Reincarnation Of The Strongest Sword God 2635-2643

 ตอนที่ 2635 เดินเล่นผ่านสวนหลังหลังบ้าน


เมื่อเห็นสมาชิกสภาสิบแปดปีกพุ่งตรงไปยังมอนสเตอร์จำนวนมากในพื้นที่ทดสอบ สมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ดและหอการค้าอาซูก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงมากๆ


พวกเขากำลังจะต่อสู้กับมอนสเตอร์หลายพันตัวที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่มอนสเตอร์ที่อ่อนแอที่สุดในนี้ก็ยังเป็นลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบ แต่ซือเฟิงกับดูไม่ได้กังวลใดๆ ในขณะที่เขาบอกแผนการ และมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคนในการรับผิดชอบอย่างสบายๆ นี่เป็นครั้งแรกที่สมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ดกับหอการค้าอาซูได้เห็นถึงความเป็นผู้นำแบบนี้ และเพื่อให้เรื่องมันดูแย่ลง สมาชิกสภาสิบแปดปีกทุกคนล้วนปฎิบัติตามคำสั่งของซือเฟิงโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆเลย


“นี่มันบ้าบิ่นเกินไปแล้ว !!!” ไวน์ไฟเตอร์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเมื่อเห็นซือเฟิงเริ่มเคลื่อนไหวต่อ โดยไม่สนใจความคิดเห็นใดๆของพวกเขา “มันมีมอนสเตอร์อยู่มากมายหลายพันตัว !!! แม้ว่าพวกเขาจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้อย่างสมบูรณ์แล้ว และสามารถทนรับการโจมตีได้บ้าง แต่ถ้าพวกเขาพลาดแม้แต่นิดเดียว พวกเขาก็จะตายเลยนะ !!!”


เขายอมรับว่าสมาชิกของสภาสิแปดปีกนั้นมีเลเวลค่อนข้างสูงมาก นอกจากนี้ทุกคนก็ยังมีร่างมานาที่ได้รับการปลดล๊อคศักยภาพหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว และสมาชิกสภาสิบแปดปีกก็จัดว่ามีข้อได้เปรียบมากกว่าผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของไวโอเล็ทซอร์ดอย่างมากในแง่ของการต่อสู้กับมอนสเตอร์ในพื้นที่ทดสอบ


อย่างไรก็ตามในตอนนี้นั้นระบบพยายามจะทดสอบมาตราฐานการต่อสู้ของผู้เล่นด้วยอย่างชัดเจน โดยที่มีเรื่องเลเวลและศักยภาพร่างมานาที่ได้รับการปลดล๊อคหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้นเป็นเรื่องรอง


และขณะนี้พวกเขาก็มีเวลาจำกัด เนื่องจากการทดสอบในโหมดฮีโร่นี้ให้เวลาพวกเขาเพียงห้าวัน แทนที่จะเป็นเจ็ดวันตามที่คาดการณ์ไว้แต่แรก ซึ่งหากพวกเขาตายลงที่นี่ และสูญเสียเวลาไปหนึ่งวัน พวกเขาก็จะไม่สามารถเคลียร์การทดสอบให้เสร็จสมบูรณ์ได้แน่นอน


“เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องติดตามพวกเขาไป …” คริมสันสตาร์ถอนหายใจออกมา เมื่อเธอเห็นสมาชิกสภาสิบแปดปีกเข้าใกล้กลุ่มมอนสเตอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุดในพื้นที่ทดสอบ “ฉันจะรีบเปิดใช้งานวงเวทย์ของฉันให้เร็วที่สุด ทุกคนให้ความสำคัญกับการโจมตีไทรออลขั้นสูงก่อน ตราบใดที่เราสามารถลดจำนวนพวกมันลงได้ การจะจัดการกับนักรบไทรออลที่เหลือจะง่ายขึ้นมาก”


ซินฟูลเฟรมและสมาชิกคนอื่นๆของหอการค้าอาซูพยักหน้าเห็นด้วยกับแผนการของคริมสันสตาร์ ก่อนที่พวกเขาจะพุ่งเข้าใส่ไทรออลขั้นสูงที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที พวกเขาตั้งใจที่จะกำจัดไทรออลขั้นสูงก่อนจำนวนหนึ่ง ในทันทีที่การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายเริ่มขึ้นเพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้ช่วยลดแรงกดดัน และอัตราการบาดเจ็บล้มตายที่สมาชิกสภาสิบแปดปีกต้องเผชิญได้


ทันทีที่สมาชิกของสภาสิบแปดปีกเข้าสู่ช่วงการรับรู้ของมอนสเตอร์ในการทดสอบ นักรบไทรออล และไทรออลขั้นสูงก็เริ่มจัดขบวนรบเหมือนกับกองทัพที่เจนจัดสนามรบอย่างมาก


ในเวลาไม่นาน นักรบไทรออลสี่ร้อยตัวก็กระจายตัวกันออกไปเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสล้อมรอบกองทัพหลัก จากนั้นพวกมันก็แทงโล่เหล็กที่พวกมันถือลงไปบนพื้นเพื่อสร้างกำแพงเหล็กเพื่อป้องกันมอนสเตอร์อีกหลายพันตัวที่เป็นพรรคพวกของพวกมัน สำหรับมอนสเตอร์ที่อยู่ภายในรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสนี้ พวกมันก็เริ่มนำธนูของตัวเองออกมายิงธนูใส่สมาชิกของสภาสิบแปดปีกเป็นระยะๆ


ฉากนี้ทำให้สมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ดและหอการค้าอาซูตกตะลึงไปชั่วขณะ


พวกเขาเคยเห็นมอนสเตอร์ที่โจมตีกันเป็นกลุ่มด้วยความมีระเบียบมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่พวกเขาได้เห็นมอนสเตอร์จำนวนมากทำการโจมตีเหมือนกับกองทัพที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี ในความเป็นจริงการประสานงานของมอนสเตอร์ในพื้นที่ทดสอบเหล่านี้มันเทียบได้กับ NPC เลย


ลูกธนูนั้นพุ่งเข้าใส่สมาชิกของสภาสิบแปดปีกอย่างรวดเร็ว โดยการโจมตีด้วยลูกธนูแต่ละระลอกมันก็ประกอบไปด้วยลูกธนูมากกว่าหนึ่งพันดอก ยิ่งไปกว่านั้นช่องว่างระหว่างการโจมตีแต่ละระลอกมันก็สั้นมากๆ มันจึงไม่มีที่ว่างใดๆที่จะทำให้สมาชิกสภาสิบแปดปีกสามารถใช้ประโยชน์ได้เลย


“มันจบแล้ว …. แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดก็ยังป้องกันหรือหลบหลีกการโจมตีด้วยลูกธนูแบบนี้ได้ยากมาก และด้วยมาตราฐานการต่อสู้ของสมาชิกสภาสิบแปดปีกส่วนใหญ่ แค่ห่าธนูไม่กี่ระลอกก็น่าจะเพียงพอที่จะทำลายล้างพวกเขาได้แล้ว” ใบหน้าของไวน์ไฟเตอร์มืดมนลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเขาเห็นลูกธนูจำนวนมหาศาลกำลังพุ่งเข้าใส่สมาชิกสภาสิบแปดปีก


หากต้องต่อต้านการโจมตีที่ประสานกันและแม่นยำแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงสมาชิกสภาสิบแปดปีกเลย แม้แต่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดก็ยังยากจะทำได้


แม้ว่ารูปแบบการโจมตีที่โจมตีเข้ามา มันจะดูจำเจและซ้ำซาก แต่ลูกธนูมันก็พุ่งมาอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ ซึ่งในสถานที่ที่มีพื้นที่ไม่มากแบบนี้ แถมพวกเขายังถูกปราบปรามอย่างหนักในหลายๆด้าน เผลอๆแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมนก็ยังจะไม่มีพลังในการต่อต้านลูกธนูพวกนี้ได้เลย และทำได้แค่ดูตัวเองถูกฆ่าเท่านั้น


แม้ว่าลูกธนูเหล่านี้จะไม่ได้มีพลังมากนัก แต่พวกมันก็มีจำนวนมากเกินกว่าที่ผู้เล่นในปัจจุบันจะสามารถรับและทนได้


ในตอนนี้สมาชิกของสภาสิบแปดปีกทุกคนจะต้องรับมือกับลูกธนูกันคนละอย่างน้อยสิบดอกพร้อมกัน โดยที่หากบางคนโชคร้าย พวกเขาก็อาจจะต้องรับมือกัลูกธนูถึงยี่สิบดอก และเมื่อคำณวนด้วยความเร็วของลูกธนูเหล่านี้แล้ว มันก็เห็นได้ชัดว่า จำนวนขนาดนี้มันเกินกว่าขีดจำกัดของผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดขั้นสามด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็จะมีแค่เฉพาะผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมนเท่านั้นที่จะสามารถระบุวิถีของลูกธนูเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ และตอบสนองต่อพวกมันได้ทันเวลา


เมื่อลูกธนูระลอกกำลังจะโจมตีโดนสมาชิกสภาสิบแปดปีก มันก็มีเสียงปรากฎขึ้นในแชททีม


“รองผู้บัญชาการคริมสัน เปิดใช้งานวงเวทย์ป้องกันของคุณเดี๋ยวนี้ !!!” ซือเฟิงออกคำสั่ง


“รับทราบ !!”


เมื่อได้ยินคำสั่งของซือเฟิง คริมสันสตาร์ก็หายจากอาการตกตะลึงของเธอ และเธอก็รีบโบกคทาของเธอเพื่อเปิดใช้งานวงเวทย์ที่เธอเตรียมไว้ล่วงหน้าทันที


ทันใดนั้นบาเรียสีเงินก็ปรากฎขึ้นใจกลางกลุ่มของสภาสิบแปดปีก และมันก็ขยายออกไปทันทีจนปกคลุมรัศมีสองร้อยหลา โดยมันได้โอบล้อมสมาชิกของสภาสิบแปดปีกทั้งหมดไว้ภายใน


คำสาปขั้นสาม Aerial Defense!


Aerial Defense นั้นเป็นคำสาปที่จะช่วยให้การโจมตีทางอากาศที่เข้ามาแบบนี้ผิดระยะไป ซึ่งเมื่อคริมสันสตาร์ใช้มัน ในช่วงเวลาต่อมาลูกธนูมากกว่ายี่สิบเปอเซ็นต์ก็ตกลงสู่พื้น และตอนนี้มันก็มีลูกธนูเหลือแค่ประมาณเก้าร้อยดอกเท่านั้นที่กำลังพุ่งเข้าหาสมาชิกสภาสิบแปดปีก


ถึงอย่างนั้นสมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ดและหอการค้าอาซูก็ยังแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงจังออกมาอยู่


แม้ว่าจำนวนลูกธนูจะลดลงจนเหลือประมาณเก้าร้อยดอก แต่จำนวนการโจมตีจากลูกธนูพวกนี้ที่สมาชิกของสภาสิบแปดปีกแต่ละคนต้องเผชิญ มันก็ยังคงเกินขีดจำกัดอยู่ดี และแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดในขอบเขตอนันต์ก็ยังรับมือกับเรื่องนี้ยากมาก ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตการปรับแต่งเลย


ในขณะที่สมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ด และหอการค้าอาซูกำลังส่ายหัวและถอนหายใจออกมา สมาชิกของสภาสิบแปดปีกทั้งหมดก็ทำการหลบหลีกลูกธนูพวกนี้อย่างง่ายดายราวกับว่าพวกเขารู้ถึงวิถีของลูกธนูพวกนี้มานานแล้ว และเมื่อมองจากระยะไกล มันก็ดูเหมือนว่าสมาชิกของสภาสิบแปดปีกกำลังเต้นรำท่ามกลางสายฝน


เมื่อกรโจมตีระลอกแรกสิ้นสุดลง สมาชิกของสภาสิบแปดปีกส่วนใหญ่ก็แทบไม่ได้รับผลกระทบใดๆเลย ขณะที่มีก็แค่จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่มี HP ลดลงไปหนึ่งในสี่ แต่นั่นมันก็เป็นเพราะพวกเขาพยายามจะป้องกันลูกธนูที่โจมตีมาจากไทรออลขั้นสูงตรงๆ และเหล่าฮีลเลอร์ก็สามารถจะเติมเต็ม HP ส่วนที่ขาดหายไปของพวกเขาได้ทันที ….


“เป็นไปได้ยังไง ?!” ดวงตาของโฟลตติ้งไลท์แทบจะถลนออกจากเบ้าเมื่อได้เห็นฉากนี้


แม้แต่ตัวเขาก็จะไม่สามารถรับมือกับการระดมโจมตีด้วยลูกธนูจำนวนมหาศาลแบบนี้ไดง่ายนัก แต่สภาสิบแปดปีกนั้นกับทำได้ และมันก็ดูเหมือนว่าพวกเขาทำได้อย่างสบายมากด้วยราวกับว่าพวกเขากำลังเดินเล่นในสวนหลังบ้าน

ในขณะนี้มันไม่ใช่แค่โฟลตติ้งไลท์ แม้แต่หยานเซี่ยวเฉียน และโซริทารี่ฟรอสต์ที่ฝึกฝนกับสมาชิกสภาสิบแปดปีกในช่วงสองถึงสามวันมานี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องประหลาดใจกับฉากนี้


แม้ว่าสมาชิกของสภาสิบแปดปีกส่วนใหญ่จะอยู่ในขอบเขตการปรับแต่งเท่านั้น แต่พวกเขาก็รับมือกับการโจมตีที่เข้ามาเมื่อครู่ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดก็ยังจะมีปัญหาในการทำบบนี้ นี่มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลย


“พวกเขาสามารถป้องกัน และหลบการโจมตีแบบนั้นได้อย่างง่ายดายขนาดนั้นเลยหรอ ? นี่ปกติแล้วพวกเขาฝึกแบบไหนกันเนี่ย ?!!!” หัวใจของหยานเซี่ยวเฉียนเต็มไปด้วยความสับสนและวุ่นวาย ขณะที่เธอมองไปที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตการปรับแต่งของสภาสิบแปดปีก


สิ่งที่หยานเี่ยวเฉียนและคนอื่นๆไม่รู้นั่นก็คือแกนหลักของสภาสิบแปดปีกนั้นคุ้นเคยกับการโจมตีในรูปแบบนี้มานานแล้ว และหากให้พูดกันตรงๆ ให้พวเขามารับมือการโจมตีแบบนี้มันยังง่ายกว่าการไปฝึกในหอคอยพิเศษชั้นหนึ่งเลย ในความเห็นของสมาชิกสภาสิบแปดปีก พวกเขาจะสามารถทำทั้งหมดได้โดยไม่ต้องได้รับการสนับสนุนจากคำสาปขั้นสามของคริมสันสตาร์ด้วยซ้ำ


หลังจากที่รับมือกับการโจมตีของธนูมาหลายระลอก ซือเฟิงก็สังเกตเห็นว่ามอนสเตอร์ในการทดสอบส่วนใหญ่เริ่มจะหันมาสนใจสมาชิกสภาสิบแปดปีกทั้งหมดแล้ว จากนั้นเขาก็ออกคำสั่งผ่านแชททีมว่า “ค่าความโกรธของพวกมันเสถียรแล้ว !!! ทุกคนเริ่มโจมตีได้ !!!”


เมื่อได้ยินคำสั่งของซือเฟิง สมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ดและของหอการค้าอาซูก็หายจากอาการตกตะลึง และเริ่มโจมตีใส่มอนสเตอร์ในการทดสอบนี้พร้อมกับสมาชิกสภาสิบแปดปีก


เนื่องจากสมาชิกของสภาสิบแปดปีกดึงดูดค่าความโกรธของมอนสเตอร์ไว้กับตัวเองกันอย่างเสถียรแล้ว ดังนั้นคนอื่นๆจึงสามารถจะโจมตีได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกโจมตี เป็นผลให้มอนสเตอร์ในการทดสอบนั้นค่อยๆถูกฆ่าลงไปอย่างรวดเร็วมากๆทีละตัวๆ


ในขณะเดียวกันทุกคนก็ได้ค้นพบว่ามอนสเตอร์เหล่านี้นั้นให้ EXP อย่างมหาศาล โดยมันให้ EXP มากกว่ามอนสเตอร์ปกติในเลเวลเดียวกันของโลกภายนอกถึงสามเท่า ซึ่งจากการค้นพบนี้มันก็ทำให้สมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ดและหอการค้าอาซูนั้นเต็มไปด้วยความสุขมากขึ้น


สิ่งเดียวที่น่าผิดหวังสำหรับมอนสเตอร์ในการทดสอบนี้คือ พวกมันไม่ได้ดรอปไอเทมใดๆไว้


หลังจากทั้งทีมทำการโจมตีและล่ามอนสเตอร์พวกนี้มานานกว่าครึ่งวัน มันก็มีบางอย่างแปลกๆเกิดขึ้น หนึ่งในไทรออลขั้นสูงนั้นจู่ๆก็ไฟลุกขึ้น และกลายเป็นศิลาจารึกที่แผ่ความผันผวนของมานาจำนวนมากออกมาขณะที่มันลอยอยู่ในบริเวณที่ไทรออลขั้นสูงหายไป


ศิลาจารึกมรดกโบราณ ?!


เมื่อซือเฟิงเห็นศิลาจารึกนี้ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกตะลึง และเขาก็อดจะสงสัยไม่ได้ว่าเขากำลังหลอนรึปล่าว


ตอนที่ 2636 กลียุคของเทพปีศาจ


นอกเหนือจากซือเฟิงแล้ว ศิลาจารึกที่ปรากฎขึ้นอย่างกระทันหันมันก็ทำให้ทุกคนเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น และประหลาดใจมากเช่นกัน พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามอนสเตอร์ในการทดสอบที่ไม่เคยดรอปไอเทมอะไรเลยจะดรอปศิลาจารึกแบบนี้ออกมาจริงๆ


“ช่างเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมจริงๆ !!! มันทำให้ความหนาแน่นของมานาโดยรอบพุ่งสูงขึ้นโดยแค่ลอยอยู่ในบริเวณนั้น และตอนนี้แม้แต่พื้นที่โดยรอบก็ยังรู้สึกหนักขึ้น !!!” คริมสันสตาร์อุทานออกมา เมื่อเธอเห็นสิ่งที่ศิลาจารึกนี้สามารถทำต่อสภาพแวดล้อมได้


ในสถานการณ์เช่นนี้ สมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ดก็อดไม่ได้ที่จะผิดหวังเล็กน้อย


แม้แต่คนโง่ก็สามารถจะบอกได้เลยว่าศิลาจารึกนี้นั้นไม่ธรรมดา อย่างไรก็ตามตามข้อตกลงที่สภาสิบแปดปีกทำกับไวโอเล็ทซอร์ด นอกเหนือจากไอเทมที่ดรอปจากบอสของการทดสอบแล้ว ไอเทมอื่นๆที่ถูกค้นพบในระหว่างการไปหาบอสนั้นจะตกเป็นของสภาสิบแปดปีกทั้งหมด ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่เฝ้าดูสภาสิบแปดปีกเอาศิลาจารึกไปเท่านั้น


“ศิลาจารึกนี้มันคืออะไรกัน ? ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถประเมินได้ แต่มันยังแทบจะแตะต้องไม่ได้ด้วยซ้ำ ราวกับว่าศิลาจารึกนี้ไม่ได้มีอยู่จริงในพื้นที่” อควาโรสพูดด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ขณะที่เธอยืนอยู่ตรงหน้าศิลาจารึก “หรือว่ามันอาจเป็นแบบการฉายภาพโฮโลแกรมรึปล่าว ?”


ศิลาจารึกนี้มันมีค่ามากอย่างแน่นอน เพราะแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถประเมิน และหาวิธีใช้งานมันได้ แต่พวกเขาก็ยังน่าจะนำมันกลับไปตั้งในห้องใดห้องหนึ่งที่พวกเขาเลือกเพื่อเพิ่มความหนาแน่นของมานาในห้อง ซึ่งมันก็จะทำให้สามารถใช้ห้องนั้นเป็นสถานที่ฝึกฝนได้


อย่างไรก็ตามหากสมบัติชิ้นนี้เป็นโฮโลแกรม สถานการณ์หลายสิ่งมันก็จะแตกต่างออกไป


“นี่ไม่ใช่โฮโลแกรม เพียงแค่เราไม่สามารถจะสัมผัสมันได้เท่านั้น” ซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“หัวหน้ากิล นี่หัวหน้ายังจะมีอารมณ์มาเล่นมุกตลกอีกหรอ ? ถ้าเราไม่สามารถสัมผัสศิลาจารึกนี้ได้ เราก็จะทำได้แค่มองมันเท่านั้น และไม่มีอะไรเพิ่มเติมอีก” อควาโีสพูดอย่างกังวล เมื่อเธอเห็นสีหน้าของซือเฟิง


ใน God domain ข้อกำหนดเบื้องต้นในการที่ผู้เล่นจะสามารถจัดเก็บไอเทมเข้าในพื้นที่กระเป๋าของตัวเองได้นั้นก็คือผู้เล่นต้องสัมผัสกับไอเทมเป้าหมาย แล้วถ้าพวกเขาไม่สามารถแตะต้องศิลาจารึกนี้ได้ พวกเขาจะนำมันออกไปได้ยังไงกัน ?


