงนั้น คำอธิบายเดียวที่เธอคิดได้สำหรับสถานการณ์นี้ก็คือ เขามีความเชื่อว่ามหาอำนาจต่างๆจะไม่กล้าแตะต้องเขา เพราะเขาเป็นผู้เล่นขั้นสาม เนื่องมาจากครั้งก่อนนั้นมหาอำนาจต่างๆที่อยู่ในเมืองหินปีศาจก็ได้แสดงความเคารพต่อเขาอย่างมากเช่นกัน


อย่างไรก็ตามสถานการณ์ตอนนี้กับตอนนั้นมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง !!!


ย้อนกลับไปตอนนั้น ซือเฟิงสามารถจะทำตัวเย่อหยิ่งได้ในฐานะผู้เล่นขั้นสาม เนื่องจากไม่มีใครจะสามารถทำอะไรกับเขาได้


อย่างไรก็ตามตอนนี้มหาอำนาจทุกกลุ่มนั้นก็ล้วนมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากอยู่หลายโหลแล้วภายใต้การคำสั่งของพวกเขา และแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับสัตว์ประหลาดขั้นสามนั้นก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะแสดงท่าทีหยิ่งผยองต่อหน้ามหาอำนาจต่างๆอีกต่อไป


โดยเฉพาะในทวีปด้านตะวันตกที่เต็มไปด้วยสัตว์ปีศาจ ผู้เล่นที่อาศัยอยู่ที่นี่นั้นมีประสบการณ์การต่อสู้มากกว่าผู้เล่นในทวีปด้านตะวันออกอย่างมาก และมรดกกับไอเทมต่างๆใช้นั้นมันก็ช่วยเพิ่มพลังในการต่อสู้ให้มากกว่าสิ่งที่ผู้เล่นในทวีปด้านตะวันออกใช้อย่างมาก


นับประสาอะไรกับผู้เล่นขั้นสาม มหาอำนาจต่างๆจะไม่มีปัญหาในการจะจัดการกับ NPC ขั้นสามด้วยซ้ำ เพราะท้ายที่สุดกองทัพสัตว์ปีศาจที่พวกเขาเคยเผชิญหน้ามานั้น บางตัวในหมู่พวกมันก็มีสติปัญญาเทียบเท่ากับ NPC เช่นกัน และมหาอำนาจต่างๆก็สามารถจะฆ่าสัตว์ปีศาจเหล่านี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก


ในขณะที่หยานเซี่ยวเฉียน และสมาชิกคนอื่นๆของหอการค้าอาซูกำลังตกตะลึงกับการกระทำอันบ้าคลั่งของซือเฟิง แม๊คอาฟรี่ที่อยู่บนหลังของค้างคาวยักษ์ก็ยิ้มออกมา


“ดีมาก !!! ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ได้มาที่นี่ด้วยความไม่รู้สินะ !!! ไม่งั้นคุณคงไม่กล้าจะยั่วยุเผ่าศักสิทธิ์แบบนี้ !!!” แม๊คอาฟรี่กล่าวด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา ขณะจ้องมองไปยังซือเฟิง “เรื่องนี้จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น จงเสียใจกับการยั่วยุครั้งนี้ของคุณซะ เพราะมันจะมีเพียงแต่นรกเท่านั้นที่รอคุณอยู่นับจากนี้ !!!”


ทันทีที่แม๊คอาฟรี่กล่าวจบ เหล่าผู้เชี่ยวชาญของเผ่าศักศิทธิ์หลายคนที่ล้อมรอบทีมของซือเฟิงอยู่ก็ได้เปิดใช้งานม้วนคัมภีร์เวทย์มนต์ในมือของพวกเขาทันที ซึ่งมันไม่เพียงแต่จะปิดผนึกพื้นที่โดยรอบ แต่มันยังวางเครื่องหมายติดตามวิญญาณทีมของซือเฟิงไว้ ด้วยวิธีนี้แม้ว่าทีมของซือเฟิงจะตายและไปฟื้นคืนชีพที่อื่น พวกเขาก็ยังจะสามารถติดตามไปได้


ในเวลาเดียวกันนั้นผู้เชี่ยวชาญขั้นสองของเผ่าศักสิทธิ์ หลายร้อยคนก็ได้ทำการวางวงเวทย์ผสานกันที่ใต้ฝ่าเท้าของอินทรีสายฟ้า และร่ายเป็นสกิล AOE หลอมรวมขนาดใหญ่


ทันใดนั้นเสาไฟและหอกไฟจำนวนมากก็โผล่ออกมาจากวงเวทย์ และพุ่งเข้าใส่ทีมของซือเฟิงทันที ซึ่งเวทย์เหล่านี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเวทย์ขั้นสามของผู้เชี่ยวชาญขั้นสามจริงๆเลยแม้แต่น้อย ในความเป็นจริงในแง่ของพลัง เวทย์เหล่านี้บางส่วนมีพลังเท่ากับเวทย์ขั้นสี่ด้วย


ตู้ม … ตู้ม … ตู้ม …


ชั่วครู่หนึ่งบริเวณท้องฟ้าที่อินทรีสายฟ้าบินอยู่ก็กลายเป็นทะเลเพลิง และคลื่นกระแทกนั้นมันก็แผ่ออกไปหลายร้อยหลาเลยทีเดียว


“ช่างสิ้นเปลืองอย่างแท้จริง เดิมทีเวทย์พวกนี้ควรจะใช้ใส่ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดขั้นสามของหอการค้าอาซู แต่ตอนนี้เรากับมาใช้ใส่คนที่ไม่รู้จักเหล่านี้ …” Elementalist หญิงขั้นสามที่มีผมสีแดง และนั่งอยู่ด้านหลังแม๊คอาฟรี่กล่าวพลางเดาะลิ้นของเธอ


สิบวันก่อนหน้านี้ ผู้เล่นขั้นสามนับเป็นตัวตนที่มหาอำนาจต่างๆไม่สามารถจะประมาทได้


อย่างไรก็ตามสถานการณ์ตอนนี้มันแตกต่างออกไปแล้ว มหาอำนาจต่างๆไม่เพียงแต่จะมีผู้เล่นขั้นสามเป็นของตัวเองจำนวนหนึ่งแล้ว แต่พวกเขายังมีวิธีการฆ่าผู้เล่นขั้นสามด้วย


เมื่อเผชิญหน้ากับเวทย์หลอมรวมที่ถูกร่ายโดยผู้เล่นขั้นสอง สามสิบคนนั้น แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามที่แข็งแกร่งอย่างมากก็จะตายได้ทันที หากประมาท นี่ไม่ต้องพูดถึงว่าครั้งนี้พวกเขาใช้สกิลเวทย์หลอมรวมถึงเจ็ดสกิลพร้อมกัน ….


“เอาล่ะเตรียมพร้อมจะใช้ม้วนคัมภีร์ฟื้นคืนชีพชุบชีวิตพวกนี้ !!! ฉันอยากจะทำให้พวกเขาได้รู้ว่าการยั่วยุเผ่าศักสิทธิ์นั้นมันเป็นการกระทำที่โง่เขลามากขนาดไหน !!”

แม๊คอาฟรี่กล่าวออกคำสั่ง และให้ผู้เล่นที่มีม้วนคัมภีร์ฟื้นคืนชีพก้าวออกไปด้านหน้า


ม้วนคัมภีร์ฟื้นคืนชีพนั้นเป็นเครื่องมือล้ำค่าที่จะสามารถพบได้ในซากปรักหักพังโบราณเท่านั้น และเอฟเฟคดั้งเดิมของม้วนคัมภีร์นั้นก็คือการชุบชีวิตเพื่อนที่ตายไปในสนามรบ อย่างไรก็ตามมันก็ยังคงมีประโยชน์มากเช่นกัน เมื่อพวกเขาต้องการฆ่าผู้เล่นของศัตรูซ้ำๆ


กระนั้นหลังจากที่สมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์ที่ถือม้วนคัมภีร์ฟื้นคืนชีพพยายามจะฟื้นคืนชีพทีมของซือเฟิง พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังม้วนคัมภีร์ด้วยความสับสน


“มีอะไรผิดปกติ ? ทำไมยังไม่ฟื้นคืนชีพพวกเขา ?” แม๊คอาฟรี่กล่าว หลังจากที่ได้เห็นว่าม้วนคัมภีร์ฟื้นคืนชีพยังคงอยู่ในมือคนของเขา


“รองผู้บัญชาการ ด้วยเหตุผลบางอย่างม้วนคัมภีร์มันไม่สามารถใช้งานได้ มันอาจจะพัง” แรนเจอร์ขั้นสามรายงาน


“พัง ?”


แม๊คอาฟรี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับสถานการณ์นี้ จากนั้นเขาก็จ้องมองไปยังทะเลเพลิงตรงหน้าของเขา


ม้วนคัมภีร์ฟื้นคืนชีพนั้นไม่เคยพังหรือล้มเหลวในการเปิดใช้งานมาก่อน หากการฟื้นคืนชีพล้มเหลว มันก็หมายถึงสิ่งเดียวเท่านั้น


เป้าหมายในการฟื้นคืนชีพยังมีชีวิตอยู่ !!!


ในช่วงเวลาต่อมาเมื่อเปลวไฟทั้งหมดหายไป มันก็ปรากฎร่างของอินทรีสายฟ้าและทีมของซือเฟิงที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์มากๆ เพราะมันมีบาเรียบางอย่างแยกพวกเขาออกจากนรกโดยรอบ


บาเรียนี้นั้นก็ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากสกิลโดเมนสมบูรณ์แบบของซือเฟิง


“เมื่อพวกคุณโจมตีกันเรียบร้อยแล้ว งั้นมันก็ถึงตาฉันแล้ว !!!” ซือเฟิงประกาศ จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและเริ่มทำการร่ายไฟร์โดเมน ใส่กลุ่มของแม๊คอาฟรี่


2447 พลังที่แท้จริงของแหวนเจ็ดลูมินาลี่


ในขณะที่ซือเฟิงเริ่มทำการร่ายเวทย์ วงเวทย์ขนาดใหญ่ที่ปกคลุมรัศมีหกสิบหลาก็ปรากฎขึ้นเหนือแม๊คอาฟรี่ และคนของเขาหลายร้อยคน


“สกิลเวทย์ AOE ทำลายล้างขนาดใหญ่ ? ไม่เลว ..” เมื่อแม๊คอาฟรี่เห็นวงเวทย์ขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นเหนือเขา เขาก็ประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่านักดาบแบบซือเฟิงจะมีเวทย์หายากแบบนี้ และเขาก็ได้ตะโกนบอกคนของเขาทันทีว่า “ทุกคนรีบใช้ม้วนคัมภีร์เคลื่อนย้ายทันที แล้วออกไปจากที่นี่ !!!”


สกิลเวทย์ AOE ทำลายล้างขนาดใหญ่นั้นไม่ใช่สิ่งที่แปลกสำหรับมหาอำนาจต่างๆของ God domain อีกต่อไป เพราะสกิลเวทย์แบบนี้นั้นมักจะถูกใช้บ่อยๆในช่วงสงครามกิล อันเนื่องมาจากมันจะมีประสิทธิภาพสูงสุดในการต่อสู้ขนาดใหญ่


ดังนั้นมหาอำนาจต่างๆจึงได้คิดมาตราการรับมือที่เหมาะสมเอาไว้แล้ว และพวกเขาก็มักจะใช้ม้วนคัมภีร์เคลื่อนย้ายทันทีเพื่อหลบหนีออกจากสกิลเวทย์ AOE แบบนี้ให้ไวที่สุด


แม้ว่าสกิลเวทย์ AOE แบบนี้จะมีพลังทำลายล้างที่น่ากลัว แต่มันก็มีระยะเวลาในการร่ายนานมาก ซึ่งเมื่อมีคนสังเกตเห็นสกิลเวทย์แบบนี้ พวกเขาก็จะสามารถหลบหนีการโจมตีได้อย่างง่ายดายด้วยม้วนคัมภีร์เคลื่อนย้ายทันที


แน่นอนสกิลเวทย์ AOE แบบนี้ก็ยังคงมีผลกระทบอย่างมาก สงครามกิลนั้นมักจะเต็มไปด้วยความวุ่นวายและเกี่ยวข้องกับผู้เล่นจำนวนมหาศาล ซึ่งผู้เล่นบางคนก็จะล้มเหลวในการพยายามจะหลบหนีจากสกิลแบบนี้ อันเนื่องมาจากการรบกวนของศัตรู หรือไม่ก็ไม่มีม้วนคัมภีร์เคลื่อนย้ายทันที และสกิลเวทย์ AOE แบบนี้ก็จะยังคงโจมตีโดนผู้เล่นหลายคนให้หายไปได้ทันที โดยไม่คำนึงถึงผลของเรื่องทั้งหมดนี้


อย่างไรก็ตามแม๊คอาฟรี่และคนของเขาทั้งหมดไม่กี่ร้อยคนนี้ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญของเผ่าศักสิทธิ์ และทุกคนนั้นล้วนมีม้วนคัมภีร์เคลื่อนย้ายทันที ขั้นสองอยู่กับตัว ไม่ต้องพูดถึงขั้นหนึ่งเลย เพราะพวกเขาก็เตรียมมันไว้พร้อมทั้งหมดเช่นกันเพื่อไว้ใช้มันในเวลาที่ถูกโจมตีด้วยสกิลเวทย์ AOE ขนาดใหญ่ หรือไม่ก็พวกปืนใหญ่


เมื่อได้ยินคำสั่งเหล่าผู้เชี่ยวชาญของเผ่าศักสิทธิ์ก็ดึงม้วนคัมภีร์เคลื่อนย้ายทันทีออกมาจากกระเป๋า ในขณะเดียวกันแม๊คอาฟรี่ก็ได้นำอะเม้าท์บินได้ของเขาบินออกจากระยะของไฟร์โดนเมน


อย่างไรก็ตามในขณะที่ทุกคนกำลังจะหนีนั้น วงเวทย์ขนาดใหญ่นี้ที่อยู่เหนือพวเขาก็เสร็จสมบูรณ์ และมันก็เริ่มดูดซับมานาจากสภาพแวดล้อมโดยรอบ ซึ่งวงเวทย์นี้ก็ได้ดูดซับมานาทั้งหมดภายในรัศมีห้าร้อยหลาเข้ามาเลย


ตอนนี้ไม่เพียงแต่พื้นที่โดยรอบวงเวทย์นี้จะปราศจากมานา แต่การดูดซับมานาเข้ามาอย่างรวดเร็วนั้นมันยังสร้างผิดเพี้ยนเชิงพื้นที่ขึ้นโดยรอบบริเวณด้วย ชั่วขณะหนึ่งตอนนี้ท้องฟ้าก็มืดลง และผู้เล่นทุกคนที่อยู่ในระยะของไฟร์โดเมนนั้นก็รู้สึกไม่สบายตัวราวกับว่าพวกเขาพึ่งจมลงไปในหนองน้ำลึกที่ไร้ก้นบึ้ง


“มันเกิดอะไรขึ้น ? มันท้องฟ้าถึงมืดลง ?!”


“ตอนนี้มันยากมากที่จะหายใจและเคลื่อนไหว !!”


“ม้วนคัมภีร์เคลื่อนย้ายทันทีไม่สามารถจะเปิดใช้งานได้ ?!”


“ไม่ ไม่ถูกต้อง !!! มันไม่ใช่แค่ม้วนคัมภีร์เคลื่อนย้ายทันที !! ฉันไม่สามารถจะใช้สกิลบลิ้งขั้นสองของฉันได้เช่นกัน !! นี่มันเป็นสกิลเวทย์ AOE แบบไหนกัน ?!”


สมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์ที่ยังอยู่ในระยะของไฟร์โดเมนตอนนี้นั้นรู้สึกตื่นตระหนก และสูญเสียความสงบไปอย่างมาก


ก่อนที่พวกเขาจะทันได้หายตื่นตระหนกนั้น มานาจำนวนมากก็เริ่มโผล่ออกมาจากวงเวทย์ขนาดใหญ่เหนือสนามรบ


ในช่วงเวลาต่อมาเสาไฟที่สูงตะหง่านและลอยขึ้นจากพื้นดินก็ปรากฎขึ้น และมันก็ทำให้สมาชิกเผ่าศักสิทธิ์ทุกคนที่อยู่ในระยะนั้นถูกเผาทันที แม้แต่อุปกรณ์และอาวุธที่พวกเขาดรอปไว้หลังตายบางส่วนก็ยังถูกเผาไหม้ไปด้วยจนกลายเป็นสีดำสนิท และไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเศษโลหะ และอุณภูมิที่สูงของเสาไฟเหล่านี้นั้นก็ทำให้หินเบื้องล่างพวกเขาละลายกลายเป็นหินหนืดสีขาวเลย และผู้เล่นหลายคนก็ยังสัมผัสได้ถึงความร้อนของเปลวไฟนี้ แม้จะอยู่ห่างออกไปหลายร้อยหลา


ตอนนี้มันราวกับว่าเวลาได้หยุดนิ่ง ผู้เล่นหลายหมื่นคนเบื้องล่างในเหมืองต่างจ้องมองมายังเสาไฟที่กำลังลุกเป็นไฟนี้ด้วยความเงียบงัน


เขาทำอะไรกัน ? ความตกตะลึงและความอยากรู้อยากเห็น ตอนนี้มันมีอยู่เต็มไปหมดในดวงตาของหยานเซี่ยวเฉียน ขณะที่เธอมองไปยังซือเฟิงซึ่งอยู่บนหลังของอินทรีสายฟ้า


จากสิ่งที่เธอเห็น เธอก็สามารถจะบอกได้เลยว่าซือเฟิงได้ใช้สกิลเวทย์ AOE เพียงครั้งเดียว แต่นอกเหนือจากแม๊คอาฟรี่และผู้เล่นขั้นสามบนอะเม้าท์บินได้ของเขาแล้ว ผู้เล่นคนอื่นของเผ่าศักสิทธิ์นั้นก็ถูกเผาไปทั้งหมดเลย แม้ว่าพวกเขาจะดึงม้วนคัมภีร์เคลื่อนย้ายทันทีออกมาจากกระเป๋าแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังคงยืนอยู่นิ่งๆรอผลของสกิลของซือเฟิงทำงาน


ฉากที่เกิดขึ้นนี้มันจึงดูเหมือนว่าเผ่าศักสิทธิ์กับสภาสิบแปดปีกจะร่วมมือกันแสดงบางอย่างให้หอการค้าอาซูได้เห็น


อย่างไรก็ตามตอนนี้เผ่าศักสิทธิ์นั้นก็เป็นกิลชั้นยอดระดับต้นๆที่สามารถแข่งขันกับซุเปอร์กิลได้ และปัจจุบันพวกเขาก็อยู่ในทวีปด้านตะวันตก ไม่ใช่ตะวันออก ดังนั้นมันจึงไม่มีทางเลยที่มหาอำนาจแบบเผ่าศักสิทธิ์จะต้องทำถึงขนาดนี้เพื่อแสดงความเคารพต่อหัวหน้ากิลสภาสิบแปดปีก ซึ่งเป็นกิลกึ่งมหาอำนาจ


หยานเซี่ยวเฉียนและสมาชิกของหอการค้าอาซูไม่ใช่แค่กลุ่มเดียวที่ตกตะลึงกับเรื่องนี้ แม้แต่ซือเฟิงเองก็รู้สึกตกใจกับผลลัพธ์ที่เขาทำได้เช่นกัน


การร่ายไฟร์โดเมนด้วยร่างมานานั้น มันทำให้สกิลเวทย์นี้ทรงพลังขึ้นมากขนาดนี้เลยงั้นหรอ ? ซือเฟิงนั้นอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังแหวนเจ็ดลูมินาลี่บนนิ้วของเขา หลังจากที่ได้เห็นสมาชิกหลายร้อยคนของเผ่าศักสิทธิ์กลายเป็นเถ้า


แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าสกิลและเวทย์ที่ผู้เล่นใช้นั้นจะมีพลังมากขึ้น เมื่อผู้เล่นมาถึงขั้นสาม และได้รับร่างมานาเรียบร้อยแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่าสกิลเวทย์จากแหวนเจ็ดลูมินาลี่ที่เขาเปิดใช้งานมันจะทรงพลังมากขนาดนี้


เขาตั้งใจจะใช้ไฟร์โดเมนเพื่อทำให้สมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์ทั้งหมดกระจายตัวกันออกไป เพราะท้ายที่สุดสกิลเวทย์หลอมรวมของพวกเขานั้นมันเป็นเรื่องที่ยากจะรับมือมากๆ และเขาไม่สามารถให้พวกเขาสามารถทำการร่ายและใช้มันได้อย่างอิสระได้


เขานั้นไม่ได้คาดหวังที่จะสังหารหมู่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสองทั้งหมดด้วยไฟร์โดเมนเพียงอย่างเดียวเลย


และเวทย์นี้ก่อนจะแสดงผลของมัน มันยังได้ดูดซับมานาทั้งหมดในรัศมีห้าร้อยหลาเข้ามาอีก !!!


เขาได้เห็นเวทย์ที่น่ากลัวแบบนี้แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นในชีวิตที่ผ่านมาของเขา


การทำให้พื้นที่โดยรอบในระยะเวทย์ไร้ซึ่งมานาไปเลยนั้นนับเป็นความสามารถที่น่ากลัวมากๆ เพราะใน God domain มานานั้นเป็นรากฐานของทุกสิ่งภายในเกม และมันก็เป็นทั้งแหล่งที่มาของชีวิต และแหล่งที่มาของพลัง การให้ผู้เล่นเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่ไร้ซึ่งมานานั้นมันทรมานยิ่งกว่าการส่งคนไปอยู่พื้นที่สูญญากาศซะอีก


ไม่เพียงแต่ผู้เล่นจะไม่สามารถใช้สกิลและเวทย์ในพื้นที่ที่ไร้ซึ่งมานาได้ แต่แม้แต่การเอาชีวิตรอดก็จะยังคงเป็นปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้เล่นที่ยังไม่ได้รับร่างมานา การต้องเข้ามาอยู่ในพื้นที่แบบนี้นั้นมันจะเป็นอันตรายถึงชีวิตเลย


ในขณะที่ซือเฟิงจ้องมองไปยังแหวนเจ็ดลูมินาลี่ของเขา แม๊คอาฟรี่ก็จ้องมองมายังนักดาบด้วยความหวาดกลัว


นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่เขาได้พบกับเวทย์ที่สามารถกำจัดคนของเขาซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสองหลายร้อยคนได้ในทันที โดยไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาหนี


“รองผู้บัญชาการ เวทย์ที่ผู้เล่นคนนั้นพึ่งจะใช้นั้นมันทรงพลังมากเกินไป มันได้ดูดซับมานาทั้งหมดที่อยู่ในระยะของมันไป ผู้เล่นขั้นสามอย่างพวกเราอาจจะยังสบายในสภาพแวดล้อมแบบนี้ แต่สำหรับผู้เล่นขั้นสองนั้นพวกเขาจะไม่ต่างจากแกะที่รอถูกเชือดเลย” Elementalist หญิงผมแดงที่อยู่ด้านหลังของแม๊คอาฟรี่กล่าว ขณะที่เธอมองไปยังทีมของซือเฟิงด้วยสีหน้าจริงจัง


ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามคนอื่นๆของเผ่าศักสิทธิ์นั้นก็เริ่มมองไปยังทีมของซือเฟิงอย่างระมัดระวังและจริงจังมากขึ้นเช่นกัน ตอนนี้พวกเขาไม่กล้าที่จะประมาททีมของคนแปลกหน้าทีมนี้อีกต่อไปแล้ว


ด้วยเวทย์ AOE แบบนี้ของซือเฟิง พวกเขาจะไม่สามารถพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญขั้นสองในการโจมตีทีมของซือเฟิงได้ และพวกเขาสามารถพึ่งพาได้แค่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามแบบตัวพวกเขาเองเท่านั้น


น่าเสียดายที่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามนั้นยังคงหายากอย่างไม่น่าเชื่อ และการรวบรวมพวกเขาให้ได้มากพอที่จะเอาชนะผู้เชี่ยวชาญขั้นสามสิบคนจากทีมของซือเฟิงนั้นมันก็จะเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง หากซือเฟิงและทีมของเขาโฟกัสไปที่การหลบหนี


ทันใดนั้นซือเฟิงก็เงยหน้าขึ้นมองแม๊คอาฟรี่ และถามว่า “คุณต้องการจะต่อเลยไหม ?”