“การมองมันเป็นทางเลือกเดียวของเราจริงๆ …” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ศิลาจารึกนี้มันไม่ใช่สิ่งที่เราจะสามารถนำไปได้ สิ่งเดียวที่เราสามารถจะนำไปได้ และใช้ได้คือข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้”


การดำรงอยู่ของศิลาจารึกมรดกโบราณนั้นยังคงเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับผู้เล่นใน God domain ปัจจุบัน เนื่องจากศิลาจารึกมรดกโบราณพวกนี้มักปรากฎเฉพาะในซากปรักหักพังโบราณหรือดินแดนลับที่อันตรายมากๆเท่านั้น


ในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิง การค้นพบศิลาจารึกมรดกโบราณแบบนี้มักจะทำให้เกิดการนองเลือด


นี่เป็นเพราะศิลาจารึกมรดกโบราณนั้นมันบันทึกเทคโนโลยีที่สูญหายไปของอารยธรรมโบราณ ดังนั้นกิลใดก็ตามที่ได้รับเทคโนโลยีแบบนี้มา ทั้งกิลก็จะได้รับความเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ


ในชีวิตก่อนหน้านี้ของซือเฟิง มันมีศิลาจารึกมรดกโบราณปรากฎขึ้นทั้งสิ้นห้าชิ้นในสิบปีที่เขาเล่น God domain ดังนั้นนี่ก็น่าจะทำให้หลายคนสามารถจินตาการได้ว่ามันมีค่ามากแค่ไหน


นี่เป็นเหตุผลที่ซือเฟิงรู้สึกตื่นเต้นมากที่เขาได้เห็นศิลาจารึกมรดกโบราณปรากฎขึ้นในการทดสอบโหมดฮีโร่


“หื้ม ?” อควาโรสสับสนกับคำพูดของซือเฟิง ไม่ว่าเธอจะมองอย่างไร เธอก็ไม่นึกไม่ออกเลยว่าเขาจะเอาข้อมูลออกมาจากศิลาจารึกโบราณได้ยังไง


เพราะท้ายที่สุดพวกเขานั้นไม่สามารถจะแตะต้องศิลาจารึกโบราณได้เลย และแม้หลังจากใช้สกิลตรวจสอบระดับปรมาจารย์ประเมินมันแล้ว เธอก็ยังไม่ได้รับข้อมูลใดๆของมันเลย ดังนั้นพวกเขาจะเอาข้อมูลของมันออกมา และบันทึกยังไงกัน ?


“เราไม่สามารถจะใช้วิธีการปกติในการจัดการกับศิลาจารึกโบราณได้ เพราะไม่เพียงแต่ภายในนั้นมันจะเป็นบันทึกข้อมูลจำนวนมหาศาลเท่านั้น แต่มันยังมีความซับซ้อนมากอีกด้วย หากเราต้องการจะดึงข้อมูลของมันออกมาและเก็บบันทึก เราจำเป็นจะต้องบันทึกวงเวทย์ของศิลาจารึกมา ….” ซือเฟิงอธิบาย


“บันทึกวงเวทย์งั้นหรอ ?” อควาโรสอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ขณะที่เธอมองไปยังศิลาจากรึกโบราณ


มันมีวงเวทย์อยู่ประมาณสี่สิบวงที่ถูกสลักไว้บนศิลาจารึกโบราณ และแม้แต่วงเวทย์ที่ง่ายที่สุดมันก็ยังเป็นวงเวทย์ขั้นสูง ซึ่งการจะบันทึกพวกมันให้ได้ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่ตลกและบ้าชัดๆ


พวกเขานั้นมีเวลาแค่ห้าวันเท่านั้นในการทดสอบ ในขณะเดียวกันมันก็ต้องใช้เวลาประมาณครึ่งวันในการเรียนรู้วงเวทย์ขั้นสูงหนึ่งวง นี่ยังไม่นับที่อยู่เหนือกว่านั้นอีก ….


“ผ่อนคลายน่า งานนี้อาจจะยากสำหรับคนอื่น แต่มันไม่ได้ยากสำหรับฉัน ทั้งหมดที่ฉันต้องการคือเวลาเท่านั้น” ซือเฟิงกล่าวอย่างมั่นใจ “ในช่วงเวลานี้ให้เธอเป็นผู้นำทีมแทนฉันและจัดการกับพวกมอนสเตอร์ในการทดสอบต่อไป …”


การเรียนรู้วงเวทย์ที่ถูกบันทึกไว้ในศิลาจารึกโบราณนั้นอาจเป็นเรื่องยากสำหรับนักเวทย์ขั้นสูง อย่างไรก็ตามเขาเป็นปรมาจารย์นักเวทย์ขั้นกลางมาพักหนึ่งแล้ว ซึ่งเขาก็น่าจะใช้เวลาแค่สองถึงสามวันเท่านั้นก็น่าจะมากเกินพอในการเรียนรู้วงเวทย์ทั้งหมดนี้


“ฉันเข้าใจ !!”


อควาโรสพยักหน้า ก่อนที่เธอจะเข้ามารับหน้าที่บัญชาการทีมในการจัดการกับพวกมอนสเตอร์ในการทดสอบต่อจากซือเฟิง หลังจากนั้นซือเฟิงก็ตรงไปนั่งอยู่เงียบๆตรงหน้าของศิลาจารึกมรดกโบราณ ซึ่งนี่มันทำให้สมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ดสับสนมากๆ อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้คิดมากเกินไปในเรื่องนี้

เพราะท้ายที่สุดศิลาจารึกโบราณมันก็เป็นของสภาสิบแปดปีก และวิธีที่กิลจะจัดการกับมัน มันก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของกิล


ในขณะเดียวกันซือเฟิงก็เริ่มวิเคราะห์และเรียนรู้วงเวทย์ทั้งหมดของศิลาจารึกโบราณทันที


การเรียนรู้วงเวทย์นั้นมันง่ายกว่าการถอดรหัสวงเวทย์มาก และส่วนที่ลำบากที่สุดในการทำเรื่องนี้ก็มีแค่การต้องจดจำอย่างมากมาย อย่างไรก็ตามตอนนี้ความจุ และการทำงานของสมองซือเฟิงนั้นแซงหน้าคนทั่วไปแล้ว ดังนั้นการเรียนรู้วงเวทย์ทั้งหมดนี้จึงจะเป็นแค่เรื่องง่ายๆสำหรับเขา


ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงซือเฟิงก็จดจำวงเวทย์ขั้นสูงได้แล้ววงหนึ่ง และกำลังเริ่มเรียนรู้วงเวทย์ที่สอง


ในขณะเดียวกันอควาโรสและคนอื่นๆก็ได้ทำการกวาดล้างพวกมอนสเตอร์ในการทดสอบและตรงลึกเข้าไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ มอนสเตอร์ภายในที่เฝ้ารอพวกเขาอยู่ก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้นเท่านั้น และในที่สุดจำนวนมอนสเตอร์ที่สมาชิกของสภาสิบแปดปีกต้องเผชิญหน้านั้นก็ทำให้พวกเขาเริ่มรู้สึกอึดอัดแล้ว และมันก็เป็นผลให้ความเร็วในการรุกของพวกเขาช้าลงมาก


โชคดีที่การต่อสู้ในพื้นที่ทดสอบนี้มันก็คล้ายกับการฝึกอันเข้มข้น ดังนั้นในระหว่างที่ต่อสู้ไปเรื่อยๆ มาตราฐานการต่อสู้ของทุกคนจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน


ยิ่งไปกว่านั้น EXP ที่ทุกคนได้รับมันก็ยังมีจำนวนมหาศาลอย่างน่าเหลือเชื่อ และในเวลาเพียงสองวันสั้นๆ ทุกคนก็ได้รับมาหนึ่งเลเวล พร้อมกับ EXP อีกจำนวนนิดหน่อย ขณะที่อควาโรสและสมาชิกคนอื่นๆของสภาสิบแปดปีกได้มาถึงเลเวลหนึ่งร้อยสิบเก้าแล้ว ขณะที่สมาชิกของหอการค้าอาซูกับไวโอเล็ทซอร์ดก็อยู่ในเลเวลหนึ่งร้อยสิบสี่ โดยที่คริมสันสตาร์และไวน์ไฟเตอร์นั้นอยู่ห่างจากเลเวลหนึ่งร้อยสิบห้าเพียงสามสิบเปอเซ็นต์เท่านั้น ความเร็วในการเก็บเลเวลที่ที่นี่มอบให้พวกเขาทำให้คริมสันสตาร์และคนอื่นๆตกตะลึง


ในระหว่างที่แรงจูงใจของทุกคนกำลังเพิ่มมากขึ้น มันก็มีเสียงประกาศของระบบดังขึ้นมาที่หูของพวกเขา


….

ประกาศจากระบบหลัก God domain : ผู้เล่นบางคนได้ทำการเปิดใช้งานแพ๊คเสริมใหม่ “กลียุคของเทพปีศาจ”


ประกาศจากระบบหลักของ God doman : แพ๊คเสริมใหม่ “กลียุคของเทพปีศาจ” จะถูกเปิดใช้งานภายในหนึ่งวันตามธรรมชาติ และในเวลานั้นทั้งเมืองของ NPC และที่ไม่ใช่ของ NPC จะไม่ได้รับความคุ้มครองจากอาณาจักรและจักรวรรดิต่างๆอีกต่อไป


….


ทุกคนในพื้นที่นั้นอ้าปากค้างเมื่อได้ยินประกาศของระบบ


หากมองแค่พื้นผิวแพ๊คเสริมใหม่นี้ดูเหมือนจะไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อผู้เล่นแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตามทุกคนล้วนเข้าใจดีว่ามันจะนำไปสู่ยุคใหม่ของ God domain


ปัจจุบันนอกเหนือจากแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยหรือมากกว่าขึ้นไปแล้ว เมืองกิลและเมืองทั้งหมดที่ถูกตั้งขึ้นในแผนที่เลเวลต่ำกว่าหนึ่งร้อยนั้นยังคงอยู่ภายใต้การคุ้มครองของอาณาจักร และจักรวรรดิต่างๆของ NPC ซึ่งหากเมืองเหล่านี้สูญเสียการคุ้มครองไปอย่างกระทันหัน ผลที่ตามมามันจะเลวร้ายอย่างมากเลยทีเดียว


เพราะท้ายที่สุดการได้รับการคุ้มครองและรักษาความปลอดภัยจา NPC นั้นมันทำให้เมืองหลายเมือง รวมทั้งเมืองของผู้เล่นสามารถดำเนินการได้อย่างอิสระเสรี แต่ถ้าหากไม่มีแล้ว ก็ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าความวุ่นวายและความโกลาหลจะเกิดขึ้นแน่นอน นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าการป้องกันการโจมตีของกองทัพมอนสเตอร์สิ่งมีชีวิตปีศาจก็จะทำได้ยากขึ้นมาก


กล่าวอีกนัยหนึ่งคือแพ๊คเสริมใหม่นี้นั้นจะทำให้โครงสร้างของ God domain เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ และอีกอย่างหนึ่งหากปราศจากการคุกคามของ NPC แล้ว มหาอำนาจหลายกลุ่มจะเริ่มเคลื่อนไหวจัดการกับศัตรูของตนอย่างเปิดเผยแน่นอน


….


นอกดินแดนลับโบราณ ความโกลาหลได้เกิดขึ้นแล้ว …


“ดี !! นี่มันวิเศษมากๆ !! มาดูกันว่าตอนนี้เหล่ามหาอำนาจท้องถิ่นจะปกป้องทรัพยากรของตนเองกันได้อย่างไร เมื่อปราศจาก NPC คอยคุ้มครอง !!!”

“ฉันไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เปิดใช้งานแพ๊คเสริมใหม่นี้หรอกนะ แต่ฉันต้องขอขอบคุณจริงๆที่คนๆนั้นทำให้ผู้เล่นสายความมืดอย่างเราทำงานได้ง่ายขึ้นอีกมาก !!!”


เหล่ามหาอำนาจสายความมืดต่างๆเต็มไปด้วยความพึงพอใจ เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ขณะที่มหาอำนาจที่แท้จริงในที่สว่างนั้นก็รีบจัดการประชุมเพื่อวางนโยบายรับมือกับแพ๊คเสริมใหม่นี้ทันที


….


ในขณะที่ God domain ทั้งหมดกำลังตกอยู่ในความโกลาหล ซือเฟิงก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนจากบริเวณศิลาจารึกโบราณ


“ในที่สุดมันก็สำเร็จ !!!”


ซือเฟิงยิ้ม เมื่อเขาเห็นศิลาจารึกโบราณค่อยๆจางหายไปต่อหน้าเขา จากนั้นเขาก็เริ่มวาดวงเวทย์ที่เขาจำได้ทั้งหมด ซึ่งมันก็ได้ปล่อยออร่าที่น่ากลัวและสั่นสะเทือนพื้นที่โดยรอบออกมา


ตอนที่ 2637 คริสตัลความทรงจำอันน่าอัศจรรย์


ปรากฎการณ์ที่ศิลาจารึกมรดกโบราณสร้างขึ้นนั้นมันใหญ่มาก และแม้แต่คริมสันสตาร์กับคนอื่นๆที่ยืนอยู่ห่างออกไปสามพันหลาก็ยังสัมผัสได้ถึงความผันผวนของมานาที่ผิดปกติจากศิลาจารึกมรดกโบราณ


“มันมีบางอย่างเกิดขึ้นที่นั่นงั้นหรอ ? ความผันผวนของมานาระดับนี้มันเทียบเท่ากับตอนที่ NPC ขั้นห้าใช้เวทย์ขั้นห้าบางอย่างเลยนะ …” คริมสันสตาร์อุทานออกมา ขณะที่เธอหันไปมองต้นกำเนิดของความผันผวนของมานาด้วยดวงตาที่หวาดกลัว


“นั่นคือตำแหน่งในปัจจุบันของหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมไม่ใช่หรอ ? มีอะไรเกิดขึ้นกับเขารึปล่าว ?” ไวน์ไฟเตอร์กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังในทำนองเดียวกัน เมื่อเขารู้สึกได้ถึงความผันผวนของมานาที่รุนแรง


NPC ขั้นห้านั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่จัดว่ายืนอยู่ในจุดสูงสุดของ God domain ตอนนี้ หลังจากพวกเทพขั้นหกถอนตัวจากทวีปหลักไป โดยเวทย์ที่ NPC ขั้นห้าใช้นั้นมันก็อาจทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ได้ และต่อหน้าเวทย์แบบนี้นั้น ผู้เล่นขั้นสามอย่างพวกเขาจะไม่ต่างจากมดปลวกเลย และทุกคนที่อยู่ในระยะจะถูกฆ่าทันทีแน่นอน


ในขณะเดียวกันมันก็มีอันตรายอยู่เต็มไปหมดในพื้นที่การทดสอบนี้ มอนสเตอร์ในการทดสอบนั้นไม่ได้เป็นภัยคุกคามเพียงอย่างเดียวของที่นี่ เพราะมันยังมีทั้งกับดักและเหตุการณ์อันตรายที่ไม่คาดคิดที่จะเกิดขึ้นแบบสุ่มด้วย ซึ่งการถูกซุ่มโจมตีด้วยเวทย์ขั้นห้านั้นมันก็มีความเป็นไปได้ในระดับหนึ่งเลย


หากมีอะไรเกิดขึ้นกับซือเฟิงจริงๆ มันจะสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับทั้งทีม เพราะท้ายที่สุดซือเฟิงคือผู้ที่พาพวกเขามาถึงตรงนี้ได้จริงๆ แม้ว่าในระหว่างที่ซือเฟิงไม่อยู่ เขาจะสั่งให้อควาโรสบัญชาการแทน แต่หลายคนก็ยังอดไม่ได้ที่จะสงสัยในความสามารถและการเป็นผู้นำของเธอ


ในสถานการณ์เช่นนี้อควาโรสจึงต้องรีบติดต่อซือเฟิงทันที


“หัวหน้ากิล ด้านหัวหน้าเป็นยังไงบ้าง ?” อควาโรสถามอย่างเป็นห่วง


ตอนนี้มันไม่มีใครกังวลมากกว่าไปกว่าเธอแล้วเกี่ยวกับความผันผวนของมานาที่รุนแรงนี้ เธอนั้นรู้ดีว่าซือเฟิงตกอยู่ใต้คำสาปของเทพปีศาจ ซึ่งมันจะเพิ่มโทษในการตายของเขาขึ้นถึงสามเท่า หากเขาตาย ในขณะเดียวกันผู้เล่นที่อยู่ในพื้นที่ทดสอบนี้ก็สามารถจะรอได้แค่การฟื้นคืนชีพอัตโนมัติเท่านั้น ดังนั้นหากผู้เล่นทั่วไปต้องการหนึ่งวัน ซือเฟิงก็จะต้องการสามวัน เพราะท้ายที่สุดเขาโดนคำสาปของเทพปีศาจอยู่ และถ้าเขาตายในตอนนี้ โอกาสที่พวกเขาจะเคลียร์การทดสอบโหมดฮีโร่นี้ได้ก็จะน้อยลงไปมาก


“ผ่อนคลาย ฉันไม่เป็นไร ยังสบายดีอยู่ ฉันพึ่งจะปลดล๊อคข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในศิลาจารึกมรดกโบราณได้น่ะ ….” ซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อเขาเห็นสีหน้าวิตกกังวล

ของอควาโรส


“นี่การปลดล๊อคข้อมูลทำให้เกิดความผันผวนของมานาได้มากขนาดนี้เลยงั้นหรอ ?” อควาโรสตกตะลึง เมื่อเธอได้ยินคำพูดของซือเฟิง


นี่เป็นความผันผวนของมานาที่รุนแรงที่สุดที่เธอเคยพบเลย นับตั้งแต่เธอเข้าร่วม God domain มา ซึ่งหากความผันผวนนี้เกิดจากเวทย์มนต์ เธอจะไม่แปลกใจเลย ถ้ามันจะสามารถทำลายเมืองทั้งเมืองของ NPC ได้ อย่างไรก็ตามตอนนี้ซือเฟิงกับกำลังบอกเธอว่าความผันผวนของมานาที่น่ากลัวนี้มันเกิดจากการปลดล๊อคข้อมูลจากศิลาจารึกมรดกโบราณ นี่มันไม่น่าเชื่อเลย


“นี่เป็นข้อมูลที่เทพโบราณทิ้งไว้ ดังนั้นมันก็เป็นเรื่องปกติที่มันจะไม่ธรรมดา อย่างไรก็ตามฉันยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควรในการจะปลดล๊อคมันให้เสร็จสิ้น ในตอนนี้ก็ให้ทำการกำจัดมอนสเตอร์ในการทดสอบที่อยู่ใกล้ๆทั้งหมดไปก่อน เมื่อฉันเสร็จจากด้านนี้แล้ว ฉันจะรีบไปพบกับทุกคนที่ด้านนู้น ….” ซือเฟิงอธิบายพลางหัวเราะเบาๆ


ในความเป็นจริงความผันผวนของมานานี้มันก็ทำให้ซือเฟิงประหลาดใจมากเช่นกัน


จากสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับศิลาจารึกมรดกโบราณ ความแข็งแกร่งของความผันผวนของมานาจะแข็งแกร่งแค่ไหนมันก็ขึ้นอยู่กับมูลค่าของข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ และโดยทั่วไปแล้วความผันผวนของมานาก็จะขยายออกไปเป็นระยะแค่ราวหนึ่งถึงสองพันหลาเท่านั้น


อย่างไรก็ตามความผันผวนของมานาจากศิลาจารึกมรดกโบราณชิ้นนี้กับแผ่ขยายออกไปไกลจนถึงพวกอควาโรสที่อยู่ห่างออกไปประมาณสามพันหลา ซึ่งนี่มันจะเทียบได้กับศิลาจารึกมรดกโบราณที่ถูกค้นพบในสุสานเทพโบราณ ที่เป็นดินแดนลับเลเวล

มากกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบเลย

อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดขั้นต่ำที่อนุญาติให้ทุกคนเข้าไปในนั้นได้คืออย่างน้อยต้องอยู่ในขั้นสี่


“โอเค ฉันจะได้แจ้งให้ทุกคนทราบ” อควาโรสตอบ หลังจากครุ่นคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เธอก็พบว่าคำพูดของซือเฟิงนั้นมีเหตุผล และเนื่องจากข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในศิลาจารึกมรดกโบราณนั้นมันเป็นสิ่งที่เทพโบราณทิ้งไว้ ดังนั้นมันจึงจะไม่ใช่ของธรรมดาเลย จากนั้นเธอก็หันไปหาคนที่เหลือในทีมและพูดว่า “ทุกคนโปรดมั่นใจได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับหัวหน้ากิล หัวหน้ากิลกล่าวว่าความผันผวนของมานานี้มันเป็นผลมาจากการที่เขาปลดล๊อคข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในศิลาจารึกมรดกโบราณ เขาบอกว่าเขาไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายใดๆ และให้เราเคลียร์พวกมอนสเตอร์ต่อไป เขาจะกลับมาหาพวกเราในไม่ช้า”


คำพูดของอควาโรสนั้นทำให้ทุกคนในทีมชื่นชมซือเฟิง พวกเขาไม่คิดเลยว่าซือเฟิงจะสามารถได้รับบางอย่างมาจากศิลาจารึกมรดกโบราณจริงๆ และหลังจากการพูดคุยกันสั้นๆ พวกเขาก็กลับมาเคลียร์เส้นทางที่มีมอนสเตอร์ขวางตรงหน้าของพวกเขาต่อ


ในขณะเดียวกันซือเฟิงก็กำลังจ้องมองไปที่คริสตัลตรงหน้าของเขาที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างตั้งใจ


เมื่อทำการดึงข้อมูลออกมาจากศิลาจารึกมรดกโบราณได้เรียบร้อยนั้น ผู้เล่นก็จะต้องทำการวาดวงเวทย์ที่ถูกบันทึกไว้ทั้งหมดในศิลาจารึกมรดกโบราณเพื่อสร้างคริสตัลความทรงจำขึ้น ซึ่งนี่นับเป็นหนึ่งในวิธีการทั่วไปที่เทพโบราณใช้เพื่อจะทิ้งมรดกของพวกเขาเอาไว้ เพราะท้ายที่สุดเมื่อเทียบกับหนังสือ คริสตัลความทรงจำแบบนี้จะทนต่อกระแสเวลาได้มากกว่า และตราบใดที่คริสตัลความทรงจำยังคงอยู่ มันก็ไม่จำเป็นจะต้องกังวลเลยว่าข้อมูลบางส่วนจะสูญหายไป


สามชั่วโมง … หกชั่วโมง … เก้าชั่วโมง …


หลังจากที่วงเวทย์ทำการรวบรวมมานาเข้ามาเป็นเวลาสิบห้าชั่วโมงติดต่อกัน คริสตัลความทรงจำที่มีขนาดเท่ากับกำปั้นผู้ใหญ่ก็สมบูรณ์ และลอยมาอยู่ตรงหน้าของซือเฟิง คริสตัลความทรงจำนี้มันก็จัดว่ามีขนาดใหญ่กว่าคริสตัลความทรงจำทั่วไปด้วย


“มหัศจรรย์จริงๆ !!! มันมีอะไรบันทึกอยู่ในนี้กัน ?!!” ซือเฟิงจ้องมองไปที่คริสตัลความทรงจำตรงหน้าของเขาด้วยความประหลาดใจ

คริสตัลความทรงจำที่อีเลียดี้มอบให้เขานั้นมันก็จัดว่ามีข้อมูลมากมายแล้ว และหากไม่ใช่เพราะเขามีความสามารถทางสมองสูงมาก เขาก็อาจจะหมดสติไปได้เลยจากการต้องรับข้อมูลจำนวนมหาศาล


อย่างไรก็ตามคริสตัลความทรงจำตรงหน้าของเขาตอนนี้กับมีขนาดใหญ่กว่าคริสตัลความทรงจำที่อีเลียดี้มอบให้ซะอีก ดังนั้นจำนวนข้อมูลจึงน่าจะมากกว่าคริสตัลของอีเลียดี้นับสิบเท่า และมันก็ทำให้ซือเฟิงไม่สามารถจะจินตนาการได้เลยว่ามีข้อมูลอะไรรอเขาอยู่ภายในนี้


หลังจากสังเกตคริสตัลความทรงจำเป็นระยะเวลาสั้นๆ ซือเฟิงก็แตะนิ้วของเขาเพื่อพยายามจะดึงข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ออกมา เขานั้นกระตือรือร้นและอยากรู้มากๆว่าภายในมันมีอะไรอยู่


อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาเช่นนั้น เขาก็ต้องเต็มไปด้วยความตกตะลึง


….


ระบบ : คริสตัลความทรงจำนี้ไม่เสถียรอย่างยิ่ง และสามารถคงอยู่ได้เพียงสองวันตามธรรมชาติก่อนที่มันจะหายไป


ระบบ : คำเตือน !! คุณได้ค้นพบคริสตัลความทรงจำขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลจำนวนมหาศาล และเนื่องจากค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของคุณยังไม่เพียงพอ คุณจึงไม่สามารถจะอ่านข้อมูลภายในได้อย่างสมบูรณ์ และหากคุณต้องการจะอ่านข้อมูลภายในจริงๆ คุณก็อาจจะตกอยู่ในสภาวะโคม่าได้ คุณยังต้องการจะอ่านหรือไม่ ?


….


ฉันไม่สามารถจะอ่านมันได้ แม้จะอยู่ในฐานะผู้เล่นขั้นสามงั้นหรอ ? การแจ้งเตือนของระบบทำให้ซือเฟิงตกตะลึง นี่สิ่งใดกันที่มันอยู่ภายในนี้ ?


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ในความเป็นจริง แม้แต่ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา เขาก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย


ดูเหมือนว่าฉันจะทำงานหนักแบบไร้ค่าไปซะแล้ว …. แน่นอนเลยว่าข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ภายในศิลาจารึกมรดกโบราณนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รับ ซือเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น ขณะที่เขามองไปยังคริสตัลความทรงจำที่ตอนนี้เขาหยิบมาถือไว้แล้ว


การที่มีค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจไม่เพียงพอนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถแก้ได้อย่างรวดเร็ว


ไอเทมที่สามารถช่วยเพิ่มค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจได้นั้น มันจัดว่าหายากมากๆใน God domain และเท่าที่ซือเฟิงคาดการณ์ ถ้าเขาไม่สามารถจะอ่านข้อมูลในคริสตัลความทรงจำนี้ได้แม้ว่าจะอยู่ในฐานะผู้เล่นขั้นสามแล้ว เขาก็น่าจะต้องไปถึงขั้นสี่ก่อนเป็นอย่างน้อย


สำหรับการลองพยายามอ่านตอนนี้เลย มันเป็นความคิดที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง


เพราะมันเห็นได้ชัดว่ามีโอกาสสูงมากที่เขาจะเข้าสู่อาการโคม่า หากเขาฝืนอ่านมันตอนนี้ ซึ่งการเข้าสู่อาการโคม่านั้นมันก็เรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่เขากลัวจริงๆคือเขากลัวสมองเขาจะได้รับความเสียหายไปด้วย และมันอาจส่งผลถึงการทำเควสเลื่อนขั้น แต่ละขั้นในอนาคตของเขา อนาคตของเขานั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเอามาแลกกับข้อมูลชิ้นนี้ที่เทพโบราณทิ้งไว้เลย


เดี๋ยวก่อนสิ !!! มันยังมีอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้ฉันอ่านข้อมูลภายในได้ !!! ระหว่างที่ซือเฟิงกำลังจะเก็บคริสตัลตความทรงจำเข้ากระเป๋า เขาก็ได้รับแรงบันดาลใจขึ้นมาอย่างกระทันหัน ดีไวน์วิล !!! ถ้าฉันสามารถใช้มันขัดเกลาจิตใจตัวเองจนค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจขึ้นไปอยู่ที่ขั้นสี่ได้ ฉันก็ไม่น่าจะมีปัญหาในการอ่านข้อมูลนี้ !!!


ยิ่งซือเฟิงคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น และคิดว่าแผนของเขานั้นมีโอกาสเป็นไปได้มากขึ้น


คนอื่นๆอาจจะเจอปัญหาหากคิดจะผลักดันค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของตัวเองให้ขึ้นไปที่ขั้นสี่ โดยใช้การฝึกจากดีไวน์วิล อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไปสำหรับเขา


ต้องขอบคุณสายเลือดขั้นสูงที่ทำให้ตอนนี้เขามีมาตราฐานค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจสูงกว่าผู้เล่นขั้นสามทั่วไป และพูดกันตรงๆเขาก็เหลืออีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขาก็จะก้าวขึ้นไปที่ขั้นสี่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังค่อนข้างคุ้นเคยกับการฝึกโดยใช้ดีไวน์วิล และเมื่อพิจารณาเรื่องทั้งหมดนี้รวมกัน เขาก็คิดว่า เขาน่าจะมีโอกาสไปถึงขั้นสี่ได้ของมาตราฐานค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจ


ไม่นานหลังจากที่ซือเฟิงเก็บคริสตัลความทรงจำเข้ากระเป๋าไป เขาก็ได้รับการติดต่อจากอควาโรสมาว่า “หัวหน้ากิล เราพบบอสในการทดสอบแล้ว ….”


ตอนที่ 2638 ลิชโบราณ กับวิญญาณมังกรดำ


ตอนนี้อควาโรสและคนอื่นๆล้วนเต็มไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ขณะที่พวกเขามองไปยังแท่นบูชาที่สูงตระหง่านและทรุดโทรมซึ่งอยู่ห่างออกไปกลางอุโมงค์


สาเหตุที่ปฎิกิริยาของพวกเขาเป็นแบบนี้นั่นก็เพราะบริเวณรอบๆแท่นบูชานั้นมันเต็มไปด้วยนักรบไทรออล กับไทรออลขั้นสูง มอนสเตอร์เหล่านี้มีจำนวนราวสามพันตัว และมันก็มีบอสในการทดสอบอยู่ใจกลางพวกมัน ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสี่มุมของแท่นบูชานั้นมันยังมีหอคอยมานาตั้งอยู่ด้วย โดยหอคอยมานานี้ไม่เพียงแต่มันจะปราบปรามศัตรูทั้งหมดที่มาอยู่ในระยะของมัน แต่มันยังป้องกันไม่ให้ผู้เล่นใช้สกิลและเวทย์ใดๆด้วย


“นี่มันโกงกันชัดๆ !!! ไม่เพียงแต่จะมีมอนสเตอร์มากมายอยู่รอบๆบอส !!! แต่มันยังมีหอคอยมานาอีกสี่แห่งด้วย !!! ด้วยสิ่งนี้นับประสาอะไรกับทีมสองร้อยคน แม้แต่ทีมสองพันคนก็ยังไม่สามารถจะเคลียร์มันได้เลย !!!” โฟลตติ้งไลท์อดไม่ได้ที่จะกล่าวสาปแช่งออกมา ขณะที่ตัวเขาเองมองไปยังหอคอยมานาทั้งสี่


หอคอยมานานั้นเป็นโครงสร้างการป้องกันระดับยุทธศาสตร์ เพราะมันไม่ใช่แค่สิ่งก่อสร้างทั่วไป แต่มันจัดอยู่ในระดับต้นๆของสิ่งก่อสร้างขั้นสูงเลย และพวกมันก็ยังเป็นสิ่งที่ผู้เล่นในทวีปด้านตะวันตกนั้นคุ้นเคยเป็นอย่างดี ….


เพราะท้ายที่สุดเมือง NPC ทุกแห่งของทวีปด้านตะวันตกล้วนมีหอคอยมานา แถมหอคอยมานาก็ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เมืองของ NPC ในทวีปด้านตะวันตกพัฒนาไปได้อย่างมั่นคง แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับภัยคุกคามอย่างต่อเนื่องของกองทัพมอนสเตอร์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตปีศาจ


เดิมทีบอสในการทดสอบที่ถูกรายล้อมไปด้วยลูกน้องจำนวนมากขนาดนี้มันก็มีข้อได้เปรียบมากแล้ว แต่ตอนนี้มอนสเตอร์เหล่านี้ยังจะได้รับประโยชน์จากหอคอยมานาสี่แห่งอีก แล้วผู้เล่นอย่างพวกเขาจะไปเคลียร์การทดสอบนี้ได้อย่างไร ?


“แน่นอนเลยว่ามันยังเร็วเกินไปสำหรับเราที่จะมาที่นี่ ….” คริมสันสตาร์อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นออกมา ขณะที่เธอมองไปยังลิชที่อยู่บนแท่นบูชา


….

[โซล๊อค] (ลิชโบราณ ระดับผู้อาวุโสเทพนิยาย)

เลเวล 122

HP 3,700,000,000/3,700,000,000


….


ในขณะที่ HP ของโซล๊อคที่มีสามพันเจ็ดร้อยล้านนั้นไม่ได้จัดว่าสูงเป็นพิเศษสำหรับลิชโบราณ แต่จำนวนนี้มันก็มากเกินพอที่จะปลูกฝังความสิ้นหวังให้กับทุกคนได้


มันมีมอนสเตอร์ที่เน้นไปทางด้านเวทย์มนต์อยู่ไม่กี่ตัวเท่านั้นใน God domain อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับมอนสเตอร์ที่เน้นไปทางด้านกายภาพในเลเวล และระดับเดียวกัน มอนสเตอร์ที่เน้นไปทางด้านเวทย์มนต์นั้นจะยากที่จะจัดการมากกว่าราวสามสิบถึงสี่สิบเปอเซ็นต์เลย ซึ่งนี่มันก็คล้ายความแตกต่างระหว่าง NPC สายกายภาพ กับสายเวทย์มนต์ เนื่องจาก NPC สายเวทย์มนต์นั้นจะมีความเชี่ยวชาญในการโจมตีระยะไกลแบบ AOE และสามารถสร้างความเสียหายกับการทำลายล้างได้มากกว่าที่ NPC สายกายภาพจะทำได้


ในขณะเดียวกันลิชโบราณนี้ก็จัดว่าเป็นมอนสเตอร์ที่มีความสามารถพิเศษในด้านเวทย์มนต์เหนือกว่าเอลฟ์ทั่วไป และสำหรับลิชโบราณ เวทย์หลายอย่างก็ไม่ต่างจากของเล่น ซึ่งมันสามารถจะเล่นกับเวทย์ได้ตามที่ตัวเองต้องการเลย


ก่อนหน้านี้ไวโอเล็ทซอร์ดเคยเจอกับลิชโบราณที่เป็นมอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย เลเวลแปดสิบเจ็ดในแผนที่ล่ามาก่อน และเพื่อที่จะเอาชนะมันให้ได้ กิลได้ส่งกองกำลังห้าพันคนที่เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญเลเวลมากกว่าเก้าสิบหรือมากกว่าขึ้นไป ผลัดกันเข้าโจมตีบอสเรื่อยๆ โดยแบ่งเป็นทีม ทีมละพันคน และในท้ายที่สุด พวกเขาก็สามารถจะฆ่าลิชโบราณได้ แต่มันก็ต้องจ่ายด้วยชีวิตผู้เชี่ยวชาญของพวกเขาเกือบสี่พันคน


แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่เพียงแต่ลิชโบราณตรงหน้าของพวกเขาจะเป็นมอนสเตอร์ระดับผู้อาวุโสเทพนิยาย เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบสอง ลิชโบราณตัวนี้ยังมีมอนสเตอร์หลายพันตัว พร้อมกับหอคอยโบราณอีกสี่แห่งคอยสนับสนุนมัน ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับพวกเขาที่จะฆ่าลิชตัวนี้ให้ได้ และต่อให้พวกเขามีกองกำลังผู้เชี่ยวชาญหนึ่งหมื่นคนในเลเวลเดียวกันกับลิชโบราณ พวกเขาก็ยังไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำ


ในตอนนี้นับประสาอะไรกับสมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ด และหอการค้าอาซู แม้แต่อควาโรสและสมาชิกคนอื่นๆของสภาสิบแปดปีกก็ยังอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เมื่อได้เห็นโซล๊อค เพราะท้ายที่สุดความยากในการจะฆ่าบอสตัวนี้ลงให้ได้นั้นมันมากเกินไป ในความคิดของพวกเขาโซล๊อคไม่ใช่บอสสำหรับผู้เล่นขั้นสามด้วยซ้ำ และพวกเขาจะสามารถท้าทายมันได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาไปถึงขั้นสี่แล้วเท่านั้น


“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ความยากในการโจมตีบอสตัวนี้มันสูงเกินไป แม้ว่าเราจะยอมทิ้งชีวิตทั้งหมดของเราไว้ที่นี่ และใช้ไพ่ทั้งหมดของเรา แต่ฉันก็คิดว่าเราไม่น่าจะสามารถฆ่าบอสตัวนี้ได้อยู่ดี คุณยังต้องการจะสู้ต่อไหม ?” ไวน์ไฟเตอร์ถาม ในขณะที่เขาหันไปหาซือเฟิง ซึ่งพึ่งกลับมาเข้าร่วมทีมอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง


พวกเขาใช้ทั้งเวลาและความพยายามอย่างมากกว่าจะมาถึงตัวของบอสในการทดสอบ และหากมีโอกาสประสบความสำเร็จแม้เพียงน้อยนิด เขาก็อยากจะลองโจมตีบอสตัวนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตามตอนนี้ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไร เขาก็ไม่สามารถจะมองเห็นความหวังใดๆได้เลย เพราะท้ายที่สุด หากพวกเขาต้องการจะโจมตีลิชโบราณตัวนี้ พวกเขาจะต้องทำลายหอคอยมานาสี่แห่งให้ได้ก่อน ไม่งั้นพวกเขาจะไม่แตกต่างไปจากมดปลวกที่ลิชโบราณจะสามารถฆ่าพวกเขาได้ง่ายๆเลย


อย่างไรก็ตามการจะทำลายหอคอยโบราณทั้งสี่แห่งให้ได้นั้น มันพูดง่ายกว่าทำ เพราะท้ายที่สุดพวกเขาจะต้องต่อสู้กับบอสในการทดสอบ และมอนสเตอร์อีกหลายพันคนกว่าพวกเขาจะสามารถฝ่าเข้าไปทำลายหอคอยมานาทั้งหมดได้


เพื่อทำให้เรื่องแย่ลง หอคอยมานั้นมีความสามารถในการป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ การโจมตีที่อยู่ต่ำกว่ามาตราฐานของขั้นสี่จะไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้ อย่างไรก็ตามด้วยมีหอคอยมานาสี่แห่งคอยปราบปรามพวกเขาอยู่ มันก็ทำให้พวกเขาไม่สามารถจะใช้สกิลหรือเวทย์ใดๆกับหอคอยได้เช่นกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาจะต้องใช้การโจมตีปกติในการทำลายหอคอยนี้ ในขณะที่แม้แต่ค่าสถานะพื้นฐานกับร่างกายของพวกเขาก็ถูกปราบปรามให้อ่อนแอลง และในสถานการณ์เช่นนี้ มันจะมีผู้เล่นสักกี่คนในทีมกันที่จะสามารถโจมตีปกติไปถึงมาตราฐานของขั้นสี่ได้ ?


หากพวกเขาต้องพึ่งพาผู้เล่นแค่ไม่กี่คนในการทำลายหอคอยมานา มันก็มีสิทสูงมากที่พวกเขาจะถูกสังหารหมู่ก่อนที่จะสามารถทำลายหอคอยมานาได้สักแห่ง นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าหอคอยมานาจะทำการโจมตีเป็นสกิลเวทย์ทำลายล้างขนาดใหญ่เป็นระยะๆ และเพียงแค่หนึ่งในสกิลเวทย์เหล่านี้ มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายล้างพวกเขาทั้งทีม ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกต่อสู้แบบไหน พวกเขาก็จะต้องเจอกับฝันร้ายแน่นอน


“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ถ้าคุณไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ ฉันจะแนะนำให้กิลของฉันแก้ไขข้อตกลงระหว่างเราให้เป็นการเคลียร์การทดสอบโหมดขั้นสูงแทน เพัยงแต่ว่าช่องที่คุณได้รับก็จะต้องลดลงไปด้วย คุณคิดอย่างไร ?” คริมสันสตาร์กล่าวแนะนำ


ขณะเดียวกันไวน์ไฟเตอร์ก็ไม่ได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของคริมสันสตาร์


ความแข็งแกร่งที่สภาสิบแปดปีกได้แสดงออกมาในระหว่างการต่อสู้ในการทดสอบโหมดฮีโร่นี้มันเกินความคาดหมายของพวกเขาไปอย่างแท้จริง และสำหรับไวโอเล็ทซอร์ด การได้ร่วมมือกับสภาสิบแปดปีกก็เป็นเรื่องที่ดีแน่นอน


“คริมสันสตาร์นั้นช่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจริงๆ …” ต้วนฮันซานพึมพำด้วยรอยยิ้มบางๆ เมื่อได้ยินคำพูดของคริมสันสตาร์ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้เลย


ศักยภาพของสภาสิบแปดปีกนั้นมันชัดเจนสำหรับทุกคนที่ได้เห็น ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด กิลๆนี้จะได้เติบโตขึ้นเป็นมหาอำนาจที่แท้จริงในอนาคตแน่นอน เพราะท้ายที่สุด กิลนั้นทรงพลังมากเป็นพิเศษอันเนื่องจากความสามารถในการเลี้ยงดูผู้เล่น และหากรุ่นเยาว์ของไวโอเล็ทซอร์ดสามารถได้รับการฝึกฝนจากสภาสิบแปดปีก ในอนาคตไวโอเล็ทซอร์ทก็จะสามารถกลายเป็นหนึ่งในห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดได้แน่นอน


หลังจากเห็นการกระทำของคริมสันสตาร์แล้ว ต้วนฮันซานก็รู้สึกว่าหอการค้าอาซูจำเป็นจะต้องกระชับความสัมพันธ์กับสภาสิบแปดปีกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น


อย่างไรก็ตามทันทีที่คริมสันสตาร์พูดจบ ซือเฟิงก็ส่ายหัว


“ถ้าปัญหาเป็นเรื่องช่องละก็ฉันสามารถจะช่วยเจรจากับคนอื่นๆในกิลให้ได้นะ หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม …” ไวน์ไฟเตอร์กล่าวออกมา เมื่อเห็นซือเฟิงส่ายหัว


“ไม่ใช่ๆ คุณเข้าใจฉันผิดไปหน่อยรองผู้บัญชาการไวน์ไฟเตอร์ ฉันไม่ได้มีปัญหากับข้อเสนอของคุณ เพียงแต่ว่าฉันยังคงต้องการที่จะท้าทายบอส เพราะท้ายที่สุดแล้วการจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้มันไม่ใช่เรื่องง่าย มันจะเป็นการสูญเปล่า หากเรายอมแพ้โดยไม่พยายามเลย” ซือเฟิงกล่าว

เขามาถึงขนาดนี้ และเก็บเกี่ยวมาได้ก็มากแล้วจากศิลาจารึกโบราณ แม้ว่าการกลับออกไปตอนนี้ โดยที่ไม่ได้อะไรเลยจากไวโอเล็ทซอร์ด มันก็จะนับว่าคุ้มค่าอยู่ดีสำหรับสภาสิบแปดปีก แต่เขาก็ไม่อยากทำแบบนั้น เพราะท้ายที่สุดแล้วนี่มันเป็นโอกาสที่เกมมอบให้เพียงแค่ครั้งเดียว ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้รอเขาอยู่แน่นอน หลังจากเขาฆ่าลิชโบราณได้


“แต่หอคอยมานาเหล่านั้น …” คริมสันสตาร์กล่าวขึ้นมาอย่างเป็นห่วง เมื่อได้รู้ถึงความตั้งใจของซือเฟิง


“จะเป็นยังไง ถ้าฉันบอกว่าฉันสามารถจะทำลายหอคอยมานาทั้งหมดนั่นได้ในระยะเวลาอันสั้น ?” ซือเฟิงถามหลังจากครุ่นคิด


“ทำลายหอคอยมานาทั้งหมดในระยะเวลาอันสั้น ?” คำพูดของซือเฟิงทำให้คริมสันสตาร์ตกตะลึง และเธอก็ถามอย่างสงสัยว่า “มันเป็นไปได้งั้นหรอ ?”