เป้าหมายของเขาในครั้งนี้นั้นคือการมาเยี่ยมชมทวีปด้านตะวันตก ไม่ใช่มาเพื่อเริ่มสงครามกับเผ่าศักสิทธิ์ เขาแค่บังเอิญมาเจอผู้เล่นเหล่านี้โดยบังเอิญ หากทีมของเผ่าศักสิทธิ์ไม่ได้เลือกจะต่อสู้ เขาก็คงจะเดินทางออกจากพื้นที่ตรงนี้ไปนานแล้ว


2448 เผ่าศักสิทธิ์ตกตะลึง


แม้ว่าซือเฟิงจะไม่ได้พูดเสียงดังมากนัก แต่แม๊คอาฟรี่และคนของเขาก็ได้ยินอย่างชัดเจน ซึ่งคำถามของซือเฟิงนั้มันก็ทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยความโกรธมากๆ


ตอนแรกพวกเขานั้นมั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถทำให้ทีมของซือเฟิงได้รู้ถึงความโง่เขลาของตัวเองที่กล้าจะมายั่วเผ่าศักสิทธิ์ แต่ในพริบตา นักดาบก็ได้ฆ่าสังหารหมู่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสองของเผ่าศักสิทธิ์ไปหลายร้อยคน


เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ทีมของซือเฟิงก่อขึ้นนั้นพวกเขายังพอทนได้ แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ทีมของซือเฟิง โดยเฉพาะหัวหน้าทีมอย่างซือเฟิงนั้นไปไกลเกินไปแล้ว


น้ำเสียงของซือเฟิงที่พูดออกมาเมื่อครู่นั้นมันแสดงออกอย่างชัดเจนเลยว่าเขาเต็มไปด้วยความสงสาร และเห็นอกเห็นใจผู้อ่อนแอ เขาไม่ได้ปฎิบัติต่อพวกเขาในฐานะศัตรูเลย เขาปฎิบัติต่อพวกเขาเพียงแค่เป็นตัวตนเล็กน้อยที่แทบไม่ควรค่าให้สนใจ


นี่มันนับเป็นความอัปยศและความน่าอับอายอย่างยิ้ง !!!


บ้าแล้ว !!! แบล๊คเฟรมจะต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ !!! ดวงตาของหยานเซี่ยวเฉียนที่จ้องมองผ่านกระจกเวทย์มนต์เพื่อเฝ้าสังเกตการสถานการณ์ตอนนี้นั้นก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง เธอนั้นไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าซือเฟิงกลายเป็นหัวหน้ากิลของสภาสิบแปดปีกได้อย่างไร ด้วยบุคลิกของเขา และเธอก็รู้สึกประหลาดใจมากจริงๆที่ซือเฟิง

อยู่รอดมาได้นานมากขนาดนี้ใน God domain


มันเป็นความจริงที่ว่าซือเฟิงนั้นสามารถจะทำให้แม๊คอาฟรี่ตกใจได้ด้วยพลังของไฟร์โดเมน เพราะท้ายที่สุดเอฟเฟคของเวทย์นี้มันน่ากลัวมากๆ และมันก็ทำให้ทุกคนที่เฝ้าดูสถานการณ์นี้อยู่ตกตกตะลึงมากเช่นกัน


ในขณะเดียวกันเมื่อทำแบบนี้แล้วนั้น นักดาบและทีมของเขาก็มีเวลามากพอที่จะหนีออกจากบริเวณนี้ผ่านอะเม้าท์บินได้ของเขา ซึ่งหากซือเฟิงและทีมของเขาทำแบบนั้น เหล่าสมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์ที่กำลังตกตะลึงอยู่ก็อาจจะยอมปล่อยให้เขาและทีมของเขาหนีไป


ถึงกระนั้นตอนนี้ ไม่เพียงแต่ซือเฟิงจะไม่พาทีมของเขาหนีไป …. แต่เขายังทำการยั่วยุเผ่าศักสิทธิ์ต่อด้วย


ซือเฟิงนั้นไม่รู้เลยหรือไงว่าสมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์ที่อยู่บริเวณเหมืองนี้นั้นมีมากกว่าเจ็ดพันคน และพวกเขาก็ยังมีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามที่มีอาวุธครบมืออีกมากกว่าหกสิบคน


เวทย์ AOE ขนาดใหญ่ของซือเฟิงนั้นทรงพลังอย่างมากแน่นอน แต่เวทย์แบบนี้นั้นก็มักจะมีคูลดาวน์ที่ยาวนานมากๆ และผู้เล่นส่วนใหญ่ก็จะนับว่าโชคดีมากแล้ว หากพวกเขาสามารถใช้เวทย์ AOE แบบนี้ได้สักสองครั้ง ในการต่อสู้ครั้งเดียว


ขณะเดียวกันผู้เล่นที่เฝ้าดูอยู่นั้นต่างก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงมากจริงๆ เพราะมันนานมากแล้วที่ไม่ได้มีสกิลหรือเวทย์แบบ AOE ทำลายล้างขนาดใหญ่แบบนี้สามารถสังหารหมู่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสองหลายร้อยคนในทวีปด้านตะวันตกได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้เชี่ยวชาญของเผ่าศักสิทธิ์หายจากอาการตกตะลึงนั้น พวกเขาก็สามารถที่จะฆ่าซือเฟิงและผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของเขาได้อย่างง่ายดายแน่นอน


กองทัพที่เผ่าศักสิทธิ์ได้ส่งมาเพื่อปิดล้อมและโจมตีเหมืองในครั้งนี้นั้น เป็นหนึ่งในกองกำลังหลักของกิลที่ได้รับการปรับโครงสร้างใหม่ และพวกเขาก็มีความแข็งแกร่งมากเพียงพอที่จะยึดเมืองกิล เมืองหนึ่งได้อย่างสบายๆเลย และกองทัพนี้ก็มีวิธีเอาชนะผู้เล่นขั้นสามมากกว่าหนึ่งวิธีด้วย มันไม่จำกัดอยู่แค่เฉพาะสกิล และเวทย์หลอมรวมเท่านั้น


อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้หยานเซี่ยวเฉียนประหลาดใจอย่างแท้จริงก็คือ พฤติกรรมของอควาโรสและคนอื่นๆ ที่แม้ว่าซือเฟิงจะอาละวาดมากขนาดนี้ แต่ก็ไม่มีใครพยายามที่จะหยุดเขา และพวกเขาก็ทำเพียงแค่เฝ้าดูราวกับว่าพวกเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้เลย ….


เธอนั้นนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าอควาโรสและคนอื่นๆมาจากกิลเดียวกับซือเฟิงจริงรึ

ปล่าว ….


“ต่อ ? ไอ้หนู คุณนี่หาเรื่องตายจริงๆ !!! คุณเพียงแค่สามารถใช้เวทย์ AOE ทำลายล้างขนาดใหญ่ที่ทรงพลังได้เท่านั้น แต่คุณกับคิดว่าคุณจะสามารถทำทุกอย่างที่ตัวเองต้องการได้ต่อหน้าเผ่าศักสิทธิ์งั้นหรอ ?!” แรนเจอร์ขั้นสามตะโกนขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยวจากด้านหลังของแม๊คอาฟรี่ และโดยไม่รอคำสั่ง แรนเจอร์ก็ได้ยิงลูกธนูสามดอกที่ทำจากคริสตัลเข้าใส่ซือเฟิงทันที


ทันทีที่ลูกธนูทั้งสามดอกถูกยิงออกจากคันธนูของแรนเจอร์ พวกมันก็ทลายกำแพงเสียงปล่อยโซนิคบูมที่สั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ และอากาศโดยรอบเองก็เริ่มสั่นคลอนจากพลังของลูกธนู แถมลูกธนูทั้งสามดอกนี้ก็ยังรวดเร็วมากๆจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าและสามารถจะทำให้แกรนลอร์ดในเลเวลเดียวกันบาดเจ็บสาหัสได้เลย


“ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่เนื่องจากคุณกล้าที่จะยั่วยุเผ่าศักสิทธิ์ ดังนั้นวันนี้พวกคุณจะต้องตายที่นี่ !!!” Elementalist หญิงผมแดงกล่าวออกมาอย่างเย็นชา ขณะที่เธอโบกคทาของเธอเริ่มใช้เวทย์ขั้นสาม Manifold Illusions โดยไม่ต้องร่ายแม้แต่นิดเดียว


ขณะเดียวกันลูกธนูคริสตัลทั้งสามดอกก็แยกออกเป็นหลายโหลและล๊อคเป้าไปที่ซือเฟิงทั้งหมด แถมลูกธนูที่แยกออกมายังมีพลังมากขึ้นด้วย


“อะไรกัน ?! คริมสันวิชนั้นก็เชี่ยวชาญการโจมตีแบบหลอมรวมงั้นหรอ !!!” หยานเซี่ยวเฉียนอุทาน ขณะที่เธอมองฉากนี้ผ่านกระจกเวทย์มนต์ในมือเธอ


ผู้เล่นนักเวทย์ทุกคนนั้นล้วนใฝ่ฝันที่จะสามารถเรียนรู้วิธีการโจมตีแบบหลอมรวมได้ หากแต่ว่ามันก็ทำได้ยากมากๆ ยากยิ่งกว่าการฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้ระดับทองแดงซะอีก และแม้แต่หยานเซี่ยวเฉียนก็ไม่สามารถจะคลี่คลายแนวคิดเบื้องต้นของเทคนิคนี้ได้


ทั่วทั้งหอการค้าอาซูนั้นมีเพียงหัวหน้า Elementalist ของหอการค้าอาซูเท่านั้นที่เชี่ยวชาญในการใช้เทคนิคนี้ แต่อย่างไรก็ตาม Elementalist ผู้นี้ก็เป็นสัตว์ประหลาดเก่าแก่ที่มีอายุมากแล้ว และแม้แต่ต้วนฮันซาน จากตระกูลต้วน ก็ยังต้องปฎิบัติต่อสัตว์ประหลาดเก่าแก่แบบนี้ด้วยความเคารพ และผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมนนั้นก็ไม่มีหวังที่จะเทียบกับเขาได้เลย


แต่ถึงกระนั้นคริมสันวิชของเผ่าศักสิทธิ์ที่พึ่งมาถึงขอบเขตโดเมนกับสามารถใช้เทคนิคนี้ได้ ….


หากผู้เล่นสามารถใช้เทคนิคนี้ได้โดยรวมสกิลหรือเวทย์ของตัวเองเข้ากับสกิลหรือเวทย์อื่นได้ การโจมตีที่เกิดขึ้นมันก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ และมีพลังมากพอจะก้าวข้ามขั้นได้ นี่คือเหตุผลที่ผู้เล่นนักเวทย์ทุกคนล้วนต่อสู้และฝึกฝนเพื่อเทคนิคนี้


ขณะที่ลูกธนูทั้งสิบสองกำลังมาถึงตัวเขานั้น ซือเฟิงก็ไม่ได้มีท่าทีกังวลใดๆ และเขาก็ทำการเหวี่ยงคิลลิงเรย์ของเขารับมือกับลูกธนูที่เข้ามาทันที


เทคนิคลับ ไลท์นิ่งแฟลช !!


Peng… Peng… Peng…


มันราวกับว่าลูกธนูนั้นพุ่งเข้าใส่กำแพงที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ และพวกมันก็ระเบิดออกมา พลางตกลงมาจากท้องฟ้าในขณะที่อยู่ไม่ไกลจากเป้าหมายนัก ซึ่งมันนั้นไม่สามารถเข้าใกล้ซือเฟิงในระยะห้าหลาได้เลย ไม่ต้องพูดถึงการทำให้นักดาบได้รับบาดเจ็บ ….


“เป็นไปไม่ได้ !!” ดวงตาของคริมสันวิชนั้นแทบจะถลนออกจากเบ้า เมื่อเธอเห็นลูกธนูกำลังตกลงสู่พื้นเบื้องล่าง


การโจมตีหลอมรวมของเธอกับแรนเจอร์นั้น แม้ว่ามัจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่มันก็เป็นการใช้สกิลขั้นสาม หลอมรวมกับเวทย์ขั้นสาม ซึ่งมันทรงพลังมากพอที่จะทำให้แกรนลอร์ดสายพันธุ์โบราณในเลเวลเดียวกันบาดเจ็บสาหัสได้เลย


แม้ว่าการโจมตีนี้จะไม่สามารถฆ่าผู้เล่นขั้นสามได้ในทันที แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะส่งให้คนๆหนึ่งปลิวกระเด็นไป


มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?


ทุกคนที่เฝ้ามองดูฉากนี้ต่างเต็มไปด้วยความตกตะลึง โดยเฉพาะกับผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของเผ่าศักสิทธิ์ และมันก็ไม่มีใครนึกออกเลยว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร


แม้แต่แม๊คอาฟรี่ รองผู้บัญชาการของพวกเขาก็ยังจะต้องเปิดใช้งานสกิลเบอเซิกร์เพื่อป้องกันการโจมตีเมื่อครู่นี้ อย่างไรก็ตามซือเฟิงกับไม่ได้เปิดใช้งานสกิลหรือเวทย์ใดๆเพื่อตอบโต้ลูกธนูเมื่อครู่นี้เลย ไม่ต้องพูดถึงสกิลเบอเซิกร์


“สัตว์ประหลาดที่แท้จริง ?” การแสดงออกของแม๊คอาฟรี่มืดมนลง เมื่อเขาเห็นว่าซือเฟิงนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บ


ฉายา “สัตว์ประหลาดที่แท้จริง” นั้นเกิดขึ้นมาเพื่อใช้ระบุตัวตนเฉพาะของผู้เล่นบางคนหลังที่มาถึงขั้นสาม และแม้ว่ามหาอำนาจหลายกลุ่มจะไม่รู้ว่าฉายานี้หมายถึงอะไร แต่มหาอำนาจอย่างเผ่าศักสิทธิ์นั้นก็รู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร


เผ่าศักสิทธิ์นั้นเคยเห็นความแข็งแกร่งของสัตว์ปประหลาดที่แท้จริงมาก่อน


สัตว์ประหลาดที่แท้จริงนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษซึ่งสามารถจะเอาชนะทีมผู้เชี่ยวชาญขั้นสามจำนวนหนึ่งร้อยคนได้สบายๆ


แม๊คอาฟรี่นั้นไม่สามารถนึกคำอธิบายอย่างอื่นได้ออกเลย นอกจากเรื่องนี้ว่าซือเฟิงสามารถหยุดการโจมตีเมื่อครู่ได้โดยไม่ได้รับความเสียหายเลยได้ยังไง


เป็นไปได้ยังไงกัน ? เขาเป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริง จริงๆงั้นหรอ ?


เมื่อพวกเขาได้ยินรองผู้บัญชาการของพวกเขาพึมพำเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามทั้งหมดในพื้นที่ก็ล้วนหันมาจ้องมองซือเฟิงด้วยความประหลาดใจ ขณะที่ปากของหยานเซี่ยวเฉียนเองก็อ้ากว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน เธอนั้นไม่สามารถเชื่อได้เลยว่าซือเฟิงจะเป็นหนึ่งในสัตว์ประหลาดที่แท้จริง !!!


2449 ทีมที่น่ากลัวของซือเฟิง


เนื่องจากแม๊คอาฟรี่นั้นได้บอกว่าซือเฟิงเป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริง ทุกคนจึงเริ่มหันไปมองยังนักดาบด้วยมุมมองที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะเหล่าสมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์ที่พวกเขานั้นไม่ได้แผ่เจตตนาฆ่าฟันออกมาอีกต่อไป


ตอนนี้พวกเขาทำเพียงแค่จ้องมองไปยังซือเฟิงด้วยความหวาดกลัวเท่านั้น


ไม่มีสมาชิกคนใดของหอการค้าอาซูแปลกใจกับเรื่องนี้เลย และพวกเขาก็ไม่ได้เยาะเย้ยสมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์ว่าเป็นคนขี้ขลาด เพราะพวกเขาเองก็รู้ดีว่าสัตว์ประหลาดที่แท้จริงขั้นสามนั้นทรงพลังมากขนาดไหน สัตว์ประหลาดที่แท้จริงนั้นสามารถจะยืนอยู่บนเวทีที่เท่าเทียมกับมหาอำนาจต่างๆของ God domain ได้เลย โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึงอำนาจในฐานะปัจเจกบุคคล เพราะพวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดที่มีอยู่ใน God domain ตอนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย


ความแตกต่างระหว่างผู้เชี่ยวชาญขั้นสามกับสัตว์ประหลาดที่แท้จริงนั้นมันยิ่งใหญ่มากจริงๆโดยเฉพาะกับเรื่องของพลังดิบและเทคนิค ….


สำหรับผู้เชี่ยวชาญขั้นสาม สัตว์ประหลาดที่แท้จริงเหล่านี้ก็เปรียบได้ดั่ง ฮีโร่ใน NPC ของเผ่ามนุษย์ ซึ่งความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นไปไกลเกินสามัญสำนึกปกติมาก และคนทั่วไปก็ไม่สามารถจะเทียบได้เลย


ไซเร้นวอร์นเดอร์ได้สร้างมิตรภาพกับผู้เชี่ยวชาญแบบนี้ขึ้นมาได้จริงๆงั้นหรอ ? ดูเหมือนว่าฉันจะต้องไปคุยกับเพื่อนเก่าสักหน่อยแล้ว


ขณะที่ผู้อาวุโสที่เป็นราชันเบอเซิกเกอร์ของหอการค้าอาซูเฝ้าดูการแสดงของซือเฟิงจากกระจกเวทย์มนต์ ความประทับใจที่เขามีต่อไซเร้นวอร์นเดอร์นั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก


แม้ว่าปัจจุบันตระกูลหลงจะมีสิทในการปกครองหอการค้าอาซู แต่ทรัพยากรส่วนใหญ่ของหอการค้าก็ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลผู้ถือหุ้นต่างๆของหอการค้า ซึ่งตระกูลเหล่านี้นั้นก็มีความแข็งแกร่งมากพอๆกัน และก็ไม่มีใครยอมรับอำนาจปกครองของใครอย่างเต็มที่สักคน ดังนั้นเพื่อที่จะทำให้ตัวเองมีอำนาจมากขึ้น พวกเขาจึงมักจะพยายามโน้มน้าวผู้อาวุโสของหอการค้าที่ไม่ได้อยู่ในเครือเช่นเขา และเป็นกำลังรบหลักของหอการค้าให้สนับสนุนพวกเขา


โดยธรรมชาติแล้วสิ่งนี้ทำให้ผู้อาวุโสของหอการค้าอย่างพวกเขานั้นมีตัวเลือกมากมาย


โดยทั่วไปแล้วผู้อาวุโส ราชันเบอเซิกเกอร์คนนี้ก็ยังรักษาท่าทีที่เป็นกลางในหอการค้าอยู่เช่นกัน ขณะที่เพื่อนสนิทของบางส่วนนั้นได้ทำการเลือกข้างไปแล้ว และหนึ่งในนั้นก็เลือกที่จะปฎิเสธการสนับสนุนตระกูลหลง และเลือกจะขัดทุกกอย่างที่ตระกูลหลงต้องการ


ก่อนวันนี้เขาไม่เคยสนใจมาก่อนเลยว่าเพื่อนคนนั้นจะทำอะไร เพราะท้ายที่สุดแล้วสิทในการเข้าปกครองหอการค้าอาซูของตระกูลหลงนั้น มันก็จัดว่าไม่มั่นคงอย่างมาก อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาได้ค้นพบว่า ไซเร้นวอร์นเดอร์ ซึ่งเป็นทายาทของตระกูลหลงนั้นมีความสัมพันธ์กับสัตว์ประหลาดที่แท้จริง ดังนั้นเพื่อนของเขาจึงจำเป็นจะต้องพิจารณาคำสั่งของตระกูลหลงอย่างรอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไซเร้นวอร์นเดอร์


การจะฆ่าผู้เชี่ยวชาญขั้นสามนั้นเป็นงานที่ง่ายดายมากๆสำหรับสัตว์ประหลาดที่แท้จริง ผู้เล่นเหล่านี้นั้นไม่ต้องใช้กับดักหรือการซุ่มโจมตีเพื่อฆ่าผู้เชี่ยวชาญขั้นสามเลย และหากเพื่อนของเขาไม่ได้รับการปกป้องจากสัตว์ประหลาดที่แท้จริงคนอื่น มันก็จะเป็นการที่เขาขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆหากคิดจะต่อต้านตระกูลหลงในระยะยาว


ในขณะที่ผู้อาวุโสของหอการค้าอาซูผู้นี้กำลังวางแผนอย่างลับๆเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับตระกูลหลง และไซเร้นวอร์นเดอร์ คริมสันวิชก็จ้องมองไปยังซือเฟิง

ด้วยการแสดงออกที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวบนหลังค้างคาวยักษ์ของแม๊คอาฟรี่


“รองผู้บัญชาการ รองผู้บัญชาการต้องเข้าใจอะไรผิดแน่นอนเลย เขาจะเป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริงได้อย่างไร ? ทุกคนนั้นก็ล้วนรู้ตัวตนของสัตว์ประหลาดที่แท้จริงของทวีปด้านตะวันตกทั้งหมด และชายผู้นี้ไม่ตรงกับคำอธิบายใดๆเกี่ยวกับตัวตนของพวกเขาเลย” คริมสันวิชแย้งโดยปฎิเสธที่จะเชื่อคำพูดของแม๊คอาฟรี่ และเธอก็กล่าวต่ออย่างมั่นใจว่า “เขาจะต้องดื่มโพชั่นบางชนิดเข้าไปแน่นอนก่อนมาที่นี่ ความแข็งแกร่งของเขาจึงเพิ่มขึ้นอย่างสูงมากๆ แต่อย่างไรก็ตามผลของโพชั่นแบบนี้ก็มักจะอยู่ได้ไม่นาน หากเราลากการต่อสู้ให้ยาวออกไป เขาก็น่าจะเปิดเผยจุดอ่อนของเขาออกมาเอง”


เธอนั้นปฎิเสธโดยสัญชาตญาณว่าซือเฟิงเป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริง เพราะใน God domain นั้น ตัวตนระดับนี้มีไม่มากนัก และส่วนใหญ่ก็มาจากซุเปอร์กิล ขณะที่ส่วนที่เหลือก็มาจากกิลชั้นยอดระดับต้นๆ


อย่างไรก็ตามเธอไม่เคยเห็นตราสัญลักษณ์กิลของซือเฟิงมาก่อนเลย ดังนั้นเขาจะเป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริงได้ยังไง ?


“ไม่ ไม่มีทาง ฉันคิดว่ายังไงเขาก็ไม่ได้ดื่มโพชั่น โพชั่นที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผู้เล่นได้แบบนี้นั้น มันมักจะทำให้มานาโดยรอบของผู้เล่นไม่เสถียร ไม่ว่าเขาจะควบคุมมานาได้ดีเพียงใด มันก็ไม่มีทางที่เขาจะควบคุมมานาแบบนี้ให้สงบได้ ซึ่งฉันแน่ใจมากว่าฉันไม่เห็นสัญญาณของมานาที่ไม่เสถียรเลย เพราะฉันได้ตรวจสอบเขาโดยใช้ดวงตามานาของฉันไปแล้ว ในความเป็นจริงมานาที่เขาแผ่ออกมานั้น มันหนาแน่นกว่าของเธอด้วยซ้ำ …” แม๊คอาฟรี่กล่าวพลางส่ายหัว และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความกลัวอย่างมาก เมื่อจ้องมองไปยังซือเฟิง


“มันจะเป็นไปได้ยังไง ? ร่างมานาของคริมสันนั้นอยู่ในระดับทอง ขั้นสูงสุด ด้วยอัตราความสำเร็จถึงเก้าสิบเจ็ดเปอเซ็นต์ และด้วยการได้รับการเพิ่มพลังจากสายเลือดปีศาจไฟ ดังนั้นมันจึงมีเพีงแค่หัวหน้ากิลและเหล่าผู้อาวุโสเท่านั้นที่จะมีมานาหนาแน่นกว่าเธอ แล้วชายคนนั้นจะเหนือกว่าคริมสันได้ยังไง ?” แรนเจอร์ขั้นสามข้างๆคริมสันวิชกล่าวขึ้น ร่างมานาของคริมสันวิชนั้นเป็นหนึ่งในร่างมานาที่ดีที่สุดใน God domain ตอนนี้แล้ว และการเทียบกับเธอได้นั้มันก็จัดว่าน่าประทับใจมากแล้ว ขณะที่การจะขึ้นไปเหนือกว่าเธอนั้น มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย


“ฉันเองก็สงสัยว่าฉันมองผิดไปหรือปล่าว แต่ฉันได้ตรวจสอบเขาด้วยดวงตามานาซ้ำหลายร้อยแล้ว และผลลัพธ์ที่ออกมามันก็เหมือนกันหมด ยิ่งไปกว่านั้นช่องว่างระหว่างเขากับคริมสันยังชัดเจนมากๆ” แม๊คอาฟรี่กล่าวยืนยันด้วยรอยยิ้มขมขื่น


จากสิ่งที่เขาสามารถบอกได้นั้นคือมานาที่แผ่ออกมาจากตัวของซือเฟิงนั้นมันหนาแน่นกว่าที่แผ่ออกมาจากตัวของคริมสันวิชราวสองเท่าเลยทีเดียว


แม้ว่าแม๊คอาฟรี่ไม่เต็มใจที่จะยอมรับเรื่องนี้ แต่ดวงตามานาของเขาก็ไม่เคยโกและทำงานล้มเหลว …..