“ฉันมั่นใจห้าสิบ ห้าสิบน่ะ …” ซือเฟิงกล่าวหลังจากคำณวนโอกาสสำเร็จแล้ว


เมื่อได้ยินคำพูดของซือเฟิง ทุกคนต่างก็จ้องมองไปยังเขาด้วยความประหลาดใจ ครู่หนึ่งพวกเขาคิดว่าซือเฟิงกำลังล้อเล่นกับพวกเขา


นี่คือหอคอยมานาสี่แห่งที่พวกเขากำลังพูดถึง !!!


การทำลายหนึ่งในหอคอยสี่แห่งนี้โดยไม่ใช้สกิลหรือเวทย์ใดๆ มันก็นับเป็นเรื่องยากที่ท้าทายสวรรค์มากแล้ว แล้วพวกเขาจะทำลายทั้งสี่แห่งให้ได้ในระยะเวลาอันสั้นได้อย่างไร ?


“ถ้าคุณคิดว่ามันมีโอกาสจะประสบความสำเร็จจริงๆ เราก็สามารถจะลองทำตามแผนของคุณได้ …” คริมสันสตาร์กล่าว ขณะที่เธอหันไปมองสภาพแวดล้อมโดยรวมทั้งหมด


ไวน์ไฟเตอร์พยักหน้าเห็นด้วย


ส่วนที่ลำบากที่สุดในการจะฆ่าลิชโบราณตัวนี้ให้ได้ก็คือหอคอยมานาทั้งสี่แห่ง ถ้าเป็นไปได้ที่จะสามารถทำลายหอคอยมานาทั้งสี่แห่งได้ในเวลาอันรวดเร็ว มันก็คุ้มค่าที่จะลองดูแน่นอน

“เนื่องจากทุกคนเห็นด้วย งั้นฉันจะทำให้เรื่องนี้มันง่ายขึ้น ….” ซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นว่าคริมสันสตาร์ และไวน์ไฟเตอร์เต็มใจจะไปต่อกับเขา “หลังจากนี้ฉันจะทำลายหอคอยมานาทั้งสี่แห่งเอง ฉันหวังว่าทุกคนจะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของมอนสเตอร์ทั้งหมดออกไปให้ฉันได้”


“คุณจะทำลายหอคอยมานาทั้งสี่แห่งด้วยตัวคุณเองงั้นหรอ ?” คริมสันสตาร์อ้าปากค้าง และมองไปยังซือเฟิงด้วยความไม่อยากจะเชื่อ


แม้ว่าการโจมตีของซือเฟิงจะทรงพลังเท่ากับมาตราฐานของขั้นสี่ แต่เขาก็ไม่น่าจะสามารถทำลายหอคอยมานาทั้งสี่แห่งได้ในระยะเวลาสั้นๆ


“ใช่แล้ว ฉันจะทำลายพวกมันเอง ….” ซือเฟิงกล่าวอย่างจริงจังพลางพยักหน้า


“เอาล่ะ ถ้าคุณอยากจะลองก็เอาตามนั้น หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ….” คริมสันสตาร์ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อสัมผัสได้ถึงความจริงจังของซือเฟิง


ในตอนนี้เธอไม่ได้มีความหวังที่จะประสบความสำเร็จในเรื่องนี้อีกต่อไป แต่สำหรับเธอการยอมให้สมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ดตายสักครั้งเพื่อให้ได้กระชับความสัมพันธ์กับสภาสิบแปดปีกก็นับเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากไม่นับการฟื้นคืนชีพที่ต้องใช้เวลานาน โทษจากการตายในดินแดนลับโบราณมันมีน้อยมากจริงๆ


หลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ และเข้าประจำตำแหน่งของตัวเองทันที โดยพวกเขานั้นล้วนเว้นระยะห่างออกมาจากผลของหอคอยมานา และเมื่อได้รับคำสั่ง พวกเขาก็จะพร้อมดำเนินการตามแผนของซือเฟิงทันที


“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ทุกอย่างพร้อมแล้ว !!! คุณสามารถจะเริ่มได้ทุกเมื่อเลย !!!”

คริมสันสตาร์รายงานต่อซือเฟิง เมื่อเห็นว่าทุกคนเข้าประจำตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว


“ดี !! งั้นฉันจะเริ่มเลย !!!”


หลังจากพูดจบ ซือเฟิงก็ชัก Abyssal Blade ออกจากฝัก และเปิดใช้งานวิญญาณมังกรดำทันที


ตอนที่ 2639 ความเป็นไปได้ของราชันมังกรดำ


เมื่อซือเฟิงชัก Abyssal Blade ออกจากฝักและเปิดใช้งานวิญญาณมังกรดำ Abyssal Blade ก็แปรเปลี่ยนเป็นเมฆสีดำและเข้าห่อหุ้มซือเฟิงไว้ทันที ก่อนที่มันจะขยายออกไปปกคลุมรัศมีหกสิบหลารอบตัวเขา


ก่อนที่ใครจะทันได้ตอบสนองต่อพัฒนาการอันแปลกประหลาดนี้ได้ เสียงคำรามของมังกรก็ดังออกมาจากเมฆสีดำ ในช่วงเวลาต่อมา มังกรดำที่มีความสูงสามสิบเมตรก็กระโดดออกมาจากเมฆสีดำ และแผ่ออร่าแห่งการทำลายล้างออกมาปกคลุมทุกคน


“มังกร ?”


คริมสันสตาร์และไวน์ไฟเตอร์อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าสายตาของพวกเขามองอะไรผิดพลาดไปรึปล่าวเมื่อพวกเขาได้เห็นมังกรดำปรากฎขึ้นตรงหน้าพวกเขา


เผ่ามังกรนั้นเป็นหนึ่งในเผ่าชั้นสูงที่สุดใน God domain แถมมังกรก็ยังเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและการทำลายล้าง ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่มันปรากฎตัวขึ้นในทวีปหลักของ God domain มันก็จะก่อให้เกิดความวุ่นวายอย่างมากตามมา


อย่างไรก็ตามตอนนี้ซือเฟิงกับกลายร่างเป็นมังกรแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นทั้งในแง่ของรูปลักษณ์และชนชั้นสิ่งมีชีวิต เขาก็ดูเหมือนกับมังกรอย่างแท้จริงเลย


โชคร้ายเพียงอย่างเดียวก็คือมังกรที่ซือเฟิงกลายร่างมาเป็นนั้น เป็นเพียงมังกรขั้นสาม แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังคงมีความสามารถที่น่าประหลาดใจ เพราะท้ายที่สุดแล้วค่าสถานะของมังกรนั้นมันจัดว่าเหนือกว่าพวกที่อยู่ในขั้นและเลเวลเดียวกันมาก


อย่างไรก็ตามในขณะที่สมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ด และหอการค้าอาซูต่างก็ตกตะลึงกับเรื่องนี้ พวกเขาก็หายจากอาการตกตะลึงทันที เมื่อได้รับคำสั่งจากอควาโรสให้พุ่งเข้าไปที่แท่นบูชาพร้อมกับสมาชิกสภาสิบแปดปีก


ซึ่งทันทีที่ทุกคนเข้าสู่ระยะของหอคอยมานา มอนสเตอร์ของการทดสอบก็ตรวจพบพวกเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปใกล้แท่นบูชาได้ในระยะสามร้อยหลาด้วยซ้ำ โดยมอนสเตอร์หลายพันตัวก็ได้เคลื่อนที่เข้าประจำตำแหน่งของตัวเอง ในขณะที่อีกห้าร้อยตัวนั้นนั้นก็ได้ไปยืนคุ้มกันอยู่บริเวณด้านล่างของบันไดลแท่นบูชาอย่างหนาแน่น ขณะที่มอนสเตอร์ที่เหลือก็จัดรูปแบบเป็นกองทัพ และได้เตรียมธนูสำหรับโจมตีระยะไกลไว้เล็งยิงผู้บุกรุกแล้ว ซึ่งตราบใดที่ผู้บุกรุกเข้ามาในระยะโจมตีของธนู พวกมันก็จะเริ่มโจมตีทันทีแน่นอน


ขณะเดียวกันหอคอยมานาทั้งสี่แห่งก็เริ่มปล่อยลำแสงเข้าใส่ทั้งทีม


ตู้ม … ตู้ม … ตู้ม …


ซึ่งลำแสงพวกนี้นั้นก็ทำให้สิ่งที่โดนพวกโจมตีเข้าไปนั้นระเหยกลายเป็นไอทั้งหมด


โชคดีที่สมาชิกทุกคนในทีมนั้นกระจายตัวกันออกไปทั้งหมด นอกจากนี้ปืนใหญ่ของหอคอยมานาก็ยังไม่ได้เป็นการโจมตีแบบ AOE ที่มีขนาดใหญ่มาก ด้วยเหตุนี้นอกเหนือจากผู้เล่นที่โชคร้ายบางคนที่ในตำแหน่งที่ไม่ดี คนอื่นๆก็สามารถจะเอาตัวรอดจากการโจมตีของลำแสงนี้ได้ทั้งหมด แต่ถึงกระนั้นทีมก็ยังคงสูญเสียผู้เล่นไปมากกว่าหนึ่งโหลจากการโจมตีระลอกแรก


เมื่อเห็นสิ่งนี้สมาชิกในทีมหลายคนก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ และเต็มไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


พวกเขายังไม่ได้เริ่มการต่อสู้ด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็สูญเสียผู้เล่นไปมากกว่าสิบคนแล้ว ในอัตรานี้พวกเขามีโอกาสสูงมากที่จะถูกทำลายล้างลงอย่างรวดเร็วก่อนจะฆ่ามอน

สเตอร์ในการทดสอบทั้งหมดได้


อย่างไรก็ตามในขณะที่ตอนนี้บรรยากาศในทีมกำลังเต็มไปด้วยความหนักอึ้งและอึดอัด ทันใดนั้นมันก็มีร่างสีดำบินพุ่งผ่านศรีษะของพวกเขาไป และเข้าไปใกล้ระยะหนึ่งร้อยหลาของหอคอยมานาแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว


เมื่อเห็นร่างนี้ทุกคนก็ผ่อนคลานลงเล็กน้อย และถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกในระดับหนึ่ง


เมื่อซือเฟิงมาถึงในระยะหนึ่งร้อยหลาห่างจากหอคอยมานาแห่งแรก ลิชโบราณที่นั่งอยู่ด้านบนสุดของแท่นบูชาก็ลืมตาขึ้น และทันใดนั้นดวงตากลวงสีแดงเลือดของมันก็ล๊อคเป้ามาที่ซือเฟิงทันที จากนั้นลิชก็ยื่นมือของมันชี้ไปที่มังกรดำ และเริ่มร่ายเวทย์


ไม่ถึงหนึ่งวินาทีต่อมา วงเวทย์ขนาดใหญ่สองวงก็ปรากฎขึ้นใต้เท้าของลิช


“การร่ายเวทย์อย่างรวดเร็ว ?” ใบหน้าของคริมสันสตาร์มืดมนลง เมื่อเธอได้เห็นการร่ายเวทย์ของโซล๊อค


เดิมทีโซล๊อคก็จัดว่ามี HP ที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อแล้วสำหรับลิชโบราณ แต่ตอนนี้มันยังมีความสามารถในการร่ายเวทย์อย่างรวดเร็วด้วย ยิ่งไปกว่านั้นต้องบอกเลยว่าความเร็วในการร่ายของมันก็จัดว่ารวดเร็วและน่ากลัวมากๆ ซึ่งเวทย์ขั้นสี่นั้นโดยปกติจะต้องใช้เวลาในการร่ายราวสี่ถึงห้าวินาที แต่นี่ลิชตัวนี้กับทำได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที ความเร็วในการร่ายของมันน่ากลัวมากจริงๆ


ทันใดนั้นวงเวทย์ขนาดใหญ่สองวงนี้ก็กลายเป็นดาบน้ำแข็งหลายร้อยเล่มก่อตัวขึ้นรอบๆโซล๊อค โดยดาบน้ำแข็งนี้ก็ทำให้เกิดรอยแยกมิติ และรอยฉีกขาดเชิงพื้นที่ได้เลย ขณะที่มันพุ่งเข้าใส่ซือเฟิง


เวทย์ขั้นสี่ Frost Dance!


ดาบน้ำแข็งนี่ไม่เพียงแต่จะมีพลังในการโจมตีเหนือกว่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย ขั้นสี่ทั่วไปมาก แต่พวกมันยังทำให้พื้นที่โดยรอบของพวกมันแข็งด้วยในทุกที่ที่เคลื่อนผ่าน ซึ่งในขณะที่ดาบพวกนี้พุ่งเข้าโจมตีซือเฟิง มันก็ได้เลี่ยนสภาพแวดล้อมโดยรอบให้กลายเป็นโลกแห่งน้ำแข็งเลย


เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะกังวล


การหลบหลีกการโจมตีนี้ของโซล๊อคนั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย และหากซือเฟิงไม่สามารถรับมือกับการโจมตีนี้ของลิชโบราณได้ เขาก็จะหมดโอกาสในการเข้าใกล้หอคอยมานาด้วย


ในระหว่างที่ดาบน้ำแข็งหลายร้อยเล่มกำลังจะกลืนกินซือเฟิง เขาก็ยื่นกรงเล็บออกไปกวาดรอบพื้นที่ว่างตรงหน้าของเขา และทันใดนั้นกรงเล็บขนาดมหึมาก็ปรากฎขึ้นกลางอากาศทันที


เทคนิคมานาการทำลายล้างศักสิทธิ์ ไลท์ชาโด้ว !!!


ในช่วงเวลาต่อมากรงเล็บขนาดมหึมานี้ก็ฉีกผ่านดาบน้ำแข็งทั้งหมด และเปลี่ยนพื้นที่ตรงหน้าของซือเฟิงให้กลายเป็นสีดำสนิททันที โดยการโจมตีนี้ของซือเฟิงมันทำให้ดาบน้ำแข็งหลายร้อยเล่มหายไปในทันที ราวกับว่าไม่เคยมีอยู่มาก่อน

“เขาป้องกันมันได้ …”


“นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมงั้นหรอ ?!…”


ทุกคนในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึง เมื่อพวกเขาได้เห็นฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้าของพวกเขา


นั่นคือดาบน้ำแข็งหลายร้อยเล่มที่พวกเขากำลังพูดถึง !!!


ซึ่งดาบน้ำแข็งทุกเล่มก็ล้วนมีพลังมากกว่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย ขั้นสี่โดยทั่วไป โดยการต่อสู้กับลิชโบราณนี้มันก็เหมือนกับการต่อสู้กับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย หลายร้อยตัว แต่ซือเฟิงกับทำให้ดาบน้ำแข็งทั้งหมดหายไปด้วยการโจมตีเดียว


อย่างไรก็ตามก่อนที่ทุกคนจะทันได้หายตกตะลึงและงุนงง ซือเฟิงก็บินเข้ามาถึงหอคอยมานาที่ใกล้ที่สุดแล้ว จากนั้นเขาก็ใช้กรงเล็บเข้าโจมตีหอคอยสูงหกสิบเมตรทันที


ตู้ม !


พร้อมกับที่มีเสียงระบเิดเกิดขึ้นดังสนั่น หอคอยมานานั้นก็เริ่มสั่นสะเทือนทันที และค่าความทนทานของหอคอยที่แต่เดิมมีห้าพันแต้ม ก็ลดลงไปมากกว่าสองร้อยแต้มทันที


คริมสันสตาร์และคนอื่นๆที่ต่างทำหน้าที่ของตัวเองและกำลังพุ่งเข้าหาแท่นบูชานั้น ดวงตาแทบจะถลนออกจากเบ้า เมื่อได้เห็นสิ่งนี้


ความสามารถในการป้องกันของหอคอยมานานั้นอยู่ในมาตราฐานของขั้นสี่ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการโจมตีที่ไม่ได้มีพลังเท่ากับขั้นสี่จะไม่สามารถทำอะไรต่อหอคอยมานาได้เลย และแม้ว่าการโจมตีขั้นสามอาจจะสร้างความเสียหายได้บ้าง แต่มันก็จะลดค่าความทนทานของหอคอยมานาลงไปแค่ราวยี่สิบแต้มเท่านั้น


อย่างไรก็ตามตอนนี้ซือเฟิงกับลดค่าความทนทานของหอคอยมานาลงไปได้มากกว่าสองร้อยแต้มในการโจมตีเดียว พลังที่เขาแสดงออกมานั้นมันจัดว่าน่าประหลาดใจมากจริงๆ


ในขณะนี้นับประสาอะไรกับคริมสันสตาร์และคนอื่นๆ แม้แต่ตัวซือเฟิงก็ยังประหลาดใจกับสถานการณ์นี้


นี่การกลายเป็นราชันมังกรดำช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้ฉันได้ขนาดนี้เลยงั้นหรอ ?


เมื่อซือเฟิงเห็นว่าค่าความทนทานของหอคอยมานานั้นลดลงไป และไม่ฟื้นกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาก็แน่ใจเลยว่าการโจมตีเมื่อครู่ของเขานั้นอยู่ในมาตราฐานของขั้นสี่จริงๆ


ก่อนที่เขาจะกลายร่างเป็นราชันมังกรดำ ค่าสถานะพื้นฐานของเขานั้นมันทำให้เขาแสดงพลังได้แค่ในขั้นพื้นฐานของขั้นสี่เท่านั้น อย่างไรก็ตามการจะยกระดับพลังให้เพิ่มขึ้นได้หลังจากพลังมาถึงขั้นสี่แล้วมันก็ยากมาก และมันก็มีเพียงแต่การต้องแสดงพลังออกมาให้มากเท่ากับมอนสเตอร์ระดับผู้อาวุโสเทพนิยายเท่านั้น จึงจะเรียกว่าพลังของตัวเองอยู่ในขั้นสูงของขั้นสี่


กล่าวอีกนัยหนึ่งคือในตอนนี้ แม้ว่าซือเฟิงจะไม่ได้ใช้เทคนิคใดๆ แต่การโจมตีของเขาก็สามารถจะเทียบกับมอนสเตอร์ระดับผู้อาวุโสเทพนิยายที่อ่อนแอได้แล้ว


อย่างไรก็ตามแม้จะได้รู้เรื่องอันน่าอัศจรรย์นี้ แต่ซือเฟิงก็รีบฟื้นคืนสติจากอาการตกตะลึงอย่างรวดเร็ว และหันกลับมาเร่งโจมตีหอคอยมานาตรงหน้าของเขาอีกครั้ง


-224!


-219!


-222!


เมื่อซือเฟิงใช้กรงเล็บระดมโจมตีไปเรื่อยๆ ค่าความทนทานของหอคอยมานาที่เป็นเป้าหมายของเขามันก็ลดลงอย่างรวดเร็ว และในเวลาไม่นา หอคอยมานาก็ได้สูญเสียค่าความทนทานไปมากกว่าหนึ่งในห้าจากทั้งหมดแล้ว ซึ่งความเร็วของซือเฟิงในการลดค่าความทนทานของหอคอยมานานี้ทำให้คริมสันสตาร์และคนอื่นๆรู้สึกเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นมาก


อย่างไรก็ตามในเวลานี้ทั้งหอคอยมานา และลิชโบราณก็ได้เปิดการโจมตีเข้าใส่ซือเฟิงเช่นกัน

ซึ่งหอคอยมานาทั้งสี่ได้ยิงลำแสงเข้าใส่ซือเฟิงทันที ส่วนลิชโบราณนั้นก็ใช้ทั้งโดเมน และเวทย์ดาบมากกว่าโหลโจมตีเข้าใส่ซือเฟิง


ซึ่งทุกการโจมตีที่โจมตีเข้าใส่ซือเฟิงนั้นล้วนมีพลังของมอนสเตอร์ระดับผู้อาวุโสเทพนิยาย ดังนั้นซือเฟิงจึงไม่กล้าที่จะประมาทใดๆ เขาใช้ไลท์ชาโด้วปกป้องตัวเขาเองก่อน ก่อนที่เขาจะหันมาถล่มหอคอยมานาตรงหน้าเขาต่อ


อย่างไรก็ตามการใช้ไลท์ชาโด้วมันก็ได้สร้างภาระอย่างใหญ่หลวงให้กับค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของซือเฟิง และแม้หลังจากที่เขากลายร่างเป็นราชันมังกรดำ และมีร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นมาก แต่การผลาญค่าความแข็งแกร่งของเขา เมื่อเขาใช้งานไลท์ชาโด้ว มันก็ยังแทบจะไม่ลดลงเลย


เมื่อซือเฟิงทำลายหอคอยมานาแห่งที่สองไปเรียบร้อย เขาก็ไม่กล้าที่จะใช้ไลท์ชาโด้วในการป้องกันตัวเองอีก โดยเขาได้เลือกจะใช้วงโคจรดาบแทน


อย่างไรก็ตามเนื่องจากวงโคจรดาบนั้นทรงพลังน้อยกว่าไลท์ชาโด้วมาก เมื่อทำการใช้มันป้องกันตัวเอง เขาจึงสูญเสีย HP ไปอย่างต่อเนื่อง แถมการเข้าใกล้และโจมตีหอคอยมานาที่เหลือก็ยังทำได้ยากขึ้นด้วย


เมื่อซือเฟิงทำลายหอคอยมานาแห่งที่สามได้ HP ของเขาก็มีเหลืออยู่หกสิบสี่เปอเซ็นต์แล้ว ซึ่งเมื่อมาถึงจุดนี้ โซล๊อคก็ยิ่งเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น และเมื่อซือเฟิงเริ่มโจมตีหอคอยมานาแห่งที่สี่ ลิชโบราณตัวนี้ก็ร่ายเวทย์ด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเดิมถึงสองเท่า และปล่อยเวทย์ขั้นสี่ออกมา ราวกับมันเป็นเพียงเวทย์ขั้นศูนย์ที่ใช้ง่ายๆเลย


เมื่อ HP ของซือเฟิงลดลงเหลือยี่สิบสี่เปอเซ็นต์ เขาก็สามารถที่จะทำลายหอคอยมานาแห่งที่สี่ลงได้ และในเวลาเดียวกันเมื่อเป็นแบบนี้ การปราบปรามที่คนในทีมของเขาโดนนั้นก็หายไป ทำให้ทุกคนสามารถกลับมาใช้สกิลและเวทย์กันได้อีกครั้ง


โซล๊อคนั้นเต็มไปด้วยความโกรธมากขึ้น เมื่อเห็นหอคอยมานาแห่งที่สี่ถูกทำลายลง


“ไอ้มังกรเวร !!! ตายซะ !!!” โซล๊อคตะโกนออกมา ขณะที่จ้องมองไปยังซือเฟิง


ซึ่งพื้นที่รอบๆบริเวณที่ซือเฟิงอยู่นั้นมันก็มืดลงทันที และมันก็มีวงเวทย์ขาดมหึมาที่ซ้อนทับกันสามชั้นปรากฎขึ้นเหนือหัวของเขา

“คำสาปขั้นสี่ ?” ใบหน้าของซือเฟิงมืดมนลง เมื่อเขาเห็นวงเวทย์ขนาดมหึมา


ในขณะที่ซือเฟิงกำลังจ้องมองไปยังมันด้วยความตกตะลึง เปลวไฟแห่งการทำลายล้างก็พุ่งออกมาจากวงเวทย์ขนาดมหึมานี้ที่ปกคลุมรัศมีห้าร้อยหลา และมันก็กินระยะล้อมรอบแท่นบูชาทั้งหมด


คำสาปขั้นสี่ ดอกบัวแห่งการทำลายล้าง !!!