ร่างมานาที่แข็งแกร่งนั้นไม่สามารถจะพิสูจน์ความแข็งแกร่งของใครคนใดคนหนึ่งได้ แต่ใครก็ตามที่สามารถสร้างร่างมานาได้แข็งแกร่งเท่ากับซือเฟิงนั้นก็จะไม่อ่อนแอเลย เพราะการสร้างร่างมานานั้นเป็นงานที่ยากมากๆ และหากไม่มีความแข็งแกร่งมากเพียงพอ มันก็จะเป็นไปไม่ได้เลย


อีกทั้งมันก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่แม๊คอาฟรี่ไม่ได้เปิดเผยให้คนของเขารู้ …. จากผู้เล่นเก้าคนที่มาพร้อมกับซือเฟิงบนหลังของอินทรีสายฟ้า สามคนนั้นมีร่างมานาที่เทียบเท่ากับคริมสันวิช และมีคนหนึ่งที่มีร่างมานาแข็งแกร่งกว่าคริมสันวิชด้วย นอกเหนือจากซือเฟิง


แม้แต่เผ่าศักสิทธิ์ก็ไม่สามารถจะรวบรวมตัวตนระดับนี้มาได้ง่ายๆเลย


“รองผู้บัญชาการ งั้นเราจะทำยังไงกันดี ? เราไม่สามารถจะยอมขอโทษและมอบค่าชดเชยให้เขาได้ใช่ไหม ?” แรนเจอร์ขั้นสามกล่าวถาม


พวกเขานั้นเป็นสมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์ ซึ่งเป็นกิลชั้นยอดระดับต้นๆที่ใกล้จะกลายเป็นซุเปอร์กิล หากพวกเขาเอ่ยคำว่าขอโทษและยอมจ่ายค่าชดเชยให้กับใครบางคน ชื่อเสียงกิลของพวกเขาจะตกลงไปแน่นอน


“ดูเหมือนว่าเราจะไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องสู้กับเขาด้วยทุกสิ่งที่มี เตรียมใช้ม้วนคัมภีร์อัญเชิญฮีโร่ขั้นสี่ ..” แม๊คอาฟรี่กล่าวหลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ


“หัวหน้ากิลนั้นได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะทำให้เหล่าผู้อาวุโสยอมมอบสิ่งนี้ให้กับเรานะรองผู้บัญชาการ … หากใช้มันตอนนี้ …” คริมสันวิชเริ่มเต็มไปด้วยความกังวล เมื่อได้ยินคำสั่งของแม๊คอาฟรี่


ม้วนคัมภีร์อัญเชิญฮีโร่ขั้นสี่นั้นเผ่าศักสิทธิ์มีอยู่ในครอบครองแค่เพียงม้วนเดียว และหัวหน้ากิลก็จะไม่มีทางดิ้นรนเพื่อให้เหล่าผู้อาวุโสยอมมอบสิ่งนี้ให้กับพวกเขาเลย ถ้าพวกเขาไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถยึดเส้นเลือดแร่เงินปีศาจของหอการค้าอาซูได้ มันจัดเป็นไพ่ไม้ตายของพวกเขาที่สามารถจะใช้ทำลายหรือปกป้องเมืองได้เลย การใช้มันกับทีมของซือเฟิงจะเป็นการสิ้นเปลืองมากๆ


“เราไม่มีทางเลือกอื่น” แม๊คอาฟรี่กล่าวด้วยความหงุดหงิด เขาเองก็ไม่ต้องการจะใช้ม้วนคัมภีร์อัญเชิญฮีโร่ขั้นสี่เช่นกัน แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น “เมื่อเราใช้ม้วนคัมภีร์อัญเชิญนี้ พวกเขาจะหนีไปแน่นอน และเราจะสามารถใช้โอกาสนี้ถอยได้”


เมื่อแม๊คอาฟรี่พูดจบเขาก็กัดฟันและหยิบม้วนคัมภีร์อัญเชิญฮีโร่ขั้นสี่ออกมา และในขณะที่เขาหยิบม้วนคัมภีร์นี้ออกมานั้น ความหนาแน่นของมานารอบตัวเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


“คุณต้องการจะต่ออีกงั้นหรอ ?” ซือเฟิงจ้องมองไปยังม้วนคัมภีร์ในมือของแม๊คอาฟรี่อย่างแข็งกร้าว เขาไม่สามารถจะบอกได้ว่ามันคือม้วนคัมภีร์ประเภทใด แต่สัญชาตญาณของเขาก็บอกเลยว่ามันเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่อันตรายซะยิ่งกว่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยายที่มีเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยซะอีก


อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกกลัวมัน เพราะตอนนี้เขามีคริสตัลเวทย์มนต์อยู่ในมือมากมาย หากเรื่องไปถึงขั้นที่แย่ที่สุดเขาก็สามารถจะใช้หนังสือฮีโร่ อัญเชิญฮีโร่ขั้นสี่ออกมาปกป้องเขาได้


ในขณะที่ทุกคนกำลังรอให้การต่อสู้บนท้องฟ้าระเบิดขึ้นอีกครั้ง เสียงที่ทุ้มกังวานก็พูดขึ้นมา


“อาฟรี่ ปล่อยปัญหานี้ไปเถอะ และชดเชยให้กับชายคนนี้ด้วยอุปกรณ์ระดับไฟน์โกล เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย หนึ่งร้อยชิ้นตามที่เขาต้องการ !!!”


ทันใดนั้นวงเวทย์เทเลพอร์ตก็ปรากฎขึ้นในอากาศ ทันใดนั้น Pterosaur (ไดโนเสาร์มีปีก บินได้ ไปเสิร์ชเอาเองถ้าอยากเห็นรูปร่าง) สองหัวก็โผล่ออกมา


Pterosaur สองหัวนี้มีขนาดตัวที่มหึมามากๆ และมีขนาดใหญ่กว่าอินทรีสายฟ้าด้วยซ้ำ


ขณะเดียวกันชายชราในชุดเสื้อคลุมสีขาวดูสะอาดตาก็ยืนอยู่บนหลังของ Pterosaur และแม้จะมีรูปลักษณ์ที่ดูสูงอายุ แต่ออร่าที่เขาแผ่ออกมามันก็ให้ความรู้สึกที่น่าเกรงขามราวกับภูเขาเลย และออร่าของเขานี้มันก็ทำให้ผู้คนโดยรอบหยุดชะงักได้เลย


“นักบุญแห่งแสง อดอล์ฟ ?!”


“ผู้อาวุโสสูงสุด ?”


ทั้งสมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์และสมาชิกของหอการค้าอาซูต่างก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง เมื่อได้เห็นชายชราผู้นี้ ขณะที่กลุ่มของแม๊คอาฟรี่กำลังจะพูดขึ้น ชายชราผู้นี้ก็ได้แผ่แรงกดดันที่รุนแรงออกมาปิดปากพวกเขาไปทันที และมันก็ทำให้พวกเขายอมมอบอุปกรณ์ระดับไฟน์โกลเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย หนึ่งร้อยชิ้นให้กับทีมของซือเฟิงอย่างเชื่อฟังทันที


สถานการณ์นี้มันก็ทำให้ซือเฟิงตกตะลึงอย่างถึงที่สุดเช่นกัน เขาไม่คาดคิดเลยว่าเผ่าศักสิทธิ์จะทำการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแบบนี้


เพราะท้ายที่สุดตอนนี้พวกเขากำลังพูดถึงอุปกรณ์ระดับไฟน์โกลเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย หนึ่งร้อยชิ้น ซึ่งด้วยอุปกรณ์มากขนาดนี้นั้น พวกเขาจะสามารถสร้างทีมยี่สิบคนที่ทรงพลังอย่างมากขึ้นมาได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นการจะซื้อพวกมันจำนวนมากขนาดนี้ในตลาดนั้นมันก็เป็นไปไม่ได้เลย และคนๆหนึ่งสามารถจะจัดซื้อจำนวนมากขนาดนี้ได้ก็ด้วยการติดต่อกับกิลขนาดใหญ่ต่างๆเท่านั้น


“ตอนนี้ก็ถือว่าทุกอย่างจบลงแล้ว และมิตรภาพก็ได้เกิดขึ้นแล้ว คุณสนใจจะไปเยี่ยมชมเมืองสิงโตเงินของเผ่าศักสิทธิ์ที่จักรวรรดิจันทราสีเงินไหม ?” อดอล์ฟกล่าวถามซือเฟิงอย่างสุภาพ


“สนใจสิ และฉันก็รู้สึกยินดีอย่างมากเลยทีเดียว …” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า


เขานั้นไม่ได้อยากจะมีปัญหากับเผ่าศักสิทธิ์ในระยะยาวอยู่แล้ว และเนื่องจากกิลเต็มใจที่จะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเพื่อแสดงความเคารพต่อเขา ดังนั้นเขาก็จะไม่ทำตัวกักขฬะ ยิ่งไปกว่านั้นเป้าหมายหลักของการมาทวีปด้านตะวันตกของเขาในครั้งนี้ก็คือมาเยี่ยมชมเมืองของ NPC ต่างๆ และทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของทวีปด้านตะวันตก และหากอดอล์ฟเต็มใจที่จะนำทางเขาไป เขาก็จะไม่ปฎิเสธข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมแบบนี้


“โปรดตามฉันมา …” อดอล์ฟพูดก่อนที่จะนำทีมของซือเฟิงไปยังเมือง NPC ที่ใกล้ที่สุด และทิ้งสมาชิกคนอื่นๆของเผ่าศักสิทธิ์ไว้ด้านหลัง


สมาชิกของหอการค้าอาซูเองก็ต่างก็คิดตามสถานการณ์นี้ไม่ทันเช่นกัน


“มันเกิดอะไรขึ้น ?”


“พวกเขาเป็นใครกัน ?”


เมื่อครู่นี้ ซือเฟิงได้ทำการสังหารหมู่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสองของเผ่าศักสิทธิ์ไปหลายร้อยคน แต่ไม่เพียงแต่เผ่าศักสิทธิ์นั้นจะชดเชยให้กับซือเฟิงด้วยความเต็มใจด้วยอุปกรณ์ระดับไฟน์โกลเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย หนึ่งร้อยชิ้น แต่อดอล์ฟ หนึ่งในผู้อาวุโสสูงสุดของกิลยังได้มาเชิญซือเฟิงให้ไปยังสำนักงานใหญ่หลักของเผ่าศักสิทธิ์เป็นการส่วนตัว ซึ่งแม้แต่หัวหน้ากิลของมหาอำนาจก็ยังไม่ได้รับการปฎิบัติแบบนี้เลย


สถานการณ์นี้นั้นก็ทำให้แม๊คอาฟรี่และคนของเขานั้นสับสนมากๆ และก็ไม่ต้องพูดถึงหยานเซี่ยวเฉียนเลย กับสมาชิกคนอื่นๆของหอการค้าอาซูเลย แม้ว่าซืเฟิงจะเป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริง แต่มันก็ต้องใช้ความพยายามเพื่อทำให้เขาพอใจมากขนาดนี้เลยงั้นหรอ ?


2450 เมือง


ไม่นานหลังจากที่ทีมของซือเฟิงจากไป สถานการณ์ที่บริเวณเส้นเลือดแร่เงินปีศาจก็เงียบลงอย่างมาก และทุกคนก็สงสัยเกี่ยวกับตัวตนของคนแปลกหน้าเหล่านี้มากๆ


นี่เขาได้รับคำเชิญจากผู้อาวุโสสูงสุดอดอล์ฟจริงๆงั้นหรอ ? ผู้ชายคนนั้นจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ดูเหมือนว่าตระกูลหลงนั้นมีสิทจะชนะการแข่งขันในครั้งต่อไปอย่างมากเลยทีเดียว ผู้อาวุโสที่เป็นราชันเบอเซิกเกอร์จากหอการค้าอาซูนั้นครุ่นคิด ขณะที่เขาจ้องมองไปยังทิศทางที่ทีมของซือเฟิงจากไป นอกจากนี้ตอนนี้เขายังรู้สึกว่ามันมีความจำเป็นเร่งด่วนมากๆที่จะต้องกระชับความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลหลงให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น


หากผู้เล่นต้องการจะเติบโตอย่างรวดเร็วใน God domain ทรัพยากรนั้นก็เป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง


อย่างไรก็ตามไอเทมต่างๆเช่นอาวุธ อุปกรณ์ รวมไปถึงหนังสือสกิล และเทคนิคการต่อสู้นั้นจะต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากกว่าจะได้รับมันมา โดยเฉพาะยิ่งสำหรับผู้เล่นที่มักจะทำอะไรต่างๆคนเดียว หากผู้เล่นต้องการจะตามผู้เล่นชั้นแนวหน้าให้ทัน พวกเขาก็จำเป็นจะต้องทำทุกอย่างตามเป้าให้สำเร็จ แม้ว่ามันจะเป็นการทำงานจนตายก็ตาม ดังนั้นผู้เล่นระดับผู้เชี่ยวชาญทุกคนที่ต้องการจะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและรวดเร็วนั้นจึงจำเป็นจะต้องได้รับการสนับสนุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ หรือไม่ก็มหาอำนาจเพื่อที่ว่าพวกเขานั้นจะได้มุ่งเน้นไปที่การเก็บเลเวล และปรับปรุงมาตราฐานการต่อสู้ของพวกเขาได้


ด้วยเหตุนี้การเอาชนะผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการสนับสนุนที่ทรงพลังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับผู้เล่นอิสระ


มันมีตระกูลหลักอยู่หลายตระกูลที่ทำหน้าที่ควบคุมทรัพยากรส่วนใหญ่ของหอการค้าอาซูอยู่ และแม้แต่ผู้อาวุโสแบบตัวเขาเองนั้นก็ควบคุมได้แค่เพียงส่วนเล็กๆเท่านั้น โดยไม่สามารถจะเทียบกับสิ่งที่พวกตระกูลหลักสามารถเข้าถึงได้เลย ตระกูลเหล่านี้นั้นเป็นผู้ที่ริเริ่มก่อตั้งหอการค้าอาซู และพวกเขาก็ถือหุ้นส่วนใหญ่ของหอการค้าอาซูอยู่ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทรัพยากรส่วนใหญ่ของหอการค้าอาซูจะถูกจัดสรรให้กับพวกเขา

ในความเป็นจริง การแข่งขันประจำปีระหว่างรุ่นเยาว์ของตระกูลผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่นั้นคือตัวกำหนดเลยว่าจะจัดสรรทรัพยากรอย่างไร และการแข่งขันประจำปีที่กำลังจะมาถึงก็จะดุเดือดเป็นพิเศษแน่นอน เนื่องจากตระกูลหลักเหล่านี้ได้เริ่มวางแผนจะทุ่มทุกอย่างที่มีให้กับ God domain เพราะท้ายที่สุดตอนนี้เกมนี้มันเริ่มมีอิทธิพลในโลกจริงอย่างมากแล้ว และผลกำไรที่หอการค้าอาซูได้รับจากเกมๆนี้ก็มากยิ่งกว่าที่พวกเขาเคยได้รับจากเกมเสมือนจริงในอดีตอย่างมาก


ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าไซเร้นวอร์นเดอร์นั้นได้รับการสนับสนุนจากสัตว์ประหลาดที่แท้จริงอย่างซือเฟิง ดังนั้นเขาจึงสามารถบอกได้เลยว่าการแสดงของเธอในการแข่งขันครั้งต่อไปจะไม่ธรรมดาแน่นอน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าตระกูลหลงนั้นมีสิทจะได้รับทรัพยากรของหอการค้าอาซูมากกว่าที่พวกเขาได้รับอยู่ในปัจจุบันซะอีก


แบล๊คเฟรมมาถึงทวีปด้านตะวันตกได้แล้วยังไงล่ะ ? ฉันจะเอาชนะไซเร้นวอร์นเดอร์ให้ได้ในการแข่งขันครั้งต่อไป !!! หยานเซี่ยวเฉียนนั้นมองไปยังราชันเบอเซิกเกอร์ด้วยความรังเกียจ ดูจากท่าทีของเขาแล้ว เขากะจะเข้าไปอยู่ฝั่งของตระกูลหลงในระยะยาวแน่นอน


แม้ว่าเธอจะไม่คาดคิดว่าซือเฟิงจะเดินทางมายังทวีปด้านตะวันตกได้ และก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะมีความแข็งแกร่งมากขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถจะช่วยให้ไซเร้นวอร์นเดอร์เอาชนะเธอได้แน่นอน การแข่งขันในครั้งต่อไปที่จะเกิดขึ้นนั้นจะไม่ใช่การแข่งขันเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุหรือมาตราฐานอุปกรณ์ แต่มันจะเป็นการแข่งขันเพื่อวัดมาตราฐานพลังการต่อสู้ของแต่ละคน ซึ่งความแข็งแกร่งนั้นก็เป็นทุกอย่างใน God domain และพลังการต่อสู้นี้ก็จะเป็นตัวกำหนดว่าใครกันที่จะได้รับทรัพยากรมากกว่ากัน


ไม่เพียงต่อการต่อสู้ในทวีปด้านตะวันตกนั้นจะรุนแรงกว่าทวีปด้านตะวันออก แต่ที่นี่ยังมีมรดกและทรัพยากรจำนวนมากที่ช่วยปรับปรุงมาตราฐานการต่อสู้ของผู้เล่นได้อย่างรวดเร็ว และการได้ต่อสู้กับกองทัพสัตว์ปีศาจอยู่เรื่อยๆนั้นก็นับเป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่ง และเป็นผลประโยชน์ที่ทวีปด้านตะวันตกมีให้ผู้เล่น แม้ว่าสภาสิบแปดปีกจะทุ่มทุกอย่างที่มีให้กับการพัฒนาของไซเร้นวอร์นเดอร์ แต่เธอก็ไม่มีทางจะเทียบกับหยานเซี่ยวเฉียนและอัจฉริยะคนอื่นๆของหอการค้าอาซูที่ฝึกฝนอยู่ในทวีปด้านตะวันตกได้แน่นอน


นี่เป็นเหตุผลที่หลงเซี่ยงหลงนั้นพยายามจะนำไซเร้นวอร์นเดอร์มายังทีวปด้านตะวันตก หลังจากการแข่งขันครั้งล่าสุด แต่ซือเฟิงกับยืนยันอย่างน่าขำว่าสภาสิบแปดปีกนั้นสามารถจะช่วยเธอได้มากกว่าหอการค้าอาซู ซึ่งเป็นมหาอำนาจที่สามารถเดินทางไปมาระหว่างทวีปสองด้านได้


หลังจากทีมของซือเฟิงจากไป หอการค้าอาซูและเผ่าศักสิทธิ์นั้นก็ได้หยุดการต่อสู้ระหว่างกันลงทันที แม๊คอาฟรี่ ผู้ซึ่งรับผิดชอบบัญชาการ การต่อสู้ครั้งนี้ในนามของเผ่าศักสิทธิ์เองก็ไม่มีอารมณ์ที่จะต่อสู้ใดๆอีกต่อไป และกองทัพของเขาก็มีท่าทีผ่อนคลายลงเล็กน้อยจากเดิม ซึ่งเขาก็ได้สั่งให้ทุกคนถอยกลับไปยังเมืองสิงโตเงิน พร้อมกับคริสสันวิชและคนอื่นๆทันที ซึ่งเขาก็ต้องการจะพูดคุยกับผู้อาวุโสสูงสุดและต้องการคำอธิบาย


แม้ว่าซือเฟิงจะเป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริง แต่เผ่าศักสิทธิ์นั้นก็ไม่ใช่มหาอำนาจทั่วไป หลังจากที่ทำการจ่ายค่าชดเชยจำนวนมากแบบนี้ให้กับคนแปลกหน้า กิลจะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะท่ามกลางมหาอำนาจในทวีปด้านตะวันตกแน่นอน


จักรวรรดิจันทราสีเงิน เมืองสิงโตเงิน :


ลำแสงหลายดวงนั้นส่องสว่างที่ห้องเทเลพอร์ตของเมือง ขณะที่ทีมของซือเฟิงนั้นก็ได้เข้าสู่เมืองสิงโตเงิน ซึ่งเป็นเมือง NPC ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของจักรวรรดิจันทราสีเงินภายใต้การนำของผู้อาวุโสสูงสุดอดอล์ฟ


ทันทีที่ซือเฟิงและคนของเขาโผล่ออกมาจากห้องเทเลพอร์ต พวกเขาก็ได้ตระหนักว่าเมืองของ NPC ในทวีปด้านตะวันตกนั้นแตกต่างจากด้านตะวันออกอย่างมาก และแม้แต่บรรยากาศภายในเมืองก็แตกต่างกัน


“นี่คือเมืองในทวีปด้านตะวันตกงั้นหรอ ?” อควาโรสนั้นหมุนตัวสังเกตสภาพแวดล้อม

รอบๆไปอย่างช้าๆด้วยความประหลาดใจ


ในทวีปด้านตะวันออกโดยทั่วไปเมืองของ NPC จะมีบรรยากาศที่เงียบสงบมากๆ แต่อย่างไรก็ตามบรรยากาศภายในเมืองสิงโตเงินนี้มมันกับตึงเครียดเป็นพิเศษ และมันก็รู้สึกราวกับว่าทั้งผู้เล่นและ NPC นั้นพร้อมรบอยู่ตลอดเวลา


ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ยังเต็มไปด้วยความประหลาดใจมากๆ เมื่อเห็นว่าถนนในเมืองนั้นไม่ได้มีทหาร NPC คอยลาดตระเวน แต่เป็นสมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์กับสมาคมนักผจญภัยเท่านั้นที่คอยจัดการลาดตระเวนและตรวจสอบความเรียบร้อยของเมือง โดยมันมีผู้เล่นบางส่วนที่ทำงานให้กับสมาคมนักผจญภัยโดยตรงซึ่งทำหน้าที่เก็บค่าเข้าเมืองด้วยซ้ำ โดยมันดูเหมือนว่าเมืองนี้นั้นจะได้รับการจัดการโดยผู้เล่นที่ถูกว่าจ้างจากสมาคมนักผจญภัย


ขณะที่ซือเฟิงและคนอื่นๆติดตามอดอล์ฟที่พาทัวเมืองไปติดๆ พวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงมาตราฐานการต่อสู้ที่สูงลิ่วของผู้เล่นโดยรอบเลย และผู้เล่นเหล่านี้นั้นสามารถควบคุมมานาได้ดีกว่าผู้เล่นในทวีปด้านตะวันออกมาก สิ่งนี้มันชัดเจนมากโดยอ้างอิงจากม้วนคัมภีร์เวทย์มนต์จำนวนมากที่มีขายในร้านค้า และตามแผงลอยริมถนน


แม้ว่าผู้เล่นผู้เล่นฝั่งทวีปด้านตะวันออกจะขายม้วนคัมภีร์เวทย์มนต์เช่นกัน แต่มันก็มักจะเป็นไอเทมคุณภาพต่ำมากๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นแค่ม้วนคัมภีร์เวทย์มนต์ขั้นหนึ่งเท่านั้น และม้วนคัมภีร์เวทย์มนต์ขั้นสองกับขั้นสามนั้นก็จัดว่าหายากมากๆ


อย่างไรก็ตาม ในเมืองสิงโตเงินนี้ พวกเขากับพบเห็นม้วนคัมภีร์เวทย์มนต์ขั้นสองวางขายอยู่ทั่วไป ขณะที่ร้านค้าบางแห่งนั้นก็ถึงขั้นขายม้วนคัมภีร์เวทย์มนต์ขั้นสามด้วยซ้ำ และที่นี่วงเวทย์บาเรียขั้นกลางก็ถูกกว่าที่ทวีปด้านตะวันออกราวห้าสิบเปอเซ็นต์เลยทีเดียว


แน่นอนว่าซือเฟิงไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้เลย


ทวีปด้านตะวันตกนั้นต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดกับกองทัพสัตว์ปีศาจมาตั้งแต่สมัยโบราณ ดังนั้นงานวิจัยด้านเวทย์มนต์ของพวกเขาจึงไปไกลกว่าทวีปด้านตะวันออกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงการใช้มานา อันที่จริงที่นี่พวกเขามีวิธีการจำนวนหนึ่งที่จะสามารถใช้เพื่อปรับปรุงและให้ผู้เล่นเรียนรู้การควบคุมมานาได้ดีขึ้นด้วย