ใบหน้าของคริมสันสตาร์และคนอื่นๆมืดมนลงทันที เมื่อได้เห็นสิ่งนี้


“ป่นปี้ไป !!!”


ซือเฟิงไม่กล้าที่จะปกปิดอะไรใดๆอีกแล้ว เขาได้รีบใช้สกิลที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา อย่างลมหายใจมังกรทันที !!


ตอนที่ 2640 ปราบปรามลิชโบราณ


ลมหายใจมังกร !!!


เครื่องหมายการค้าของเผ่ามังกรอย่างลมหายใจมังกรนั้นมันทำให้มังกรสามารถจะรวบรวมพลังทั้งหมดไปไว้ในจุดเดียว และขับเคลื่อนมันได้ ซึ่งการโจมตีที่เกิดขึ้นจะมีพลังมากเกินกว่าที่มีงกรจะสามารถแสดงออกมาได้ตามปกติ ลมหายใจมังกรนั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้มังกรถูกระบุว่าแทบจะเป็นอมตะในหมู่ขั้นเดียวกัน และลมหายใจมังกรขั้นห้านั้นก็สามารถจะทำลายเมืองทั้งเมืองได้เลย พลังทำลายล้างของลมหายใจมังกรนั้นมีมากกว่าสกิลต้องห้ามหรือคำสาปในขั้นเดียวกันมาก


หลังจากที่ซือเฟิงทำการใช้ลมหายใจมังกรไป ลำแสงสีขาวก็พุ่งออกจากปากเขาในร่างมังกรไปปะทะเข้ากับคำสาปขั้นสี่อย่างดอกบัวแห่งการทำลายล้าง


ตู้ม … ตู้ม … ตู้ม …


เมื่อการโจมตีของทั้งสองปะทะกัน พื้นที่รอบๆจุดปะทะนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ และมันก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าสีดำสนิท คลื่นกระแทกอันทรงพลังที่เกิดจากผลของการปะทะกันนั้นมันชัดเจน แม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปกว่าหนึ่งพันหลา


เมื่อการปะทะจบลง ทุกคนต่างก็ตกตะลึงกับผลลัพธ์นี้


“อะไรกัน ?! เขาสามารถป้องกันมันได้งั้นหรอ ?!”


“นั่นคือคำสาปขั้นสี่เลยนะที่เรากำลังเราพูดถึง !! แม้แต่มังกรขั้นสามที่แท้จริงก็ไม่น่าจะสามารถหยุดมันได้ !! แล้วเขาทำได้ยังไงกัน ?!”


คริมสันสตาร์และผู้เล่นนักเวทย์คนอื่นๆในทีมนั้นรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังฝันไป เมื่อพวกเขาเห็นซือเฟิงรับมือกับคำสาปขั้นสี่และทำให้มันหายไปได้


คำสาปขั้นสี่ที่โซล๊อคใช้เมื่อครู่นั้นมันเทียบได้กับเวทย์ขั้นห้าเลย ในขณะเดียวกันเวทย์ขั้นห้านั้นก็มีพลังมากพอที่จะทำลายวงเวทย์และบาเรียป้องกันของเมืองขนาดใหญ่ของ NPC ได้สบายๆ นี่ก็ไม่ต้องพูดถึงกับการทำลายล้างทีมผู้เชี่ยวชาญขั้นสามสองร้อยคนเลย ….


เมื่อพวกเขาเห็นโซล๊อคร่ายคำสาปขั้นสี่ พวกเขาก็คิดว่าการต่อสู้นั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว และพวกเขาจะต้องตายแน่นอน ไม่มีใครคิดเลยว่าซือเฟิงจะสามารถหยุดการโจมตีที่น่ากลัวนี้ได้ และทำให้ทุกคนยังรอดชีวิตอยู่ ความสามารถและพลังของเขานั้นมันช่างเหนือมนุษย์อย่างแท้จริง


ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันสามารถป้องกันมันได้ !!! ไม่งั้นเมื่อครู่ทั้งทีมได้ถูกทำลายล้างจริงๆแน่นอน ซือเฟิงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อเขาเห็นว่าคำสาปขั้นสี่ได้หายไปแล้ว


หากไม่ใช่เพราะว่าเขาได้ปรับปรุงความเข้าใจของตัวเองเกี่ยวกับขอบเขตที่แท้จริง และสามารถผสานรวมมันเข้ากับเทคนิคขั้นสูงได้ เขาก็คงจะไม่สามารถยกระดับพลังของลมหายใจมังกรได้ และมันก็จะทำให้ทั้งทีมถูกทำลายล้างลงแน่นอน


อย่างไรก็ตามก่อนที่ซือเฟิงและคนอื่นๆจะทันได้หายใจได้ทั่วท้อง โซล๊อคก็เริ่มร่ายเวทย์อีกครั้ง และวงเวทย์ขนาดมหึมาที่ซ้อนทับกันสามชั้นก็ปรากฎขึ้นมาอีก


“เป็นไปได้ยังไง ?!”


“นี่มันเรื่องโกหกใช่ไหม ?! มันยังใช้คำสาปขั้นสี่ได้อีกครั้งได้ยังไง ?!”


ใบหน้าของทุกคนนั้นซีดลงทันที เมื่อพวกเขาเห็นลิชโบราณกำลังจะใช้คำสาปขั้นสี่อีกครั้ง


บอสส่วนใหญ่ใน God domain นั้นจะมีการเคลื่อนไหวที่รุนแรงแบบ AOE ที่สามารถใช้ทำลายล้างทั้งทีมได้เพียงแค่การเคลื่อนไหวเดียว และเมื่อมันใช้มาแล้ว มันก็จะไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีกในช่วงระยะเวลาสั้นๆ อย่างไรก็ตามตอนนี้ลิชโบราณตรงหน้าพวกเขาพึ่งจะใช้คำสาปขั้นสี่ไป และมันก็กำลังจะใช้อีกครั้ง ซึ่งนี่มันได้ทำลายความเข้าใจที่ผ่านมาของพวกเขาเกี่ยวกับ God domain ไปทั้งหมดเลย


มันไม่ได้รอ แม้แต่ให้มานาโดยรอบฟื้นตัวเลยงั้นหรอ ?


ในขณะนี้นับประสาอะไรกับคนอื่นๆ แม้แต่ตัวซือเฟิงเองก็ยังประหลาดใจกับสถานการณ์นี้เช่นกัน


เขาไม่ได้แปลกใจเรื่องที่โซล๊อคจะสามารถใช้คำสาปขั้นสี่ได้อีกครั้ง เพราะท้ายที่สุดลิชโบราณนั้นเป็นบอสที่เน้นไปทางด้านเวทย์มนต์อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามโซล๊อคนั้นพึ่งจะใช้คำสาปขั้นสี่ไป ดังนั้นมานาโดยรอบบริเวณนี้มันจึงเบาบางมากๆ และถ้าโซล๊อคใช้คำสาปขั้นสี่ในตอนนี้ พลังของคำสาปก็จะอ่อนแอลงอย่างมาก โดยโซ

ล๊อคนั้นควรจะรอให้มานาโดยรอบฟื้นตัวซะก่อน ก่อนที่จะใช้คำสาปแบบนี้อีกครั้ง แต่มันกลับไม่ทำเช่นนั้น ซึ่งแม้แต่ซือเฟิงก็ยังอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับสถานการณ์ที่พัฒนาไปล่าสุดนี้


“มันจบแล้ว …. ความเร็วในการร่ายของมันเร็วเกินไป เราไม่มีเวลาแม้แต่จะใช้คำสาปขั้นสามเพื่อป้องกันตัวเองด้วยซ้ำ !!!” คริมสันสตาร์รู้สึกสิ้นหวัง เมื่อเธอเห็นวงเวทย์ขนาดมหึมาที่ซ้อนทับกันสามชั้นปรากฎขึ้นตรงหน้าเธออีกครั้ง เธอไม่คิดเลยว่าหลังจากที่ซือเฟิงทำลายหอคอยมานาทั้งสี่แห่งไปได้ และป้องกันคำสาปขั้นสี่ของลิชโบราณไว้ได้หนึ่งครั้ง สถานการณ์จะยังคงพัฒนามาถึงจุดนี้


แถมในตอนนี้ เมื่อซือเฟิงใช้ลมหายใจมังกรไปแล้ว มันจึงยังอยู่ในคูลดาวน์ และเขาจะไม่สามารถใช้มันได้อีกเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งแน่นอน นอกจากนี้เขาก็ยังอยู่ห่างจากโซล๊อคมากเกินไป และแม้ว่าเขาจะต้องการ แต่เขาก็ไม่สามารถจะขัดจังหวะการร่ายเวทย์ของโซล๊อคได้ ในขณะเดียวกันหากจะให้ใครบางคนใช้คำสาปขั้นสามเพื่อป้องกันทั้งทีม มันก็ต้องใช้เวลาก่อตัวขึ้นราวสามถึงสี่วินาที ซึ่งมันก็จะทำให้พวกเขาไม่มีเวลามากพอที่จะป้องกันการโจมตีครั้งที่สองจากโซล๊อคได้เลย


ในขณะที่โซล๊อคกำลังจะร่ายเวทย์บทสุดท้ายในคำสาปของมัน จู่ๆก็มีร่างหนึ่งปรากฎขึ้นต่อหน้าของโซล๊อค และร่างนั้นก็ใช้ดาบใหญ่ฟันลงไปที่มัน


ในช่วงเวลาต่อมา ทุกคนก็ต้องเต็มไปด้วยความตกตะลึง เมื่อเห็นดาบใหญ่ถูกฟันลงไปที่กระโหลกของโซล๊อค ซึ่งการโจมตีนี้ไม่เพียงแต่จะขัดขวางการร่ายเวทย์ของโซล๊อค แต่มันยังทำให้โซล๊อคได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจนถูกบังคับให้ต้องถอยออกไปอีกสองก้าวด้วย และความเสียหายมากกว่าสี่ล้านก็ปรากฎขึ้นเหนือหัวของบอส


“เสวี่ยเหวินโหรว ?!”


“นี่ความแข็งแกร่งของเธอสูงแค่ไหนกันเนี่ย ?!”


สมาชิกของหอการค้าอาซูและไวโอเล็ทซอร์ดนั้นต่างเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นถึงตัวตนของผู้ที่โจมตีลิชโบราณ พวกเขาไม่คิดเลยว่าสภาสิบแปดปีกจะมีผู้เชี่ยวชาญอีกคนที่สามารถจะต่อกรกับลิชโบราณได้


แม้ว่าลิชโบราณจะเป็นมอนสเตอร์ที่เน้นไปในด้านเวทย์มนต์ แต่ค่าสถานะพื้นฐานที่มันมีอยู่ก็ยังคงจัดว่าเหนือกว่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยายทั่วไป ซึ่งหากไม่มีความแข็งแกร่งที่มากกว่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยายทั่วไป การจะโจมตีลิชโบราณ และบังคับให้มันต้องถอยกลับไปแบบนี้จะเป็นไปไม่ได้เลยแม้แต่น้อย


ในขณะเดียวกันหลังจากเสวี่ยเหวินโหรวทำการขัดจังหวะโซล๊อคได้ ซือเฟิงก็รีบบินเข้าไปประชิดตัวลิชโบราณและเริ่มโจมตีมันทันที เขาไม่ไดให้โอกาสลิชโบราณในการร่ายคำสาปขั้นสี่อีกต่อไป


“ดี !! โอกาสมาถึงแล้ว !! ทุกคนบุกเข้าไป !!” ไวน์ไฟเตอร์ตะโกนอย่างตื่นเต้น เมื่อเขาเห็นลิชโบราณถูกตรึงไว้


ตอนนี้หอคอยมานาทั้งสี่แห่งนั้นก็ถูกทำลายลงไปแล้ว ดังนั้นตราบใดที่พวกเขาสามารถป้องกันไม่ให้ลิชโบราณใช้คำสาปขั้นสี่ได้อีก และต่อสู้ในระยะประชิดของมัน พวกเขาก็มีโอกาสที่จะได้รับชัยชนะ เพราะท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่บอสที่เน้นไปในด้านเวทย์มนต์กลัวมากที่สุดก็คือ การต่อสู้ระยะประชิด ดังนั้นตราบใดที่พวกเขาสามารถดึงโซล๊อคเข้ามาสู่การต่อสู้ระยะประชิดได้ ภัยคุกคามของมันก็จะลดลงไปเกือบครึ่งเลยทีเดียว


เมื่อเป็นดังนี้สมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ด และหอการค้าอาซูก็พุ่งเข้าใส่บอส ราวกับพึ่งได้รับพลังเสริมที่สดใหม่มา ….


โดยผู้ที่รับหน้าที่เป็นหัวหอกนั่นก็คือ ไวน์ไฟเตอร์ คริมสันสตาร์ ซินฟูลเฟรม ต้วนฮันซาน โซริทารี่ฟรอสต์ หยานเซี่ยวเฉียน และโฟลตติ้งไลท์ พวกเขานั้นทำการเจาะทะลุแนวป้องกันของมอนสเตอร์ที่อยู่รอบๆตัวลิชโบราณ เพื่อเปิดทางให้ทุกคนผ่านเข้าไปได้


อย่างไรก็ตามยิ่งทีมขึ้นไปบนแท่นบูชาสูงขึ้นเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งพบกับมอนสเตอร์ในการทดสอบมากขึ้นเท่านั้น เป็นผลให้การรุกของทีมค่อนๆช้าลง


“แม่งเอ้ย !!! มันมีพวกไทรออลขั้นสูงมาเกินไป !!! ในอัตรานี้เราจะถูกฆ่าก่อนที่เราจะได้มีโอกาสเข้าถึงตัวบอสด้วยซ้ำ !!!” โฟลตติ้งไลท์อดไม่ได้ที่จะก่นด่าสาปแช่งออกมา ในขณะที่เขากำลังรับมือกับไทรออลขั้นสูงที่เป็นแกรนลอร์ดสามตัวพร้อมกัน


ก่อนหน้านี้เขายังคงมีความเหนือกว่าคู่ต่อสู้ของเขา ในตอนที่เขารับมือกับไทรออลขั้นสูงสองตัวพร้อมกัน อย่างไรก็ตามตอนนี้ เมื่อพวกเขาก้าวขึ้นบันไดของแท่นบูชาไปสูงขึ้น จำนวนไทรออลขั้นสูงที่พวกเขาพบเจอมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้น โดยตอนนี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของไทรออลขั้นสูงพร้อมกันสามตัวนั้น เขาก็แทบจะไม่มีโอกาสตอบโต้เลย และเขาก็ทำได้แค่ป้องกันตัวเองเท่านั้น โดยที่ HP ของเขานั้นก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตอนนี้มันทำให้ต้องการ การสนับสนุนจากฮีลเลอร์แล้วเพื่อให้ตัวเองยังรอดชีวิตอยู่


ในขณะที่ทุกคนกำลังดิ้นรนและต่อสู้กับมอนสเตอร์ในการทดสอบนั้น HP ของพวกเขาก็ลดลงไปเรื่อยๆ ตอนนี้พวกเขาต้องพึ่งพาเหล่าฮีลเลอร์ของทีมอย่างสมบูรณ์เพื่อช่วยให้ HP ของพวกเขาอยู่ในระดับที่ปลอดภัย


“เราไม่สามารถจะลากการต่อสู้นี้ออกไปได้ !!! ไวโอเล็ตกับวอร์นเดอร์ทั้งสองคนไปเปิดเส้นทางเดี๋ยวนี้ !!! ส่วนคนอื่นๆให้ตามทั้งสองไปติดๆ !!! ฉันจะรั้งท้ายขบวนให้ !!!” อควาโรสออกคำสั่ง เมื่อเธอเห็นว่าทั้งทีมถูกล้อมไว้หมดแล้ว


“ตามสองคนนั้นงั้นหรอ ?”


สมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ดและหอการค้าอาซูในปัจจุบันนั้นสับสนกับคำสั่งของอควาโรสมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหยานเซี่ยวเฉียนที่แทบจะไม่เชื่อหูตัวเองเลย เมืออควาโรสออกคำสั่ง


หากไม่นับไวโอเล็ตคลาวด์ที่ตอนนี้สามารถจะรับมือกับไทรออลขั้นสูงสามตัวพร้อมกันได้สบายๆนั้น ด้านของไซเร้นวอร์นเดอร์เท่าที่เธอเห็นมันก็จัดว่าตึงมือมากๆในตอนที่ไซเร้นวอร์นเดอร์ต้องรับมือกับไทรออลขั้นสูงสามตัว ในความเป็นจริงต้องบอกว่าหยานเซี่ยวเฉียนนั้นทำได้ดีกว่าไซเร้นวอร์นเดอร์ด้วยซ้ำ แต่อควาโรสกับต้องการจะให้ไซเร้นวอร์นเดอร์เป็นผู้นำในการตีฝ่าลงล้อมเนี่ยนะ ?


อย่างไรก็ตามก่อนที่ใครจะสามารถคัดค้านคำสั่งแปลกๆของอควาโรสได้ ไวโอเล็ตคลาวด์และไซเร้นวอร์นเดอร์ต่างก็พยักหน้า และพุ่งเข้าหาฝูงมอนสเตอร์จำนวนมากทันที

“นี่พวกเขากำลังจะทำอะไรกัน ? พวกเขาไปอยู่นอกขอบเขตการดูแลของฮีลเลอร์แล้วนะ !!!” คริมสันสตาร์นั้นสงสัยว่าไวโอเล็ทคลาวด์และไซเร้นวอร์นเดอร์บ้าไปแล้ว เมื่อเธอเห็นทั้งสองพุ่งเข้าใส่ฝูงมอนสเตอร์ในการทดสอบ


แม้ว่าไวโอเล็ทคลาวด์และไซเร้นวอร์นเดอร์จะมีมาตราฐานการต่อสู้ที่ค่อนข้างสูง และมีพลังในการต่อสู้ที่ค่อนข้างพิเศษ แต่พวกเขาก็จะยังคงได้รับความเสียหายอย่างมาก หากพวกเขาต้องต่อสู้กับมอนสเตอร์ในการทดสอบมากเกินไปในคราวเดียว และหากพวกเขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากฮีลเลอร์ พวกเขาก็ไม่น่าจะสามารถทนได้นานนัก และแม้ว่าไวโอเล็ทคลาวด์จะเป็นเครอลิค แต่ตอนนี้เธอก็ต้องมุ่งเน้นไปที่การโจมตีและป้องกัน ดังนั้นเธอจึงจะไม่มีเวลามาร่ายเวทย์ฮีลตัวเองแน่นอน


อย่างไรก็ตามทันทีที่คริมสันสตาร์พูดจบ ดาบเวทย์มนต์ก็เริ่มปรากฎขึ้นรอบๆผู้หญิงทั้งสองคน


Void Blade!


Shadow Rage!


ทั้งสองได้เรียกดาบเวทย์มนต์รวมกันออกมามากกว่าสามร้อยเล่ม ยิ่งไปกว่านั้นดาบเวทย์มนต์ทุกเล่มยังมีพลังมหาศาลมากๆจนทำให้พื้นที่รอบตัวของพวกเขาสั่นสะท้าน ซึ่งพลังของดาบเวทย์มนต์ทุกเล่มนี้นั้นอยู่ในมาตราฐานของขั้นสี่แน่นอน


“ไป !!”