การควบคุมมานานั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อนักเวทย์ เพราะยิ่งการควบคุมมานาของนักเวทย์ดีเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งสร้างวงเวทย์ได้ง่ายขึ้นเท่านั้น และเนื่องจากในทวีปด้านตะวันตกนั้นมีนักเวทย์ทำการวิจัยเรื่องนี้มากกว่าที่ทวีปด้านตะวันออก ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่ในด้านนี้ทวีปด้านตะวันตกจะพัฒนาไปมากกว่าทวีปด้านตะวันออก ซือเฟิงนั้นคิดไว้แล้วด้วยซ้ำว่ามหาอำนาจในทวีปด้านตะวันตกน่าจะมีปรมาจารย์นักเวทย์แล้วในระยะนี้ของเกม


ด้วยผู้เล่นจำนวนมากที่ทำการเรียนรู้อาชีพรองเป็นนักเวทย์ นอกจากนี้สัตว์ปีศาจที่นี่ยังจะดรอปแกนเวทย์ และวัสดุอื่นๆที่จำเป็นในการสร้างวงเวทย์ออกมาเมื่อตาย ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเลยที่ของพวกนี้จะมีราคาถูกกว่าที่ทวีปด้านตะวันออก


ซึ่งนี่มันก็ทำให้มหาอำนาจจากทวีปด้านตะวันออกที่สามารถเดินทางมาที่ทวีปด้านตะวันตกได้นั้น มักจะใช้ประโยชน์จากข้อนี้ และทำการจัดซื้อม้วนคัมภีร์เวทย์มนต์กับม้วนคัมภีร์วงเวทย์จำนวนมาก ซึ่งนี่มันก็ทำให้พวกเขานั้นสามารถทำกำไรได้อย่างมาก และมันก็ช่วยเพิ่มความเร็วในการพัฒนาของสมาชิกพวกเขาได้อย่างมาก


อย่างไรก็ตามหลังจากที่อดอล์ฟพาพวกเขาเข้าสู่ถนนสายหลักของเมืองสิงโตเงินนั้น แม้แต่ซือเฟิงก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับสิ่งที่เขาได้เห็น เมืองนี้นั้นมีผู้เชี่ยวชาญอิสระขั้นสามจำนวนมากจริงๆ แม้ว่าจะไม่เทียบเท่ากับเมืองป่าหิน แต่มันก็มีจำนวนที่น่ากลัวและมากกว่าเมือง NPC ในทวีปด้านตะวันออกหลายเมืองอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นคะแนนชนชั้นสิ่งมีชีวิตของผู้เล่นขั้นสามเหล่านี้ยังสูงอย่างน่าประหลาดใจ


ซือเฟิงนั้นได้เห็นเรื่องนี้มาจากทีมของแม๊คอาฟรี่แล้ว อย่างไรก็ตามเขาก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร เพราะทีมๆนี้นั้นเป็นถึงกองกำลังหลักของเผ่าศักสิทธิ์ แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถพูดแบบเดียวกันได้กับผู้เชี่ยวชาญอิสระขั้นสามพวกนี้


“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม คุณนี่ดูค่อนข้างจะตกตะลึงเกี่ยวกับคะแนนชนชั้นสิ่งมีชีวิตของผู้เล่นอิสระของเรานะ …” อดอล์ฟกล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อเขาเห็นท่าทีของซือเฟิง


“แน่นอนสิ ตามหลักแล้วเครื่องมือที่สามารถปรับปรุงคะแนนชนชั้นสิ่งมีชีวิตของผู้เล่นได้นั้นน่าจะหายากมากๆ และควรจะมีเพียงแค่มหาอำนาจต่างๆเท่านั้นที่จะมีความสามารถในการได้รับเครื่องมือแบบนี้มา ซึ่งแม้แต่ผู้เล่นอิสระที่ทรงพลังมากเป็นพิเศษก็ยังคงจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการรับเอาเครื่องมือเหล่านี้แน่นอน แต่ที่นี่ผู้เล่นอิสระจำนวนมากกับประสบความสำเร็จ นี่มันน่าตกตะลึงมากจริงๆ” ซือเฟิงกล่าพลางพยักหน้า


“พูดกันตามจริง นี่คือเหตุผลที่ฉันหยุดแม๊คอาฟรี่ และเชิญคุณมาที่นี่” อดอล์ฟพูดพลางหัวเราะเบาๆ “เผ่าศักสิทธิ์นั้นต้องการจะเจรจาข้อตกลงทางธุรกิจระยะยาวกับคุณ หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม และหนึ่งในสิ่งที่เราตั้งใจจะนำเสนอคือสายเลือดพิเศษ ซึ่งจะสามารถช่วยเพิ่มคะแนนชนชั้นสิ่งมีชีวิตของผู้เล่นได้ คุณสนใจไหม ?”


“ข้อตกลงทางธุรกิจ ? ดูเหมือนว่าคุณจะตรวจสอบพวกเรามาอย่างดีเลยนะ ผู้อาวุโสสูงสุด …” ซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ก็แน่นอน ก่อนที่แม๊คอาฟรี่จะรายงานการปรากฎตัวของคุณมาที่สำนักงานใหญ่หลักของเรา ฉันก็ได้ทำการตรวจสอบคุณ และกิลของคุณมาอย่างละเอียดแล้ว มันมีกิลไม่มากนักหรอกนะที่สามารถจะเสนอราคาสูงกว่าไมโทโลจี้ได้” อดอล์ฟกล่าวพลางพยักหน้า “ฉันเองก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่าคุณจะสามารถเข้ามาที่ทวีปด้านตะวันตกได้เช่นกัน หากไมโทโลจี้รู้เรื่องนี้ พวกเขาจะต้องประหลาดใจมากแน่นอน”


“นี่คือเหตุผลที่คุณหยุดแม๊คอาฟรี่ และเชิญฉันมาเพื่อเจรจาเป็นหุ้นส่วนสินะ …” คำอธิบายของอดอล์ฟทำให้ซือเฟิงประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่าข่าวจากทวีปด้านตะวันออกจะมาถึงทวีปด้านตะวันตกเร็วขนาดนี้


มันไม่ควรมีการติดต่อกันมากนักระหว่างทวีปทั้งสองด้านในระยะนี้ของเกม และทั้งสองฝ่ายก็แทบไม่ได้ทำวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลย ทุกคนนั้นยังคงยุ่งอยู่กับเป้าหมายในทวีปด้านของตัวเอง แล้วใครกันจะมีเวลามากพอมาสนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ?


“แน่นอน มันมีมหาอำนาจน้อยมากที่สามารถเดินทางไปมาระหว่างทวีปทั้งสองด้านได้ และเผ่าศักสิทธิ์นั้นก็พยายามจะส่งผู้เล่นไปยังทวีปด้านตะวันออกเพื่อพัฒนาอยู่ตลอดเวลา แต่เราก็ยังไม่พบวิธีการเดินทางที่เหมาะสม และแม้ว่าเราจะพิจารณาการทำงานร่วมกับมหาอำนาจอื่นๆที่สามารถทำได้ แต่ราคาของพวกเขาก็สูงเกินไป” อดอล์ฟกล่าว “ซึ่งมันก็นำให้เรามาเจอคุณ การมาถึงของคุณนับเป็นข่าวดีสำหรับเผ่าศักสิทธิ์ และฉันก็เชื่อว่าสภาสิบแปดปีกนั้นต้องการพันธมิตรที่ทรงพลังในทวีปด้านตะวันตก แม้ว่าคุณจะสามารถจัดหาทรัพยากรจำนวนมากเองได้ แต่คุณก็ไม่ได้มีคอนเนคชั่นที่จะทำการซื้อขายกันได้ที่นี่”


ตามที่อดอล์ฟตรวจสอบมา แม้ว่าสภาสิบแปดปีกจะรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาก็ยังต้องเจอกับปัญหามากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ที่พวกเขาต้องการผู้เชี่ยวชาญขั้นสามจำนวนมากอย่างเร่งด่วนเพื่อมาปกป้องกิล ไม่งั้น มันจะเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่กิลจะพินาศลงภายใต้แรงกดดันที่ตัวเองสร้างขึ้น


โชคดีที่เผ่าศักสิทธิ์นั้นสามารถจะช่วยให้สภาสิบแปดปีกแก้ไขปัญหานี้ได้


“คุณพูดถูก สภาสิบแปดปีกต้องการพันธมิตรที่ทรงพลังในทวีปด้านตะวันตก และเผ่าศักสิทธิ์ก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมาก อย่างไรก็ตามฉันมีคำขอหนึ่งข้อ” ซือเฟิงกล่าว เขาเห็นด้วยกับคำพูดของอดอล์ฟอย่างมาก


ในตอนแรกเขาได้พิจารณาถึงการที่จะเป็นพันธมิตรกับหอการค้าอาซูซึ่งมีความสามารถในการเดินทางไปมาระหว่างทวีปทั้งสองด้านอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะส่งไซเร้นวอร์นเดอร์ไปเจรจา แต่เขาก็จะได้รับผลประโยชน์อย่างจำกัดมากๆ


“คำขอ ?” อดอล์ฟกล่าวอย่างสงสัย “โปรดลองบอกฉันมาหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม”


“มันง่ายมาก ฉันต้องการจะสร้างเมืองขึ้นในทวีปด้านตะวันตก หากเผ่าศักสิทธิ์ยินดีช่วยเหลือสภาสิบแปดปีกในเรื่องนี้ เผ่าศักสิทธิ์ก็จะเป็นพันธมิตรแต่เพียงผู้เดียวของสภาสิบแปดปีกในทวีปด้านตะวันตก” ซือเฟิงกล่าวคำพูดของเขาอย่างจริงจัง


2451 สถานการณ์ในทวีปด้านตะวันตก


“สร้างเมือง ?”


คำขอของซือเฟิงนั้นทำให้อดอล์ฟตกตะลึงไปชั่วขณะ และเขาก็ชักสงสัยแล้วว่าหัวหน้ากิลคนนี้กำลังเล่นตลกอะไรกับเขารึปล่าว


ถ้าหยานเซี่ยวเฉียนมาได้ยินคำพูดของซือเฟิงตอนนี้ เธอจะต้องคิดว่านักดาบบ้าไปแล้ว หรือไม่ก็กำลังฝันอยู่


ผู้เล่นจากทวีปด้านตะวันออกนั้นก็สามารถจะสร้างเมืองขึ้นในทวีปด้านตะวันตกได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามมันก็มีความแตกต่างอยู่เล็กเล็กน้อยระหว่างเมืองกิลในทวีปด้านตะวันออกและตะวันตก


ความแตกต่างอย่างหนึ่งคือความจริงที่ว่าอาณาจักร และจักรวรรดิต่างๆของ NPC ในทวีปด้านตะวันออกนั้นจะมีกองทัพเป็นของตัวเองคอยดูแลเมืองต่างๆ ในทางกลับกันที่ทวีปด้านตะวันตกนั้นนั้น อาณาจักรและจักรวรรดิต่างๆได้ไว้วางใจให้สมาคมนักผจญภัยจัดการเรื่องนี้ โดยสมาคมนักผจญภัยก็จะมามอบเควสต่างๆที่กิลข้องกับเรื่องนี้ให้ผู้เล่นจัดการ ซึ่งสิ่งนี้บังคับให้กิลต่างๆนั้นต้องลงทุนทั้งกำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากในการจัดการเมือง NPC เป้าหมายเพื่อรับรองอำนาจของตัวเอง ดังนั้นมหาอำนาจต่างๆในทวีปด้านตะวันตกนั้นจึงขาดกำลังคนอย่างรุนแรง และก็มีเพียงแค่ไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่สามารถสร้างเมืองกิลเป็นของตัวเองได้


อีกทั้งมันมีความแตกต่างอยู่อย่างหนึ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้มหาอำนาจส่วนใหญ่ในทวีปด้านตะวันตกนั้นไม่เต็มใจจะก่อสร้างเมืองกิล


กองทัพสัตว์ปีศาจ !!!


การโจมตีของสัตว์ปีศาจที่บุกเข้ามานั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่เฉพาะในเมืองต่างๆที่อยู่ตามชายแดน ในบางครั้งพวกมันจะทำการปิดล้อมและโจมตีเมืองที่อยู่ลึกเข้าไปในประเทศต่างๆของทวีปด้านตะวันตกด้วย และไม่ว่าจะก่อตั้งเมืองกิลขึ้นที่ไหน กิลนั้นก็ยังจะต้องรับมือกับการบุกของกองทัพสัตว์ปีศาจ


ซึ่งกองทัพสัตว์ปีศาจเหล่านี้นั้นไม่เหมือนกับกองทัพสัตว์ปีศาจในทวีปด้านตะวันออก พวกมันนั้นเคลื่อนไหวเหมือนกับกองทัพของ NPC ประเทศต่างๆที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี และพวกมันก็สามารถใช้อาวุธสงคราม กับอาวุธปิดล้อมเมืองได้ทั้งหมด


ในขณะเดียวกันเมืองกิลนั้นก็จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ NPC เลย และเมืองกิลก็จะเป็นเช่นเดียวกับเมือง NPC ที่นี่คือจะต้องว่าจ้างทหาร NPC เข้ามาช่วย ซึ่งการว่าจ้างนั้นก็ทำได้อย่างจำกัด และกิลก็จะพึ่งพาสมาชิกกิลจำนวนหนึ่งของตัวเองด้วย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายเลยที่จะจินตนาการว่าการปกป้องเมืองกิลที่นี่นั้นมันทำได้ยากขนาดไหน


นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีมหาอำนาจแค่ไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่สามารถจะก่อตั้งเมืองกิลของตัวเองขึ้นได้ที่นี่ และผู้ที่สามารถทำมันได้สำเร็จจริงๆก็จะเป็นผู้ที่ทรงพลังมากอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะอย่างน้อยที่สุดมันจะต้องอาศัยพลังของกิลชั้นสูงหนึ่งกิลเลยในการจะดูแลเมืองกิลสักเมืองที่ถูกสร้างขึ้นที่นี่ และมันก็มีเพียงแค่กิลชั้นสูงระดับต้นๆเท่านั้นที่สามารถจะดูแลเมืองกิลสองถึงสามแห่งที่นี่ได้ ซึ่งมันก็เรียกได้ว่าพวกเขานั้นเป็นกึ่งมหาอำนาจแล้วเลย ….


แต่ตอนนี้ซือเฟิงกับต้องการให้เผ่าศักสิทธิ์ช่วยเขาสร้างเมืองกิลขึ้นในทวีปด้านตะวันตก หากเขาพูดเรื่องนี้กับมหาอำนาจอื่นๆ เขาจะโดนโยนออกนอกประตูไปแล้วแน่นอน


นี่มันไม่ใช่การเป็นหุ้นส่วน นี่มันเป็นการปล้นกลางวันแสกๆชัดๆ !!!


หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมคุณรู้ถึงสถานการณ์ของทวีปด้านตะวันตกหรือไม่ ? การสร้างเมืองกิลขึ้นที่นั้นมันยากกว่าที่คุณคิดมากๆ และแม้แต่ตอนนี้เผ่าศักสิทธิ์ก็มีพลังมากพอจะสร้างและดูแลเมืองกิลของตัวเองได้แค่ห้าแห่งเท่านั้น” อดอล์ฟอธิบาย หลังจากใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อสงบสติอารมณ์


การสร้างเมืองกิลในทวีปด้านตะวันตกนั้นไม่ใช่เรื่องยากมาก แต่ที่ยากจริงๆคือกำลังคนและทรัพยากรที่ต้องใช้ในการดูแลเมืองกิลของตัวเอง


สภาสิบแปดปีกนั้นมีผู้เล่นอยู่เพียงแค่สิบคนในทวีปด้านตะวันตกตอนนี้ และแม้ว่าซือเฟิงจะมีความแข็งแกร่งที่ท้าทายสวรรค์ แต่เขาก็ไม่สามารถจะเอาชนะกองทัพสัตว์ปีศาจทั้งหมดได้ด้วยตัวเองแน่นอน ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับเผ่าศักสิทธิ์ที่จะต้องส่งกองทัพผู้เล่นไปช่วยสภาสิบแปดปีกปกป้องเมืองกิลของตัวเองที่นี่ และในการจะทำเช่นนี้เผ่าศักสิทธิ์จะต้องเสียค่าใช้จ่ายที่สูงมากๆ ซึ่งสภาสิบแปดปีกนั้นเป็นเพียงแค่กึ่งมหาอำนาจเท่านั้นในทวีปด้านตะวันออก ดังนั้นนี่มันจะคุ้มค่าให้เผ่าศักสิทธิ์ต้องทำขนาดนี้เลยงั้นหรอเพื่อจะได้เป็นพันธมิตรกับพวกเขา ?


ยิ่งไปกว่านั้นกำลังคนและทรัพยากรที่เผ่าศักสิทธิ์จะต้องลงทุนไปนั้น มันจะเป็นสิ่งที่นำกลับมาใช้ไม่ได้อีก มันจึงไม่ใช่การลงทุนที่คุ้มค่าเลย


“ฉันเข้าใจถึงความยากของเรื่องนี้ดี นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันมาขอความช่วยเหลือจากเผ่าศักสิทธิ์” ซือเฟิงพยักหน้า ขณะหัวเราะเบาๆ “อย่างไรก็ตามหากกิลของคุณตกลง ฉันยินดีจะทำการจะขายคริสตัลเวทย์มนต์สามล้านชิ้น ซึ่งเป็นวัสดุหายากให้กับเผ่าศักสิทธิ์ในราคาตลาด !!!”


ซือเฟิงนั้นพอมีความรู้อยู่บ้างเกี่ยวกับสถานการณ์ในทวีปด้านตะวันตก ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าการสร้างและปกป้องเมืองกิลนั้นทำได้ยากมากๆในทวีปด้านตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสภาสิบแปดปีก ซึ่งเป็นกิลที่ไม่มีรากฐานใดๆเลยในทวีปด้านตะวันตก


อย่างไรก็ตาม เมืองกิลนั้นก็เป็นสิ่งจำเป็นมากๆสำหรับการพัฒนาในอนาคตของสภาสิบแปดปีก หากไม่มีเมืองกิล กิลจะไม่สามารถตั้งหลักในทวีปด้านตะวันตกได้อย่างแท้จริง และต้องเผชิญหน้ากับการปราบปรามของกิลท้องถิ่น


นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมมหาอำนาจต่างๆที่สามารถเดินทางไปมาระหว่างทวีปสองด้านได้จึงมักจะสร้างสถานที่มั่นของพวกเขาไว้ในทั้งสองแห่งเสมอ เมืองหินปีศาจของหอการค้าอาซูที่อยู่นอกจักรวรรดิมังกรไฟออกมานั้นก็นับเป็นตัวอย่างหนึ่ง และด้วยมีศูนย์กลางการค้าเป็นของตัวเอง ดังนั้นหอการค้าอาซูจึงจะไม่ต้องกังวลเรื่องของมหาอำนาจท้องถิ่น แม้ว่าพวกเขาจะอิจฉาก็ตาม


นอกจากนี้เขายังต้องการเมืองกิลเพื่อจัดการกับปัญหาที่ใหญ่กว่า


มันจะมีมหาอำนาจจำนวนมากขึ้นที่สามารถเดินทางไปมาระหว่างทวีปทั้งสองด้านได้ เมื่อเวลาผ่านไป และเมื่อเป็นแบบนั้น สภาสิบแปดปีกก็จะต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันที่มากขึ้น และแม้แต่เผ่าศักสิทธิ์นั้นก็อาจจะหาทางไปยังทวีปด้านตะวันออกได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นแทนที่จะพึ่งพาสภาสิบแปดปีกในฐานะพ่อค้าคนกลาง พวกเขาก็จะเริ่มทำกำไรด้วยตัวเองแน่นอน


ดังนั้นมันจึงมีความเป็นอย่างมากที่สภาสิบแปดปีกจะต้องมีเมืองในทวีปด้านตะวันตก


“คริสตัลเวทย์มนต์สามล้านชิ้น ?!” ดวงตาของอดอล์ฟเบิกกว้าง และเขาก็จ้องมองไปยังซือเฟิงด้วยความตกตะลึง เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าสภาสิบแปดปีกจะร่ำรวยมากขนาดนี้ “นี่คุณกำลังพูดความจริงกับฉันใช่ไหม ? หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม …”


คริสตัลเวทย์มนต์นั้นเป็นสกุลเงินที่ค่อนข้างแข็งค่าอย่างมากในทวีปด้านตะวันตก และผู้เล่นก็สามารถจะซื้อวัสดุหายากบางอย่างด้วยคริสตัลเวทย์มนต์ได้อย่างง่ายดาย ขณะที่พวกเขาไม่สามารถทำแบบเดียวกันนี้โดยใช้เหรียญทองได้ แถมผู้ขายยังจะเสนอส่วนลดให้ด้วย หากผู้ซื้อยินดีจ่ายด้วยคริสตัลเวทย์มนต์


ทวีปด้านตะวันตกนั้นไม่เหมือนกับทวีปด้านตะวันออก ไม่เพียงแต่คริสตัลเวทย์มนต์จะหายากมาก แต่ความต้องการของมันยังสูงมากเช่นกัน เพราะมันต้องใช้ในการผลิตไอเทมหลากหลายที่ถูกใช้ที่นี่ โดยเฉพาะกับหินรูนการต่อสู้ซึ่งต้องใช้คริสตัลเวทย์มนต์เป็นวัสดุหลักในการผลิต


นี่คือสาเหตุที่เผ่าศักสิทธิ์นั้นได้ส่งหนึ่งในกองกำลังหลักของพวกเขาเข้าไปโจมตีเส้นเลือดแร่เงินปีศาจที่อยู่ภายใต้การปกครองของหอการค้าอาซู เพราะแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเส้นเลือดแร่เกรดสาม แต่มันก็ดรอปคริสตัลเวทย์มนต์ด้วย


คริสตัลเวทย์มนต์สามล้านชิ้น !!!


มันนับเป็นจำนวนมหาศาลมากจริงๆสำหรับมหาอำนาจต่างๆทุกกลุ่มในทวีปด้านตะวันตก


ไม่เพียงแต่การได้รับคริสตัลเวทย์มนต์มาสามล้านชิ้นจะทำให้เผ่าศักสิทธิ์อยู่เหนือกว่ามหาอำนาจอื่นๆ เมื่อทำการสำรวจแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อย แต่มันยังจะช่วยแก้ปัญหาของกิลสำหรับการขาดวัสดุในการวิจัยหินรูนการต่อสู้ด้วย ซึ่งนี่มันก็จะทำให้เผ่าศักสิทธิ์สามารถสร้างหินรูนการต่อสู้ขั้นสามขึ้นมาได้ และเมื่อตอนนั้นมาถึง เผ่าศักสิทธิ์ก็สามารถยืนอยู่ท่ามกลางมหาอำนาจต่างๆได้อย่างแท้จริง และกิลอาจจะมีศักยภาพในการเติบโตมากกว่าซุเปอร์กิลบางกิลที่ทวีปด้านนี้ด้วยซ้ำ


“แน่นอน แต่ข้อเสนอของฉันมันก็ขึ้นอยู่กับความจริงใจของคุณในการเจรจา ผู้อาวุโสสูงสุด …” ซือเฟิงกล่าว เมื่อเขาเห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนและตื่นเต้นของอดอล์ฟ เขาก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับเอฟเฟคของคริสตัลเวทย์มนต์ที่นี่


แม้ว่าซือเฟิงจะรู้ดีว่าคริสตัลเวทย์มนต์นั้นมีค่ามากในทวีปด้านตะวันตก แต่เขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าแม้แต่ตัวตนอย่างอดอล์ฟก็ยังจะเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และเร่าร้อน เมื่อได้ยินข้อเสนอแบบนี้ของเขา


หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อดอล์ฟก็กัดฟัน และพูดว่า “ตกลง ฉันสามารถจะเป็นตัวแทนของเผ่าศักสิทธิ์ ในการยอมรับคำขอของคุณได้ อย่างไรก็ตามเผ่าศักสิทธิ์จะสามารถส่งผู้เล่นระดับสูงแปดหมื่นคน และผู้เชี่ยวชาญสองหมื่นคนเท่านั้นไปปกป้องเมืองกิลของคุณได้ และผู้เล่นเหล่านี้จะทำได้ดีไหม มันก็ขึ้นอยู่กับการเตรียมการของคุณ”


“กองทัพหนึ่งแสนคนนั่นก็เพียงพอแล้ว เพียงแต่ว่าฉันจะขอยืมหนึ่งในกองกำลังหลักของคุณเพื่อไปยึดเมืองสักหน่อย” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้า


กองทัพผู้เล่นระดับสูงแปดหมื่นคน และผู้เชี่ยวชาญสองหมื่นคน ถือเป็นขีดจำกัดที่กิลชั้นสูงแทบทุกกิลในทวีปด้านตะวันออกสามารถจะส่งมาเพื่อปกป้องเมืองกิลของตัวเองได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตามการจะปกป้องเมืองกิลด้วยกองทัพแค่หนึ่งแสนคนในทวีปด้านตะวันตกนั้นมันก็ค่อนข้างยากสักหน่อย


“นั่นไม่มีปัญหา ฉันจะส่งกองกำลังของแม๊คอาฟรี่ไปช่วยคุณ อย่างไรก็ตามฉันต้องเตือนคุณก่อนว่า หากกองกำลังของเราสูญเสียไปมากกว่าสามสิบเปอเซ็นต์ พวกเขาจะล่าถอยทันที”


คำขอเพิ่มเติมของซือเฟิงนั้นไม่ได้ทำให้อดอล์ฟประหลาดใจ การยึดเมือง NPC นั้นนับเป็นวิธีการที่เร็วที่สุดแล้วที่จะทำให้เขามีเมืองกิลในทวีปด้านตะวันตก


หลังจากนั้นซือเฟิงและอดอล์ฟก็ได้ทำการเซ็นสัญญาระหว่างกันที่ค่อนข้างจะมั่นคง โดยสัญญานั้นระบุว่าเผ่าศักสิทธิ์จะรวบรวมวัสดุหายากทั้งหมดที่ซือเฟิงร้องขอมาให้ภายในเจ็ดวัน และก็ให้ซือเฟิงสามารถเข้าถึง และบัญชาการกองทัพหนึ่งแสนคนของพวกเขาเพื่อปกป้องเมืองสภาสิบแปดปีกได้เป็นเวลาสามเดือน ในการแลกเปลี่ยน ซือเฟิงจะจ่ายให้เผ่าศักสิทธิ์ด้วยด้วยคริสตัลเวทย์มนต์สามล้านชิ้น และเผ่าศักสิทธิ์จะกลายเป็นพันธมิตรแต่เพียงผู้เดียวของสภาสิบแปดปีกในทวีปด้านตะวันตก และวัสดุใดๆที่สภาสิบแปดปีกต้องการจะต้องซื้อจากเผ่าศักสิทธิ์ เว้นแต่ว่าจะมีฝ่ายอื่นที่สามารถเสนอราคาถูกกว่าได้


เมื่อเซ็นสัญญากันเรียบร้อยแล้ว แม๊คอาฟรี่ก็ได้รับคำสั่งให้นำกองกำลังของเขากลับมาที่เมืองสิงโตเงินเพื่อมาพบกับซือเฟิง และซือเฟิงก็ได้รับอำนาจเต็มในการควบคุมกองกำลังนี้


เมืองสิงโตเงิน สถานที่พักกิลของเผ่าศักสิทธิ์ :


“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม บอกแผนของคุณมาหน่อยได้ไหม ? ด้วยพลังการต่อสู้ในปัจจุบันของเรา มันมีเมืองเพียงแค่ไม่กี่แห่งเท่านั้นในแผนที่เลเวลเก้าสิบที่เราจะสามารถเข้ายึดได้ และเมื่อพิจารณาถึงความยากลำบากในการป้องกันเมืองแล้ว ฉันขอแนะนำให้เราเข้าไปยึดเมืองในแผนที่เลเวลแปดสิบแทน” แม๊คอาฟรี่กล่าวแนะนำ ขณะที่เขาชี้ไปที่พื้นที่บนแผนที่ที่เขาถือ


การยึดเมืองในแผนที่เลเวลเก้าสิบนั้นทำได้ค่อนข้างยากมาก อันเนื่องมาจากมันมี NPC เลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย หรือไม่ก็มอนสเตอร์ที่เลเวลนี้จำนวนมากปกป้องเมืองอยู่ และเผลอๆพวกเขาอาจจะต้องพบกับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายเลเวลหนึ่งร้อยด้วย


ดังนั้นการยึดเมืองในแผนที่เลเวลแปดสิบจึงจะทำได้ง่ายกว่ามาก แม้ว่าพื้นที่เหล่านี้จะเป็นพื้นที่เลเวลต่ำ แต่เมืองกิลนั้นก็สามารถจะถูกเคลื่อนย้ายไปยังตำแหน่งอื่นได้ทุกเมื่อ เมื่อมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนด ยิ่งไปกว่านั้นสภาสิบแปดปีกยังต้องการเพียงแค่ฐานที่มั่นในทวีปด้านตะวันตก ไม่ได้คิดจะแข่งขันแย่งชิงอำนาจเหนือทวีปด้านนี้ ดังนั้นการยึดเมืองในแผนที่เลเวลแปดสิบจึงจะตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ของ

กิลมากกว่า


“ไม่ ฉันไม่สนใจเมืองเหล่านี้ !!! ฉันต้องการป้อมปราการแสงดาว ที่หุบเขาดาว !!!” ซือเฟิงกล่าว ขณะที่เขาชี้ไปยังสถานที่ซึ่งค่อนข้างจะอยู่ห่างจากจักรวรรดิจันทราสีเงิน เพื่อความแม่นยำต้องบอกเลยว่าจุดที่เขาชี้นั้นคือ ป้อมปราการแสงดาว ในหุบเขาดาว ซึ่งเป็นดินแดนต้องห้ามทางตอนใต้ของทวีปด้านตะวันตก และการเข้ายึดป้อมนี้ให้ได้เป็นเป้าหมายหลักของเขาเลยในการเดินทางมายังทวีปด้านตะวันตกรอบนี้


2452 ยักษ์เหล็กปรากฎขึ้นอีกครั้ง


ทันทีที่ซือเฟิงพูดจบทั้งห้องประชุมที่เต็มไปด้วยผู้เล่นหลายสิบคนก็เงียบลง ขณะเดียวกันสมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์ก็หันมามองซือเฟิงอย่างไม่พอใจ


“ผู้ชายคนนี้ช่างทะเยอทะยานอย่างมากจริงๆ !!!”


“อึก !! หุบเขาดาว ?! นี่ชายคนนี้คิดว่าเราเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาจริงๆเลยรึปล่าว ? เขาต้องการจะให้เราไปทำภารกิจฆ่าตัวตาย !!!”


มหาอำนาจต่างๆในทวีปด้านตะวันตกนั้นคุ้นเคยกับหุบเขาดาวดี พวกเขาทุกคนนั้นล้วนใฝ่ฝันที่จะเป็นเจ้าของเมืองหรือไม่ก็ป้อมปราการในแผนที่นี้ เพราะไม่เพียงแต่หุบเขาดาวจะอุดมไปด้วยแร่ แต่มันยังเป็นที่ตั้งของซากปรักหักพังโบราณมากมาย


นอกจากนี้หุบเขาดาวยังเป็นบ้านของดันเจี้ยนภูมิภาค โหมดพระเจ้า ซึ่งเท่าที่รู้ก็มีเพียงแค่สองแห่งเท่านั้นในทวีปด้านตะวันตก ซึ่งมันเป็นเป้าหมายของทุกคนในการเข้าสำรวจและยึดครอง


กระนั้นซือเฟิงกับต้องการจะยึดป้อมปราการแสงดาว ในหุบเขาดาวให้ได้ !!!


“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ที่นั่นเป็นดินแดนต้องห้ามเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย ฉันคิดว่าคุณอาจจะประเมินค่ากองกำลังสิงโตเงินของเราสูงเกินไป และแม้ว่าจะมีกองทัพเพิ่มอีกหนึ่งแสนคนภายใต้การนำของผู้อาวุโสสูงสุด แต่ฉันก็คิดว่าเราไม่สามารถจะผ่านประตูป้อมปราการแสงดาวไปได้แน่นอน ไม่ต้องพูดถึงการเข้ายึดป้อมปราการเลย “ แม๊คอาฟรี่กล่าวยืนยัน แทนที่จะโกรธกับเป้าหมายของซือเฟิง เขากับยิ้มอย่างขมขื่นออกมาแทน


ถ้าเผ่าศักสิทธิ์มีพลังมากพอในการจะเข้ายึดป้อมปราการแสงดาว พวกเขาจะเข้ายึดมันไปนานแล้ว และไม่ปล่อยมันให้อยู่มาถึงตอนนี้แน่นอน เพราะท้ายที่สุดการได้เป็นเจ้าของป้อมปราการแสงดาวนั้นมันให้ผลประโยชน์อย่างมากมายที่ไม่อาจเพิกเฉยได้ และไม่มีมหาอำนาจใดสามารถจะเพิกเฉยต่อสิ่งล่อลวงแบบนี้ได้แน่นอน


อย่างไรก็ตามมันก็ไม่มีมหาอำนาจแม้แต่กลุ่มเดียวที่สามารถจะเข้ายึดป้อมปราการแสงดาวได้สำเร็จ


แม๊คอาฟรี่นั้นยอมรับเลยว่าซือเฟิงแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ และเขาก็มีความสามารถเกินกว่าที่ผู้เชี่ยวชาญระดับสัตว์ประหลาดทั่วไปจะสามารถเทียบได้ แต่อย่างไรก็ตามด้วยผู้เล่นเพียงแค่ไม่กี่คนที่พวกเขามีนั้น มันก็ไม่เพียงพอที่จะใช้เข้ายึดป้อมปราการแสงดาวแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันอยู่ในดินแดนต้องห้ามด้วย และหากเขาต้องการจะทำจริงๆ เขาจำเป็นจะต้องมีกองทัพผู้เล่นที่ทรงพลังหลายแสนคนจึงจะสามารถทำงานนี้ได้สำเร็จ


“ฉันเข้าใจถึงความกังวลของคุณ รองผู้บัญชาการอาฟรี่ ฉันได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับป้อมปราการแสงดาวมาด้วยตัวเองแล้ว และฉันมั่นใจว่าด้วยความช่วยเหลือของกองกำลังสิงโตเงิน ฉันจะสามารถเข้ายึดมันได้” ซือเฟิงอธิบาย


ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขานั้น หุบเขาดาวมีชื่อเสียงอย่างมากในทวีปด้านตะวันตก อันเนื่องมาจากมันเต็มไปด้วยทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์มากๆ และป้อมปราการในดินแดนต้องห้ามแห่งนี้มันก็เป็นเสมือนกับเหมืองทองคำ ซึ่งมหาอำนาจต่างๆก็ได้ตรวจสอบพวกมันมาอย่างละเอียดแล้ว และแม้แต่กิลชั้นรองอย่างชาโด้วก็ยังมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับป้อมปราการในแผนที่นี้


หลังจากพิจารณาถึงความแข็งแกร่งของกองกำลังสิงโตเงินแล้ว ซือเฟิงจึงได้ตัดสินใจว่าป้อมปราการแสงดาวนั้นจะนับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด


ป้อมปราการแสงดาวในหุบเขาดาวนั้นเป็นหนึ่งในป้องปราการไม่กี่แห่งที่พวกเขานั้นมีโอกาสที่จะเข้ายึดได้ในตอนนี้ แต่อย่างไรก็ตามด้วยความที่มันเป็นแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อย ที่นี่มันก็ยังคงจัดว่าเป็นสถานที่ที่อันตรายมากๆสำหรับผู้เล่นขั้นสาม


อย่างไรก็ตามนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ซือเฟิงต้องการมัน


ป้อมปราการแสงดาวนั้นอยู่รอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ ดังนั้นมันจึงมีมรดกที่แข็งแกร่งกว่าในยุคปัจจุบันมาก


ในตอนนั้นเผ่ามนุษย์นั้นมีตัวตนขั้นสามหรือเหนือกว่าขึ้นไปมากกว่าตอนนี้มาก และหากให้พูดจริงๆนั้นการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสามในตอนนั้นก็ง่ายกว่าตอนนี้มาก เพราะท้ายที่สุดแล้ว หลังจากต่อสู้มาในสงครามนับครั้งไม่ถ้วน มนุษย์ก็สูญเสียมรดกที่ล้ำค่าไปเป็นจำนวนมาก มันจึงทำให้การเลื่อนขั้นไปสู่ขั้นสามนั้นเป็นสิ่งที่ท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป


หากเขาสามารถยึดป้อมปราการแสงดาวได้นั้น ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของสภาสิบแปดปีกก็จะได้รับความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างมาก


“เนื่องจากคุณได้ตัดสินใจแบบนี้แล้ว ดังนั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม …. และเราสามารถเริ่มออกเดินทางได้ทันทีเลย หลังจากที่ให้กองกำลังสิงโตเงินได้พักผ่อน และเตรียมตัวสักพัก” แม๊คอาฟรี่กล่าวอย่างยอมรับ เมื่อเห็นความมั่นใจของซือเฟิง เขาจึงเลิกพยาบามที่จะห้ามปราบนักดาบ เพราะท้ายที่สุดเผ่าศักสิทธิ์ก็ได้ทำข้อตกลงกับซือเฟิงแล้ว และมันก็ขึ้นอยู่กับเขาว่าเขาต้องการจะโจมตีที่ไหน โดยไม่ต้องคำนึงถึงความสำเร็จ


หลังจากนั้นสมาชิกแปดพันคนของกองกำลังสิงโตเงินก็ได้พักผ่อน และเตรียมพร้อมจะเดินทางเข้าสู่หุบเขาดาว


ซึ่งเมื่อพักผ่อน และจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย แม๊คอาฟรี่ก็ได้รายงานเรื่องนี้ไปยังอดอล์ฟ


“เขาต้องการจะเข้ายึดหนึ่งในป้อมปราการของหุบเขาดาวงั้นหรอ ? นี่เขาไม่รู้รึไงว่าหุบเขาดาวนั้นเป็นดินแดนต้องห้ามซึ่งห้ามผู้เล่นใช้สกิลเบอเซิกร์” อดอล์ฟประหลาดใจอย่างมาก เมื่อรู้ข่าวนี้


ผู้เล่นนั้นจะไม่สามารถใช้สกิลเบอเซิกร์ได้เลยในหุบเขาดาวได้เลย ซึ่งนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมมหาอำนาจต่างๆจึงมีความหวังเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นในการเข้ายึดป้อมปราการที่นั่นมาเป็นของตน แถมป้อมปราการเหล่านั้นยังได้จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับเหล่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยายด้วย ซึ่งเมื่ออยู่ในพื้นที่นั่น พวกเขามันจะมีพลังในการต่อสู้สูงกว่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยายทั่วไปมาก


ซึ่งหากไม่มีสกิลเบอเซิกร์ ผู้เล่นขั้นสามก็ไม่มีโอกาสจะต่อกรกับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายเหล่านั้นได้เลย นอกจากนี้ในป้อมปราการของหุบเขาดาวแต่ละแห่งมันยังมีมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายอยู่มากกว่าหนึ่งตัวด้วย


จากข้อมูลที่มหาอำนาจต่างๆมี ป้อมปราการแต่ละแห่งนั้นได้รับการปกป้องด้วยด้วยมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายอย่างน้อยสามตัว ขณะที่บางป้อมก็มีห้าตัว โดยมันก็มีแกรนลอร์ดและลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมากอยู่ในป้อมด้วย และแค่คิดถึงพลังการต่อสู้อันทรงพลังของมอนสเตอร์เหล่านี้ มันก็ทำให้อดอล์ฟรู้สึกขนลุกมากแล้ว


แม้เผ่าศักสิทธิ์จะมีไพ่ลับอย่างม้วนคัมภีร์อัญเชิญฮีโร่ขั้นสี่ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถจะเข้ายึดป้อมปราการที่มีความสามารถมากขนาดนั้นได้ อย่างไรก็ตามซือเฟิงกับยืนยันที่จะลองท้าทายในเรื่องนี้


“เขายืนกรานว่าเขาได้ทำการตรวจสอบข้อมูลของป้อมปราการแสงดาวมาแล้ว และเขามั่นใจว่า เขามีโอกาสจะยึดมันได้ ภายใต้การช่วยเหลือของเรา …” คริมสันวิชที่ยืนอยู่ด้านข้างของแม๊คอาฟรี่อธิบาย และน้ำเสียงของเธอก็เต็มไปด้วยความดูถูก


ในระยะนี้ของเกมนั้นมหาอำนาจต่างๆไม่สามารถจะเข้าไปแตะต้องป้อมปราการในหุบเขาดาวได้เลย เพราะท้ายที่สุดแล้วการจะสามารถเข้ายึดป้อมปราการในพื้นที่นี้ให้ได้นั้น มันจะต้องรอจนกว่าพวกเขาจะมีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามหลายพันคนอยู่ภายใต้คำสั่งของพวกเขา ซึ่งหากไม่ได้มีจำนวนมากขนาดนี้ มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะกวาดล้างลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ และแกรนลอร์ดในป้อมให้หมดไปได้ ไม่ต้องพูดถึงมอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย ….


“ฉันอยากให้ทุกคนระวังตัวไว้ให้ดี และถ้าสูญเสียกองกำลังไปมากกว่ายี่สิบเปอเซ็นต์ก็ให้ล่าถอยทันที” อดอล์ฟกล่าวหลังจากครุ่นคิด “ตอนนี้มหาอำนาจต่างๆนั้นได้เริ่มทำการโจมตีดันเจี้ยน เลเวลหนึ่งร้อยกันแล้ว และพวกเขาก็จะมีปฎิบัติการขนาดใหญ่อีกมากมายในอนาคต เราไม่สามารถที่จะประสบความสูญเสียอย่างร้ายแรงในช่วงเวลาสำคัญนี้ได้ !!! ดันเจี้ยน เลเวลหนึ่งร้อยถือเป็นความสำคัญสูงสุดของกิล!!!”


“เข้าใจแล้ว !!!” แม๊คอาฟรี่ตอบ เขาเองก็มีความคิดที่คล้ายๆกับอดอล์ฟ การมุ่งเป้าความสนใจไปที่ดันเจี้ยนเลเวลหนึ่งร้อยนั้นมันดีกว่าการพุ่งเป้าไปยังเป้าหมายที่ไม่สามารถทำได้จริงอย่างป้อมปราการแสงดาว

ดันเจี้ยน เลเวลหนึ่งร้อยนั้น จะดรอปอาวุธและอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อที่จะใช้เพิ่มความแข็งแกร่งโดยรวมของทั้งทีมได้ และอุปกรณ์พวกนี้นั้นก็จะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญขั้นสองของกิลทำเควสเลื่อนขั้นเป็นขั้นสามได้เร็วขึ้นมาก และความแข็งแกร่งโดยรวมของกิลพวกเขานั้นจะเพิ่มขึ้นจริงๆก็ต่อเมื่อ พวกเขามีผู้เล่นขั้นสามมากขึ้นเท่านั้น


หลังจากนั้นแม๊คอาฟรี่ก็ได้นำกองกำลังของเขาไปพบกับทีมของซือเฟิงที่ห้องเทเลพอร์ต และหลังจากนั้นพวกเขาก็ได้พากันเดินทางไปยังอาณาจักรทรายทองทันที ซึ่งมันเป็นประเทศที่อยู่ใกล้กับหุบเขาดาวมากที่สุด โดยอาณาจักรทรายทองนี้ไม่ต่างจากเป็นประเทศที่รกร้างเลย ซึ่งแปดสิบเปอเซ็นต์ของประเทศนี้นั้นเป็นทะเลทรายทั้งหมด


เมื่อพวกเขามาถึงทะเลทรายทองแล้ว กองกำลังทั้งหมดก็จะต้องเดินทางอีกราวสามชั่วโมงหรือมากกว่านั้นโดยอะเม้าท์บนบกเพื่อมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ชั้นนอกของหุบเขาดาว


เมื่อกองกำลังสิงโตเงินมาถึงที่นี่นั้น มันก็สร้างความตกตะลึงให้กับผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆในพื้นที่อย่างมาก แม้ว่าสมาชิกส่วนใหญ่ในกองกำลังจะใช้เสื้อคลุมสีดำปิดบังตัวตน แต่ออร่าของพวกเขานั้นก็ยังทำให้ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามก็อดไม่ได้ที่จะถอยห่าง


ในที่สุดหลังจากเดินทางมามากกว่าสามชั่วโมง ซือเฟิงและกองทัพเล็กๆของเขาก็มาถึงยอดเนินเขาในป่าซึ่งอยู่ไม่ห่างจากป้อมปราการแสงดาวมากนัก ซึ่งจากจุดนี้นั้นทุกคนสามารถที่จะมองเห็นป้อมปราการได้อย่างชัดเจนเลย


“โอ้ ? มีคนมาที่นี่แล้วงั้นหรอ ?” ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นทีมของผู้เล่นจำนวนหนึ่งกำลังต่อสู้อยู่กับมอนสเตอร์ในบริเวณที่ไม่ห่างจากป้อมปราการมากนัก


หุบเขาดาวนั้นเป็นดินแดนต้องห้ามเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย และในระยะนี้ของเกมนั้น มันก็มีผู้เล่นเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มีความแข็งแกร่งมากเพียงพอที่จะล่าในพื้นที่ชั้นนอกได้ และไม่ต้องพูดถึงบริเวณที่ใกล้กับป้อมปราการแสงดาวเลย


ป้อมปราการแสงดาวนั้นตั้งอยู่ในระหว่างรอยต่อของพื้นที่ชั้นนอกกับชั้นในของหุบเขาดาว และแม้แต่มอนสเตอร์ที่อ่อนแอที่สุดที่นี่ก็ยังเป็นลอร์ดบอสเลเวลหนึ่งร้อยห้า ขณะที่พวกเขาที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นถึงมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายเลเวลหนึ่งร้อยสิบ และแม้แต่กองกำลังหลักของมหาอำนาจต่างๆก็ยังจะไม่กล้าเข้ามาล่าที่นี่เลย หากไม่ได้เตรียมพร้อมมาอย่างดี


กระนั้นตอนนี้มันกับมีผู้เล่นทีมหนึ่งต่อสู้กับมอนสเตอร์อยู่ที่บริเวณใกล้กับทางเข้าป้อมปราการ นี่มันจึงน่าประหลาดใจมากๆ !!!