ไวโอเล็ตคลาวด์และไซเร้นวอร์นเดอร์ตะโกนพร้อมกันด้วยเสียงต่ำๆ และเปิดการโจมตีเข้าใส่ฝูงมอนสเตอร์ โดยทั้งสองสาวทำให้มอนสเตอร์ค่อยๆล้มลงไปทีละตัว และภายในเวลาไม่นาน มันก็ไม่มีมอนสเตอร์ตัวใดอยู่ในรัศมีสี่สิบหลารอบทั้งคู่เลย ยิ่งไปกว่านั้นมอนสเตอร์ตัวใดที่พยายามจะเข้ามาใกล้ในระยะนั้นก็จะถูกขับไล่ไปทันที


ตอนที่ 2641 พลังการต่อสู้ของสภาสิบแปดปีก


การปรากฎขึ้นอย่างกระทันหันของพื้นที่ว่างบนบันไดของแท่นบูชานั้น มันทำให้สมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ดและหอการค้าซูเงียบลงไปด้วยความตกตะลึงทันที


“นี่พวกเขายังปกปิดพลังส่วนหนึ่งของตัวเองไว้ตลอดเวลางั้นหรอ ?” หยานเซี่ยว

เฉียนอดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความสงสัย ขณะที่เธอจ้องมองไปยังไซเร้นวอร์นเดอร์


หลังจากปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว หยานเซี่ยวเฉียนก็คิดว่าเธอน่าจะตามไซเร้นวอร์นเดอร์ทัน หรือไม่ก็อาจจะเหนือกว่าไปแล้ว เพราะท้ายที่สุดในแง่ของมาตราฐานการต่อสู้นั้น ไซเร้นวอร์นเดอร์พึ่งจะเข้าสู่ขอบเขตอนันต์เมื่อไม่นานมานี้ ในขณะที่เธออยู่ห่างจากขอบเขตโดเมนเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น


อย่างไรก็ตามตอนนี้ …


“นี่สมาชิกสภาสิบแปดปีกทุกคนเป็นสัตว์ประหลาดกันหมดเลยรึไง ?!” ดวงตาของโฟลตติ้งไลท์เบิกกว้างด้วยความตกใจ ขณะที่เขามองไปยังไวโอเล็ตคลาวด์ และไซเร้นวอร์นเดอร์ที่กำลังทำการเปิดทางให้ทั้งทีม


แค่ต้องรับมือกับไทรออลขั้นสูงพร้อมกันสามตัว เขาก็มีปัญหามากแล้ว แต่ปัจจุบันไวโอเล็ตคลาวด์ และไซเร้นวอร์นเดอร์นั้นยังคงเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า แม้ว่าจะต้องต่อสู้กับนักรบไทรออล และไทรออลขั้นสูงหลายร้อยตัว มันไม่มีมอนสเตอร์ในการทดสอบตัวใดที่จะสามารถเข้าไปใกล้ทั้งสองในระยะสามสิบหลาได้เลย ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นมันไม่น่าเชื่อเลย


แม้แต่คริมสันสตาร์และไวน์ไฟเตอร์ก็ไม่สามารจะเทียบกับไวโอเล็ตคลาวด์และไซเร้นวอร์นเดอร์ได้ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือหญิงสาวทั้งสองนั้นอยู่ในระดับที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง


“ดี !!! ทุกคนรีบติดตามทั้งสองไปเรื่อยๆเลย !!!” อควาโรสรีบออกคำสั่งทันที โดยไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรกับความแข็งแกร่งที่ไวโอเล็ตคลาวด์ และไซเร้นวอร์นเดอร์ได้แสดงออกมา


เมื่อได้ยินคำสั่งของอควาโรส สมาชิกของหอการค้าอาซู และไวโอเล็ทซอร์ดนั้นก็ฟื้นคืนจากอาการตกตะลึงอย่างรวดเร็ว และรีบติดตามสมาชิกสภาสิบแปดปีกเข้าไปในระยะปลอดภัยสามสิบหลาที่ทั้งสองสาวสร้างขึ้น


ในช่วงเวลาหนึ่ง ทั้งทีมนั้นสามารถจะเข้าใกล้ลิชโบราณได้เรื่อยๆ เพราะท้ายที่สุดด้วยการประสานงานกันโจมตีของไวโอเล็ตคลาวด์กับไซเร้นวอร์นเดอร์นั้น มันทำให้มอนสเตอร์โดยรอบไม่สามารถเข้าใกล้ทั้งทีมได้เลย


“แน่นอนเลยว่าทั้งสองคนนั้นได้บรรลุมาตราฐานที่สูงมากของขอบเขตจิตวิญญาณแล้ว ดาบเวทย์มนต์ที่ทั้งสองใช้โจมตีทุกเล่มนั้นล้วนถูกผสมผสานเทคนิคการต่อสู้ไว้ทั้งหมด นี่มันราวกับว่าพวกเขาได้หลอมรวมเทคนิคการต่อสู้ขั้นพื้นฐานเข้ากับจิตวิญญาณของพวกเขาไว้แล้ว” ซินฟูลเฟรมพึมพำอย่างประหลาดใจ ในขณะที่เขามองไปยังดาบเวทย์มนต์ที่บินวนอยู่รอบๆทีม


“พวกเขาได้หลอมรวมเทคนิคการต่อสู้ขั้นพื้นฐานเข้ากับดาบเวทย์มนต์ของพวกเขาทุกเล่มงั้นหรอ ? มันเป็นไปได้ยังไงกัน ?” หยานเซี่ยวเฉียนอุทานออกมา เมื่อเธอได้ยินคำพูดของซินฟูลเฟรม


เพียงแค่ใช้เทคนิคการต่อสู้ตามปกติมันก็ยากมากแล้ว และการใช้เทคนิคการต่อสู้ติดต่อกันอย่างรวดเร็วนั้นก็ยากยิ่งกว่า นี่ไม่ต้องพูดถึงการใช้เทคนิคการต่อสู้หลายร้อยครั้งพร้อมกันเลย เพราะมันเป็นเรื่องที่น่ากลัว และบ้าเอามากๆ ….


“อย่างไรก็ตามเท่าที่ฉันเห็นก็คือ พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนในการทำแบบนั้น และในความเป็นจริงพวกเขาก็ทำมันได้อย่างเป็นธรรมชาติเหมือนกับการหายใจด้วย” ซินฟูลเฟรมกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น ขณะที่เขาตอบคำถาม และตอบสนองต่อความประหลาดใจของหยานเซี่ยวเฉียน “ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังไม่ใช่แค่สองคนจากสภาสิบแปดปีกที่ทำได้ ฉันนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าแบล๊คเฟรมนั้นจะสามารถรับมือกับมอนสเตอร์แบบนี้ได้จำนวนมากแค่ไหน ….”


ขณะที่ซินฟูลเฟรมและหยานเซี่ยวเฉียนกำลังพูดคุยกัน ทั้งทีมก็มาถึงในระยะห้าสิบหลาห่างจากลิชโบราณภายใต้การนำของไวโอเล็ตคลาวด์ และไซเร้นวอร์นเดอร์


อย่างไรก็ตามเมื่อทั้งทีมเข้าใกล้ลิชโบราณมาจนถึงระยะนี้ได้ ดาบเวทย์มนต์ที่ทั้งเรียกออกมานั้นก็ได้เริ่มโปร่งแสงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าระยะเวลาในการใช้งานสกิลนี้ของพวกเขาใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว และเมื่อเห็นแบบนี้ทุกคนในทีมก็อดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความกังวลใจเพิ่มขึ้น


แม้ว่าการเข้ามาใกล้บอสในการทดสอบได้จะเป็นสิ่งที่ดี แต่ตอนนี้จำนวนมอนสเตอร์ในการทดสอบที่อยู่รอบๆบอสนั้นมันก็เกินความคาดหมายของพวกเขาไปมาก ซึ่งหากพวกเขาสูญเสียการป้องกันจากดาบเวทย์มนต์เหล่านี้ไป พวกเขาก็จะไม่สามารถป้องกันมอนสเตอร์ในการทดสอบพวกนี้ได้แน่นอน


“ทุกคน ไปรวมตัวกันรอบๆบอส และโฟกัสไปที่การโจมตีมัน !!! ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ Summer กับฉันรั้งท้ายเอง !!!” อควาโรสตะโกนผ่านแชททีม เมื่อเธอเห็นว่าดาบเวทย์มนต์กำลังจะหายไป และเธอก็รีบวิ่งไปที่ด้านหลังสุดของทีมทันที


“นี่ …”


ทุกคนนั้นตกตะลึงกับคำพูดของอควาโรส


แม้ว่าบันไดแท่นบูชาจะมีความกว้างเพียงหกสิบหลา แต่ผู้เล่นนักเวทย์หลายร้อยคนก็ยังจะไม่สามารถปิดทางและหยุดการไหลบ่าเข้ามาของมอนสเตอร์พวกนี้ที่มีหลายพันตัวได้แน่นอน ไม่ต้องพูดถึงผู้เล่นนักเวทย์สองคนเลย ซึ่งหากพวกเขาไปทำแบบนี้ มันจะเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ


โดยปกติวิธีการทั่วไปที่ทีมผู้เชี่ยวชาญมักจะใช้ในสถานการณ์นี้ก็คือ การส่งผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดจำนวนหนึ่งไปหยุดมอนสเตอร์จำนวนมากไว้ สำหรับเรื่องผลลัพธ์นั้นมันก็ต้องวัดใจกันไปอีกทีหนึ่ง อย่างไรก็ตามตอนนี้อควาโรสกับคิดจะทำสิ่งนี้ด้วยผู้เชี่ยวชาญเพียงสองคน เธอต้องบ้าไปแล้วแน่นอน !!!


อย่างไรก็ตามก่อนที่คริมสันสตาร์ และไวน์ไฟเตอร์จะทันได้ตอบรับข้อเสนอของอควาโรส อควาโรสก็ได้เริ่มร่ายเวทย์ไปแล้ว โดยวงเวทย์สีน้ำเงินเข้มขนาดมหึมา ซึ่งทำมุมเล็งไปทางบันได้ก็ปรากฎขึ้นเหนือหัวของเธอทันที


และเมื่อเธอเคาะไม้เท้าของเธอลงกับพื้น กระแสน้ำก็ไหลทะลักออกมาจากวงเวทย์ และซัดลงจากบริเวณที่วงเวทย์อยู่เข้าท่วมและกวาดมอนสเตอร์ทั้งหมดกลับลงไปด้านล่างของบันไดทันที


หลังจากที่กระแสน้ำกวาดมอนสเตอร์ทั้งหมดให้กลับลงไปด้านล่างของบันไดแล้ว Alluring Summer ที่ยืนอยู่ข้างอควาโรสก็ได้ร่ายเวทย์ของเธอเสร็จสิ้น โดยมันก็มีบาเรียสายฟ้าปรากฎขึ้นบริเวณด้านบนของบันไดเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าถึง


อย่างไรก็ตามในขณะที่บาเรียไฟฟ้าหยุดการรุกคืบของมอนสเตอร์ในการทดสอบได้ แต่มันก็ไม่ได้ปิดกั้นการโจมตีของมอนสเตอร์ในการทดสอบที่กำลังเข้ามา ในช่วงเวลาหนึ่งมอนสเตอร์ในการทดสอบทุกตัวก็สามารถจะยิงธนูเข้าโจมตีอควาโรส และ Alluring Summer ได้


ทุกคนนั้นรู้สึกว่าขนหัวพวกเขานั้นลุกเลยทีเดียว เมื่อได้เห็นห่าฝนลูกธนูหลายพันดอกกำลังพุ่งเข้ามา อย่างไรก็ตามก็ราวกับว่าทั้งสองเป็นผีเสื้อที่สง่างาม อควาโรส และ Alluring Summer ก็ได้ทำการโบกคทาของเธอ และหยุดการโจมตีที่เข้ามาทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย โดยมันก็ไม่มีลูกธนูดอกใดเลยที่สามารถโจมตีโดนทั้งสองได้


“อึก !! นี่สภาสิบแปดปีกเป็นกิลแบบไหนกัน ?!”


โฟลตติ้งไลท์อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เมื่อเขาเห็นอควาโรส และ Alluring Summer หยุดการโจมตีของมอนสเตอร์ในการทดสอบหลายพันตัวได้


ในขณะนี้ไม่ต้องพูดถึงโฟลตติ้งไลท์เลย แม้แต่โซริทารี่ฟรอสต์ และหยานเซี่ยวเฉียนที่อยู่ฝึกร่วมกับสมาชิกสภาสิบแปดปีกมาระยะหนึ่งก็ยังตกตะลึงกับฉากนี้ พวกเขารู้สึกราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รู้จักสภาสิบแปดปีกอีกครั้ง


ทุกคน หยุดตกตะลึงกันได้แล้ว !!! เราต้องช่วยหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมจัดการกับบอสโดยเร็วที่สุดนะ !!!” คริมสันสตาร์กล่าวผ่านแชททีม หลังจากที่เธอหายจากอาการงุนงงและตกตะลึง


เมื่อได้ยินคำเตือนของคริมสันสตาร์ สมาชิกของไวโอเล็ตซอร์ด และหอการค้าอาซูก็ฟื้นตัวจากอาการตกตะลึงและงุนงงกันในทันที อันที่จริงตอนนี้มันไม่ใช่เวลาจะมาดูฉากที่อควาโรส และ Alluring Summer แสดงเลย การจัดการกับลิชโบราณซึ่งเป็นบอสในการทดสอบให้ได้นั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด


จากนั้นทุกคนในทีมก็พุ่งเข้าใส่ลิชโบราณทันที และพวกเขาก็เริ่มช่วยเหลือซือเฟิงกับเสวี่ยเหวินโหรวจัดการบอสในการทดสอบ

แม้ว่าโซล๊อคจะทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว บอสตัวนี้นั้นมันก็ยังเป็นบอสที่เน้นไปทางด้านสายเวทย์มนต์ และหลังจากที่ฝ่ายตรงข้ามของมันอยู่ในระยะประชิดของมันแล้วนั้น มันก็จะจัดว่าโชคดีมากแล้ว หากสามารถแสดงพลังในการต่อสู้ออกมาได้สักครึ่งหนึ่งจากปกติของมัน ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการก่อกวนอย่างต่อเนื่องของซือเฟิงและเสวี่ยเหวินโหรว มันก็ทำให้โซล๊อคนั้นไม่สามารถที่จะร่ายเวทย์ขั้นสี่แบบ AOE ได้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงคำสาปขั้นสี่เลย


HP ของลิชโบราณลดลงอย่างรวดเร็ว


แม้ว่าซือเฟิงจะกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์แล้ว แต่โซล๊อคก็ยังคงถูกลด HP ให้น้อยลงไปอย่างต่อเนื่อง และหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง HP ของลิชโบราณก็ลดลงเหลือยี่สิบเปอเซ็นต์แล้ว


“มนุษย์ที่น่ารังเกียจ !!! ฉันจะทำให้พวกแกต้องจ่ายอย่างสาสมที่กล้ามาขัดขวางการสังเวยเพื่อเทพปีศาจ !!!” โซล๊อคตะโกนลั่น


หลังจากนั้นปริมาณมานาที่น่าสะพรึงกลัวมันก็ระเบิดออกมาจากร่างของโซล๊อค ซึ่งมันก็ทำให้เกิดคลื่นกระแทกอย่างรุนแรงจนทำให้ทุกคนปลิวกระเด็นไปไกลกว่าสามสิบหลา


“ไม่ดีแล้ว !!! มันจะใช้สกิลตามธรรมชาติของลิช !!!” คริมสันสตาร์จ้องมองไปยังโซ

ล๊อคที่กำลังเข้าสู่สถานะบ้าคลั่งด้วยสีหน้ามืดมน “ทุกคนรีบถอยห่างออกจากบอสเร็วเข้า !!!”


ใน God domain ทุกเผ่านั้นล้วนมีสกิลที่ทรงพลังที่เป็นต้นกำเนิดจากเผ่าตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นลมหายใจมังกร ของเผ่ามังกร ขณะเดียวกันลิชนั้นก็มีสกิลโลกน้ำแข็งที่เป็นสกิลต้นกำเนิดจากเผ่าของตัวเอง ซึ่งสกิลนี้ไม่เพียงแต่จะทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ แต่มันยังไม่สามารถถูกขัดจังหวะได้อีกด้วย


ซึ่งตราบใดที่สกิลโลกน้ำแข็งถูกเปิดใช้งานนั้น ใครก็ตามที่อยู่ในระยะของสกิลที่ไม่มีค่าความต้านทานน้ำแข็งมากเพียงพอก็จะได้รับความเสียหายจากน้ำแข็งมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป แถมยังจะโดนดีบัฟลดความเร็วในการเคลื่อนที่ด้วย


โชคดีที่สกิลโลกน้ำแข็งนั้นเป็นเพียงสกิล AOE ขนาดเล็กที่มีรัศมีสี่สิบหลาเท่านั้น ซึ่งมัก็ทำให้ผู้เล่นระยะไกลนั้นสามารถจะโจมตีจากนอกเขตสกิลได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามการโจมตีระยะไกลเข้าใส่บอสที่เน้นไปทางด้านเวทย์มนต์นั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องดีมากนัก


“อย่าคิดว่ามันจะจบง่ายๆนะเว้ย !!!!” ซือเฟิงตะโกน ขณะที่เขาเปิดใช้งานสกิลโดเมนต้องห้ามของแหวนเจ็ดลูมินาลี่


ชั้นหมอกสีเทาเริ่มเข้าปกคลุมไปทั่วแท่นบูชา และมานาที่น่ากลัวที่อยู่รอบๆโซล๊อค

นั้นก็เริ่มกระจายตัวกันและหายไป เป็นผลให้ลิชโบราณไม่สามารถจะรวบรวมมานาได้เพียงพอที่จะเปิดใช้งานสกิลโลกน้ำแข็ง


ในท้ายที่สุดโซล๊อคนั้นไม่เพียงแต่จะไม่สามารถใช้สกิลได้เท่านั้น แต่มันยังอ่อนแอลงด้วย และด้วยการปราบปรามของโดเมนต้องห้าม ลิชโบราณตัวนี้ก็ร่ายได้แค่เวทย์ขั้นสามเท่านั้น ซึ่งสิ่งนี้มันลดความยากในการโจมตีของมันลงไปมากเลยทีเดียว


20%… 15%… 10%…


ในขณะเดียวกัน ขณะที่การต่อสู้ดำเนินต่อไปนั้น โซล๊อคก็เริ่มหมดหวังมากขึ้น และมันก็ได้เริ่มแลกพลังป้องกันพร้อมกับ HP ของมันเพื่อใช้เวทย์ขั้นสี่อย่างต่อเนื่องในการฆ่าผู้เล่น


เมื่อ HP ของลิชโบราณลดลงเหลือห้าเปอเซ็นต์ มันก็มีผู้เล่นน้อยกว่าหนึ่งร้อยคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่อย่างไรก็ตามโชคดีที่ค่าความเสียหายที่ทุกคนทำต่อลิชโบราณได้นั้นมันก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นลิชตัวนี้ยังคงผลาญ HP ของตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อใช้เวทย์ที่รุนแรง เป็นผลให้ HP ของมันลดลงอย่างรวดเร็ว


“เร็ว !!! โจมตีด้วยทุกอย่างที่มีเลย !!! บอสใกล้จะตายแล้ว !!!” คริมสันสตาร์ตะโกนอย่างกังวล เมื่อเธอเห็นว่ามีผู้เล่นในทีมเหลือน้อยกว่าเจ็ดสิบคน


ในขณะนี้เธอสามารถบอกได้เลยว่าอัตราการลดของ HP ของโซล๊อคนั้นมันช้าลงมาก และแม้ว่าลิชโบราณจะมี HP เหลือเพียงสามเปอเซ็นต์ แต่มันก็ยังคงมี HP มากกว่าหนึ่งร้อยล้าน และเพื่อให้เรื่องแย่ลง ตอนนี้เวทย์และสกิลทั้งหมดที่แข็งแกร่งที่สุดของทุกคนล้วนอยู่ในคูลดาวน์ ซึ่งพวกเขาก็ไม่เหลืออะไรที่จะใช้เพิ่มค่าความเสียหายได้เลย


2%…


1%…


เมื่อ HP ของโซล๊อคลดลงเหลือต่ำกว่าหนึ่งเปอเซ็นต์ ณ จุดนี้มันก็เหลือผู้เล่นที่ยังยืนหยัดอยู่ได้น้อยกว่ายี่สิบคนแล้ว ขณะเดียวันนอกจากโคล่า ตอนนี้ HP ของคนอื่นๆก็อยู่ในระดับวิกฤตแล้ว ตอนนี้ชีวิตของทุกคนกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายอย่างชัดเจน


ซือเฟิงได้ตัดสินใจที่จะระดมโจมตีต่อไปอีกสองถึงสามครั้ง ก่อนที่เขาจะยก Abyssal Blade ของเขาขึ้น


“ตายไปซะ !!!”


ดาบที่หนึ่ง ไลท์ชาโด้ว !!!


หนึ่งการโจมตี … สองการโจมตี … สามการโจมตี …


ทุกครั้งที่ซือเฟิงใช้ดาบที่หนึ่ง ไลท์ชาโด้ว เขาจะสามารถลด HP ของลิชโบราณได้มากกว่าสามล้านต่อการโจมตีหนึ่งครั้ง และท้ายที่สุดหลังจากซือเฟิงใช้เทคนิคมานาไปสามครั้งติดกัน ใบหน้าของเขาก็ซีดลงอย่างน่ากลัว


อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ยังทน และเลือกจะใช้ไลท์ชาโด้วต่อไป ….


ห้าการโจมตี …


หกการโจมตี …


เจ็ดการโจมตี …


ในที่สุดหลังจากซือเฟิงใช้ไลท์ชาโด้วต่อเนื่องเป็นครั้งที่แปด HP ของโซล๊อคก็ลดลงไปเหลือศูนย์ จากนั้นลิชโบราณก็ร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดออกมา ก่อนที่มันจะล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรง ….


ตอนที่ 2642 ไอเทมที่ดรอปจากลิชโบราณ


เมื่อลิชโบราณ ล้มลงกับพื้น แสงสีม่วงก็ห่อหุ้มร่างกายของผู้เล่นที่รอดชีวิต ซึ่ง EXP ที่พวกเขาได้รับจากลิชโบราณนั้นมันมากมายมหาศาลกว่ามอนสเตอร์ระดับผู้อาวุโสเทพนิยายทั่วไปมาก และมันก็ผลักดันให้ซือเฟิงมาถึงเลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบแล้ว


ในขณะที่ทุกคนกำลังมองดูแถบค่า EXP ของตัวเองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการตายของลิชโบราณ มานาจำนวนมหาศาลที่รวมตัวกันรอบแท่นบูชาก็ไม่มีอะไรที่ผูกมันไว้อีกต่อไป และมันก็เริ่มกระจายตัวออกไป ซึ่งมันก็ทำให้เหล่ามอนสเตอร์ในการทดสอบที่กำลังโจมตีอควาโรส และ Alluring Summer นั้นทรุดลงไปกับพื้นทีละตัว ราวกับพวกมันสูญเสียจิตวิญญาณไป


“เราชนะ ?”