ซึ่งทีมนี้นั้นมีสมาชิกเพียงห้าร้อยคนเท่านั้น และทุกคนล้วนเป็นผู้เล่นอิสระ


“ช่างเป็นทีมนักผจญภัยที่ทรงพลังมากจริงๆ !!! พวกเขามีผู้เล่นขั้นสามมากกว่าสามสิบคนในทีมห้าร้อยคนนี้ และผู้ที่มีเลเวลต่ำที่สุดในหมู่พวกเขาก็ยังมีเลเวลหนึ่งร้อยห้า ทีมๆนี้นั้นสามารถเทียบกับกองกำลังหลักของกิลชั้นสูงระดับต้นๆได้เลยในทางปฎิบัติ” คริมสันวิชกล่าวแสดงความเห็น


แน่นอนเมื่อซือเฟิง และกองทัพของเขามาถึงนั้น ทีมนักผจญภัยทีมนี้ก็สังเกตเห็นพวกเขาอย่างรวดเร็วเช่นกัน


“พวกเขามากันมากมายเลย เราจะทำยังไงกันดีบอส ?” แรนเจอร์เลเวลหนึ่งร้อยหก ขั้นสาม ถามชายผู้แข็งแกร่งที่กำลังแท๊งแกรนลอร์ดเลเวลหนึ่งร้อยสิบ สายพันธุ์โบราณอยู่


แม้ว่าชายผู้แข็งแกร่งคนนี้จะสวมใส่เพียงแค่ชุดเกราะหนัง และใช้ถุงมือคู่หนึ่งที่เป็นเหล็กอยู่ แต่มันก็มีชั้นของพลังแปลกๆที่ห่อหุ้มร่างกายของพวกเขาไว้ ซึ่งมันช่วยลดจำนวนค่าความเสียหายที่เขาได้รับจากการโจมตีของแกรนลอร์ดลงไปอย่างมาก และแม้ว่าแกรนลอร์ดจะโจมตีโดนชายผู้นี้เต็มๆ แต่เขาก็เสีย HP ไปแค่ประมาณสองหมื่นเท่านั้น ซึ่งความเสียหายแค่นี้สำหรับผู้เล่นขั้นสามนั้นนับว่าไม่สำคัญเลย


“บอสเควสตัวนี้เหลือ HP หลอดแดงแล้ว ตอนนี้ไม่ต้องสนใจพวกเขา หากพวกเขากล้าที่จะขโมยของๆเรา เราก็จะลากพวกเขาไปลงนรกพร้อมกับเรา !!!” ชายผู้แข็งแกร่งกล่าว และเขาก็จ้องมองไปยังกองกำลังสิงโตเงินอย่างไม่มีท่าทีจะกลัวเลยแม้แต่น้อย แม้ว่ากองกำลังนี้จะมีจำนวนมากกว่าอย่างมาก

“ฉันเห็นด้วย ฉันได้ตรวจสอบมานาของพวกเขาแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะมีผู้เล่นมากกว่าเรามาก แต่มันก็มีเพียงแค่เจ็ดสิบคนเท่านั้นที่เป็นผู้เล่นขั้นสาม ซึ่งหากต้องต่อสู้กันจริงๆ ฉันมั่นใจว่าเราจะสามารถสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับพวกเขาได้แน่นอน !!!” ชายอีกคนหนึ่งที่ดุร้าย และถือดาบใหญ่กล่าวพลางพยักหน้าเห็นด้วย


ทีมนักผจญภัยทีมอื่นๆนั้นจะหนีไปแล้วแน่นอน หากพวกเขาต้องมาพบกับกองกำลังสิงโตเงิน แต่พวกเขานั้นแตกต่างออกไป พวกเขาจะไม่ถอยกลับจากการต่อสู้ แม้ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับกองทัพที่ผู้เล่นแปดพันคนที่มาพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญขั้นสามเกือบร้อยคน


“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม เราควรบอกให้พวกเขาออกไปไหม ?” แม๊คอาฟรี่ถามขณะที่เขาหันไปหาซือเฟิง


พวกเขานั้นมาที่นี่เพื่อยึดป้อมปราการ แม้ว่าผู้เล่นที่พวกเขาพบจะเป็นเพียงแค่ทีมนักผจญภัยที่มีจำนวนน้อยกว่าพวกเขามาก แต่คนเหล่านี้ก็อาจส่งผลต่อปฎิบัติการของพวกเขาได้


อย่างไรก็ตามในปฎิบัติการครั้งนี้นั้น ซือเฟิงเป็นผู้บัญชาการ แม๊คอาฟรี่จึงเลือกจะหันไปถามซือเฟิงก่อนที่จะออกคำสั่งใดๆ


“นั่นไม่จำเป็น พวกเรากับพวกเขามาที่นี่ด้วยเหตุผลคนละอย่างกัน …” ซือเฟิงกล่าวพลางส่ายหัว เขาไม่ได้มีความตั้งใจจะเคลียร์พื้นที่


“ถ้าเราไม่ให้พวกเขาออกไป เราจะไม่สามารถทำการปิดล้อมประตูหน้าได้นะ หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม” แม๊คอาฟรี่กล่าวยืนกรานอย่างโกรธเคือง


ป้อมปราการแสงดาวนั้นมีทางเข้าเพียงแค่ทางเดียว และมันก็เป็นพื้นที่ที่มีการป้องกันน้อยที่สุด ขณะเดียวกันด้านอื่นๆนั้นก็มีกำแพงหนาที่สูงสิบสองเมตรนั้นล้อมรอบป้อมปราการอยู่ทุกด้าน และพวกมันก็ได้รับการปกป้องด้วยวงเวทย์ที่ทำให้ผู้เล่นไม่สามารถจะกระโดดข้ามกำแพงได้ นอกจากนี้มันก็ยังมีทั้งลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ และแกรนลอร์ดที่เป็นองครักษ์สายธาตุประจำการอยู่บนกำแพงด้วย ซึ่งบอสเหล่านี้นั้นไม่เพียงแต่จะสามารถโจมตีได้ในระยะไกลเท่านั้น แต่พวกมันยังมีเวทย์ AOE ด้วย


ซึ่งมอนสเตอร์เหล่านี้นั้นจะระดมโจมตีพวกเขาจนจมดินกันเลยแน่นอน ก่อนที่พวกเขาจะสามารถทำลายกำแพงของป้อมปราการได้


อย่างไรก็ตามก่อนที่แม๊คอาฟรี่จะทันได้พูดอะไรต่อ ซือเฟิงก็ได้ทำการดึงเอายักษ์เหล็กที่เขาไม่ได้นำมาใช้นานออกมา


เรือเหาะมังกรสีเลือด !!!


2453 ความเป็นไปได้ของเรือเหาะมังกรสีเลือด


“เรือเหาะ ?”


เมื่อสมาชิกของเผ่าศักสิทธิ์เห็นเรือเหาะมังกรสีเลือดขนาดมหึมา ดวงตาของพวกเขาก็แทบจะถลนออกจากเบ้า ซึ่งนี่รวมไปถึงแม๊คอาฟรี่ และพวกระดับสูงของเผ่าศักสิทธิ์คนอื่นๆด้วย


เรือเหาะมังกรสีเลือดนั้นมีขนาดใหญ่มากๆ ก่อนหน้านี้ในตอนที่เทียบอะเม้าท์บินได้กับอะเม้าท์บนบกนั้น อะเม้าท์บนบกดูแคระไปเลย แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้เมื่อนำอะเม้าท์บินได้มาเทียบกับเรือเหาะ อะเม้าท์บินได้นั้นไม่ต่างจากเด็กที่ยืนอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่เลย


“ดังนั้น นี่ก็คือเรือเหาะตามข่าวลืองั้นสินะ ?”


แม๊คอาฟรี่อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับเจ้ายักษ์เหล็กสีแดงเข้มที่มีอักษรรูนและวงเวทย์มากมายถูกสลักอยู่ตามตัวเรือ และแม้แต่มานาของเรือมันก็ยังทำให้เขารู้สึกราวกับถูกสะกดจิตเลยทีเดียว


ในฐานะที่เป็นหนึ่งในพวกระดับสูงของเผ่าศักสิทธิ์ เขาเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับอาวุธสงครามบินได้ของสภาสิบแปดปีกมาบ้าง แต่อย่างไรก็ตามการได้เห็นมันด้วยตาตัวเองนั้นมันก็ยังทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงมากๆ


ต่อหน้ายักษ์เหล็กแบบนี้ มอนสเตอร์และผู้เล่นในระยะนี้ของเกมนั้นแทบจะไม่มีความหมายเลย


เมื่อทีมนักผจญภัยที่กำลังต่อสู้อยู่ในระยะไกลเห็นเรือเหาะมังกรสีเลือด บางคนถึงกับลืมว่าพวกเขาต้องต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาไปชั่วขณะ และหลังจากโดนการโจมตีของมอนสเตอร์เข้าไป พวกเขาจึงฟื้นคืนสติมาได้


“นั่นคืออะไรกัน ?”


“อึก !! นี่พวกเขาจำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยงั้นหรอ ?!!”

ตอนนี้สมาชิกของทีมนักผจญภัยบางคนนั้นถึงกับตัวแข็งค้างด้วยความตกตะลึงและหวาดกลัวมากๆ ขณะที่พวกเขาจ้องมองไปยังเรือเหาะ และความมั่นใจที่พวกเขาเคยมีนั้นก็ลดลงไปมาก


“บอสเราจะทำยังไงดี ? ดูไอ้เวรนั่นสิ !!! เราเป็นเพียงแค่ทีมห้าร้อยคน แต่พวกเขากับเปิดเผยสิ่งนั้นออกมาเพื่อข่มขู่เรา !!!” ชายผู้ที่ถือดาบใหญ่โจมตีอยู่กล่าวพลางจ้องมองไปยังเรือเหาะที่อยู่ห่างไกล


ด้วยอาวุธที่พวกเขามีอยู่ในมือทั้งหมดตอนนี้ ความคิดที่จะต่อสู้กับยักษ์เหล็กตนนี้นั้นนับเป็นเรื่องตลกเลย มันจะคล้ายกับการพยายามขับไล่รถถังหรือเครื่องบินขับไล่ด้วยไม้ พลังการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายนั้นอยู่ในระดับที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง


ในขณะเดียวกัน ชายผู้แข็งแกร่งซึ่งเป็นผู้บัญชาการทีมนักผจญภัยทีมนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเรือเหาะด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน


แม้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญขั้นสามหลายสิบคนด้วยตัวเอง แต่เขาก็ยังคงมีความกล้าที่จะต่อสู้ และเขาก็มั่นใจด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถหนีจากผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ไปได้ทั้งๆที่ยังมีชีวิต แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ทั้งหมดก็ตาม อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเรือเหาะมังกรสีเลือดนั้น เขาไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะสามารถหนีไปได้


ในระยะนี้ของเกมนั้น ผู้เล่นทุกคนส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่ในเมืองของ NPC และที่สำคัญคือ พวกเขานั้นรู้ดีว่าเรือเหาะคืออะไร และแม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่จะยังไม่ทราบแน่ชัดว่าพวกมันทรงพลังมากขนาดไหน แต่มันก็เดาได้ง่ายเลย เพราะมันสามารถจะยิงปืนใหญ่เวทย์มนต์จากบนอากาศได้ และปืนใหญ่เวทย์มนต์ที่อ่อนแอที่สุดของมันก็ยังมีพลังเทียบเท่ากับการโจมตีที่สูงสุดของขั้นสาม ยิ่งไปกว่านั้นการโจมตีของปืนใหญ่เวทย์มนต์นี้ยังเป็นแบบ AOE ซึ่งผู้เล่นที่บินไม่ได้นั้นจะเป็นดั่งเป้าเคลื่อนที่สำหรับปืนใหญ่แบบนี้เลย


ตอนนี้ชีวิตทีมของเขานั้นอยู่ในความเมตตาของเรือเหาะลำนี้อย่างสมบูรณ์ หากผู้เล่นที่ขับเรือเหาะต้องการให้พวกเขาตาย พวกเขาก็จะตายโดยไม่มีโอกาสได้หนีด้วยซ้ำ ….


ในขณะที่ทีมนักผจญภัยกำลังเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก อควาโรสและสมาชิกคนอื่นๆของสภาสิบแปดปีกก็ขึ้นเรือไปท่ามกลางการเฝ้าดูของสมาชิกเผ่าศักสิทธิ์


“รองผู้บัญชาการอาฟรี่ ฉันจะพยายามทำลายกำแพงให้ไวที่สุด และฉันต้องการให้คุณสร้างแนวป้องกันอยู่ที่ด้านล่างนี้เพื่อคอยปกป้องเรือเหาะจากมอนสเตอร์ที่บินได้และบินไม่ได้ที่จะไหลทะลักออกมาจากป้อมปราการ …” ซือเฟิงกล่าวกับแม๊คอาฟรี่ซึ่งยังคงยืนตกตะลึงอยู่


หากเป็นมหาอำนาจอื่นๆ พวกเขาจะต้องเข้าจากทางประตูหน้าที่มีประตูเดียวแน่นอน อย่างไรก็ตามด้วยเรือเหาะมังกรสีเลือดของซือเฟิง เขาจะสามารถเลือกโจมตีได้ทุกทิศทางที่เขาต้องการ


เมื่อได้ยินคำสั่งของซือเฟิง แม๊คอาฟรี่ก็หายตกตะลึง และหันไปมองซือเฟิง พลางกล่าวว่า “คุณต้องการจะฝ่ากำแพงเข้าไปจริงๆงั้นหรอหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ? ป้อมปราการแห่งนี้นั้นอยู่รอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ และกำแพงของมันนั้นก็แข็งแกร่งกว่าป้อมปราการสมัยใหม่มากๆ ถึงแม้จะมีเรือเหาะก็ตาม แต่ฉันก็กลัวว่ามันจะเป็นเรื่องท้าทายมากในการจะทำลายกำแพงให้ได้”


ตอนแรกนั้นเขายังคงไม่เชื่อว่าซือเฟิงจะสามารถยึดป้อมปราการแสงดาวได้จริงๆ อย่างไรก็ตามตอนนี้ เขาเริ่มเชื่อแล้วว่าซือเฟิงนั้นจะสามารถทำได้ ดังนั้นเขาจึงอยากจะให้ทำให้สำเร็จ เขาจึงได้กล่าวคำแนะนำออกไป


การเปิดช่องในแนวป้องกันของป้อมปราการนั้นเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในการพยายามเข้ายึดครอง เพราะป้อมปราการทั้งหมดนี้นั้นมีคุณสมบัติที่จะซ่อมแซมตัวเองโดยอัตโนมัติได้ และหากผู้เล่นไม่สามารถใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนนั้นได้ก่อนที่กำแพงจะเริ่มซ่อมแซมตัวเอง พวกเขาก็ไม่มีความหวังที่จะประสบความสำเร็จในการเข้ายึดป้อมปราการเลย


โดยปกติจุดอ่อนที่สุดในการป้องกันของป้อมปราการนั้นก็จะเป็นที่ประตูหน้า ซึ่งประตูจะมีความแข็งแกร่งทนทานน้อยกว่ากำแพงในระดับหนึ่ง


“ผ่อนคลายน่า เราน่าจะมีเวลาเพียงพอ ตราบใดที่กองกำลังสิงโตเงินสามารถช่วยป้องเราจากมอนสเตอร์บินได้ไว้ได้ เรือเหาะของเราก็จะไม่มีปัญหาแน่นอน” ซือเฟิงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ ให้กับความกังวลของแม๊คอาฟรี่ “กองกำลังของคุณจะทำงานนี้ได้สำเร็จไหมล่ะ ?”


การทำลายประตูหน้านั้นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการสร้างจุดอ่อนให้กับแนวป้องกันของป้อมปราการ แต่หากผู้เล่นเปิดเส้นทางส่วนที่เป็นกำแพงเลยเลย มอนสเตอร์ที่อยู่ภายในป้อมปราการนั้นก็จะจัดการได้ง่ายกว่ามาก


กำแพงของป้อมปราการนั้นถูกเสริมด้วยวงเวทย์จำนวนมากซึ่งเชื่อมโยงกันเป็นโครงข่ายทั้งหมดและล้อมรอบป้อมปราการเอาไว้ และมันก็สามารถที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับพันธมิตรและผู้เป็นเจ้าของป้อมได้ด้วย นี่คือมอนสเตอร์ที่อยู่ภายในป้อมนั้นมีความยากที่จะเอาชนะได้มากกว่าสัตว์ประหลาดในแผนที่ล่ามาก


อย่างไรก็ตาม หากผู้เล่นสามารถทำลายส่วนหนึ่งของกำแพงได้ พวกเขาอาจจะสามารถสร้างความเสียหายให้กับวงเวทย์ในป้อมได้ และในทางกลับกัน สิ่งนี้มันก็น่าจะช่วยให้บัฟความแข็งแกร่งที่มอนสเตอร์ภายในป้อมได้รับลดลงไปด้วย


น่าเสียดายที่การทำลายแพงนั้นเป็นเรื่องยากมากกว่าการทำลายประตูหน้าหลายเท่า สำหรับผู้เล่นทั่วไป ซึ่งมันทำให้แต่ละกองกำลังที่มาโจมตีป้อมปราการส่วนใหญ่นั้นจะเลือกโจมตีประตูหน้าเพียงอย่างเดียว


อย่างไรก็ตามด้วยความแข็งแกร่งของกองกำลังสิงโตเงินในปัจจุบัน บวกกับเรือเหาะของเขา และความสามารถของสมาชิกสภาสิบแปดปีก ซือเฟิงจึงเลือกหนทางนี้ เพราะเขาคิดว่ามันมีความเป็นไปได้ ….


แม้แต่ป้อมปราการที่อ่อนแอที่สุดในหุบเขาดาวก็ยังได้รับการป้องกันโดยมอนสเตอร์หลายแสนตัว และในจำนวนนี้มันก็มีลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่หลายพันตัว กับแกรนลอร์ดอีกหลายร้อยตัว ยิ่งไปกว่านั้น มอนสเตอร์เหล่านี้นั้นยังจะเกิดใหม่ขึ้นมา หลังตายไปในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งหากผู้เล่นไม่มีค่าความเสียหายมากพอที่จะฆ่าพวกมันทั้งหมดให้ได้อย่างรวดเร็ว มอนสเตอร์เหล่านี้ก็อาจจะเกิดใหม่ขึ้นมาได้เรื่อยๆจนกวาดล้างกองทัพมหาอำนาจนับแสนได้อย่างง่ายดายเลย


แน่นอนว่าผู้เล่นนั้นไม่จำเป็นจะต้องฆ่ามอนสเตอร์ทั้งหมดเพื่อเข้ายึดป้อมปราการให้ได้ สิ่งที่พวกเขาต้องทำนั้นมันก็มีเพียงแค่ต้องฆ่าบอสผู้พิทักษ์ประจำป้อมปราการให้ได้ แต่อย่างไรก็ตามการจะทำให้ได้นั้น มันก็ยังต้องล่อมอนสเตอร์บางส่วนให้ออกไปภายนอกป้อมเพื่อกำจัดให้ได้ ไม่งั้นมอนสเตอร์เหล่านั้นจะจัดเป็นปัญหาใหญ่มากในระหว่างการสู้กับบอสผู้พิทักษ์ …


อย่างไรก็ตาม โชคดีที่มันมีแค่สิ่งมีชีวิตสายธาตุระดับต่ำเท่านั้นที่คอยปกป้องป้อมปราการแสงดาวอยู่ และพวกเขามันก็ไม่ได้ฉลาดมากนัก ซึ่งก็รวมไปถึงพวกมอน

สเตอร์ระดับเทพนิยายด้วย พวกมันเน้นทำทุกอย่างตามสถานการณ์มากกว่า


หากป้อมปราการถูกยึดครองไว้โดยเอลฟ์เวทย์มนต์ มันจะไม่มีผู้เล่นคนใดสามารถเข้ายึดมันได้แน่นอนจนกว่าผู้เล่นจะพากันไปถึงอย่างน้อยที่ขั้นห้า


“นั่นไม่มีปัญหา ตราบใดที่เราไม่ต้องรับมือกับพวกมอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย มันก็ไม่มีทางที่มอนสเตอร์ที่ถูกล่อออกมา และไม่ได้รับบัฟจากป้อมจะทำลายแนวของกองกำลังสิงโตเงินได้” แม๊คอาฟรี่กล่าวอย่างมั่นใจ อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงแอบหวังให้ซือเฟิงเปลี่ยนใจเข้ามาโจมตีประตูหน้าแทน เพราะมันจะทำได้ง่ายกว่ามาก และถ้าพวกเขาสามารถเข้ายึดป้อมปราการแสงดาวได้ มันก็จะเป็นดั่งการแสดงปาฎิหาริย์ในทวีปด้านตะวันตกเลย และชื่อของพวกเขาก็จะถูกจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ของ God domain


“เยี่ยมมาก !!! จากนี้ฉันขอฝากการออกคำสั่งทุกอย่างของกองกำลังไว้ให้กับคุณ รองผู้บัญชาการแม๊คอาฟรี่” ซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม พลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นเขาก็ขึ้นเรือเหาะมังกรสีเลือดไป และทิ้งส่วนที่เหลือไว้ให้กับแม๊คอาฟรี่ ซึ่งคุ้นเคยกับกองกำลังสิงโตเงินมากกว่าจัดการ


คนใกล้ชิดของแม๊คอาฟรี่และคริมสันวิชนั้นต่างพูดไม่ออกเลย ขณะที่พวกเขาเฝ้ามองซือเฟิงขึ้นเรือเหาะมังกรสีเลือดไป เห็นได้ชัดว่าตอนนี้พวกเขานั้นมีโอกาสจะเข้ายึดป้อมปราการแสงดาวได้ แต่ซือเฟิงกับเลือกจะทำวิธีที่ยาก ….


อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับเรื่องนี้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว สภาสิบแปดปีก และเรือเหาะของพวกเขาคือผู้ที่มีอำนาจเหนือปฎิบัติการทั้งหมดนี้


“มาดูกันว่า เขายังจะแอ๊คแบบนี้ต่อไปได้ไหม หากแผนของเขาล้มเหลว …” คริมสันวิชกล่าวพลางเดาะลิ้นของเธอ แต่ถึงแม้เธอจะพูดอย่างนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังเรือเหาะด้วยความอิจฉา ถ้าเธอมีเรือเหาะแบบนี้นั้นเธอจะสามารถเหยียบย่ำสัตว์ประหลาดที่แท้จริงได้สบายๆเลย


ในขณะที่ทีมนักผจญภัยที่อยู่ห่างไกลลังเลว่าควรจะทำอย่างไรดี กองกำลังสิงโตเงินก็เริ่มเคลื่อนขบวนเข้าจัดแนวเตรียมป้องกันเรือเหาะมังกรสีเลือด ในขณะที่ปืนใหญ่มานาของเรือเริ่มรวบรววมพลังงาน


เครื่องเครืองยนต์ระดับทองแดงของเรือนั้นได้เริ่มขับเคลื่อนพลังของปืนใหญ่มานาทันที และในทันใดนั้นปืนใหญ่มานาก็เริ่มดูดซับมานาโดยรอบ ซึ่งมันทำให้แม้แต่ผู้เล่นที่อยู่ในระยะหนึ่งพันหลารอบพวกเขานั้นก็ยังรู้สึกได้ถึงมานาที่บ้าคลั่ง


ก่อนที่กองกำลังสิงโตเงินจะจัดแนวของพวกเขาเพื่อรอทำการป้องกันเรือเหาะมังกรสีเลือดเรียบร้อย ลำแสงสีขาวดำก็ถูกยิงออกจากปืนใหญ่พุ่งเข้าไปใส่กำแพงทางด้านตะวันตกของป้อมปราการสตาร์ไลท์


ตู้ม !!


กำแพงนั้นระเบิดทันที และคลื่นกระแทกที่รุนแรงที่เกิดขึ้นจากการโจมตีนี้ก็ทำให้ผู้เล่นทุกคนในระยะหลายร้อยหลานั้นแทบยืนไม่อยู่เลยทีเดียว ซึ่งมันเห็นได้ชัดว่าปืนใหญ่นี้ใช้ได้ผลกับกำแพง


เมื่อฝุ่นจางลง ฉากตรงหน้ามันก็เผยให้เห็นรอยแตกขนาดใหญ่ที่กำแพงทางทางด้านตะวันตก และลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นสิ่งมีชีวิตสายธาตุบนกำแพงนั้นก็ได้สูญเสีย HP ไปมากกว่าหนึ่งในสามจากการโจมตี ….


“ปืนใหญ่มานานั่นทรงพลังมากขนาดไหนกัน ?” คริมสันวิชอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง


เธอนั้นเคยเห็นปืนใหญ่มานามาก่อน แต่อย่างไรก็ตามเธอไม่เคยเห็นปืนใหญ่มานาที่สามารถจะกลืนกิน HP มากกว่าหนึ่งในสามของลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ที่มีเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยได้เลยในการโจมตีเดียว ….


ก่อนที่หลายคนจะทันได้ฟื้นคืนจากอาการตกตะลึง ปืนใหญ่มานาทั้งสิบเอ็ดกระบอกของเรือเหาะมังกรสีเลือดก็เริ่มชาร์จอีกครั้ง


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ลำแสงสีขาวดำก็พุ่งเข้าถล่มกำแพงทางด้านตะวันตกของป้อมปราการสตาร์ไลท์


2454 ประเภทโดเมน


เมื่อปืนใหญ่มานาสิบเอ็ดกระบอกถล่มกำแพงทางด้านตะวันตกของป้อมปราการแสงดาว ทุกคนในบริเวณใกล้เคียงก็รู้สึกราวกับว่าวันสิ้นโลกได้มาถึงแล้ว และรอบตัวของพวกเขาก็สั่นสะเทือนมากๆ


การทำลายล้าง !!


ตกตะลึง !!


ทำอะไรไม่ถูก !!


ทุกคนนั้นทำได้แค่อ้าปากค้าง ขณะที่พวกเขาได้เห็นลำแสงสีขาวดำทำลายกำแพงทางด้านตะวันตก และทำให้เกิดรอยฉีกขาดเชิงพื้นที่ในอากาศที่มันแหวกผ่าน


“นี่เรือเหาะลำนี้จะไม่แข็งแกร่งเกินไปหน่อยงั้นหรอ ?!” คริมสันวิชกล่าวอย่างเต็มไปด้วยความสงสัย


ไม่เพียงแต่ปืนใหญ่มานาของเรือเหาะมังกรสีเลือดลำนี้จะทรงพลังมากๆ แต่บนเรือยังมีปืนใหญ่แบบนี้ยังมีทั้งหมดสิบสองกระบอกบนเรือ ซึ่งมันจัดเป็นดั่งป้อมปราการที่บินได้เลย


ภายในใจเธอตอนนี้นั้นรู้สึกโล่งใจมากๆที่เธอไม่ได้เริ่มการต่อสู้อย่างเต็มที่กับทีมของซือเฟิงที่เหมืองแร่เงินปีศาจ เพราะหากเริ่มการต่อสู้อย่างเต็มที่นั้นกองทัพของเธอจะไม่รอดแน่นอน แม้ว่าจะใช้ม้วนคัมภีร์อัญเชิญฮีโร่ขั้นสี่ก็ตาม


คริมสันวิชและสมาชิกคนอื่นๆของกองกำลังสิงโตเงินไม่ใช่แค่พวกเดียวที่ตกตะลึงกับฉากนี้ ทีมนักผจญภัยที่ต่อสู้อยู่ไม่ไกลจากประตูหน้าของป้อมปราการแสงดาวเองก็ตกตะลึงมากเช่นกัน


การโจมตีแค่ระลอกเดียวจากปืนใหญ่มานาของเรือเหาะมังกรสีเลือดนั้นได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับพื้นที่ในรัศมีห้าสิบหลา ซึ่งหากปืนใหญ่มานาทั้งหมดสิบสองกระบอกยิงพร้อมกันจริงๆมันก็เพียงพอจะสังหารหมู่ทีมห้าพันคนได้เลย ไม่ต้องพูดถึงทีมห้าร้อยคน


“พวกเขาเป็นใครกัน ?”