ความรู้สึกของความสุขและความตื่นเต้นที่อธิบายไม่ได้เกิดขึ้นภายในใจของอควาโรส เมื่อเธอเห็นมอนสเตอร์ทั้งหมดในการทดสอบทรุดลง ในขณะเดียวกันความรู้สึกโล่งใจก็ค่อยๆเข้าปกคลุมจิตใจของเธอ แม้ว่า HP ของเธอ และ Alluring Summer แทบจะไม่ลดลงเลย แต่ค่าสตามิน่า และค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของพวกเธอก็อยู่ในระดับวิกฤตแล้ว ซึ่งหากการต่อสู้ดำเนินต่อไปอีกสักสองถึงสามนาที พวกเขาจะได้ตายจากความเหนื่อยล้า เพราะค่าสตามิน่าและค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจหมดลงแน่นอน


โชคดีที่ลิชโบราณนั้นตายลงก่อนที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น


ในขณะเดียวกันแม้ว่าซือเฟิงและคนอื่นๆจะรู้สึกมีความสุขที่สามารถฆ่าลิชโบราณได้ แต่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะนอนแผ่หราด้วยความเหนื่อยล้า เพราะทั้งค่าสตามิน่า และค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของพวกเขานั้นแทบจะไม่เหลือแล้ว


“การทดสอบโหมดฮีโร่ !!! เขาทำมันได้จริงๆ !!! เมื่อคนของไมโทโลจี้รู้เรื่องนี้ พวกเขาจะเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งแน่นอน !!!” คริมสันสตาร์จ้องมองไปที่ซือเฟิงที่นอนอยู่บนพื้นห่างออกไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน


ในตอนแรกนั้นทอร์เร้นมีจุดประสงค์ที่จะใช้การทดสอบโหมดฮีโร่ เป็นเหยื่อล่อเพื่อซื้อเวลาเท่านั้น ไม่มีใครจากไวโอเล็ทซอร์ดคาดว่าซือเฟิง และสภาสิบแปดปีกจะสามารถเคลียร์มันได้จริงๆ เพราะท้ายที่สุดแล้ว แม้แต่ไมโทโลจี้ที่ร่วมมือกับมหาอำนาจหลายกลุ่มจัดตั้งทีมจู่โจมขึ้นเพื่อเข้าไปเคลียร์การทดสอบในโหมดขั้นสูงก็ยังล้มเหลว


ในขณะที่กำลังต่อสู้กับลิชโบราณนั้น คริมสันสตาร์มองเห็นโอกาสถึงความเป็นไปได้ในชัยชนะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อบอสเริ่มเข้าสู่สถานะบ้าคลั่งนั้น เธอก็คิดว่ามันไม่น่าจะมีโอกาสเลยที่พวกเขาจะเอาชนะบอสได้


เพราะในตอนท้ายนั้นโซล๊อคเริ่มจะฆ่าผู้เล่นได้หลายคนในทุกการเคลื่อนไหว และหากเวลายังถูกยื้อออกไปอีกราวสิบวินาที พวกเขาก็จะถูกทำลายล้างแน่นอน ในขณะเดียวกันการพยายามจะสร้างความเสียหายให้ได้มากกว่าสี่สิบล้านภายในเวลาเพียงสิบวินาทีนั้น มันก็เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับทีมผู้เล่นที่เหลือน้อยกว่ายี่สิบคน


อย่างไรก็ตามในท้ายที่สุด ซือเฟิงก็ได้ทำทุกสิ่งที่ไปไกลเกินความคาดหมายของทุกคน ในช่วงสุดท้ายนั้นเขาสามารถสร้างความเสียหายได้จำนวนมหาศาลและน่ากลัวมากๆจนท้ายที่สุดพวกเขาก็ฆ่าลิชโบราณลงได้อย่างปาฎิหาริย์


“หัวหน้ากิล คุณโอเคไหม ?” ไฟเออร์แดนซ์ถามอย่างเป็นห่วง ขณะที่เธอเดินมาที่ด้านข้างของซือเฟิง


ในขณะที่ออร่าแห่งชีวิตที่ซือเฟิงแผ่ออกมานั้นมันอ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่าเขาจะยังคงมี HP ค่อนข้างมากก็ตาม และใบหน้าของเขาก็ดูซีดเซียวมากๆเช่นกัน เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องที่ค่าสตามิน่า และค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจหมดลง


“ฉันโอเคดี เพียงแต่ว่าฉันใช้ค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจทะลุขีดจำกัดไปน่ะ ดังนั้นแล้ว ฉันคงต้องใช้เวลาสักพักเพื่อฟื้นตัว” ซือเฟิงตอบด้วยรอยยิ้ม


เนื่องจากการใช้ไลท์ชาโด้วอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง มันจึงทำให้ค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขาหมดลง และเขาก็รู้สึกเหนื่อยล้ามากๆ ในความเป็นจริงพูดกันตรงๆ เขาจะต้องอยู่ในสถานะอ่อนแอแบบนี้เป็นเวลาพอสมควรเลย อย่างไรก็ตามมันก็มีผลดีตรงที่ว่าการทำแบบนี้มันช่วยให้เขาพัฒนาศักยภาพสมองขึ้นไปได้อีกขั้น


อย่างไรก็ตามการที่เขาจะพัฒนาศักยภาพสมองไปได้อย่างสมบูรณ์นั้น มันก็จะต้องใช้สิ่งอำนวยความสะดวกสนับสนุน และสารอาหารเหลวระดับสูงจำนวนมากด้วย ไม่งั้นเขาจะติดพันอยู่กับความเสียหายทางสมองบางส่วนแน่นอน


ในขณะที่ซือเฟิงและไฟเออร์แดนซ์กำลังพูดคุยกัน เสียงการแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นมาที่หูของทุกคน


….


ระบบ : ยินดีด้วย !! คุณได้ทำการทดสอบโหมดฮีโร่สำเร็จแล้ว !!! ระดับความสำเร็จในการทดสอบ : ระดับ S รางวัลคะแนนสะสมเมืองไลท์ฟอร์จห้าร้อยแต้ม และสถานะการเป็นพลเมืองถาวร


….


การแจ้งเตือนระบบดังขึ้นสามครั้งซ้อน ในขณะที่สมาชิกสภาสิบแปดปีก และหอการค้าอาซูไม่เข้าใจถึงความสำคัญของรางวัลนี้ แต่สมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ดนั้นกับเผยสีหน้าที่ดีใจมากๆออกมา


“ช่างเป็นรางวัลที่มากมายอย่างแท้จริง !!! จากการตรวจสอบเมืองไลท์ฟอร์จที่เราทำมา เราต้องทำเควสอย่างน้อยเจ็ดถึงแปดเควสในเมืองเลย ถึงจะได้รับคะแนนสะสมนึ่งร้อยแต้ม แต่ตอนนี้เรากับได้รับคะแนนสะสมมาห้าร้อยแต้ม ซึ่งด้วยคะแนนนี้เราจะสามารถซื้อหินเวทย์มนต์ขั้นสามได้โดยตรงเพื่อให้หินนี้ช่วยให้อัตราความสำเร็จในการใช้สกิลและเวทย์เราทะลุหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์” โฟลตติ้งไลท์อุทาน ในขณะที่เขาอ่านการแจ้งเตือนของระบบ เขาก็รู้สึกราวกับว่าเขากำลังฝันไป


แม้ว่าไวโอเล็ทซอร์ดและไมโทโลจี้จะยังไม่เคยเข้าสู่เมืองไลท์ฟอร์จของดินแดนลับโบราณมาก่อน แต่จากการวิจัยของพวกเขาเกี่ยวกับเมืองนี้นั้น พวกเขาก็รู้มาว่าการจะได้รับคะแนนสะสมในเมืองนี้มันยากมาก และโดยปกติการจะได้รับคะแนนสะสมก็ทำได้ผ่านวิธีเดียวคือการทำเควส อย่างไรก็ตามไม่เพียงแต่มันจะข้อจำกัดหลายอย่างในการรับเควสในเมือง แต่เควสในเมืองยังมีอย่างจำกัดด้วย


ในขณะเดียวกันคะแนนสะสมของเมืองไลท์ฟอร์จนั้นก็เป็นสกุลเงินเดียวที่ได้รับการยอมรับในเมืองนี้ โดยคะแนนสะสมเหล่านี้สามารถนำไปแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของที่มีประโยชน์ต่างๆได้ และในบรรดาไอเทมที่มีให้แลกเปลี่ยนในเมืองไลท์ฟอร์จ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของไวโอเล็ทซอร์ด และไมโทโลจี้มากที่สุดก็คือหินเวทย์มนต์


หินเวทย์มนต์นั้นเป็นไอเทมที่สามารถให้คำแนะนำแก่ผู้เล่นในการทำให้อัตราความสำเร็จในการใช้สกิลหรือเวทย์ของพวกเขาทะลุหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ได้ โดยหินเวทย์มนต์ขั้นสามนั้นสามารถให้คำแนะนำในเรื่องของสกิลและเวทย์ขั้นสามได้ ซึ่งมันเป็นสมบัติที่ผู้เล่นทุกคนในระยะนี้ของเกมล้วนใฝ่ฝันที่จะได้รับอย่างไม่ต้องสงสัย


เพราะท้ายที่สุดแล้วสกิลและเวทย์นั้นเป็นสิ่งที่ผู้เล่นจะต้องใช้ไปตลอดชีวิตในการเล่น God domain อย่างไรก็ตามการปรับปรุงอัตราความสำเร็จในการใช้สกิลและเวทย์ โดยเฉพาะสกิลและเวทย์ขั้นสามนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และเพียงแค่สามารถบรรลุอัตราความสำเร็จเก้าสิบเปอเซ็นต์ได้ มันก็จัดเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจแล้ว ในขณะเดียวกันการที่ใช้สกิลและเวทย์ขั้นสามในอัตราความสำเร็จหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ได้นั้น มันก็จะช่วยเพิ่มพลังในการต่อสู้ของผู้เล่นขึ้นอย่างมาก และหากใครสามารถจะทะลุหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ไปได้ พลังของพวกเขาก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก


ตอนนี้การทดสอบในโหมดฮีโร่นั้นได้มอบคะแนนสะสมเมืองไลท์ฟอร์จให้พวกเขาห้าร้อยแต้ม ซึ่งนั่นก็หมายความว่า มันจะทำให้พวกเขาแต่ละคนนั้นสามารถนำคะแนนไปแลกเปลี่ยนเป็นหินเวทย์มนต์ขั้นสามได้สามก้อน ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว มันก็ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นกับผลลัพธ์นี้มากๆ


ในขณะนี้นับประสาอะไรกับสมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ด แม้แต่ตัวของซือเฟิงเองก็ยังประหลาดใจกับรางวัล


รางวัลเป็นคะแนนสะสมห้าร้อยแต้มสำหรับทุกคนในทีม ? ครั้งนี้มันช่างเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าจริงๆ ซือเฟิงรู้สึกมีความสุขมากเช่นกัน เมื่อเขาได้เห็นคะแนนสะสมเมืองไลท์ฟอร์จที่ระบบมอบให้


คนอื่นอาจไม่รู้ว่าการมีคะแนนสะสมในเมืองไลท์ฟอร์จครบห้าร้อยแต้มเป็นอย่างไร แต่เขารู้ดี ….


ใน God domain ผู้เล่นที่มีคะแนนสะสมในเมืองโบราณแบบเมืองไลท์ฟอร์จครบห้าร้อยแต้มนั้นจะสามารถใช้มันปรับปรุงพลังการต่อสู้ของพวกเขาขึ้นได้อย่างมาก


นอกเหนือจากหินเวทย์มนต์ที่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปแล้ว โพชั่น Enchanted ขั้นพื้นฐานก็สามารถจะช่วยให้ผู้เล่นพัฒนาความแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว


เมื่อดื่มโพชั่น Enchanted ขั้นพื้นฐาน มันจะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมานาโดยรอบผู้เล่นให้สูงขึ้นเป็นเวลาหกชั่วโมง และหากผู้เล่นต้องต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่ทรงพลังหรือต่อสู้กับผู้เล่นระดับผู้เชี่ยวชาญในเวลานี้ พวกเขาก็จะได้รับการปรับปรุงอย่างมาก


ในอดีตเนื่องจากหินเวทย์มนต์ และโพชั่น Enchanted ขั้นพื้นฐาน มันจึงทำให้ไวโอเล็ทซอร์ดสามารถรับสมัครและเลี้ยงดูผู้เชี่ยวชาญขึ้นมาได้มากมาย และในเวลาเดียวกัน มันก็ทำให้ความแข็งแกร่งของกิลขึ้นไปเทียบเท่ากับซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดห้าอันดับแรกอย่างรวดเร็ว


ในขณะที่ซือเฟิงและคนอื่นๆกำลังชื่นชมยืนดีกับรางวัลที่ระบบมอบให้ ศพของลิชโบราณก็ระเบิดออก และกลายเป็นอนุภาคแสงจำนวนนับไม่ถ้วน ก่อนที่อนุภาคแสงพวกนี้จะแปรเปลี่ยนกลายเป็นบอลแสงนับร้อยลูกที่มีขนาดแตกต่างกัน และแผ่มานาที่หนาแน่นออกมาแตกต่างกัน


“นี่คือไอเทมที่ดรอปจากลิชโบราณงั้นหรอ ?”


ทุกคนอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เมื่อได้เห็นฉากนี้ ….


แม้ว่าทุกคนจะคิดไว้แล้วว่าไอเทมที่ดรอปจากลิชโบราณนั้นจะต้องไม่ธรรมดา แต่พวกเขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันจะมากมายขนาดนี้


ในตอนแรกพวกเขาคาดเดาว่า พวกเขาจะได้รับโทเค่นขุนนางมาประมาณสองโหลเท่านั้น อย่างไรก็ตามตอนนี้มันกับมีโทเค่นขุนนางมากว่าหกสิบชิ้นดรอปออกมา นี่ยังรวมไปถึงวัสดุระดับตำนานที่อ่อนแอมากกว่ายี่สิบชิ้น และวัสดุระดับตำนานอีกหกชิ้น


นอกเหนือจากโทเค่นและวัสดุแล้ว ลิชโบราณยังดรอปไอเทมระดับดาร์คโกลออกมาทั้งหมดสิบสี่ชิ้น และไอเทมระดับอีปิคสี่ชิ้น


ซึ่งในเวลานี้แม้แต่มหาอำนาจต่างๆนั้นก็ยังแทบจะไม่มีไอเทมระดับอีปิคเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยเลย อย่างไรก็ตามตอนนี้ลิชโบราณกับดรอปมันออกมาสี่ชิ้น ซึ่งนี่รวมไปถึงอาวุธระดับอีปิคด้วย


สมาชิกของหอการค้าอาซูนั้นอดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหล เมื่อได้เห็นไอเทมที่ลิชโบราณดรอปออกมา


นอกจากไอเทมระดับอีปิคสี่ชิ้นแล้ว แค่วัสดุระดับตำนานทั้งหมดที่ดรอปออกมา มันก็มากพอที่จะทำให้มหาอำนาจต่างๆอิจฉาแล้ว เพราะท้ายที่สุดแล้ววัสดุระดับตำนานนั้นสามารถจะนำไปใช้สร้างอาวุธและอุปกรณ์ระดับอีปิคแบบพิเศษที่เหมาะกับตัวผู้เล่นที่เป็นเจ้าของเองได้ นอกจากนี้อัตราความสำเร็จในการสร้างก็ยังจะมีค่อนข้างสูง


ด้วยวัสดุระดับตำนานหกชิ้นที่ดรอปออกมานั้น มันจะทำให้ผู้เล่นที่เป็นเจ้าของมันสามารถสร้างอุปกรณ์และอาวุธระดับอีปิคที่เหมาะและมีความเข้ากันได้สูงกับผู้เล่นที่เป็นเจ้าของออกมาได้อีกหกชิ้น


“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ตามข้อตกลงของเรา เชิญคุณเลือกไอเทมหนึ่งชิ้นที่คุณต้องการไปก่อนได้เลย …” คริมสันสตาร์กล่าวกับซือเฟิง หลังจากที่ตั้งสติได้


“งั้นฉันขอเลือกม้วนคัมภีร์ที่ขาดรุ่งริ่งนี้แล้วกัน …” ซือเฟิงกล่าวพลางชี้ไปยังม้วนคัมภีร์เป้าหมายของเขาที่แผ่มานาหนาแน่นออกมา และเป็นรองแค่อาวุธระดับอีปิคเท่านั้น


“หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม คุณแน่ใจงั้นหรอ ?” คริมสันสตาร์มองไปยังซือเฟิงอย่างสับสน เมื่อเธอได้เห็นไอเทมที่เขาเลือก


ในความคิดของเธอไอเทมที่ดีที่สุดที่ลิชโบราณดรอปออกมานั้น มันก็คือขวานระดับอีปิค เพราะท้ายที่สุดแล้วขวานนี้ไม่ได้เป็นเพียงอาวุธระดับอีปิคธรรมดาทั่วไป แต่มันเป็นแบบจำลองมาจากอาวุธระดับตำนาน และแม้มันจะเป็นเพียงอาวุธระดับอีปิค แต่หากผู้เล่นได้ติดตั้งและใช้มัน มันก็จะสามารถช่วยเพิ่มพลังในการต่อสู้ของผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดในปัจจุบันขึ้นอย่างน้อยสามสิบเปอเซ็นต์ ซึ่งมันก็จะช่วยได้มากเลย แม้แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตโดเมน


สำหรับม้วนคัมภีร์ที่ขาดรุ่งริ่งที่ซือเฟิงเลือกนั้น เธอก็ได้ใช้สกิลตรวจสอบประเมินมันแล้ว แม้ว่าม้วนคัมภีร์ที่ขาดรุ่งริ่งจะแผ่มานาอันทรงพลังและน่าดึงดูดเป็นพิเศษออกมา แต่มันก็เป็นเพียงม้วนคัมภีร์ระดับอีปิคที่เสียหาย และค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมมันเพียงอย่างเดียวนั้นก็จัดว่าสูงมากแล้ว นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าม้วนคัมภีร์นี้เป็ไอเทมสิ้นเปลืองที่ใช้แล้วหมดไป มันจะมาเปรียบเทียบกับอาวุธระดับอีปิคในแง่ของมูลค่าได้ยังไงกัน ?


“อืมมม ฉันเลือกอันนี้แหล่ะ …” ซือเฟิงกล่าวพยักหน้ายืนยัน


ในระยะนี้ของเกม นอกจากตัวเขาเองแล้ว มันไม่มีใครใน God domain ที่จะรู้ถึงมูลค่าของม้วนคัมภีร์ที่ขาดรุ่งริ่งนี้แน่นอน และม้วนคัมภีร์นี้ก็เป็นเหตุผลหลักที่เขาได้เลือกจะเสนอเงื่อนไขขอเลือกไอเทมชิ้นแรกที่ดรอปจากบอสในการทดสอบ


นี่เป็นเพราะม้วนคัมภีร์นี้ผู้เล่นจะได้รับหลังจากได้รับเฟิร์สเคลียร์ในการทดสอบเข้าสู่เมืองไลท์ฟอร์จเพียงครั้งเดียวเท่านั้น


ซึ่งมันคือม้วนคัมภีร์มรดก !!!


ม้วนคัมภีร์เวทย์มนต์นี้จะสามารถช่วยให้ผู้เล่นเทเลพอร์ตไปยังดินแดนมรดก ของเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ได้โดยตรง ซึ่งนี่มันจะช่วยประหยัดเวลาไปได้มาก นอกจากนี้มันยังสามารถจะใช้ต่อได้ในทันที โดยมันจะเทเลพอร์ตผู้เล่นไปยังดินแดนมรดกเดิมที่พวกเขาล้มเหลวในการทำเควสทันที หากผู้เล่นล้มเหลวในการท้าทายเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่แบบปกติ


เควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่นั้นแตกต่างจากเควสเลื่อนขั้นที่ผ่านมาอย่างมาก ซึ่งทุกครั้งที่ผู้เล่นทำการท้าทายเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่นั้น พวกเขาจะถูกส่งไปยังดินแดนมรดกที่พิเศษมากๆ และมันก็จะถูกส่งไปแบบสุ่มด้วย โดยถ้าทำเควสล้มเหลว และรอเวลาจนมาท้าทายเควสอีกครั้ง ดินแดนที่พวกเขาจะถูกส่งไปก็จะแตกต่างไปจากเดิม นี่คือสาเหตุที่ผู้เล่นส่วนใหญ่ในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิงนั้นไปไม่ถึงขั้นสี่ เพราะพวกเขาไม่ได้มีโอกาสเรียนรู้ใดๆเลยหากล้มเหลว แต่อย่างไรก็ตามการมีม้วนคัมภีร์นี้จะช่วยให้ผู้เล่นมีโอกาสประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นอย่างมาก


เพียงแต่ว่าม้วนคัมภีร์นี้ที่ดรอปจากลิชโบราณนั้นมันแตกต่างจากที่ซือเฟิงเคยได้ยินมาในชีวิตที่ผ่านมาของเขาก็ตรงที่ว่ามันเป็นระดับอีปิค ขณะที่ในชีวิตที่ผ่านมาของเขามันเป็นระดับดาร์คโกล


อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้มากนัก เขารีบเก็บม้วนคัมภีร์นี้เข้ากระเป๋าทันที และหลังจากแบ่งไอเทมที่ดรอปอย่างเท่าเทียมกันกับไวโอเล็ทซอร์ดแล้ว ซือเฟิงและคนอื่นๆก็ได้ออกจากพื้นที่ทดสอบทันที


เมื่อพวกเขาออกจากพื้นที่ทดสอบแล้ว พวกเขาก็ได้เข้าสู่เมืองไลท์ฟอร์จภายใต้การยนำของคริมสันสตาร์ โดยที่ไม่ได้รอที่ทางเข้าการทดสอบเพื่อให้พวกที่ตายฟื้นคืนชีพมาอัตโนมัติ


ตอนที่ 2643 เมืองไลท์ฟอร์จที่น่าอัศจรรย์


ดินแดนลับโบราณ เมืองไลท์ฟอร์จ :


ซือเฟิงและผู้รอดชีวิตคนอื่นๆในทีมของเขาได้มาถึงใจกลางพลาซ่าที่เต็มไปด้วยแสงไฟ


พลาซ่านี้มันมีขนาดมหึมา และก็ต้องบอกเลยว่ามันมีขนาดเทียบเท่ากับสนามกีฬาสี่แห่งเลย และที่อยู่ตรงกลางนั้นก็คือรูปปั้นที่มีความสูงกว่าหนึ่งร้อยเจ็ดเมตร โดยรูปปั้นเหล่านี้ทุกรูปมีลักษณะที่แตกต่างกัน บ้างเป็นนักรบสวมชุดเกราะ บ้างเป็นนักเวทย์ถือคทา และบ้างก็เป็นนักธนูที่ถือธนูอยู่ แม้ว่าจะมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน แต่รูปปั้นเหล่านี้ก็มีความคล้ายคลึงกันตรงที่พวกมันทั้งหมดล้วนมีออร่าที่ทรงพลัง ซึ่งมันให้ความรู้สึกราวกับว่ารูปปั้นนี้มีชีวิต


เมื่อได้เห็นรูปปั้นเหล่านี้ ซือเฟิงและคนอื่นๆต่างก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง


“เมืองโบราณแห่งนี้นั้นน่าทึ่งจริงๆ เพียงแค่รูปปั้นบริเวณพลาซ่าเทเลพอร์ตนี้มันก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้เล่นในโลกภายนอกบ้าคลั่งได้” ซือเฟิงอุทาน ขณะที่เขามองไปยังรูปปั้นตรงหน้าเขาอย่างพินิจพิเคราะห์


รูปปั้นเหล่านี้ที่พลาซ่าอาจดูธรรมดา แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกมันมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับเทคนิคการต่อสู้ขั้นพื้นฐานที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับอาชีพของรูปปั้นแต่ละรูป


ณ เวลานี้ผู้เล่นทุกคนใน God domain นั้นรู้ถึงการมีอยู่ของเทคนิคการต่อสู้แล้ว อย่างไรก็ตามจำนวนผู้เล่นที่มีโอกาสได้เรียนรู้เทคนิคการต่อสู้นั้นก็ยังคงจัดว่ามีน้อยมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เล่นอิสระ


อย่างไรก็ตามภายในเมืองไลท์ฟอร์จ ข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคการต่อสู้ขั้นพื้นฐานกับถูกจัดแสดงเอาไว้ราวกับมันเป็นขยะไร้ค่า และผู้เล่นก็จะสามารถเรียนรู้เทคนิคการต่อสู้ที่ว่านี้ได้อย่างอิสระ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาต้องการโดยที่มันก็ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆเลย ยิ่งไปกว่านั้นเทคนิคการต่อสู้ขั้นพื้นฐานเหล่านี้ยังถูกแบ่งออกมาให้สำหรับแต่ละสายอาชีพโดยเฉพาะแล้ว ความมั่งคั่งและความเอื้อเฟื้อของเมืองไลท์ฟอร์จนั้นมันช่างน่าประหลาดใจอย่างแท้จริง


ในระยะนี้ของเกม แม้แต่สมาชิกของมหาอำนาจที่แท้จริงต่างๆก็ยังจะต้องจ่ายในราคาที่เหมาะสมและมีส่วนร่วมในกิลที่มากเพียงพอเพื่อเรียนรู้เทคนิคการต่อสู้ขั้นพื้นฐาน แต่อย่างไรก็ตามผู้เล่นกับจะสามารถเรียนรู้เทคนิคการต่อสู้ขั้นพื้นฐานนี้ได้อย่างอิสระในพลาซ่าแห่งนี้


นอกจากนี้มานาโดยรอบภายในเมืองไลท์ฟอร์จนั้นมันก็มีความหนาแน่นมากเช่นกัน หากผู้เล่นด้ไปฝึกฝนในสนามประลองของเมืองไลท์ฟอร์จ ความเร็วในการปรับปรุงของพวกเขาจะสูงกว่าปกติหลายเท่าแน่นอน


“มานาที่นี่นั้นพิเศษมากๆ ถ้าฉันสามารถฝึกที่นี่ได้ในระยะยาว ฉันน่าจะสามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของฉันได้เพิ่มอีก” ไวโอเล็ตคลาวด์กล่าวอย่างตื่นเต้นผ่านแชททีม


“แน่นอนเลย แค่ยืนอยู่ที่นี่เฉยๆ ฉันก็รู้สึกได้แล้วว่าฉันสามารถจะควบคุมการเสริมพลังให้มานาของฉันได้ ซึ่งหากฉันสามารถใช้ประโยชน์จากประสบการณ์นี้ได้ ฉันก็จะสามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของตัวเองได้เพิ่มเติมเช่นกัน” อควาโรสกล่าวพลางพยักหน้า


ทุกคนในทีมนั้นล้วนสังเกตเห็นถึงเอฟเฟคพิเศษของมานาในเมืองไลท์ฟอร์จ และนี่มันก็ทำให้ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นกับการค้นพบนี้


สำหรับสมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ดอย่างคริมสันสตาร์ และไวน์ไฟเตอร์ มันไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่าการพายามปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของพวกเขาให้ได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ให้เร็วที่สุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือการปลดล๊อคศักยภาพร่างมานานั้นเป็นสิ่งที่มหาอำนาจต่างๆพยายามทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มันสำเร็จ


สำหรับสมาชิกของสภาสิบแปดปีก และของหอการค้าอาซูอย่างซินฟูลเฟรม โซริทารี่ฟรอสต์ และหยานเซี่ยวเฉียนที่สามารถปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว การจะทะลุขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ไปให้ได้เป็นความฝันที่พวกเขาต้องการจะบรรลุ เพราะท้ายที่สุดความแตกต่างระหว่างศักยภาพร่างมานาที่ทะลุเกณฑ์หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ไปแล้ว กับที่ยังไม่ทะลุ นั้นมันมีขนาดใหญ่มาก ซึ่งพวกเขาก็สามารถดูได้จากไวโอเล็ตคลาวด์เป็นตัวอย่าง


อย่างไรก็ตามการพยายามจะทะลุขีดจำกัดหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ไปให้ได้นั้น มันยากมาก ในความเป็นจริง พวกเขาแทบจะไม่มีโอกาสทำเช่นนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้มานาของที่นี่กับให้เบาะแสแก่พวกเขา ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะตื่นเต้นมากๆกับการค้นพบเรื่องนี้


ในสถานการณ์เช่นนี้ซินฟูลเฟรม โซริทารี่ฟรอสต์ และหยานเซี่ยวเฉียนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาสมาชิกสภาสิบแปดปีก และไวโอเล็ทซอร์ด เพราะท้ายที่สุดแล้วสมาชิกของสภาสิบแปดปีกและไวโอเล็ทซอร์ดจะสามารถเข้ามาฝึกฝนในเมืองนี้ได้ทุกเมื่อที่พวกเขาต้องการ ในทางกลับกันสมาชิกของหอการค้าอาซูจะมีเวลาอยู่แค่ราวสองวันเท่านั้น


เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้โซริทารี่ฟรอสต์ และหยานเซี่ยวเฉียน จึงนั่งและทำการจดจ่ออยู่กับความรู้สึกที่พวกเขากำลังประสบอยู่อย่างเต็มที่ เพราะท้ายที่สุดพวกเขาไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ พวกเขาจึงจะได้รับโอกาสให้มาเยี่ยมชมเมืองไลท์ฟอร์จอีกครั้ง


“มันยังมีเวลาอีกพอสมควรก่อนที่วงเวทย์เล่นแร่แปรธาตุจะหายไป เราไปดูที่คฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองเมืองไลท์ฟอร์จกันก่อนเป็นอย่างแรกเถอะ มันจะไม่สายเกินไปหรอกที่จะมาเริ่มฝึกในภายหลัง” ซือเฟิงกล่าวแนะนำพลางหัวเราะเบาๆ เมื่อเขาเห็นหยานเซี่ยวเฉียนและสมาชิกของหอการค้าอาซูคนอื่นๆนั่งลงเพื่อหมุนเวียนมานาในร่างของพวกเขา


“ฉันเดาว่าคุณพูดถูกนะ …” หยานเซี่ยวเฉียนตอบพลางพยักหน้า ขณะที่เธอเลิกคิดเรื่องการฝึกไปในทันที เพราะท้ายที่สุดเมื่อครุ่นคิดให้ดีนั้น ซือเฟิงก็พูดถูกจริงๆ


เอฟเฟคพิเศษของมานาในเมืองโบราณแห่งนี้มันอาจกล่าวได้ว่าเป็นเพียงโบนัสพิเศษเท่านั้น มูลค่าและคุณค่าที่แท้จริงของเมืองนั้นก็จะยังคงอยู่ที่คฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองเมือง ซึ่งผู้เล่นจะสามารถใช้คะแนนสะสมของเมืองแลกเปลี่ยนเป็นไอเทมต่างๆที่พวกเขาต้องการได้


ซึ่งปัจจุบันทุกคนนั้นล้วนมีคะแนนสะสมของเมืองไลท์ฟอร์จกันอยู่ห้าร้อยแต้ม ดังนั้นมันจึงจะเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก หากพวกเขาไม่ใช้มัน


ซือเฟิงและคนอื่นๆนั้นใช้เวลากว่าสองชั่วโมงในการเดินทางไปตามถนนสายหลักของเมืองไลท์ฟอร์จ ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงตรงหน้าของคฤหาสถ์ของลอร์ดผู้ปกครองเมืองที่มีความสูงหกร้อยเมตร


ขณะที่อัศวินหลายสิบคนที่อยู่ในเครื่องแบบเต็มยศก็ยืนเฝ้าอยู่ที่ตรงหน้าทางเข้าของคฤหาสถ์ ซึ่งอัศวินเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะมีเลเวลหนึ่งร้อยแปดสิบ และอยู่ในขั้นสามเท่านั้น แต่พวกเขายังมีชนชั้นสิ่งมีชีวิตเทียบเท่ากับสายพันธุ์โบราณอีกด้วย และออร่าที่พวกมันแผ่ออกานั้นก็เทียบเท่ากับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายในเลเวลเดียวกันเลย


สำหรับหัวหน้าอัศวินที่เป็นผู้นำอัศวินเหล่านี้นั้น เขาเป็น NPC ขั้นสี่ที่แท้จริงเลย และการปรากฎตัวของเขามันก็สร้างแรงกดดันอย่างรุนแรงให้กับซือเฟิง


ในขณะเดียวกันเมื่อทุกคนเดินเข้าไปในห้องโถงแลกเปลี่ยนที่ชั้นหนึ่งของคฤหาสถ์ลอร์ดผู้ปกครอง พวกเขาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้าที่พวกเขาได้เห็น


ขณะนี้มันมีไอเทมทุกประเภทถูกจัดแสดงไว้ภายในห้องโถง และในหมู่ไอเทมพวกนี้มันก็มีแม้แต่แบบแปลนอาวุธกับอุปกรณ์ระดับอีปิค ไปจนถึงสูตรโพชั่นระดับสุดยอดปรมาจารย์ และเวทย์กับสกิลที่หายากอีกมากมาย นี่ยังไม่นับรวมเทคนิคการต่อสู้ระดับทองแดง แบบแปลนสิ่งก่อสร้างขั้นสูง และแบบแปลนอาวุธสงครามอีก ซึ่งไอเทมเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าและพบเจอได้ยากมากๆในโลกภายนอก อย่างไรก็ตามตอนนี้มันกับมีสมบัติพวกนี้มากมายมหาศาลอยู่ตรงหน้าของพวกเขา


แน่นอนว่าทุกคนทำได้แค่จ้องมองไปยังไอเทมเหล่านี้เท่านั้น เพราะท้ายที่สุดแม้แต่สมบัติที่ถูกที่สุดนั้นก็ยังต้องใช้คะแนนสะสมในการแลกเปลี่ยนถึงสี่พันแต้ม โดยที่สมบัติบางอย่างนั้นก็ต้องใช้คะแนนสะสมแลกเปลี่ยนในหลักหมื่นแต้มเลย และเนื่องจากแต่ละคนในตอนนี้มีคะแนนะสมเพียงคนละห้าร้อยแต้ม ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเลิกคิดถึงสมบัติเหล่านี้ไปเลย


โชคดีที่สมบัติล้ำค่าเหล่านี้นั้นไม่ใช่สิ่งเดียวที่สามารถจะแลกเปลี่ยนได้ มันยังมีไอเทมที่มีราคาถูกลงและใช้ประโยชน์ได้อีกมากมาย ซึ่งตัวอย่างของไอเทมเหล่านี้ก็ได้แก่หินเวทย์มนต์ และโพชั่น Enchanted


ซึ่งสำหรับไอเทมทั้งสองชิ้นนี้ที่ได้ยกตัวอย่างไปนั้น ทั้งสมาชิกของหอการค้าอาซู และของวโอเล็ทซอร์ดนั้นล้วนใช้คะแนนสะสมที่พวกเขามีทั้งหมดในการแลกมันมา


“หัวหน้ากิล ไอเทมที่แลกได้ที่นี่นั้นมันมีจำนวนจำกัด รีบแลกเปลี่ยนคะแนนสะสมของเราให้เป็นหินเวทย์มนต์ขั้นสาม กับ โพชั่น Enchanted ให้ไวที่สุดดีกว่า ถ้าเรามัวแต่รอจนกว่าคนอื่นจะฟื้นคืนชีพขึ้นมา มันอาจจะไม่เหลือให้เราแล้วก็ได้ …” อควาโรสกล่าวอย่างเร่งรีบ ขณะที่เธอมองไปยังซือเฟิงที่ไม่ได้สนใจหินเวทย์มนต์ขั้นสาม และโพชั่น Enchanted มากนัก


ไอเทมทั้งหมดที่มีให้แลกเปลี่ยนที่นี่นั้นมีขีดจำกัด และมีจำนวนจำกัดในการแลกเปลี่ยน แม้ว่าบางไอเทมบางชิ้นอาจจะถูกเติมสต๊อคเข้ามา เมื่อมันหมดไป แต่บางชิ้นก็ไม่ เพราะท้ายที่สุดบางชิ้นนั้นมันหายากมากๆนั่นเอง


สำหรับหินเวทย์มนต์ขั้นสาม และโพชั่น Enchanted แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้เป็นไอเทมพิเศษ แต่ถ้าทุกคนลงทุนใช้คะแนนสะสมที่พวกเขาได้รับมาห้าร้อยแต้มเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นไอเทมสองชิ้นนี้ทั้งหมด ไอเทมทั้งสองชิ้นนี้มันก็จะมีพอให้แค่ประมาณห้าสิบคนเท่านั้น และเมื่อไอเทมทั้งสองชิ้นนี้หมดลง ผู้ที่ต้องการจะแลกเปลี่ยนก็จะต้องจนกว่าระบบจะเติมสต๊อคของมันเข้ามา อย่างไรก็ตามใครกันจะไปรู้ว่าไอเทมทั้งสองชิ้นนี้จะได้รับการเติมสต๊อคเมื่อไหร่


“ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบทำแบบนั้น” ซือเฟิงกล่าวพลางส่ายหัว จากนั้นเขาก็เลื่อนสายไปมองชั้นวางที่วางขวดที่ใส่ของเหลวสีฟ้าครามอยู่และพูดว่า “ให้ทุกคนทำการแลกเปลี่ยนโพชั่นฟื้นฟูค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจระดับปรมาจารย์กันก่อน”


“หัวหน้ากิล โพชั่นฟื้นฟูค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจระดับปรมาจารย์นั้นมันมีราคาแพงเกินไป มันมีราคาถึงห้าสิบแต้มต่อขวด เราจำเป็นจะต้องซื้อมันจริงๆงั้นหรอ ?” อควาโรสอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่พอใจเล็กๆ เมื่อเธอได้เห็นราคาของโฟชั่นฟื้นฟูค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจระดับปรมาจารย์ “โพชั่นนี้จะช่วยผู้เล่นแค่ในการฟื้นฟูค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นโพชั่นนี้แต่ละขวดยังมีผลแค่สองชั่วโมง แม้ว่ามันจะเป็นโพชั่นที่หายากในโลกภายนอก แต่การจะใช้คะแนนสะสมอันมีค่าของเราเพื่อแลกเปลี่ยนมัน มันค่อนข้างจะ ….”


แม้ว่าโพชั่นฟื้นฟูค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจระดับปรมาจารย์นั้นจะหายากอย่างไม่น่าเชื่อ แต่มันก็ไม่ได้มีประโยชน์กับผู้เล่นมากนักเลย เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผู้เล่นจะสามารถฟื้นฟูค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจได้ตามธรรมชาติเมื่อเวลาผ่านไป และหากผู้เล่นพักผ่อนในเมืองนั้น อัตราการฟื้นฟูของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นเร็วขึ้นไปอีก ดังนั้นไอเทมชิ้นนี้มันจึงไม่ได้จัดว่ามีประโยชน์มากนักเลย แถมมันยังมีราคาในการแลกเปลี่ยนถึงห้าสิบแต้มต่อขวด หากใช้คะแนนสะสมที่พวกเขามีแลกไปจริงๆ มันก็จะจัดว่าเป็นการสิ้นปลืองมากๆ


เพราะท้ายที่สุดแม้แต่โพชั่น Enchanted ระดับปรมาจารย์ก็ยังมีราคาเพียงสิบแต้มต่อขวดเท่านั้น และมันยังมีผลกับผู้เล่นถึงหกชั่วโมง !!!


“ผ่อนคลายน่า เพียงแค่ให้ทุกคนไปแลกมันตามคำสั่งของฉันเถอะ และฉันรับรองว่าคุณค่าที่ทุกคนจะได้รับจากโพชั่นนี้มันจะเกินความคาดหมายของทุกคนไปอย่างมาก พวกมันมีค่ามากกว่าหินเวทย์มนต์ขั้นสามด้วยซ้ำ ….” ซือเฟิงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ เมื่อเขาเห็นสีหน้าวิตกกังวลของอควาโรส


ในความคิดของเขานั้น ราคาของโพชั่นฟื้นฟูค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจระดับปรมาจารย์มันถูกมากด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาจะได้รับอนุญาติให้ซื้อโพชั่นนี้ก็ต่อเมื่อพวกเขามีโทเค่นขุนนางเท่านั้น ไม่งั้นพวกเขาจะไม่มีคุณสมบัติเลย


ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา หากโพชั่นนี้ถูกนำไปวางขายในตลาดนั้น มันจะมีราคาต่อขวดเทียบเท่ากับวัสดุระดับอีปิคเลย และแม้จะได้ราคาขนาดนี้ มันก็จะยังไม่มีใครเต็มใจจะขายมันด้วยซ้ำ


หลังจากพูดจบ ซือเฟิงก็ใช้คะแนนสะสมทั้งหมดที่เขาได้รับมา แลกเปลี่ยนเป็นโพชั่นฟื้นฟูค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจระดับปรมาจารย์อย่างไม่ลังเล


สำหรับอควาโรส เธอก็ไม่ได้พยายามห้ามปราบซือเฟิงอีกต่อไป เพราะเธอเชื่อใจเขา และเธอก็คิดว่าหัวหน้ากิลของเธอต้องมีเหตุผลในการทำแบบนี้แน่นอน ดังนั้นเธอจึงได้สั่งให้สมาชิกสภาสิบแปดปีกคนอื่นๆที่อยู่ที่นี่แลกเปลี่ยนคะแนนสะสมของตัวเองเป็นโพชั่นฟื้นฟูค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจระดับปรมาจารย์ทั้งหมด ซึ่งนี่รวมไปถึงตัวเธอเองด้วย


สมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ดและหอการค้าอาซูต่างรู้สึกสับสนเมื่อได้เห็นฉากนี้ พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมสภาสิบแปดปีกถึงยอมแพ้ในไอเทมล้ำค่า และเลือกไปแลกโพชั่นแบบนั้น


อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้กันนานนัก เพราะท้ายที่สุดมันไม่ใช่เรื่องของพวกเขา และระยะเวลาของวงเวทย์เล่นแร่แปรธาตุของพวกเขามันก็ใกล้จะหมดลงแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นจะต้องรีบแลกเปลี่ยนหินเวทย์มนต์ขั้นสาม กับ โพชั่น Enchanted มาให้ได้มากที่สุดเพื่อไว้ใช้ฝึกฝน ….


หลังจากทุกอย่างเรียบร้อย สมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ดและหอการค้าอาซูก็รีบวิ่งไปที่สนามประลองเพื่อฝึกฝนทันที สำหรับสมาชิกสภาสิบแปดปีก พวกเขาได้เดินตรงไปที่กำแพงเมืองภายใต้การนำของซือเฟิง


หวังว่าโพชั่นเหล่านี้จะเพียงพอที่จะทำให้ฉันสามารถก้าวเข้าสู่มาตราฐานความแข็งแกร่งทางจิตใจขั้นสี่ได้


ขณะที่ซือเฟิงมองไปที่รูปปั้นขนาดมหึมาบนกำแพงที่ห่างออกไปนั้น ฝีเท้าของเขาก็ถูกเร่งขึ้นโดยอัตโนมัติ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)