นอกเหนือจากความตกตะลึง และความกลัวแล้ว สมาชิกในทีมนักผจญภัยทั้งหมดก็ยังอดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นถึงตัวตนของซือเฟิงและทีมของเขา


พวกเขานั้นเป็นสมาชิกของทีมนักผจญภัยหัวใจพายุ ซึ่งเป็นทีมนักผจญภัยชั้นยอดที่รอดชีวิตมาได้อย่างยาวนานมากจากการต่อสู้ขนาดใหญ่กับกองทัพสัตว์ปีศาจหลายครั้ง และหัวใจพายุนั้นก็มีชื่อเสียงอย่างมากในอาณาจักรทรายทอง และประเทศใกล้เคียงหลายแห่ง ซึ่งครั้งหนึ่งมหาอำนาจกลุ่มหนึ่งได้เคยเข้ามาขอความช่วยเหลือจากพวกเขาในการยึดเมืองคืนจากสัตว์ปีศาจด้วย


อย่างไรก็ตามจากฝ่ายตรงข้ามทั้งหมดที่หัวใจพายุเคยเผชิญมานั้น มันไม่มีอะไรจะเทียบเท่ากับเรือเหาะมังกรสีเลือดได้เลย และแม้แต่มหาอำนาจต่างๆตอนนี้เท่าที่พวกเขารู้ก็ยังไม่มีใครมีอาวุธแบบนี้เลย


“นี่ผู้เล่นเหล่านั้นพยายามจะเข้ายึดป้อมปราการแสงดาวงั้นหรอ ?” ชายผู้ที่ถือดาบใหญ่อยู่ และดูโหดเหี้ยมกล่าวพลางมองไปยังเรือเหาะมังกรสีเลือด


หุบเขาดาวนั้นถือว่าเป็นดินแดนต้องห้าม และป้อมปราการที่นี่ก็ถือว่าเป็นดินแดนต้องห้ามในดินแดนต้องห้ามเลย ผู้เล่นในปัจจุบันนั้นไม่มีความแข็งแกร่งมากพอจะทำอะไรกับป้อมปราการพวกนี้ได้ และโดยเฉลี่ยแล้วมอนสเตอร์ภายในป้อมปราการเหล่านี้ก็มักจะมีเลเวลตั้งแต่หนึ่งร้อยสิบ หรือมากกว่านั้นขึ้นไปทั้งหมด และมันก็จะมีจำนวนมากกว่าสองแสนตัวอย่างง่ายดายเลย และป้อมปราการนี้ก็ยังเป็นบ้านของมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยสิบด้วย ซึ่งสำหรับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายแบบนี้ การฆ่าผู้เชี่ยวชาญขั้นสามในปัจจุบันจะจัดว่าง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเลย


แม้กระทั่งตอนนี้มหาอำนาจต่างๆนั้นก็พึ่งจะทำการสำรวจพื้นที่รอบๆป้อมปราการบางแห่งในหุบเขาดาวได้เท่านั้น พวกเขานั้นจะต้องรอจนกว่าจะมีผู้เล่นขั้นสามหลายพันคน พวกเขาจึงจะมีโอกาสยึดป้อมปราการแบบนี้ได้


เหล่ามอนสเตอร์นั้นไม่ใช่ส่วนที่ยากที่สุดในการเข้ายึดป้อมปราการในหุบเขาดาว แต่การเปิดช่องในแนวป้องกันของป้อมปราการนั้นนับเป็นความยากที่แท้จริง และหากทีมล้มเหลว พวกเขาจะไม่สามารถส่งผู้เล่นเข้าไปในป้อมปราการได้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถฆ่าบอสผู้พิทักษ์ และรับเอาโทเค่นป้อมปราการมาได้


“ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่งั้นทำไมพวกเขาถึงเลือกจะโจมตีไปที่ป้อมปราการแสงดาวโดยตรงล่ะ ?” ผู้บัญชาการของทีมนักผจญภัยหัวใจพายุกล่าวตอบ ในขณะที่เขาเฝ้ามองไปยังเรือเหาะมังกรสีเลือดด้วยความกลัว ตอนแรกเขานั้นคาดเดาว่าซือเฟิงและกองกำลังของเขาเพิ่งจะเคยเข้ามาล่าในพื้นที่นี้ และก็ได้เลือกจะเปิดเผยเรือเหาะมังกรสีเลือดออกมาเพื่อข่มขู่และไล่ทีมนักผจญภัยของพวกเขาไป เขานั้นไม่คิดเลยว่าความจริงแล้วผู้เล่นเหล่านี้นั้นตั้งใจที่จะยึดป้อมปราการแห่งนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่มหาอำนาจต่างๆก็ยังทำไม่ได้


ก่อนที่ทุกคนจะทันได้หายตกตะลึงที่ได้เฝ้าดูฉากการระดมยิงของปืนใหญ่มานาจากเรือเหาะมังกรสีเลือด แสงอันเจิดจ้าที่ล้อมรอบป้อมปราการแสงดาวก็เริ่มจางหายไปเผยให้เห็นรอยแตกขนาดใหญ่บริเวณกำแพง และลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ที่ประจำการอยู่บริเวณนั้นก็ถูกลบหายออกไปด้วย


“มันพลังบ้าอะไรกัน ?! นี่การโจมตีจากปืนใหญ่มานาแค่ไม่กี่ระลอกสามารถทำความเสียหายได้มากขนาดนี้เลยงั้นหรอ ?!!” แม๊คอาฟรี่นั้นอดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นมากขึ้น เมื่อได้เห็นรอยแตก


เขานั้นคาดเดาว่าพลังของเรือเหาะมังกรสีเลือดเพียงแค่ลำเดียวนั้นคงไม่เพียงพอที่จะทำลายกำแพงของป้อมปราการแสงดาวได้อย่างรวดเร็ว และถ้าพูดให้ถูก เขาคาดเดาว่าด้วยแผนนี้ของซือเฟิง โอกาสในการที่พวกเขาจะยึดป้อมได้จริงๆนั้นมีน้อยมาก เพราะท้ายที่สุดพวกเขาจะไม่มีเวลาเพียงพอที่จะจัดการกับพวกมอนสเตอร์ตัวอื่นๆ และค้นหาบอสผู้พิทักษ์เพื่อฆ่า ก่อนที่กำแพงจะซ่อมแซมตัวเอง


อย่างไรก็ตามตอนนี้มันก็ชัดแล้วว่าเขาคาดเดาผิด และพวกเขาก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จสูงมาก


แม้ว่าเขาจะไม่รู้ค่าความทนทานที่กำแพงทางด้านตะวันตกสูญเสียไปนั้นมันมากแค่ไหน แต่เขาก็มีประสบการณ์ค่อนข้างมากในสงครามปิดล้อมและโจมตีป้อมปราการหรือเมืองแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่ามันต้องใช้พลังมากขนาดไหนในการจะทำลายกำแพงแบบนี้ได้


จากประสบการณ์ของเขา เขาสามารถคำณวนได้เลยว่ากำแพงของป้อมปราการแสงดาวนั้นจะสูญเสียค่าความทนทานไปอย่างน้อยสองเปอเซ็นต์แล้ว ซึ่งนี่มันจะหมายความว่าพวกเขาจะต้องโจมตีอีกราวห้าสิบระลอกจึงจะเปิดช่องโหว่ของกำแพงได้อย่างแท้จริง และโดยปกติป้อมปราการนั้นก็จะต้องใช้เวลาสองวันในการซ่อมแซมกำแพงที่ถูกทำลาย ซึ่งหากพวกเขาสามารถทำลายกำแพงได้ด้วยการโจมตีปกติห้าสิบระลอก  ไม่เพียงแต่พวกเขาจะมีเวลาเพียงพอในการกำจัดมอนสเตอร์ทั้งหมดในป้อมปราการ แต่พวกเขายังจะมีเวลาเพียงพอที่จะสามารถฆ่าบอสผู้พิทักษ์ได้หลายรอบเลย


อย่างไรก็ตามสมาชิกของสภาสิบแปดปีกบนเรือเหาะมังกรสีเลือดนั้นกับมีความเห็นที่แตกต่างออกไปมาก


“หัวหน้ากิลกำแพงของป้อมปราการโบราณนี้มันแข็งแกร่งมากจริงๆ การโจมตีของเราทำได้แค่สร้างรอยแตกขนาดใหญ่ขึ้นมา ความแข็งแกร่งของกำแพงของมันนั้นมีมากพอๆกับกำแพงเมืองของ NPC ที่เป็นเมืองใหญ่เลย” อควาโรสกล่าวด้วยความประหลาดใจ เมื่อเธอเห็นความเสียหายที่กำแพงทางด้านตะวันตกได้รับ


เธอนั้นคุ้นเคยกับพลังของปืนใหญ่มานาของเรือเหาะมังกรสีเลือดดี ทุกการโจมตีของแต่ละกระบอกนั้นล้วนมีมาตราฐานพลังที่ขั้นสี่ ซึ่งมันแข็งแกร่งกว่าการโจมตีของมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายทั่วไป และการโจมตีของมันเพียงแค่ระลอกเดียวก็เพียงพอจะสร้างความเสียหายให้กับกำแพงเมืองกิลอย่างมากแล้ว


แต่ถึงกระนั้นตอนนี้ปืนใหญ่มานาสิบสองกระบอกกับทำได้แค่สร้างความเสียหายเป็นรอยแตกใหญ่ๆเท่านั้น หลังจากระดมโจมตีเข้าไป


กำแพงนี้นั้นมันแทบจะแข็งแกร่งเท่ากับกำแพงของเมืองไวท์ริเวอร์เลย


ซึ่งพูดกันจริงๆ เมืองไวท์ริเวอร์นั้นผ่านการอัพเกรดมาหลายครั้งแล้ว และแม้ว่ามอน


สเตอร์ระดับเทพนิยายจะโจมตีเมือง เมืองนั้นก็แทบจะไม่ได้รับความเสียหายใดๆเลย


ดังนั้นพวกเขาจึงจะต้องโจมตีเป็นเวลานานมากเลยทีเดียวกว่าจะเปิดช่องโหว่ของกำแพงป้อมปราการแสงดาวได้อย่างแท้จริง


ท้ายที่สุดแล้วการยิงปืนใหญ่มานาแต่ละครั้งนั้นมันก็มีค่าใช้จ่ายสูงพอตัว และแม้ว่าจะไม่ได้สูงเท่ากับการยิงปืนใหญ่มานาที่กำแพงเมืองกิล แต่พวกเขาก็จะยังคงต้องจ่ายคริสตัลเวทย์มนต์หนึ่งร้อยชิ้นทุกครั้งต่อการยิงหนึ่งกระบอก


“ฉันพอใจกับผลลัพธ์นี้นะ หากป้อมปราการวงเวทย์ป้องกัน และทำการซ่อมกับเสริมความแข็งแกร่งให้กับกำแพง เราจะไม่สามารถทะลุฝ่าเข้าไปได้ด้วยซ้ำ แม้ว่าจะใช้เวลาสองวัน” ซือเฟิงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆและส่ายหัว


ป้อมปราการแสงดาวนั้นอยู่รอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ แม้จะผ่านสงครามมามากมายหลายครั้ง ดังนั้นเรือเหาะขั้นสูงจะทำลายมันลงได้ง่ายๆได้ยังไง ?


หากป้อมปราการแสงดาวเปราะขนาดนั้น มันคงไม่สามารถจะอยู่ได้มาจนถึงตอนนี้


เขาไม่ได้สนใจคริสตัลเวทย์มนต์ที่เขาจะต้องใช้ เขานั้นมีมันเหลือเฟือ และถ้าเขาขาดคริสตัลเวทย์มนต์อย่างมาก เขาคงไม่คิดจะยึดป้อมปราการนี้ตั้งแต่แรก


ในขณะที่ซือเฟิงและทีมของเขารอให้คูลด์ดาวของปืนใหญ่มานาสิ้นสุดลง พวกเขาก็ได้ยินเสียงคำรามที่อึกทึกดังมาจากภายในป้อมแสงดาว และแม้จะอยู่ห่างออกไปหลายพันหลา แต่พวกเขาก็ยังได้ยินมันอย่างชัดเจน


จากนั้นประตูของป้อมปราการแสงดาวก็เปิดออก และฝูงสิ่งมีชีวิตสายธาตุก็หลั่งไหลกันออกมา ซึ่งนี่มันรวมไปถึงสิ่งมีชีวิตสายธาตุที่บินได้ก็บินออกมาจากป้อมปราการเช่นกัน และหากมองและสังเกตได้อย่างรวดเร็วนั้นก็จะพบว่ามอนสเตอร์เหล่านี้มีจำนวนมากกว่าห้าหมื่นตัวเลย และทุกตัวก็ล้วนพุ่งเข้าใส่กองกำลังสิงโตเงินกับเรือเหาะมังกรสีเลือด


“ทำไมถึงมีมากมายขนาดนี้ ?” แม๊คอาฟรี่ขนลุก เมื่อเขาเห็นกองทัพมอนสเตอร์กำลังพุ่งเข้ามา


แม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด มันก็ควรจะมีมอนสเตอร์แค่ราวหนึ่งหมื่นตัวเท่านั้นที่ออกมาจากป้อมปราการตามการประมาณเบื้องต้นของเขา แต่ตอนนี้มันกับมีมากกว่าห้าหมื่นตัวออกมา ซึ่งนี่รวมไปถึงแกรนลอร์ดมากกว่าหนึ่งร้อยตัว และแค่แกรนลอร์ดนั้นมันก็มีจำนวนมากกว่าผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของกองกำลังสิงโตเงินแล้ว


แถมก่อนที่แม๊คอาฟรี่จะทันได้ออกคำสั่งใดๆ เบเฮโมทแสงดาวที่มีความสูงสามสิบเมตรก็บินออกมาจากป้อมปราการด้วยเช่นกัน


ซึ่งทันทีที่เบเฮโมทแสงดาวปรากฎตัวขึ้นนั้น มันก็ราวกับว่ามานาโดยรอบพื้นที่นั้นได้ยอมจำนนและอยู่ใต้การควบคุมของมันทั้งหมด


“อะไรกัน ?! ระดับเทพนิยายประเภทโดเมนเนี่ยนะ ?!” คริมสันวิชอุทานออกมา ขณะที่เธอจ้องมองไปยังมอนสเตอร์บินได้ตัวนี้


สำหรับผู้เล่นระดับผู้เชี่ยวชาญอย่างเธอนั้น แนวคิดของโดเมนไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป และ NPC ขั้นสี่ส่วนใหญ่ก็จะล้วนมีโดเมนเป็นของตัวเองอย่างน้อยหนึ่งโดเมน ซึ่งในขณะที่อยู่ในโดเมนของพวกเขา NPC จะสามารถเคลื่อนที่และต่อสู้ในโลกที่มันถูกปรับให้เหมาะสมกับพวกเขา และนี่คือสาเหตุที่ NPC ขั้นสี่ทรงพลังมากๆ และ NPC ขั้นสามก็ยากจะเอาชนะตัวตนระดับนี้ได้ แม้ว่าจะมีข้อได้เปรียบเชิงตัวเลขก็ตาม


โชคดีที่มอนสเตอร์นั้นจะไม่เหมือนกับ NPC เพราะพวกมันมักจะอาศัยความสามารถทางกายภาพในการต่อสู้ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็สามารถจะต่อสู้กับ NPC ในขั้นเดียวกันได้ ซึ่งมอนสเตอร์ที่มาถึงมาตราฐานของระดับเทพนิยาย ขั้นสี่นั้นจะมีความแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ และแม้แต่ NPC ขั้นสี่ก็จะไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้ง่ายๆ


ขณะเดียวกัน สำหรับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายที่มีโดเมนเป็นของตัวเอง แม้แต่ NPC ขั้นสี่บางคนก็ยังจะต้องหนีจากมันเลย


เธอนั้นไม่คิดมาก่อนเลยว่ามอนสเตอร์ที่ทรงพลังแบบนี้จะอาศัยอยู่ในป้อมปราการแสงดาว แถมตอนนี้มันยังเพิ่งจะบินออกมาทักทายพวกเขาด้วย ….


2455 สืบสายเลือดจากโลก


“ฉันคิดว่า มันจะมีแต่พวกฝูงมอนสเตอร์เท่านั้นที่ออกมา !!!”


“ทำไมบอสผู้พิทักษ์ถึงออกมาที่นี่ด้วย ?!”


“ทำไมบอสผู้พิทักษ์ถึงทรงพลังมากขนาดนี้ ? มอนสเตอร์ระดับเทพนิยายประเภทโดเมนควรเป็นแค่บอสโลกอย่างเดียวไม่ใช่หรอ ?”


การปรากฎตัวของเบเฮโมทแสงดาวนั้นทำให้ทั้งกองกำลังสิงโตเงินตกตะลึงอย่างมาก ความสุขที่พวกเขาได้รับ หลังจากเห็นเรือเหาะมังกรสีเลือดนั้นจางหายไปทันที เมื่อพวกเขาเห็นร่างโปร่งแสงขนาดมหึมาของเบเฮโมทแสงดาว และตอนนี้มันก็มีเพียงแค่ความกลัวเท่านั้นที่แหวกว่ายอยู่ในจิตใจของพวกเขา


จนถึงตอนนี้มหาอำนาจต่างๆนั้นก็ได้ค้นพบมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายประเภทโดเมนแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น และทุกตัวก็ล้วนจัดเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติเลย และมอนสเตอร์แบบนี้เพียงแค่ตัวเดียวก็สามารถที่จะป้องกันแผนที่ได้ทั้งแผนที่


ในความเป็นจริง บอสโลกระดับเทพนิยายเลเวลมากกว่าเก้าสิบบางตัวที่เป็นประเภทโดเมนนั้นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ากองกำลังหลักของมหาอำนาจต่างๆนั้นไม่สามารถจะทำอะไรกับมันได้เลย แม้จะมีเครื่อพิเศษก็ตาม เพราะท้ายที่สุดแล้วกองกำลังหลักแบบนี้ก็จะถูกทำลายล้างทั้งหมด


โดเมนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้เลย !!!


นี่คือสาเหตุที่แม้แต่ NPC ขั้นสามนั้นก็ไม่สามารถจะสู้กับพวกขั้นสี่ได้ง่ายๆ แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนมากกว่าก็ตาม


ภายในโดเมนของศัตรูนั้น พวกเขาจะได้รับผลกระทบอย่างมาก และทำให้ประสิทธิภาพในการต่อสู้กับพลังงานลดลงอย่างมาก โดยเพียงแค่เปิดใช้งานสกิลหรือเวทย์ก็ยังจะเป็นเรื่องยากมากแล้วในโดเมนของศัตรู และคนๆหนึ่งก็จะโชคดีมากแล้วหากแสดงพลังการต่อสู้ทั้งหมดได้สักห้าสิบเปอเซ็นต์ในการต่อสู้ภายในโดเมนของศัตรู และเพื่อทำให้เรื่องแย่ลงโดเมนนั้นจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับผู้ใช้ด้วย

แม้ในการต่อสู้ระหว่าง NPC ขั้นสาม กับ NPC ขั้นสี่ ที่มีค่าสถานะเท่ากันนั้น มันก็ยังจะมีความแตกต่างในเรื่องของโดเมน ซึ่งทำให้คุณภาพของแต่ละฝ่ายแตกต่างกันมาก นี่ไม่จำเป็นต้องพูดถึงความแตกต่างระหว่าง NPC ขั้นสาม กับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายประเภทโดเมนที่มีความยิ่งใหญ่กว่ามากเลย


“ผู้บัญชาการ เราจะต้องถอย !!! ไม่มีใครสามารถจะหยุดเบเฮโมทแสงดาวประเภทโดเมนได้หรอก !!! ถ้าเราไม่หนีตอนนี้ มันจะฆ่าเราทั้งหมด !!!” ชายผู้โหดเหี้ยมที่ถือดาบใหญ่อยู่ตะโกนบอกผู้บัญชาการของเขาที่ชื่อ โครว์ หลังจากที่เขาสังเกตเห็นถึงเบเฮโมทแสงดาว


ไม่เพียงแต่เบเฮโมทแสงดาวนั้นจะทรงพลังมากๆในฐานะมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายประเภทโดเมน แต่โดเมนของมันยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับมอนสเตอร์มากกว่าห้าหมื่นตัวที่ออกมาด้วย ซึ่งกองทัพแบบนี้นั้นจะสามารถทำลายเมืองกิล เมืองหนึ่งได้อย่างไม่มีปัญหาเลย ไม่ต้องพูดถึงกองกำลังสิงโตเงินที่มีสมาชิกราวแปดพันคน


มันจะมีก็แต่ตอนที่บอสผู้พิทักษ์ตัวนี้โฟกัสไปที่เรือเหาะมังกรสีเลือดเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีโอกาสหลบหนี และหากพวกเขารอจนบอสผู้พิทักษ์ตัวนี้ทำลายเรือเหาะ พร้อมกับกวาดล้างกองกำลังของผู้เล่นเหล่านั้นได้ พวกเราก็จะเป็นรายต่อไป


“ดูเหมือนว่าการโจมตีของเรานั้นจะเป็นไปไม่ได้เลย แจ้งให้ทุกคนถอย !!!” โครว์ออกคำสั่ง ขณะที่เขาจ้องมองไปยังเบเฮโมทแสงดาว


เขาต้องการจะอยู่เป็นสักขีพยานในช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่ป้อมปราการแสงดาวถูกยึด แต่นั่นดูเหมือนจะไม่ใช่ความคิดที่ชาญฉลาดอีกต่อไป ในบรรดามหาอำนาจต่างๆที่เขารู้จักนั้นไม่มีใครสามารถจะเอาชนะบอสโลกระดับเทพนิยายประเภทโดเมนเลเวลมากกว่าเก้าสิบได้เลย ซึ่งนี่รวมไปถึงห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย ในขณะเดียวกันเบเฮโมทแสงดาวตรงหน้าของพวกเขานั้นเป็นมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายประเภทโดเมนที่มี เลเวลหนึ่งร้อยสิบสาม


[เบเฮโมทแสงดาว (ทอลิแอน)] (ลอร์ดแห่งดินแดน[l],สิ่งมีชีวิตแสงดาว, ระดับเทพนิยาย) เลเวล 113


HP 4,000,000,000/4,000,000,000


นอกเหนือจากค่าสถานะของเบเฮโมทแสงดาวแล้ว HP สี่พันล้านของมันก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้เล่นหลายคนในปัจจุบันสิ้นหวังได้เลย


ด้วยมี HP สี่พันล้าน เบเฮโมทแสงดาวนั้นก็จะได้รับการฟื้นฟู HP สี่สิบล้านทุกๆห้านวินาที ด้วยสกิลพาสซีฟฟื้นฟูของมันในระหว่างการต่อสู้ และหากผู้เล่นไม่สามารถสร้างความเสียหายได้มากกว่าแปดล้านในแต่ละวินาที การโจมตีของพวกเขาก็จะจัดว่าไร้ค่าเลยต่อหน้าบอสตัวนี้


ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญขั้นสองนั้นก็จะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากมากๆในการสร้างความเสียหายให้ได้มากกว่าหนึ่งหมื่นต่อครั้ง ในการโจมตีมอนสเตอร์ระดับเทพนิยาบเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยสิบ และการโจมตีของพวกเขาก็จะมีประสิทธิภาพน้อยลงแน่นอน เมื่อต้องมาโจมตีมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายประเภทโดเมน ซึ่งมันจะมีก็แต่เพียงผู้เล่นขั้นสามเท่านั้นที่จะสามารถสร้างความเสียหายได้มากกว่าหนึ่งหมื่นต่อบอสตัวนี้


ซึ่งคำณวนง่ายๆสมมุติว่าผู้เล่นขั้นสามสามารถทำความเสียหายได้มากกว่าสองหมื่นให้กับเบเฮโมทแสงดาว ทีมก็จะต้องใช้ผู้เล่นขั้นสามมากกว่าสี่ร้อยคนในการต่อสู้ พวกเขาจึงจะมีสิทฆ่าบอสผู้พิทักษ์ได้ แล้วในระยะนี้ของเกมนั้นมหาอำนาจต่างๆจะไปหาผู้เล่นขั้นสามมากกว่าสี่ร้อยคนมาจากไหน ?


แม้เรือเหาะมังกรสีเลือดจะสร้างความแตกต่างได้อย่างมาก แต่มันก็เป็นเพียงอาวุธสงคราม ซึ่งมันอาจจะมีประโยชน์อย่างมากต่อหน้ากองทัพมอนสเตอร์จำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามต่อหน้ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยายประเภทโดเมนนั้น แม้แต่เรือเหาะแบบนี้ก็ยังจะต้องดิ้นรนในการเอาชีวิตรอด นอกจากนี้ปืนใหญ่มานาของเรือเหาะนั้นก็ดูเหมือนว่าจะมีคูลดาวน์ที่ยาวนานมาก พูดง่ายๆก็คือมันจะมีผลอย่างจำกัดมากต่อหน้ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยายประเภทโดเมน


ในขณะที่ทีมนักผจญภัยหัวใจพายุกำลังหลบหนีด้วยความตื่นตระหนก กองกำลังสิงโตเงินก็กำลังเฝ้าดูเบเฮโมทแสงดาวบินเข้าหาพวกเขา


“รองผู้บัญชาการ เบเฮโมทแสงดาวนั้นรวดเร็วเกินไป และเราไม่มีเวลาเพียงพอที่จะพาทุกคนออกจากที่นี่อย่างปลอดภัย เราจำเป็นจะต้องทิ้งผู้เล่นบางส่วนไว้คอยตรึงมันเพื่อทำให้มันช้าลง โปรดออกคำสั่งด้วย !!!” คริมสันวิชกล่าวขอร้องแม๊คอาฟรี่ ขณะที่เธอเฝ้าดูเบเฮโมทแสงดาวใกล้เข้ามา


ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าป้อมปราการแสงดาวจะเป็นที่อยู่ของบอสผู้พิทักษ์แบบนี้ ซือเฟิงทำให้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับฝันร้ายอย่างแท้จริง


เนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้มันสิ้นหวังแล้ว ดังนั้นสิ่งเดียวที่พวกเขาจะสามารถทำได้ตอนนี้ก็คือหาวิธีลดความสูญเสียของกองกำลังพวกเขาให้ได้มากที่สุด กองกำลังสิงโตเงินนั้นนับเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าศักสิทธิ์ ถ้ากองกำลังถูกทำลาย กิลจะต้องประสบกับปัญหาใหญ่แน่นอน


“ดูเหมือนว่าเราจะไม่มีทางเลือกอื่น” เมื่อได้ยินคำขอร้องของคริมสันวิช แม๊คอาฟรี่จึงได้ดึงม้วนคัมภีร์อัญเชิญฮีโร่ขั้นสี่ออกมาอย่างไม่เต็มใจ


ผู้เล่นขั้นสามในปัจจุบันนั้นไม่มีความหวังที่จะหยุดมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายประเภทโดเมน เลเวลหนึ่งร้อยสิบสามได้เลย ซึ่งหากไม่มีใครหยุดเบเฮโมทแสงดาวตัวนี้ได้ กองกำลังสิงโตเงินจะถูกสังหารหมู่แน่นอน


ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพึ่งพาฮีโร่ขั้นสี่ เพื่อตรึงและซื้อเวลาเบเฮโมทแสงดาวเอาไว้ ให้ทุกคนมีเวลาได้หนี


มันอาจเป็นไปได้ที่จะใช้ฮีโร่ขั้นสี่ในการโจมตีเบเฮโมทแสงดาว หากบอสตัวนี้อยู่แค่ตัวเดียว แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นในตอนนี้ เพราะบอสผู้พิทักษ์ตัวนี้ไม่เพียงแต่จะได้รับการสนับสนุนจากมอนสเตอร์อีกมากกว่าห้าหมื่นตัว แต่โดเมนของมันยังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับมอนสเตอร์ทั้งหมดโดยรอบมันด้วย


ซึ่งแม้แต่ฮีโร่ขั้นสี่ สี่คนก็ไม่สามารถจะเอาชนะกองทัพมอนสเตอร์ทั้งหมดนี้ได้แน่นอน


ในขณะที่แม๊คอาฟรี่กำลังเตรียมตัวจะใช้ม้วนคัมภีร์อัญเชิญขั้นสี่ ซือเฟิงก็ได้เดินขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือเหาะ และเฝ้ามองเบเฮโมทแสงดาวกับกองทัพของมันอย่างเงียบๆ


“อึก !!! นี่เขาจะไม่หนีงั้นหรอ ?!”


“นี่เขาคิดว่าเขาจะสามารถใช้เรือเหาะเพื่อหนีได้งั้นหรอ ?”


“บางทีเขาอาจจะกำลังปฎิเสธตัวเองอยู่ก็ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาหวังจะยึดป้อมปราการแสงดาวให้ได้ แต่ตอนนี้มอนสเตอร์ระดับเทพนิยายประเภทโดเมนตัวนี้กับทำลายความหวังของเขาทั้งหมด


ผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของกองกำลังสิงโตเงินที่กำลังเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอยู่บนพื้นเบื้องล่างนั้นต่างรู้สึกเต็มไปด้วยความสับสนมากๆ เมื่อเห็นซือเฟิงขึ้นไปยืนอยู่บนดาดฟ้าของเรือเหาะมังกรสีเลือดด้วยท่าทีผ่อนคลาย


เรือเหาะนั้นสามารถที่จะบินได้และรวดเร็วมากๆ แต่ความเร็วของมันก็ไม่มีอะไรเลย เมื่อเทียบกับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายประเภทโดเมน และเมื่อเรือเหาะซึ่งอาศัยมานาบินและลอยอยู่ในอากาศอยู่ในโดเมนของเบเฮโมทแสงดาวนั้น ความเร็วของมันก็จะลดลงด้วย


ถ้าซือเฟิงหันเรือเหาะกลับ และหนีออกไปจากที่นี่ เขาก็ยังมีสิทจะรอดออกไปทั้งๆที่ยังมีชีวิตได้ แต่ถ้าเขารอจนกว่าเรือเหาะจะติดอยู่ในโดเมนของเบเฮโมทแสงดาว ทั้งเขาและเรือเหาะจะไปไหนไม่รอดแน่นอน


อย่างไรก็ตามในขณะที่เหล่าสมาชิกของกองกำลังสิงโตเงินกำลังสงสัยว่าสถานการณ์ที่พัฒนาไปอย่างกระทันหันนี้ทำให้ซือเฟิงพยายามปฎิเสธความจริงอยู่รึปล่าว เขาก็หยิบแวนทองคำออกมาจากกระเป๋าของเขาและเริ่มร่ายเวทย์


เมื่อซือเฟิงร่ายเวทย์เสร็จเรียบร้อย เขาก็เผยรอยยิ้มจางๆออกมา ขณะที่เขามองไปยังพื้นที่มานาที่เบเฮโมทแสงดาวสร้างขึ้น ก่อนที่เขาจะอัดคริสตัลเวทย์มนต์ห้าพันชิ้นเข้าไปในแหวนแห่งกอสเปลเพื่อเปิดใช้งานโลกจิ๋ว


หลังจากนั้นพื้นที่โดยรอบก็เริ่มสั่นสะเทือน และเงาของโลกใหม่ก็เริ่มปรากฎขึ้นเหนือพวกเขาทั้งหมดโดยแยกท้องฟ้าออกจากผืนดิน


ซึ่งมันทำให้ทุกคนนั้นรู้สึกได้ทันทีว่าการเชื่อมต่อภายนอกถูกตัดขาด และแรงกดดันที่น่ากลัวก็เข้าปกคลุมพวกเขา โดยแรงกดดันนี้ก็ไม่ได้มาจากจุดเดียว แต่มันเข้ามาจากทุกทิศทาง ….


ในขณะที่โลกจิ๋วถูกเปิดใช้งานพื้นที่มานาของเบเฮโมทแสงดาวก็เริ่มมีผลลดลงอย่างเห็นได้ชัด และตอนนี้มานาที่เคยช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับบอสนั้นก็เริ่มจะทำร้ายมันแทนแล้ว โดยมานานั้นก็เริ่มจะทำการปราบปรามลอร์ดแห่งดินแดนลงไปเรื่อยๆ


ค่าสถานะพื้นฐานของเบเฮโมทนั้นลดลงอย่างรวดเร็ว


5%… 7%… 10%…


ในเวลาสั้นๆสามวินาที ค่าสถานะพื้นฐานของเบเฮโมทแสงดาวนั้นก็ลดลงไปยี่สิบเปอเซ็นต์ สำหรับสิ่งมีชีวิตสายธาตุตัวอื่นๆ ไม่เพียงแต่พวกมันจะสูญเสียค่าสถานะไปสามสิบเปอเซ็นต์ แต่ความเร็วในการเคลื่อนที่และความเร็วในการตอบสนองของพวกมันก็ยังลดลงอย่างเห็นได้ชัดด้วย ….


“เป็นไปไม่ได้ !! เขาทำลายโดเมนของมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายประเภทโดเมนได้ยังไงกัน ?!!” คริมสันวิชอุทานออกมาอย่างตกตะลึง ขณะที่เธอเฝ้าดูพื้นที่มานาของเบเฮโมทแสงดาวนั้นค่อยๆหายไปอย่างสมบูรณ์


2456 เรือเหาะ Vs เบเฮโมทแสงดาว


“เขาทำลายโดเมนของบอสและปราบปรามมันได้ทั้งๆแบบนี้เลยเนี่ยนะ ?”


“เขาทำอะไรกัน ?”


คริมสันวิชนั้นไม่ใช่ผู้เล่นเพียงแค่คนเดียวที่ตกตะลึง เมื่อได้เห็นโดเมนของเบเฮโมทแสงดาวหายไป ทุกคนนั้นก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเช่นกัน พวกเขานั้นไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าซือเฟิงจะมีความสามารถในการทำแบบนี้ได้ด้วย


ผู้เล่นในปัจจุบันนั้นไม่สามารถจะเทียบอะไรกับโดเมนขั้นสี่ได้เลย แม้ว่ามหาอำนาจบางส่วนจะพยายามใช้ม้วนคัมภีร์สกิลโดเมนขั้นสี่ต่อสู้กับโดเมนแบบนี้ของบอส หรือ NPC ที่พวกเขาต้องเผชิญหน้า แต่พวกเขาก็แทบจะทำอะไรกับโดเมนที่แท้จริงของสิ่งมีชีวิตขั้นสี่ไม่ได้เลย และม้วนคัมภีร์สกิลโดเมนขั้นสี่บางม้วนนั้นก็อ่อนแอกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วผู้ใช้บางส่วนก็จบลงที่ถูกปราบปรามลงด้วยโดเมนของศัตรูเช่นเดิม


ในทางตรงกันข้าม ซือเฟิงไม่เพียงแต่จะทำลายโดเมนของเบเฮโมทแสงดาวลงได้ แต่ยังปราบปรามบอสผู้พิทักษ์ได้ด้วย นี่มันไม่น่าเชื่อเลย !!!


เมื่อโลกจิ๋วถูกเปิดใช้งาน เบเฮโมทแสงดาวที่อยู่ในระหว่างการบินนั้นก็หยุดชะงักลงชั่วคราว ก่อนที่มันจะคำรามออกมาด้วยความโกรธ และร่างกายของมันนั้นก็เริ่มเปล่งแสงแพรวพราว โดยมันพยายามที่จะทำการใช้โดเมนของตัวเองอีกครั้งเพื่อทำลายโลกจิ๋วลงไป และทำให้ตัวเองเป็นอิสระ แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าเบเฮโมทแสงดาวจะดิ้นรนมากขนาดไหน มันก็ไม่สามารถจะหนีไปจากผลของโลกจิ๋วได้


การควบคุมมานาเองก็ยังมีผลอย่างมากต่อไอเทมเวทย์มนต์งั้นหรอ ?! ผลลัพธ์ของโลกจิ๋วนั้นทำให้ซือเฟิงตกตะลึง เขาไม่ได้คาดหวังเลยว่าแหวนแห่งกอสเปลของเขาจะปราบปรามลอร์ดแห่งดินแดนได้มากขนาดนี้


เครื่องมือทั้งหมดนั้นจะใช้ไม่ได้ผลกับพวกบอสโลกเลย และผู้เล่นจำเป็นจะต้องพึ่งพาพลังของตัวเองทั้งหมด อย่างไรก็ตามเบเฮโมทแสงดาวนั้นไม่ใช่บอสโลก ผู้เล่นจึงสามารถจะใช้เครื่องมือเพื่อต่อร้านและปราบปรามมันได้ ซึ่งนี่จะเป็นประโยชน์อย่างแน่นอน เนื่องจากผู้เล่นนั้นไม่สามารถจะใช้สกิลเบอเซิกร์ในหุบเขาดาวได้


เขานั้นเคยใช้โลกจิ๋วเพื่อปราบปรามมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายตัวอื่นๆมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาได้ร่างมานามา เขาก็ยังไม่ได้แหวนแห่งกอสเปลเลย


พอมาตอนนี้เขานั้นกลายเป็นปรมาจารย์นักเวทย์แล้ว เขาจึงมีความเข้าใจมากขึ้เกี่ยวกับระบบการทำงานในวงเวทย์ของแหวนแห่งกอสเปล ดังนั้นเขาจึงสามารถอัดมานาที่เข้มข้นบางส่วนเพิ่มเข้าไปในวงเวทย์ได้


ถึงกระนั้นเขาก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่าผลลัพธ์ที่ได้มันจะทรงพลังมากขนาดนี้ !!!


เป้าหมายเดียวของเขาตอนแรกคือการทำลายโดเมนของเบเฮโมทแสงดาวเท่านั้น เขานั้นไม่ได้หวังเลยว่าโลกจิ๋วจะช่วยปราบปรามบอสตัวนี้ได้ด้วย และตอนนี้แหวนแห่งกอสเปลนั้นก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามันมีประสิทธิภาพมากกว่าก่อนหน้านี้ที่เขาเคยใช้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้ามากๆ


แน่นอนว่าหลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ซือเฟิงก็พบว่ามันสมเหตุสมผล


เขาได้อัพเกรดแหวนแห่งกอสเปลให้กลายเป็นเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานแล้ว และพลังของโลกนั้นก็แข็งแกร่งกว่าโดเมนอยู่แล้ว ดังนั้นในตอนนี้เมื่อเขาใช้พลังของโลกจิ๋วได้ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวก็ตาม โดเมนขั้นสี่จึงเทียบเขาไม่ติด ซึ่งแม้แต่เบเฮโมทแสงดาวก็ไม่สามารถจะต้านทานพลังนี้ได้เช่นกัน และก็จะทำได้แค่เฝ้าดูเท่านั้นในขณะที่พลังนี้ปราบปรามค่าสถานะพื้นฐานของมันลง


หลังจากครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่ชั่วครู่ ซือเฟิงก็ได้หันกลับมาสนใจการต่อสู้ ก่อนที่เขาจะมองลงไปยังแม๊คอาฟรี่ที่อยู่เบื้องล่างของเรือเหาะ


“รองผู้บัญชาการอาฟรี่ เตรียมตัวต้อนรับพวกมอนสเตอร์ พยายามทำให้กองทัพมอนสเตอร์ฝูงนี้ช้าลงให้มากที่สุด โดยเฉพาะมอนสเตอร์ที่บินได้ ฉันจะจัดการกับบอสเอง” ซือเฟิงตะโกน


“นี่ …” แม๊คอาฟรี่นั้นอดไม่ได้ที่จะลังเล ขณะที่เขาหันหลังกลับไปมองกองทัพมอน

สเตอร์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตสายธาตุด้านหลังของเขา


โดยไม่ต้องคำนึงถึงพวกลอร์ดบอส กองทัพนี้นั้นประกอบไปด้วยแกรนลอร์ดเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยสิบ มากกว่าหนึ่งร้อยตัว และแม้จะไม่มีโดเมนของเบเฮโมทแสงดาวในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับสิ่งมีชีวิตสายธาตุเหล่านี้ แต่การจะหยุดแกรนลอร์ดเลเวลสูงจำนวนมากขนาดนี้นั้น มันก็ยังเป็นเรื่องยากมากอยู่ดีสำหรับกองกำลังสิงโตเงินแปดพันคน และมันก็มีเพียงแค่ผู้เล่นขั้นสามเท่านั้นที่สามารถจะแท๊งมอนสเตอร์เหล่านั้นได้ ขณะที่กองกำลังมีผู้เล่นขั้นสามอยู่ราวหกสิบคนเท่านั้น


อย่างไรก็ตาม ก่อนที่แม๊คอาฟรี่จะทันได้พูดไปมากกว่านี้ ซือเฟิงก็ได้จ่ายคริสตัลเวทย์มนต์ให้แหวนแห่งกอสเปลอีกครั้ง เพื่อเปิดใช้งานสกิล Ring of Brilliance


ทันใดนั้นทุกคนในรัศมีสองพันหลาก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่สบายและน่าพึงพอใจ โดยนี่มันช่วยเพิ่มขีดความสามารถและประสาทสัมผัสของพวกเขาอย่างมาก และมันก็ทำให้ค่าสถานะพื้นฐานเพิ่มขึ้นยี่สิบเปอเซ็นต์ พร้อมกับร่างกายทางกายภาพที่ดีขึ้นอีกยี่สิบเปอเซ็นต์ด้วย ซึ่งนี่มันนับว่าช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาขึ้นค่อนข้างมากเลยทีเดียว


เขามีเครื่องมือเพิ่มความแข็งแกร่งแบบโดเมนด้วยงั้นหรอ ? คริมสันวิชนั้นรู้สึกตกตะลึงมากจริงๆ เมื่อสังเกตเห็นถึงบัฟที่กองกำลังสิงโตเงินได้รับมา


เธอนั้นพบว่ามันไม่น่าเชื่อเลยจริงๆว่าซือเฟิงจะมีทั้งเครื่องมือปราบปราม และเครื่องมือเพิ่มความแข็งแกร่งแบบโดเมน โดยปกตินั้นมหาอำนาจกลุ่มหนึ่งจะนับว่าโชคดีมากแล้วหากมีเครื่องมือแบบนี้สักชิ้น แต่ซือเฟิงกับมีทั้งสอง ….


“นี่พอจะช่วยได้ไหม ?” ซือเฟิงถาม


แม้แต่ซือเฟิงนั้นก็ไม่ได้มีวิธีที่ดีมากนักในการจะเผชิญหน้ากับกองทัพมอนสเตอร์ที่เป็นสิ่งที่มีชีวิตสายธาตุที่มากันเป็นฝูงจำนวนมากแบบนี้ แถมเขาก็ยังมีสัญญากับเผ่าศักสิทธิ์อยู่ด้วยว่าหากกองกำลังสิงโตเงินสูญเสียมากเกินกว่าสามสิบเปอเซ็นต์ พวกเขาก็จะสามารถล่าถอยได้


อย่างไรก็ตาม หากแม๊คอาฟรี่คิดว่าพวกเขาไม่มีความหวังที่จะชนะเลยตั้งแต่แรก เขาจะเลือกยอมแพ้ก่อนเรื่องนั้นจะเกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งนั่นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ซือเฟิงต้องการ


“ฉันไม่สามารถรับประกันได้ แต่ฉันจะพยายามอย่างดีที่สุด …” แม๊คอาฟรี่กล่าวพลางพยักหน้า เมื่อเขารู้สึกได้ถึงผลของสกิล Ring of Brilliance เขาจึงจะได้เลือกที่จะกัดฟันสู้


หากกองกำลังสิงโตเงินถอยกลับไปโดยไม่ต่อสู้ หลังจากที่ซือเฟิงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จ ทั้งกองกำลังสิงโตเงินและเผ่าศักสิทธิ์จะต้องอับอายขายขี้หน้า ดังนั้นตอนนี้ แม้ว่าเขาจะเสี่ยงกับการต้องสูญเสียอย่างรุนแรง แต่เขาก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหยุดยั้งเหล่ามอนสเตอร์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตสายธาตุทั้งหมดที่เข้ามา


“ดี !!! ฉันขอฝากเรื่องนี้ไว้กับคุณด้วย !!! ส่วนบอสผู้พิทักษ์ปล่อยให้เป็นหน้าที่เราเอง !!!” ซือเฟิงพอใจอย่างมาก เมื่อเขาเห็นว่าแม๊คอาฟรี่นั้นดูมุ่งมั่นในการต่อสู้ครั้งนี้ ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากจริงๆที่กองกำลังสิงโตเงิน ซึ่งเป็นหนึ่งในกองกำลังหลักของเผ่าศักสิทธิ์เต็มใจจะช่วยเหลือเขา


จากนั้นซือเฟิงก็ขับเรือเหาะมุ่งตรงเข้าหาเบเฮโมทแสงดาว


“อะไรกัน ? นี่พวกเขาตั้งใจจะท้าทายเบเฮโมทแสงดาวจริงๆงั้นหรอ ?!”


ทุกคนนั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึง เมื่อพวกเขาเห็นเรือเหาะแล่นเข้าใกล้บอสผู้พิทักษ์


บนอากาศนั้นเรือเหาะจัดว่ามีพลังในการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม แต่นั่นมันก็เป็นความจริงแค่เฉพาะเวลาที่เรือเหาะต่อสู้กับวัตถุด้วยกันหรือผู้เล่นเท่านั้น มันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสู้กับมอนสเตอร์


แต่ตอนนี้ทีมของซือเฟิงกับเลือกจะใช้เรือเหาะเข้ารับมือกับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายประเภทโดเมน พวกเขาบ้าไปแล้ว !!!


แม้จะถูกทำลายโดเมนไป และถูกปราบปรามค่าสถานะพื้นฐานทำให้ลดลงไปจากเดิมยี่สิบเปอเซ็นต์ แต่เบเฮโมทแสงดาวนั้นก็แข็งแกร่งกว่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยายทั่วไปมาก ซึ่งตอนนี้มันก็ยังมี HP อยู่ถึง 3.2 พันล้าน ซึ่งมันมากเกินพอจะทำให้ผู้เล่นในปัจจุบันสิ้นหวังเลย


ในขณะที่เหล่าสมาชิกของกองกำลังสิงโตเงินกำลังพิจารณาถึงโอกาสในการรอดชีวิตของเรือเหาะ อควาโรสก็ยกคทาของเธอขึ้นจากดาดฟ้าของเรือเหาะมังกรสีเลือด และเริ่มร่ายเวทย์


ทันใดนั้นวงเวทย์ที่ซ้อนทับกันสองชั้นก็เริ่มปรากฎขึ้นรอบๆเบเฮโมทแสงดาว

สุดยอดเวทย์ขั้นสาม Sea God’s Grasp!


ภายใต้คำสั่งของอควาโรส มันก็มีโซ่น้ำปรากฎขึ้นรอบๆและพุ่งเข้ามัดตัวเบเฮโมทแสงดาวไว้ไม่ให้ขยับไปไหน


“ดี !! ยิงปืนใหญ่ !!” ซือเฟิงออกคำสั่ง


ทันทีที่ซือเฟิงออกคำสั่ง ปืนใหญ่เวทย์เอลฟ์ก็เริ่มรวบรวมมานาจำนวนมหาศาลโดยรอบเข้ามา จากนั้นมันก็ยิงลำแสงสีขาวที่มีรัศมีปกคลุมพื้นที่สองร้อยหลาเข้าใส่หัวของบอสผู้พิทักษ์


ตู้ม !!


เมื่อลำแสงนี้ปะทะเข้ากับหัวของเบเฮโมทแสงดาว ป่าเบื้องล่างก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และสมาชิกของกองกำลังสิงโตเงินนั้นก็แทบจะยืนไม่อยู่เลย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคลื่นกระแทก แม้จะอยู่ห่างออกมาหลายร้อยหลาก็ตาม ….


เมื่อลำแสงสีขาวจางหายไป มันก็เผยให้เห็นปล่องภูเขาไฟขนาดมหึมาในป่าทึบก่อนหน้านี้ และมันไม่มีสิ่งมีชีวิตใดหลงเหลืออยู่ในบริเวณนี้ ก่อนที่ร่างขนาดมหึมานั้นจะร่วงตกลงมาจากท้องฟ้าลงไปในหลุม และทำให้เกิดเศษฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วในอากาศ


ซึ่งร่างขนาดมหึมานี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเบเฮโมทแสงดาวที่ถูกมัดตัวไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวได้


 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)